Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]  (อ่าน 130708 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เร็วไปไหมที่จะอยู่ด้วยกัน ไปมาหาสู่กันแบบนี้ไม่ดีเหรอ

ออฟไลน์ Jadd

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
 :pig4: หวานๆ ชอบความรักที่ค่อยๆ มีการพัฒนาขึ้น

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เฮ้ยยย จะจบแล้วว

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
น้องรันจะยอมไปอยู่กับพี่เนย์ไหมนะ  :-[

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you ♥
ตอน 26



“เป็นเชี่ยไรของมึงอีกเนี่ย?” ไอ้หมอกที่ยังไม่หลับถึงกับตะโกนถาม เมื่อผมเอาแต่พลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้ง
‘นอนไม่หลับว่ะ มึงล่ะ เหมือนกันเหรอ?’ ทันทีที่ผมสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ แสงสว่างก็สว่างวาบขึ้นจนแสบตา เพราะความไม่ชิน เนื่องจากเราปิดไฟเตรียมเข้านอนมาได้หลายชั่วโมงแล้ว

‘ทำไมวะ? ส่วนกูนอนไม่หลับเพราะมึงนี่แหละ แม่ง! พลิกไปพลิกมาอยู่นั่น’ ไอ้หมอกเปลี่ยนมาใช้วิธีการคุยกันผ่านทางแชทแทน เพื่อไม่ให้เสียงพูดคุยมันรบกวนไอ้คินที่เพิ่งจะเข้านอนเมื่อครู่ หลังจากออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกเป็นนานสองนาน ตามประสาคนกำลังอินเลิฟ แต่ไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าตัวเองพูดคุยอะไรกับสาวคนนั้นบ้าง
‘โทษทีว่ะมึง คืองี้ พี่เนย์ชวนกูไปอยู่ด้วยว่ะ’

‘มันก็เรื่องปกติของคนเป็นแฟนกันมั้ยล่ะมึง’ ผมจ้องข้อความของไอ้เพื่อนสุดจะกวนประสาทแน่นิ่ง เพราะผมเองก็รู้แหละว่ามันเป็นเรื่องปกติของคนเป็นแฟนกัน แต่อย่าลืมสิว่าพ่อกับแม่ผมอยากให้อยู่หอในน่ะ แถมยังให้อยู่จนเรียนจบเลยด้วย
‘แต่พ่อกับแม่กูอยากให้อยู่ที่หอในนะเว้ย’ ผมรีบแย้งทันที แต่ที่ต้องมานั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวัน ก็เพราะผมให้คำตอบพี่เนย์ไปว่า ผมขอเวลาบอกเพื่อนกับเคลียร์งานกลุ่มก่อน เนื่องจากการอยู่หอในช่วงนี้มันสะดวกต่อการทำงานกลุ่มในช่วงกลางคืนมาก เพราะเราอยู่ห้องเดียวกัน ไม่ต้องไปนัดทำที่อื่น
แต่ก็นั่นแหละ เหตุผลที่ว่านั่น เรียกง่ายๆว่ามันก็คือการแถจนสีข้างถลอกแล้วถลอกอีก

‘โห่วเพื่อนครับ! มึงก็ยังอยู่ที่หอในต่อไปสิวะ ส่วนตัวมึงก็แค่ย้ายไปอยู่กับพี่เนย์ ง่ายจะตาย!’
‘แบบนี้ก็เท่ากับว่ากูโกหกดิวะ’

‘งั้นมึงก็ไลน์ไปบอกพ่อกับแม่เลยจบ’ ที่พูดออกมานี่ ไอ้หมอกมันแนะนำวิธีฆ่าตัวตายให้ผมชัดๆเลยนะเว้ย
‘มึงจะบ้าเหรอ หาเรื่องให้กูอีก เขาจะรับได้หรือเปล่ากูก็ยังไม่รู้เลย’ เรื่องพ่อกับแม่ผมเคยเล่าให้ไอ้พวกนี้มันฟังตอนช่วงปิดเทอม เพราะผมนึกสงสัยว่าสรุปแล้ว พ่อกับแม่ได้ยินที่พี่เนย์พูดในวันนั้นแน่หรือเปล่า ทำไมถึงได้ทำนิ่งเฉยแบบนั้น เพราะจริงๆ ผมกะไว้ว่าต้องถูกซักฟอกตอนช่วงปิดเทอมแน่ๆ เพราะเรื่องนี้มันก็ทิ้งช่วงมานานแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครสรุปคำตอบที่ผมอยากจะรู้ได้อยู่ดี
ผมก็เลยได้แต่ปล่อยเบลอ เพราะผมเองก็ยังไม่พร้อมที่จะให้พ่อกับแม่รับรู้ในตอนนี้

‘ถามจริง มึงมีอะไรที่กลัวมากกว่านั้นป่ะ? แลลนอยู่นะมึงเนี่ย’ ไอ้หมอกเงียบไปสักพักแล้วมันก็พิมพ์ประโยคจี้ใจดำใส่จนผมถึงกับหายใจติดขัด
‘สงสัยไอ้รันมันจะกลัวได้ทาลิปมันบ่อยๆล่ะมั้งมึง’ ไอ้คิน ไอ้เพื่อนเวรนี่เว้ย ผมก็นึกว่าหลับไปแล้ว ที่ไหนได้แม่งยังไม่หลับ และดันโผล่หัวมาตอนจังหวะดีซะด้วย
นี่มึงเป็นคนรอบรู้ผ่านทางโนติบนหน้าจอใช่มั้ย พวกกูถึงได้ไม่รู้ตัวเลยว่ามึงน่ะตื่นแล้ว

‘ยังไม่ชินอีกเหรอเพื่อน!’ เกลียดแม่งจริงๆ ผมไม่น่าคิดจะปรึกษาพวกมันเลย มีแต่ต้องอายกับอายทั้งนั้น
‘ไอ้พวกทะลึ่ง!’ พอด่ามันเสร็จ ผมก็จัดการคว่ำโทรศัพท์ไว้กับที่นอนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พยายามข่มตาหลับให้ได้ แม้ว่าโทรศัพท์มันจะสั่นรัวราวกับเจ้าเข้าก็ตาม หรือแม้กระทั่งเสียงหัวเราะคิกคักของคนสองคนในห้องที่ดังขึ้นท่ามกลางความมืดในเวลาตีหนึ่ง
ผมก็ปล่อยเบลอให้หมด

วันนี้ฝนพรำตั้งแต่เช้าเลย แต่ผมเป็นคนชอบฝนนะ เพราะทุกครั้งที่ฝนตกก็จะได้กลิ่นไอดินลอยขึ้นมาแตะจมูกอยู่ตลอด ทำให้รู้สึกสดชื่นไปกับธรรมชาติ และรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ชอบแค่ในระดับที่เป็นฝนพรำเท่านั้น ไม่ได้ชอบฝนในทุกระดับ
แล้วยิ่งฝนมันเทลงมาหนัก ตอนช่วงที่ผมไม่มีร่มนะ ผมก็จะยิ่งไม่ชอบ
มีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมชอบ ก็คือตอนที่ผมกับพี่เนย์นั่งติดฝนอยู่ด้วยกันที่ร้านกาแฟ   

วันนี้ผมเลือกนั่งทานมื้อเช้าที่โต๊ะด้านนอกโรงอาหาร เพื่อที่ผมจะได้นั่งมองสายฝนได้ และอีกอย่างวันนี้พี่เนย์เขาไม่มีเรียน ผมก็เลยถือโอกาสย้ายโต๊ะได้ตามใจชอบ

Rrrrrrrr

“รันนั่งอยู่ตรงไหนน่ะ?” ทันทีที่ผมรับสาย พี่เนย์ก็รีบสอบถามเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว
‘ขะ..อ้าง..นะ..นอก’ ผมใช้เวลาเค้นเสียงอยู่นาน แต่คนปลายสายก็ไม่ได้แสดงท่าทีฮึดฮัดอะไร

“ข้างนอก?”
“อ..อือ”

“ถ่ายรูปส่งมาให้ดูหน่อย อยู่ตรงไหน” อีกฝ่ายว่าอย่างนั้น แล้วก็วางสายไป ผมเลยได้แต่มองหน้าจอโทรศัพท์อย่างงงๆ แต่ก็ยอมถ่ายรูปตามที่พี่เนย์ขอ และทันทีที่ผมส่งรูปไปทางแชท อีกฝ่ายก็รีบอ่านอย่างรวดเร็ว
“พอดีฝนตกเลยต้องออกมาส่งไอ้บอสไอ้ทีมน่ะ เลยแวะมากินข้าวเช้าที่นี่เลย เผื่อเจอ” พี่เนย์เฉลยข้อสงสัยของผมทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ถาม จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งทางฝั่งตรงกันข้าม

“ทำไมย้ายที่นั่งล่ะ?” พี่เนย์ตักข้าวเข้าปากพลางถามด้วยความสงสัย
“…” ผมยิ้ม พลางยกมือขึ้นในระดับศีรษะ จากนั้นก็ขยุ้มมือแล้วปล่อยประมาณสองที เพื่อตอบคำถามของคนตรงหน้าว่าเป็นเพราะ ‘ฝน’ ผมถึงได้ย้ายออกมานั่งตรงนี้

“มานั่งดูฝนเนี่ยนะ” พี่เขาถาม ขณะเปิดฝาขวดน้ำก่อนจะกระดกขึ้นดื่มรวดเดียว
“อ..อือ” ผมยิ้มพลางพยักหน้า พร้อมกับส่งเสียงในลำคอไปด้วย

“ชอบหรือไง”
“ค..ครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม โดยไม่ขยายความใดๆ ว่าอีกฝ่ายเองก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมชอบฝน

“วันนี้เรียนตึกไหน เดี๋ยวไปส่ง” หลังจากพี่เขารีบยัดข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็วจนหมดเกลี้ยง อีกฝ่ายก็รีบอาสาเป็นสารถีให้ผมทันที เพราะปกติแล้วโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆในวันที่เจ้าตัวเขาหยุดเรียน
‘ตึกเรียนรวมครับ มีเรียนอิ้งสอง’ ผมเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ของพี่เนย์ที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็สไลด์หน้าจอโทรศัพท์อย่างง่ายดาย เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งพาสเวิร์ดเอาไว้ แล้วก็เข้าไปที่โหมดแชทเพื่อพิมพ์ข้อความตอบคนตรงหน้า

“ตอนเย็นแวะมาหาด้วย เดี๋ยวทำเห็ดเข็มทองอบชีสให้กิน” พี่เนย์พูดขึ้นขณะที่เรากำลังนั่งอยู่ในรถระหว่างทางที่กำลังจะไปตึกเรียน ซึ่งฝนก็ยังโปรยปรายลงมาไม่หยุด เสื้อผ้าทั้งของผมกับอีกฝ่ายก็เปียกเป็นดวงๆ เต็มไปหมด เพราะเราต้องวิ่งฝ่าฝนออกมาจากโรงอาหาร
“ไอ้บอสมันบังคับให้ทำน่ะสิ แต่สูตรไมโครเวฟนะ ไม่ได้อร่อยอะไรขนาดนั้น อย่าคาดหวังมาก” พี่เนย์พูดขึ้นพลางหันมามองหน้า ผมจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่าย

‘ทำอาหารเป็นด้วยเหรอครับ?’ ผมพิมพ์ข้อความเตรียมไว้ และเมื่อรถจอดตรงลานจอดรถของอาคารเรียนรวม ผมก็ยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน
“เป็น แต่ส่วนใหญ่จะขี้เกียจ เพราะฉะนั้นพลาดแล้วพลาดเลย รู้ไว้ซะ” พี่เนย์ว่าพลางยักคิ้วใส่อย่างกวนประสาท

‘ราคาคุยเยอะจัง’ ผมอดจะเหน็บแนมอีกฝ่ายไม่ได้ ดูเอาเถอะ มีการมาถ่อมตัวว่าไม่ได้อร่อยอะไรขนาดนั้น แต่ว่าถ้าพลาดแล้วพลาดเลย เพราะเจ้าตัวขี้เกียจ ดังนั้นมื้อเย็นวันนี้ถือเป็นมื้อที่หากินได้ยาก หากพลาดแล้วต้องเสียใจแน่นอน
“ลงไปได้แล้ว” พี่เนย์ท้าวแขนกับพวงมาลัยรถพลางยักไหล่ จากนั้นก็ไล่ผมให้ลงจากรถ

‘จะรอชิมฝีมือนะครับ’ พอผมพิมพ์ข้อความจนเสร็จ ก็รีบกดส่งให้อีกฝ่ายอ่านผ่านทางแชท จากนั้นผมก็รีบลงจากรถและวิ่งเข้าไปในอาคารเรียนด้วยความรวดเร็ว
แต่ไม่ใช่เพราะกลัวฝนนะ
เพราะอันที่จริงแล้ว ผมกลัวพี่เนย์จะได้ใจมากกว่า ที่ผมแสดงความดีใจที่ถูกชักชวนจนออกนอกหน้า

“มีชวนไปกินมื้อเย็นที่ห้องด้วย เอาแล้วๆ คืนนี้เพื่อนกูจะได้กลับหอหรือเปล่าหว่า” ทันทีที่ผมออกปากบอกให้พวกมันไปส่งผมที่หน้ามอ ไอ้หมอกมันก็แซ็วยกใหญ่ ทำเอาผมต้องเก็บอาการเก้อเขินแทบเป็นแทบตาย
“หูแดงนะมึง ไปๆ ขึ้นมาครับ กูจะพามึงไปประเคนให้พี่เนย์เอง” ไอ้หมอกมันยังไม่เลิกแซ็ว แต่พอผมทำท่าจะชกมันเท่านั้นแหละ เจ้าตัวก็รีบพูดตัดบทแล้วชวนผมขึ้นซ้อนท้ายทันที

“พรุ่งนี้เรียนภาษามือนะมึง อย่าไปนั่งเหม่อเพราะทาลิปรอบใหม่อีกล่ะ” ไอ้คินจากที่นิ่งเงียบมานาน พอผมกำลังจะเดินพ้นหน้าประตูรั้วมหาลัยเท่านั้นแหละ มันก็เปิดปากแซ็วผมขึ้นมาอีกคน
แม่งเอ้ย! กูอุตส่าห์ทำเป็นลืมเรื่องนั้นได้แล้วนะ   

ผมแวะซื้อบลูเลม่อนเหมือนครั้งก่อน และก็ไม่ลืมที่จะสอบถามพี่เนย์ด้วยว่าจะดื่มอะไรไหม แต่รอบนี้เจ้าตัวเขาออร์เดอร์กลับมาถึงสามแก้ว ที่คงจะเป็นของใครไม่ได้นอกจากพี่เนย์ พี่ทีม พี่บอส
เมื่อชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินออกมาจากร้านพร้อมด้วยถุงที่สามารถใส่แก้วกาแฟได้ถึงสองแก้วต่อหนึ่งถุงจนเต็มสองไม้สองมือ ขณะที่สองขาก็ก้าวเดินเข้าไปยังซอยเล็กๆ ที่อยู่ตรงกลางระหว่างร้านปิ้งย่างกับข้าวต้มรอบดึก

ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะประตูอยู่ไม่นาน คนด้านในก็เปิดประตูออกมาต้อนรับ แต่กลับไม่ใช่เจ้าของห้อง ผมจึงยกมือไหว้พี่ทีมก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในห้องและหยุดถอดรองเท้าไว้ตรงมุมปากประตู
“เงินบนโต๊ะนะรัน” พี่ทีมบอกกับผม จากนั้นเจ้าตัวก็เลือกเมนูที่ตัวเองกับพี่บอสสั่ง ผมจึงหยิบมอคค่าปั่นของพี่เนย์ไปให้คนตัวสูงที่กำลังนั่งวุ่นวายอยู่กับพื้น เพราะต้องเตรียมของสดสำหรับทำมื้อเย็นอยู่ตรงโต๊ะญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่เอาไว้วางเครื่องครัวต่างๆ และไมโครเวฟ เพราะที่หอของพี่เนย์ไม่ได้มีห้องครัวแยกเป็นสัดส่วน อีกทั้งเจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจจะจัดแบ่งโซนแต่อย่างใด ขณะที่ห้องของพี่บอสกับพี่ทีมนั้นมีการแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจนว่าตรงไหนจะใช้เป็นที่ทำครัว เพราะพวกพี่เขาชอบทำอาหารกินกันเอง

“อีกพักนึงก็เสร็จแล้ว หิวยัง?” พี่เนย์หันมาถาม เมื่อผมทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นข้างๆอีกฝ่าย
“…” ผมจึงยักไหล่พลางส่ายหน้า

“งั้นให้ไอ้สองคนนั้นมันก่อนแล้วกัน” พี่เนย์พูดทิ้งทายไว้แค่นั้น เจ้าตัวก็เริ่มจัดของสดแบบจานต่อจาน เพราะพี่เขาทำในปริมาณที่ไม่มากนัก แต่กะให้หน้าตามันออกมาดูน่ากิน ก็เลยเลือกทำแบบจานต่อจานล่ะมั้ง ผมคิดว่างั้น
ผมเลือกจะลุกขึ้นไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกพี่ทีมและพี่บอส เมื่อเห็นว่าพี่เนย์กำลังวุ่นวายได้ที่ พี่ทีมเลยเปิดเพจของสาขาให้ผมดูเป็นการฆ่าเวลา แล้วก็พูดถึงแอปพลิเคชันที่เคยส่งข่าวต่อๆกันตอนช่วงเทอมหนึ่งว่าตอนนี้เขากำลังทดสอบกันอยู่ เริ่มจะใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว อีกทั้งแคมเปญของเราก็ยังถูกนำไปใส่ไว้ในแอปนั้นด้วย เนื่องจากมันเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้

“ไอ้บอสมันบอกว่าไอ้เนย์ทำเค้กอร่อยด้วย” พี่บอสใช้ภาษามือสื่อสารกับผม จากนั้นพี่ทีมก็ถอดความผ่านคำพูด
‘จริงเหรอครับ?’ ผมย้อนถาม พลางปรายตามองไปที่พี่เนย์อย่างไม่อยากจะเชื่อ

“เรื่องทำอาหารกับขนมด้วยไมโครเวฟนี่ไอ้เนย์มันเก่ง แต่มันขี้เกียจ” พี่ทีมว่าเหน็บครึ่งนึงและชมอีกครึ่งนึง จนผมอดจะขำไม่ได้
‘ไม่น่าเชื่อเลย’

‘อยู่คนเดียวเปลี่ยวๆไง มันก็เลยฝึกทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย ส่วนพวกพี่ก็หนูทดลองดีๆนี่เอง’ เราสามคนสุมหัวกันดูโทรศัพท์เครื่องเดียวที่วางอยู่ตรงกลางวง จากนั้นก็สื่อสารกันผ่านการพิมพ์ตัวหนังสือลงในโน้ต
“…” ผมแอบขำเบาๆ เพราะพี่เนย์น่ะแปลกคน

ถ้าเป็นคนอื่น เวลาที่เขาเหงาก็อาจจะเปิดเพลงฟัง ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ร้องคาราโอเกะ อ่านหนังสือ เล่นโซเชียล หรือที่ฮิตกันสุดๆก็ไม่พ้นหาแฟนมาคลายเหงา แต่อีกฝ่ายกลับไม่ทำแบบนั้น
ซึ่งมันก็แลสมกับความเป็นพี่เนย์ผู้รักสงบนั่นแหละนะ

‘ไอ้เนย์น่ะนะ พอได้เป็นโสด มันก็หวงความโสดสุดๆ’ พี่บอสหยิบโทรศัพท์ของผมไปพิมพ์ จากนั้นก็เลื่อนออกมากลางวง
‘ทำไมล่ะครับ?’ ผมถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

‘มันบ้าไง เวลามีแฟนก็ยอมเขาทุกอย่าง จนหาความสุขของตัวเองไม่เจอ’ พี่ทีมเอาโทรศัพท์ของผมไปพิมพ์ข้อความบ้าง
‘อาจจะเพราะรักมากมั้งครับ’ ผมแสดงความคิดเห็น ทั้งๆที่ในใจก็หวิวไหวอย่างบอกไม่ถูก แต่จะทำอะไรได้ ในเมื่อมันเป็นเรื่องของอดีต อีกทั้งตอนนี้พี่เขาก็บอกอย่างชัดเจนว่ามันจบลงไปแล้ว และตอนนี้คนที่พี่เขาเลือกก็คือผม

‘หลงมากกว่า’ พอพี่ทีมพิมพ์กลับมาแบบนั้น ผมก็หันไปมองแผ่นหลังของพี่เนย์ด้วยสายตาแน่นิ่ง ขณะที่ในหัวก็วาดภาพของผู้ชายตรงหน้าที่กำลังหลงระเริงไปกับความรัก แต่ไม่ว่าจะพยายามวาดมันยังไง ผมก็วาดไม่ออก เพราะพี่เนย์ในตอนที่อยู่กับผม เขาแสดงความรักผ่านความจริงใจออกมาจนหมดสิ้น แม้ว่าเจ้าตัวจะพูดตรงบ้างอ้อมบ้าง แต่นั่นก็คือความจริงใจที่ตรงไปตรงมาที่สุดของผู้ชายที่ชื่ออาคเนย์
‘พี่ดีใจนะที่รันคบกับมันน่ะ’ พี่บอสพิมพ์ข้อความ พลางเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม

‘ทำไมครับ’
‘ตั้งแต่มันคบกับรัน มันยิ้มเยอะขึ้น มันได้เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และมันก็แสดงออกเยอะขึ้นว่าอยากทำอย่างนั้น อยากทำอย่างนี้ เพราะที่ผ่านมามันเป็นพวกอะไรก็ได้ ว่าไงก็ว่าตามกัน จนสุดท้ายก็เผลอทำร้ายตัวเองไม่รู้ตัว เพราะยอมมากไปทั้งๆที่ตัวเองไม่ชอบเป็นจุดสนใจ สุดท้ายก็อึดอัดกับชีวิตแบบนั้นจนทนไม่ไหว’ พี่บอสพิมพ์ข้อความได้รวดเร็วพอๆกับผม คงเพราะบางทีพี่เขาก็อาจจะต้องใช้การแชทเพื่อสื่อสารกับคนอื่นๆที่ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องแบบนี้เหมือนกับผม

พวกเราคุยกันได้สักพัก พี่เนย์ผู้เป็นต้นเรื่องของการสนทนา ก็มายืนกระแอมไอเหนือหัวพวกเราอยู่หลายที เราก็เลยต้องจบบทสนทนาลงแค่นั้น และหันมาสนใจกับเมนูที่วันนี้เจ้าของห้องเขาโชว์ฝีมืออย่างเชี่ยวชาญ

“วันหลังมึงลองทำขนมให้รันกินดิ น้องน่าจะชอบ” พี่ทีมตักเห็ดเข็มทองอบชีสฝีมือพี่เนย์เข้าปากพลางแนะนำให้อีกฝ่ายรู้จักบริการผมซะบ้าง
“ถ้าไม่ขี้เกียจจะลองทำดูแล้วกัน” พี่เนย์ตอบรับแบบที่ไม่สามารถทึกทักเอาได้เลยว่าผมจะมีโอกาสได้กินจริงๆ เพราะดูอีกฝ่ายจะรับคำแบบขอไปทีมาก บ่งบอกว่าเจ้าตัวมีความขี้เกียจในเรื่องนี้สูง

“เป็นไงอร่อยมั้ย?” พี่ทีมยังคงถามความเห็นผม ราวกับจะพรีเซ็นต์เพื่อนตัวเองเต็มที่
“…” ผมพยักหน้าให้พี่ทีม จากนั้นก็ตักอาหารฝรั่งฝีมือพี่เนย์เข้าปากอีกคำ

“ฝนตกอีกละ ตกอะไรนักหนาวะเนี่ย กูยิ่งไม่ถูกกับฟ้าอยู่” ขณะที่เรากำลังทานมื้อเย็นด้วยกัน ท้องฟ้าข้างนอกจากที่เคยสดใสก็เต็มไปด้วยน้ำฝนโปรยปรายลงมา ประกอบกับเสียงฟ้าร้องเบาๆคลอไปด้วย อีกฝ่ายก็เลยบ่นออกมา
“ตายแน่มึง คืนนี้ได้นอนคุมโปงแบบป๊อดๆชัวร์” พี่ทีมว่าพลางหัวเราะอย่างสะใจที่เห็นเพื่อนตัวเองทำหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะเริ่มจะคาดเดาเหตุการณ์ต่อจากนี้ได้ หากว่าฝนมันยังคงตกอยู่เรื่อยๆ และฟ้าก็ยังคงร้องโครมครามไม่หยุด

“ถ้าร้องแบบนี้กูไม่กลัวหรอกเว้ย”
“แต่ส่วนใหญ่ฝนตกฟ้าร้อง กูก็ไม่เคยจะเห็นว่ามันจะไม่ผ่านะมึง” พี่ทีมว่าพลางเอาจานของตัวเองไปซ้อนกับจานของพี่เนย์ที่ทานจนหมดเกลี้ยงแล้ว จากนั้นพี่บอสก็ทำตามบ้าง

“กูไปละ วันนี้อิ่มมากเว้ยเพื่อน ประหยัดเงินกูได้อีกมื้อเลยนะ” พี่ทีมลุกขึ้นยืนพลางตบบ่าพี่เนย์แปะๆ จากนั้นก็ขอตัวลากลับห้อง โดยที่เจ้าของห้องก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากลุกขึ้นยืนและก้มลงเก็บจานทั้งหมดที่วางอยู่บนโต๊ะ เพื่อเอาไปเก็บล้างด้านนอกที่เป็นส่วนซักล้าง
ผมที่ไม่มีอะไรทำก็หยิบแก้วบลูเลม่อนที่เหลือน้ำแข็งอยู่เพียงแค่ก้นแก้วขึ้นมากระดกจนหมด จากนั้นก็ลุกขึ้นไปดูเจ้าเขี้ยวกุดระหว่างรอให้ใครอีกคนล้างจานให้เสร็จ
ว่าแต่ว่า พี่เขาจะไม่โดยฝนสาดเหรอนั่น

‘ไม่ล้างวันหลังล่ะครับ ฝนมันสาดนะ’ ผมพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ พลางยื่นไปให้อีกคนที่กำลังล้างจานอ่าน
“ไม่เป็นไร กูยอมเปียกดีกว่าต้องทนเหม็นทั้งคืน เข้าไปรอในห้องไป” พอพี่เนย์ไล่ให้เข้ามารอในห้อง ผมก็เดินไปเมียงมองเจ้าเขี้ยวกุดที่อยู่ในตู้กระจก แต่ก็มองไม่เห็น คาดว่ามันคงจะหลบซ่อนตัวอยู่
จะมีก็แต่จิ้งหรีดตัวเป็นๆผู้ตกอยู่ในสถานะของ ‘เหยื่อ’ ที่เกาะอยู่เหนือยอดหญ้าในตู้นั่นประมาณสี่ห้าตัว

เปรี้ยง!

เพล้ง!

ทันทีที่เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น พี่เนย์ที่กำลังถือจานเพื่อออกมาเก็บยังชั้นสำหรับคว่ำจาน ก็ถึงกับปล่อยทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในมือด้วยความตกใจ โดยที่เจ้าตัวก็คงจะลืมไปแล้วว่าในตอนนี้ตัวเองกำลังถืออะไรอยู่
และเมื่อจานกระเบื้องทั้งสี่ใบนั้นล่วงลงกับพื้น ชิ้นส่วนของมันก็แตกกระจายไปทั่วบริเวณ

“โอ้ย! เชี่ยเอ้ย!” พี่เขาร้องโอดโอยเมื่อได้สติ เพราะแสงสว่างวาบที่เกิดจากฟ้าแลบ ทำเอาสติของอีกฝ่ายให้ย้อนกลับมาหาตัว ถึงได้รู้ว่าเท้าของตัวเองกำลังบาดเจ็บ อีกทั้งร่างของคนตรงหน้าก็ยังแข็งเกร็งจนน่าสงสาร ด้วยอารามตกใจกลัวในสิ่งที่ตัวเองฝังใจ
“…” ผมที่ยืนอึ้งด้วยเพราะทำอะไรไม่ถูก จึงตั้งสติและเดินไปหยิบไม้กวาดกับที่โกยขยะมาตรงจุดเกิดเหตุ ส่วนคนมีแผลเขาก็หลีกทางให้โดยอัตโนมัติ ก่อนจะไปทิ้งตัวลงนั่งอยู่บนเตียง เพื่อรอให้ผมจัดการกับเศษกระเบื้องให้เรียบร้อย จนกระทั่งทั้งห้องปราศจากเศษกระเบื้องแล้ว พี่เนย์ก็เดินเขย่งๆไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่ซ่อนเอาไว้ในตู้หนังสือ

พอคนเจ็บเดินมานั่งบนที่นอนอีกครั้ง ผมก็ยึดกล่องปฐมพยาบาลมาไว้ในครอบครอง ส่วนอีกฝ่ายก็ยินยอมตามใจผมแต่โดยดี ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผมทำความสะอาดแผล พี่เนย์ก็นั่งนิ่งไร้ปฏิกิริยาของความเจ็บปวดอย่างสิ้นเชิง แต่ถ้าฟ้าแลบเตรียมจะผ่าเมื่อไหร่ พี่เขาจะเกร็งตัวเองทันที จนผมได้แต่แอบอมยิ้มคนเดียว เพราะจู่ๆก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายก็แลน่าเอ็นดูไม่หยอก

“รัน” พี่เนย์เรียกผม พลางซบหน้าลงกับเข่าข้างที่เจ็บของตัวเอง เมื่อผมทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นคนเจ็บก็จับยึดฝ่ามือของผมไว้
“ค..ครับ” ผมยิ้มพลางใช้มืออีกข้างที่ว่างเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่ลงในกล่องปฐมพยาบาล

“เรื่องกุญแจ.. อย่าปล่อยให้รอนานนักนะ”
“…”

“พี่อยากเจอรันตลอดเวลา ไม่ได้อยากเจอแค่บางช่วงเวลาอีกแล้ว..”


-----------------------------------------------------------------------
แก้คำผิด 27/01/2018 แอพพลิเคชั่น> แอปพลิเคชัน / ฟ้าแล่บ > ฟ้าแลบ / แอพ > แอป
การชวนมาอยู่ด้วยกัน มันเป็นแค่ความพร้อมที่จะพัฒนาสถานะระหว่างกันให้ลึกซึ้งขึ้นเท่านั้นค่ะ
ซึ่งคำว่าลึกซึ้งนี่ก็รวมได้หลายอย่างเช่น ได้เห็นอีกฝ่ายในมุมที่ไม่เคยเห็น อะไรแบบนี้ 555
ไม่ใช่ว่าพี่เนย์มีแผนการร้ายจะขย้ำอะไรเล้ยยยย พี่เค้าไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ (เหรอ) 

ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 19:34:50 โดย Chomin »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อาการพี่เนย์ตอนฟ้าร้องนี่อยากให้น้องตอบตกลงมาอยู่ด้วยเร็วๆจัง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เขียนดีมากค่ะะะะ ชอบความค่อยๆเป็นค่อยไปของเรื่อง คาแรกเตอร์ตัวละครและสิ่งแวดล้อมแบบนี้ไม่ค่อยเจอเลย โดยเฉพาะตัวน้องรันที่เรียนสาขานี้ อ่านแล้วได้ความรู้เรื่องภาษามือด้วย บางทีอ่านไปทำมือตามไป ข้อมูลละเอียดมากด้วย ชอบมาก สนุกมากเลยค่ะ ยิ่งพอรู้ว่าคนเขียนได้แรงบันดาลใจมาจาก fall in you เราก็ชอบเพลงนี้ ละมุนแล้วก็เขินๆมากเลยยย เสียดายมาเจอช้าไป ถ้ามาไวกว่านี้คงได้คอมเม้นท์ตอนต่อตอน ฮาา ยังไงก็ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ เป็นกำลังใจให้สำหรับตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
feel good และน่าสนใจมาก ไม่เคยอ่านเรื่อง ภาษามือมาก่อน ติดตามค่าา :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you ♥
ตอน 27



‘ใจบาง’คำศัพท์ที่ผมมักจะได้ยินเพื่อนผู้หญิงพูดกันบ่อยๆ ดูท่าจะเหมาะกับความรู้สึกของผมในตอนนี้ เพราะทันทีที่พี่เนย์สารภาพอย่างตรงไปตรงมา ผมที่เคยใจแข็งก็ถึงกับใจอ่อนยวบยาบไม่เป็นท่า แต่ผมก็ยังทำนิ่งไม่แสดงออกมาให้อีกฝ่ายรู้ หากแต่ใบหน้าร้อนๆ มันจะลุกลามไปจนถึงใบหูหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น พี่เนย์ต้องจับสังเกตุได้แน่ๆ
ผมชอบพี่เนย์ และผมเองก็ไม่ได้อยากเจอพี่เนย์แค่บางช่วงเวลาเหมือนกัน แต่ที่ผมยังลังเล มันเป็นเพราะว่าผมกำลังวางตัวไม่ถูก ในเมื่อทุกครั้งที่ผมก้าวเข้าไปในห้องของพี่เนย์ ใจของผมไม่เคยเต้นในจังหวะที่ปกติเลย อีกทั้งเมื่อคราวจำเป็นต้องนอนค้างที่นั่น ผมก็มักจะนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเราสองคนนอนใกล้ชิดกันมาก แม้จะไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกัน แต่การที่ต้องนอนบนเตียงเดียวกัน มันก็อดที่จะคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ แถมเราสองคนก็เคยจูบกันตั้งสองครั้งแล้ว และทุกครั้งก็ทำเอาผมแทบเป็นบ้า

แล้วถ้าหาก ผมต้องย้ายไปอยู่กับพี่เนย์ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรามันจะพัฒนาไปจนถึงขั้นที่ลึกซึ้งในตอนไหน ลึกๆผมก็นึกกังวลว่าความสัมพันธ์ของเรามันจะทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังหรือเปล่า ท่านจะรับได้ไหม ถ้าหากรับไม่ได้ ผมจะทำยังไง ผมคิดมากไปหมด เพราะขนาดพูด ผมก็ยังพูดไม่ได้ แล้วยังจะมาชอบผู้ชายด้วยกันอีก
พ่อกับแม่จะต้องผิดหวังในเรื่องของผมไปอีกนานเท่าไหร่ มาตอนนี้ผมนึกเสียใจที่ไม่ยอมไปรักษา เพราะเอาแต่นึกโกรธพวกท่าน ทั้งๆที่หลังจากเกิดเรื่อง พวกท่านก็ดูแลผมอย่างดี ตอนนั้นแม่ถึงขนาดลาออกจากงานแบบไม่มีกำหนดเลยด้วยซ้ำ ส่วนพ่อก็ต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวเพียงคนเดียว
นึกๆแล้วก็เสียใจ ที่ผมเลือกจะสนใจแต่ตัวเอง โดยลืมสนใจความรู้สึกของพวกท่านไป

“รีบขึ้นไปเถอะรัน หอจะปิดแล้วนี่” ผมยกยิ้มให้พี่ทีม เมื่อพี่ทีมเป็นฝ่ายออกมาส่งผมที่หอตามคำขอร้องของพี่เนย์ จากนั้นผมก็ยกมือไหว้ลาประธานรุ่นปีสาม พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมารายงานให้คนเจ็บรู้ว่าผมมาถึงหอพักอย่างปลอดภัยแล้ว
“กูก็นึกว่ามึงจะไม่ได้กลับมาที่หอซะแล้ว” ไอ้หมอกมันพูดขึ้น เมื่อผมไขกุญแจและเดินเข้ามาในห้อง

“…” ผมไม่ตอบอะไร นอกจากส่งยิ้มให้ไอ้เพื่อนช่างแซ็ว จากนั้นก็เอากระเป๋าใบเก่งไปวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ และเตรียมเสื้อผ้าสำหรับใส่นอน ก่อนจะไปหยิบผ้าเช็ดตัวและเดินเข้าห้องน้ำ ครั้นเมื่อเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์จนหมดสิ้น ผมก็เปิดฝักบัว และเอาตัวเองเข้าไปยืนอยู่ภายใต้สายน้ำ โดยที่ผมก็ลืมไปว่า ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะสระผม
แต่เพราะในหัวของผมมันกลับเต็มไปด้วยความคิด ผมจึงไม่ทันได้ใส่ใจในเรื่องนั้น

บางทีมันคงถึงเวลาที่ผมจะต้องเป็นฝ่ายบอกพ่อกับแม่ให้ท่านทราบเรื่องของพี่เนย์แล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีทางไปอยู่กับอีกฝ่ายได้อย่างสบายใจ เพราะผมไม่อยากโกหก และถ้าหากผลลัพธ์มันออกมาแย่ ผมก็คิดข้อต่อรองไว้แล้วว่า ผมจะยอมไปรักษา ซึ่งถ้าหากผมทำได้ ผมก็หวังว่าพ่อกับแม่จะยอมรับเรื่องของผมกับพี่เนย์
สิ่งที่ผมทำได้ มันก็มีแค่นี้.. แค่นี้จริงๆ

หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็แต่งตัวและเดินออกมาตากผ้าเช็ดตัวที่ราวตาก จากนั้นผมก็ปีนขึ้นเตียงชั้นสองอย่างทุลักทุเล เพราะห้องทั้งห้องมันมืดสนิทแล้ว คาดว่าไอ้เพื่อนซี้สองคนมันคงสลบเหมือดไปแล้วแน่ๆ แต่ผมยังปีนได้ไม่ถึงขั้นสุดท้าย ก็ต้องปีนกลับลงมาข้างล่างใหม่ เพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือติดไปด้วย และเมื่อทิ้งตัวลงนอนได้ ผมก็สไลด์หน้าจอโทรศัพท์จนแสงสว่างส่องใบหน้า ทำให้ผมต้องหรี่ตามองเพราะยังไม่คุ้นชิน

‘มึงทะเลาะกับพี่เนย์เหรอ ทำไมซึมๆ’ ไอ้คินเป็นฝ่ายส่งข้อความมาถามผ่านทางแชทกลุ่ม
‘พวกกูจะปิดไฟนอนแล้ว ถ้ามึงอยากจะร้องไห้ก็ร้องได้ตามสบาย แต่พรุ่งนี้มึงต้องยิ้มกว้างๆด้วย เพราะมึงหน้าตาก็ไม่ดี ถ้ายิ่งเศร้ามันก็จะยิ่งน่าเกลียดนะเตี้ย’ ไอ้หมอกเองก็ส่งข้อความมาเช่นกัน ผมจึงได้แต่น้ำตาซึมกับการให้กำลังใจของพวกมัน   

‘กูไม่ได้ทะเลาะกับพี่เนย์หรอก แค่เผลอคิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้น พวกมึงสบายใจได้’ ผมตัดสินใจส่งข้อความลงในแชทกรุ๊ป จากนั้นก็เลื่อนหาแชทของพ่อกับแม่ ก่อนจะนอนจ้องดิสเพลย์ของพวกท่านทั้งสองที่ห้องแชทมันบังเอิญอยู่ติดกัน
‘แม่ครับ.. แม่จำพี่อาคเนย์ได้ไหม พี่ผู้ชายที่มารับผมในวันนั้นน่ะ จริงๆแล้ว.. เขาเป็นแฟนผมครับ พี่เขาใจดีแล้วก็อบอุ่นมากๆเลย สอนให้ผมกล้าทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดที่จะทำตั้งหลายอย่าง จนตอนนี้ผมเข้ากับคนที่ไม่ได้มีข้อบกพร่องบางคนได้แล้วนะครับ.. ผมอยากให้แม่รับรู้เรื่องของเราไว้ เพราะผมไม่อยากโกหกแม่.. ผมชอบพี่เขาครับแม่ ชอบมากจริงๆ’ ผมพิมพ์ไปก็น้ำตาไหลไปด้วยความหวาดกลัวที่มันเกาะกินไปทั่วทั้งสี่ห้องหัวใจ

‘พ่อครับ.. พ่อจำพี่อาคเนย์ได้ไหม พี่ผู้ชายที่มารับผมเมื่อวันนั้น จริงๆแล้วเขาเป็นแฟนผม พี่เขานิสัยดีมากๆเลยครับ แถมยังเรียนเก่งมากๆด้วย แล้วก็เป็นคนที่มีความคิดในแง่บวกสุดๆไปเลยครับ พ่อคิดเหมือนผมไหม ว่าคนดีๆแบบพี่เนย์ ไม่น่าจะอยู่รอดจนกระทั่งมาเจอผมเลย เขาสอนให้ผมรู้จักมองอะไรบางอย่างในมุมมองใหม่ๆด้วยล่ะ พ่อเองก็รู้ดีว่าผมไม่ชอบคนที่ไม่มีข้อบกพร่อง เพราะเพื่อนสมัยเรียนมัธยม แต่ว่าพี่เนย์สอนให้ผมเปิดใจมองโลกในมุมใหม่ ผมถึงได้รู้ครับว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวผม และคนที่ไม่มีข้อบกพร่องก็ไม่ได้ใจร้ายทุกคน เขาดีขนาดนี้ พ่อเองก็คิดใช่ไหมว่าผมไม่ควรปล่อยพี่เนย์ให้หลุดมือ.. ผมชอบพี่เขาครับ ชอบมากจริงๆ ถ้าหากความสัมพันธ์ของผมกับพี่เนย์ทำให้พ่อกับแม่เสียใจ ผมขอแลกกับการรักษาตัวเองให้กลับมาพูดได้นะครับ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่พ่อกับแม่จะดีใจที่สุด’ ผมน้ำตาไหลอาบแก้มจนเผลอหลุดสะอื้นออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ อีกทั้งมือของผมก็ยังสั่นจนแทบจะพิมพ์ไม่ได้
ทั้งๆที่ผมเก่งเรื่องพิมพ์แชทจะตาย

เช้านี้ผมมาทานข้าวที่โรงอาหารในเวลาที่เร็วกว่าปกติ เพราะพี่เนย์เขาต้องเผื่อเวลาในการเดินลงบันไดหอ และยังต้องขับรถมาเรียนอย่างยากลำบาก ซึ่งผมก็อดบ่นอีกฝ่ายไม่ได้ที่ไม่ยอมรอเพื่อนมารับ ทั้งๆที่แผลที่เท้าก็มีตั้งหลายจุด ก็เล่นทำจานกระเบื้องตกใส่เท้าตัวเอง แถมยังไปเหยียบซ้ำจะไม่ให้เดินลำบากก็แย่แล้ว
อันที่จริงก็เพราะพี่เนย์เจ็บตัวด้วยส่วนนึงน่ะแหละครับ ถึงทำให้ผมเริ่มคิดเรื่องที่พี่เขาขออย่างจริงจัง และตอนนี้ผมเองก็เครียดมาก เพราะพวกท่านทั้งสองอ่านข้อความของผมแล้ว แต่ยังไม่ได้ตอบกลับมา ดังนั้นคำว่า ‘Read’ จึงเป็นอะไรที่ทำให้น้ำตาของผมจะไหล และเจ็บอยู่ในอกลึกๆ เพราะผมเผลอคิดไปแล้วว่า พ่อกับแม่คงจะยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ

“ต้มจืดเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นจากการเขี่ยข้าว เมื่อพี่เนย์มาถึงก็ถามถึงเมนูที่เจ้าตัวจะได้กินในวันนี้
“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้า ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ คงเพราะเข้าใจกติกากันดีว่าถ้าหากใครเป็นคนสั่ง อีกคนก็ต้องจำใจกิน เพราะไม่มีสิทธิ์จะคัดค้าน

“ร้องไห้เหรอ ทำไมตาบวม” พี่เนย์ก้มหน้าลงเพื่อให้อยู่ในระดับที่มองเห็นตาบวมๆของผมที่พยายามจะก้มหลบ แต่สุดท้ายก็ไม่พ้น
“เพราะพี่หรือเปล่า? เรื่องที่พูดเมื่อวาน” พี่เนย์ถามพลางตักต้มจืดเต้าหู้ไข่ที่ผมซื้อ ใส่ลงในจานข้าวของตัวเอง

‘แค่ส่วนนึงครับ’ ผมเลือกที่จะบอกไปตามความเป็นจริง
“พี่เข้าใจ เพราะการย้ายมาอยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์มันก็ต้องพัฒนาไปในทางที่.. อืม.. ลึกซึ้งขึ้น” พี่เนย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่จริงจัง ทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมานิดหน่อย เมื่อสิ่งที่ผมคิดมันตรงกับสิ่งที่พี่เนย์เองก็คิด
ในเมื่อเวลาที่เราอยู่ใกล้กันตามลำพังในห้องนั้นทีไร มันก็คล้ายกับเราไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกแล้ว..

หลังจากทานข้าวเสร็จ พี่เนย์ก็ยังคงเป็นสารถีที่ดีเหมือนเคย จนผมอดจะถามไม่ได้ว่าเจ็บมากหรือเปล่า เพราะพี่เขาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรเลย เดิมทีผมก็พอจะทราบว่าพี่เขาเป็นคนที่กลัวฟ้าแลบและฟ้าผ่ามากจนถึงขั้นปล่อยทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในมือ แต่ผมก็ไม่ทันได้คิดถึงกรณีที่ว่าสิ่งที่อยู่ในมือมันอาจจะทำให้เจ้าตัวบาดเจ็บ ซึ่งพอเห็นพี่เนย์ต้องมาใส่รองเท้าแตะเดินกระเผลกๆแบบนี้ ผมจึงอดห่วงอีกฝ่ายจนถึงขั้นไม่อยากปล่อยให้อยู่คนเดียว

‘พี่เจ็บตัวแบบนี้ทุกครั้งหรือเปล่าครับ เวลาที่ตกใจเรื่องฟ้าแลบฟ้าผ่าน่ะ’ วันนี้เราสองคนเดินเข้ามาที่ตึกคณะพร้อมกัน ผมจึงมีเวลาคุยกับเจ้าตัวเพิ่มอีกหน่อย ก็เลยไม่รอช้าที่จะพิมพ์ข้อความถามอย่างสงสัยและเป็นห่วง
“ถ้าใครรู้จักพี่ เขาจะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติเลยแหละ”
“เป็นห่วงเหรอ แผลแค่นี้เอง” พี่เขาว่าพลางยกยิ้มและไม่วายจะเอื้อมมือมายีหัวผมจนยุ่ง จากนั้นวงแขนแน่นๆของคนที่ออกกำลังกายบ้าง แต่ไม่ได้ออกแบบหนักหนาอะไร ก็วางพาดลงมาบนไหล่ผม กระทั่งเดินขึ้นมาบนชั้นสอง เราสองคนก็ต้องแยกย้ายกันไปเรียน เพราะวันนี้ผมเรียนที่ชั้นสาม แต่พี่เนย์เรียนที่ชั้นสอง ผมจึงหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะก้าวขึ้นบันไดไปอีกขั้น จนไม่สามารถมองเห็นผู้ชายตัวสูงที่ในวันนี้เดินไม่ค่อยจะสะดวกอีกแล้ว

วันนี้ทั้งวันผมเรียนแต่ตัวหนักๆทั้งนั้น เวลาก็เลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกไอ้หมอกไอ้คินมันเองก็เหมือนกับจะไม่ค่อยกล้าพูดเล่นเฮฮาอะไรนัก คงเพราะมันรู้ว่าผมกำลังเครียด ในเมื่อจนเย็นป่านนี้แล้ว แต่พ่อกับแม่ก็ยังเงียบไร้ปฏิกิริยาตอบรับอยู่เลย
“พี่เนย์จะมารับไปกินข้าวด้วย หรือว่าจะไปกินกับพวกกู?” ไอ้คินถามเมื่อเรากำลังเดินลงจากอาคารเรียน

‘ไม่รู้ว่ะ วันนี้ยังไม่มีเวลาจะคุยกันเลย’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป พลางเปิดหน้าต่างแชทของพี่เนย์เพื่อจะสอบถามอีกฝ่าย ซึ่งได้ใจความว่าเจ้าตัวมีเรียนแค่ครึ่งวัน ตอนนี้นอนตีพุงอยู่หอเรียบร้อยแล้ว และจะฝากท้องกับพี่ทีมพี่บอส เพราะวันนี้เดินจนล้า เลยไม่อยากจะออกไปหาอะไรกินเอง ผมก็เลยคิดว่าวันนี้ผมควรจะไปกินข้าวกับพวกไอ้คิน พี่เนย์จะได้พักผ่อนเยอะๆ และจะได้หายเร็วๆ เพื่อที่ผมจะได้หายห่วงขึ้นบ้าง
‘ไปกับพวกมึง.. แต่จะเปลี่ยนเสื้อก่อน หรือว่าจะไปกินกันเลย’ ระหว่างซ้อนจักรยานผมก็สะกิดไอ้หมอกให้หยุดปั่น เพื่อให้คำตอบกับอีกฝ่าย

“กูว่าจะไปกินกันเลยนะ มึงว่าไงไอ้คิน?” ไอ้หมอกหันไปถามไอ้คินที่จอดรถจักรยานอยู่ด้านหน้า
“กินเลยดีกว่าเข้าห้องจะได้นอนเลย วันนี้กูเพลียสมองเหี้ยๆ” พอไอ้คินมันสรุปแบบนั้น พวกเราทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปที่โรงอาหารกลาง

หลังจากทำเรื่องคืนจักรยานเรียบร้อย เราก็เดินเข้ามาในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยนักศึกษาจากหลากหลายคณะ เพราะเนื่องจากเวลานี้มันเป็นช่วงพีคที่ทุกคนต้องมารวมตัวกันด้วยความหิวโหย
“นั่นแอ้มนี่ ไปขอนั่งกับสาวบัญชีเลยแล้วกัน” หลังจากกวาดสายตามองไปรอบๆบริเวณแล้ว ไอ้หมอกมันก็มองไปเห็นสามสาวจากคณะบัญชีเข้าพอดี มันเลยเป็นหน่วยกล้าบ้าบิ่น รีบออกตัวประเคนเพื่อนให้กับหนึ่งในสาวสวยคณะบัญชีทันที

“พวกเราขอนั่งด้วยนะ” ไอ้หมอกมันว่าพลางยิ้มแป้น หลังจากนั้นนิ้งก็พยักหน้ารับพลางเชื้อเชิญให้นั่งอย่างยินดี ขณะที่ไอ้คินและแอ้มต่างก็พากันนิ่งเงียบและแอบยิ้มให้กันเบาๆ ผมก็เลยอดจะยิ้มตามไม่ได้ เพราะมันทำให้ผมนึกไปถึงช่วงที่ผมกับพี่เนย์แอบยิ้มให้กัน หลังจากมาเจอกันในครั้งที่สาม วันที่พี่ทีมกับพี่บอสพาสายรหัสไปเลี้ยงต้อนรับ
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารในวันนี้เป็นไปอย่างสนุกสนานมาก แต่เพราะผมมัวแต่กังวลเรื่องพ่อกับแม่ก็เลยไม่ได้ฟังคนอื่นๆเท่าไหร่ กว่าจะรู้ตัวอีกที ไอ้หมอกมันก็ต้องสะกิดแล้วสะกิดอีก เพราะพวกมันถามว่าจะไปเดินเล่นตลาดนัดในมอกับพวกสาวๆไหม ผมจึงได้แต่ยิ้มบางๆ แล้วปฏิเสธไปอย่างเกรงใจ เนื่องจากกลัวว่าตัวเองจะทำให้บรรยากาศกร่อยเสียเปล่าๆ ซึ่งไอ้หมอกกับไอ้คินมันก็เข้าใจเลยไม่เซ้าซี้อะไร มิหนำซ้ำพวกมันยังบีบไหล่ให้กำลังใจผมคนละทีสองที ก่อนจะเดินไปเก็บจานพร้อมสามสาว จากนั้นเราต่างก็แยกย้ายไปยังทิศทางที่เป็นเป้าหมายของตัวเอง

‘อย่าลืมทำแผลนะครับ’ ผมส่งข้อความแชทไปหาพี่เนย์ ระหว่างกำลังเดินกลับหอพัก
‘ครับ’ อีกฝ่ายตอบมาแค่นั้น แต่ก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้

ติ้ง!

‘แค่รันเป็นเด็กดี พ่อกับแม่ก็ไม่คิดจะเสียใจหรอกรู้ไหม ส่วนเรื่องไปรักษาถ้าหากว่าอยากจะทำแบบนั้นจริงๆ ไว้เราค่อยมาคุยรายละเอียดกันดีมั้ย?’ ทันทีที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วเห็นว่าเป็นข้อความจากแม่ ผมก็อ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ขณะที่น้ำตาก็ไหลออกมา จนผมต้องยกมือขึ้นปาดมันออกบ่อยๆ และเดินก้มหน้าเพื่อซ่อนไม่ให้ใครเห็น
‘รันอาจจะไม่รู้ แต่สังคมโรงแรมก็มีอะไรแบบนี้เยอะ พ่อเจอจนชินแล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกว่าผิดหวังอะไร ถ้าหากว่ารันจะชอบผู้ชายด้วยกัน ขอแค่รันเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนให้จบ ได้งานดีๆทำ มีชีวิตที่สุขสบาย นั่นคือสิ่งที่พ่อหวัง ส่วนเรื่องความรักพ่อกับแม่ก็ไม่ได้คิดจะยุ่งอยู่แล้ว เพราะพ่อกับแม่รู้ว่ารันเองก็เป็นคนที่ชอบปิดกั้นตัวเองพอสมควร ดังนั้นถ้าหากใครเขาทำลายกำแพงของรันได้ ก็แสดงว่ารันคิดดีแล้ว ส่วนเรื่องรักษาพ่อกับแม่ลองคุยกันแล้ว ถ้าหากเราอยากจะรักษาจริงๆ ก็ค่อยนัดมาคุยกัน เอาวันที่เราสะดวก พ่อกับแม่จะได้เตรียมลางานล่วงหน้า หรือไม่ระหว่างนี้ก็ลองฝึกพูดเอาก็ได้ เพราะพ่อเคยถามๆหมออยู่เหมือนกัน การฝึกอ่านออกเสียง มันจะช่วยให้เรามีพัฒนาการด้านการพูดได้ดี มันต้องอาศัยการฝึกและการอดทน ไม่ใช่ว่าทำแป้บๆก็เลิก แบบนั้นไม่มีทางสำเร็จหรอก’

‘ขอบคุณครับ ขอบคุณที่เข้าใจผม ส่วนเรื่องการรักษา ผมจะลองฝึกด้วยตัวเองก่อนก็ได้ครับ พอปิดเทอมก็ค่อยไปหาหมอ’
‘ดีจ๊ะ ระหว่างนี้แม่จะได้เตรียมหาข้อมูลเอาไว้รอเนอะ’ ผมยิ้มทั้งน้ำตา เมื่อแม่กับพ่อตอบผมมาแบบนั้น ทำเอาความอัดแน่นที่อยู่ในอกมาตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งวันนี้ มลายหายไปจนหมดสิ้น

‘พ่อครับ ผมบอกแม่แล้วว่าจะรักษาตอนปิดเทอม ระหว่างนี้ผมจะลองฝึกด้วยตัวเองดู และผมก็ขอบคุณที่พ่อเข้าใจผม รักพ่อนะครับ’ ผมทิ้งข้อความไว้ให้พ่ออ่าน เพราะคาดเดาเอาไว้ว่า พ่อน่าจะเริ่มปฏิบัติงานแล้ว
หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางที่กำลังจะเดินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับต่อสายไปหาพี่เนย์ โดยที่ผมก็ลืมไปว่าตัวเองไม่ควรใช้ฟังก์ชั่นนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายรับสายแล้ว และผมเองก็กำลังดีใจมากๆ
ดีใจจนร้องไห้ไปด้วย แล้วก็ยิ้มหน้าบานไปด้วยเลย

“พะ..อี้..”
“ว่าไง” พี่เนย์ทอดเสียงถามทันทีที่ผมเรียกเรียก

“แฮ่กๆ..พะอี้” ขณะที่พูดกับพี่เนย์ ผมก็ออกตัววิ่งจนสุดแรงเกิด จนกระทั่งมาถึงหน้ามหาลัย ถึงแม้ว่าจะหอบจนเหนื่อย แต่ผมก็ยังคงวิ่งไม่ยอมหยุด ส่วนพี่เนย์เองก็เหมือนจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก คาดว่าอีกฝ่ายคงจะกำลังงง เพราะร้อยวันพันปี ผมไม่เคยโทรหาพี่เขาเลย และไม่เคยพูดเยอะเท่าวันนี้มาก่อน เนื่องจากตลอดทาง ผมพยายามเรียกพี่เนย์สลับกับหอบหายใจด้วยความเหนื่อย
“เป็นอะไรหรือเปล่ารัน นี่อยู่ไหนเนี่ย ทำไมเหมือนได้ยินเสียงรถเต็มไปหมด” อีกฝ่ายถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ม..มอ” ผมวิ่งขึ้นบันไดสะพานลอยแบบไม่หยุดพัก เรียกได้ว่ามีแรงเท่าไหร่ ผมใช้ออกไปจนหมด เพียงเพื่อที่จะไปให้ถึงหอของพี่เนย์ให้เร็วที่สุด จากนั้นผมจะได้บอกข่าวดีนี้ให้กับอีกฝ่ายได้รู้ด้วยตัวเอง
“มอ? หมายถึงหน้ามอน่ะเหรอ? เราจะไปไหน” พี่เนย์ถามออกมาเป็นชุด

“ร..รอ” ผมบอกอีกฝ่าย จากนั้นก็รีบวางสาย และออกแรงวิ่งให้มากขึ้น แม้ว่าขาจะล้ามากเลยก็ตาม กระทั่งหอพักของพี่เนย์ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมถึงได้หยุดหายใจและหอบอย่างหนัก ก่อนจะกัดฟันวิ่งเข้าไปข้างใน และจ้ำพรวดขึ้นบันไดทีละสองขั้น โดยไม่กลัวเลยว่าจะพลาดท่าจนตกลงมาบาดเจ็บ

ก๊อกๆๆๆ

“เฮ้ย!” ทันทีที่พี่เนย์เปิดประตูออกมาต้อนรับ ผมก็กระโดดเข้าไปกอดอีกฝ่ายด้วยความดีใจจนฉุดไม่อยู่ พี่เนย์เลยถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะเกือบจะล้มคว่ำไปด้วยกัน
“งงนะเนี่ย” พี่เนย์ว่าพลางขำน้อยๆ ก่อนจะแงะผมออก แล้วจึงเบี่ยงตัวเองเล็กน้อยเพื่อให้ผมเข้ามาข้างในได้

“ด..ดู” ผมพูดพลางสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ และเข้าไปยังหน้าต่างแชทของแม่เป็นคนแรก จากนั้นก็ส่งให้พี่เนย์อ่าน ระหว่างนั้นผมก็ยืนพิงประตูพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ไม่อยากจะเชื่อเลย ดีใจว่ะ” หลังจากอ่านจบ พี่เนย์ก็พูดแสดงความคิดเห็นทั้งที่ใบหน้าของอีกฝ่ายมันเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ผมจึงกลั้นยิ้มและพยักหน้าตอบรับ ว่าผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ก่อนจะรับโทรศัพท์คืนกลับมา จากนั้นก็เปิดหน้าต่างแชทของพ่อให้พี่เนย์ดู 

“รันพูดซะพี่เขินเลยว่ะ รีบๆดึงไว้เลย เดี๋ยวจะลอยไปขึ้นติดอยู่บนเพดานซะก่อน” พี่เนย์ว่าพลางเกาท้ายทอยตัวเองแก้เก้อข้างนึง ส่วนอีกข้างก็ดึงมือของผมให้มากำชายเสื้อตัวเองไว้
“…” ผมแกะมือออกจากการกอบกุมของอีกฝ่าย จากนั้นผมก็ใช้ภาษามือเพื่อสื่อสาร โดยการการยืดตัวขึ้นและสะบัดมือทั้งสองข้างไปมาสามครั้งในระดับอก ก่อนจะเปลี่ยนมาชูนิ้วโป้งเหมือนท่าทางของคำว่าเยี่ยมที่คนทั่วไปชอบใช้กัน

“ด..ดี..จะ..ไอ” ผมพยายามเค้นเสียงเพื่อแปลความหมายของภาษามือที่ผมใช้ พลางยกยิ้มให้พี่เนย์จนตาปิด
“เหมือนกัน”

“อ่ะ” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจที่จู่ๆพี่เนย์ก็อุ้มผมแล้วเดินไปยังกลางห้อง ก่อนจะเหวี่ยงตัวผมหมุนไปรอบๆจนมึนหัวไปหมด ผมเลยต้องเกาะอีกฝ่ายไว้แน่น เพื่อกันไม่ให้ตกลงมาเจ็บตัว ขณะที่เจ้าตัวดูเหมือนจะสนุกเหลือเกิน เพราะเอาแต่หัวเราะไม่ยอมหยุด
ท่าทางว่าพี่เนย์คงจะลืมไปแล้วมั้งว่าตัวเองกำลังเจ็บเท้าอยู่

“โอ้ย!” นั่นไง คิดยังไม่ทันขาดคำ คนที่กำลังดีใจก็เสียหลัก ดีนะที่พากันมาล้มลงบนเตียง ไม่อย่างนั้นผมไม่อยากจะคิดเลยว่าจะได้แผลเพิ่มที่ตรงไหน

“เลือดออกเลยว่ะ ดีใจไปหน่อย” พี่เนย์กับผมค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นมานั่งดีๆ จากนั้นคนเจ็บเขาก็ยิ้มแห้ง พลางเดินโขยกเขยกไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลเพื่อมาเตรียมทำแผลอีกรอบ
“เดี๋ยวทำเอง” พี่เนย์ห้ามผมไว้ จากนั้นผมก็นั่งมองอีกฝ่ายทำแผลอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ แสดงออกถึงการบาดเจ็บที่เจ้าตัวบอกว่ามันเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติ เลยส่งผลให้การทำแผลเองก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติด้วยเช่นกัน

กระทั่งพี่เขาลุกขึ้นเอากล่องปฐมพยาบาลไปเก็บที่เดิม ผมก็มองตามแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายที่กำลังเดินไปยังห้องน้ำเพื่อล้างมือ แต่พออีกฝ่ายกำลังจะเดินออกมา ผมก็เปลี่ยนเป็นก้มลงมองฝ่ามือของตัวเอง เพราะหัวใจกำลังสั่นรัวอย่างบ้าคลั่ง ในเมื่อผมกำลังจะให้คำตอบอีกฝ่าย ในเรื่องที่พี่เขาเคยพูดไว้เมื่อวานนี้

“รัน” ผมที่กำลังทำใจ ก็ถึงกับสะดุ้งจนสุดตัว และยิ่งใจกระตุกไปกันใหญ่ เมื่อพี่เนย์เดินเข้ามานั่งยองๆ ตรงหน้า เลยทำให้เราสองคนต้องมองตากันในระยะประชิด
“พี่ก็ชอบรันมากๆเหมือนกัน”พี่อาคเนย์เขาจับมือผมไว้ จากนั้นพี่เขาก็ลูบหลังมือของผมเบาๆ พลางยกยิ้มอย่างอบอุ่น และมองเข้ามานัยน์ตาของผม จนผมนึกอยากจะเสสายตาไปมองทางอื่น แต่เพราะตัวเองได้ตกอยู่ในวังวนของอีกฝ่ายแล้ว ดังนั้นสิ่งที่คิดอยากจะทำก็เลยไม่อาจทำได้

“ช..ออบ..ช..ชอบ..พ..พี่..นะ..เอ” พอพี่เขาค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ผมก็ตัดสินใจบอกความรู้สึกกลับไปบ้าง ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับชะงัก และหยุดค้างใบหน้าเอาไว้ในระยะที่ลมหายใจลอดผ่าน
ขณะที่ผมกำลังนึกโทษตัวเองว่าการทำแบบนี้ มันเหมือนกับการฆ่าตัวตายทางอ้อมชัดๆ

“ทำไมรันถึงชอบทำให้พี่ตกหลุมรักซ้ำๆนักนะ” พี่เนย์พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็เคลื่อนใบหน้าเข้ามาแนบชิดกับใบหน้าของผม ส่งผลให้ริมฝีปากของเราแตะสัมผัสกันบางเบา จากนั้นพี่เนย์ก็เริ่มขบเม้มริมฝีปากล่างอย่างเชื่องช้า ก่อนจะสับเปลี่ยนไปเคล้าคลอริมฝีปากบนเป็นบางเวลา ขณะที่ผมผู้ซึ่งกำลังเผลอไผลไปกับรสสัมผัสที่อีกฝ่ายชักจูง ก็ค่อยๆเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มอบรสจูบที่ลึกซึ้งขึ้น ไม่นานจากนั้นเรียวลิ้นของเรา ต่างก็เกี่ยวกระหวัดกันแน่น แม้ว่าผมจะไม่เก่งในเรื่องแบบนี้ แต่พี่เนย์ก็สามารถชักนำให้ผมกล้าที่จะตอบสนอง โดยที่ไม่มีเวลาให้รู้สึกเก้อเขิน และกว่าจะรู้ตัวแผ่นหลังของผมก็แนบสนิทไปกับเตียงนอนกว้าง ขณะที่พี่อาคเนย์ก็คร่อมทับอยู่เบื้องบนด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม จนผมอดจะยิ้มตามอีกฝ่ายไม่ได้เหมือนทุกที
และแล้วบทจูบของเราก็ดำเนินขึ้นใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งเราต่างก็ตักตวงในรสสัมผัสของกันและกันจนเพียงพอ

“รันพร้อมจะตื่นขึ้นมาเจอกันในทุกวันๆแล้วใช่ไหม?” พี่เนย์ถาม พลางทิ้งตัวลงนอนบนพื้นที่ว่างๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวผม ก่อนจะพลิกตัวตะแคงข้างเพื่อหันหน้าเข้าหากัน
“พะ..อ้อม..” ผมขยับตัวให้หันหน้าเข้าหาพี่เนย์ พลางพยายามเค้นเสียงตอบด้วยความเก้อเขินไม่แพ้กัน

“…” พี่เนย์พยักหน้ารับ พลางเอาปลายนิ้วปัดปลายจมูกของตัวเองแก้เก้อ ส่วนผมก็ได้แต่มองปลายคางของอีกฝ่ายแทน เพราะตอนนี้บรรยากาศรอบๆตัวเรา มันดูเหมือนจะมีแต่ความเก้อเขินเต็มไปหมด
“งั้น.. ฝันดีนะ”

“…” ผมไม่ตอบแต่กลับใช้ภาษามือในการสื่อสาร โดยการเอานิ้วโป้งขวาวางแนบกับนิ้วชี้ข้างเดียวกัน ขณะที่อีกสี่นิ้วที่เหลือก็ต้องแนบชิดติดกัน ส่วนมือซ้ายให้ทำเหมือนกันแต่ปลายนิ้วทั้งสี่ต้องวางเอาไว้บนหลังมือข้างซ้าย ก่อนจะแบมือทั้งสองข้างประกบกันและเอียงคอไปทางซ้ายจนเหมือนกับท่าทางของการนอนพร้อมกับหลับตาไปด้วย จากนั้นก็เอาปลายนิ้วชี้ข้างขวาแตะเข้าที่ขมับขวาและหมุนวนเป็นเกลียวขึ้นในอากาศ ก่อนจะเปลี่ยนมาชูนิ้วโป้ง ที่เป็นสัญลักษณ์ของคำว่าเยี่ยมตามที่คนทั่วไปใช้กัน

ทำเอาพี่เนย์หลุดหัวเราะและยกยิ้มให้กับการตอบรับด้วยภาษามือ ที่เจ้าตัวเคยพูดแล้วพูดอีกว่า พี่เขามักจะแพ้ทางให้ผมทุกครั้ง ที่สื่อสารกันด้วยภาษามือ อันเป็นอวัจนภาษาอย่างหนึ่งที่งดงามในตัวของมัน
ซึ่งผมก็ไม่ลืม ว่าการพูดก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ที่สามารถทำให้พี่เนย์แพ้ทางได้เช่นกัน

“ฝะ..อัน..ดะ..ดี”



♥ THE END ♥


-----------------------------------------------------------------
[edit แก้คำผิดและคำเกิน / กล่องปฐมพยายาม > กล่องปฐมพยาบาล / ตัดคำเบิ้ล 'กระหวัด' ออก / 27/01/2018  ฟ้าแล่บ > ฟ้าแลบ]
ในที่สุดฟอลอินยูก็เดินทางมาถึงตอนจบแล้วเนอะ เราใช้เวลาแต่งเรื่องนี้แบบจริงจังตั้งแต่ช่วงสิงหาคมจนกระทั่งทยอยลงเว็บ ก็หลายเดือนอยู่เหมือนกัน แต่ถือว่าจบเร็วที่สุดเท่าที่เคยเขียนแล้วค่ะ  แต่ตอนจบของเราจะออกแนวๆ ตรงกับคอนเซ็ปของชื่อเรื่องค่ะ มันเลยดูเหมือนจะคืบหน้าก็ไม่คืบหน้า แต่เราสามารถติดตามพัฒนาการกันต่อได้ในสเปค่ะ ต้องอธิบายก่อนว่า แนวการเขียนของเราจะเป็นสเปในสเป ประมาณว่า End > Real End > Final ประมาณนี้ค่ะ สำหรับสเปที่กำลังเขียนอยู่ในตอนนี้ จะเป็นช่วงรันอยู่ปีสอง และ พี่เนย์อยู่ปี 4 นะคะ จะไม่ยาวถึงขนาด 20 ตอน อาจจะสักประมาณ 10 ตอน หรือน้อยกว่านั้น แต่ในส่วนนี้ทุกคนจะได้เห็นรันฝึกพูด และมีพี่เนย์คอยช่วยเหลืออยู่ เราอาจจะลงได้ช้านะคะในส่วนของสเป ยังแต่งไม่ถึงไหนเลยจ้า ได้มาสองแผ่นถ้วน 555 เพราะมัวแต่ไปปั่นฟิคอยู่ แต่ฟิคจบแล้ว เราจะมาทุ่มให้สเปของเรื่องนี้ต่อค่ะ ขอเวลาหาข้อมูลเพิ่มอีกนิดเนอะ ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากเลยค่ะ และขอบคุณทุกคนที่รีวิวให้เราด้วยค่ะ ทุกคนฉุดเราจากการคิดจะหยุดเขียนนิยายหรือฟิคได้จริงๆ เราเคยพยายามแล้วแต่ไม่ค่อยรอด ส่วนที่รอดก็เพราะเรารักคู่ที่เราเขียน แต่สุดท้ายเราก็ยังตันอยู่หลายเดือน พอมาเขียนเรื่องนี้แล้วทุกคนชอบ เราเลยปั่นต่อได้ตั้งแต่นิยายยันฟิคเลยค่ะ สำหรับเรื่องนี้เรากังวลเรื่องข้อมูลมากเลยค่ะ เพราะเราหาข้อมูลจากพี่กูเกิ้ลทั้งหมดผสมกับมโนด้วยนิดหน่อย แต่พอเห็นคนบอกว่าข้อมูลหามาได้ดีและตรงกับความเป็นจริง เราเองก็โล่งใจค่ะ ในส่วนสเป เราอาจจะไปหาข้อมูลเพิ่มจากคนที่เรียนสาขานี้จริงๆ เพราะเราเจอตัวแล้ว 5555

ปล. เห็นมีคนอ่านชอบเพลง fall in you ของคยูเหมือนกัน เราก็ดีใจค่ะ เพลงเพราะมากและเป็นเพลงที่ทำให้เราคิดจะเขียนนิยายหรือฟิคต่อไปด้วยค่ะ เพราะเราเคยมีความคิดจะหยุดเขียนนิยายหรือฟิคแบบถาวร T[]T

ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 19:40:20 โดย Chomin »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ yanaanay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ดีงามม~~~   o13 :katai2-1: :pig4:

ออฟไลน์ Pisoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกมากเลยค่ะ น้องรันน่ารักมากกกก ชอบที่มีอธิบายภาษามือด้วยค่ะ อ่านแล้วทำลองทำตามด้วย ^^
เป็นกำลังให้เรื่องต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มันฟูๆในอกทุกครั้งที่อ่านเรื่องนี้ เรืรองนี้ถึงจะไม่ใช่นิยายที่ดีที่สุดสำหรับดิฉัน แต่มันสร้างความประทับใจให้หลายเรื่องทีเดียว  o13

ออฟไลน์ jazumine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากเลยะ จะรอสเปนะคะ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ฮือ เพิ่งเห็นและตามมาอ่านค่ะ รวดเดียวจบเลย
หลงน้องรันมากเลย พี่เนย์ก็งานดีมาก
ชอบตอนที่น้องพยายามพูดมากเลยค่ะ เพราะรู้เลยว่าน้องเปิดใจจริงๆกับคนคนนี้
เคยได้ไปทำอาสาสมัครเกี่ยวกับภาษามือ ก็รู้เลยว่ายากมากที่จะสื่อกันได้หากเราไม่รู้ภาษามือเลย แต่มันก็สื่อกันได้ค่ะ
ได้มีโอกาสร้องเพลงเป็นภาษามือให้น้องตอนทำอาสาเหมือนกัน อ่านแล้วนึกถึงช่วงเวลานั้นเลย มันอิ่มเอมใจอ่ะ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้นะคะ อ่านแล้วมีความสุขมากๆค่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เป็นนิยายดีๆอีกเรื่องนึงเลย ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ดีใจที่พ่อแม่ของน้องรันไม่ว่าอะไรที่คบกับพี่เนย์

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ จะรอติดตามตอนสเป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 1


‘รุ่นพี่’ คือสถานะที่ครั้งหนึ่ง ผมเคยต้องให้คำจำกัดความกับพี่ปีสองและปีสาม แต่ในปีนี้ ปีที่ผมเลื่อนระดับจาก ‘รุ่นน้องปีหนึ่ง’ กลายมาเป็น ‘รุ่นพี่ปีสอง’ ก็อดทำให้รู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ เพราะตลอดมา ผมคือลูกคนเดียวของครอบครัว อีกทั้งยังไม่เคยมีสังคมที่จะต้องผูกพันกับคำนิยามเหล่านี้ แต่พอผมได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด ผมกลับมีสังคมที่แตกต่างออกไปจากเดิม
เพราะผมมีทั้งสังคมของเพื่อนร่วมสาขา รุ่นพี่ร่วมสาขา รุ่นพี่ต่างสาขา และเพื่อนต่างสาขาที่อาจจะยังมีไม่มาก แต่ก็เป็นเพื่อนที่ผมให้การยอมรับมากที่สุดในชีวิต

อีกทั้งช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ก็ได้เกิดเรื่องราวมากมายขึ้นในชีวิต ซึ่งเรื่องราวที่ว่านั้น ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ดี เพียงแต่มันดีมาก จนผมรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่า หลังจากที่พ่อกับแม่ให้การยอมรับความรักของผมในครั้งนี้ ผมก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่กับพี่เนย์ แต่อาจจะไม่ใช่การย้ายอย่างเป็นทางการนัก เพราะว่าผมก็ยังไปๆมาๆระหว่างหอพี่เนย์กับหอในจนถึงตอนนี้ ซึ่งสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าผมไม่อยากจะทำตัวห่างเหินกับเพื่อนทั้งสองคนที่ดีกับผมมาก ดีจนผมไม่รู้ว่า ชาตินี้ผมจะมีเพื่อนอย่างพวกมันได้อีกหรือเปล่า และก็โชคดีพี่เนย์เข้าใจ พี่เขาถึงได้ให้ผมกลับไปค้างที่หอใน ตอนช่วงวันหยุด ส่วนวันไหนที่มีเรียน เราสองคนก็จะอยู่ด้วยกัน
สำหรับการใช้ชีวิตร่วมกันในช่วงแรกๆ ผมเองก็รู้สึกขัดเขิน เพราะมันทำให้ผมต้องเผชิญหน้ากับการที่ต้องมาเห็นพี่เนย์เดินโทงๆ โดยพันผ้าเช็ดตัวปิดบังท่อนล่างเอาไว้แค่ผืนเดียว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชาย แต่ที่มันไม่ปกติ ก็เพราะผมไม่เคยเห็นพี่เนย์ในรูปลักษณ์แบบนี้ อีกทั้งเจ้าตัวก็ยังเป็นคนพิเศษ ทำเอาใบหน้าของผมมันร้อนเห่อไปหมด ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะจับสังเกตได้ เพราะเจ้าตัวเขาเล่นเดินว่อนไปทั่วห้อง หรือไม่ก็ไปยืนเล่นกับเจ้าเขี้ยวกุดซะก่อน คล้ายกับรอให้เนื้อตัวมันแห้งไปเองตามธรรมชาติ ถึงค่อยจะได้ฤกษ์ไปแต่งตัว
ลองถ้าเป็นไอ้หมอกไอ้คินมันทำแบบนี้สิ ผมนี่นอนตีพุงสบายใจไปแล้ว

“เดี๋ยวรันอย่าเพิ่งนอน” พี่เนย์ที่เพิ่งจะเดินออกจากห้องน้ำ รีบปาดเข้ามาคว้าแขนผมที่กำลังจะล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ต้องเปียกปอนเพราะละอองน้ำจากอีกฝ่าย
“หือ?” ผมลุกขึ้นนั่ง พลางส่งเสียงถามในลำคอ โดยเป็นการทำตามคำแนะนำจากคุณหมอที่ผมได้ไปหาในช่วงปิดเทอม ซึ่งวันนั้นพี่เนย์เองก็มีโอกาสได้ไปให้กำลังใจผมด้วย เพราะตอนกลับบ้านในช่วงปิดเทอมสุดท้ายของการเป็นเฟรชชี่ พี่เนย์เขาก็อาสาจะขับรถไปส่งผมที่บ้าน ผมจึงต้องโทรไปรายงานคุณแม่ เพราะปกติท่านจะมารับผมกลับบ้านเองตลอด แต่ปรากฏว่าแม่อนุญาตแบบที่ผมไม่ต้องขอร้องอ้อนวอนอะไรเลย ซึ่งมันต่างกับตอนที่ผมขอนั่งรถตู้มาที่มหาลัยด้วยตัวเองเอามากๆ

มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมได้เจอกับคุณพ่อคุณแม่ของพี่เนย์ เพราะอีกฝ่ายเขาขอแวะเอาของเข้าไปเก็บที่บ้านก่อน ซึ่งทันทีที่เจอคุณพ่อกับคุณแม่ พี่เนย์เขาก็รีบเดินเข้าไปจูบปากท่านทั้งสองอย่างที่เคยพูดไว้ ขณะที่คุณแม่ก็หอมลูกชายจนแก้มย้วย
ทำเอาผมแอบยิ้มจนปวดแก้มไปหมด
เพราะว่า ‘พี่อาคเนย์’ แฟนของผม เป็นผู้ชายที่มีนิสัยน่ารักเอามากๆ

“หมอบอกว่ามึงต้องเคลื่อนไหวอวัยวะที่เกี่ยวกับการพูดทุกวันไม่ใช่เหรอ?”
“อื้อ” ผมพยักหน้าตอบ เพราะผมลองอ้าปาก ยิงฟัน ทำปากจู๋ และเผยอปาก ที่หน้ากระจกในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว
ไม่ได้เกเร และไม่ได้ลืมอย่างที่อีกฝ่ายกำลังตั้งท่าจะกล่าวหากันแต่อย่างใด

“มึงโกหกกูป่ะ ตั้งแต่เปิดเรียนมากูยังไม่เคยเห็นมึงทำตามที่หมอบอกเลย กูว่าจะบ่นมึงหลายทีละ แต่งานกูแม่งก็วุ่นตั้งแต่ขึ้นปีสี่” พี่เนย์หรี่ตามอง พลางเดินเลี่ยงไปแต่งตัวให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่วายจะบ่นผมต่อ
“ไม่” พออีกฝ่ายทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอน ผมก็ส่ายหน้าพลางพูดปฏิเสธ โดยที่เดี๋ยวนี้ผมไม่ต้องเค้นเสียงมากเท่าเมื่อก่อน อาจเพราะช่วงภาคเรียนที่สองผมได้ลองฝึกอ่านด้วยตัวเองบ้าง แล้วพอถึงช่วงปิดเทอม ผมก็ได้มีโอกาสไปหาคุณหมอและได้รับคำแนะนำมาว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะช่วยให้การออกเสียงพูดเป็นไปอย่างง่ายดาย ซึ่งในช่วงนั้นผมก็ลองฝึกการเคลื่อนไหวอวัยวะสำหรับการพูดอย่าง ‘ปาก’ พร้อมกับอ่านออกเสียงข้อความจากหนังสือเล่มเดิมที่ผมเคยซื้อตั้งแต่ปิดเทอมช่วงภาคเรียนที่หนึ่ง

“มึงอายกูเหรอ ถึงไม่ยอมฝึกให้กูเห็น?” เจ้าของคำถามเขายิ้มมุมปาก คล้ายกับถูกใจในเหตุผลที่ผมต้องแอบไปฝึกการเคลื่อนไหวอวัยวะสำคัญสำหรับการพูดอยู่คนเดียวในห้องน้ำ 
“อายทำไมวะ ทำตามที่หมอบอกไม่เห็นจะมีอะไรให้มึงต้องอายเลย” พี่เนย์ว่าพลางโยกศีรษะของผมไปมา จนผมเริ่มรู้สึกเหมือนน้ำกำลังจะท่วมปาก เพราะสาเหตุที่ทำให้ผมอาย มันไม่ใช่การฝึกอ้าปาก ยิงฟัน หรือเผยอปาก
แต่มันคือการทำปากจู๋ ที่มันทำเอาผมไม่กล้าไปฝึกในที่สาธารณะอีกเลย
เพราะแค่ไอ้หมอกไอ้คินมันบังเอิญมาเห็น แม่งก็หัวเราะจนผมหน้าชาจะแย่

“ไอ้..หมอก..ไอ้..คิน..มัน..บ..บอก..ต..ตลก” ผมพูดอย่างเชื่องช้า แต่มันก็ฟังดูเป็นประโยคมากที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะพูดได้ ทั้งนี้คงต้องขอบคุณพี่เอ้ด้วยส่วนนึง เพราะช่วงเทอมสองเธอเป็นคนสรรหาหนังสือมาให้ผมลองฝึกอ่าน ทันทีที่ทราบข่าวว่าผมกำลังอยู่ในขั้นตอนของการสู้ชีวิตเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนพี่เนย์ก็มักจะชอบพาผมออกไปนั่งร้านกาแฟนอกมหาลัย เพื่อให้ผมไม่รู้สึกเบื่อในการฝึกอ่านหนังสือ อีกทั้งพี่เขายังไม่รู้สึกอาย เวลาที่ผมอ่านออกเสียงเบาๆ แล้วเสียงที่ออกมานั้น มันฟังไม่ได้ศัพท์แม้แต่นิด
“เดี๋ยวกูยืมมอไซค์ไอ้ทีมแล้วแว๊นไปตบกะโหลกพวกมันเลยดีมั้ย” พี่เนย์ทำท่าจะเดินออกไปจากห้องจริงๆ จนผมอดจะหัวเราะและส่ายหน้าเพื่อห้ามปรามไม่ได้

“ม..มัน..ก..แกล้ง” ผมแก้ตัวแทนเพื่อน พลางลุกไปลากแขนพี่เนย์ให้เดินกลับมานั่งบนเตียงเหมือนเดิม เพราะพวกมันไม่ได้มีเจตนาจะล้อเลียนผมเลย มันก็แค่แกล้งผมเล่น เพื่อไม่ให้ผมเครียดเท่านั้น
ซึ่งพวกมันคงไม่รู้ว่าผมไม่ได้เครียดอะไร ในเมื่อผมตั้งใจเอาไว้แล้ว ว่าผมจะพยายามเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้สุดความสามารถ

นั่นไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง แต่มันเพื่อความสุขของพ่อกับแม่ ผมถึงต้องยอมรับบทหนักเป็นเท่าตัว เพราะแค่เรื่องเรียนก็หนักมากพออยู่แล้ว ไหนผมยังจะต้องแบ่งเวลามาเพื่อฝึกพูด จากการอ่านหนังสืออีก แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับพี่เนย์ที่ตอนนี้ก็อยู่ตั้งปีสี่แล้ว แถมอีกแค่ไม่เท่าไหร่พี่เขาก็จะกลายเป็นบัณฑิตที่น่าภาคภูมิใจ ซึ่งมันก็ส่งผลให้รายงานยิบย่อยต่างๆ ประเดประดังเข้ามา แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่วายจะคอยแอบสังเกตพฤติกรรมของผมอยู่ตลอด เพียงแต่เจ้าตัวแค่ไม่ได้พูดมันออกมาเท่านั้น

“เอาเถอะ เรื่องการฝึกเคลื่อนไหวปากอะไรนั่น กูจะถือซะว่ามึงรู้จักหน้าที่ของตัวเองดี แต่กับการฝึกอ่านออกเสียง ถึงมึงจะฝึกคนเดียวไปแล้ว หรือก่อนหน้านั้นมึงจะไปฝึกอ่านให้ใครฟังก็ตามเถอะ กูอยากให้มึงลองฝึกอีกครั้งในตอนที่มีกูอยู่ด้วย กูจะได้คอยฟังว่ามึงออกเสียงเป็นยังไง ส่วนคำไหนออกเสียงยาก กูจะได้ลองอ่านให้มึงฟังสักรอบนึงก่อน” ทันทีที่พี่เนย์พูดออกมาแบบนั้น ผมก็ได้แต่ยิ้มพลางพยักหน้ารับ เพราะส่วนนึงคงต้องบอกเลยว่า ผมคาดไม่ถึง ว่าพี่เขาจะใส่ใจในรายละเอียดมากขนาดนี้
ในเมื่อที่ผ่านมาไม่ว่าผมจะลองอ่านให้พ่อกับแม่ฟัง หรือแม้กระทั่งไอ้หมอกไอ้คินเองก็ตาม ทุกคนจะทำเพียงแค่นั่งรับฟังเพียงเงียบๆอย่างเอาใจช่วยผมเท่านั้น แต่กับพี่เนย์ พี่เขามองลึกลงไปในส่วนที่ใครหลายคงต่างมองข้าม
ซึ่งก็สมกับนิสัยของผู้ชายที่ชอบเอาจริงเอาจังอย่าง ‘พี่อาคเนย์’ เขานั่นแหละ

“เสิร์จหาเรื่องที่มึงสนใจแล้วอ่านให้กูฟังดิ” พี่เนย์เขาลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมาส่งให้ผม จากนั้นเจ้าตัวก็ทิ้งตัวลงนอน โดยการเอามือสอดเข้าใต้ศีรษะ แต่แล้วคนข้างๆก็ต้องเอื้อมมือหนึ่งไปตวัดผ้าห่มให้มาคลุมตัวเองจนมิด พลางหลับตาคล้ายกับรอฟังเรื่องราวที่ผมให้ความสนใจอย่างมีสมาธิ
“ระ..บบ..ก..การ..ค้า..น..ใน..สะ..สมัย..อี..ยิปต์..โบ..ราณ” ผมเข้าเว็บไซต์หนึ่งที่มักจะเข้าบ่อยๆ ตอนช่วงปิดเทอม เพราะหลังจากที่ฝึกอ่านหนังสือเรื่อง ‘การเดินทางของชิ้นส่วนที่หายไป’ ได้ประมาณสิบกว่ารอบ ผมก็เริ่มรู้สึกเบื่อ เลยคิดจะหาบทความหรืออะไรสักอย่างที่น่าสนใจจากในอินเตอร์เน็ต ซึ่งผมก็ได้ไปเจอเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘อารยธรรมของอียิปต์โบราณ’ จากนั้นกิจกรรมการฝึกอ่านตามที่คุณหมอสั่ง ก็กลายเป็นเพียงแค่การหาข้อมูลในเรื่องราวที่ผมชอบ จนผมลืมไปเลยว่าทั้งหมดที่ผมกำลังทำอยู่ มันคือขั้นตอนของการรักษา
นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผม สามารถอ่านเป็นคำๆได้เร็วขึ้น   
เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง หากอาศัยความชอบเป็นแรงขับเคลื่อน ผลที่ดีก็มักจะตามมาเสมอ

“ส..สมัย..ก่อน..ไม่..มี..การ..ช..ใช้..เงิน..ระ..เหรีย..หรือ..ธ..ธน..บัตร..” ผมอ่านออกเสียงด้วยความไม่คล่องปากอยู่มาก แต่ผมก็พยายามที่จะอ่านให้เป็นประโยคให้ได้มากที่สุด แต่บางคำที่มันอ่านออกเสียงยากๆ ผมก็เผลอตกหลุมพรางของมันจนได้
“หมายถึงเหรียญหรือเปล่า” คนที่กำลังนอนหลับตารีบพูดแทรกขึ้น เมื่อเจอคำบางคำที่ผมออกเสียงไม่ถูกต้อง

“ช..ใช่”
“เหรียญ” พี่เนย์กระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง พลางหันหน้าเข้าหาผม พร้อมกับชี้ไปที่ริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะพูดคำๆนั้นที่ผมออกเสียงไม่ถูก

“ดูปากกู แล้วมึงลองพูดตาม” คุณครูจำเป็นเขาออกคำสั่ง ก่อนจะเริ่มพูดคำว่า ‘เหรียญ’ อีกครั้ง แต่ผมกลับเป็นนักเรียนที่ไม่ดี เพราะดันเผลอไปแอบมองริมฝีปากของคุณครู พร้อมกับคิดไปถึงเรื่องอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง อย่างเช่นว่า..
เราสองคน ไม่ได้จูบกันมานานแค่ไหนแล้ว?
ครั้งล่าสุดก็เมื่อตอนที่ฟ้ามันผ่า แล้วผมก็ยกมือขึ้นมาปิดหูคนที่กำลังนอนคุมโปง อยู่ท่ามกลางความมืดมิดหรือเปล่า..

ป๊อก!

“คิดอะไร?” คุณครูสุดโหดเขาดีดหน้าผากผมอย่างแรง เมื่อนักเรียนในความดูแลเริ่มจะเกเร ทำเอาผมที่ถูกทำร้ายร่างกาย ได้แต่ลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธแบบเนียนๆ
ซึ่งมันก็คงจะเนียน ถ้าหากใบหน้าของผม มันไม่กลายเป็นสีแดงระเรื่อ

“มึงคิดทะลึ่งกับกูใช่มั้ยเนี่ย ฮึ?” พี่เนย์ถามเสียงเข้ม จากนั้นวงแขนแข็งแรงก็เคลื่อนเข้ามาล็อคคอผม จนผมจำต้องโน้มใบหน้าเข้าไปฝังกับแผงอกของอีกฝ่าย

ตึก ตึก ตึก
ตึก ตึก ตึก ตึก

เสียงหัวใจของพี่เนย์ ยังคงดังก้องในจังหวะที่คุ้นเคย ทำเอาผมได้แต่แอบลอบยิ้ม แม้ว่าจะกำลังถูกคุณครูจำเป็นดุอยู่ก็ตาม เพราะหัวใจที่มันเต้นระรัวแบบนั้น มันเป็นเสียงเดียวกันกับจังหวะการเต้นของหัวใจผม
เพราะตั้งแต่วันนั้น จนกระทั่งวันนี้ จังหวะการเต้นของหัวใจของเรา มันไม่เคยเปลี่ยนไป

“ตั้งใจดิวะ ไอ้นี่หนิ” พี่เนย์ดุ พลางเขย่าศีรษะผมราวกับเจ้าตัวกำลังมันเขี้ยว ที่ลูกศิษย์คนนี้ทำตัวดื้อดึง เพราะขนาดถูกดุ ก็ยังไม่รู้จักสำนึก
“เอาใหม่ วันนี้พูดคำนี้ไม่ได้ กูไม่ให้มึงนอนจริงๆ เรียนเช้าก็เรื่องของมึง” พี่เนย์ทำสีหน้าจริงจัง จนผมอดไม่ได้ที่จะแอบหยิกเอวของตัวเอง เพื่อเป็นการลงโทษที่บังอาจเกเรกับคุณครูพิเศษคนนี้

“เหรียญ” พี่เนย์พูดโดยการขยับปากให้ช้าๆและชัดๆ เพื่อให้ผมสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของอวัยวะสำหรับการพูดและจังหวะของการกระดกลิ้น
“ระ..เรียน..เหรียญ?” ผมขยับปากพูดตามพี่เนย์ ขณะที่ดวงตาก็มองจ้องริมฝีปากคู่นั้น โดยที่ในหัวก็โฟกัสไปที่เรื่องของการฝึกฝน กระทั่งเสียงที่เปล่งออกมา มันเริ่มคล้ายคลึงกับเสียงที่คุณครูจำเป็นเขาพูด ผมก็เลื่อนสายตาขึ้นไปมองใบหน้าคนสอน ที่ดูเอาจริงเอาจังและทุ่มเท

“อืม” พี่เนย์พึมพำตอบแค่ในลำคอ จากนั้นพี่เขาก็ล้มตัวลงนอนในท่าเดิม ผมจึงเริ่มอ่านบทความเกี่ยวกับ ‘ระบบการค้าในสมัยอียิปต์โบราณ’ อีกครั้ง
“สมัย..ก่อน..ไม่มี..การ..ใช้..เหรียญ..หรือ..ธน..บัตร..แต่..จะ..ใช้..เป็น..การ..แลก..ปะ..เปลี่ยน..สิ่ง..ของ..หรือ..ไม่..ก็..ค้า..ขาย..กันโดย..ใช้..ทอง..คำ” ครั้งนี้ผมตั้งใจอ่านออกเสียงมากขึ้น จึงทำให้ทุกคำที่ผมพูดออกมานั้น ดูเป็นคำที่ฟังแล้วจับใจความจนเป็นรูปประโยคได้ เพียงแต่ผมไม่สามารถอ่านควบทีเดียวทั้งประโยค
ซึ่งขณะที่ผมกำลังอ่านคำว่า ‘เหรียญ’ อีกครั้ง ผมก็เสสายตากลับไปมองยังคุณครูจำเป็น ที่กำลังนอนหลับตาฟังในสิ่งที่ผมอ่าน อย่างตั้งใจ

“สะ..กุล..เงิน..ดี..เบน..จึง..เป็น..นะ..หน่วย..ของ..น้ำ..หนัก..ไม่..ใช่..หน่วย..ของ..เงิน” ผมอ่านต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่สายตาก็คอยลอบมองคุณครูที่กำลังนอนหลับตา เพื่อตั้งใจฟังในสิ่งที่ผมกำลังฝึกอ่านอยู่เป็นระยะ ซึ่งการแอบมองในครั้งนี้ มันก็ทำเอาผมต้องหลุบสายตากลับมายังตัวหนังสือ ในหน้าจอสี่เหลี่ยมตามเดิม เพราะว่าพี่อาคเนย์ที่เคยนอนหลับตา เพื่อฟังเสียงพูดของผม เวลานี้ เขากำลังนอนลืมตาและอมยิ้มไปกับเรื่องราวที่ผมกำลังอ่าน
โดยที่ผมก็รู้ว่ารอยยิ้มพวกนั้น มันไม่ได้เกิดจากการที่ พี่เขาให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวของอียิปต์โบราณเหมือนกับผม เพราะรอยยิ้มอบอุ่นแบบนั้น แท้ที่จริงมันมีไว้ให้กับ ความพยายามของผมที่ทำให้อีกฝ่ายภูมิใจ?

“ทำ..ให้..การ..แลก..เปลี่ยน..สิ่ง..ของ..กับ..ต่าง..เมือง..ต้อง..มี..การ..ชะ..ชั่ง..น้ำ..หนัก..ทอง..คำ..เป็น..หน่วย..ดี..เบน” กระทั่งผมอ่านจบไปเพียงเสี้ยวหนึ่ง ผมก็หันกลับไปมองใครบางคน ที่ตอนนี้ได้เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว อีกทั้งยังแอบกรนเบาๆให้ได้ยินอีกด้วย ผมจึงเลิกฝึกอ่าน และลุกขึ้นไปปิดไฟ ก่อนจะกลับมาซุกตัวลงนอนภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
พร้อมกับเอื้อนเอ่ยเพียงเบาๆให้เป็นประโยค ที่ใช้เวลาในการฝึกตอนช่วงปิดเทอมอย่างยาวนาน..

“ฝันดีครับ..พี่อาคเนย์”

--------------------------------------------------------------------
[edit แก้คำผิด หมั่นเขี้ยว > มันเขี้ยว]
ขอสอบถามนิดนึงค่ะ คือว่าช่วงที่รันพูด เราควรเขียนให้เป็นประโยคไปเลย หรือใส่จุดแบบนี้ดี
ตามความคิดเรา เราจะใส่จุดแค่ช่วงแรก แต่ช่วงหลังๆ เราจะขยายความด้วยการบรรยายแทนว่ารันอ่านได้ดีในระดับไหน
เพราะเราคิดว่าถ้าใส่จุดน่าจะยากทั้งกับคนอ่านและคนเขียน

อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 1
ไอคุปต์พันทาวน์. “สกุลเงินในสมัยโบราณ”. (Detectiveoat13). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :  iyakoop.pantown.com.  [27 พ.ย. 2551].
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 19:45:26 โดย Chomin »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
ชอบบบบ  :-[

ปล. ประโยคที่น้องรันพูด ส่วนตัวคิดว่าตอนที่น้องยังฝึกพูดอยู่ใส่จุดแบบนี้มันอ่านแล้วก็จะเข้าใจไปในตัวว่าน้องยังพูดไม่คล่องค่ะ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 2


“เย็นนี้ไอ้เจ๋งมันนัดจับสายรหัสใช่ป่ะ?” ไอ้คินถามขึ้นขณะกำลังเก็บข้าวของ เพื่อเตรียมตัวไปกินข้าวกลางวัน หลังจากเลิกเรียนวิชาจรรยาบรรณล่าม
“ใช่” ผมตอบพลางพยักหน้า ขณะที่กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋าใบเก่ง ส่วนไอ้หมอกมันออกไปรอตรงหน้าห้องแล้ว เพราะมันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน เห็นว่าแอร์เย็นจัด ระบบขับถ่ายเลยทำงานดีไปหน่อย

“เผลอแป๊บเดียวก็กลายเป็นรุ่นพี่กับเขาแล้วว่ะ” ไอ้คินเดินแทรกตัวออกจากแถวเก้าอี้ ขณะที่ปากก็พูดกับผมที่กำลังเดินตามกัน
“นั่น..ดิ”

“ว่า?” ผมหันไปถามเพื่อนสักคนหนึ่งที่เดินเข้ามาสะกิดเรียก ก่อนที่ผมกับไอ้คินจะเดินออกไปจากห้องเรียน จากนั้น ‘ตั้ม’ เพื่อนร่วมรุ่นที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ก็ใช้ภาษามือในการสื่อสาร ผมที่ยังไม่ค่อยจะคล่องในเรื่องนี้มากนัก ก็ต้องรีบหันไปดึงชายเสื้อไอ้คินอย่างแรง จนมันแทบจะเซถลามาล้มใส่ ดีที่มันทรงตัวได้ทัน ไม่อย่างนั้นเราทั้งหมดอาจจะหน้าคว่ำลงตรงนี้
“เชี่ยเถอะ มึงช่วยเรียกกูด้วยท่าทางปกติสักทีนะ หน้ากูจะแหกก็เพราะมึงมาหลายทีแล้ว”

“ฟัง” ผมพูดพลางบุ้ยปากไปที่เพื่อนร่วมสาขา ขณะที่ตอนนั้นก็ใช้ภาษามือประกอบคำพูด เพื่อให้ตั้มได้รู้ด้วยว่า พวกเรากำลังสื่อสารอะไรกันอยู่ โดยยกมือขวาขึ้นมาป้องตรงใบหู ซึ่งเป็นลักษณะท่าทางของการ ‘ฟัง’ ตามคำที่ผมได้พูดออกไป
“เย็นนี้เจอกันตอนห้าโมงเย็นที่ลานน้ำพุ?” ไอ้คินมันแปลภาษามือที่เพื่อนร่วมสาขาใช้ ก่อนจะหันมาถามความเห็น ผมจึงพยักหน้าตอบประมาณว่า ‘น่าจะใช่’ เพราะเมื่อครู่ผมเห็นคำว่า ‘น้ำพุ’ โดยตั้มได้ทำมือเหมือนเขากำลังชูสองนิ้ว แต่งอเก็บไว้ตรงข้างแก้ม จากนั้นก็งอฝ่ามือให้เป็นรูปทรงสามเหลี่ยม คล้ายกับภูเขาทั้งสองข้าง โดยที่ปลายนิ้วโป้งจะต้องจรดกับข้อแรกของนิ้วชี้ในแนวตั้งฉาก จากนั้นก็เลื่อนมือข้างขวาขึ้น โดยแบมือทั้งห้ากลางอากาศในลักษณะเส้นตรง ส่วนอีกข้างก็ทำแบบเดียวกันเป๊ะ จนคล้ายกับภาพของน้ำพุที่กำลังพุ่งขึ้นสูง
ผมจึงพอจะเดาได้ว่า อีกฝ่ายคงจะหมายถึง สถานที่และเวลานัดหมายในการเข้าร่วมกิจกรรมจับสายรหัส เพราะนอกจากคำว่า ‘น้ำพุ’ ไอ้ตั้มมันยังแบมือเป็นเลขห้า ซึ่งในภาษามือของคำว่า ‘เลขห้า’ ก็ใช้แบบเดียวกับภาษามือที่คนทั่วไปเข้าใจ

“โอเค” ด้วยความที่ผมพูดคำนี้จนคล่องปาก เพราะเป็นคำที่ใช้บ่อยที่สุด มันก็เลยไม่กระท่อนกระแท่นเหมือนคำอื่น พร้อมกับทำมือเป็นสัญลักษณ์ที่รู้กันทั่วไปว่า ท่าทางของการงอนิ้วชี้ให้จรดกับนิ้วโป้ง โดยที่สามนิ้วที่เหลือก็ต้องกางออก มันแปลได้ว่า ‘โอเค’
“อะไรวะ?” ไอ้หมอกเดินเข้ามาถาม เมื่อมันหันมาเห็นพวกผมคุยกับเพื่อนร่วมสาขา ที่มาช่วยกระจายข่าวถึงกำหนดการในวันนี้ เพราะว่าด้วยความที่เป็นมือใหม่สำหรับตำแหน่งประธานรุ่น ไอ้เจ๋งมันเลยยังไม่คล่องนัก ทำให้พลาดโอกาสแจ้งข่าวให้เพื่อนๆทราบในตอนที่ยังไม่ทันจะแยกย้ายกันไปกินข้าว เพราะช่วงบ่ายเรามีเรียนวิชาภาษาไทยตัวที่สอง ซึ่งวิชานี้จะเรียนแยกกันระหว่างคนที่มีความบกพร่องและคนที่ไม่มีความบกพร่อง ซึ่งก็หมายความว่าตั้งแต่คาบบ่ายเป็นต้นไป ไอ้หมอกต้องแยกไปเรียนคนเดียวแบบเปลี่ยวเหงา
แต่ดูเหมือนช่วงนี้มันจะมีเพื่อนกลุ่มอื่นคอยคบค้าสมาคมด้วย เพราะได้ไปเจอกันในคาบเรียนวิชาภาษาไทยเพื่อการอ่าน

“เจ๋ง..บอก..ว่า..เย็น..นี้..เจอ..กัน..ตอน..ห้า..โมง..ที่..ลาน..น้ำ..พุ” ผมค่อยๆพูดทีละคำ พร้อมกับใช้ภาษามือในการสื่อสารไปด้วย เพื่อที่ว่าถ้าหากผมเรียงไวยากรณ์ผิด ไอ้หมอกมันจะได้ช่วยแก้ให้ เนื่องจากภาษามือสำหรับปีสองนั้น จะเริ่มเรียนเกี่ยวกับการเล่าเรื่องและการเรียงประโยคตามไวยากรณ์ของภาษามือ ซึ่งจะแตกต่างจากการเรียงประโยคในภาษาไทยแบบที่เราๆเข้าใจกัน ทำให้ผมกับไอ้คินแทบจะตีหัวตัวเองเพื่อเอาขี้เลื่อยออกมาให้หมด เนื่องจากพวกผมโคตรจะสับสนและงุนงงกับไวยากรณ์ของภาษามือ เพราะชอบเอาไปปนกับไวยากรณ์ของไทยที่เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็ก จะมีก็แต่ไอ้หมอกที่มันลอยตัวแล้ว เพราะก็อย่างที่บอก ว่ามันเคยเรียนภาษามือมาก่อน อีกทั้งมันยังอ่านออกและเขียนได้ในแบบที่คนปกติทั่วไปใช้ จึงทำให้การเรียนของมันแทบจะไม่มีปัญหา
กระทั่งมันเห็นพวกผมกำลังท้อ กับการเรียนภาษามือในระดับที่ยากขึ้น มันก็เล่าให้พวกผมฟังว่า กว่าที่มันจะมาได้ไกลขนาดนี้ มันเองก็เรียนมาเยอะ จนถึงขนาดที่พ่อกับแม่ต้องจ้างอาจารย์พิเศษมาสอนที่บ้าน เพราะการเขียนและการอ่านแบบที่คนทั่วไปใช้ สำหรับผู้ที่มีความบกพร่องอย่างมันแล้ว ก็ไม่ต่างกับต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ในวัยอนุบาล และในทางกลับกัน การเรียนไวยากรณ์ภาษามือสำหรับคนที่ไม่ได้มีความบกพร่องแล้ว ก็เท่ากับต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ เหมือนตอนที่ผู้ที่มีความบกพร่องต้องเรียนการอ่านและเขียนแบบที่เราใช้กัน

“กูได้ข่าวมาว่าปีนี้รุ่นน้องมีเยอะกว่าปีเราอีกว่ะ บางคนอาจจะได้น้องแฝด เห็นเขาว่ากันว่าแคมเปญที่เราทำกันเมื่อปีที่แล้วมันได้ผลมาก ช่วงงานโอเพ่นเฮ้าส์คนก็เลยมาที่ซุ้มเราเยอะ แต่ก่อนหน้านั้นพวกรุ่นพี่ก็บอกให้ทำใจไว้ใช่ป่ะ ว่ามันอาจจะไม่เป็นอย่างที่หวัง” ผมพยักหน้ารับคำไอ้หมอก เพราะผมยังจำได้ดีว่าในงานโอเพ่นเฮ้าส์ กิจกรรมฝึกภาษามือของสาขาได้รับความนิยมมาก ซึ่งรุ่นพี่ก็ยังบอกอีกด้วยว่ามากในที่นี้ ไม่ใช่มากแบบธรรมดา แต่มากกกว่าปีก่อนๆเยอะ 
“แต่สุดท้าย ผลมันก็ออกมาดีเกินคาด แม้จะไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่กูเองก็ดีใจนะเว้ย ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านๆมา กูกล้าพูดได้เลยว่า แทบจะถูกลืมเลือนอยู่แล้ว” ไอ้หมอกมันเน้นในประโยคสุดท้าย ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะทุกวันนี้ เวลาที่ญาติๆถามว่าผมเรียนคณะอะไร สาขาอะไร เขามักจะทำหน้างงตลอด เหมือนกับไม่เคยรู้ว่าในประเทศไทยก็มีสาขานี้อยู่ด้วย ซึ่งนักศึกษาในวันนี้ ต่างก็เป็นอนาคตบุคลากรอันเป็นที่ต้องการของกลุ่มคนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เพราะเท่าที่ผมทราบมา เห็นพวกบทความเขาเขียนกันว่า ปัจจุบันนี้กลุ่มคนที่มีความบกพร่องเริ่มมีมากขึ้น แต่บุคลากรที่จะอำนวยความสะดวกในด้านนี้กลับไม่เพียงพอ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอยากจะเป็นล่ามภาษามือด้วยใจจริง แต่กว่าจะถึงวันนั้น ผมคิดว่าผมควรจะต้องกำจัดความหวาดกลัวของตัวเองให้หมดเสียก่อน เพราะการจะเป็นล่ามภาษามือ มันไม่ใช่แค่เราต้องร่วมงานกับคนที่มีความบกพร่องเพียงอย่างเดียว ซึ่งผมในตอนนี้ยังไม่สามารถก้าวไปถึงจุดที่สามารถเปิดใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะกับคนอื่นๆที่ผมไม่รู้จัก ผมจะไม่กล้าแม้แต่พูดคุย หรือแสดงออกใดๆทั้งสิ้น

“คิน!” เมื่อปั่นจักรยานมาจอดยังที่จอดสำหรับจักรยานบริเวณโรงอาหารกลางเรียบร้อยแล้ว ก็พากันเดินเข้าไปด้านใน แต่เพราะเดี๋ยวนี้ช่วงกลางวัน พวกเรามักจะมีนัดกับสาวๆคณะบัญชี ที่ซึ่งหนึ่งในนั้นได้กลายเป็นคนรักของไอ้คินไปเรียบร้อยแล้ว เห็นว่าตกลงเป็นแฟนกันตอนช่วงปิดเทอม และด้วยความที่ทั้งคู่อยู่กรุงเทพเหมือนๆกัน ทำให้ช่วงนั้นความรักได้งอกเงยขึ้น เพราะมีการนัดเดทอยู่บ่อยครั้ง
“แปลก” ไอ้คินมันเดินเข้าไปหาแอ้ม จากนั้นหัวคิ้วของมันก็ขมวดมุ่น

“แปลกอะไร?” แอ้มถามด้วยความงุนงง
“ปกติเห็นแต่งหน้าตลอด ไหงวันนี้ไม่แต่ง หรือว่าเพราะไม่มีเรียน แต่เท่าที่จำได้ ถึงไม่มีเรียนแอ้มก็แต่ง” ไอ้คินมันร่ายยาว จนผมต้องหันไปสังเกตใบหน้าของแอ้มบ้าง เพราะปกติรายนี้เขาก็สวยของเขาอยู่แล้ว ผมเลยไม่ได้สนใจอะไร

“ก็คินไม่ชอบนี่” แอ้มตอบแกมเก้อเขิน เพราะหลังจากนั้น เธอก็โดนแซวยับจากเพื่อนของเธอเอง รวมถึงไอ้หมอกด้วย ที่เอาแต่ไอค่อกแค่ก ก่อนจะลากแขนผมจนตัวปลิว เพื่อเดินออกไปซื้อข้าวกลางวันกินด้วยกัน

“ทำ..ไม?” ผมถามไอ้หมอก พลางใช้ภาษามือไปด้วย โดยการยกมือข้างขวาขึ้น ในระดับหน้าผากและสะบัดปลายนิ้วทั้งสี่เข้าหาตัว พลางทำสีหน้าประมาณว่ากำลังสงสัยใคร่รู้ เมื่อเห็นว่ามันเอาแต่ลูบข้างแขนของตัวเองไม่หยุด
“เหม็นความรัก” ไอ้หมอกมันพูดช้าๆชัดๆ พร้อมกับใช้ภาษามือประกอบคำพูด โดยยกมือข้างขวาขึ้น และหันฝ่ามือให้คว่ำลง ขณะที่สันของนิ้วชี้ ก็จะต้องแตะลงตรงกลางระหว่างจมูกและปาก พร้อมกับขยับนิ้วมือทั้งสี่ขึ้นลง และแสดงสีหน้ายี้ๆ พลางเบะปากเบอร์แรง จนผมอดจะหัวเราะกับท่าทางโอเว่อร์แอ็คติ้งของมันไม่ได้

“แล้ว..ทำ..ไม..มึง..ไม่..มี..บ้าง..ล่ะ” ผมย้อนถาม พลางฝึกใช้ภาษามือไปด้วย ซึ่งเดี๋ยวนี้ไอ้หมอกมันจะต้องคอยมองเวลาที่ผมกับไอ้คินพูดคุยตอบโต้ เพราะมันรู้ว่าพวกเราจะต้องใช้ภาษามือในการฝึกฝนกับปรมาจารย์อย่างมันแน่
“มึงใช้สลับกัน มันต้องแบบนี้ก่อน.. ถ้ามันมีเข้ามาล่ะก็นะ กูก็คงจะไม่โสดไหมวะ” ไอ้หมอกมันว่า พลางเดินนำไปต่อแถวร้านราดหน้า ซึ่งผมก็เดินตามมันไปติดๆ เพราะขี้เกียจจะคิดเมนู

“อยู่..แต่..กับ..พวก..กู..ไง..มึง..เลย..ไม่..มี” ผมว่าพลางเอื้อมมือไปยีหัวเพื่อนตัวสูงเบาๆ
“วอนโดนตีนกูละมึงหนิ” ไอ้คินมันว่าพลางปัดมือของผมออกจากหัว

Rrrrr

“ครับ”
“พอดีพวกไอ้เอ้มันมาสิงทำรายงานที่ห้อง ก็เลยว่าจะทำอาหารเย็นกินกัน เพราะจะได้ทำงานไปด้วยกินไปด้วยเลย หวังว่ามึงจะยังไม่มีนัดที่ไหน” พี่เนย์ร่ายยาวทันทีที่ผมตอบรับ ซึ่งสาเหตุที่อีกฝ่ายต้องโทรมาบอกก็เพราะว่าบางทีผมก็มีนัดไปหาอะไรกินกับพวกไอ้หมอกไอ้คิน และสามสาวจากคณะบัญชี ดังนั้นหากพี่เขาต้องการจะจองตัวผม ก็ต้องรีบโทรมาตั้งแต่เนิ่นๆ

“ผม..มี..จับ..สาย..ระ..รหัส..อาจ..จะ..มี..เลี้ยง..น้อง..ต่อ..เลย” ผมว่าพลางสะกิดเรียกไอ้หมอกและส่งซิกให้มันสั่งราดหน้าเส้นใหญ่ให้ผมด้วย เพราะผมไม่สะดวกที่จะสั่งด้วยตัวเองในเวลานี้
“งั้นก็เมื่อเป็นไร ไว้เจอกันที่ห้อง” พี่เนย์ว่าอย่างนั้น พร้อมกับขอตัววางสาย ผมจึงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายข้าง และเดินเลี่ยงมาปรุงราดหน้าข้างๆไอ้หมอก ขณะที่ในหัวก็เอาแต่คิดวนเวียนไปถึงน้ำเสียงของใครบางคนตอนก่อนจะวางสายจากกัน
นี่พี่เขาแอบวางแผนอะไรไว้หรือเปล่า?
ทำไมน้ำเสียงถึงได้ฟังดูละห้อยขนาดนั้น

กระทั่งหมดคาบเรียนภาษาไทย ที่ผมกับไอ้คินต้องไปเรียนที่ตึกเรียนรวมอันไกลโพ้น ทำให้มาช้ากว่าเพื่อนๆที่มีความบกพร่องที่เรียนอยู่ที่ตึกคณะ จึงทำให้กว่าที่พวกเราจะมาถึง น้องๆและพี่ๆก็มารวมตัวกันครบแล้ว พวกผมจึงยกมือไหว้รัวตลอดทาง จากนั้นก็พากันสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาไอ้หมอก ว่ามันไปมุดหัวอยู่ตรงไหน
“นั่น!” ผมหันไปสะกิดเรียกไอ้คิน พลางชี้ไปที่ไอ้หมอกที่กำลังโบกไม้โบกมือพลางเขย่งขาราวกับกลัวว่าความสูงในระดับเสาไฟอย่างมัน อาจจะทำให้พวกผมมองไม่เห็น

“หวัดดีพี่” ไอ้คินมันทักสายรหัสทั้งของมันและของไอ้หมอก ผมก็เลยเนียนไหว้ตามบ้าง
“ปีนี้กูเล็งน้องโบว์เลย” ไอ้หมอกมันหันมากระซิบกระซาบกับผม ทำเอาผมหลุดขำ เพราะยังจำเหตุการณ์เมื่อปีก่อนได้

“มึงขำเชี่ยไรเนี่ย?” ไอ้หมอกรีบสวนขึ้นมาทันควัน
“กู..แค่..นึก..ถึง..ปี..ก่อน” ผมพูดพลางใช้ภาษามือประกอบ

“ฮ่าๆ ไอ้หมอก กูแนะนำมึงเลยนะว่าอย่าเล็งใครเอาไว้ เดี๋ยวจะเป็นอาถรรพ์” พี่เฟรมพี่รหัสของไอ้หมอกพูดแทรกขึ้น ราวกับแอบฟังบทสนทนาของเราสองคนมานานแล้ว
“โห่ พี่ รู้ตัวป่ะว่าตอนนั้นทำผมฝันสลายแค่ไหน” ไอ้หมอกมันโอดครวญไม่เลิก

“มึงจะได้ฝันสลายเพิ่มอีกสองเท่า เพราะกูคบกับเมย์แล้ว” พี่เฟรมพูดพลางยักคิ้วแบบกวนประสาท
“โห่ ผมจะเกลียดพี่ก็ตอนนี้แหละวะ ไม่ได้พี่เมย์เป็นพี่รหัส แต่ดันได้เป็นพี่สะใภ้ของสายรหัสเฉย แถมมาอวดกันด้วย ร้ายจริงๆ” ไอ้หมอกมันว่า พลางส่ายหน้าใส่พี่รหัสของมัน ก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เพราะที่พูดไปมันก็เพ้อเจ้อไปงั้น

สักพักใหญ่น้องๆก็เริ่มทยอยมาจับฉลากกันจนจะครบแล้ว แต่กลุ่มของเราก็ยังไม่มีใครจับได้ เลยพากันยืนคุยเรื่องราวไร้สาระกันต่อ ซึ่งขณะที่กำลังเผลอ ก็มีรุ่นน้องคนหนึ่งจับฉลากได้ไอ้คิน และเห็นเขาบอกกันว่า น้องผู้ชายคนนี้ชื่อบิ๊ก เป็นผู้มีความบกพร่องลักษณะคล้ายกับไอ้หมอก จึงสามารถใส่เครื่องช่วยฟังได้
ต่อมาก็มีน้องจับฉลากได้ผม และจากที่ไอ้หมอกไปสืบมาให้ มันบอกว่าน้องผู้ชายคนนี้ชื่อปาล์ม และดูเหมือนน้องจะเป็นที่สนอกสนใจของเพื่อนร่วมสาขามาก เพราะหน้าตาของเขาจัดไปในทางที่ดีมาก แถมยังตัวสูงอีก เลยทำให้ดูโดดเด่น

“แต่เห็นแป้งบอกมาว่าน้องมันไม่ได้ตั้งใจจะมาเรียนที่สาขาเรา ว่ากันว่าอีกไม่นานคงจะซิ่วหรือไม่ก็ทำเรื่องย้ายสาขา” ผมพยักหน้ารับและมองตรงไปยังน้องคนนั้น ขณะที่ในใจก็อดรู้สึกกลัวไม่ได้ ว่าน้องเขาจะต่อต้านผมที่เป็นผู้บกพร่องทางการพูดด้วยหรือเปล่า เพราะใจของเขาไม่ได้เต็มใจจะมาเรียนที่สาขาของเรา ดังนั้นทัศนคติก็ย่อมคาดเดาได้ยาก

“โอ้โห ใจคอไม่คิดจะมีน้องผู้หญิงหลุดรอดเข้ามาในสายกูเลยเหรอ วอท แฮปเพ่น” ไอ้หมอกเริ่มโอดครวญอีกครั้ง เมื่อมีน้องผู้ชายจับฉลากได้มัน แต่ถึงจะบ่นแบบออกตัวแรงอย่างนั้น มันก็รีบไปสืบข่าวทันทีว่าน้องของมันชื่ออะไร

ปั่ก!

“เหี้ย!” ผมหันไปด่าอย่างชัดถ้อยชัดคำ ชนิดที่ว่าชัดกว่านี้ก็คงจะฟูลเฮชดีแล้ว เพราะอยู่ดีๆก็โดนเตะเฉย
“เรื่องด่านี่แบบ โปรมากอะไรมาก” ไอ้เพื่อนคู่ปรับมันพูดเหน็บแนม พลางเอี้ยวตัวหลบเมื่อผมจะถีบมันคืนบ้าง

“เป็น..บ้า..อะ..ไย..ของ..มึง” ผมพูดแบบตะกุกกัก แต่ก็รัวเร็วในแบบที่ลิ้นสามารถพันกันได้
“น้องโบว์จับได้มึงไงไอ้สัส ไม่ได้ฟังประกาศหรือไงวะ กูอิจฉานะรู้มั้ย” ไอ้หมอกมันตบหัวผม พลางเหน็บแนมเบอร์แรงอีกครั้ง เพราะจู่ๆ น้องที่มันหมายปอง ก็มากลายเป็นน้องรหัสผม มิหนำซ้ำ รุ่นพี่ที่มันหมายปอง ก็ยังกลายมาเป็นแฟนของพี่รหัสตัวเองอีก
ประวัติศาสตร์ถึงกับซ้ำรอยตั้งสองปีซ้อน
ถ้าชีช้ำกว่านี้ก็คงต้องแดกน้ำใบบัวบกแล้วล่ะนะเพื่อนรัก

หลังจากทำความรู้จักกับสายรหัสเป็นอย่างดีแล้ว พวกเราก็ตกลงกันว่าจะพาน้องไปเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ เพราะส่วนใหญ่แล้วพี่ปีสูงๆเขาไม่ว่าง เช่นพี่ทีมกับพี่บอส สองรายนี้เขาต้องรีบกลับไปคิดแคมเปญในการโปรโมทสาขาอีกครั้ง และต้องเป็นแคมเปญที่สามารถให้ความร่วมมือกันได้ทุกชั้นปี อีกทั้งต้องไม่ซ้ำซากจำเจ เพราะอาจารย์เริ่มจะเร่งๆมาแล้ว
สำหรับสายของผม กับน้องโบว์ เราสามารถเข้ากันได้ดี เพราะน้องอยากทำอาชีพล่ามภาษามือ ทำให้เราได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในส่วนนี้ เพราะผมเองก็เริ่มคิดอยากจะทำอาชีพนี้เหมือนกัน ส่วนปาล์มเราคุยกันแค่ตอนแนะนำตัว จากนั้นน้องก็นั่งฟังผมกับโบว์คุยกันอย่างเดียว กระทั่งสายรหัสของพวกไอ้หมอกไอ้คินเริ่มนัดแนะกำหนดการในวันพรุ่งนี้ ปาล์มถึงได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าน้องก็น่าจะมีใจให้กับสาขาของเราอยู่นะ ไม่อย่างนั้นน้องคงจะทำตัวไม่สนโลกไปแล้ว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้หลายๆคนมองไปในทิศทางนั้น อาจจะเป็นไปได้ว่าเจ้าตัวคงเป็นคนที่เข้าสังคมไม่เก่ง แล้วก็ยังพูดไม่เก่งซะมากกว่า

“ไม่ไปกินข้าวด้วยกันก่อนเหรอ?” พี่ทีมถามพลางใช้ภาษามือ หลังจากที่ผมอาศัยรถพี่แกเพื่อกลับมาหอพี่เนย์ โดยพวกพี่เขาจอดส่งผมตรงหน้าปากซอย ตามที่ผมบอก
“เห็น..พี่เนย์..บอก..ว่า..จะ..ทำ..อา..หาร..ครับ..โทร..มา..จอง..มื้อ..เย็น..ตั้ง..แต่..ช่วง..เที่ยง..แล้ว” ผมลงจากมอไซค์ก่อนจะตอบพลางใช้ภาษามือในการสื่อสารไปด้วย เพื่อที่พี่บอสจะได้เข้าใจ และผมจะได้ฝึกภาษามือไปในตัว

“โอเค งั้นพี่ไปก่อนนะ โคตรหิวเลยว่ะ” พี่ทีมพยักหน้าพลางเอ่ยขอตัว ผมจึงยกมือไหว้พี่ๆทั้งสอง และส่งยิ้มให้พลางยืนรอจนอีกฝ่ายขับรถจนหายลับตาไป ผมถึงค่อยเดินตรงไปยังร้านกาแฟเพื่อสั่งบลูเลม่อนจำนวนสองแก้ว เพราะผมจะบังคับให้พี่เนย์กินเหมือนกัน
โทษฐานที่ทำให้ผมต้องหิ้วท้องรอ

ก๊อก ก๊อก

“กลับ..กัน..ไป..หมด..แล้ว..เหรอ..ครับ..พี่..นะ..เอ” ทันทีที่อีกฝ่ายเปิดประตูต้อนรับ ผมก็ส่งบลูเลม่อนแก้วหนึ่งให้ จากนั้นก็ออกปากถามเมื่อเห็นห้องเงียบๆ พร้อมกับถอดรองเท้าไว้ตรงปากประตู โดยไม่ยอมเรียกชื่อพี่เนย์ให้ชัดเจน ทั้งๆที่ผมก็พูดได้
เพราะผมมีเหตุผลบางอย่าง ที่วางแผนเอาไว้แล้ว

“กลับไปแล้ว กินข้าวมายัง อ้อ.. แล้วกูก็ชื่อเนย์ครับมึง อาคเนย์” พี่เนย์เดินนำหน้าพลางเอ่ยถาม แต่ก็ยังไม่วายจะทักท้วง เมื่อผมยังคงพูดชื่อของเจ้าตัวไม่ชัด ทั้งๆที่ชื่อของคนอื่น ผมสามารถพูดได้ชัดเจนแล้ว เพียงแต่จะพูดเร็วมากไม่ได้
คนที่กำลังรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมอย่างพี่เนย์ ก็เลยออกปากประท้วงจนถึงขนาดที่เจ้าตัวต้องรีบวางแก้วบลูเลม่อนทั้งของตัวเองและของผม ไว้ตรงโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะคว้าตัวผมให้ไปยืนตรงหน้า และชี้ไปที่ริมฝีปากของตัวเอง พลางพูดให้มันช้าๆชัดๆ เพื่อให้ผมสังเกตการกระดกลิ้นหรือการขยับปากในระยะใกล้ชิดแบบวีไอพี

“พี่..นะ..เอ.. อะ..อา..คะ..นะ..เอ” ผมทำเป็นจ้องมองริมฝีปากของอีกฝ่ายเขม็ง พลางพยายามพูดให้มันช้าๆชัดๆ โดยที่ฟังดูแล้ว ถ้าไม่พูดก็น่าจะดีกว่า
เพราะหากใครได้ยิน ก็คงจะงงเป็นไก่ตาแตก ว่านั่นเป็นชื่อคนจริงๆน่ะเหรอ

“มึงนี่ มันน่าจับหักแขนหักขาจริงๆ พูดชื่อคนอื่นได้ก่อนกูที่เป็นแฟนมึงอีก” พี่เนย์ว่าพลางคว้าคอผมมาล็อคไว้ตรงช่วงอก จากนั้นเจ้าตัวก็ทำการอุกอาจยีหัวผมจนกระเซอะกระเซิง ทำเอาผมที่ตัวเตี้ยกว่าไม่มาก ต้องรีบถอยหลังเพื่อหาระยะห่างให้ตัวเอง เพราะท่าทางเมื่อครู่มันออกจะลำบากต่อสุขภาพคอไปสักหน่อย
“อิจ..ฉา?” ผมถามแกมล้อเลียน เมื่ออีกฝ่ายปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระแล้ว

ป๊อก!

“เปล่า กูหมั่นไส้ ตกลงกินข้าวมายัง กูไม่ได้ทำเผื่อนะ เห็นมึงบอกอาจมีเลี้ยงสาย กูเลยนึกว่าวันนี้มึงจะกลับดึก” รุ่นพี่ผู้เกรี้ยวกราด ดีดหน้าผากผมจนเต็มแรง พร้อมกับถามถึงมื้อเย็นของวันนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
“ยัง” ผมส่ายหน้า

“แล้วก็ไม่โทรมาบอกกูหรอกนะ จะได้ไปรับแล้วแวะกินข้าว” พี่เนย์บ่น พลางเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ ก่อนจะเดินมาลากข้อมือผมให้ออกจากห้อง โดยที่บลูเลม่อนสองแก้ว ก็ยังคงวางนิ่งอยู่ที่เดิม
ผมจึงได้แต่มองตาละห้อย
เพราะนึกเสียดายที่คงต้องปล่อยให้มันเย็นชืด จนกินไม่อร่อย


--------------------------------------------------------------

ตอนนี้บรรยายเยอะ แถมยังเป็นเชิงวิชาการนิดหน่อย พอดีว่าเราเห็นมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจดี เราเลยหยิบมาเขียนเพื่อความสมจริง และคาดว่าคงมีอีกหลายคนที่ไม่ทราบในส่วนยิบย่อยของกลุ่มคนที่มีข้อบกพร่องล่ะเนอะ ทั้งนี้เราต้องขอบคุณผู้ให้คำปรึกษาที่เราเพิ่งได้มาเจอกันเพราะนิยายเรื่องนี้ด้วยค่ะ ได้ข้อมูลดีๆเยอะแยะเลย
ปล 1. เราอาจจะเขียนได้ช้าและไม่มีสต๊อกเก็บนะคะ เพราะว่าข้อมูลบางส่วนเราต้องปรึกษาผู้ที่ทราบจริงๆก่อน จะได้ละเอียดขึ้น ทั้งนี้หากยังมีความผิดพลาดก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ
ปล 2. ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เราต้องขอบอกตรงๆว่า หายากมากมายค่ะ ก่อนหน้านี้เราทั้งอ่านบทความ อ่านกระทู้มากมายไปหมด แต่ก็ยังได้ข้อมูลแค่หยิบมือเอง T^T

ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2017 21:50:20 โดย Chomin »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
น่ารักกก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด