Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]  (อ่าน 130744 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you ♥
[!!] ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับน้องรัน หมอก และพี่บอส (กรณีพูดไม่ได้ + บกพร่องทางการได้ยิน)
*พอดีในเว็บอื่นที่เราลงไว้ มีคอมเมนต์ตั้งข้อสงสัย เราเลยเอามาลงที่นี่ด้วยค่ะ เผื่อหลายๆคนที่อ่านที่นี่ก็อาจจะมีคำถามในใจเช่นกัน*


* กรณีของน้องรัน (พูดไม่ได้ แต่ทำไมออกเสียงได้)
เราต้องขอชี้แจงก่อนนะคะ คือปมของน้องรันเนี่ย เราไม่ได้บอกโต้งๆ ภายในตอนเดียว แต่มันจะมีแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่องเลยค่ะ เราจะค่อยๆคลายออกมาว่าทำไมน้องถึงเป็นแบบนี้ น้องคิดอะไรอยู่ ซึ่งล้วนเป็นบทบรรยายทั้งสิ้นเลยค่ะ

(บทบรรยายที่เกี่ยวข้องกับตัวน้องรัน)
ทั้งนี้เราจะแคปให้เป็นส่วนๆ เลยนะคะ แต่จะขอแปะแค่ลิงค์เพื่อป้องกันคนที่ไม่ต้องการให้สปอยเนื้อหา ซึ่งเราจะมาอธิบายต่อไปอีกว่า ตกลงแล้วทำไมน้องถึงอุทานออกมาได้


https://i.imgur.com/uwLEVGy.jpg
ในส่วนนี้ สามารถตีความได้ว่า น้องคือคนปกติคนหนึ่ง เพียงแค่ ต่อมามีเหตุให้พูดไม่ได้ ซึ่งเรายังไม่ได้เฉลยในตอนนั้น
https://i.imgur.com/xQFrCYY.jpg
สาเหตุที่ทำให้น้องพูดไม่ได้ (คือมันเป็นเชิงอุบัติเหตุที่ส่งผลต่อจิตใจค่ะ)เท่ากับว่าน้องเป็นเด็กที่เคยพูดได้ แต่เพราะเหตุการณ์นี้ มันส่งผลต่อจิตใจอย่างมาก คนที่เคยพูดได้ ก็เลยพูดไม่ได้ ซึ่งก็เท่ากับว่า กล่องเสียงของเขาไม่ได้ถูกทำลาย ดังนั้นการส่งเสียง จึงสามารถทำได้นะคะ เช่นเดียวกับคนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (คนหูหนวก) คือจริงๆแล้ว สาเหตุที่เขาพูดไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยได้ยินเหมือนกับเรา เขาเลยไม่รู้ว่าควรจะต้องออกเสียงยังไง เราจึงสื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจค่ะ (ในส่วนนี้เราอธิบายไว้ตรงพี่บอสกับหมอกค่ะ)
https://i.imgur.com/zkiV0a9.jpg
นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้องพูดไม่ได้ ซึ่งมันเกี่ยวเนื่องกับปมต้นเหตุค่ะ แต่เป็นด้านจิตใจที่มีต่อครอบครัว (จริงๆปมน้องเยอะมากค่ะ แต่จะเฉลยในเรื่องทั้งหมด)
https://i.imgur.com/Inc0y6N.jpg
ทีนี้พอคนเรามีความรัก หรือมีความอึดอัดใจจนทนไม่ไหว เขาจึงเลือกที่จะพูด เราก็จะเขียนให้น้องพูดไม่รู้เรื่อง ใครฟังก็ไม่เข้าใจ

โรคที่น้องรันเป็นในทางการแพทย์คือ
โรค PTSD หรือ Post-traumatic stress Disorder (โรคเครียดหลังประสบเหตุการณ์สะเทือนใจ กับความผิดปกติทางอารมณ์ที่กระทบต่อการดำเนินชีวิต)
ในกรณีของเด็กพญ. เบญจพร ปัญญายง จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า หากผู้ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเป็นเด็กเล็ก อายุ 20 เดือน - 6 ปี การสื่อสารจะทำได้ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นผู้ปกครองอาจวินิจฉัยโรคได้จากการสังเกตพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งมักจะพบว่าเด็กจะเสียทักษะทางพัฒนาการที่เคยทำได้ เช่น เคยพูดได้ กลับพูดไม่ได้ ปัสสาวะรดที่นอนทั้งๆที่เคยควบคุมได้ หรือมีอาการแปลกๆเกิดขึ้นใหม่ เช่น กังวลกับการพลัดพราก ก้าวร้าว หรือกลัวสิ่งต่างๆที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ทั้งนี้อาการจะค่อยๆเกิดขึ้นและหายไปได้เองในราวๆ 4-6 สัปดาห์ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ และเมื่อผ่านไปสามเดือนแล้ว เด็กจะรู้สึกดีมากขึ้น แต่หากยังไม่หายก็ต้องบำบัดรักษาแก้ปัญหากันต่อไป โดย
1. บำบัดทางจิตใจ
2. การให้คำปรึกษาครอบครัว

ที่มา : https://t.co/F4QAyP9dOc

***** ในเนื้อเรื่องเรามีบอกอยู่ค่ะว่าน้องเป็นตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ซึ่งน้องยังเด็กมากๆ และที่น้องยังคงเป็นต่อเนื่องมา เราก็ได้แก้ปมไว้แล้วว่าทำไม น้องคิดอะไรถึงไม่ยอมไปรักษา แต่ครอบครัวน้องก็ดูแลน้องนะคะ คุณแม่ลาออกมาเพื่อดูแลน้องเลยค่ะ นั่นจึงรวมไปถึงการที่คุณแม่ไปปรึกษาคุณหมอด้วย จริงๆเรื่องของรันเนี่ยมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางจิตใจมากกว่าค่ะ ไม่ได้เกี่ยวกับน้องเป็นใบ้ อย่างที่คนอื่นๆว่าน้อง เรียกให้เข้าใจง่ายๆก็คือ อาการช็อคค่ะ ซึ่งมันก็จะเกี่ยวเนื่องไปถึงการรักษาให้น้องกลับมาพูดได้อีกครั้ง แต่ทั้งนี้ก็ต้องหลังจากที่สภาพจิตใจของน้องดีขึ้น ซึ่งเราได้มีเขียนเอาไว้แล้วว่าอะไรบางอย่างได้ช่วยให้น้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังมีปมในอยู่ จนทำให้อาการดีขึ้นแค่สภาพจิตใจ

ภาวะเสียการสื่อความ
1. รักษาสาเหตุของภาวะเสียการสื่อความ เช่น การผ่าตัดเมื่อสาเหตุเกิดจากเนื้องอกในสมอง หรือ การใช้ยาต้านเกล็ดเลือดเมื่อสาเหตุเกิดจากสมองขาดเลือด เป็นต้น
2. รักษาด้วยการฝึกพูดและสื่อความหมาย โดยนักฝึกพูดและสื่อความหมายทั้งนี้ กรณีภาวะเสียการสื่อความหมาย เป็นไปแบบไม่รุนแรง ผู้ป่วยจะค่อยๆดีขึ้น และหายเป็นปกติ แต่ถ้าความผิดปกติเป็นแบบ ภาวะเสียการสื่อความแบบรับรู้และแสดงออกผิดปกติ มักจะหายเป็นปกติยากมาก
ถ้าผิดปกติเฉพาะการพูดหรือการเรียกชื่อ จะเริ่มเห็นว่าอาการดีขึ้นชัดเจนประมาณ 3-6 เดือน แต่กรณีอื่นๆ จะใช้เวลามากกว่า 1 ปี

****** ในเนื้อเรื่องก็ได้มีการเขียนถึงส่วนนี้เช่นกันค่ะ

กรณีหมอก และพี่บอส

(บทบรรยายที่เกี่ยวข้องกับพี่หมอกพี่บอส)
https://i.imgur.com/HHFSrYf.jpg
หมอกเนี่ยเราบรรยายไว้ว่าใส่เครื่องช่วยฟัง เท่ากับว่าหมอกเป็นผู้บกพร่องทางการได้ยินประเภทหูตึงค่ะ
https://i.imgur.com/UmofB8G.jpg
พี่บอส เราบรรยายว่า ไม่ได้ยินและพูดไม่ได้ เท่ากับว่าพี่บอสเป็นผู้บกพร่องทางการได้ยิน ประเภทหูหนวกค่ะ

ผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง บุคคลที่บกพร่องหรือสูญเสียทางการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจน ตั้งแต่ระดับรุนแรงจนถึงระดับน้อย
1. หูหนวก หมายถึง สูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้ หากไม่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษ และถ้าวัดระดับการได้ยินที่ 500 - 2000 จะมีการพูดตอบสนองของหูข้างที่ดีกว่าต่อเสียงบริสุทธิ์ตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
2. หูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินจนไม่สามารถเข้าใจคำพูดและการสนทนา ซึ่งจำแนกตามเกณฑ์การพิจารณา อัตราการของหูของสมาคมโสต ศอ นาสิก แพทย์แห่งประเทศไทย โดยใช้ค่าเฉลี่ยการได้ยินที่ความถี่ 500,1000 และ 2000 ในหูของที่ดีกว่า เด็กหูตึงจึงแบ่งได้ตามระดับการได้ยิน 4 กลุ่ม
- เด็กหูตึงระดับ 1 มีการได้ยินเฉลี่ย 26 - 40 dB (ตึงเล็กน้อย) จะมีปัญหาในการฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงจากที่ไกลๆ เด็กกลุ่มนี้สามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติในห้องเรียนธรรมดาได้ (หากมีเครื่องช่วยฟังก็จะเป็นประโยชน์มาก) และหากอยู่ในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าคนพูด ดังนั้นเมื่อพูดด้วยเสียงธรรมดาก็จะไม่ได้ยิน หรือได้ยินไม่ชัดจับใจความไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบาหรือเสียงผิดปกติ
- เด็กหูตึงระดับ 2 มีการได้ยินเฉลี่ย 41 - 55 dB (ตึงปานกลาง) จะมีปัญหาในการฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับเด็กหูตึงระดับ 1
- เด็กหูตึงระดับ 3 มีการได้ยินเฉลี่ยน 56-70 dB (ตึงมาก) มีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงที่ดังเต็มที่ ก็จะยังไม่ได้ยิน มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน เช่น เสียงในห้องประชุม มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าเด็กปกติ พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
- เด็กหูตึงระดับ 4 มีการได้ยินเฉลี่ยน 71-90 dB (ตึงรุนแรง) มีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก จะได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังอยู่ใกล้ๆหูในระยะทาง 1 ฟุต ต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง จึงจะได้ยิน และถึงแม้จะใช้เครื่องช่วยฟังก็จะมีปัญหาในการแยกเสียง อาจจะแยกเสียงสระได้ แต่จะแยกเสียงพยัญชนะได้ยาก มักพูดไม่ชัด และมีความผิดปกติ บางคนไม่พูด

ที่มา : https://t.co/kymJAYg960

ทั้งนี้ เราหวังว่าทุกคนจะเข้าใจกันมากขึ้นนะคะ ว่าคนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินเนี่ย ใช่ว่าเขาจะพูดไม่ได้เลย ดูท่าแล้ว จะมีคนเข้าใจผิดเยอะมากค่ะ ทีแรกเราจะไม่เอาบทความทางวิชาการลงนะคะ เราคิดว่ามันคงจะหนักไปสำหรับนิยาย แต่พอเราเห็นคอมเมนต์ในเชิงที่ไม่เข้าใจว่า สรุปแล้วที่น้องรันอุทานเนี่ย ตกลงคือพูดได้หรือไม่ได้ แล้วก่อนหน้าก็ยังมีคนอ่านไม่เข้าใจว่าตกลงแล้วใครพูดได้บ้างไม่ได้บ้าง เราเลยตัดสินใจนำข้อมูลที่เราหาไว้มาให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ คือก่อนที่เราจะเขียนเรื่องนี้ เราทำการบ้านมาเยอะพอสมควร แต่อาจจะไม่ได้เขียนข้อมูลเชิงวิชาการออกไปโต้งๆ ก็อย่างที่เคยบอกค่ะ สำหรับเรื่องผู้ที่มีความบกพร่อง เราจะใช้คำที่เลี่ยงไม่ให้กระทบต่อความรู้สึกของพวกเขา หลายๆคนจึงอาจจะไม่เข้าใจ แต่ทั้งนี้เราอยากให้ทุกคนอ่านให้ครบทุกตัวอักษรนะคะ ในเนื้อเรื่องเรามีเขียนเอาไว้หมดแล้ว เพราะถ้าหากอ่านไม่ครบ ก็จะไม่เข้าใจลักษณะทางกายภาพของตัวละคร หรือความรู้สึก ความนึกคิดของตัวละครเลยค่ะ และอาจจะทำให้อ่านเรื่องนี้ไม่เข้าใจไปด้วย แต่ถ้าหากยังไ่ม่เข้าใจ สามารถ dm ทวิตเตอร์ @kwang_chomin มาถามได้เป็นการส่วนตัวเลยค่ะ เราจะได้ทราบว่ามุมไหนที่เราพลาดไปบ้าง เพราะโครงหลักของเรื่องคือเราต้องการเน้นที่ภาษามือค่ะ เพราะเราอยากจะเผยแพร่ภาษามือ เราก็เลยไม่ได้ลงลึกตรงส่วนอื่นมากนัก ดังนั้นในเรื่องจึงไม่มีการกล่าวว่าน้องป่วยเป็นโรคอะไร แต่เราคิดว่าเราอาจจะต้องเพิ่มช่วงที่ขาดหายไป ตอนที่น้องไปหาหมอซะแล้วค่ะ อาจจะเป็นในมุมของพี่เนย์ แต่คงต้องรอจบตอนพิเศษก่อน เพื่อให้เรื่องสมบูรณ์มากขึ้นค่ะ เพราะเนื้อเรื่องหลักและตอนพิเศษ เราจะเขียนในมุมน้องรันทั้งหมด น้องจึงพูดหรือคิดโดยใช้อารมณ์สื่อความหมายผ่านการบรรยายค่ะ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-11-2017 00:02:34 โดย Chomin »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ
 :pig4:

ปล. ส่วนตัวไม่มีข้อสงสัยเท่าไหร่เพราะคนเขียนใส่ไว้ในเนื้อหาครบแล้ว ยังแอบชมในใจเลยค่ะว่าหาข้อมูลมาแน่นดี :katai2-1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-11-2017 00:02:30 โดย Al2iskiren »

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สำหรับการแทะของคนพี่นั้นน น่ารักและสมูทดีนะสำหรับเรา ฮ่าๆ แอบเขินแทนน้องเลย

ข้อมูลเเน่นมากได้ความรู้อีกหลายอย่างเลยอ่ะ

เป็นกำลังใจให้คนเเต่งนะคะ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ฉากในความมืดที่รันพูดได้ไม่มีสะดุด แม้จะน้อยก็แปลกๆนะ

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ละมุนมาก รักกกกกกกก

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 8

ยิ่งใกล้ไฟนอลของปลายเทอมนี้มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเหนื่อยมากขึ้นเท่านั้น เพราะไหนจะต้องสอบเก็บคะแนนของภาษามือที่มีแทบทุกคาบ แล้วไหนจะโปรเจคของสาขาที่ยังไม่ค่อยคืบหน้าอีก ไหนผมยังจะต้องเดินทางกลับบ้านไปหาหมอ เพื่อประเมินผลการพูดว่ามันคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว จากนั้นก็ต้องรีบเดินทางกลับมายังมหาลัยภายในวันเดียวกัน เพราะว่าวันรุ่งขึ้น ผมมีเรียนวิชาสำคัญซึ่งก็คือภาษามือ จะมาขาดเรียนเหมือนวิชาภาษาอังกฤษที่สามารถกลับมาอ่านทบทวนทีหลังไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้น แม้ว่าผมจะขาดเรียนไปแค่วันเดียว แต่ภายในหนึ่งวันนั้น ก็ใช่ว่าเนื้อหาจะไม่เยอะ

ติ้ง!

‘หมอว่ายังไงบ้าง?’ ผมที่กำลังนั่งเหม่อเพราะกำลังขบคิดไปถึงเรื่องเรียน ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับหอ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น และเมื่อหยิบขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่าใครอีกคนเขากำลังเป็นห่วง
‘หมอก็ทดสอบการพูดเยอะเลยครับ ทั้งชื่อเดือน ชื่อวัน สูตรคูณ แต่พวกนี้ผมผ่านนะ แต่พอหมอให้ลองพูดแบบเป็นประโยคดู ก็เป็นอย่างที่พี่รู้ หมอเลยแนะนำว่า เวลาไปกินข้าวหรือทำกิจกรรมอะไร ให้ผมมีความมั่นใจ จะได้พูดให้เป็นธรรมชาติ เพราะตอนนี้ผมยังพูดเหมือนกับท่องจำอยู่เลย’ ผมรัวปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดตรงหน้าจอสี่เหลี่ยมอย่างรวดเร็ว ขณะที่ในใจก็แอบท้อแท้
เพราะเหมือนกับว่าตอนนี้ ทุกอย่างมันดูรุมเร้าไปหมด

‘อืม ไม่เป็นไร ค่อยๆฝึกต่อไป นัดประเมินรอบหน้าหมอต้องชมมึงแน่’ ผมอมยิ้มกับคำปลอบใจของพี่เนย์ จากนั้นก็รีบก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็ว
‘ครับ’

‘กว่าจะถึงหออีกนานหรือเปล่า หิ้วท้องมากินที่นี่ไหวมั้ย วันนี้กูไม่ขี้เกียจ จะทำมื้อเย็นให้ ฝากชวนแม่มึงด้วย’ ผมอ่านข้อความของพี่เนย์ พลางกระพริบตาปริบๆ เพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา
เพราะตอนนี้ ความอ่อนโยน ความใส่ใจของพี่เนย์ มันทำให้ผมอยากจะร้องไห้ อยากจะปลดปล่อยความอึดอัดในใจทุกๆเรื่อง แต่ที่หนักสุดก็คงจะเป็นผลตรวจของตัวเอง ที่ยังคงเหมือนย่ำอยู่กับที่
แม้ว่าคุณหมอจะพูดปลอบใจแล้วว่า อันที่จริงผลการประเมินมันก็พอจะคืบหน้าอยู่บ้าง

แต่เพราะผมรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าจริงๆแล้ว มันอาจจะไม่คืบหน้าเลย ถ้าหากพี่เนย์ไม่ได้พูดกระตุ้นแบบกึ่งบังคับ ให้ผมลองฝึกพูดแบบควบประโยค รอบนี้ผมก็อาจจะถูกคุณหมอดุเอาได้
ในเมื่อรอบก่อน ตอนช่วงวันหยุดที่ผมเคยไปรับการประเมินครั้งที่สอง ผมก็พูดแบบกระท่อนกระแท่นทีละคำๆ นี่แหละ ซึ่งคุณหมอก็เคยให้คำแนะนำมาแล้ว แต่พอผมลองกลับมาทำด้วยตัวเองดู ก็พบว่ามันยากมากๆ ผมก็เลยชอบแอบมาฝึกพูดแค่ตอนอาบน้ำ เหมือนกับตอนที่คุณหมอให้ผมลองฝึกบริหารปากนั่นแหละ
จึงทำให้พี่เนย์ต้องยื่นคำขาดแบบนั้น

พูดง่ายๆก็คือ เรื่องการฝึกพูด พี่เนย์จะแอบซีเรียสมากๆ เพราะปกติพี่เขาจะไม่ค่อยออกปากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ถ้าหากมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นจริงๆ เหมือนกับช่วงที่อีกฝ่ายไม่เห็นผมฝึกบริหารปากนั่นแหละ เพียงแต่รอบนี้ พี่เขาแค่เตือนเหมือนกับพูดเล่นๆ
ซึ่งถ้าหากได้ลองนึกย้อนกลับไป ก็จะรับรู้ได้ทันทีว่า จริงๆแล้ว พี่เนย์เขาแอบดุผมอยู่นะ เพราะแววตาของอีกฝ่ายไม่ได้มีรอยยิ้มอยู่ในนั้นเหมือนทุกครั้ง และการที่ผมย้อนถามกลับไปในทำนองที่ว่า ‘พี่กล้าลงโทษผมเหรอ’ พี่เนย์ก็ตอบกลับมาด้วยความจริงจัง ทั้งจากภาษามือและคำพูด ซึ่งมันก็เท่ากับว่า นั่นคือบทลงโทษที่แท้จริงของคนที่ไม่ยอมเชื่อฟัง แต่กว่าผมจะรู้ตัว เรื่องมันก็ผ่านมาได้สักพักแล้ว แถมพี่เนย์ก็ยังกระตุ้นพัฒนาการทางด้านการพูดของผมจนสำเสร็จไปแล้วด้วย
แม้ว่าในตอนนั้น ผมจะไม่รู้ตัวเลยก็ตาม
ว่าอีกฝ่ายกำลังแอบอบรมผมอยู่เงียบๆ

‘ผมหิ้วท้องไปกินไหวครับ เดี๋ยวถ้าใกล้จะถึงแล้ว ผมจะไลน์ไปหาอีกทีนะ’

ประมาณทุ่มกว่าๆ ผมก็มาถึงที่หอพี่เนย์ โดยที่คุณแม่ก็เอาแต่แซ็วผมไม่หยุด เรื่องจะรอไปกินข้าวกับอีกฝ่าย ผมเลยต้องอธิบายให้แม่ฟังจนเข้าใจ ว่าพี่เนย์เขาอยากจะทำอาหารปลอบใจเรื่องการฝึกพูด แล้วอีกอย่างแฟนผมเขาไม่ใช่คนที่จะทำอาหารให้ใครกินง่ายๆนะ ถึงเพื่อนจะขอร้อง บังคับ หรืออะไรก็ตาม ถ้าหากเจ้าตัวขี้เกียจก็จะไม่ยอมทำเด็ดขาด
ขนาดมีครั้งนึง พี่เนย์เขาถึงกับโทรมาจองตัวผมเลย แต่ตอนนั้นผมไม่สะดวกจะตอบรับคำเชิญ จำได้ว่าวันนั้น อีกฝ่ายถึงกับทำเสียงหงอยๆ แต่หลังจากนั้น พี่เขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นอีก ซึ่งผมก็ยังไม่ลืมหรอก แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่ ว่าอาหารฝีมือของคุณอาคเนย์เขาน่ะ ใช่ว่าใครจะได้กินกันง่ายๆ ผมก็เลยไม่อยากจะทักท้วง รอให้เจ้าตัวเขาออกปากอยากทำเอง มันก็น่าจะดีกว่า

“แม่ไม่อยากกลับดึก ยังไงแม่ฝากขอโทษพี่เนย์เขาด้วยนะรัน”
“ครับ ขับรถดีๆ..นะครับ ถึงแล้ว..ไลน์มาบอก..ผมด้วย” ผมก้มหน้าลงไปในระดับเดียวกับคุณแม่ ที่ลดกระจกลงจนเกือบสุด จากนั้นคุณนายระพี ก็ขับรถออกจากหอพักของพี่เนย์ ส่วนผมก็หันหลังและเดินเข้าไปยังตัวอาคารอย่างรวดเร็ว
เพราะว่าวันนี้ผมดันกลับมาถึงหอช้ากว่าที่คิด

คลิก

“ถึงแล้วครับ” ผมไขกุญแจ พลางแทรกตัวเข้าไปในห้อง พร้อมกับพูดแสดงการมีตัวตนอย่างสดใส อีกทั้งคำพูดในประโยคนี้ ก็ยังฟังดูเป็นธรรมชาติมากๆ ด้วย
“วันนี้พี่..ไม่ได้เบี้ยว..ผมใช่มั้ย?” ผมถอดรองเท้า พลางถามคนที่กำลังนั่งหันหลังเกลากีตาร์เล่นอยู่ตรงปลายเตียง

“กูบอกแล้วไง ว่าวันนี้กูไม่ขี้เกียจ เออ แล้วคุณแม่ของมึงล่ะ” พี่เขาถามนิ่งๆ จากนั้นก็หยุดกิจกรรมส่วนตัว เพื่อมาทำอาหารง่ายๆจากไมโครเวฟให้ผมกิน ซึ่งพ่อครัวหัวป่าเขาบอกไว้ว่า ไม่อยากจะทำไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวมันชืดแล้วจะกินไม่อร่อย
“แม่ฝากมา..ขอโทษครับ..พอดีแม่กลัว..จะถึงบ้าน..ดึก” พอพี่เนย์พยักหน้ารับรู้ ผมก็ตัดสินใจไปอาบน้ำ รออีกฝ่ายที่กำลังจะทำมื้อค่ำให้กิน

ซึ่งครั้งนี้ ผมใช้เวลาอาบน้ำอยู่นานพอสมควร เพราะผมจะลองฝึกพูด ให้มันดูเป็นธรรมชาติแบบเมื่อครู่ แต่ผลการฝึกก็คือทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง และส่วนใหญ่ที่ทำไม่ได้ ก็เพราะผมเลือกจะพูดควบประโยคทีเดียวถึงสี่คำ
“พี่ทำอะไร..ให้ผมกิน..เหรอครับ” ผมเดินไปยืนเช็ดหัว ตรงโต๊ะญี่ปุ่นสำหรับตั้งไมโครเวฟ พลางมองวัตถุดิบต่างๆ ที่วางเกลื่อนอยู่เต็มโต๊ะตัวนั้น ขณะที่พี่เนย์กำลังเอาเนื้อไก่ที่ผ่านการอบมาแล้ว ไปเรียงไว้ในถ้วยใบหนึ่งที่มีข้าวสวยสีขาวถูกโปะหน้าด้วยผักที่ก็ผ่านการเวฟมาแล้ว

“โอยาโกะด้ง” พี่เนย์ตอบสั้นๆ พลางคว้าถ้วยที่ใส่ไข่ไก่เอาไว้หนึ่งฟอง ส่วนอีกฟองพี่เขาเอาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็ตอกไข่ใส่ลงในถ้วยใบเดิม พร้อมปรุงรสอีกนิดหน่อย และใส่ต้นหอมลงไป แล้วก็นำไปราดลงในถ้วยใบหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นถ้วยสำหรับนำมาเสิร์ฟผม ก่อนจะเอาเข้าเวฟ ผมจึงนำผ้าเช็ดตัวไปตาก แล้วก็พาตัวเองกลับมานั่งรอบนเตียง เพราะไม่อยากจะเข้าไปเกะกะอีกฝ่าย
“มึงแลจะชอบอาหารญี่ปุ่น กูเลยจะทำเมนูนี้ให้” พี่เนย์หันมาพูดกับผม พร้อมด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเจ้าตัวก็หันกลับไปเฝ้ามองตัวเลขที่ค่อยๆนับถอยหลังลงเรื่อยๆ กระทั่งกลายเป็นเลขศูนย์ เครื่องไมโครเวฟก็ส่งเสียงร้องออกมา พี่เนย์จึงเปิดฝาและใส่ถุงมือกันความร้อน ก่อนจะหยิบถ้วยโอยาโกะด้งออกมา จากนั้นก็ตั้งอกตั้งใจทำอะไรบางอย่างกับจานนั้นอีกครั้ง แล้วก็นำเข้าไมโครเวฟอีกรอบ

“แล้วพี่กินข้าว..หรือยังครับ” ผมย้ายตัวเองลงมานั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นสำหรับทานข้าวตรงมุมห้องใกล้ๆระเบียง จากนั้นก็ถามไถ่พ่อครัวหัวป่าที่เขานำอาหารมาเสิร์ฟด้วยความเป็นห่วง เพราะกว่าจะทำได้แต่ละจานก็ใช้เวลานานมาก
“กินแล้ว ก็ตอนนั้นมึงบอกให้กูหาอะไรกินก่อนไม่ใช่หรือไง?” พี่เนย์ถอดถุงมือกันความร้อนออก พลางเดินเอาไปวางไว้ตรงหลังเตาไมโครเวฟ

“ครับ..ทำไมพี่เป็น..เด็กดีจัง” ผมย้อนถามพี่เนย์ พลางตักข้าวโอยาโกะด้งเข้าปากคำแล้วคำเล่า
“ใครจะเหมือนมึง ดื้อเงียบ วันนี้เป็นหนูจำไมเหรอ” คุณพ่อครัวหัวป่าเขาก็รีบย้อนกลับมาทันที ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูด มันคือเรื่องจริงที่ไม่อาจเถียงได้

“หมอบอกให้..ฝึกพูดให้..เป็นธรรม..ชาติ..ไงครับ” ผมพูดคุยตอบโต้กับพ่อครัวหัวป่าที่กำลังทยอยหยิบจานที่ใช้สำหรับเตรียมวัตถุดิบไปเก็บล้างตรงระเบียงห้อง
“แต่ทำไมกูรู้สึกเหมือนมึงกำลังกวนตีนกูวะ” พี่เนย์ที่กำลังล้างจานรีบตะโกนตอบกลับมาทันที ผมที่กำลังกินข้าวฝีมือเจ้าตัวก็เลยได้แต่แอบอมยิ้มจนเต็มแก้ม

“เปล่าสักหน่อย” ผมแก้ตัว จากนั้นก็รีบกวาดทุกอย่างในถ้วยโอยาโกะด้งลงท้อง ก่อนจะรีบนำถ้วยเปล่าเลอะๆนั่น ไปส่งให้อีกฝ่ายที่กำลังล้างจาน พร้อมกับย่อตัวลงนั่งยองๆ อยู่ตรงปากประตู
“เป็นอะไรของมึง” พี่เนย์ถาม พลางนำจานที่เลอะฟองน้ำยาล้างจาน ไปล้างน้ำเปล่าจากปลายก๊อก ก่อนจะยื่นจานสะอาดเอี่ยมมาให้ผมที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเจ้าตัว แถมยังไม่ไกลจากที่คว่ำจานด้วย

“ผมแค่คิด..ว่า..วันนี้ผม..โชคดีจัง..ที่ได้กินอาหาร..ฝีมือพี่..นะ..เอ” ผมอธิบาย พลางขยับมานั่งยองๆตรงปากประตูอีกครั้ง เพื่อรอรับจานใบต่อๆไป
“รู้ไว้ก็ดี พลาดแล้วพลาดเลย เพราะกว่าจะได้กิน มึงต้องรอให้กูขยันก่อนนะ เพราะกูขี้เกียจมานั่งล้างจานนี่แหละ” พี่เนย์ว่าพร้อมกับยื่นจานอีกใบส่งมาให้

“แม่ผม..ก็ชอบ..บ่นแบบนี้..เวลาทำ..อาหารเสร็จ” ผมพูดพลางกลั้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“นั่นแหละ หัวอกของคนทำอาหาร ตอนทำก็มีความสุข แต่ตอนเก็บล้างนี่มันนรกชัดๆ” คุณพ่อครัวเขาพูดขึ้นขณะที่จานใบสุดท้ายก็ถูกล้างน้ำเปล่าจนสะอาดเอี่ยม อีกฝ่ายจึงส่งมาให้ จากนั้นก็สะบัดน้ำใส่หน้าผมที่ยังไม่ทันได้ขยับไปไหน เท่านั้นไม่พอ ร่างสูงยังลุกขึ้นยืนพร้อมกับวางฝ่ามือลงบนศีรษะของผมและขยี้มันเบาๆ จนหัวของผมมันยุ่งไปหมด
แต่ว่าก็ว่าเถอะ เมื่อกี้ผมเพิ่งจะสระผมไปเองนะ

“พี่ครับ..เราจะพูดยังไง..ให้ดูเป็น..ธรรมชาติ..ไม่เหมือนกับ..ท่องจำ..ดีครับ” ผมชันเข่าทั้งสองข้างบนที่นอน ส่วนสองแขนก็กอดเข่าเอาไว้แน่น พลางวางปลายคางเอาไว้ที่หัวเข่า ขณะที่สายตาก็มองจ้องไปยังชายหนุ่มในเสื้อยืดสีดำสนิท ที่กำลังเช็ดโต๊ะตรงหน้าเตาไมโครเวฟ
“ให้ใช้ความรู้สึกมั้ง ประมาณว่ามึงต้องเข้าใจในประโยคที่มึงพูดด้วย แต่จริงๆกูว่าหมอน่าจะหมายถึงให้มึงมั่นใจในตัวเองเวลาที่มึงพูด ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ก็ขอให้ฝึกให้สม่ำเสมอมันจะได้เคยชิน แล้วคำไหนที่พูดไม่ได้ก็น่าจะให้พูดย้ำๆ เพื่อที่มึงจะได้บริหารปากของตัวเองบ่อยๆ ความคล่องตัวจะได้กลับมาไง” พี่เนย์อธิบายในมุมมองของตัวเอง จากนั้นก็ลุกเดินออกไปข้างนอกระเบียงเพื่อไปซักผ้าขี้ริ้วและตากให้เรียบร้อย

“แต่เวลาที่..ผมพูด..สมองของผม..ก็ต้องคิดถึง..ไวยากรณ์..ของภาษามือ..เพราะผมต้อง..ฝึกทั้งสอง..อย่างพร้อมๆ..กัน” ผมเม้มปากพลางอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจปัญหาของผม ที่มันซับซ้อนกว่านั้น ซึ่งมันก็จำเป็นต่อผมทั้งสองอย่าง
“แต่ส่วนใหญ่เวลาที่มึงอยู่กับกู มึงก็ไม่ค่อยได้ฝึกภาษามือแล้วไม่ใช่เหรอ มึงก็ลองใช้เวลาที่มึงอยู่กับกู สนใจแต่เรื่องการพูดก็ได้ ส่วนตอนอยู่กับเพื่อน มึงจะฝึกภาษามืออย่างเดียวก็ได้ ของแบบนี้มันเปลี่ยนวิธีการกันได้เว้ยรัน เพราะถ้ามึงทำแบบนั้นแล้วไม่โอเค มึงก็ลองแบบใหม่ เดี๋ยวมึงก็เจอความพอดี ที่มันพอเหมาะกับมึงเองน่ะแหละ คนบางคนเขาอาจทำทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน แล้วทำได้ดีเท่าๆกัน แต่กับคนบางคนเขาต้องทำทีละอย่าง มันถึงจะออกมาดีทั้งคู่ ตอนนี้มึงอาจจะเป็นคนประเภทที่สองไงรัน เราก็แค่ต้องปรับวิธีการกันใหม่แค่นั้นเอง” พี่เนย์เดินมาหาผม พลางวางมือลงบนศีรษะแน่นิ่ง น้ำตาที่กำลังคลออยู่บนหน่วยตาของผมมันก็พาลจะไหล เพราะผมรู้สึกเครียดมาก แต่ผมก็พยายามที่จะไม่ร้องไห้

“นอนดิ เดี๋ยวกูร้องเพลงให้ฟัง วันนี้ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว” พี่เนย์เขาออกคำสั่ง พลางบังคับให้ผมนอนลงบนเตียง จากนั้นเจ้าตัวก็เดินไปหยิบกีตาร์ที่วางอยู่ตรงมุมหนึ่งของเตียง ก่อนจะเดินกลับมานั่งบนพื้นที่อันน้อยนิดที่อยู่ใกล้ๆผม โดยที่นักดนตรีมือสมัครเล่น เขาก็หันหน้าเข้าหาผู้ฟังท่ามกลางพื้นที่อันจำกัด

พี่เนย์เปิดหาคอร์ดกีตาร์ของเพลงที่เจ้าตัวจะเล่นในโทรศัพท์มือถืออยู่พักใหญ่ จากนั้นเสียงเกลากีตาร์ก็ดังขึ้น และตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ขับร้องบทเพลงที่ผมไม่เคยฟังทีละท่อน จนผมต้องแอบเมมโมรี่ไว้ในใจว่า บทเพลงๆ นี้อีกไม่นานก็คงจะเป็นอีกเพลง ที่ผมจะต้องเปิดฟังบ่อยๆ ในช่วงเวลาที่ไม่มีพี่เขาอยู่ใกล้ๆ

บนหนทางที่ผ่าน เจอเรื่องราวต่างๆ เท่าไร
อาจมีทั้งลบ หรือดีแค่ไหน
เมื่อฉันเลือกแล้ว ว่าฉันจะต้องข้ามไป

ผ่านดวงดาว บินขึ้นไปบนฟ้า
จนถึงท้องนภา มองเห็นแสงจันทรา
จับมือเธอ ท่องไปตามความฝัน
มันช่างสวยเหลือเกิน ทางที่ฉันเลือกเดิน


พี่เนย์เงยหน้าขึ้นมามองผมพลางยกยิ้มให้ คล้ายกับพี่เขาต้องการจะบอกว่า การที่เจ้าตัวอยู่ข้างๆ ผมไม่ว่าจะในเวลาไหน มันก็เป็นทางเลือกที่สวยงามที่สุดแล้ว

ฝนกำลังเริ่มตก ฟ้ากำลังเริ่มเปลี่ยน
เหมือนจะเป็นบทเรียน ชีวิต ให้เราได้เรียนรู้
ชีวิตคือการรู้จัก ชีวิตคือการเริ่มใหม่
ทักทายวันสดใส แล้ววิ่งออกไปทำความฝัน


(หนึ่ง – วัชราวลี)

ดูเหมือนนักดนตรีมือสมัครเล่นเหมือนเขาจะเล่นไม่จบเพลง เพราะจู่ๆก็หยุดเล่นไปดื้อๆ ทั้งๆที่เพิ่งจะเริ่มเล่นไปได้ไม่นานเท่าไหร่ สาเหตุคงเป็นเพราะเนื้อเพลงที่เจ้าตัวต้องการจะสื่อมันมีอยู่แค่นี้

“เรามาเริ่มต้นพยายามกันใหม่นะรัน ค่อยๆปรับ ค่อยๆจูนกันไป สักวันเราต้องไล่ตามความฝันที่เป็นเหมือนความสำเร็จได้แน่ๆ มึงอย่าลืมสิ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มึงอยากเป็นล่ามภาษามือ หรือว่าเรื่องของการฝึกพูด กูก็พร้อมจะอยู่ข้างๆมึงตรงนี้ ตรงที่เดิมไง” พี่เนย์วางกีตาร์ลงกับพื้นข้างเตียง ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะต้นขาของผมเบาๆ พลางพูดปลอบใจจนน้ำตาที่เคยเหือดแห้งไป เริ่มกลับมาคลอที่หน่วยตาอีกครั้ง
“…”

“กูรู้ว่าตอนนี้มึงกำลังท้อ กำลังเหนื่อยใจ แต่ของอย่างนี้มันต้องใจเย็นๆนะรัน”
“…” ทันทีที่พี่เนย์พูดประโยคนั้นจบ น้ำตาของผมก็หยดแหมะลงบนที่นอนอย่างไม่คิดที่จะเขินอายอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เพราะผมอดกลั้นความรู้สึกท้อแท้ทั้งจากการเรียนภาษามือ และการฝึกพูดมาสักพักแล้ว
จนกระทั่งผลการประเมินมันดูท่าจะไม่คืบหน้า ความอัดอั้นตันใจทั้งหลายก็เริ่มตีตื้นขึ้นมา จนกระทั่งมีใครสักคนมาคอยพูดปลอบใจ ความอ่อนแอมันก็เริ่มมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ

“…” ยิ่งพี่เนย์โน้มตัวลงมากอดและจูบแก้มของผมเบาๆ ผมก็ยิ่งสะอื้นจนตัวสั่น เพราะความอ่อนโยน มันทำให้ผมแพ้ แพ้ไปหมดทุกอย่าง
“ผม..ท้อ..ฮึก..ท้อมาก..ฮึก..ผมเหนื่อย” ผมพูดไปสะอื้นไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันอัดอั้นจนผมรู้สึกเหมือนกับโลกทั้งใบมันหล่นทับ จนผมแทบหายใจไม่ออก เนื่องจากปัญหาของผมมันเยอะเกินไป
เยอะจนผมรู้สึกท้อที่จะรับมือกับมัน

“วันนี้ไม่ต้องคิดอะไรแล้วนะรัน เชื่อพี่” พี่เนย์กระซิบชิดใบหน้า พลางจูบซับน้ำตาของผมไม่หยุด แต่ผมกลับห้ามตัวเองไม่ให้อ่อนแอไม่ได้ เพราะมันคล้ายกับว่า พอเราได้ปลดปล่อยออกมาแล้ว มันก็ต้องปล่อยให้สุด
“เชื่อพี่นะ” พี่เนย์ย้ำกับผมอีกรอบ แต่ผมก็ยังไม่เชื่อฟัง จนกระทั่งอะไรบางอย่าง มันตกกระทบลงบนใบหน้าของผม ส่งผลให้การกระทำทุกอย่างเริ่มหยุดนิ่งลง เพื่อคิดตริตรองว่าความรู้สึกเมื่อครู่นี้มันคืออะไร
คงไม่ใช่ว่า..
พี่เนย์เขาปลอบผม จนพี่เขาไม่อาจกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ได้หรอก ใช่มั้ย?


----------------------------------------------------------------

โอยาโกะด้ง คือข้าวหน้าไก่ สไตล์ญี่ปุ่น
เท่าที่ทราบมา คนที่เรียนสาขาเดียวกับรัน ถึงกับเสียน้ำตาเพราะความยากของภาษามือกันเยอะ ดังนั้นน้องรันที่ต้องฝึกทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน พร้อมกับอะไรหลายๆอย่างที่เข้ามารุมเร้า ก็เลยกดดัน เครียด จนทำให้รู้สึกท้อแท้และเหนื่อยใจมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ 
ปล. เห็นมีคอมเมนต์บอกว่าสะดุดตรงที่น้องรันพูดแบบไม่มีจุด ในตอนพิเศษ 6 เดี๋ยวเราจะแก้อยู่ค่ะ แต่จริงๆ อันนั้นมันคือความคิดทั้งหมดเลยค่ะ จะมีความเป็นจริงแค่ช่วงที่สามเพื่อนซี้มารวมตัวกัน แต่มีคนบอกแล้วว่าน่าจะมีจุดแค่ตรงช่วง '...' จะดีกว่า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

กำลังใจ สำคัญมากจริงๆ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
พี่เนย์นี่ผู้ชายอบอุ่นมากอ่ะ เป็นกำลังใจสำคัญเลยนะเนี่ย น้องรันสู้ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เราเพิ่งมาเจอ เราน่าจะเจอกันเร็วกว่านี้ เรานับถือคุณมากในการเล่นประเด็นนี้ ซึ่งมันแปลกใหม่สำหรับเรามาก หาข้อมูล การเรียบเรียงปมต่างๆของแต่ละตัวละคร วิธีการก้าวข้ามปัญหาของตัวละคร แง่มุมต่างๆของคนที่บกพร่องและไม่บกพร่องมันสวยงามและลื่นไหลดีมากกกก นอกจากเป็นนิยายที่อบอุ่นหัวใจแล้ว มันยังได้ความรู้และความเข้าใจด้วย ขอบคุณมากนะคะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 9

“ทำอะไรครับ?” ผมงัวเงียลุกขึ้นมานั่งบนที่นอน พลางออกปากถามใครอีกคนที่อยู่ร่วมห้อง ที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ตรงหน้าเตาไมโครเวฟ
“วันนี้กูขยัน ไม่ต้องเข้ามอเช้าก็ได้” พี่เนย์หันมาตอบเพียงครู่ จากนั้นร่างสูงในเสื้อยืดสีดำสนิทก็หันกลับไปสนใจกิจกรรมของตัวเองต่อ ส่วนผมก็ล้มตัวลงนอนตามที่อีกฝ่ายแนะนำอย่างว่าง่าย โดยไม่ได้นึกแปลกใจอะไร เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดของพี่เขา ดังนั้นเจ้าตัวจะขยันตั้งแต่เช้า มันก็ไม่แปลก เพราะถึงยังไงก็ยังมีเวลาพักอีกถมเถ

ผมยังไม่หลับ อาจเป็นเพราะเคยชินกับการที่ต้องตื่นแต่เช้า เพื่อรีบอาบน้ำแต่งตัว และเผื่อเวลาในการกินข้าวเช้า ที่ร้านใกล้ๆหอ หรือที่โรงอาหารกลาง ดังนั้นเวลานี้ ผมจึงทำเพียงแค่หลับตา เลยทำให้รู้ว่าช่วงเวลาที่ผมไม่รู้สึกตัว พี่เนย์เขาแอบใช้ฝ่ามือใหญ่ๆคู่นั้น ลูบศีรษะของผมอย่างแผ่วเบา ซึ่งการกระทำแบบนี้ มันสามารถเป็นไปได้ทั้งสองทาง ในทำนองว่า เพราะเรื่องเมื่อวาน ทำให้พี่เขารู้สึกไม่ดี ก็เลยอยากจะปลอบใจและให้กำลังใจผมในแบบของตัวเอง หรือในอีกกรณีนึง มันก็อาจจะเป็นเพราะ อีกฝ่ายเขาชอบแอบทำแบบนี้กับผมจนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะผู้ชายอบอุ่นคนนี้เขาก็มักจะตื่นเร็วกว่าผมเสมอ
แต่จะเป็นเพราะแบบไหนก็ช่าง ยังไงผมก็ชอบความอบอุ่นของผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ อยู่ดี

“เออ วันนี้พวกกูว่าจะไปนั่งทำสัมมนาที่ร้านกาแฟต่อ แล้วก็อาจจะกลับมาทำที่ห้องด้วย เลยคิดว่าจะทำมื้อเย็นกินกันเอง มื้อนี้กูเป็นเจ้ามือ เพราะกูยกเลิกท้าดวนแบดไปแล้ว กูว่าจะชวนพวกไอ้บอส ไอ้ทีมมาด้วย มึงเองก็ชวนเพื่อนมึงมาด้วยสิ” หลังจากผมอาบน้ำเสร็จภายในเวลาเจ็ดโมงครึ่ง เพราะบังคับให้ตัวเองนอนต่อไม่ได้ ผู้ชายในชุดเสื้อยืดสีดำเขาก็กลับไปง่วนอยู่ตรงหน้าเตาไมโครเวฟอีกครั้ง พลางเริ่มต้นคำเชิญชวนแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ซ้ำยังเผื่อแผ่คำเชิญนั้นไปถึงเพื่อนของผมด้วย
“ผมจะลอง..ชวนดู..แล้วกันครับ..ไม่แน่ใจ..ว่าพวกมัน..จะว่างหรือเปล่า” ผมตอบพลางเดินไปหวีผมให้เข้าที่เข้าทางตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ที่พวกเรามักจะเรียกมันว่าโต๊ะเขียนหนังสือ

“ยังไงมึงบอกกูอีกทีแล้วกัน จะได้ซื้อของให้มันพอดีคน”
“ครับ” ผมตอบพลางเดินอ้อมไปนั่งรออยู่ตรงหน้าโต๊ะญี่ปุ่นใกล้ๆกับประตูบานเลื่อนที่เชื่อมไปยังราวระเบียงสำหรับซักล้าง ขณะที่พี่เนย์ก็นั่งจ้องตัวเลขที่ค่อยๆนับถอยหลังตรงหน้าเตาไมโครเวฟ ผมจึงนั่งจ้องแผ่นหลังของอีกฝ่ายนิ่งๆ ท่ามกลางความเงียบอีกที จนกระทั่งเสียงร้องเตือนของเครื่องใช้ไฟฟ้าดังขึ้น สายตาของผมจึงปรับเปลี่ยนโฟกัสไปที่อื่น

“ทำไมช่วงนี้..พี่ไม่ค่อยชวน..ผมไปซื้อ..อาหารให้..เขี้ยวกุด..เลยครับ..รอบก่อน..พี่ซื้อมาเยอะเหรอ” ผมถามพี่เนย์ด้วยความสงสัย
“ช่วงนี้กูออกไปนั่งทำสัมมนาข้างนอกบ่อยๆไง กูเลยแวะซื้อเข้ามาเลย” พี่เนย์ว่าพลางเดินเอาเมนูอาหารเช้ามาเสิร์ฟ ก่อนจะเดินกลับไปหยิบอาหารเช้าอีกถ้วยมาวางตรงที่ว่างฝั่งตรงข้าม

“กินนมมั้ย กูจะได้อุ่นเผื่อ” พี่เนย์เดินไปเปิดตู้เย็นที่อยู่ข้างๆโต๊ะญี่ปุ่นสำหรับวางเตาไมโครเวฟ
“ครับ”

“เออ มึงไปเปิดเครื่องทำความชื้นให้เขี้ยวกุดมันหน่อย แล้วก็ดูด้วยว่ามันกินอาหารหมดหรือยัง ช่วงนี้กูให้มันทีเดียวอาทิตย์นึงเลย เพราะกูไม่ค่อยว่างเท่าไหร่” พี่เนย์เทนมใส่ลงในแก้วอ้วนๆ สีขาวสะอาดสองใบ จากนั้นก็นำมันเข้าไปอุ่นเพียงครู่ ส่วนผมก็ลุกขึ้นไปดูเจ้าเขี้ยวกุดตามที่พี่เขาสั่ง
“พี่ให้..จิ้งหรีด..หรือไส้เดือน..ครับ” ผมก้มลงดูความเป็นไปในตู้กระจก แต่ก็ไม่พบเหยื่อที่ว่า แถมยังไม่เห็นเจ้าเขี้ยวกุดด้วย ท่าทางวันนี้มันจะตื่นสาย

“กูให้หนอน” พี่เนย์ถือแก้วอ้วนๆ โดยใช้ถุงมือกันความร้อนเข้าช่วย ก่อนจะนำมาวางยังโต๊ะสำหรับทานมื้อเช้าของเราทีละใบ ขณะที่เจ้าตัวก็ตอบคำถามของผมไปด้วย
“ไม่มีแล้ว..นะครับ” ผมตอบ พลางเอื้อมมือไปเปิดเครื่องทำความชื้น ไม่นานควันสีขาวก็ลอยคลุ้งอยู่เต็มตู้ จากนั้นละอองฝ้าก็พากันเกาะบานกระจกใสเป็นแถบๆ ส่งผลให้ต้นไม้ภายในนั้นดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น แต่เจ้าเขี้ยวกุดแสนขี้เซาก็ยังไม่ยอมโผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อนตัว

“มากินไข่ถ้วยดิ ยังไม่ถึงเวลา ต่อให้เอาอาหารไปล่อก็เถอะ เจ้าเขี้ยวกุดมันก็ไม่ยอมออกมาหรอก”
“วันนี้..พ่อเจ้าเขี้ยวกุด..คิดยังไง..ถึงทำมื้อ..เช้ากินเอง..ครับ..ขอสัมภาษณ์..หน่อย” ผมทิ้งตัวลงนั่ง พลางกำมือเหมือนไมโครโฟน ยื่นไปจ่อตรงริมฝีปากของใครอีกคน พลางยกยิ้มอย่างที่ชอบทำ

“กินๆไปเถอะน่า จะสงสัยอะไรมากมาย” พี่เนย์เขาบ่นอุบ พลางขมวดคิ้วมุ่น ซ้ำยังปัดมือผมออกห่างจากตัวเองอีก จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินไข่ถ้วย ฝีมือของตัวเองไม่หยุด ผมจึงได้แต่อมยิ้ม ก่อนจะหันกลับมาสำรวจเมนู ‘ไข่ถ้วย’ ที่ว่าแบบละเอียด ซึ่งส่วนประกอบของมันก็จะมีขนมปัง ไข่ไก่ ชีส แฮม โดยพ่อครัวหัวป่าเขาใช้ขนมปังรองตรงก้นแก้ว และมีแฮมกับชีสที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ วางประดับตกแต่งอยู่รอบๆ ปากแก้วอ้วนๆ ขณะที่ตรงกลางก็ถูกเติมเต็มด้วยไข่ยางมะตูมหน้าตาน่าทาน
“ขอบคุณ..นะครับ..พี่..นะ..เอ” ผมจงใจวางฝ่ามือลงบนหลังมือของอีกฝ่าย ทำเอาคนถูกแตะเนื้อต้องตัวอย่างกะทันหัน จำต้องละสายตาจากมื้อเช้า เพื่อมองมายังผม และเลื่อนสายตาไปมองยังฝ่ามือของเราที่กำลังแตะต้องกันอยู่

“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ฝ่ามือใหญ่กลับเป็นฝ่ายกอบกุมมือเล็กๆของผมไว้ ผมจึงได้แต่หันหน้าไปยิ้มให้กับที่นอน ตู้หนังสือ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่อีกฝ่าย
“…”

“กินดิ”
“อื้อ” ผมหันกลับมาให้ความสนใจกับมื้อเช้าตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อพ่อครัวหัวป่าเขาเริ่มย้ำอีกหน ฝ่ามือของเราก็เลยต้องผละออกจากกัน เพื่อมาวางเอาไว้ในตำแหน่งที่ควรจะอยู่ เพราะไม่อยากนั้น เราคงจะกินมื้อเช้ากันอย่างยากลำบากน่าดู
เช้าวันนี้ จึงเป็นเช้าวันใหม่
ที่เราได้เริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ ไปพร้อมๆกัน

“เฮ้ย! ทำไมตาบวมงั้น” ทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ด้านข้าง ไอ้หมอกก็รีบร้องทัก
“…” ผมส่ายหน้าพลางยกยิ้มบางๆ ซึ่งมันก็พอดีกับช่วงที่อาจารย์จะเริ่มการเรียนการสอน

ครืด ครืด

ผมหันไปมองไอ้หมอกทันที ที่โทรศัพท์ของผมสั่น หลังจากที่มันเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่สนใจกิจกรรมการเล่าเรื่องของเพื่อนๆตรงหน้าชั้นเรียน ซึ่งพอมันเห็นผมเอาแต่หันไปมอง มันก็พยักพเยิดหน้าให้ผมเปิดข้อความอ่าน ผมก็เลยต้องทำตามอย่างจำยอม

‘เมื่อคืนมึงร้องไห้เหรอวะ?’
‘อืม’ ผมตอบสั้น และตั้งท่าจะไม่สนใจสิ่งอื่นใด นอกจากกิจกรรมตรงหน้าชั้นเรียนเท่านั้น

‘เป็นเชี่ยไร?’ ไอ้คินที่นั่งอยู่ริมสุด ติดกำแพงห้อง เป็นฝ่ายตั้งคำถามขึ้นมาอีกคน
‘เครียดนิดหน่อย’

‘กูว่าไม่น่าจะนิดมั้ยวะ ตามึงบวมชิบหาย มีอะไรก็บอกพวกกูได้นะเว้ย เราเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?’ ไอ้หมอกรัวแป้นพิมพ์มาอย่างไว
‘กูเครียดเรื่องภาษามือ เรื่องโปรเจค เรื่องการฝึกพูด เครียดแม่งทุกอย่างเลยไอ้สัส โคตรท้อ’ ผมพิมพ์ข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็ว ซึ่งพอได้ระบายให้เพื่อนฟังแล้ว ผมก็รัวออกมาอยู่หลายประโยค

‘ฝึกพูดมันก็ต้องใจเย็นๆไงมึง หรือไม่ถ้ามึงท้อ มึงก็ตั้งเป้าหมายไว้เลยเว้ย ว่าถ้ามึงทำสำเร็จมึงจะได้เป็นแบบนี้นะ หรือจะได้ทำแบบนั้นนะ อะไรก็ว่าไป เอาสิ่งที่มึงอยากทำจริงๆ เป็นเป้าหมายไปเลย มันจะได้ช่วยกระตุ้นมึงมากกว่าการไม่มีจุดหมาย ส่วนเรื่องโปรเจค มันพลาดไปแล้ว มึงก็แค่ต้องนัดน้องมาซ้อมใหม่ กลุ่มมึงยังมีเวลาอีกตั้งเยอะนะเว้ย โอเพ่นเฮ้าส์มันจัดตั้งเทอมหน้า มึงบอกให้น้องเอาไปฝึกช่วงปิดเทอมยังได้ อีกอย่างน้องมันก็บอกมึงแล้วนี่ ว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยฝึกกันใหม่ก็ได้ มึงจะเก็บเอาไปคิดมากทำไม’ ไอ้หมอกใช้เวลารัวแป้นพิมพ์อยู่นาน และเมื่อข้อความนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา เพราะอย่างน้อย มันเองก็มีคำแนะนำดีๆ ให้กับผมไม่ต่างจากพี่เนย์ อีกทั้งเรื่องโปรเจค ก็ไม่มีใครเข้าใจปัญหาพวกนี้ได้เท่าพวกมันอีกแล้ว
‘เพราะกูไม่รอบคอบไง กูน่าจะถามมึงก่อน รู้ทั้งรู้ว่าภาษามือกูมันยังไม่แม่นมาก แต่ก็ยังมั่นหน้าไปสอนน้อง ทำให้น้องต้องเสียเวลา ทำให้น้องต้องสับสน แถมผลตรวจกูก็เหี้ยอีก จะไม่ให้กูเครียดได้ยังไงวะ’

‘เอาน่า เรื่องฝึกพูดก็ตามที่ไอ้หมอกมันว่า มึงต้องใจเย็นๆ อย่าหงุดหงิดตัวเอง ส่วนเรื่องงาน คนเรามันผิดพลาดกันได้เว้ยมึง ต่อไปมึงก็เซฟตัวเองให้มากขึ้น แล้วก็ค่อยแก้ปัญหากันไป กูเข้าใจนะเว้ย กลุ่มมึงมันหนัก เพราะมึงเป็นพี่โตสุด พอจะเจียดเวลาไปถามใคร ก็ไม่มีใครว่างให้คำตอบ เพราะทุกคนต่างก็พากันไปซ้อมให้น้องสายของตัวเอง และกูก็เชื่อว่าน้องๆมันเองก็เข้าใจมึง เออนี่กูได้ยินมาว่า ไอ้ตัง มันก็เจอปัญหาเหมือนมึงเลย เพราะมันก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร แต่มันแก้ปัญหาโดยการนัดน้องไปซ้อมใกล้ๆกับกลุ่มของเพื่อนมัน พออันไหนไม่รู้ มันจะได้เดินไปถามรุ่นพี่ได้’ ไอ้คินเริ่มร่ายยาวมาอีกคน
‘เอาจริงๆนะเว้ย มึงถามกูได้ตลอดเลย ยังไงสายกูก็มีพี่คนอื่นๆคอยช่วยอยู่แล้ว กูก็แค่ไปนั่งเล่นกับนั่งแดกแค่นั้น โคตรจะมีประโยชน์เลยมั้ย เพราะฉะนั้นในเมื่อมึงรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าประโยคไหนมึงไม่มั่นใจ มึงก็วีดิโอคอลมาหากูเลย เดี๋ยวกูช่วยเอง ช่วงนี้มึงนัดน้องไปซ้อมทุกวันหยุดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ’

‘อื้อ ขอบใจพวกมึงนะเว้ย’
‘ไม่เป็นไรเหมือนกันเว้ย เรื่องแค่นี้ ไม่ได้ยากอะไรสำหรับกูเลย’ ไอ้หมอกเป็นฝ่ายตอบกลับมาคนแรก

‘เออ เราเพื่อนกันนี่หว่า ถ้าใครมีปัญหา เราก็ต้องใส่ใจและให้คำปรึกษากันหน่อยสิวะ’ ไอ้คินตอบกลับมาเป็นคนที่สอง
‘อื้อ รักพวกมึงว่ะ’

‘อ้วกกกกกกกกกกกกก’
‘อ้วกกกกกกก’

‘สัส! กูจะเกลียดพวกมึงก็ตรงนี้ สามัคคีกันดีนัก’

หลังจากการเล่านิทานตรงหน้าชั้นเรียนผ่านพ้นไป พวกเราก็ได้ฤกษ์กินข้าวกลางวันกันสักที แต่เพราะผมจะแวะซื้อบลูเลม่อนที่ร้านเจ้าประจำด้วย ก็เลยให้ไอ้หมอกมันสั่งข้าวเผื่อ ซึ่งเมนูที่จะกิน ผมก็ลอกมันเด๊ะๆ จนมันบ่นอุบ
“บลูเลม่อนสอง..สตรอว์เบอร์รี..โยเกิร์ตหนึ่ง..ครับ’ ผมสั่งเมนูที่หน้าเคาน์เตอร์ พลางรับเครื่องเรียกคิว ไปหาที่นั่งรอ จากนั้นผมก็ไลน์ไปบอกน้องๆทั้งสองคน ว่าผมสั่งซื้อเครื่องดื่มมาไถ่โทษที่ทำให้เสียเวลา ซึ่งสายรหัสของผมก็เอาแต่บอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมก็ทำเนียนบอกว่าตัวเองจ่ายเงินแล้ว ให้มารอเอาที่ร้านได้เลย

ครืด ครืด

เครื่องเรียกคิวสั่นไหวอยู่บนโต๊ะไม้เล็กๆ เรียกสติผมที่กำลังหลุดลอยไปที่ไหนสักแห่ง จากนั้นผมก็ลุกเดินไปยังเคาน์เตอร์ พลางจ่ายเงิน และถือถุงพลาสติกสำหรับใส่เครื่องดื่มติดมือมาด้วยหนึ่งถุง พร้อมกับถือแก้วบลูเลม่อนเพียวๆอีกหนึ่งแก้วด้วยมือข้างขวา จากนั้นก็กลับมานั่งปักหลักที่เดิม เพื่อรอให้น้องรหัสมารับเครื่องดื่มตามนัด

“พี่รันอ่ะ หนูบอกแล้วว่าไม่เป็นไร” น้องโบว์เดินหน้างอเข้ามาหา พลางยกมือไหว้และทิ้งตัวลงนั่ง ส่วนเพื่อนของน้องอีกสองคนก็ยกมือไหว้ผมและเดินเลี่ยงไปนั่งอีกโต๊ะที่กำลังว่าง และไม่ใกล้ไม่ไกลจากโต๊ะที่ผมนั่งมากนัก
“ปาล์มล่ะ?” ผมย้อนถาม พลางเลื่อนถุงเครื่องดื่มไปให้กับน้องโบว์ ที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก เพราะน้องติดทำรายงาน ช่วงนี้เราก็เลยมีเวลาซักซ้อมกันแค่วันเดียว แถมยังเป็นช่วงเย็นด้วย

“ใช้ให้หนูมาเอาคนเดียวเนี่ย” น้องโบว์บ่นอุบ จนผมถึงกับหลุดหัวเราะ
“แล้วกินข้าว..กันหรือยัง?” ผมถามเพื่อที่จะเข้าเรื่อง เนื่องจากเวลาพักของพวกเรามันมีแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น

“ยังเลยค่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ หนูหิว”
“ไปสิ” ผมตอบรับ พลางลุกขึ้นยืน โดยไม่ลืมจะถือแก้วบลูเลม่อนติดมือไปด้วย ขณะที่น้องโบว์และเพื่อนๆ ก็เดินนำหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมนัก

“ขอบคุณนะคะพี่รัน แต่ทีหลังไม่ต้องเลี้ยงไถ่โทษแล้วนะ หนูเข้าใจนะคะ ว่ากลุ่มเราไม่เหมือนกับกลุ่มอื่น ที่มีพี่ๆปีสามปีสี่ช่วยสแกนให้ เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรเลยค่ะ หนูฝึกใหม่ได้ ช่วงปิดเทอมมีเวลาตั้งถมเถ เชื่อหนูสิ เปิดภาคเรียนใหม่มา พี่รันต้องอึ้งแน่ๆ”
“ขนาดนั้น..เลย” ผมขำ พลางอดจะแซวน้องรหัสของตัวเองไม่ได้

“นี่ใคร! โบว์นะคะ พี่รันรู้จักหนูน้อยไป” น้องโบว์หันมาชี้หน้าตัวเองให้ผมดู จากนั้นเจ้าตัวก็ทำสายตามุ่งมั่น จนผมหยุดขำไม่ได้
“หนูไม่ใช่ตลกน้า พี่รันอ่ะ หยุดขำได้แล้ว” พอเห็นโบว์ทำหน้ายุ่ง ผมก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้เส้นผมของอีกฝ่ายให้ฟุ้งกระจาย

“ยุ่งหมดแล้วอ่า” น้องโบว์บ่น พลางจัดแต่งทรงผมของตัวเองให้วุ่นวายไปหมด
“เฮ้ย แต้ว ปิ่น อะไรเนี่ย มองพี่เราตาเป็นประกายเลย” น้องโบว์กอดแขนผม พลางหันไปทำหน้าดุใส่เพื่อนของตัวเอง จนผมได้แต่ยิ้มกับท่าทางของเจ้าตัวดี ที่ไม่ว่าจะเจอกันกี่ที ผมก็อดจะเอ็นดูไม่ได้

“เบื่อพี่รัน คนชอบเยอะ หนูไม่ไหวจะกันท่า”
“เอ้า แล้วกัน” ผมขำขึ้นมาอีกหน เมื่อเจ้าตัวดีแกล้งดันตัวผมออกห่างด้วยท่าทางแสนงอน

“เอ้อ แต่หนูสงสัยอยู่เรื่องนึง ทำไมเพื่อนเมทของหนูมันชอบพูดจาแปลกๆ แล้วก็ชอบเอารูปพี่อาคเนย์กับพี่รันมาให้หนูดูด้วย แถมมันยังเอาแต่บอกฟินๆ อะไรของมันก็ไม่รู้ หนูล่ะปวดหัว”
“โบว์มันซื่อบื้อเนอะพี่รัน” เพื่อนน้องโบว์รู้สึกจะชื่อปิ่น เดินนำหน้าพวกเราสองคน ก่อนจะหันมาถามความเห็นกับผม

“ซื่อบื้ออะไรวะ พี่รันขำอะไรไม่ทราบคะ”
“ถึงโรงอาหาร..แล้ว ไว้เจอกัน..นะ” ผมไม่ตอบคำถามใดๆ นอกจากยิ้มเพียงอย่างเดียว จากนั้นก็ถือโอกาสเดินนำหน้าทั้งสามสาวรุ่นน้องเข้าไปยังด้านในของโรงอาหารกลาง จากนั้นก็โทรหาเพื่อนซี้ เพื่อถามถึงตำแหน่งที่พวกมันนั่งปักหลักกันอยู่

“รันนนนนนนน” ผมที่กำลังจะเดินไปยังโต๊ะที่เพื่อนบอก ก็ต้องรีบหันไปมองยังด้านหลัง เมื่อใครสักคนกำลังร้องเรียก
“ว่า?” ผมยกยิ้มให้สามสาวคณะบัญชี

“สู้ๆ” ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกัน และทำท่า ‘สู้ๆ’ เหมือนกับที่คนทั่วไปชอบทำ ขณะที่ริมฝีปากของทั้งสามสาวก็ฉีกยิ้ม จนผมอดไม่ได้ที่ยิ้มตาม
“ไอ้คิน ไปนินทา..อะไรเราหรือ..เปล่าเนี่ย” ผมย้อนถามนิ้งที่เดินนำหน้า

“คินไม่ได้เล่าอะไรหรอก แค่บอกให้พวกเราให้กำลังใจรันเยอะๆ” แอ้มที่เดินอยู่ข้างๆผมพูดขึ้น
“จริงๆ พวกเราก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าต้องทำยังไงรันถึงจะมีกำลังใจมากๆ แต่เมื่อกี้ถึงมันจะดูเป็นหนทางที่โง่ๆไปหน่อย แต่พวกเราก็หวังนิดๆ ว่ามันจะช่วยให้รันได้กำลังใจเยอะๆนะ” อิ๋มที่เดินรั้งท้ายพูดขึ้นบ้าง

“อื้อ..ช่วยได้เยอะ..เลย..ขอบคุณนะ”

หลังจากทานข้าวกันจนใกล้จะอิ่ม ผมก็ถือโอกาสนี้สอบถามเพื่อนๆทุกคนว่าจะมาทานมื้อเย็นด้วยกันที่ห้องของพี่เนย์ไหม ซึ่งพวกไอ้คิน ไอ้หมอก มันก็ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด เพราะยังไงพวกมันก็รู้จักกับพี่เนย์และพี่ๆคนอื่นอยู่แล้ว แต่สามสาวคณะบัญชีเขาดูไม่ค่อยมั่นใจ ว่าตัวเองควรจะไปงานนี้ตามคำเชิญของผม เนื่องจากพวกเธอไม่ได้สนิทกับใครเลย เพราะถึงแม้ทั้งสามครจะแอบปลื้มพี่เนย์เป็นการส่วนตัวกันหมด แต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะรู้จัก แถมพี่เขายังเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงมาก สำหรับคนอื่น สาวๆคณะบัญชีก็เลยลังเล
“เราบอก..พี่เนย์แล้ว..พี่เขาโอเคนะ..ตกลงจะให้..พี่เอ้ทำสุกี้..สองหม้อใหญ่” ผมบอกกับสาวๆ พลางยื่นหน้าต่างแชทไปให้อ่าน
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้” นิ้งพูดออกมาเบาๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างเก้อเขิน ฝ่ายแอ้มกับอิ๋มก็ออกอาการไม่ต่างกัน ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะขำนิดๆ

“แล้วก็อย่าไปทำอะไรแปลกๆเข้าล่ะ เดี๋ยวได้โดนพี่เนย์ไล่ออกจากห้อง คินไม่ช่วยนะ” ไอ้คินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบๆ
“เราจะไปทำอะไรแปลกๆเล่า คินก็” แอ้มแก้ตัวป้อยๆ จนไอ้คินต้องทำเป็นยักไหล่

“คินเอาฮาป่ะเนี่ย พวกเราจะไปทำอะไรแปลกๆกันเล่า คือตอนนี้พวกเราเลิกเชียร์คู่ของรันแล้ว” นิ้งทำหน้าบู้แก้ตัว
“ใช่ เห็นจนเบื่อแล้ว เพราะบางวันก็เห็นพี่เนย์เอาบลูเลม่อนมาส่งให้ตอนกลางวันงี้ เดี๋ยวก็ไลน์คุยกันงี้ เดี๋ยวก็โทรหากันงี้ ตอนนี้ถ้าจะเหลืออยู่ก็แค่ความอิจฉานี่แหละ” อิ๋มก็พาลจะบ่นอุบด้วยเช่นกัน ทำเอาผมหน้าร้อนเห่อขึ้นมาซะได้

“ใช่ หวานกว่าคู่เราอีก แฟนเรานี่ยังกับหิน โอ้ย!”  ทันทีที่แอ้มพูดจบ ไอ้คินที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงกันข้ามก็ตีหน้าผากสาวเจ้าเข้าให้
“เราเจ็บนะคิน” แอ้มบ่นอุบ พลางลูบหน้าไม่หยุด ส่วนไอ้คินที่นั่งอยู่ข้างๆผม ก็เอาแต่ขยับปากไปมา เป็นคำสั้นๆว่า ‘สมน้ำหน้า’

“ไปเรียนกันได้แล้ว วู้ว!” ไอ้หมอกลุกขึ้นจากโต๊ะเป็นคนแรก จากนั้นทุกคนก็เริ่มทยอยกันเอาจานไปเก็บ ก่อนจะนัดเจอกันที่หน้าโรงอาหาร เพราะพี่เนย์จะแวะมารับผมด้วยตัวเอง

สิบสามคนภายในห้องเล็กๆ ทำเอาแทบไม่มีที่จะเดิน อีกทั้งบนเตียงก็แทบจะไม่มีพื้นที่ให้นั่ง เพราะงานของพี่เนย์ที่คงทำค้างกันเอาไว้ ในเวลานี้ได้ถูกวางเกลื่อนอยู่บนที่นอน มีทั้งโน้ตบุ๊ก หนังสืออะไรต่อมิอะไรอีกมากมายเต็มไปหมด แม้กระทั่งดินสอ ปากกา ก็ยังวางราวกับถูกโยนแหมะไว้อย่างไม่ได้ใส่ใจ
สภาพห้องตอนนี้ เลยทั้งรก ทั้งคับแคบไปถนัดตา

“กูว่าระหว่างที่ยังทำไม่เสร็จ ให้คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องไปนั่งรอที่ห้องกูดีกว่ามั้ย ห้องมึงแม่งแทบไม่มีที่จะเดิน ไหนจะงาน ไหนจะคน” พี่ทีมที่กำลังนั่งหลบมุมอยู่บนหลังตู้หนังสือพูดขึ้น
“เออ กูก็ว่างั้น” สิ้นเสียงของพี่เนย์ พี่ทีมผู้เป็นเจ้าของห้องข้างๆกัน ก็เดินนำขบวนออกไป ผมจึงถอดกระเป๋าสะพายวางเอาไว้บนหลังตู้หนังสือ และตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง แต่พี่เนย์ดันบอกให้เปลี่ยนเสื้อซะก่อน ผมก็เลยต้องเดินเลี่ยงไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่วางตั้งอยู่ใกล้ๆกับตู้หนังสือ จากนั้นก็เดินหลบเข้าไปในห้องน้ำ กระทั่งอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว และกางเกงสีดำขาสามส่วนเรียบร้อยแล้ว ผมถึงได้ฤกษ์เดินไปเคาะประตูห้องของพี่ทีมอย่างเกรงใจ แต่คนที่มาเปิดประตูกลับกลายเป็นน้องสายรหัสของพวกพี่เขาซะงั้น

‘เอามั้ย?’ พี่บอสเดินไปเปิดตู้เย็น พร้อมกับหยิบไอศกรีมออกมาสองถุง จากนั้นก็กอดเอาไว้แน่น เพราะรุ่นพี่ตรงหน้าเขาต้องการจะใช้ภาษามือในการสื่อสารกับผม
‘ขอบคุณมากครับ’ ผมจึงยกมือขึ้นตั้งฉาก คล้ายกับกำลังจะพนมมือไหว้ แต่ไม่ได้ประกบกันจนชิด จากนั้นผมก็โน้มตัวไปข้างหน้า พร้อมกับค่อยๆแยกฝ่ามือทั้งสองข้างให้ออกห่างจากกัน พลางยกยิ้มให้กับพี่บอส พร้อมกับหัวเราะออกมานิดๆ ฝ่ายรุ่นพี่ตรงหน้าก็ยกยิ้ม พร้อมกับยื่นไอศกรีมยาคูลท์ส่งมาให้

‘ไปกินตรงนอกระเบียงกัน’ พี่บอสหมุนฝาเกียวตรงปากถุงของไอศกรีมโยเกิร์ต จากนั้นเจ้าตัวก็งับมันไว้ พร้อมกับใช้ภาษามือในการชักชวน ผมจึงยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับ และเดินตามกันไป
ขณะที่มือหนึ่งก็หมุนเกียวเพื่อเปิดฝา ก่อนจะดูดเนื้อไอศกรีมเข้าปากตามพี่บอส
กระทั่งออกมารับลมเย็นๆข้างนอกได้ ผมก็วางสองแขนลงบนราวระเบียงเหมือนกับพี่บอส พร้อมกับวางปลายคางลงบนข้างแขนอีกที ขณะที่ปากของเราก็ยังคงดูดไอศกรีมที่ว่านั่นอย่างเอร็ดอร่อย
 
‘มื้อนี้ ไอ้เนย์มันจัดขึ้นเพื่อรันเลยนะ’ ผมหันไปมองพี่บอส เมื่ออีกฝ่ายแตะข้อศอกผมเบาๆ จากนั้นรุ่นพี่ตรงหน้าก็ใช้ภาษามือในการสื่อสารกับผมอีกครั้ง
‘จริงเหรอครับ?’ ผมคาบจุกสำหรับดูดเนื้อไอศกรีมเอาไว้ พลางถามพี่บอสกลับเป็นภาษามือ

‘จริง’ พี่บอสจึงตอบกลับมาโดยการชูนิ้วชี้ออกมาเพียงนิ้วเดียว จากนั้นก็สะบัดขึ้นลง คล้ายกับท่าทางของอาจารย์เวลาชี้นิ้วเพื่อจะย้ำกับเด็กนักเรียนว่าให้ทำการบ้าน พร้อมกับเม้มปากและพยักหน้าเพื่อสนับสนุนถ้อยคำข้างต้น
‘มันบอกว่ารันกำลังคิดมากในแบบที่มันไม่เคยเห็น มันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง มันได้แต่หวังว่า ถ้าทุกคนมารวมตัวกัน รันจะได้ลืมเรื่องเครียดๆได้บ้างน่ะ’ ผมหันไปยิ้มให้พี่บอส พลางวางข้างแขนลงบนราวระเบียง และแตะปลายคางลงบนนั้นอีกที ขณะที่สายตาก็มองออกไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าที่ยังคงสว่างไสว

‘หมดยัง?’ พี่บอสถามพลางแบมือออกมาตรงหน้าผม
‘หมดแล้วครับ เดี๋ยวผมเอาไปทิ้งให้เองดีกว่า’ เมื่อใช้ภาษามือสื่อสารจบ ผมก็แบมือออกไปตรงหน้าของพี่บอสบ้าง

‘ไม่เป็นไร พี่จะไปเอามากินอีก กว่าพวกนั้นจะทำกันเสร็จคงอีกนาน เพราะพวกมันเพิ่งจะเริ่มทำกันเมื่อกี้เอง เห็นว่าทำงานกันเพลินไปหน่อยน่ะ’ ผมยิ้มพลางพยักหน้าและยื่นถุงไอศกรีมที่หมดเกลี้ยงแล้วให้พี่บอสเอาไปทิ้ง
จากนั้นผมก็หันกลับมาสนใจบรรยากาศตรงนอกระเบียงอีกครั้ง

‘ขอบคุณครับ’ พี่บอสนำไอศกรีมยาคูลท์มาให้ผมอีกถุง ซึ่งทีแรกผมก็ส่ายหัวปฏิเสธ เพราะผมเกรงใจ แต่รุ่นพี่ตัวเล็กกลับไม่ยอม จากนั้นเราก็ต่างคนต่างดูดไอศกรีมกันเงียบๆ แม้ว่าจะยืนอยู่ข้างๆกันก็ตาม เพราะรุ่นพี่ตรงหน้าเขาหมดธุระที่จะคุยกับผมแล้ว
ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าพี่บอสเขาเอาวิธีปลอบใจคนอื่นแบบนี้มาจากไหน แต่มันก็ทำให้ผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ซ้ำยังทำให้ผมอุ่นใจด้วย ที่อย่างน้อย ก็ยังมีอีกหลายๆคน ที่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ผม

“มากินกันได้แล้ว” เสียงตะโกนของพี่เนย์ ดูเหมือนจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกำแพงกั้นห้องตรงราวระเบียงมากนัก ผมจึงหันไปบอกพี่บอสด้วยภาษามือ จากนั้นเราสองคนก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ซึ่งก็พอดีกับช่วงที่เพื่อนคนอื่นๆ กำลังจะเดินออกไป ส่วนพี่ทีมก็กำลังจะเดินเข้ามาตามพวกเราสองคนให้ไปยังห้องพี่เนย์
ทั้งผมทั้งพี่บอสจึงต้องรีบดูดไอศกรีมลงท้องให้หมด

กว่ามื้อเย็นที่มันค่อนไปทางมืดจะสิ้นสุดลง ท้องของพวกเราทั้งหมดก็แทบจะแตก เพราะพวกพี่เขาซื้อทั้งผัก ทั้งเนื้อมาเยอะมาก แต่เพราะพี่เอ้ทำน้ำซุปอร่อย พวกเราก็เลยฝืนกินกันจนหมด จากนั้นพี่เนย์ก็ต้องทำหน้าที่เป็นสารถีจำเป็น ในการขับรถไปส่งพวกเพื่อนๆของผมที่หอใน ผมก็เลยถือโอกาสติดรถอีกฝ่ายเข้าไปในมอด้วย เพราะผมอยากกินบลูเลม่อนโซดามากๆ ถึงแม้ว่ามื้อนี้จะกินเป็นมื้อที่สองแล้วก็ตาม แต่อะไรเย็นๆ เปรี้ยวๆอมหวาน มันก็น่าจะช่วยให้ผมรู้สึกโอเคขึ้น
เพราะตอนนี้ผมทั้งเลี่ยน ทั้งแน่นท้องไปหมดแล้ว

“กินมั้ย ?” พอขึ้นมาบนรถ ผมก็ถามสารถีจำเป็นที่กำลังนั่งไถหน้าจอโทรศัพท์เล่น พร้อมกับยื่นแก้วบลูเลม่อนไปตรงหน้าอีกฝ่าย โดยปลายหลอดก็จ่ออยู่ตรงริมฝีปากของพี่เขาพอดีเป๊ะ
“อืม” พี่เนย์ตอบในลำคอ จากนั้นอีกฝ่ายก็งับปลายหลอดเพื่อดูดบลูเลม่อนของผมไปอึกใหญ่ กระทั่งสารถีเขาเลิกให้ความสนใจกับโทรศัพท์แล้ว พี่เขาก็เริ่มขับรถเพื่อกลับไปยังหอของตัวเอง ส่วนผมก็นั่งหันหน้าออกไปมองยังด้านนอกหน้าต่าง
พร้อมกับดูดบลูเลม่อนจากปลายหลอดเดียวกันเงียบๆ

“มึงมันคนเจ้าเล่ห์ เมื่อกี้แอบหลอกจูบกูทางอ้อมนี่หว่า”

-----------------------------------------------------------------
21/01/2018 แก้คำผิด รอบครอบ > รอบคอบ
เนื่องจากเราลงนิยายเรื่องนี้ไว้ทั้งสามเว็บ ก็เลยมีคอมเมนท์จากอีกเว็บนึงที่น่าสนใจ เราเลยเอามาแบ่งปันให้ได้อ่านกันให้ครบทุกเว็บที่ลง
Q : ภาษามือของไทย กับภาษามือของต่างชาติเหมือนกันหรือเปล่า
Ans : จากบทความที่เคยอ่านนะคะ ภาษามือของแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกันค่ะ แต่ว่าภาษามือก็จะมีภาษาสากลเหมือนกัน เรียกว่า ไอเอส (International Sign : IS) หรือ เกสตูโน (Gestuno) แต่ว่าไม่เป็นที่นิยมมากนัก และมักจะใช้ในงานระดับนานาชาติค่ะ เช่น งานประกวด Miss & Mister Deaf Thailand ซึ่งในบางครั้งก็อาจจะต้องใช้ล่าม เพื่อแปลภาษามือในประเทศนั้นให้เป็นภาษามือสากลอีกทีหนึ่ง เพื่อสื่อสารกับคนชาติต่างๆ
ที่มา : http://themomentum.co/happy-life-5-stories-about-sign-language

ตอนนี้น่าจะยาวกว่าทุกตอนแล้ว ใช้เวลาเขียนนานเหมือนกันค่ะ เพราะลบทิ้งอยู่หลายรอบ กว่าจะได้เนื้อเรื่องที่มันน่าพอใจ คาดว่าตอนหน้าหรือไม่ก็อีกตอนนึง น่าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้ว ที่พี่เนย์กับรันจะอยู่ด้วยกัน หลังจากนี้ก็จะต้องแยกกันอยู่คนละจังหวัด เนื้อเรื่องก็จะเข้มข้นขึ้นเล็กน้อย คาดว่าน่าจะจบไม่เกิน 15 ตอนนะคะ แต่ถ้าเกินก็คงจะไม่เกิน 20 ตอนค่ะ
ปล. เป็นตอนพิเศษที่ควรเรียกว่าภาค 2 ฮ่าๆ
คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2018 17:25:26 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตอนนี้อาจจะดูหนักและเหนื่อยมากกว่าที่จะผ่านมันมาได้ แต่เชื่อเถอะเมื่อเราผ่านมันมาแล้วและมองย้อนไปดู เราจะรักและภูมิใจกับสิ่งนั้นๆมาก เหมื่อนตอนเราเรียนภาษาญี่ปุ่น กว่าจะสอบผ่านเล่นเอาท้อ หลายรอบมากทำให้เรียนไม่จบสักที 5555

ออฟไลน์ Kaamnutt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่เนย์ คนดีย์ ใส่ใจน้องรันมากกกก

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ชอบพี่เนย์จังค่ะ พี่เค้าก็อบอุ่นในแบบของเค้า ตอนพิเศษนี่ยาวพอๆกับเนื่อหาหลักเลยยยย รักกกก o13

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
งื้ออ พี่เนย์น่ารักอ่ะ เพื่อนๆน้อง เพื่อนๆพี่เนย์ก็น่ารัก ชอบบรรยากาศของเรื่องมาก เป็นสังคมที่อบอุ่นดีจัง

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
พี่เนย์อบอุ่นมากกก ขอสักคนนึงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
พี่เนย์มีวิธีปลอบใจน้องดีจริงๆค่ะชอยการแทรกความรู้ภาษามือที่เราถึงกัยทำตามคำอธิบายขอบคุณและเป็นกำลังใจสำหรับตอนต่อๆไปนะคะ

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ชอบการปลอบใจของพี่เนย์

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 10

“โอเค..เดี๋ยวพี่..ลงไปรับ” ผมรับสายน้องโบว์ ที่โทรมาหาตามที่ตกลงกันไว้ เพราะตลอดทั้งเทอมหลังจากนี้ ไอ้หมอก ไอ้คิน มันบอกให้ผมอยู่ที่หอกับพี่เนย์ซะให้พอ เพราะถ้าหากพ้นจากเทอมนี้ไป ผมจะหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้อีก นั่นจึงเป็นสาเหตุแรกที่มีส่วนทำให้ผมต้องนัดน้องรหัสมาซ้อมโปรเจคของสาขาที่ห้องพี่เนย์ ส่วนอีกสาเหตุนึงก็คือ ช่วงอาทิตย์นี้คุณอาคเนย์เขาต้องเร่งทำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานสัมมนาให้เสร็จ จะได้มีเวลาอ่านหนังสือสอบเยอะๆ และหลังสอบจะได้มีเวลาท่องสคริปต์ที่จะต้องพูด เพราะกำหนดการพรีเซ็นต์สัมมนาของอีกฝ่ายก็คือช่วงหลังจากสอบไฟนอลวันสุดท้ายหนึ่งวัน สภาพของรุ่นพี่ต่างสาขาทั้งห้าคนก็เลยพากันหัวฟูกันเป็นแถว โชคดีหน่อยที่ทุกวันนี้พวกพี่เขาเรียนกันแค่วันละตัว ไม่อย่างนั้นคงจะไม่มีเวลานอนพักอย่างเต็มที่ เหมือนตอนช่วงที่ทำวิจัยแน่ๆ
ดังนั้นช่วงอาทิตย์นี้ คนตัวโตเขาก็เลยปลีกเวลาไปรับผมจากคาเฟ่ที่มอช่วงดึกๆไม่ได้ เพราะไฟเริ่มลนก้นอีกแล้ว แถมจะสละให้น้องรหัสเป็นคนมาส่งที่หอ พี่เขาก็ไม่ยอม เพราะรู้นิสัยของผมดีว่า เดี๋ยวคงต้องมีสักครั้ง ที่ผมบอกให้น้องมาส่งแค่หน้าปากซอย ซึ่งผมก็ต้องเดินเข้าซอยมืดๆคนเดียว ยังไงซะมันก็น่ากลัวและไม่น่าไว้ใจอยู่ดี ส่วนน้องๆเขามีรถใหญ่แบรนด์ญี่ปุ่น ถ้าหากกลับดึก ยังไงซะก็ปลอดภัยกว่าผมที่ต้องเดินเข้าซอยหอพักเพียงคนเดียวอยู่แล้ว เพราะน้องๆต่างคนต่างก็พักกันอยู่ที่หอใน
มันเลยกลายเป็นว่า เจ้าของห้องคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด
เด็กๆก็เลยต้องมาซ้อมที่หอของพี่เนย์

“มึง” ผมที่กำลังจะอ้าปากร้องเรียกพี่เนย์ เพื่อบอกว่าจะลงไปรับน้องรหัสข้างล่าง ก็จำต้องอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น เมื่ออีกฝ่ายเขาตัดหน้าเรียกผมที่กำลังนั่งอยู่บนที่นอนเสียก่อน    
“ครับ”

“พวกกูว่าจะไปกินก๋วยเตี๋ยวกันเลย มึงจะไปกินพร้อมกันมั้ย แล้วน้องรหัสมึงจะมาเมื่อไหร่?” พี่เนย์ถามพลางลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจอยู่หลายที จากนั้นพี่ๆคนอื่นๆที่นั่งล้อมรอบโต๊ะญี่ปุ่น ก็พากันยืนตามแล้วก็บิดขี้เกียจเสียยกใหญ่
“น้องมาแล้วครับ..แต่ผมไม่แน่ใจ..ว่าน้องกินข้าว..หรือยัง..ถ้ายังไง..พี่ซื้อมาให้..กินที่นี่..สามถุงแล้วกันครับ..ถ้าเกิดน้องกินแล้ว..เราเก็บเอาไว้..กินมื้ออื่น..ก็ได้” ผมตอบพี่เนย์พลางลุกขึ้นยืน ส่วนอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับและเดินอ้อมไปหยิบกระเป๋าสตางค์ตรงลิ้นชักของโต๊ะข้างเตียงด้านซ้ายมือ

“งั้นกูสั่งมาเหมือนมึงหมดเลยนะ” พี่เนย์ย้ำอีกครั้ง ขณะที่ผมกำลังล็อกประตูห้อง
“ครับ” ผมตอบพลางยกยิ้มให้ จากนั้นอีกฝ่ายก็เดินไปสมทบกับเพื่อนๆ ที่นำหน้าไปก่อนแล้ว ส่วนผมก็เดินตามหลังพี่เนย์ โดยทิ้งช่วงห่างเอาไว้เยอะพอสมควร เพราะพวกรุ่นพี่ต่างสาขา แลจะหิวกันมาก พากันเดินจ้ำเอาๆ ราวกับว่าถ้าหากเดินช้ากว่านี้ ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ อาจจะเก็บร้านหนีเสียก่อน

“พี่รันนนน!” ขาของผมยังไม่ทันจะแตะพื้นบันไดขั้นสุดท้ายอย่างมั่นคงนัก เสียงของน้องโบว์ก็ร้องเรียกความสนใจเข้าเสียก่อน จากนั้นก็ตามมาด้วยยัยตัวแสบที่กำลังส่งยิ้มแป้นแล้นมาแต่ไกล ส่วนปาล์มน้องรหัสอีกคน ก็ยังคงทำตัวนิ่งเงียบเหมือนเคย
“นี่เด็กปีหนึ่ง..หรือเด็กสาม..ขวบ ฮึ?” ผมแกล้งถามยัยน้องรหัสตัวดี พลางยกมือทำเป็นกำปั้น และเคาะลงไปบนศีรษะของน้องโบว์เพียงเบาๆ

“ขำอะไรปาล์ม” แทนที่โบว์จะได้เอาเรื่องผม กลับต้องไปเอาเรื่องคู่ปรับของตัวเองแทน เพราะจู่ๆคนนิ่งๆเงียบๆอย่างปาล์ม ก็หลุดหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น จึงส่งผลให้ดวงตาเรียวเล็กสไตล์หมวย ต้องตวัดหันไปมองชายหนุ่มที่สูงกว่าเธออยู่หลายเซ็นอย่างเข่นเขี้ยว เท่านั้นไม่พอริมฝีปากเล็กก็ยังงอง้ำจนน่าดีดเสียให้เข็ด
“เปล่า” ปาล์มตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พลางยักไหล่อย่างกวนประสาท ก่อนจะยกมือไหว้ผมที่กำลังมองไปที่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มพอดิบพอดี

“ไปๆ เลิกตี..กันได้แล้ว” ผมรีบห้ามทัพ พร้อมกับก้าวเดินนำหน้าเด็กๆทั้งสอง ที่ยังคงส่งเสียงซุบซิบคล้ายกับจะตีกันต่อ แต่พอผมแกล้งทำเป็นหันหลังไปมอง เด็กๆก็รีบหันหน้าหนีไปคนละทิศละทางแบบไม่เนียน
“แล้วกินข้าว..มากันหรือ..ยัง?” ผมถามพลางก้าวเดินขึ้นบันไดทีละขั้นอย่างไม่รีบร้อน

“ยังเลยค่ะ หนูรอมากินพร้อมพี่รัน”
“งั้นก็พอดี..เลย พี่ฝากซื้อ..ก๋วยเตี๋ยว..เผื่อเราสอง..คนไว้ แต่เส้นเป็น..แบบเดียว..กับพี่นะ” ผมหันไปยิ้มให้น้องโบว์กับปาล์มที่เดินตามอยู่ข้างหลัง ซึ่งน้องๆทั้งสองคน ก็พากันพยักหน้าหงึกหงักอย่างไม่มีใครคิดจะปฏิเสธ ท่าทางว่าเด็กๆคงจะหิวกันมาก เพราะพอเลิกเรียน ทั้งสองคนก็รีบตรงดิ่งมาหาผมถึงหอเลย   

“พี่รันเลี้ยงอะไรคะนั่น” หลังจากถอดรองเท้าไว้ตรงมุมห้องเรียบร้อยแล้ว น้องโบว์ก็วิ่งดุ๊กๆ ไปยังตู้ของเจ้าเขี้ยวกุดอย่างสนอกสนใจ คงเพราะเล็งเอาไว้ตั้งแต่กวาดสายตามองจนทั่วห้องของพี่เนย์แล้ว
“จิ้งเหลน” ผมตอบ พลางเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เพื่อหยิบผ้านวมของตัวเองที่ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ แต่วันนี้แหละ ผ้านวมผืนนี้จะมีประโยชน์ขึ้นมาแล้ว เพราะผมจะเอามาปูรองนั่งกับพื้นตรงมุมขวามือใกล้ๆห้องน้ำ จะได้แบ่งโซนกันทำงานอย่างชัดเจนไปเลย

“หื้ออออ” น้องโบว์ลากเสียงยาว จนผมต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย แต่พอเห็นเด็กๆสองคนไปยืนมุงดูเขี้ยวกุดในตู้อย่างสนอกสนใจ ผมก็ได้แต่แอบขำ เพราะท่าทางของน้องรหัสทั้งสองคน เหมือนกับเด็กกำลังโตที่ต้องการ การเรียนรู้
“มานั่งนี่..ได้แล้ว..ทั้งสองคน..เลย” ผมว่า พลางปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่อเอาหมอนลงมากอด

“พี่รัน ตามันเป็นสีแดง แถมตัวยังเป็นเกล็ดๆเหมือนลูกมังกรเลย” น้องโบว์พูดด้วยท่าทางตื่นเต้น พลางนั่งลงบนผืนผ้านวมที่ผมเพิ่งจะปูเสร็จหมาดๆ
“โบว์อยากเล่นมั้ยล่ะ ถ้าอยากก็ลองขอให้พี่รันจับออกมาให้เล่นดูสิ” ปาล์มพูดขึ้นด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์แบบที่ผมไม่เคยเห็น

“หึ ไม่เอา” สิ้นคำถาม น้องโบว์ก็รีบส่ายหัวดิ๊ก
“ขำกันใหญ่เลยนะคะ” น้องรหัสตัวดีเริ่มทำหน้างอใส่ทั้งผมทั้งปาล์มซะแล้ว เพราะเมื่อครู่เราดันพากันหัวเราะสาวเจ้ามากไปหน่อย

“เอาล่ะ..เดี๋ยวเริ่มเล่า..นิทานให้พี่..ดูก่อน..จะได้เช็คเป็น..จุดๆไปเลย..รอบนี้พี่ไม่..น่าจะพลาดแล้ว” พอพูดจบ ผมก็ยกยิ้มพลางดีดนิ้วมือดังเป๊าะ เพื่อร้องเรียกความมั่นใจของทีมให้กลับคืนมา จากนั้นน้องโบว์ก็เริ่มเล่านิทานโดยที่ไม่ต้องเปิดโพยเหมือนผมเลยด้วยซ้ำ แถมเจ้าตัวดียังพูดได้ตรงเป๊ะแทบทุกประโยค ส่วนภาษามือที่น้องทั้งสองคนใช้ก็ดูมีความมั่นใจมากขึ้น คงเพราะเจ้าตัวใช้เวลาว่างหมดไปกับการฝึกแน่ๆ เห็นอย่างนี้ผมก็อดชื่นชมน้องๆไม่ได้ เพราะทั้งสองคน ถือว่าเก่งกว่าผมมาก เพราะตอนปีหนึ่งช่วงทำโปรเจค ผมต้องคอยให้รุ่นพี่ประกบอยู่ตลอดเวลา แต่กับน้องทั้งสอง ผมมีเวลาประกบแค่หนึ่งวันต่อสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งถ้าหากผมสอนน้องไม่ผิด บางทีเราอาจจะจบโปรโจคได้ภายในอาทิตย์นี้พร้อมกับกลุ่มของไอ้หมอกไอ้คินเลยก็ได้ เพราะเหลือสอนอีกไม่เยอะก็จะจบเรื่องแล้ว
“พี่ว่า.. เราน่าจะเขียน..ใส่กระดาษ..โน้ตเหมือนเดิม..ดีกว่า..เพราะถ้าพี่..ทำให้ดูอย่างเดียว..โอกาสที่พี่..จะทำให้ดู..แล้วไม่เหมือนกัน..ในแต่ละครั้ง..มันก็จะ..น้อยลง..ด้วย” ผมพูดพลางขมวดคิ้วไปด้วย จากนั้นก็ลุกเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่มักจะถูกเรียกว่าโต๊ะเขียนหนังสือ เพื่อหยิบกระดาษโน้ตและดินสอสักแท่งมาเขียนกำกับเอาไว้เลยว่า ประโยคนั้นๆ มันประกอบด้วยท่ามืออะไรบ้าง และต้องเรียงลำดับท่ามืออันไหนมาก่อนและอันไหนมาหลังให้ชัดเจน เพราะไอ้หมอกบอกว่าการทำแบบนี้ มันจะลดความผิดพลาดสำหรับคนที่ยังไม่แม่นภาษามือได้เยอะ ซึ่งผมก็ทำแค่ช่วงแรกๆ ไง แต่พอหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ทำแล้ว เพราะผมต้องเตรียมฝึกพูดเพื่อไปรับการประเมินผลการพัฒนาการจากคุณหมอ พร้อมด้วยการเตรียมตัวสอบย่อยภาษามือที่ช่วงนี้มีแทบจะทุกคาบที่เข้าเรียน
จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมใส่ใจกับงานโปรเจคของสาขาน้อยลง

ผมเริ่มจรดปลายดินสอลงบนกระดาษสีเขียวอ่อนช้าๆ ทีละประโยคเป็นคำว่า ‘ผู้ชายถือปืน = ท่ามือผู้ชาย + ท่ามือคน + ท่ามือถือปืน’ จากนั้นก็ฉีกกระดาษแผ่นนั้นแปะลงตรงกลางวง โดยเรียงประโยคตามคำบอกเล่าในนิทาน ก่อนจะเขียนอีกหนึ่งประโยคลงบนเนื้อกระดาษสีอ่อนเป็นคำว่า ‘ผู้ชายยิงนก = ท่ามือนก + ท่ามือบิน + ท่ามือเคลื่อนไหวไปตามทิศทางต่างๆ ซ้ายและขวา + ท่ามือผู้ชาย + ท่ามือคน + cl ยืน + ท่าทางยิงปืน + ท่ามือนกบิน + cl นกร่วงหล่น’ ก่อนจะฉีกกระดาษใบนั้น และแปะไว้ตรงกลางวงตามการเรียงลำดับของการเล่าเรื่อง ซึ่งผมทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ อย่างระมัดระวังในทุกๆประโยค โดยต้องคิดจนถี่ถ้วนแล้ว ผมถึงยอมเขียนข้อความต่างๆลงไปในนั้น
เพื่อที่ครั้งนี้ ผมจะได้ไม่ผิดพลาด และไม่ทำให้น้องๆสับสน จนไม่กล้าเอ่ยปากบอกเหมือนครั้งก่อนๆอีก

“มึงว่าเราเลือกหัวข้อสัมมนาผิดป่ะวะ เรื่องนี้แม่งโคตรยาก” เสียงของพี่บาสดังเล็ดลอดเข้ามาภายในห้องทันทีที่เสียงปลดล็อกประตูดังขึ้น
“แต่แม่งง่ายสุดตรงเคสที่มึงไม่ต้องไปนั่งเมคเองนะเว้ย การเมคเรื่องขึ้นไปพูดไม่ง่ายนะสัส พี่รหัสกูบอกจารย์เบญแม่งจัดหนักจ้า ใส่หมัดฮุคแล้วฮุคเล่าจนมึงน่วม ยิ่งเรื่องที่เมคเองมึงยิ่งเจอดี นี่เราเอาเคสจริงมาจากแก ยังไงก็ไม่น่าจะโดนหนักมากป่ะวะ อย่างน้อยถ้าจะโดนกูว่าก็คงโดนแค่รูปเล่มด๋อยๆ กับพรีเซ็นต์นั่นแหละวะ” พี่เอ้พูดพลางทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าจอโน๊ตบุ๊กอย่างเคย จากนั้นพี่ๆคนอื่นก็เดินตามมาสมทบจนครบ เหลือก็แต่เจ้าของห้องที่ยังไม่เดินขึ้นมาสักที

“น้ำกับก๋วยเตี๋ยวของมึง” คิดยังไม่ทันจะถึงห้านาที พี่เนย์ก็เดินเข้ามา พร้อมกับล็อกห้องอย่างแน่นหนา จากนั้นร่างสูงก็ชูแก้วเครื่องดื่มสีฟ้าขึ้นกลางอากาศพร้อมด้วยก๋วยเตี๋ยวสามถุง วางเอาไว้บนหลังตู้ใส่หนังสือ ส่วนตัวเองก็เดินดูดบลูเลม่อนอีกแก้ว ก่อนจะนั่งลงตรงที่เดิมของตัวเอง ซึ่ง ณ เวลานั้นท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสก็เริ่มมืดมิดลงทุกทีๆ
“กินก๋วยเตี๋ยว..กันก่อนมั้ย..จะได้ยิงยาว..ทีเดียวเลย” ผมลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปหยิบบลูเลม่อนมาดูด จากนั้นก็หิ้วถุงก๋วยเตี๋ยวไปวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตรงหน้าเตาไมโครเวฟ เพราะเกรงว่าความร้อนจะทำให้ตู้หนังสือเสียหาย

“ก็ได้ค่ะ” น้องโบว์เป็นคนตอบ จากนั้นน้องรหัสทั้งสองก็ตามมาสมทบตรงพื้นที่บริเวณหน้าเตาไมโครเวฟ ด้วยท่าทีที่สงบนิ่งกว่าเดิม เมื่อในห้องๆนี้ ไม่ได้มีแค่ผมที่เจ้าตัวสนิทสนมด้วยเท่านั้น
“ปาล์มช่วยพี่..แกะใส่ถ้วย..หน่อย..เดี๋ยวพี่ไป..เอาน้ำมาให้” ผมลุกขึ้นไปหยิบถ้วยตรงที่คว่ำจานมาสามใบ จากนั้นก็เอามาวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตรงที่น้องๆกำลังนั่งปักหลักอยู่ ก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดตู้เย็น เพื่อหยิบน้ำออกมาหนึ่งเหยือกแล้ววางไว้กลางวง พร้อมด้วยแก้วที่วางคว่ำอยู่ตรงชั้นบนสุดของที่คว่ำจานที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมนัก

“เออ ไอ้เนย์มึงติดต่อเจ้าของเคสได้หรือยัง” พี่เปรมพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ จึงทำให้น้องๆกลุ่มผมยิ่งเกร็งกันไปใหญ่
“ยังเลยว่ะ เห็นอาจารย์บอกแกทำงานโรงแรมนะ อาจจะติด MOD อยู่” พี่เนย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ว่าแต่ MOD แม่งคืออะไรวะ แล้วพรีเซ็นต์เคสเราจะทันมั้ยวะ ไอ้เหี้ย หนังสือกูก็ยังไม่ได้อ่านสักตัว เทอมสุดท้ายแล้วด้วย” พี่ตี๋บาสบ่นอุบอย่างเคร่งเครียด ซึ่งพี่ๆทุกคนก็ดูจะเครียดไม่ต่างกัน เพราะเทอมนี้คือเทอมสุดท้ายที่จะทำคะแนนให้ออกมาเป็นที่น่าพอใจแล้ว เนื่องจากเทอมหน้าทั้งเทอม พวกพี่เขาต้องไปฝึกงาน และเรียนรู้อะไรอีกมาก ที่ไม่ได้มีแค่ในตำราเรียน
“ไม่รู้เว้ย อาจารย์แกพูดมา คงเป็นศัพท์งานโรงแรมมั้ง ซึ่งกูไม่ได้เรียนโรงแรมและไม่ได้ทำงานโรงแรมมั้ยไอ้สัส แล้วไอ้ที่มึงบอกว่าไม่ได้อ่านหนังสือสักตัว แม่งก็เป็นกันทั้งรุ่นมั้ยครับมึง บ่นจริงบ่นจัง มาช่วยกูคิดสคริปต์ตอนยกเคสมาพูดนี่” พี่เนย์บ่นพร้อมกับเอาดินสอปาใส่พี่ตี๋บาสแบบแกล้งๆ

“กูพูดพรีเซ็นต์เนื้อหาแล้ว ส่วนพูดยกเคส นั่นหน้าที่มึงเลยครับ ส่วนใครจะแสดงเป็นนักจิตวิทยา คุณหมอจิตเวชอะไรก็ค่อยว่ากันอีกที เพราะยังไงก็ต้องเอามาเกลารวมกันอยู่ดี ว่าแต่พวกมึงคิดออกยังว่าจะเอาอะไรเป็นของแจกวันสัมมนา ไหนจะอาหารกลางวันอีก กลุ่มเราแม่งเสือกได้ช่วงพักพอดีเลย สาด เพิ่มงาน!” พี่ตี๋บาสยังคงบ่นไม่เลิก เพราะอะไรๆก็ยังดูไม่พร้อมนัก
“เนี่ยกูว่าจะรีบทำรูปเล่มกับพรีเซ็นต์ให้เสร็จ จะได้หาเวลาไปเลือกของชำร่วยที่กรุงเทพด้วยกัน ส่วนบทพูดตอนยกเคสก็เดี๋ยวติดต่อคุณคนนั้นได้ ก็ค่อยรวบรวมข้อมูล แล้วเอามาเกลากันอีกทีว่าแต่ละส่วนควรจะเพิ่มอะไรอีกบ้างงี้” พี่เอ้พูดอย่างเป็นการเป็นงาน และดูมีสติที่สุดแล้ว เพราะพี่คนอื่นๆ แลท่าทางจะเครียดจนทำอะไรไม่ถูกกันไปหมด

กว่าจะทานกันจนเสร็จ ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ผมเลยบอกให้น้องๆเอาชามกองรวมกันไว้ เดี๋ยวฝึกกันเสร็จผมค่อยเอาไปล้างเองทีเดียว ดังนั้นทั้งห้องจึงมีแค่เสียงของผมที่คอยอธิบายภาษามือตั้งแต่ประโยคแรกที่แฝงความผิดพลาดเอาไว้ ให้น้องๆเข้าใจ ว่าประโยคนั้นๆต้องใช้ภาษามือในท่าใดบ้าง จากนั้นผมค่อยเริ่มสอนให้น้องรหัสทั้งสองคนใช้ภาษามือในประโยคใหม่ของนิทานเรื่องเดิม ซึ่งเหลืออีกประมาณสองบรรทัดเห็นจะได้ โดยวิธีการของผมก็คือทำเหมือนเดิมทุกอย่าง เริ่มจากเขียนแยกส่วนประกอบให้น้องๆมองเห็นภาพได้ง่ายขึ้น จากนั้นถึงค่อยสอนท่ามือของประโยคนั้นๆ แล้วก็เริ่มให้น้องทบทวนตั้งแต่ประโยคแรกจนถึงประโยคใหม่ที่ผมเพิ่งจะสอนเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เพื่อความคล่องแคล่ว

“สวัสดีครับ คุณระพีหรือเปล่าครับ ใช่ครับ พอดีผมอยากจะขอข้อมูลเกี่ยวกับโรค PTSD น่ะครับ พอดีอาจารย์เบญจวรรณท่านแนะนำที่ผมมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับคุณระพีน่ะครับ”  ผมหันไปมองพี่เนย์ด้วยความสนใจ เมื่อชื่อของบุคคลที่อีกฝ่ายโทรไปหาเหมือนกับคุณแม่ของผมเป๊ะ แถมยังทำงานโรงแรมเหมือนกันด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะชื่อของแม่ผมก็ออกจะโหลพอสมควร
“อ่า..ใช่ครับ ผมอาคเนย์เองครับคุณแม่ ครับๆ ได้ครับ สักครู่นะครับ” ผมหันไปมองยังพี่เนย์อีกครั้ง เมื่อบทสนทนาของทั้งสองฝ่ายดูเป็นกันเองเกินความจำเป็น ทำเอาผมสลัดความคิดแรกที่แว๊บเข้ามาในหัวไม่ได้ ยิ่งพี่เขารีบลุกเดินออกไปคุยที่ระเบียงด้านนอก พร้อมกับปิดประตูกระจกด้วย ก็ยิ่งน่าสงสัย ผมจึงคอยลอบมองไปยังคนตัวสูงที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่กับคนที่คาดว่าจะเป็นแม่ของผม แต่ก็ยังไม่ชัวร์นัก เพราะผมไม่เข้าใจว่าพี่เนย์จะโทรไปปรึกษาแม่เกี่ยวกับโรค PTSD ทำไม ในเมื่อที่บ้านผมไม่น่าจะมีคนป่วยด้วยโรคนี้ ซึ่งคำว่า ‘เคส’ ของพวกพี่เนย์มันก็น่าจะตีความหมายได้ว่าคนที่อีกฝ่ายโทรหาคือแหล่งข้อมูลชั้นดี แต่อาการรีบร้อนลุกออกไป พร้อมกับเสี้ยวหนึ่งที่ดวงตาคมคู่นั้นเหล่มองผมเพียงครู่ มันก็เลยทำให้ผมเก็บข้อสงสัยเอาไว้ไม่อยู่

“พี่เอ้ครับ” ผมปีนขึ้นไปนั่งบนเตียง พลางโน้มตัวลงไปกวนพี่เอ้ที่กำลังนั่งพิมพ์รายงานอยู่
“ว่าไงรัน” พี่เอ้ถาม ขณะที่ดวงตาของเธอ ยังคงจดจ้องเนื้อหาในหนังสือ สลับกับหน้าจอโน๊ตบุ๊กอยู่หลายที


-อ่านต่อด้านล่าง-

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
“โรค..PTSD..คืออะไร..เหรอครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้ เพราะยังคงติดใจกับข้อสันนิษฐานของตัวเองอยู่
“อ้อ PTSD เนี่ยเป็นโรคเครียดที่เกิดขึ้นหลังจากประสบเหตุการณ์สะเทือนใจ ทำให้มีความผิดปกติทางอารมณ์จนส่งกระทบต่อการดำเนินชีวิตจ๊ะ” พี่เอ้หันมาตอบพร้อมด้วยรอยยิ้ม ส่วนผมก็ทำได้แค่ยิ้มบางๆตอบกลับไปเพียงเท่านั้น เพราะว่าข้อสันนิษฐานของผมมันดูท่าจะเป็นจริง เนื่องจากว่าในครอบครัวของผม ก็เห็นจะมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่เคยประสบเหตุการณ์ร้ายแรงจนเข้าข่ายที่น่าจะป่วยเป็นโรค PTSD

“แล้ว..อาการของมัน..เป็นยังไงครับ” ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เพราะพูดตรงๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีโรคเครียดแบบนี้ด้วย ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าผมป่วยหนักกว่าที่ตัวเองเข้าใจ
“อาการในเด็กกับผู้ใหญ่จะแตกต่างกันนะ”

“ผมอยากรู้..แค่ของเด็ก..ครับ” ผมรีบพูดแทรกอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน
“ถ้าในเด็กอายุประมาณ 20 เดือนถึง 6 ปี การสื่อสารจะค่อนข้างจำกัดนะรัน ผู้ปกครองจะต้องเป็นคนวินิจฉัยโรค โดยสังเกตจากพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะพบว่า เด็กจะสูญเสียทักษะทางการพัฒนาที่เคยมีน่ะ แต่ทักษะทางด้านไหนบ้างพี่ยังไม่ได้ข้อมูลที่แน่นอนเลยรัน แต่ว่าไอ้เนย์ติดต่อกับคุณระพีได้แล้ว เราน่าจะได้ข้อมูลที่แน่นอนขึ้น” พี่เอ้ตอบพลางมองผมด้วยสายตาสงสัย ที่จู่ๆ ผมก็หันมาให้ความสนใจกับหัวข้องานสัมมนาของตัวเอง ทั้งๆที่ร้อยวันพันปีผมไม่เคยสนใจ ผมจึงยิ้มบางๆให้อีกฝ่ายอีกครั้ง จากนั้นก็หดตัวกลับมานั่งตัวตรงบนที่นอน พลางเหลือบมองไปยังบรรยากาศด้านนอกระเบียง ที่ตอนนี้ผมไม่สามารถมองเห็นพี่เนย์ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าตัวเขาไปยืนหลบแถวๆที่ๆผ้าม่านมันบังเอาไว้จนมิด

ผมนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองเป็นนานสองนาน ซึ่งความคิดมันก็เอาแต่วนเวียนอยู่กับเรื่องของโรค PTSD ว่ามันจะเป็นไปได้ไหมว่า การที่ผมพูดไม่ได้ จะเป็นอาการของโรคเครียด เพราะที่ผ่านมา ตั้งแต่เด็กจนโต ผมก็คิดและเข้าใจเอาเองมาตลอดว่า สาเหตุที่ทำให้ผมพูดไม่ได้ มันเป็นเพราะพ่อกับแม่ขู่ผมตอนที่ผมต้องนั่งชิงช้าสวรรค์ที่มันค้างต่องแต่งอยู่ด้านบนสุด เกือบๆจะครึ่งชั่วโมงด้วยความหวาดกลัว
กลัวจนถึงกับไม่ยอมพูดออกมาอีกเลย
จากนั้นในใจลึกๆของผม ก็เอาแต่โกรธพ่อกับแม่มาตลอด

ซึ่งถ้าหากอาการทุกอย่างที่ผมเป็น มันเกิดจากอาการป่วยที่ผมไม่เคยรู้ และถ้าหากคนที่มาวาดรูปเล่นกับผมตอนเด็กๆ คือคุณหมอ ไม่ใช่พี่สาวข้างบ้าน ที่เพิ่งจะย้ายมาอยู่ใหม่อย่างที่ผมเข้าใจ นั่นก็เท่ากับว่าผมได้รับการใส่ใจจากครอบครัวมากกว่าที่คิดไว้ แม้ว่ายังไงซะ สาเหตุของเรื่องมันจะเกิดจากเหตุการณ์เดียวกันก็ตาม แต่มันก็สามารถกลายเป็นเรื่องเล็กๆไปได้ มันก็เลยยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ที่ผมเคยนึกโกรธพวกท่านอยู่หลายปี
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ตัวแปรสำคัญของเรื่องนี้ มันเกิดขึ้นเพราะกลไกการปกป้องตัวเองของร่างกายต่างหาก

ครืดดดด

“ได้ข้อมูลอะไรมาบ้างวะ?” พี่บาสแฟนพี่เอ้เงยหน้าขึ้นถาม เมื่อได้ยินเสียงพี่เนย์กำลังเปิดประตูระเบียง
“เยอะอยู่ แต่กูขอคุยกับแฟนกูก่อน รันมึงออกมาคุยกับกูข้างนอกหน่อยดิ” พี่เนย์ตอบเพื่อนๆที่กำลังให้ความสนใจกับตัวเองสั้นๆ จากนั้นก็ละสายตามายังผมที่กำลังนั่งคุดคู้จนลืมงานลืมการจนหมดสิ้น

“ปิดประตูระเบียงด้วย” พอผมก้าวเดินเข้ามายังส่วนของระเบียงห้องเรียบร้อยแล้ว พี่เนย์ก็หันมาออกคำสั่ง ผมเลยต้องหมุนตัวกลับไปปิดประตูกระจกให้มิดชิด
“…” พอทำทุกอย่างตามที่มีคนร้องบอกเรียบร้อย ผมก็ยืนคว้างอยู่ที่เดิม จนพี่เนย์ต้องมาลากแขนผมให้เดินเข้ามาหลบมุมตรงส่วนที่ผ้าม่านบังจนมิด ซึ่งก็คือบริเวณริมกำแพงกั้นห้องทางฝั่งขวามือ ห่างไกลจากส่วนซักล้างที่วันนี้ยังไม่ได้แตะต้องมัน น้ำจึงยังไม่เจิ่งนองเหมือนทุกที

“มึงรู้หรือเปล่าว่ามึงเคยป่วยเป็น PTSD หรือโรคเครียดจากเหตุการณ์ร้ายแรงน่ะ” พี่เนย์ขยับตัวเข้ามายืนใกล้ๆ จากนั้นก็วางแขนข้างหนึ่งค้ำยันกำแพงด้านหลังผมไว้ ทำให้ตอนนี้ผมเหมือนถูกกักขังให้อยู่ในพื้นที่เล็กๆที่อีกฝ่ายมีให้เพียงเท่านั้น
“…” ผมส่ายหน้า
“อืม กูเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ตอนมึงเคยเล่าให้ฟัง กูก็ไม่ได้เอะใจถึงเรื่องนี้มาก่อน”
“…”

“มึงยังโกรธพ่อกับแม่อยู่หรือเปล่า?” ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่เนย์อย่างรวดเร็ว ทันทีที่อีกฝ่ายล่วงรู้ความคิดของผมจนหมดสิ้น
“…”

“พ่อกับแม่ท่านรู้นะว่ามึงโกรธ ตอนพูดถึงอาการของมึงตอนนั้น ท่านก็ร้องไห้ด้วย” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ก็แฝงความนิ่มนวลเอาไว้ทุกประโยค ราวกับเจ้าตัวเข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
“มันก็จริงอยู่ ว่าสาเหตุที่ทำให้มึงป่วยเป็นโรคนี้ และเรื่องอื่นๆ มันทำให้มึงพบเจอแต่เรื่องที่ไม่ค่อยโอเค แต่ว่าท่านก็ดูแลมึงอย่างดีเลยไม่ใช่เหรอ กูว่ามันน่าจะไถ่โทษกันได้นะ” ผมเม้มปากแน่น เพราะผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าความโกรธของผมมันเป็นความลับที่เก็บงำเอาไว้คนเดียวและเนิ่นนานมากแล้ว ถ้าหากว่าจู่ๆ ผมเดินเข้าไปบอกพ่อกับแม่ว่าผมไม่ได้โกรธอะไรท่านแล้ว ท่านจะเข้าใจผมไหม หรือว่าการพูดออกไป จะยิ่งไปตอกย้ำบาดแผลในใจของท่านให้มากขึ้นกันแน่

“ที่กูพูด กูไม่ได้จะตำหนิมึงนะรัน กูไม่อยากให้มึงเข้าใจกูผิด กูแค่เห็นใจท่าน เลยอยากจะช่วยพูดให้ ทั้งๆที่ท่านห้ามไม่ให้กูเอาความลับนี้มาบอกกับมึงก็เถอะ”
“ตอนนั้น.. ท่านไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มึงกลัวนะ ท่านแค่อยากให้มึงได้เที่ยวให้สนุกเหมือนกับเด็กคนอื่น ท่านก็เลยพามึงไปเที่ยวสวนสนุก แล้วก็พาไปนั่งชิงช้าสวรรค์เล่น เพราะมึงจะได้เห็นวิวสวยๆ แบบที่ท่านชอบ แต่เพราะการทำงานโรงแรมมันทำให้ท่านไม่ค่อยมีเวลาให้มึง ท่านถึงไม่เคยรู้ว่ามึงกลัวความสูง พอมึงร้องไห้ ท่านก็ไม่รู้จะปลอบมึงยังไง เพราะส่วนใหญ่แล้ว มึงจะอยู่กับพี่เลี้ยงแล้วก็เนอสเซอรี่กับโรงเรียนมากกว่า แถมพอโตมา มึงก็อยู่กับแมวมากกว่าอยู่กับท่านอีก กูไม่อยากให้ระหว่างมึงกับพ่อแม่มีช่องโหว่ใหญ่ๆแบบนี้เลยรัน ถ้ามึงหายโกรธท่านแล้ว และไม่กล้าพูดรื้อฟื้นมันอีก กูอยากแนะนำให้มึงลองกอดท่าน หรือไม่ก็ทำอะไรก็ได้ที่มึงไม่เคยทำให้พวกท่านมาก่อน กูว่ามันน่าจะเติมเต็มช่องว่างนั้นได้นะ” พี่เนย์พูดด้วยท่าทีสบายๆพร้อมด้วยรอยยิ้ม แต่ผมกำลังน้ำตาไหลอาบแก้ม เพราะผมเสียใจที่เพิ่งรู้ว่าพ่อกับแม่เสียใจกับเรื่องของผมมากกว่าที่คิด อีกทั้งอาการของผมในตอนนั้นมันก็น่าจะสร้างบาดแผลให้ท่านคิดโทษตัวเองไม่น้อย แล้วผมยังจะไปซ้ำเติมให้มันกลายเป็นแผลลึกมากขึ้นๆ เพราะเอาแต่นึกถึงแต่ตัวเองอยู่อีก

“กูจะไม่ห้ามให้มึงหยุดร้องไห้ เพราะกูเข้าใจว่ามึงคงเจ็บปวดกับเรื่องนี้มาตลอด และท่านเองก็เจ็บปวดกับเรื่องนี้เหมือนกัน กูถึงอยากช่วยให้อะไรๆมันดีขึ้นบ้าง” พี่เนย์พูดพลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ผมเงียบๆ อยู่อย่างนั้น แม้ว่าผมจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้เลยก็ตาม
“อะ..อาการ..ผะ..ผม..ตะ..ตอนนั้น..เป็น..ฮึก..ยังไง..ครับ..แม่เล่า..หะ..ให้พี่..ฟัง..ใช่ไหม” ผมถามพลางสะอื้นฮักๆ เพราะยิ่งมีคนปลอบ หัวใจมันก็ยิ่งวูบวาบ เพราะความเศร้าที่ค่อยๆแผ่กระจายไปทั่ว

“ตอนแรกพวกท่านคิดว่ามึงโกรธ เลยไม่ยอมพูดด้วย แต่อาการแปลกๆของมึงมันก็เริ่มมีมากขึ้น อย่างแรกคือ มึงฉี่รดที่นอนทั้งๆที่มึงเคยควบคุมตัวเองได้ แล้วมึงก็ดูกลัวและหวาดระแวงแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งความกลัวของมึง มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชิงช้าสวรรค์สักนิด จากนั้นมึงก็เริ่มก้าวร้าว ไม่ใช่เด็กน่ารักคนเดิม เอาแต่ขว้างปาข้าวของจนเสียหาย มิหนำซ้ำบางทีมึงก็ฉลาดเกินไป รู้จักล็อกห้องไม่ให้ใครเข้านอกจากแชมเปญอีกต่างหาก แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เรื่องที่มึงพูดไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่แค่การไม่ยอมพูด ซึ่งกว่าพ่อกับแม่ของมึงจะรู้ ท่านก็ต้องไปปรึกษาจิตแพทย์อยู่หลายครั้ง เออ แล้วมึงจำพี่สาวข้างบ้านได้ไหม ที่เขาบอกว่าชอบเลี้ยงแมวเหมือนมึงน่ะ เขาคือคนที่พูดเกลี้ยกล่อมให้มึงยอมเปิดประตูปล่อยเจ้าแชมเปญออกไปกินข้าวไง” ผมเม้มปากพลางกำเนื้อผ้าบริเวณหน้าอกของพี่เนย์แน่น เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจทุกอย่างออกมา
“จริงๆ พี่สาวคนนั้น ก็คืออาจารย์เบญวรรณที่สอนกูในตอนนี้นี่แหละ แต่มึงสบายใจได้ ท่านคงจำมึงไม่ได้หรอก เพราะตอนนั้นท่านมาช่วยบำบัดตั้งแต่มึงยังเด็กแค่ประมาณสี่ห้าขวบเองมั้ง” ผมยกยิ้มพลางพยักหน้า เพราะผมยังจำพี่สาวคนนั้นได้ เพียงแต่จำได้แค่ลางๆเท่านั้น

“อดีตมันกลับไปแก้ไขไม่ได้ มึงก็แค่ต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เข้าใจหรือเปล่า เรื่องบางเรื่อง ปล่อยเอาไว้นานมันก็ไม่ดีหรอก มึงจะเอาแต่เปิดใจให้คนอื่น แต่ไม่ยอมเปิดใจให้พ่อกับแม่ กูเองก็ไม่เห็นด้วยนะรัน สิ่งที่กูพูด กูแค่แนะนำ ไม่ได้บังคับ เข้าใจหรือเปล่า” ผมพยักหน้ารับรู้ทุกคำบอกกล่าวด้วยความหวังดีจากอีกฝ่าย
“ผมจะ..กลับ..ไป..กอดท่าน..แบบนี้” ผมพูดพลางเลื่อนมือไปโอบกอดรอบเอวของพี่เนย์ไว้ พลางฝังใบหน้าลงกับแผ่นอกแข็งแรงของอีกฝ่าย ส่งผลให้กลิ่นหอมอันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของพี่เนย์ลอยคลุ้งไปทั่วจมูก ซึ่งผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นกลิ่นหมือนกับอะไร นอกจากรู้แค่ว่า ผมชอบกลิ่นนี้..
เพราะกลิ่นนี้มันทำให้ผมรู้สึกสงบ ปลอดภัย ไร้ความกังวล ก็เท่านั้น

“อืม ดีแล้ว” พี่เนย์ลูบหัวผมด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ยังคงกักขังผมไว้ไม่เปลี่ยน
“เรื่องของมึงกับเคสโปรเจคของกู มันบังเอิญมากจริงๆรัน กูคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว แต่มึงไม่ต้องห่วง กูจะไม่บอกใครเรื่องรายละเอียดที่ชี้ไปถึงตัวบุคคล แต่กูสัญญาว่ากูจะพูดแค่สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาแค่นั้น ไม่ว่าใครก็จะไม่มีทางรู้ว่าเคสนั้นคือเรื่องของมึง มันจะเป็นความลับระหว่างเรา มึงโอเคไหม?” ผมพยักหน้าพลางส่งเสียงอู้อี้ตอบกับอกแน่นๆ หอมๆ ของพี่เนย์

“รัน”
“ครับ”

“มึงหลอกลวนลามกูอีกแล้วใช่มั้ยน่ะ” พี่เนย์ดันตัวผมที่กำลังจมลงสู่ความหอมที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยจนลืมความเศร้า ให้กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“…” ใบหน้าของผมตอนนี้คงแดงแปร๊ด เหมือนกับตอนที่พี่เนย์จับได้ว่าผมหลอกจูบพี่เขาทางอ้อมแน่ๆ
น่าอายชะมัด

“ทีหลังถ้ามึงอยากจูบ อยากกอด หรืออยากทำอะไรกับกู แค่มึงพูดหรือแสดงออกมาให้มันชัดๆเท่านั้น”
“…”

“เพราะกูสามารถประเคนตัวเองใส่พานให้มึงได้ทุกเวลาเลย รู้มั้ยรัน”

-------------------------------------------------------------------------
Cl จะเป็นการทำมือโดยชูแค่นิ้วโป้งกับนิ้วก้อยค่ะ
MOD ย่อมาจาก Manager on duty หรือที่คนโรงแรมเรียกกันว่า 'มด' ค่ะ ส่วนใหญ่แล้ว กรณีที่ยังไม่มีผู้จัดการใหญ่หรือผู้จัดการที่ได้รับมอบหมายให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ภายในโรงแรมโรงแรม ก็จะมีการมอบหมายให้หัวหน้าแผนกต่างๆ หมุนเวียนกันเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยภายในโรงแรม และเป็นผู้บัญชาการในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินต่างๆ เช่น ไฟไหม้ แผ่นดินไหว ฆาตกรรม ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากแขก หรือเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานโรงแรม

สำหรับตอนนี้จะว่าเราเพิ่งเพิ่มเข้ามาก็ได้ เพราะว่าทีแรกเราจะเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับโรค PTSD ในมุมมองของพี่เนย์ แต่เรากลัวว่ามันจะแลกระโดดไปกระโดดมา ก็เลยเขียนแทรกเป็นงานสัมมนาของพี่เนย์แทนดีกว่า เพราะนักจิตบำบัดก็มีส่วนช่วยในการบำบัดผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับทางจิตเวชได้เหมือนกัน ส่วนโครงเรื่องที่น้องป่วยอันนี้เราคิดไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้จะเขียนออกมายังไง เพราะน้องรันไม่รู้ตัวว่าตัวเองป่วยเป็นโรคเครียด และได้รับการดูแลมาอย่างดี เพราะตอนนั้นน้องยังเด็กมาก ไม่มีทางเข้าใจข้อมูลเชิงวิชาการพวกนี้ แถมยังปิดกั้นตัวเองจากพ่อแม่นิดๆด้วย
ปล. ตอนนี้อาจจะไม่ได้เน้นภาษามือมาก เพราะเราอยากจะเน้นที่ความรู้สึกของน้องต่อครอบครัวมากกว่าค่ะ ซึ่งก็สบโอกาสเหมาะพอดีที่จะแก้ไขช่องว่างระหว่างครอบครัวของน้องรัน เนื่องจากตอนแรกเราวางเอาไว้ว่าจะเป็นตอนพิเศษอีกช่วงนึง

อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 10
“โรคเครียด PTSD ป่วยทางใจ หลังประสบภัยรุนแรงในชีวิต”. (เว็บไซต์ kapook). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : health.kapook.com.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2017 21:54:46 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 11

หากเปรียบพี่เนย์เหมือนกับรถไฟเหาะ ก็คงเป็นรถไฟเหาะสัญชาติ USA ที่น่าหวาดเสียวที่สุดในโลก เพราะเดี๋ยวอีกฝ่ายก็ดึงอารมณ์ผมให้ร่วงลงสู่จุดต่ำสุด จากนั้นภายในเวลาไม่นาน ผู้ชายคนนี้ก็ดึงอารมณ์ของผมจนพุ่งไปถึงจุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมปรับเปลี่ยนจากอารมณ์เศร้า มาเป็นเก้อเขินแทบไม่ทัน
แต่ก็นั่นล่ะ นั่นคือวิธีที่อีกฝ่ายใช้ในการปลอบใจ เพื่อไม่ให้ผมเศร้าไปกับเรื่องที่ได้พูดคุยกันมากมายนัก น้ำตาของผมมันก็เลยขังคลออยู่ตรงหางตา แม้ว่าแก้มจะแดงระเรื่อ และหน้าจะกำลังร้อนเห่อมากๆเลยก็ตาม

“วันนี้กินต้มเลือดหมูกัน กูอยากกินมาหลายวันแล้ว” พี่เนย์ที่อยู่ในชุดนักศึกษาจนเต็มยศ กำลังประคบประหงมเจ้าเขี้ยวกุด พลางแอบถ่ายเจ้าลูกชายเอาไว้เหมือนเดิม เพียงแต่ช่วงนี้เจ้าตัวไม่ค่อยจะมีเวลาอวดเจ้าเรดอายสกิ้งค์ตัวนี้สักเท่าไหร่ เพราะงานเริ่มรัดตัวมากขึ้นทุกที เรียกได้ว่า อาการเห่อลูกชายค่อยๆหดหายไปตั้งแต่พี่เนย์เริ่มทำวิจัย จนกระทั่งจะเรียนจบ
“ก็ได้ครับ” ผมยิ้มบางๆขณะกำลังส่องกระจกเพื่อหวีผมให้เข้าที่เข้าทาง พลางตอบคนชักชวนอย่างเอาใจ เพราะผมไม่ได้อยากกินอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว

“วันนี้มึงเรียนครึ่งวันเหมือนกูใช่มั้ย?”
“ครับ” ผมตอบพลางวางหวีเอาไว้ตรงมุมเดิมของมัน

“กลับพร้อมกูดิ”
“ทำไมครับ?” ผมเดินเข้าไปถามพ่อเจ้าเขี้ยวกุด ที่กำลังเปิดเครื่องทำความชื้นก่อนเจ้าลูกชายอาจจะต้องทนอยู่กับความอบอ้าวไปอีกหลายชั่วโมง

“วันนี้พวกกูต่างคนต่างไปเคลียร์งานห้องใครห้องมัน กูเลยอยากให้มึงอยู่ด้วยกัน” พี่เนย์เอามือท้าวตู้เจ้าเขี้ยวกุดข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็วางเอาไว้บนหัวของผม
“…” ผมไม่ตอบอะไร นอกจากยกยิ้มให้อีกฝ่าย พลางพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ

“ไปเถอะ เดี๋ยวจะสาย” พอพี่เนย์ออกปากอย่างนั้น ผมก็รีบเดินไปหยิบกระเป๋าใบโปรดมาสะพายข้างอย่างรวดเร็ว โดยไม่ลืมจะถอดปลั๊กทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนจะออกจากห้อง
“วันนี้เดินไปนะ เรายังพอมีเวลาอยู่” คนตัวสูงที่กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นเกมในโทรศัพท์อยู่ข้างๆ เอ่ยปากขึ้น ทำเอาผมที่กำลังจะล็อคประตูได้แต่หันไปมองอย่างแปลกใจ เพราะดูท่าทางวันนี้พี่เขาจะอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ

“วันนี้..อารมณ์ดี..อะไรครับ?” ผมถามอย่างสงสัย พลางเดินอยู่ใกล้ๆอีกฝ่าย ที่เอาแต่ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ลูกเดียว แถมยังเดินลงบันไดด้วยนะ ผมล่ะเสียวกลัวพี่เขาจะตกบันไดชะมัด
“พรีเซ็นต์ไอ้ตี๋บาสทำเสร็จแล้ว ตอนนี้เหลือแค่รูปเล่มกับสคริปต์ แต่กูคิดว่าสคริปต์วันนี้ก็น่าจะเสร็จอีกอย่าง” รุ่นพี่ผู้ติดเกมอย่างกะทันหัน ตอบด้วยท่าทีสบายๆ ส่วนผมก็ต้องจับแขนพี่เขาไว้ตลอดทาง เพราะไม่อาจไว้ใจได้เลยจริงๆ ก็พี่เขาเล่นทำตัวเหมือนเด็กขนาดนี้

“กูเพิ่งรู้ว่าการถูกดูแล มันทำให้รู้สึกดีอย่างนี้” พี่เนย์พูดขึ้น ระหว่างที่เรากำลังเดินอยู่ริมถนน เพื่อไปยังร้านต้มเลือดหมูเจ้าเดิมที่พี่เขาชอบพาไปกิน โดยผมเป็นฝ่ายดันให้พี่เขาเดินอยู่ด้านใน ส่วนผมก็เดินตามประกบอีกที
“ยังไงครับ?” ผมถามพลางยิ้มบางๆ เพราะผมเองก็รู้สึกดีที่พี่เขาชอบถูกดูแลเหมือนกัน

“กูเคยเป็นแต่ผู้ให้ พอวันนึงได้มาเป็นผู้รับกับเขาบ้าง มันก็เลยรู้สึกเหมือนกับหัวใจกำลังพองโตเป็นลูกโป่งไปเลยว่ะ” คุณอาคเนย์เขาพูดด้วยท่าทางสดใส มิหนำซ้ำเกมที่เล่นๆมาตั้งนาน ก็ถูกเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงไปซะได้ จากนั้นอีกฝ่ายก็ดันตัวผมเข้าไปยืนด้านใน ส่วนเจ้าตัวก็เปลี่ยนออกมายืนด้านนอก เหมือนกับทุกครั้งที่เราเคยเดินด้วยกันตรงริมถนน
“ตอนเที่ยง..ก่อนกลับหอ..เราแวะซื้อ..ของใช้ก่อน..ก็ดีนะครับ..เพราะ..เหมือนว่ามัน..จะหมดหลายอย่าง..เลย”

“เออ กูก็ว่าจะบอกมึงอยู่ ดันมัวแต่เล่นเกม จนลืมไปเลย” เราเดินคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระมากมาย จนท้ายที่สุดปลายทางของเราก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า และก็เหมือนเดิมคือผมเป็นฝ่ายเดินไปจองโต๊ะกับตักน้ำ ส่วนพี่เนย์เป็นฝ่ายเดินไปสั่งเมนูกับเจ้าของร้าน ก่อนจะเดินกลับมานั่งยังโต๊ะที่ผมจับจองไว้ กระทั่งมื้อเช้ามาเสิร์ฟ เราต่างคนต่างก็นั่งกินกันเงียบๆ
หากแต่เป็นความเงียบ ที่ไม่ได้มีความอึดอัดใจแต่อย่างใด

“อาจารย์นะอาจารย์ งดเรียนเองแท้ๆ แต่กลับหางานมาให้แทน” ไอ้หมอกบ่นอุบ เมื่อวันนี้อาจารย์ประจำรายวิชาจรรยาบรรณล่ามภาษามือเพิ่งจะให้งานมาสดๆร้อนๆ เหตุเพราะคาบนั้นที่เคยงดเรียนไปอย่างกะทันหัน จนบัดนี้อาจารย์ก็ยังไม่สามารถหาห้องบรรยายมาทดแทนตามวันเวลาที่นักศึกษาสามารถเข้าเรียนได้ อาจารย์จึงต้องแก้ปัญหาโดยการให้งานเพิ่ม แต่แปลงงานดังกล่าวให้กลายเป็นคะแนนเก็บอย่างงงๆ
“บ่นอยู่นั่น อาจารย์ก็แค่ให้เขียนประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจรรยาบรรณวิชาชีพล่ามเท่านั้นเองมั้ยมึง มันเป็นคำถามปลายเปิด ไม่มีผิดไม่มีถูก ยังไงถ้ามึงทำ มึงก็ได้คะแนนเต็มอยู่แล้วป่ะวะ นี่มันงานช่วยชีวิตชัดๆนะเว้ย” ไอ้คินเถียงอย่างไม่เห็นด้วย ซึ่งไอ้นี่มันก็พูดถูก เพราะที่ผ่านมาอาจารย์ชอบเอาแต่คะแนนสอบ ทำให้เวลาจะสอบในตารางแต่ละที นักศึกษาต้องอ่านหนังสือ อ่านชีท จนแทบจะต้มแดกกันให้ได้อยู่แล้ว แต่นี่จู่ๆอาจารย์ก็ให้งาน แถมยังจะให้คะแนนอีก ถึงสาเหตุมันจะเป็นเพราะอาจารย์เบี้ยวสอนก็เถอะ แต่ก็นับว่ามันยังพอจะทดแทนกันได้อยู่

“เออ งานช่วยชีวิตวิชานี้ แต่วิชาอื่นมึงตายนะครับ อย่าลืมว่าภาษามือมีสอบนอกตารางนะมึง เห็นว่าให้ทำตามคำบอกด้วยนะเว้ย ไม่เครียดเหรอ หรือว่ามึงลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ ให้กูตบบ้องหูเรียกความจำหน่อยมั้ย?” ไอ้หมอกมันยกมือขึ้น พลางทำท่าจะตีไอ้คินจริงๆ
“ไอ้สัสหมอก มึงสบายที่สุดแล้วป่ะวะ เครียดทำเชี่ยไรเนี่ย?”

“เออ เครียดเชี่ยไร?” ผมกอดอก พลางพยักพเยิดหน้าไปทางไอ้หมอกอย่างหาเรื่องเต็มที่
“เพราะกูเป็นห่วงพวกมึงนี่ไง สาดดดด” ไอ้หมอกมันตบหัวพวกผมเรียงคน จากนั้นก็สาดคำสบถมาอีกกระบุงใหญ่ ซึ่งถ้าหากคำสบถมันสามารถปรากฏเป็นตัวๆ ให้เราเห็นได้ ป่านนี้มันคงแปะอยู่กลางใบหน้าของผมกับไอ้คินเรียบร้อย
ดีนะมึง น้ำลายไม่กระเซ็นใส่กูน่ะ

“แดกข้าวกัน” พอสบถจนสาแก่ใจแล้ว พ่อหนุ่มเส้นเสียงแข็งแรงก็รีบแทรกตัวเข้ามากอดคอผมกับไอ้คินคนละข้างอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! กูมีนัด..กับพี่เนย์..แล้วว่ะ” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ เพราะดันลืมไปเสียสนิทใจเลยว่า ผมนัดกับพี่เนย์เอาไว้ ป่านนี้อีกฝ่ายน่าจะรอนานแล้วมั้ง เพราะอาจารย์ก็ปล่อยช้า แถมเรายังพากันเดินเอ้อระเหยอีก

“เออๆ ไว้เจอกันพรุ่งนี้เว้ย” ไอ้หมอกมันผลักผมออกจากกลุ่มทันที พร้อมกับทำเป็นโบกมือลาหยอยๆจนน่าถีบ
“กวนตีน!” ผมด่ามันจบ ก็ซัดป๊าปเข้าที่หน้าขาของไอ้เพื่อนคู่อริ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปให้ห่างจากช่วงขายาวๆของมันทันที แต่ดูเหมือนคู่ปรับตัวฉกาจ มันจะอาฆาตแค้นหนักมาก มันถึงได้วิ่งไล่กวดผมแบบนี้

ผมจึงได้แต่มองซ้ายมองขวา เพื่อหาใครสักคนที่เป็นเจ้าของนัดให้เจอ ก่อนที่ไอ้หมอกมันจะลากคอผมไปเตะคืน เพราะถ้าหากผมเจอพี่เนย์ก่อน ไอ้เพื่อนซี้มันก็จะไม่กล้าทำอะไรผม นับว่าได้เปรียบสุดๆ แต่ตอนนี้ผมยังมองไม่เห็นพี่เนย์เลย แถมตอนนัดกัน ผมก็ดันลืมถามด้วยว่าเจ้าตัวจะไปนั่งรอผมอยู่ตรงไหน
“พี่..นะ..เอ” พอหันไปเห็นเป้าหมายที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมก็รีบร้องเรียกพลางวิ่งเข้าไปหา ส่วนไอ้หมอกก็ถึงกับชะงักไปนิด จากนั้นมันก็รีบยกมือไหว้พี่เนย์ พร้อมกับขอตัวไปหาไอ้คิน ที่กำลังเดินหัวเราะมาแต่ไกล พลางยกมือไหว้ทักทายคนตัวสูง ที่ดูท่าจะงงงวยกับเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น้อย

“พวกมึงเล่นอะไรกันวะ?”
“…” ผมส่ายหัวไม่ยอมตอบ

“ไปกันเถอะว่ะ กูเริ่มหิวแล้ว ว่าจะไปหาอะไรกินแถวหอนี่แหละ” พี่เนย์พูดพลางเดินนำหน้า ส่วนผมก็รีบตามก้นไปติดๆ เพราะด้านหลังยังมีไอ้เพื่อนตัวแสบคอยเดินตามไม่ห่าง กระทั่งพ้นจากรัศมีของการเอาคืนได้ ผมก็ดันเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ ซึ่งมันก็พอดีกับตอนที่ภายในรถกำลังเงียบกริบไปซะงั้น

“เป็นไรมึง?” พี่เนย์ถาม พลางสตาร์ทรถและเปิดแอร์เบอร์แรงสุด เพราะรถถูกจอดตากแดดเอาไว้นานแล้ว ทำให้อุณหภูมิภายในคล้ายกับอยู่ในเตาอบ เนื่องจากแดดของประเทศไทย ดันทำหน้าที่ได้ดีจนเกินความจำเป็น ซึ่งผมเคยเสิร์จเจอนะ แต่เป็นข่าวต่างประเทศ ว่ามีคนเอาคุกกี้เข้าไปอบในรถด้วย และมันก็ประหลาดสุดๆ ที่คุกคี้ดันพร้อมเสิร์ฟ เพียงแค่คุณมีดวงอาทิตย์ที่ให้ความร้อนในระดับ 35 องศาเซลเซียส หรือ 95 องศาฟาเรนไฮด์เท่านั้นเอง
ที่ไทยก็น่าจะทำได้นะ เพราะช่วงนี้มีแต่ร้อนกับร้อนตลอดเลย

“เปล่าครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม จากนั้นก็เอื้อมมือไปปัดแอร์ให้หันมาทางตัวเองทั้งด้านซ้ายและขวา
“วันนี้ร้อนชิบหาย ลูกกูจะไม่เหี่ยวตายคาตู้ใช่มั้ยเนี่ย” พี่เนย์บ่นอุบ พลางปลดกระจกลงเพื่อไล่ความร้อนเล็กน้อย กระทั่งอุณหภูมิ เริ่มคงที่ พี่เขาถึงได้ยอมปิดกระจก พร้อมกับปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกอีกสองเม็ด เพราะการเข้ามาอยู่ในรถที่กำลังจอดตากแดด มันทำเอารู้สึกอึดอัด แถมยังร้อนจนหายใจไม่ค่อยออกแปลกๆ

ตุ้บ!

หลังจากกินข้าวและซื้อของใช้เรียบร้อย พี่เนย์ก็รีบตรงดิ่งมายังห้องพักอย่างรวดเร็ว และทันทีที่ผมเปิดประตูห้องได้ อีกฝ่ายก็รีบแทรกตัวเข้ามายังด้านใน พร้อมกับถอดรองเท้าเอาไว้ที่พื้น ทั้งๆที่ปกติพี่เขาจะชอบถอดเอาไว้บนชั้นวางรองเท้าให้เรียบร้อย ผมเลยต้องเป็นฝ่ายเก็บรองเท้าคู่ดังกล่าวให้คุณชายเขาแทน จากนั้นถึงค่อยถอดรองเท้าของตัวเองวางเอาไว้ตรงมุมประจำ เพราะรองเท้าของผมไม่ได้เยอะแยะมากมายอะไร ซึ่งพอหันมาอีกที ข้าวของเครื่องใช้ที่พี่เขาถือมา ก็ถูกวางทิ้งไว้อย่างไม่ใส่ใจ จนมันกระเด็นกระดอนออกมานอกถุงเกือบหมด
ท่าทางว่าเสียงดังตุ้บที่ผมได้ยิน คงจะเป็นเสียงตอนที่พี่เขาวางของแน่ๆ
ส่วนคนทำน่ะเหรอ ตอนนี้แทบจะกลืนหายไปกับฟูกที่นอนแล้ว!
 
“เหนื่อยเหรอครับ?” ผมก้มตัวลงมองคนที่วันนี้ทำตัวเป็นเด็กเล็กๆอยู่หลายที พลางเอื้อมมือไปปัดผมหน้าม้าของอีกฝ่ายจนเผยให้เห็นหน้าผากอันชื้นแฉะไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“อืม เมื่อคืนพวกกูนั่งทำงานกันจนเพลิน ตีสองนู่นกว่าจะได้ฤกษ์แยกย้าย วันนี้กูเลยหลับคาห้องเรียนตั้งแต่ต้นคาบยันท้ายคาบ” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“งั้นก็นอน..พักเถอะครับ” ผมว่าพลางเลิกกวนอีกฝ่าย จากนั้นก็เดินไปเปิดแอร์ให้คนตัวโตที่ไม่กะจิตกะใจจะทำอะไรแล้ว
“มึงเปิดเครื่องทำความชื้นให้เขี้ยวกุดด้วย” พี่เนย์ออกคำสั่งเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นทั้งห้องก็มีแต่เสียงลมหายใจแผ่วเบาของอีกฝ่ายที่คงจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว

ส่วนผมหลังจากจัดการอำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าเขี้ยวกุดเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มหันมาจัดการกับตัวเองบ้าง กระทั่งเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีขาว และกางเกงขาสั้นบานๆ ที่มีอยู่ตัวเดียว แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใส่ไปไหนมาไหนบ่อยนัก เพราะพี่เนย์ไม่ค่อยชอบ เอาแต่บ่นว่ามันสั้นไป ถ้าจะใส่ ให้ใส่แค่ในห้องเท่านั้น แล้วก็ห้ามใส่ตอนที่มีแขกมาที่ห้องด้วย
ที่สำคัญ หากจะออกจากห้องไปกรอกน้ำ หรือทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากผมใส่ตัวนี้ ผมจะต้องเปลี่ยนเป็นตัวใหม่ในทันที ซึ่งถ้าหากช่วงที่ผมอยู่หอ เวลาขี้เกียจๆ หรือว่าอยากจะเดินลงไปข้างล่าง เช่น ซักผ้า หรือไปกรอกน้ำดื่ม ผมก็มักจะเดินลงไปทั้งอย่างนั้น เพราะคนอื่นๆ ก็มักจะสวมแค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวแทบทั้งนั้น แต่นี่ผมใส่ครบชุดเลยนะ ไม่ได้มีอะไรน่าเกลียดสักนิด ไอ้หมอก ไอ้คิน มันก็ไม่ได้บ่นอะไรด้วย
พี่เนย์นั่นแหละ จะอคติอะไรกับกางเกงตัวนี้มากมายนัก

“เห้อ” ผมเผลอถอนหายใจออกมา หลังจากนั่งเหม่อระหว่างที่กำลังจัดของใส่ตู้เย็น เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่พี่เนย์ออกปากพูดอย่างชัดเจนว่าผมคือแฟนของเจ้าตัว น้องโบว์ก็ดูเงียบๆจนผิดปกติ ส่วนปาล์มก็ทำเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆให้ผมแค่นั้น แถมการฝึกของเราก็ดันจบลงแค่เมื่อวานซะด้วย กว่าจะนัดเจอกันอีกทีก็ตอนช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ในวันอัดจริงเท่านั้น
“ช่างเถอะ” ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน จากนั้นก็เร่งเอาขนมกับอะไรต่อมิอะไรที่คนตัวโตเขาซื้อมาแช่ตู้เย็นให้ครบ จากนั้นก็ย้ายตัวเองไปอยู่ตรงหน้าตู้หนังสือ เพื่อเก็บสบู่และยาสระผมไว้ในนั้น เนื่องจากของเก่ามันยังพอจะใช้ได้อยู่ แต่ก็น่าจะใช้ได้แค่วันนี้เท่านั้น เพราะขวดแต่ละขวดเริ่มจะเบาหวิวแล้ว

กระทั่งทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ตัดสินใจจะฝึกอ่านหนังสือ โดยใช้หนังสือเรียน เพื่อเป็นการเตรียมสอบล่วงหน้าไปในตัว ส่วนคนตัวโตก็ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวต่อไป กว่าพี่เขาจะตื่นก็โน่นสามโมงเย็นแล้ว ทำเอาเจ้าตัวบ่นอุบที่เสียเวลาทำงานไปมากมายหลายชั่วโมง

“มึงลองช่วยกูทำแบบทดสอบหน่อยดิ กูว่าจะเอาไปใช้เป็นกิจกรรมระหว่างทำสัมมนา” พี่เขาพูดขึ้น พลางลุกเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อหยิบดินสอและสมุดจดเลคเชอร์ของตัวเองติดมือมาด้วย จากนั้นพี่เนย์ก็เปิดหน้ากลางของสมุดเล่มนั้น ก่อนจะดึงออกมาวางตรงหน้าของผม
“อ้อ ครับ” ผมพยักหน้ารับรู้ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบดินสอมาวางไว้บนกระดาษหนึ่งคู่ที่พี่เนย์ฉีกมาให้

“มึงลองวาดรูปอะไรก็ได้ ที่เวลาว่างๆแล้วมึงชอบเผลอวาดน่ะ” พอพี่เนย์พูดจบ ผมก็ได้แต่จับดินสอจรดลงบนหน้ากระดาษนิ่งๆ เพราะผมนึกไม่ออกว่าผมชอบวาดรูปอะไรนี่สิ
“ไม่ต้องรีบ วาดออกเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” เจ้าของบททดสอบทางจิตวิทยาพูดขึ้น จากนั้นเจ้าตัวก็ละเลงปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดต่อจากเมื่อวานนี้อย่างคล่องแคล่ว ส่วนผมก็ได้แต่จดๆจ้องๆหน้ากระดาษที่มีเส้นบรรทัดอยู่หลายขั้น

ผมตัดสินใจเขียนชื่อของตัวเองลงไปในนั้น โดยใช้เป็นชื่อย่อ แม้ว่าจะไม่มั่นใจนักว่ามันจะผิดกฎของคนตรงหน้าหรือเปล่า แต่เวลาเผลอๆ ผมคิดว่าผมน่าจะชอบเขียนชื่อตัวเองบ่อยๆ จากนั้นผมก็เริ่มวาดบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิดเอาไว้เหนือชื่อของตัวเอง ก่อนจะเติมก้อนเมฆลอยล่องอยู่เบื้องบน ต่อมาก็เป็นดอกไม้

“เสร็จแล้วครับ” ผมร้องบอกพลางยื่นกระดาษให้อีกฝ่าย
“อ้อ” พี่เนย์ก้มหน้าดูภาพวาดของผมนานมาก ราวกับเจ้าตัวกำลังสังเกตอะไรบางอย่าง ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก ว่าทำไมอีกฝ่ายต้องมองอย่างตั้งอกตั้งใจขนาดนั้น

“เขาบอกว่าคนที่ชอบเขียนชื่อย่อของตัวเองไม่ว่าจะภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ จะเป็นคนที่มีเสน่ห์และน่าประทับใจสำหรับคนรอบข้าง แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง แต่ก็มีความมุ่งมั่นที่ดีที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ”
“…” ถามว่าตรงไหม ผมว่ามันก็ตรงนะ เพราะผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ แต่เรื่องมีเสน่ห์และน่าประทับใจสำหรับคนรอบข้างนี่ ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่

“ถ้าชอบวาดก้อนเมฆ จะแทนความรู้สึกวิตกกังวลกับการคาดหวังอะไรบางอย่าง ที่อาจจะดูเลื่อนลอยและไม่แน่ใจว่าจะเป็นจริงได้มั้ย”
“…” ถ้าจำไม่ผิด มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนเบื่อๆในคาบเรียน ผมจะชอบแอบวาดรูปก้อนเมฆไว้ตรงมุมหนังสือจริงๆ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมคาดหวังว่าจะเป็นล่ามภาษามือ แต่ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง จึงทำให้ผมคิดอยู่เสมอว่า บางทีผมอาจจะไม่สามารถเป็นล่ามภาษามืออย่างที่ตั้งความหวังเอาไว้ได้ ในคืนนั้น คืนที่ทุกอย่างมืดมิด จึงเป็นคืนเดียวที่ความคิดของผม มันสะท้อนออกมาเป็นคำพูด

“ถ้าชอบวาดรูปบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิด จะแทนความรู้สึกปลื้มใจกับความอบอุ่นบางอย่าง ที่มันแสดงถึงความอบอุ่น อ่อนโยน ปลอดภัย และความรักสงบ”
“…” ข้อนี้ผมไม่รู้ว่าตัวเองเคยวาดมันบ่อยๆไหม แต่ว่าความรู้สึกอบอุ่นใจ อ่อนโยน และปลอดภัย มันก็มักจะเกิดขึ้นเพราะเจ้าของบททดสอบตรงหน้านั่นแหละ
ไม่เห็นจำเป็นต้องชอบวาดรูป ‘บ้านที่มีรั้วมิดชิด’ เลย

“ถ้าชอบวาดรูปดอกไม้ จะแทนความรู้สึกเซ็งๆ อยากจะหลุดพ้นหรือหลีกหนีจากอะไรบางอย่าง เพื่อไปสู่ความรื่นรมย์ในชีวิต ไม่ว่าจะจากปัญหาหรือความวุ่นวายต่างๆ ก็ตาม หรืออีกนัยหนึ่งรูปดอกไม้ก็เป็นรูปวาดประจำสำหรับคนอ่อนไหว ที่มีความสุภาพเรียบร้อย และไวต่อความรู้สึกรอบตัว นอกจากนี้ยังเป็นคนโรแมนติคและช่างจดจำด้วย” พี่เนย์วางกระดาษของผมลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ใช้หนังสือของตัวเองวางทับอีกที คล้ายกับจะไม่คืนผลงานการทดสอบให้ผม
“กูว่ามันแลตรงกับมึงทุกอย่างเลยนะ” พี่เนย์พูดขึ้น พลางเงยหน้ามายิ้มให้ผมที่กำลังถูกอ่านใจโดยไม่รู้ตัว

“จริงๆวิธีการไขความลับของเด็กที่โดนทำร้ายทางจิตใจ ก็คือการวาดรูปนี่แหละ มึงพอจะจำได้ไหมว่าตอนนั้นมึงวาดรูปอะไรให้อาจารย์เบญดูบ้าง?” พี่เนย์ขมวดคิ้วมุ่น จนหัวคิ้วแทบจะผูกติดกันให้ได้อยู่แล้ว จากนั้นปลายนิ้วชี้ข้างขวาก็เคาะลงบนโต๊ะไม้เบาๆเป็นจังหวะ บ่งบอกถึงความเคร่งเครียดของเจ้าของคำถามไม่น้อย ท่าทางว่าพี่เขาอาจจะกังวลว่าคำถามของตัวเองมันจะกระทบต่อจิตใจของผมในตอนนี้หรือไม่ แต่ครั้นจะไม่ถาม ก็อาจจะไม่ได้คำตอบไปต่อยอดกับงานของตัวเอง
“แม่ไม่ได้บอก..พี่เหรอครับ” ผมย้อนถามอย่างสงสัย เพราะคนที่น่าจะรู้ดีที่สุดน่าจะเป็นแม่ของผมนะ

“ท่านก็บอก แต่ปัญหาคือท่านจำไม่ค่อยได้แล้วว่ามึงวาดรูปอะไรไปบ้าง ครั้นจะไปถามอาจารย์ กูก็ไม่กล้าแล้วว่ะ เพราะกลุ่มกูขอข้อมูลจากแกมาเยอะแล้ว จากที่จะได้คะแนนดี มันจะกลายเป็นโดนจี้หนักตอนพรีเซ็นต์แทนน่ะสิ” พี่เนย์หมุนดินสอในมือของตัวเองเล่นอยู่หลายตลบ
“จริงๆ..ผมมีเก็บไว้..รูปนึงนะครับ..มันเป็นรูปที่..ผมไม่ค่อยอยาก..ให้ใครเห็น..ก็เลยเอาติดตัว..มาด้วย..แต่ไม่แน่ใจ..ว่ามันจะใช่..รูปที่ใช้ไขความลับ..อะไรนั่นหรือเปล่า” ผมพูดพลางลุกขึ้นยืน และเดินไปยังตู้หนังสือ เพื่อเปิดกระเป๋าสะพายใบเก่ง และค้นเอากระเป๋าสตางค์ของตัวเอง จากนั้นก็หยิบกระดาษใบหนึ่งที่ถูกพับเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมาจากช่องใส่บัตร ก่อนจะนำมายื่นให้ว่าที่นักจิตบำบัดมือใหม่

ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่พี่เนย์สังเกตรายละเอียดของภาพที่ผมวาดอย่างตั้งใจ ราวกับอีกฝ่ายพิจารณาทุกสิ่งอย่างตั้งแต่แรงกดของเส้น คุณภาพของเส้น  ความครบถ้วนและรายละเอียดของภาพ ไม่ว่าจะเป็นความสมดุล การแรเงา หรือแม้กระทั่งรอยลบต่างๆ
“ในภาพนี้ ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงกับผู้ชาย กำลังยืนมองชิงช้าสวรรค์ตรงหน้า ส่วนกล่องสี่เหลี่ยมๆเป็นซี่ๆเหมือนลูกกรงนั่น หมายถึงกระเช้าชิงช้าสวรรค์ แต่ทำไมกระเช้าอันอื่นๆถึงไม่เหมือนกับกระเช้าด้านบนสุด..” พี่เนย์พูดพึมพำเบาๆ ราวกับกำลังพูดอยู่กับตัวเอง แต่เพราะเราสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน จึงทำให้ผมได้ยินที่อีกฝ่ายพูดอย่างชัดเจน

“แถมยังระบายเป็นสีดำแล้วเหลือพื้นที่สีขาวเป็นรูปเหมือนคนด้วย”

ก๊อก ก๊อก

“กู..เอ้อ.. พี่ทำแกงเขียวหวานไว้เยอะ ไปเอาจานมาตักแบ่งสิ” ผมยกยิ้มให้พี่ทีม จากนั้นก็พยักหน้ารับ และเดินกลับเข้ามาในห้อง แต่พี่เนย์ก็ยังคงดำดิ่งลงสู่การพิจารณาภาพวาดภาพนั้น ผมจึงเดินไปหยิบถ้วยตรงที่คว่ำชาม และเดินออกไปจากห้องของพี่เนย์ เพื่อไปเคาะประตูยังห้องของรุ่นพี่ร่วมสาขา ที่วันนี้ใจดีทำแกงเขียวหวานเอาไว้เยอะ พวกเราก็เลยไม่ต้องออกไปหาซื้อมื้อเย็นกินกันเอง

‘ไปตักเลยๆ’ พี่บอสเป็นคนมาเปิดประตูให้ จากนั้นเจ้าตัวก็ใช้ภาษามือคุยกับผม
‘…’ ผมจึงทำได้แค่ยิ้ม เพราะมือยังไม่ว่างต่อการสื่อสารกันด้วยภาษามือ

“โปรเจคไปถึงไหนแล้วล่ะ พอไหวมั้ย?” พี่ทีมที่มายืนคุมให้ผมตักเนื้อไปเยอะๆ เอ่ยถามขึ้น
“ก็พอไหวครับ..เปิดเทอมหน้า..คงจะได้อัดคลิป..อย่างจริงๆจังๆ..สักที”

“อืม ถ้าไม่ไหวก็บอกพวกพี่ได้นะรัน เห็นไอ้หมอกมันบอกเราเครียดจนร้องไห้ พี่ก็เพิ่งจะเข้าใจที่ไอ้เนย์มันเป็นบ้าจัดปาร์ตี้สุกี้นี่แหละ”
“อ่า.. ฮ่าๆ” ผมหัวเราะน้อยๆ กับคำพูดของพี่ทีม เพราะนึกภาพของคนตัวโตในห้องออกเลยแหละ

“สู้ๆเว้ย เดี๋ยวปีสามมึงก็ได้ร้องไห้อีกรอบเหมือนไอ้บอสนี่แหละ เพราะเรื่องศัพท์ทางการแพทย์กับกฎหมาย มันเป็นอะไรที่ยากสุดๆแล้ว”
“ขนาดนั้น..เลยเหรอครับ?” ผมถามด้วยความหวั่นใจ เพราะขนาดพี่บอสรู้ภาษามือแบบขั้นเซียนแล้วนะ พี่เขายังท้อจนร้องไห้แบบผมเลยเหรอวะ แล้วผมจะไหวมั้ยนั่น

“พอขึ้นปีสาม ทุกอย่างแม่งก็ใหม่หมด เพราะมันไม่ใช่ศัพท์ที่ใช้กันจนคุ้นเคยไง”
“สู้ๆโว้ย” พี่ทีมพูดพลางบีบไหล่ผมเบาๆ แต่ดูเหมือนว่าประโยคเมื่อครู่ เจ้าตัวน่าจะพูดเพื่อบอกตัวเองด้วยแน่ๆ เพราะสีหน้าของพี่เขาแลดูล้าๆไม่ต่างกัน

“ขอบคุณนะครับ” ผมบอกพี่ทีมพลางหันไปก้มหัวให้พี่บอสในเชิงบอกลา จากนั้นผมก็เดินกลับห้อง ซึ่งพี่เนย์ก็ยังคงหลงอยู่ในวังวนของความเงียบเหมือนเดิม ผมจึงเดินเอาจานแกงเขียวหวานไปวางไว้ตรงเตาไมโครเวฟ และตั้งท่าจะไปหยิบกระเป๋าสตางค์เพื่อลงไปซื้อข้าวแช่แข็งมาอุ่นกินกับแกงเขียวหวานของพี่ทีม
“อะไรครับ?” ผมถามด้วยความสงสัยปนตกใจ เมื่อจู่ๆพี่เนย์ก็พุ่งเข้ามากอดผมจากทางด้านหลังเสียแน่นเลย

“ตอนนี้มึงยังรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่หรือเปล่า?” พี่เนย์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะสั่น คล้ายกับความรู้สึกของผมมันส่งตรงจากภาพวาด จนทำให้คนที่รับรู้ถึงมันได้ เกิดอาการสั่นไหวในจิตใจ
“ไม่แล้วครับ” ผมตอบพลางพลิกตัวเข้าไปกอดอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนพี่เนย์จะกอดผมแน่นมากกว่าปกติ ซึ่งผมก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร แม้ว่าตัวเองจะเจ็บเพราะแรงกอดของพี่เขาอยู่ก็ตาม เพราะผมเข้าใจว่านักจิตบำบัดมือสมัครเล่น เขาคงจะสะเทือนใจกับภาพสะท้อนในวัยเด็กของผมที่แลจะส่อเค้าความหว้าเหว่และหวาดกลัวจนสุดพลังขนาดนั้น

“มึงจะไปไหน?” พี่เขาปล่อยผมให้เป็นอิสระ พลางถามด้วยน้ำเสียงที่ยังคงไม่ต่างจากเดิม
“ไปซื้อข้าวครับ เดี๋ยวเรามา..กินด้วยกัน..นะ พี่ทีมกับพี่บอส..แบ่งแกงเขียวหวาน..มาให้”

“อืม” ผมยกยิ้มให้อีกฝ่ายที่ตอบรับในลำคอแผ่วเบาเสียเหลือเกิน และทันทีที่ผมเดินออกมาจากในห้อง ผมก็รู้สึกโล่งใจ ที่ไม่ต้องปั้นหน้าว่าตัวเองไม่รู้สึกหวั่นไหวไปกับท่าทางแบบนั้นของอีกฝ่าย
พูดตรงๆ ผมไม่เคยอยากให้ใครเห็นภาพนั้นเลย
เพราะถ้าหากพวกเขาได้เห็น ก็จะต้องรู้สึกสะเทือนใจไม่ต่างจากที่พี่เนย์กำลังรู้สึก


-----------------------------------------------
[edit 09/12/2017 เพิ่มคำตกหล่น]
ตอนที่แล้วพี่เนย์เขาไม่ได้ตั้งใจจะหวานเล้ย พี่เขาแค่ไม่อยากให้น้องเศร้าเท่านั้นเอ๊ง
ส่วนตอนนี้ก็แนวกึ่งๆวิชาการสักเล็กน้อย พร้อมด้วยการปล่อยลูกแมวใส่ขาสั้นออกไปข้างนอก 5555

แบบทดสอบรูปวาดทีเผลอ เราเอามาจากบทความนี้ค่ะ > https://t.co/tDm7WrSGKh
ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับการไขความลับจากภาพวาดเนี่ย จะเป็นการไขความคิดและความรู้สึกของเด็กคนนั้น ซึ่งนักจิตบำบัดเขาจะให้แค่กระดาษ กับดินสอ หรือสี และไม่มีการกำหนดหัวข้อใดๆ ซึ่งนักจิตบำบัดเนี่ย เขาจะคอยสังเกตการลงเส้นสายของลายเส้น และการลงสี จากนั้นก็ค่อยเปิดโอกาสให้เด็กเล่าถึงเรื่องราวที่เขาวาด โดยไม่มีการวิจารณ์ภาพวาดนั้นๆ แต่เป็นการรับฟังเรื่องราว ซึ่งจะบ่งบอกให้ผู้ใหญ่ได้เข้าใจความคิดและความรู้สึก ณ ขณะนั้นของเด็ก ที่อาจจะเป็นอดีตอันแสนหวาน หรืออาจเป็นอนาคตที่ใฝ่ฝัน  หรือในทางตรงกันข้ามอาจเป็นความขมขื่นใจ หรือความคับข้องหมองใจ ที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น นักจิตบำบัดจึงต้องอาศัยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและเวลาในการสร้างความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวในการสังเกตเด็กแต่ละคน เพื่อที่จะตีความภาพวาดของเด็กๆได้ถูกต้อง
ที่มา : http://hpc10.anamai.moph.go.th/ewt_news.php?nid=653&filename=km

อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 11
Admin@no_สวยสึดๆ. “32 รูปวาดทีเผลอ บ่งบอกอะไรในตัวคุณ!?”. (ตาโตดอทคอม). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :  http://www.tartoh.com.[11 มิ.ย. 2558].
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2017 21:54:02 โดย Chomin »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตั้งแต่อ่านเรื่องบอกตามตรง เราตั้งใจกับการดูช่องเล็กๆในจอทีวีมากขึ้นเยอะเลยค่ะ จากแต่ก่อนมองบ้างแบบว่า เขาเท่เขาเก่งจังเลย บางครั้งก็แสดงอาการแบบโอเวอร์แอคติ้งค์เยอะด้วย แต่เดียวนี้ดูแล้วก็พยายามทำความเข้าใจด้วย

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด