♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 9
“ทำอะไรครับ?” ผมงัวเงียลุกขึ้นมานั่งบนที่นอน พลางออกปากถามใครอีกคนที่อยู่ร่วมห้อง ที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ตรงหน้าเตาไมโครเวฟ
“วันนี้กูขยัน ไม่ต้องเข้ามอเช้าก็ได้” พี่เนย์หันมาตอบเพียงครู่ จากนั้นร่างสูงในเสื้อยืดสีดำสนิทก็หันกลับไปสนใจกิจกรรมของตัวเองต่อ ส่วนผมก็ล้มตัวลงนอนตามที่อีกฝ่ายแนะนำอย่างว่าง่าย โดยไม่ได้นึกแปลกใจอะไร เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดของพี่เขา ดังนั้นเจ้าตัวจะขยันตั้งแต่เช้า มันก็ไม่แปลก เพราะถึงยังไงก็ยังมีเวลาพักอีกถมเถ
ผมยังไม่หลับ อาจเป็นเพราะเคยชินกับการที่ต้องตื่นแต่เช้า เพื่อรีบอาบน้ำแต่งตัว และเผื่อเวลาในการกินข้าวเช้า ที่ร้านใกล้ๆหอ หรือที่โรงอาหารกลาง ดังนั้นเวลานี้ ผมจึงทำเพียงแค่หลับตา เลยทำให้รู้ว่าช่วงเวลาที่ผมไม่รู้สึกตัว พี่เนย์เขาแอบใช้ฝ่ามือใหญ่ๆคู่นั้น ลูบศีรษะของผมอย่างแผ่วเบา ซึ่งการกระทำแบบนี้ มันสามารถเป็นไปได้ทั้งสองทาง ในทำนองว่า เพราะเรื่องเมื่อวาน ทำให้พี่เขารู้สึกไม่ดี ก็เลยอยากจะปลอบใจและให้กำลังใจผมในแบบของตัวเอง หรือในอีกกรณีนึง มันก็อาจจะเป็นเพราะ อีกฝ่ายเขาชอบแอบทำแบบนี้กับผมจนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะผู้ชายอบอุ่นคนนี้เขาก็มักจะตื่นเร็วกว่าผมเสมอ
แต่จะเป็นเพราะแบบไหนก็ช่าง ยังไงผมก็ชอบความอบอุ่นของผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ อยู่ดี“เออ วันนี้พวกกูว่าจะไปนั่งทำสัมมนาที่ร้านกาแฟต่อ แล้วก็อาจจะกลับมาทำที่ห้องด้วย เลยคิดว่าจะทำมื้อเย็นกินกันเอง มื้อนี้กูเป็นเจ้ามือ เพราะกูยกเลิกท้าดวนแบดไปแล้ว กูว่าจะชวนพวกไอ้บอส ไอ้ทีมมาด้วย มึงเองก็ชวนเพื่อนมึงมาด้วยสิ” หลังจากผมอาบน้ำเสร็จภายในเวลาเจ็ดโมงครึ่ง เพราะบังคับให้ตัวเองนอนต่อไม่ได้ ผู้ชายในชุดเสื้อยืดสีดำเขาก็กลับไปง่วนอยู่ตรงหน้าเตาไมโครเวฟอีกครั้ง พลางเริ่มต้นคำเชิญชวนแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ซ้ำยังเผื่อแผ่คำเชิญนั้นไปถึงเพื่อนของผมด้วย
“ผมจะลอง..ชวนดู..แล้วกันครับ..ไม่แน่ใจ..ว่าพวกมัน..จะว่างหรือเปล่า” ผมตอบพลางเดินไปหวีผมให้เข้าที่เข้าทางตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ที่พวกเรามักจะเรียกมันว่าโต๊ะเขียนหนังสือ
“ยังไงมึงบอกกูอีกทีแล้วกัน จะได้ซื้อของให้มันพอดีคน”
“ครับ” ผมตอบพลางเดินอ้อมไปนั่งรออยู่ตรงหน้าโต๊ะญี่ปุ่นใกล้ๆกับประตูบานเลื่อนที่เชื่อมไปยังราวระเบียงสำหรับซักล้าง ขณะที่พี่เนย์ก็นั่งจ้องตัวเลขที่ค่อยๆนับถอยหลังตรงหน้าเตาไมโครเวฟ ผมจึงนั่งจ้องแผ่นหลังของอีกฝ่ายนิ่งๆ ท่ามกลางความเงียบอีกที จนกระทั่งเสียงร้องเตือนของเครื่องใช้ไฟฟ้าดังขึ้น สายตาของผมจึงปรับเปลี่ยนโฟกัสไปที่อื่น
“ทำไมช่วงนี้..พี่ไม่ค่อยชวน..ผมไปซื้อ..อาหารให้..เขี้ยวกุด..เลยครับ..รอบก่อน..พี่ซื้อมาเยอะเหรอ” ผมถามพี่เนย์ด้วยความสงสัย
“ช่วงนี้กูออกไปนั่งทำสัมมนาข้างนอกบ่อยๆไง กูเลยแวะซื้อเข้ามาเลย” พี่เนย์ว่าพลางเดินเอาเมนูอาหารเช้ามาเสิร์ฟ ก่อนจะเดินกลับไปหยิบอาหารเช้าอีกถ้วยมาวางตรงที่ว่างฝั่งตรงข้าม
“กินนมมั้ย กูจะได้อุ่นเผื่อ” พี่เนย์เดินไปเปิดตู้เย็นที่อยู่ข้างๆโต๊ะญี่ปุ่นสำหรับวางเตาไมโครเวฟ
“ครับ”
“เออ มึงไปเปิดเครื่องทำความชื้นให้เขี้ยวกุดมันหน่อย แล้วก็ดูด้วยว่ามันกินอาหารหมดหรือยัง ช่วงนี้กูให้มันทีเดียวอาทิตย์นึงเลย เพราะกูไม่ค่อยว่างเท่าไหร่” พี่เนย์เทนมใส่ลงในแก้วอ้วนๆ สีขาวสะอาดสองใบ จากนั้นก็นำมันเข้าไปอุ่นเพียงครู่ ส่วนผมก็ลุกขึ้นไปดูเจ้าเขี้ยวกุดตามที่พี่เขาสั่ง
“พี่ให้..จิ้งหรีด..หรือไส้เดือน..ครับ” ผมก้มลงดูความเป็นไปในตู้กระจก แต่ก็ไม่พบเหยื่อที่ว่า แถมยังไม่เห็นเจ้าเขี้ยวกุดด้วย ท่าทางวันนี้มันจะตื่นสาย
“กูให้หนอน” พี่เนย์ถือแก้วอ้วนๆ โดยใช้ถุงมือกันความร้อนเข้าช่วย ก่อนจะนำมาวางยังโต๊ะสำหรับทานมื้อเช้าของเราทีละใบ ขณะที่เจ้าตัวก็ตอบคำถามของผมไปด้วย
“ไม่มีแล้ว..นะครับ” ผมตอบ พลางเอื้อมมือไปเปิดเครื่องทำความชื้น ไม่นานควันสีขาวก็ลอยคลุ้งอยู่เต็มตู้ จากนั้นละอองฝ้าก็พากันเกาะบานกระจกใสเป็นแถบๆ ส่งผลให้ต้นไม้ภายในนั้นดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น แต่เจ้าเขี้ยวกุดแสนขี้เซาก็ยังไม่ยอมโผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อนตัว
“มากินไข่ถ้วยดิ ยังไม่ถึงเวลา ต่อให้เอาอาหารไปล่อก็เถอะ เจ้าเขี้ยวกุดมันก็ไม่ยอมออกมาหรอก”
“วันนี้..พ่อเจ้าเขี้ยวกุด..คิดยังไง..ถึงทำมื้อ..เช้ากินเอง..ครับ..ขอสัมภาษณ์..หน่อย” ผมทิ้งตัวลงนั่ง พลางกำมือเหมือนไมโครโฟน ยื่นไปจ่อตรงริมฝีปากของใครอีกคน พลางยกยิ้มอย่างที่ชอบทำ
“กินๆไปเถอะน่า จะสงสัยอะไรมากมาย” พี่เนย์เขาบ่นอุบ พลางขมวดคิ้วมุ่น ซ้ำยังปัดมือผมออกห่างจากตัวเองอีก จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินไข่ถ้วย ฝีมือของตัวเองไม่หยุด ผมจึงได้แต่อมยิ้ม ก่อนจะหันกลับมาสำรวจเมนู ‘ไข่ถ้วย’ ที่ว่าแบบละเอียด ซึ่งส่วนประกอบของมันก็จะมีขนมปัง ไข่ไก่ ชีส แฮม โดยพ่อครัวหัวป่าเขาใช้ขนมปังรองตรงก้นแก้ว และมีแฮมกับชีสที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ วางประดับตกแต่งอยู่รอบๆ ปากแก้วอ้วนๆ ขณะที่ตรงกลางก็ถูกเติมเต็มด้วยไข่ยางมะตูมหน้าตาน่าทาน
“ขอบคุณ..นะครับ..พี่..นะ..เอ” ผมจงใจวางฝ่ามือลงบนหลังมือของอีกฝ่าย ทำเอาคนถูกแตะเนื้อต้องตัวอย่างกะทันหัน จำต้องละสายตาจากมื้อเช้า เพื่อมองมายังผม และเลื่อนสายตาไปมองยังฝ่ามือของเราที่กำลังแตะต้องกันอยู่
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ฝ่ามือใหญ่กลับเป็นฝ่ายกอบกุมมือเล็กๆของผมไว้ ผมจึงได้แต่หันหน้าไปยิ้มให้กับที่นอน ตู้หนังสือ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่อีกฝ่าย
“…”
“กินดิ”
“อื้อ” ผมหันกลับมาให้ความสนใจกับมื้อเช้าตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อพ่อครัวหัวป่าเขาเริ่มย้ำอีกหน ฝ่ามือของเราก็เลยต้องผละออกจากกัน เพื่อมาวางเอาไว้ในตำแหน่งที่ควรจะอยู่ เพราะไม่อยากนั้น เราคงจะกินมื้อเช้ากันอย่างยากลำบากน่าดู
เช้าวันนี้ จึงเป็นเช้าวันใหม่ที่เราได้เริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ ไปพร้อมๆกัน“เฮ้ย! ทำไมตาบวมงั้น” ทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ด้านข้าง ไอ้หมอกก็รีบร้องทัก
“…” ผมส่ายหน้าพลางยกยิ้มบางๆ ซึ่งมันก็พอดีกับช่วงที่อาจารย์จะเริ่มการเรียนการสอน
ครืด ครืด
ผมหันไปมองไอ้หมอกทันที ที่โทรศัพท์ของผมสั่น หลังจากที่มันเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่สนใจกิจกรรมการเล่าเรื่องของเพื่อนๆตรงหน้าชั้นเรียน ซึ่งพอมันเห็นผมเอาแต่หันไปมอง มันก็พยักพเยิดหน้าให้ผมเปิดข้อความอ่าน ผมก็เลยต้องทำตามอย่างจำยอม
‘เมื่อคืนมึงร้องไห้เหรอวะ?’
‘อืม’ ผมตอบสั้น และตั้งท่าจะไม่สนใจสิ่งอื่นใด นอกจากกิจกรรมตรงหน้าชั้นเรียนเท่านั้น
‘เป็นเชี่ยไร?’ ไอ้คินที่นั่งอยู่ริมสุด ติดกำแพงห้อง เป็นฝ่ายตั้งคำถามขึ้นมาอีกคน
‘เครียดนิดหน่อย’
‘กูว่าไม่น่าจะนิดมั้ยวะ ตามึงบวมชิบหาย มีอะไรก็บอกพวกกูได้นะเว้ย เราเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?’ ไอ้หมอกรัวแป้นพิมพ์มาอย่างไว
‘กูเครียดเรื่องภาษามือ เรื่องโปรเจค เรื่องการฝึกพูด เครียดแม่งทุกอย่างเลยไอ้สัส โคตรท้อ’ ผมพิมพ์ข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็ว ซึ่งพอได้ระบายให้เพื่อนฟังแล้ว ผมก็รัวออกมาอยู่หลายประโยค
‘ฝึกพูดมันก็ต้องใจเย็นๆไงมึง หรือไม่ถ้ามึงท้อ มึงก็ตั้งเป้าหมายไว้เลยเว้ย ว่าถ้ามึงทำสำเร็จมึงจะได้เป็นแบบนี้นะ หรือจะได้ทำแบบนั้นนะ อะไรก็ว่าไป เอาสิ่งที่มึงอยากทำจริงๆ เป็นเป้าหมายไปเลย มันจะได้ช่วยกระตุ้นมึงมากกว่าการไม่มีจุดหมาย ส่วนเรื่องโปรเจค มันพลาดไปแล้ว มึงก็แค่ต้องนัดน้องมาซ้อมใหม่ กลุ่มมึงยังมีเวลาอีกตั้งเยอะนะเว้ย โอเพ่นเฮ้าส์มันจัดตั้งเทอมหน้า มึงบอกให้น้องเอาไปฝึกช่วงปิดเทอมยังได้ อีกอย่างน้องมันก็บอกมึงแล้วนี่ ว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยฝึกกันใหม่ก็ได้ มึงจะเก็บเอาไปคิดมากทำไม’ ไอ้หมอกใช้เวลารัวแป้นพิมพ์อยู่นาน และเมื่อข้อความนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา เพราะอย่างน้อย มันเองก็มีคำแนะนำดีๆ ให้กับผมไม่ต่างจากพี่เนย์ อีกทั้งเรื่องโปรเจค ก็ไม่มีใครเข้าใจปัญหาพวกนี้ได้เท่าพวกมันอีกแล้ว
‘เพราะกูไม่รอบคอบไง กูน่าจะถามมึงก่อน รู้ทั้งรู้ว่าภาษามือกูมันยังไม่แม่นมาก แต่ก็ยังมั่นหน้าไปสอนน้อง ทำให้น้องต้องเสียเวลา ทำให้น้องต้องสับสน แถมผลตรวจกูก็เหี้ยอีก จะไม่ให้กูเครียดได้ยังไงวะ’
‘เอาน่า เรื่องฝึกพูดก็ตามที่ไอ้หมอกมันว่า มึงต้องใจเย็นๆ อย่าหงุดหงิดตัวเอง ส่วนเรื่องงาน คนเรามันผิดพลาดกันได้เว้ยมึง ต่อไปมึงก็เซฟตัวเองให้มากขึ้น แล้วก็ค่อยแก้ปัญหากันไป กูเข้าใจนะเว้ย กลุ่มมึงมันหนัก เพราะมึงเป็นพี่โตสุด พอจะเจียดเวลาไปถามใคร ก็ไม่มีใครว่างให้คำตอบ เพราะทุกคนต่างก็พากันไปซ้อมให้น้องสายของตัวเอง และกูก็เชื่อว่าน้องๆมันเองก็เข้าใจมึง เออนี่กูได้ยินมาว่า ไอ้ตัง มันก็เจอปัญหาเหมือนมึงเลย เพราะมันก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร แต่มันแก้ปัญหาโดยการนัดน้องไปซ้อมใกล้ๆกับกลุ่มของเพื่อนมัน พออันไหนไม่รู้ มันจะได้เดินไปถามรุ่นพี่ได้’ ไอ้คินเริ่มร่ายยาวมาอีกคน
‘เอาจริงๆนะเว้ย มึงถามกูได้ตลอดเลย ยังไงสายกูก็มีพี่คนอื่นๆคอยช่วยอยู่แล้ว กูก็แค่ไปนั่งเล่นกับนั่งแดกแค่นั้น โคตรจะมีประโยชน์เลยมั้ย เพราะฉะนั้นในเมื่อมึงรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าประโยคไหนมึงไม่มั่นใจ มึงก็วีดิโอคอลมาหากูเลย เดี๋ยวกูช่วยเอง ช่วงนี้มึงนัดน้องไปซ้อมทุกวันหยุดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ’
‘อื้อ ขอบใจพวกมึงนะเว้ย’
‘ไม่เป็นไรเหมือนกันเว้ย เรื่องแค่นี้ ไม่ได้ยากอะไรสำหรับกูเลย’ ไอ้หมอกเป็นฝ่ายตอบกลับมาคนแรก
‘เออ เราเพื่อนกันนี่หว่า ถ้าใครมีปัญหา เราก็ต้องใส่ใจและให้คำปรึกษากันหน่อยสิวะ’ ไอ้คินตอบกลับมาเป็นคนที่สอง
‘อื้อ รักพวกมึงว่ะ’
‘อ้วกกกกกกกกกกกกก’
‘อ้วกกกกกกก’
‘สัส! กูจะเกลียดพวกมึงก็ตรงนี้ สามัคคีกันดีนัก’
หลังจากการเล่านิทานตรงหน้าชั้นเรียนผ่านพ้นไป พวกเราก็ได้ฤกษ์กินข้าวกลางวันกันสักที แต่เพราะผมจะแวะซื้อบลูเลม่อนที่ร้านเจ้าประจำด้วย ก็เลยให้ไอ้หมอกมันสั่งข้าวเผื่อ ซึ่งเมนูที่จะกิน ผมก็ลอกมันเด๊ะๆ จนมันบ่นอุบ
“บลูเลม่อนสอง..สตรอว์เบอร์รี..โยเกิร์ตหนึ่ง..ครับ’ ผมสั่งเมนูที่หน้าเคาน์เตอร์ พลางรับเครื่องเรียกคิว ไปหาที่นั่งรอ จากนั้นผมก็ไลน์ไปบอกน้องๆทั้งสองคน ว่าผมสั่งซื้อเครื่องดื่มมาไถ่โทษที่ทำให้เสียเวลา ซึ่งสายรหัสของผมก็เอาแต่บอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมก็ทำเนียนบอกว่าตัวเองจ่ายเงินแล้ว ให้มารอเอาที่ร้านได้เลย
ครืด ครืด
เครื่องเรียกคิวสั่นไหวอยู่บนโต๊ะไม้เล็กๆ เรียกสติผมที่กำลังหลุดลอยไปที่ไหนสักแห่ง จากนั้นผมก็ลุกเดินไปยังเคาน์เตอร์ พลางจ่ายเงิน และถือถุงพลาสติกสำหรับใส่เครื่องดื่มติดมือมาด้วยหนึ่งถุง พร้อมกับถือแก้วบลูเลม่อนเพียวๆอีกหนึ่งแก้วด้วยมือข้างขวา จากนั้นก็กลับมานั่งปักหลักที่เดิม เพื่อรอให้น้องรหัสมารับเครื่องดื่มตามนัด
“พี่รันอ่ะ หนูบอกแล้วว่าไม่เป็นไร” น้องโบว์เดินหน้างอเข้ามาหา พลางยกมือไหว้และทิ้งตัวลงนั่ง ส่วนเพื่อนของน้องอีกสองคนก็ยกมือไหว้ผมและเดินเลี่ยงไปนั่งอีกโต๊ะที่กำลังว่าง และไม่ใกล้ไม่ไกลจากโต๊ะที่ผมนั่งมากนัก
“ปาล์มล่ะ?” ผมย้อนถาม พลางเลื่อนถุงเครื่องดื่มไปให้กับน้องโบว์ ที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก เพราะน้องติดทำรายงาน ช่วงนี้เราก็เลยมีเวลาซักซ้อมกันแค่วันเดียว แถมยังเป็นช่วงเย็นด้วย
“ใช้ให้หนูมาเอาคนเดียวเนี่ย” น้องโบว์บ่นอุบ จนผมถึงกับหลุดหัวเราะ
“แล้วกินข้าว..กันหรือยัง?” ผมถามเพื่อที่จะเข้าเรื่อง เนื่องจากเวลาพักของพวกเรามันมีแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น
“ยังเลยค่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ หนูหิว”
“ไปสิ” ผมตอบรับ พลางลุกขึ้นยืน โดยไม่ลืมจะถือแก้วบลูเลม่อนติดมือไปด้วย ขณะที่น้องโบว์และเพื่อนๆ ก็เดินนำหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมนัก
“ขอบคุณนะคะพี่รัน แต่ทีหลังไม่ต้องเลี้ยงไถ่โทษแล้วนะ หนูเข้าใจนะคะ ว่ากลุ่มเราไม่เหมือนกับกลุ่มอื่น ที่มีพี่ๆปีสามปีสี่ช่วยสแกนให้ เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรเลยค่ะ หนูฝึกใหม่ได้ ช่วงปิดเทอมมีเวลาตั้งถมเถ เชื่อหนูสิ เปิดภาคเรียนใหม่มา พี่รันต้องอึ้งแน่ๆ”
“ขนาดนั้น..เลย” ผมขำ พลางอดจะแซวน้องรหัสของตัวเองไม่ได้
“นี่ใคร! โบว์นะคะ พี่รันรู้จักหนูน้อยไป” น้องโบว์หันมาชี้หน้าตัวเองให้ผมดู จากนั้นเจ้าตัวก็ทำสายตามุ่งมั่น จนผมหยุดขำไม่ได้
“หนูไม่ใช่ตลกน้า พี่รันอ่ะ หยุดขำได้แล้ว” พอเห็นโบว์ทำหน้ายุ่ง ผมก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้เส้นผมของอีกฝ่ายให้ฟุ้งกระจาย
“ยุ่งหมดแล้วอ่า” น้องโบว์บ่น พลางจัดแต่งทรงผมของตัวเองให้วุ่นวายไปหมด
“เฮ้ย แต้ว ปิ่น อะไรเนี่ย มองพี่เราตาเป็นประกายเลย” น้องโบว์กอดแขนผม พลางหันไปทำหน้าดุใส่เพื่อนของตัวเอง จนผมได้แต่ยิ้มกับท่าทางของเจ้าตัวดี ที่ไม่ว่าจะเจอกันกี่ที ผมก็อดจะเอ็นดูไม่ได้
“เบื่อพี่รัน คนชอบเยอะ หนูไม่ไหวจะกันท่า”
“เอ้า แล้วกัน” ผมขำขึ้นมาอีกหน เมื่อเจ้าตัวดีแกล้งดันตัวผมออกห่างด้วยท่าทางแสนงอน
“เอ้อ แต่หนูสงสัยอยู่เรื่องนึง ทำไมเพื่อนเมทของหนูมันชอบพูดจาแปลกๆ แล้วก็ชอบเอารูปพี่อาคเนย์กับพี่รันมาให้หนูดูด้วย แถมมันยังเอาแต่บอกฟินๆ อะไรของมันก็ไม่รู้ หนูล่ะปวดหัว”
“โบว์มันซื่อบื้อเนอะพี่รัน” เพื่อนน้องโบว์รู้สึกจะชื่อปิ่น เดินนำหน้าพวกเราสองคน ก่อนจะหันมาถามความเห็นกับผม
“ซื่อบื้ออะไรวะ พี่รันขำอะไรไม่ทราบคะ”
“ถึงโรงอาหาร..แล้ว ไว้เจอกัน..นะ” ผมไม่ตอบคำถามใดๆ นอกจากยิ้มเพียงอย่างเดียว จากนั้นก็ถือโอกาสเดินนำหน้าทั้งสามสาวรุ่นน้องเข้าไปยังด้านในของโรงอาหารกลาง จากนั้นก็โทรหาเพื่อนซี้ เพื่อถามถึงตำแหน่งที่พวกมันนั่งปักหลักกันอยู่
“รันนนนนนนน” ผมที่กำลังจะเดินไปยังโต๊ะที่เพื่อนบอก ก็ต้องรีบหันไปมองยังด้านหลัง เมื่อใครสักคนกำลังร้องเรียก
“ว่า?” ผมยกยิ้มให้สามสาวคณะบัญชี
“สู้ๆ” ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกัน และทำท่า ‘สู้ๆ’ เหมือนกับที่คนทั่วไปชอบทำ ขณะที่ริมฝีปากของทั้งสามสาวก็ฉีกยิ้ม จนผมอดไม่ได้ที่ยิ้มตาม
“ไอ้คิน ไปนินทา..อะไรเราหรือ..เปล่าเนี่ย” ผมย้อนถามนิ้งที่เดินนำหน้า
“คินไม่ได้เล่าอะไรหรอก แค่บอกให้พวกเราให้กำลังใจรันเยอะๆ” แอ้มที่เดินอยู่ข้างๆผมพูดขึ้น
“จริงๆ พวกเราก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าต้องทำยังไงรันถึงจะมีกำลังใจมากๆ แต่เมื่อกี้ถึงมันจะดูเป็นหนทางที่โง่ๆไปหน่อย แต่พวกเราก็หวังนิดๆ ว่ามันจะช่วยให้รันได้กำลังใจเยอะๆนะ” อิ๋มที่เดินรั้งท้ายพูดขึ้นบ้าง
“อื้อ..ช่วยได้เยอะ..เลย..ขอบคุณนะ”
หลังจากทานข้าวกันจนใกล้จะอิ่ม ผมก็ถือโอกาสนี้สอบถามเพื่อนๆทุกคนว่าจะมาทานมื้อเย็นด้วยกันที่ห้องของพี่เนย์ไหม ซึ่งพวกไอ้คิน ไอ้หมอก มันก็ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด เพราะยังไงพวกมันก็รู้จักกับพี่เนย์และพี่ๆคนอื่นอยู่แล้ว แต่สามสาวคณะบัญชีเขาดูไม่ค่อยมั่นใจ ว่าตัวเองควรจะไปงานนี้ตามคำเชิญของผม เนื่องจากพวกเธอไม่ได้สนิทกับใครเลย เพราะถึงแม้ทั้งสามครจะแอบปลื้มพี่เนย์เป็นการส่วนตัวกันหมด แต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะรู้จัก แถมพี่เขายังเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงมาก สำหรับคนอื่น สาวๆคณะบัญชีก็เลยลังเล
“เราบอก..พี่เนย์แล้ว..พี่เขาโอเคนะ..ตกลงจะให้..พี่เอ้ทำสุกี้..สองหม้อใหญ่” ผมบอกกับสาวๆ พลางยื่นหน้าต่างแชทไปให้อ่าน
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้” นิ้งพูดออกมาเบาๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างเก้อเขิน ฝ่ายแอ้มกับอิ๋มก็ออกอาการไม่ต่างกัน ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะขำนิดๆ
“แล้วก็อย่าไปทำอะไรแปลกๆเข้าล่ะ เดี๋ยวได้โดนพี่เนย์ไล่ออกจากห้อง คินไม่ช่วยนะ” ไอ้คินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบๆ
“เราจะไปทำอะไรแปลกๆเล่า คินก็” แอ้มแก้ตัวป้อยๆ จนไอ้คินต้องทำเป็นยักไหล่
“คินเอาฮาป่ะเนี่ย พวกเราจะไปทำอะไรแปลกๆกันเล่า คือตอนนี้พวกเราเลิกเชียร์คู่ของรันแล้ว” นิ้งทำหน้าบู้แก้ตัว
“ใช่ เห็นจนเบื่อแล้ว เพราะบางวันก็เห็นพี่เนย์เอาบลูเลม่อนมาส่งให้ตอนกลางวันงี้ เดี๋ยวก็ไลน์คุยกันงี้ เดี๋ยวก็โทรหากันงี้ ตอนนี้ถ้าจะเหลืออยู่ก็แค่ความอิจฉานี่แหละ” อิ๋มก็พาลจะบ่นอุบด้วยเช่นกัน ทำเอาผมหน้าร้อนเห่อขึ้นมาซะได้
“ใช่ หวานกว่าคู่เราอีก แฟนเรานี่ยังกับหิน โอ้ย!” ทันทีที่แอ้มพูดจบ ไอ้คินที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงกันข้ามก็ตีหน้าผากสาวเจ้าเข้าให้
“เราเจ็บนะคิน” แอ้มบ่นอุบ พลางลูบหน้าไม่หยุด ส่วนไอ้คินที่นั่งอยู่ข้างๆผม ก็เอาแต่ขยับปากไปมา เป็นคำสั้นๆว่า ‘สมน้ำหน้า’
“ไปเรียนกันได้แล้ว วู้ว!” ไอ้หมอกลุกขึ้นจากโต๊ะเป็นคนแรก จากนั้นทุกคนก็เริ่มทยอยกันเอาจานไปเก็บ ก่อนจะนัดเจอกันที่หน้าโรงอาหาร เพราะพี่เนย์จะแวะมารับผมด้วยตัวเอง
สิบสามคนภายในห้องเล็กๆ ทำเอาแทบไม่มีที่จะเดิน อีกทั้งบนเตียงก็แทบจะไม่มีพื้นที่ให้นั่ง เพราะงานของพี่เนย์ที่คงทำค้างกันเอาไว้ ในเวลานี้ได้ถูกวางเกลื่อนอยู่บนที่นอน มีทั้งโน้ตบุ๊ก หนังสืออะไรต่อมิอะไรอีกมากมายเต็มไปหมด แม้กระทั่งดินสอ ปากกา ก็ยังวางราวกับถูกโยนแหมะไว้อย่างไม่ได้ใส่ใจ
สภาพห้องตอนนี้ เลยทั้งรก ทั้งคับแคบไปถนัดตา“กูว่าระหว่างที่ยังทำไม่เสร็จ ให้คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องไปนั่งรอที่ห้องกูดีกว่ามั้ย ห้องมึงแม่งแทบไม่มีที่จะเดิน ไหนจะงาน ไหนจะคน” พี่ทีมที่กำลังนั่งหลบมุมอยู่บนหลังตู้หนังสือพูดขึ้น
“เออ กูก็ว่างั้น” สิ้นเสียงของพี่เนย์ พี่ทีมผู้เป็นเจ้าของห้องข้างๆกัน ก็เดินนำขบวนออกไป ผมจึงถอดกระเป๋าสะพายวางเอาไว้บนหลังตู้หนังสือ และตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง แต่พี่เนย์ดันบอกให้เปลี่ยนเสื้อซะก่อน ผมก็เลยต้องเดินเลี่ยงไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่วางตั้งอยู่ใกล้ๆกับตู้หนังสือ จากนั้นก็เดินหลบเข้าไปในห้องน้ำ กระทั่งอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว และกางเกงสีดำขาสามส่วนเรียบร้อยแล้ว ผมถึงได้ฤกษ์เดินไปเคาะประตูห้องของพี่ทีมอย่างเกรงใจ แต่คนที่มาเปิดประตูกลับกลายเป็นน้องสายรหัสของพวกพี่เขาซะงั้น
‘เอามั้ย?’ พี่บอสเดินไปเปิดตู้เย็น พร้อมกับหยิบไอศกรีมออกมาสองถุง จากนั้นก็กอดเอาไว้แน่น เพราะรุ่นพี่ตรงหน้าเขาต้องการจะใช้ภาษามือในการสื่อสารกับผม
‘ขอบคุณมากครับ’ ผมจึงยกมือขึ้นตั้งฉาก คล้ายกับกำลังจะพนมมือไหว้ แต่ไม่ได้ประกบกันจนชิด จากนั้นผมก็โน้มตัวไปข้างหน้า พร้อมกับค่อยๆแยกฝ่ามือทั้งสองข้างให้ออกห่างจากกัน พลางยกยิ้มให้กับพี่บอส พร้อมกับหัวเราะออกมานิดๆ ฝ่ายรุ่นพี่ตรงหน้าก็ยกยิ้ม พร้อมกับยื่นไอศกรีมยาคูลท์ส่งมาให้
‘ไปกินตรงนอกระเบียงกัน’ พี่บอสหมุนฝาเกียวตรงปากถุงของไอศกรีมโยเกิร์ต จากนั้นเจ้าตัวก็งับมันไว้ พร้อมกับใช้ภาษามือในการชักชวน ผมจึงยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับ และเดินตามกันไป
ขณะที่มือหนึ่งก็หมุนเกียวเพื่อเปิดฝา ก่อนจะดูดเนื้อไอศกรีมเข้าปากตามพี่บอส
กระทั่งออกมารับลมเย็นๆข้างนอกได้ ผมก็วางสองแขนลงบนราวระเบียงเหมือนกับพี่บอส พร้อมกับวางปลายคางลงบนข้างแขนอีกที ขณะที่ปากของเราก็ยังคงดูดไอศกรีมที่ว่านั่นอย่างเอร็ดอร่อย
‘มื้อนี้ ไอ้เนย์มันจัดขึ้นเพื่อรันเลยนะ’ ผมหันไปมองพี่บอส เมื่ออีกฝ่ายแตะข้อศอกผมเบาๆ จากนั้นรุ่นพี่ตรงหน้าก็ใช้ภาษามือในการสื่อสารกับผมอีกครั้ง
‘จริงเหรอครับ?’ ผมคาบจุกสำหรับดูดเนื้อไอศกรีมเอาไว้ พลางถามพี่บอสกลับเป็นภาษามือ
‘จริง’ พี่บอสจึงตอบกลับมาโดยการชูนิ้วชี้ออกมาเพียงนิ้วเดียว จากนั้นก็สะบัดขึ้นลง คล้ายกับท่าทางของอาจารย์เวลาชี้นิ้วเพื่อจะย้ำกับเด็กนักเรียนว่าให้ทำการบ้าน พร้อมกับเม้มปากและพยักหน้าเพื่อสนับสนุนถ้อยคำข้างต้น
‘มันบอกว่ารันกำลังคิดมากในแบบที่มันไม่เคยเห็น มันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง มันได้แต่หวังว่า ถ้าทุกคนมารวมตัวกัน รันจะได้ลืมเรื่องเครียดๆได้บ้างน่ะ’ ผมหันไปยิ้มให้พี่บอส พลางวางข้างแขนลงบนราวระเบียง และแตะปลายคางลงบนนั้นอีกที ขณะที่สายตาก็มองออกไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าที่ยังคงสว่างไสว
‘หมดยัง?’ พี่บอสถามพลางแบมือออกมาตรงหน้าผม
‘หมดแล้วครับ เดี๋ยวผมเอาไปทิ้งให้เองดีกว่า’ เมื่อใช้ภาษามือสื่อสารจบ ผมก็แบมือออกไปตรงหน้าของพี่บอสบ้าง
‘ไม่เป็นไร พี่จะไปเอามากินอีก กว่าพวกนั้นจะทำกันเสร็จคงอีกนาน เพราะพวกมันเพิ่งจะเริ่มทำกันเมื่อกี้เอง เห็นว่าทำงานกันเพลินไปหน่อยน่ะ’ ผมยิ้มพลางพยักหน้าและยื่นถุงไอศกรีมที่หมดเกลี้ยงแล้วให้พี่บอสเอาไปทิ้ง
จากนั้นผมก็หันกลับมาสนใจบรรยากาศตรงนอกระเบียงอีกครั้ง
‘ขอบคุณครับ’ พี่บอสนำไอศกรีมยาคูลท์มาให้ผมอีกถุง ซึ่งทีแรกผมก็ส่ายหัวปฏิเสธ เพราะผมเกรงใจ แต่รุ่นพี่ตัวเล็กกลับไม่ยอม จากนั้นเราก็ต่างคนต่างดูดไอศกรีมกันเงียบๆ แม้ว่าจะยืนอยู่ข้างๆกันก็ตาม เพราะรุ่นพี่ตรงหน้าเขาหมดธุระที่จะคุยกับผมแล้ว
ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าพี่บอสเขาเอาวิธีปลอบใจคนอื่นแบบนี้มาจากไหน แต่มันก็ทำให้ผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ซ้ำยังทำให้ผมอุ่นใจด้วย ที่อย่างน้อย ก็ยังมีอีกหลายๆคน ที่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ผม
“มากินกันได้แล้ว” เสียงตะโกนของพี่เนย์ ดูเหมือนจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกำแพงกั้นห้องตรงราวระเบียงมากนัก ผมจึงหันไปบอกพี่บอสด้วยภาษามือ จากนั้นเราสองคนก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ซึ่งก็พอดีกับช่วงที่เพื่อนคนอื่นๆ กำลังจะเดินออกไป ส่วนพี่ทีมก็กำลังจะเดินเข้ามาตามพวกเราสองคนให้ไปยังห้องพี่เนย์
ทั้งผมทั้งพี่บอสจึงต้องรีบดูดไอศกรีมลงท้องให้หมดกว่ามื้อเย็นที่มันค่อนไปทางมืดจะสิ้นสุดลง ท้องของพวกเราทั้งหมดก็แทบจะแตก เพราะพวกพี่เขาซื้อทั้งผัก ทั้งเนื้อมาเยอะมาก แต่เพราะพี่เอ้ทำน้ำซุปอร่อย พวกเราก็เลยฝืนกินกันจนหมด จากนั้นพี่เนย์ก็ต้องทำหน้าที่เป็นสารถีจำเป็น ในการขับรถไปส่งพวกเพื่อนๆของผมที่หอใน ผมก็เลยถือโอกาสติดรถอีกฝ่ายเข้าไปในมอด้วย เพราะผมอยากกินบลูเลม่อนโซดามากๆ ถึงแม้ว่ามื้อนี้จะกินเป็นมื้อที่สองแล้วก็ตาม แต่อะไรเย็นๆ เปรี้ยวๆอมหวาน มันก็น่าจะช่วยให้ผมรู้สึกโอเคขึ้น
เพราะตอนนี้ผมทั้งเลี่ยน ทั้งแน่นท้องไปหมดแล้ว
“กินมั้ย ?” พอขึ้นมาบนรถ ผมก็ถามสารถีจำเป็นที่กำลังนั่งไถหน้าจอโทรศัพท์เล่น พร้อมกับยื่นแก้วบลูเลม่อนไปตรงหน้าอีกฝ่าย โดยปลายหลอดก็จ่ออยู่ตรงริมฝีปากของพี่เขาพอดีเป๊ะ
“อืม” พี่เนย์ตอบในลำคอ จากนั้นอีกฝ่ายก็งับปลายหลอดเพื่อดูดบลูเลม่อนของผมไปอึกใหญ่ กระทั่งสารถีเขาเลิกให้ความสนใจกับโทรศัพท์แล้ว พี่เขาก็เริ่มขับรถเพื่อกลับไปยังหอของตัวเอง ส่วนผมก็นั่งหันหน้าออกไปมองยังด้านนอกหน้าต่าง
พร้อมกับดูดบลูเลม่อนจากปลายหลอดเดียวกันเงียบๆ“มึงมันคนเจ้าเล่ห์ เมื่อกี้แอบหลอกจูบกูทางอ้อมนี่หว่า”-----------------------------------------------------------------
21/01/2018 แก้คำผิด รอบครอบ > รอบคอบ
เนื่องจากเราลงนิยายเรื่องนี้ไว้ทั้งสามเว็บ ก็เลยมีคอมเมนท์จากอีกเว็บนึงที่น่าสนใจ เราเลยเอามาแบ่งปันให้ได้อ่านกันให้ครบทุกเว็บที่ลง
Q : ภาษามือของไทย กับภาษามือของต่างชาติเหมือนกันหรือเปล่าAns : จากบทความที่เคยอ่านนะคะ ภาษามือของแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกันค่ะ แต่ว่าภาษามือก็จะมีภาษาสากลเหมือนกัน เรียกว่า ไอเอส (International Sign : IS) หรือ เกสตูโน (Gestuno) แต่ว่าไม่เป็นที่นิยมมากนัก และมักจะใช้ในงานระดับนานาชาติค่ะ เช่น งานประกวด Miss & Mister Deaf Thailand ซึ่งในบางครั้งก็อาจจะต้องใช้ล่าม เพื่อแปลภาษามือในประเทศนั้นให้เป็นภาษามือสากลอีกทีหนึ่ง เพื่อสื่อสารกับคนชาติต่างๆ
ที่มา : http://themomentum.co/happy-life-5-stories-about-sign-languageตอนนี้น่าจะยาวกว่าทุกตอนแล้ว ใช้เวลาเขียนนานเหมือนกันค่ะ เพราะลบทิ้งอยู่หลายรอบ กว่าจะได้เนื้อเรื่องที่มันน่าพอใจ คาดว่าตอนหน้าหรือไม่ก็อีกตอนนึง น่าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้ว ที่พี่เนย์กับรันจะอยู่ด้วยกัน หลังจากนี้ก็จะต้องแยกกันอยู่คนละจังหวัด เนื้อเรื่องก็จะเข้มข้นขึ้นเล็กน้อย คาดว่าน่าจะจบไม่เกิน 15 ตอนนะคะ แต่ถ้าเกินก็คงจะไม่เกิน 20 ตอนค่ะ
ปล. เป็นตอนพิเศษที่ควรเรียกว่าภาค 2 ฮ่าๆ
คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี)