Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]  (อ่าน 130693 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

♥ Fall in you ♥
-chomin-

ตอนเด็กๆ ผมมักจะถูกเรียกว่า
'ไอ้ใบ้' ตั้งแต่นั้นอคติทั้งหลายก็ประเดประดังเข้ามา
แต่เมื่อผมย้ายมาเรียนที่มหาลัยแห่งนี้ ทัศนคติต่างๆก็เปลี่ยนไป..

ร่วมติด Hashtag : #ฟอลอินยู ในทวิตได้นะคะ

♥ สารบัญ ♥
ตอนพิเศษ 1 ตอนพิเศษ 2ตอนพิเศษ 3ตอนพิเศษ 4ตอนพิเศษ 5ตอนพิเศษ 6ตอนพิเศษ 7ตอนพิเศษ 8ตอนพิเศษ 9ตอนพิเศษ 10ตอนพิเศษ 11ตอนพิเศษ 12ตอนพิเศษ 13ตอนพิเศษ 14ตอนพิเศษ 15ตอนพิเศษ 16ตอนพิเศษ 17ตอนพิเศษ 18ตอนพิเศษ 19ตอนพิเศษ 20ตอนพิเศษ 21ตอนพิเศษ 22ตอนพิเศษ 23ตอนพิเศษ 24ตอนพิเศษ 25ตอนพิเศษ 26ตอนพิเศษ 27 (Real End)
ตอนพิเศษ (And we)

--------------------------------------------------------

♥ ผลงานอื่นๆ ♥
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2019 22:24:18 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 1 [up 18/10/2017]
«ตอบ #1 เมื่อ18-10-2017 20:44:03 »

♥ Fall in you ♥
-ตอน 1-


“อ๊ะ”

ผมเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆก็ปะทะเข้ากับร่างของใครสักคน เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินให้มันตรงกับแนวเส้นสีขาวบริเวณริมขอบถนนในเขตรั้วมหาวิทยาลัย ด้วยจินตนาการอันเต็มเปี่ยมคล้ายกับวัยเด็ก ที่ชอบคิดว่าแนวเส้นตรงหรือพื้นที่แคบๆ มันคือสะพานไม้เล็กๆ ที่ข้างล่างเต็มไปด้วยฝูงฉลาม
ซึ่งถ้าหากเดินไม่ตรงล่ะก็..ศพคงไม่สวย

ด้วยเพราะแรงปะทะนั่น ผมจึงยืนนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ก็พบกับคู่กรณีที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในระยะประชิด เลยได้แต่ก้มหัวขอโทษขอโพย ก่อนจะรีบวิ่งออกมาให้ห่างจากจุดเกิดเหตุ
เพียงเพราะผม..
‘พูดไม่ได้’
   
ผมชื่อ ‘เนรัน’ เรียกง่ายๆว่า ‘รัน’ เพิ่งจะเลื่อนขั้นจากเด็กมัธยมขึ้นมาเป็นเด็กมหาลัยเมื่อไม่นานนี้ ผมเลือกเรียนคณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาหูหนวกศึกษา ซึ่งเป็นสาขาวิชาน้องใหม่ที่เพิ่งจะเปิดมาได้แค่เพียงสามปีเท่านั้น โดยปีนี้เปิดรับนักศึกษาที่มีการได้ยิน 35 คน ส่วนอีก 65 คน จะเป็นนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
อันที่จริงแล้ว ผมสามารถเลือกเรียนคณะและสาขาวิชาอื่นๆได้ เพราะประสาทสัมผัสทางการได้ยินของผม มันยังครบถ้วนสมบูรณ์ดี ติดก็ตรงที่ผมไม่สามารถเปล่งเสียงพูดออกมาได้ เลยเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ผมตัดสินใจเลือกเรียนสาขาวิชานี้

“ทำไมวันนี้มึงมาช้าจังวะรัน?” ทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะม้าหินอ่อน ไอ้คินมันก็รีบถามยกใหญ่ ต้องบอกก่อนว่า เพื่อนของผมคนนี้เป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี
พวกเราเป็นรูมเมทกัน แต่ที่ไม่ได้มาพร้อมกัน ก็เพราะว่าผมเป็นเด็กอนามัย ติดนิสัยชอบกินข้าวเช้าทุกวัน ผมเลยต้องยอมฉายเดี่ยว ทั้งๆ ที่ปกติ ผมจะไม่ชอบเข้าสังคมใหญ่ๆแบบนั้นคนเดียว

‘กูแม่งกินจนลืมดูเวลาน่ะสิ’ ผมรีบพิมพ์คำตอบเพียงครึ่งเดียวลงในกรุ๊ปแชท เพราะกลัวว่าจะถูกพวกมันรุมประณามที่มัวแต่เถลไถลจนมาสาย แถมยังเซ่อซ่าเดินไปชนคนอื่นเขาอีก
ส่วนสาเหตุที่พวกผมต้องคุยกันด้วยวิธีนี้ ก็เพราะพวกเราไม่เคยเรียนภาษามือกันมาก่อน จะมีก็แต่ไอ้หมอกที่เคยเรียนมา แต่ก็แทบไม่ช่วยอะไร เพราะมันไม่ค่อยจะใช้ภาษามือสักเท่าไหร่ ในเมื่อตอนนี้ไอ้หมอกมันใส่เครื่องช่วยฟังแล้ว จึงทำให้มันสามารถพูดคุยโต้ตอบกับเพื่อนคนอื่นๆ ได้ เพียงแต่มันจะตอบดีเลย์สักเล็กน้อย
เพราะฉะนั้นในกลุ่ม ก็เห็นจะมีแค่ผมนี่แหละที่ลำบากกว่าใครเพื่อน

“เด๋อในเด๋อ พ่อแม่มึงเขากล้าปล่อยมึงมาเรียนถึงนี่ได้ยังไงวะ” พอได้ที ไอ้หมอกก็รีบดุผมใหญ่ ราวกับมันกลัวว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้ดุผมอีกแล้ว ผมจึงแยกเขี้ยวใส่ไอ้เพื่อนบ้า ที่มันนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินอ่อนทางด้านขวามือ
‘เพราะกูมีเหตุผลที่ดีไงวะ’ พอพิมพ์ข้อความเสร็จ ผมก็ยักคิ้วให้ไอ้หมอกสักสองสามที

ต้องบอกก่อนว่า กว่าแม่จะยอมให้ผมมาเรียนที่มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดได้ ก็แทบลากเลือดเลยทีเดียว ดีที่พวกท่านเข้าใจในเหตุผลที่ว่า มหาลัยอื่นเขาไม่มีสาขาวิชานี้เปิดสอน ผมถึงต้องเลือกมาเรียนที่นี่ แม่ก็เลยบังคับให้ผมอยู่ที่หอในจนกว่าจะเรียนจบ

“เป็นกูนะ กูไม่ยอมปล่อยมึงมาหรอก เด๋อขนาดนี้” ไอ้หมอกมันยังไม่ยอมจบ มีการมาผลักหัวผมด้วย

แหม่.. เพิ่งจะเปิดเทอมได้ไม่กี่อาทิตย์ มึงก็คิดจะทำศึกสงครามกับกูแล้ว?

“ตีกันตลอดเลยพวกมึงเนี่ย!” ไอ้คินส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“เชี่ย! ใกล้จะได้เวลาเข้าเรียนแล้วว่ะ ไปกันเถอะ” พอไอ้คินมันยื่นมือเข้ามาสงบศึก ไอ้หมอกก็รีบก้มหน้ามองนาฬิกา ก่อนจะอุทานออกมาอย่างตกใจ..
แค่นั้นแหละ.. วงก็แตกสิครับ!

“ดีนะที่อาจารย์ยังไม่มา” ไอ้คินทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะเก้าอี้นุ่มๆ คล้ายกับเก้าอี้ในโรงหนัง พลางหอบหายใจแฮ่กๆ ยกใหญ่ เพราะเมื่อครู่พวกเราต้องวิ่งขึ้นบันไดมาตั้งสองชั้น
“เหนื่อยเชี่ยๆ” ไอ้หมอกเองก็หอบแฮ่กไม่ต่างกัน มันเอาแต่สะบัดเสื้อเชิ้ตนักศึกษาของตัวเองไปมา ส่วนผมก็ทำได้แค่เหนื่อยเงียบๆ ข้างๆ พวกมัน

ในส่วนของวิชาที่พวกเราต้องลงเรียนในเทอมแรก ดูเหมือนจะหนักไปทางคลาสบรรยาย เพราะเป็นวิชาพื้นฐานสำหรับปีหนึ่ง แล้วก็มีวิชาภาษามือที่เป็นภาษาเฉพาะของสาขาเราด้วยอีกหนึ่งตัว ซึ่งวิชาภาษามือนี้ ถ้ายิ่งเรียนสูงขึ้น ระดับความยากก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอาจารย์ที่ให้ความรู้กับพวกเรา ก็มีทั้งอาจารย์ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและไม่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เพราะเนื่องจากภาควิชาของเรา จะต้องเรียนรวมกันทั้งกลุ่มคนที่มีความได้ยินและไม่ได้ยิน จึงทำให้ในแต่ละคลาสของวิชาบรรยาย จะต้องมีล่ามผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษามือมาร่วมด้วย ส่วนถ้าหากรายวิชาไหนเป็นวิชาที่จะต้องเรียนรวมกับคณะอื่น นักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยินก็จะต้องแยกออกไปเรียนรวมในคลาสเดียวกัน

“นักศึกษาพอจะทราบวัฒนธรรมของคนหูหนวกหรือไม่คะ?” อาจารย์ฤดีพูดออกไมค์ พลางเดินไปเดินมาอยู่หน้าชั้นเรียนที่มีลักษณะสโลป
 
ไม่ควรล้อเลียนหรือขบขัน เมื่อเห็นคนหูหนวกใช้ภาษามือ.. ถูกต้องค่ะ” แน็ตเพื่อนร่วมรุ่นที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและไม่สามารถพูดคุยออกเสียงได้ เป็นหน่วยกล้าตายคนแรกที่ยกมือขึ้น พออาจารย์อนุญาตให้ตอบคำถาม เธอก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และใช้ภาษามือในการสื่อสารกับอาจารย์ จากนั้นอาจารย์ก็แปลคำตอบของเธอให้พวกเราทราบ

‘กูเกลียดมึง’ ผมรีบพิมพ์ข้อความลงในกรุ๊ปแชท เมื่อไอ้หมอกมันโชว์สกิลการแปลภาษามือพร้อมๆ กับอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าคลาสให้พวกเราฟังเบาๆ
“เอ๊า เกลียดกูทำเชี่ยไรครับ?” ไอ้หมอกมันกระซิบถาม

‘เวลากูถาม เสือกไม่แปล แต่เวลาที่กูไม่ถาม มึงเสือกแปล โคตรเกลียด!’ ผมก้มหน้าก้มตาพิมพ์แชทซะยืดยาว เพราะเรื่องของเรื่อง ตอนเราเรียนวิชาภาษามือในคลาสแรก ผมที่ไม่เข้าใจและยังตามอาจารย์ไม่ค่อยทัน ดันถูกเรียกให้ตอบคำถาม ผมเลยหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากไอ้หมอก แต่ปรากฏว่ามันกวนตีนผมไง ทำเป็นลอยหน้าลอยตา ไม่เข้าใจความนัยที่ผมต้องการจะสื่อ!

“ถ้ากูช่วย มึงก็ไม่คิดจะจำน่ะสิวะ นี่แหละจะได้ตั้งใจเรียน ไม่แอบหลับ” ดูมัน ผมไม่ได้แอบหลับสักหน่อย อีกอย่างผมก็ยังใหม่กับเรื่องนี้มาก ใครจะกล้าหลับลงวะ!
‘เกลียดมึง กูจะไม่ไปกินข้าวกับมึง’ ผมส่งแชทคุยกับมันเป็นประโยคสุดท้าย จากนั้นก็หันกลับมาสนใจอาจารย์ต่อ ซึ่งเพื่อนๆ ก็ยังคงถูกเรียกให้ตอบคำถามอยู่เรื่อยๆ

“นายปกรณ์”
“ไม่ควรบังคับคนหูหนวกให้พูดด้วยปาก” ไอ้คินยกมือแสดงตัว พลางลุกขึ้นยืนและตอบคำถาม เพราะถูกอาจารย์สุ่มเรียกชื่อ

“นายเนรัน” สิ้นเสียงของอาจารย์ ผมก็สะดุ้งอย่างตกใจ เพราะถ้าผมถูกสุ่มเรียกชื่อ ก็ต้องสื่อสารกันด้วยภาษาเขียน และนั่นก็แสดงว่าผมจะต้องตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนร่วมรุ่น

“อาจารย์ครับ! ขอเวลาให้เพื่อนผมมันเขียนคำตอบแป๊บนึงครับ คือมันไม่สะดวกจะตอบคำถามด้วยวิธีพูดน่ะครับ” ไอ้หมอกมันยกมือพลางลุกขึ้นยืนและตะโกนบอกอาจารย์ที่อยู่หน้าชั้นเรียน เนื่องจากพวกเราได้ที่นั่งในแถวที่ห้าทางฝั่งซ้ายมือ ใกล้กับประตูทางออก
“ไอ้รัน รีบเขียนดิมึง” พออาจารย์พยักหน้าอนุญาต ไอ้หมอกมันก็เอาแขนมาสะกิดแขนผมหยิกๆ จนผมเขียนไม่เป็นตัวหนังสือ แต่พอเขียนคำตอบเสร็จ ผมก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับแอบกระทืบเท้าไอ้หมอกไปด้วยหนึ่งที จากนั้นก็รีบเดินออกจากแถวที่นั่ง และวิ่งลงบันไดเพื่อไปหาอาจารย์ที่หน้าห้องบรรยายลักษณะสโลป

ไม่ควรเรียกคนหูหนวกว่า ‘ไอ้ใบ้’ ถูกต้องค่ะ ข้อนี้ถือเป็นข้อแรกๆ ที่พวกเราควรคำนึงถึงมากที่สุด เพราะคำๆ นี้ เป็นคำที่กระทบกระเทือนทางด้านความรู้สึกของกลุ่มคนเหล่านี้ เนื่องจากคำว่า ‘ใบ้’ อาจจะตีความหมายได้ว่า บ้าใบ้ โง่ ทึบ ไร้สมอง”

หลังจากอาจารย์อ่านคำตอบของผมเสร็จ ผมก็ยกมือไหว้ ก่อนจะรับสมุดกลับคืนมา จากนั้นผมก็รีบเดินกลับมายังที่นั่งของตัวเอง อันที่จริงคำตอบนี้น่ะ ผมแอบลุ้นอยู่นานเลยล่ะ ว่าจะมีใครเอามาตอบหรือเปล่า เพราะมันเป็นคำตอบที่ตรงกับใจผมมากที่สุด อาจด้วยเพราะผมอยู่กับคำพูดแบบนี้มานาน มันก็เลยฝังใจ เพราะต่อให้ได้ยินอีกกี่ครั้ง มันก็ทำเอาเลือดขึ้นหน้าได้ตลอด
แต่ก็อย่างว่า ช่วงที่ผมโดนเรียกแบบนั้น มันก็เป็นช่วงสมัยประถม ส่วนมัธยมก็พอมีบ้าง แต่ตอนนั้นผมสู้คนแล้วไง ผมเลยต่อยแม่งเลือดกบปาก จนต้องเข้าห้องปกครองอยู่ตลอด

‘กูไปเข้าห้องน้ำนะ’ ไม่นานอาจารย์ก็ปล่อยพักสิบนาที พวกไอ้คิน ไอ้หมอก มันก็รีบมุดหัวเข้าสู่โลกโซเชียลอย่างไว เหลือก็แต่ผม ที่ต้องปลีกวิเวกไปปลดทุกข์
“เออๆ”

ผมกึ่งเดิน กึ่งวิ่งขึ้นบันไดไปอีกชั้น พลางนึกก่นด่าตัวเองที่กินน้ำมาเยอะจนปวดฉี่ พร้อมกับภาวนาไม่ให้มีคนมาเข้าห้องน้ำเยอะ เพราะผมอุตส่าห์ลงทุนวิ่งขึ้นมาฉี่ถึงชั้นบนสุด
“มึงจะรีบอะไรขนาดนั้นวะ” พอวิ่งมาถึงห้องน้ำ ผมก็รีบพุ่งตัวเข้าไป ทำให้สวนทางกับใครสักคน ที่กำลังจะเดินออกมา โชคดีที่เขาหลบทัน ไม่อย่างนั้นผมคงชนเข้าเต็มเปา กระทั่งได้ยินอีกฝ่ายบ่น ผมถึงได้หันกลับไปมอง เลยทันได้เห็น ว่าเขาเองก็มองมาทางผมเหมือนกัน ผมจึงก้มหัวขอโทษขอโพยอย่างรวดเร็ว เพราะวันนี้ผมชนเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว และท่าทางเขาก็น่าจะจำผมได้

“ทีหลังมึงก็หัดวิ่งให้มันดูทางบ้างสิวะ เกิดมึงหกล้มไปก็เป็นเรื่องอีก” ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้นลอยๆ แต่เจตนาคงไม่ได้ลอยๆ เหมือนคำพูด เพราะตอนนี้มีแค่ผมกับเขาที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง
ซึ่งเขาอยู่ในโซนของอ่างล้างมือ ส่วนผมอยู่ในโซนสำหรับทำธุระส่วนตัว ครั้นพอฉี่เสร็จ ผมก็เดินออกมาตรงอ่างล้างมือ เลยทำให้เห็นว่าใครคนนั้น กำลังทิ้งตัวลงนั่งบนเคาน์เตอร์หินอ่อน จากนั้นเขาก็เริ่มใช้ภาษามือในการสื่อสาร
ท่าทางว่าเขาน่าจะเข้าใจว่าผมคือหนึ่งในผู้บกพร่องทางการได้ยินล่ะมั้ง..

“…” ผมได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายตาแป๋ว เพราะผมยังไม่เข้าใจภาษามือมากนัก ผมเลยตัดสินใจเดินไปล้างมือ จากนั้นก็เช็ดกับกางเกงตามความเคยชิน ก่อนจะแบมือขอโทรศัพท์จากอีกฝ่ายเพราะผมไม่ได้เอาโทรศัพท์ของตัวเองมาด้วย
“อะไรของมึงวะ” ผู้ชายร่างสูงนัยตาคมกริบที่ท่าทางจะเป็นรุ่นพี่ กำลังเกาหัวแกรกๆ ด้วยความมึนงง ผมจึงขยับมือไปมาตรงหน้าเขาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่เข้าใจผมอยู่ดี เลยนึกขึ้นได้ว่า ผมควรจะทำมือเหมือนรูปโทรศัพท์ แล้วก็ยกขึ้นแนบหู

“โทรศัพท์?” อีกฝ่ายถามอย่างไม่แน่ใจ ผมจึงพยักหน้าตอบ
“มึงหลอกขโมยมือถือกูป่ะเนี่ย?” ผู้ชายคนนั้นหรี่ตามองผม แต่ก็ยอมหยิบโทรศัพท์ส่งมาให้

‘เมื่อกี้ตอนที่ใช้ภาษามือ กำลังถามว่าอะไรเหรอครับ พอดีผมเพิ่งเรียนไปแค่สองคลาสเอง’ พอพิมพ์เสร็จ ผมก็ยื่นให้เจ้าของโทรศัพท์อ่าน
“กูถามว่ามึงเข้าใจไหม ที่บอกว่าให้วิ่งดูทางน่ะ เมื่อเช้าก็ทีนึงละ นึกบ้าอะไรขึ้นมา ถึงไปเดินริมถนน มึงไม่ได้โชคดีเสมอไปหรอกนะ เผลอๆ รถอาจจะวิ่งชนมึง หรือไม่ก็มึง อาจจะเดินไปชนรถเข้าก็ได้ ใครจะรู้” ผู้ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่สายตาของเขา กำลังมองมาที่ผม ราวกับต้องการจะอบรมบ่มนิสัย

“…” ผมพยักหน้า แต่ก็แอบนึกค้านในใจนิดหน่อย เพราะว่าเขากับผม ดันชนกันที่ริมขอบถนนด้วยไง ถ้าจะดุกัน เขาก็น่าจะดุตัวเองด้วยไหม?
“เข้าใจก็ดี กูไปเรียนละ” เมื่อได้คำตอบอันถูกใจ ผู้ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นยืน พร้อมจะก้าวเดินออกจากห้องน้ำ

“กูชื่ออาคเนย์ อยู่ปีสาม” พี่เขายกยิ้มให้ จากนั้นก็เดินออกจากห้องน้ำ โดยไม่รอฟังคำแนะนำตัวจากผม แต่ก็นะ พี่เขาน่าจะเรียนอยู่สาขาเดียวกับผม เพราะเขารู้ภาษามือในระดับที่ดีมาก
ไม่ช้าก็เร็ว พี่เขาก็คงจะได้รู้จักกับผมอย่างเป็นทางการอยู่ดี..

“หิวเว้ย! กินอะไรดีวะ” พออาจารย์กล่าวปิดคลาส เพื่อนๆ ก็เริ่มทยอยกันเก็บของ ส่วนไอ้หมอก ก็รีบบ่นหิวขึ้นมาทันที
“กะเพราไข่ดาวมั้ยมึง?” ไอ้คินเสนอความเห็น ขณะที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างสบายใจเฉิบ

“ถุย! เมนูโคตรสิ้นคิด”
‘เรื่องมากไอ้สัส!’ ผมรีบพิมพ์ใส่กรุ๊ปแชทด้วยความหมั่นไส้

“โถถถถ ทำมาด่ากู แต่พอจะแดกแต่ละที มึงก็ลอกกูตลอด” ไอ้หมอกหันมาเบะปากใส่ผม พลางมองแรงแถมมาให้อีกดอก
‘อะไร! กูไม่ให้มึงไปกินด้วยนะเว้ย!’ ผมรีบพิมพ์ลงไปในแชทเพื่อตอบโต้อย่างไม่ยอมแพ้

“ไปเว้ยไอ้คิน ไปกินข้าวกัน” ไอ้หมอกมันทำเป็นไม่สนใจผม แล้วก็รีบหันไปฉุดแขนไอ้คินที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์เงียบๆ โดยที่มันก็เป็นอีกคนที่ไม่ยอมอ่านแชทกลุ่ม
แบบนี้ก็แสดงว่าพวกแม่งรวมหัวกันแกล้งผมน่ะสิ!

ผมที่กำลังตกอยู่ในสถานะหมาหัวเน่า ก็ต้องรีบรูดซิบปิดกระเป๋า และสะพายมันไว้กับตัว จากนั้นจึงรีบพุ่งตัวออกจากห้องบรรยาย ด้วยความเร็วที่คิดว่าน่าจะมากที่สุดในชีวิต และพอใกล้จะถึงเป้าหมาย ผมก็รีบกระโดดคว้าคอพวกมันสองคน ที่สูงกว่าผมเกือบๆสิบเซ็น พร้อมกับแทรกตัวเองให้ยืนอยู่ระหว่างกลางของกลุ่มเพื่อน

“เหี้ย!” พวกมันสองคนถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะเมื่อครู่พวกมันเกือบจะหน้าคว่ำเข้าให้
“…” แล้วพอพวกมันหันมามองหน้าแบบเอาเรื่อง ผมก็รีบหันไปยิ้มให้ทางซ้ายที ขวาที อย่างเอาใจ

“ไอ้รัน มึงเล่นเชี่ยไรเนี่ย?” ไอ้คินมันทำหน้านิ่วคิ้วขมวด พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงแข็งโป๊ก
“…” ผมยิ้มให้พวกมันอีกคนละที พร้อมกับกระชับวงแขนให้รัดคอพวกมันแน่นขึ้น

“ยังอีก! ยังจะเสือกยิ้มโง่ๆ ใส่กูอีก! เชี่ย!” ผมตีหัวไอ้หมอกทันทีที่มันเริ่มส่อแววจะอ้อนตีน ไอ้เพื่อนรักมันก็เลยสบถใส่หน้าผมเต็มๆ น้ำลงน้ำลายงี้ซ่านกระเซ็นเป็นฝอยๆ

ตุบ ตุบ!

“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว” ไอ้คินที่เอาแต่ปิดปากเงียบมานาน เริ่มออกหน้าห้ามศึกอีกครั้ง ด้วยการตบหัวพวกผมคนละที และพอโดนฝ่ามือพิฆาต ผมกับไอ้หมอกก็รีบสามัคคีกันอย่างว่านอนสอนง่าย บรรยากาศรอบๆตัวก็เลยมีแต่เสียงเซ็งแซ่ของเพื่อนๆ ร่วมคณะ

“มึงไปซ้อนไอ้คินโน่นเลยไป!” ไอ้หมอกรีบเบรค เมื่อผมกำลังตั้งท่าจะซ้อนท้ายจักรยานของมัน ต้องบอกก่อนว่า มหาลัยของเรามีพื้นที่กว้างขวางมาก เลยเหมาะกับการใช้เป็นสถานที่ในการออกกำลังกาย จึงมีบริการหยิบยืมจักรยานอยู่หลายจุด โดยคนนอกจะต้องใช้บัตรประชาชนในการหยิบยืม ส่วนนักศึกษาสามารถใช้บัตรนักศึกษามาหยิบยืมได้เลย แต่จะต้องยืมคืนภายในวันต่อวันเท่านั้น
“…” แต่แล้วผมก็ถูกผลักจนตัวปลิว เรื่องของเรื่อง เพราะผมไม่ทันตั้งตัว ไม่ใช่ว่าผมเป็นผู้ชายบอบบางแต่อย่างใด ในเมื่อผมสูงตั้ง 175 เตี้ยกว่าพวกมันแค่เกือบๆ 10 เซ็นเท่านั้นเอง

“…” ผมทำเป็นยืนนิ่ง จนไอ้หมอกมันตายใจ พอสบโอกาสเหมาะ ผมก็รีบกระโดดขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานของมันทันที
“เจ้าเล่ห์นะมึง” ไอ้หมอกมันหันมาต่อว่า จากนั้นมันก็ทำท่าจะเอาหัวมาโหม่งหน้าผากผม

แต่ขอโทษที กูไหวตัวทัน!

“พวกมึงนี่เก่งเนอะ อีกคนพูดมาก ส่วนอีกคนไม่พูด แต่กลับทะเลาะกันได้เป็นเรื่องเป็นราว” ไอ้คินมันว่าขำๆ พลางถอยจักรยานออกจากซองจอด ก่อนจะวาดขาขึ้นไปนั่งบนเบาะ แล้วมันก็รีบปั่นออกไป
“รอพวกกูด้วยสิวะ ไอ้รัน มึงก็ทำตัวให้มันเบาๆ ดิ๊” ไอ้หมอกตะโกนเรียกไอ้คิน พลางลุกขึ้นยืนและถีบจักรยานอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ยังไม่วายจะกวนตีนผมอีก ผมเลยจัดการมอบฝ่ามือพิฆาตให้มันด้วยความรักและเอ็นดู..

เพี๊ยะ!

“มึงแม่ง! จำไว้! จำไว้เลย!” ไอ้หมอกมันพูดด้วยน้ำเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พร้อมกับลงเสียงกระแทกกระทั้นแทบทุกประโยค ส่วนผมก็เอาแต่นั่งเงียบๆ ขณะที่ริมฝีปากกำลังฉีกยิ้มจนแทบจะถึงใบหู
เพราะนี่แหละ.. คือชีวิตวัยเรียนที่ผมใฝ่หา..


------------------------------------------
edit 28/11/2017 คำผิด กระเพรา > กะเพรา / แขกเขี้ยว > แยกเขี้ยว
หากมีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยนะคะ
ในส่วนของนายเอกของเราที่พูดไม่ได้ จะเป็นเชิงลิ้นแข็งเพราะไม่ได้พูดเป็นเวลานาน
เลยยังสามารถออกเสียงได้บ้าง แต่พูดเป็นคำไม่ได้ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2018 18:48:05 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 1 [up 18/10/2017]
«ตอบ #2 เมื่อ18-10-2017 23:52:50 »

น่าอ่านมากค่ะ
จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ

ปล แอบอีดิทนิดนึง คุณพระเอกคือพี่อาคเนย์ใช่มั้ยยย :-[

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 1 [up 18/10/2017]
«ตอบ #3 เมื่อ19-10-2017 07:40:01 »

เริ่มเรื่องมาก็น่าสนใจเลยครับ :katai2-1:
เข้ามาติดตาม+ให้กำลังใจคนเขียนนะครับ :กอด1: :L2: :3123:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 2 [up 19/10/2017]
«ตอบ #4 เมื่อ19-10-2017 16:37:15 »

♥ Fall in you ♥
-ตอน 2-



ตั้งแต่ผมขึ้นมหาลัยและเลือกเรียนภาควิชาหูหนวกศึกษา บอกตรงๆ ว่าทัศนคติของผมที่มีต่อกลุ่มคนที่ไม่ได้มีความบกพร่องใดๆ ก็เริ่มดีขึ้น ทั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้เพื่อนๆร่วมสาขา เพราะทุกคนต่างก็ยอมรับได้ในสิ่งที่เราเป็น ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่พวกรุ่นพี่เริ่มเข้ามามีบทบาทด้วยแล้ว พวกเราทั้งหมดจึงสามารถจดจำชื่อเสียงเรียงนามของรุ่นพี่ในแต่ละชั้นปีได้ เพราะว่ารุ่นแรก ก็มีกันอยู่ไม่เกินยี่สิบคน ส่วนรุ่นที่สองก็มีมากขึ้นมาอีกหน่อย ประมาณสามสิบคนเห็นจะได้ ส่วนรุ่นผม ปีนี้มีการเปิดรับเยอะที่สุด แต่รวมๆ แล้วก็ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้หรอก
และด้วยความที่ภาควิขาของเรามีจำนวนคนไม่มากเท่าภาควิชาอื่นของคณะ พวกเราทั้งหมดจึงสามารถดูแลช่วยเหลือกันได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่มีความบกพร่อง เราจะต้องทำให้เขาไม่รู้สึกแปลกแยก

สำหรับวันนี้ หลังเลิกเรียน รุ่นพี่ได้มีการนัดหมายให้มารวมตัวกันที่ลานน้ำพุที่อยู่ตรงหน้าตึกคณะศิลปศาสตร์ เพราะกิจกรรมของวันนี้คือการจับสายรหัส และตอนนี้พวกรุ่นพี่จากทุกชั้นปี ก็มารวมตัวกันหมดแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ ก็คือผมยังไม่เห็นพี่อาคเนย์มารวมตัวอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นเลย

หรือว่า.. การคาดเดาของผมจะผิดพลาด ?

แต่ถ้าเรียนสาขาอื่น ทำไมพี่เขาถึงรู้ภาษามือล่ะ ?

“…” ผมนั่งรอเพื่อนๆ ทยอยกันออกไปจับฉลากเลือกสายรหัส คนแล้วคนเล่า ก็ยังไม่ถึงคิว เพราะว่าผมตั้งใจจะรอให้ทุกคนออกไปจับกันก่อน จะได้ไม่ต้องไปเบียดไปแย่งกัน
“กูอยากได้พี่เมย์เป็นพี่รหัสว่ะ พี่เขาแม่งสวยชิบหาย ยิ่งเวลาใช้ภาษามือคุยกับเพื่อนนะก็ยิ่งน่ารัก” ไอ้หมอกพูดอย่างเพ้อๆ

“ท่าทางจะฝันสลาย มึงดูโน่น ไอ้เบลจับได้พี่แกไปละ” ไอ้คินพูดพลางกลั้วหัวเราะ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืน พร้อมกับปัดเศษหญ้าใส่พวกผม

เพี๊ยะ!

“กูเป็นมนุษย์กินข้าว ไม่ใช่มนุษย์กินหญ้า ไอ้สัส ไม่ต้องเผื่อแผ่” ไอ้หมอกฟาดไปที่ก้นไอ้คินเต็มแรง จากนั้นก็รีบกุลีกุจอปัดเศษหญ้าออกจากปาก
“หึ” ส่วนไอ้คินมันก็หัวเราะทิ้งท้ายไว้ให้เจ็บใจเล่น ก่อนจะเดินไปจับฉลาก ซึ่งมันจับได้พี่อาร์ตเดือนสาขาของภาควิชาเรา ที่มีโอกาสได้เป็นถึงเดือนคณะ เพราะเจ้าตัวเล่นสูงชะลูดซะขนาดนั้น แถมยังหน้าตาดี อารมณ์ประมาณคิ้วเข้มๆ หน้าตาตี๋ๆแบบพิมพ์นิยม แต่พอยิ้มแล้วโคตรจะน่ามองน่ะแหละ

และหลังจากที่สังเกตการณ์มานาน ผมก็รีบลุกขึ้น กะว่าจะเดินเข้าไปจับฉลากกับเขาบ้าง เพราะเหลือคนที่ยังไม่มีพี่รหัสไม่มากแล้ว แถมเมื่อกี้พี่ปีสามยังประกาศอีกว่า ตอนนี้เหลือฉลากว่างเปล่าอีกตั้งหลายใบ แบบนี้ก็แสดงว่าหลายๆ คนที่ยังไม่ได้จับฉลาก ก็มีโอกาสสูงที่จะไม่มีสายรหัสเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ
“เสียสละให้พี่เถอะน้อง!” คือผมกำลังจะเดินไปถึงคิวต่อแถวอยู่แล้ว แต่ไอ้หมอกแม่งก็รีบแทรกตัวเองเข้ามาในแถวซะก่อน
มันน่ากระโดดถีบไหมล่ะนั่น!

เพี๊ยะ!

ผมทั้งตี ทั้งหยิก เพราะขืนกระโดดถีบ เกรงว่าจะอลังการเกินไป แต่ไอ้เพื่อนคู่ปรับก็หาได้สะทกสะท้านไม่ ผมเลยต้องจำใจปล่อยให้แม่งแทรกไปนั่นแหละ จากนั้นผมก็ยืนมองจนกระทั่งมันจับฉลากได้พี่เฟรม ซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพี่อาร์ต ผมจึงรีบยิ้มเยาะใส่ เพราะไอ้นี่มันหมายมั่นปั้นมืออยากจะได้พี่รหัสสาวสวยนักหนา
แล้วเป็นไงล่ะมึง ได้หนุ่มหล่อกล้ามโต แถมยังตัวสูงชะลูดเลยนะนั่น

สมน้ำหน้า!

พอรุ่นพี่ส่งสัญญาณเรียก ผมก็รีบเดินไปยืนด้านหน้าของพี่ปีสามที่กำลังถือกล่องกระดาษสี่เหลี่ยม ที่ภายในบรรจุกระดาษใบเล็กๆ ที่เหลือจำนวนไม่มากแล้ว

“สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เลยไอ้น้อง ณ จุดๆ นี้เอ็งต้องทำใจแล้วล่ะ” หลังจากผมจับฉลากเรียบร้อย พี่ทีมก็พูดหยอกเหมือนทุกคนก่อนหน้านี้..
แต่ปรากฏว่า..

กระดาษที่ผมจับได้ แม่งว่างเปล่า!

แล้วมันจะหมายความว่ายังไงล่ะ ?

ก็หมายความว่าผมไม่มีพี่รหัสน่ะสิวะ!

อึ้งไปสิ ชีวิตกูนี่จะแจ๊คพ็อตไปไหน แถมพอหันหน้ากลับมาข้างหลังยังเห็นไอ้หมอกมันแสยะยิ้มสมน้ำหน้าใส่ชนิดที่ว่า ไงล่ะ หัวเราะที่หลังดังกว่าขนาดไหน ผมเลยถลึงตาใส่แม่งซะเลย พลางนึกพาลในใจว่า ถ้าหากไอ้เพื่อนตัวกวนประสาทนั่น มันไม่เข้ามาแทรกแถวล่ะก็..
บางทีผมอาจจะจับฉลากได้ใบอื่นก็ได้

“เอาน่า.. เดี๋ยวกูแบ่งพี่รหัสให้มึงเลยก็ได้ กูเสียสละแค่ไหน มึงคิดดูสิ” พอผมเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งตรงกลางระหว่างพวกมันสองคน ไอ้หมอกก็รีบหันมาโยกหัวผมอย่างปลอบโยน
แต่มันคงจะละมุนกว่านี้ ถ้าหากมันไม่โยกจนหัวผมแทบหลุด!

“เดี๋ยววันนี้พวกกูมีเลี้ยงสาย มึงก็ไปด้วยกันเลยเนี่ย” ไอ้คินเองก็รีบเข้ามากอดคอผม ก่อนจะออกปากชวน

แต่คือแบบ.. พวกมึงช่วยเข้าใจอารมณ์กูหน่อยสิวะ กูเป็นคนนอกน่ะเว้ย จะไปได้ไงล่ะ!

“เออๆ เดี๋ยวกูมัดมือชกพวกพี่มันเอง มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า” ไอ้หมอกกอดคอผมด้วยอีกคน ก็พอดีกับกิจกรรมการจับสายรหัสได้สิ้นสุดลง ทุกๆ คนก็เริ่มแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ขณะที่สายรหัสของไอ้เพื่อนสองตัว ก็เริ่มทยอยเข้ามาพูดคุยทำความรู้จักกับพวกมัน โดยที่ผมก็ได้แต่นั่งโง่ๆ อยู่ท่ามกลางวงล้อมนั่น เพราะไอ้เพื่อนสองตัวแม่งไม่ยอมปล่อยแขนผมเลย ซึ่งท่าทางแบบนั้นของพวกมัน ก็ทำให้ผมแอบขอบอกขอบใจอยู่ลึกๆ ที่พวกมันยังคงนึกถึงผมที่เพิ่งจะสนิทกันได้ไม่นาน
แต่แล้วจู่ๆ ผมก็ได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงสายรหัสของพวกมันเฉย

ตอนนี้พวกผมก็เลยออกมายืนแกล่วรอที่หน้าตึกคณะ เพราะพวกพี่ทีมที่เป็นพี่ใหญ่สุด บอกว่าสายของเราคนเยอะ เพราะเป็นสายสายโค เลยต้องนั่งรถใหญ่ไปถึงจะสะดวก ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ เมื่อพี่เขาใช้คำว่า ‘สายของเรา’ อย่างงงๆ
คืออยู่ดีๆ กูมีสายรหัสเหมือนคนอื่นเขาแล้ว ถูกไหม?

“รอนานมั้ยมึง พอดีวันนี้อาจารย์สอนเกินเวลาว่ะ กูแม่งโคตรหิว” ผมหันกลับไปมองยังต้นเสียง ก็เห็นว่าผู้มาใหม่ที่เรากำลังรอ มีอยู่ด้วยกันสองคน แต่คนที่สะดุดตาผมที่สุดก็คือคนที่เดินรั้งท้าย
“…” ผมยืนมองพวกพี่เขาพูดคุยทักทายกัน ก่อนจะพากันตกลงว่าจะไปเลี้ยงกันที่ไหน จากนั้นก็แยกย้ายกันจับจองรถคนละคัน ซึ่งตลอดเวลาที่พี่อาคเนย์ยืนอยู่ตรงนี้ พี่เขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะทำตัวเหมือนรู้จักกับผม ผมก็เลยไม่กล้าทัก เพราะกลัวว่าพี่เขาอาจจะลืมว่าเราเคยเจอกันสองครั้ง ซึ่งมันก็ผ่านมาแล้วประมาณอาทิตย์นึงเห็นจะได้

แต่พอพวกพี่ๆ เริ่มแยกย้ายกันไปจับจองรถคันละสองคน พี่อาคเนย์ก็หันมายักคิ้วให้ ก่อนจะเดินแยกไปที่รถของตัวเอง ขณะที่ปีหนึ่งอย่างเรา ก็ต้องวงแตกไปนั่งรวมกับรุ่นพี่คนอื่นๆ
“พวกกูไปนั่งกับพี่รหัสนะ” ไอ้หมอกกอดคอกับไอ้คิน พลางชี้ไปทางรถของพี่บาสที่มาพร้อมกับพี่อาคเนย์ ผมก็เลยต้องเดินไปที่รถคันสีดำของพี่เขา ที่มีแต่รุ่นพี่ปีสูงๆ ซึ่งตอนแรกผมกะจะนั่งข้างหลัง แต่ปรากฏว่าพี่ทีมกับพี่บอสได้จับจองไปก่อนแล้ว ผมก็เลยต้องนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอย่างจำใจ

ตลอดทางพวกพี่เขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ด้วยความที่พี่บอส เป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มรุ่นพี่ ที่ไม่สามารถพูดคุยและได้ยินเสียงใดๆ ได้ พี่ทีมจึงรับหน้าที่แปลถ้อยความ แล้วบอกเล่าให้พี่อาคเนย์ฟัง ผมก็เลยได้รับรู้ไปด้วย เลยเข้าใจได้เองว่าพวกพี่สามคนเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยมัธยม พอขึ้นมหาลัย ก็ยังตามมาเรียนที่เดียวกันอีก เพียงแต่คนละสาขา
พี่ทีมเล่าว่า ที่พี่เขาเลือกเรียนสาขานี้ เพราะว่าพี่เขาต้องการจะสื่อสารกับพี่บอส แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะพี่เขาอยากให้คนกลุ่มนี้ ได้รับข่าวสารเหมือนอย่างคนอื่น เนื่องจากบุคลากรทางด้านนี้น่ะมีน้อย แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับมีเพิ่มมากขึ้นทุกปี

“ใจหล่อมากครับ ไอ้สัส” พี่อาคเนย์เอ่ยแซว
“อยู่แล้วครับ คนอย่างกูจะหล่อไปวันๆ ไม่ได้”

“หึ” พอผมหลุดหัวเราะออกมา ก็เลยทำให้เสียงพูดคุยเงียบลงไป ผมจึงได้แต่เกาหัวแก้เก้ออย่างวางตัวไม่ถูก หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือผมออกแนวเขินนิดๆ ที่จู่ๆ บรรยากาศก็เงียบลงเพราะเสียงหัวเราะของตัวเอง

“ไอ้เชี่ยทีม มึงไม่อายกู ก็อายน้องมันบ้างเถอะว่ะ” แต่แล้วพี่อาคเนย์ ก็ทำลายความเงียบทั้งหมดลง
“อายทำไม รันมันเข้าใจหรอกว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ใช่ป่ะ?” พี่ทีมยื่นหน้าออกมาระหว่างกลางที่นั่งด้านหน้า และถามผมอย่างไม่จริงจังนัก แต่ผมก็เลือกที่จะพยักหน้าเออออตามพี่เขาไป
   
ตอนแรกพวกพี่เขาจะพาไปเลี้ยงร้านที่อยู่หน้ามหาลัย แต่ไปๆมาๆ ไม่รู้ยังไงถึงได้เปลี่ยนมาเลี้ยงต้อนรับที่คาเฟ่ในมหาลัย ใกล้ๆ กับหอพักนักศึกษาไปได้
รู้งี้ผมให้พวกไอ้คินเอาจักรยานไปคืนซะก่อนก็ดี

บรรยากาศของร้าน ถือว่าดูดีและน่ารักพอสมควร เพราะการตกแต่งออกแนวเรียบง่ายและอบอุ่น มีทั้งขนมเค้ก เครื่องดื่ม รวมทั้งของคาว พี่บอสบอกว่าร้านนี้สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมากับสเต๊กหมูนุ่มอร่อย พวกเราจึงตัดสินใจสั่งมาทานร่วมกัน เพราะจะได้สั่งได้หลายๆ เมนู ส่วนเครื่องดื่มเราก็สั่งแยกกัน

‘บลูเลม่อนโซดา’ ผมพิมพ์ข้อความแล้วก็ยื่นโทรศัพท์ให้กับพี่ทีม ที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือเพื่อสั่งออร์เดอร์ ต้องบอกก่อนว่าเมนูนี้เป็นเมนูโปรดของผม หากร้านไหนที่ใครเขาว่าอร่อย ผมจะไม่เชื่อคำโฆษณา จนกว่าผมจะได้กินบลูเลม่อนโซดาของร้านนั้นก่อน และถ้าหากลองแล้วผ่าน ผมถึงจะให้คะแนนเต็มสิบ แต่ถ้าหากไม่ผ่าน ผมก็จะให้แค่ครึ่งคะแนน เพราะว่าผมชอบบลูเลม่อนไง ทุกคะแนนก็เลยขึ้นอยู่กับเมนูนี้
พวกไอ้คินไอ้หมอกงี้ผมบ่นชิบหาย หาว่าผมกินยากและเป็นบ้า!

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรน่ะเรา?” พี่เฟรมถามผม พลางยิ้มขำ
“บลูเลม่อนถูกใจมันน่ะพี่ แสดงว่าร้านนี้สอบผ่าน” ไอ้หมอกเสนอหน้าตอบพี่รหัสของมัน ซึ่งพอได้ฟังคำตอบแล้ว พี่เฟรมก็พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะหันไปแปลข้อความด้วยภาษามือให้กับพี่บอสที่เป็นพี่รหัสของตัวเองได้เข้าใจถึงบทสนทนาบนโต๊ะนี้ด้วย

“ไอ้บอสมันบอกว่า ร้านนี้อะไรก็อร่อยหมดน่ะแหละ มันแนะนำซะอย่าง ไม่มีผิดหวัง” พี่ทีมแปลข้อความให้ผมกับไอ้คินเข้าใจถ้อยความที่พี่บอสต้องการจะสื่อ ผมก็เลยยิ้มจนเต็มแก้มส่งไปให้เจ้าของคำพูดนั้น
“กูขอชิมหน่อยดิ๊” จู่ๆพี่อาคเนย์ก็พูดขึ้นกลางโต๊ะ แล้วก็น่าจะใช้ภาษามือในการสื่อสารกับพี่บอสด้วย เพราะทันทีที่พี่เขาพูดจบ แก้วบลูเลม่อนของพี่บอสก็ถูกเลื่อนออกมาข้างหน้า

“เออ อร่อยดีว่ะ” พี่อาคเนย์หยิบหลอดของตัวเองมาจุ่มลงในแก้วบลูเลม่อนของพี่บอส แล้วก็ดูดขึ้นอึกนึง ก่อนจะส่งคืนให้เจ้าของ จากนั้นไม่นาน เมนูอาหารที่เราสั่งก็เริ่มทยอยมาส่ง แต่ผมรอคอยแค่ยำแซลม่อนเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูโปรด เพราะผมชอบทุกอย่างที่เป็นแซลม่อน กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ เสียอย่างเดียว มันแพงเหลือจะกล่าว ก็เลยไม่ค่อยจะสั่งมากิน แต่พอได้ฤกษ์สั่งกินแต่ละที ผมก็จะสั่งแบบจัดเต็ม แต่ในวันนี้ผมทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะรุ่นพี่เขาพาสายรหัสของเขามาเลี้ยง ผมก็เลยเกรงใจ
 
“แดกคนเดียว ท้องเสียจู๊ดๆ นะมึง” ไอ้หมอกที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพี่ทีมพูดกับผมที่นั่งอยู่อีกฝั่งด้านในสุด
‘แล้วไง?’ ผมก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ เพื่อเปิดศึกกับคู่ปรับตัวฉกาจ

“ไม่แล้วไง แต่ขอกินบ้างดิ มึงน่ะกินซะน่าอร่อย ถึงคนอื่นจะไม่กล้าแย่ง แต่กูกล้านะเว้ย” ไอ้หมอกมันลุกขึ้นยืน พลางโน้มตัวลงมาใกล้ๆ จานยำแซลม่อน ก่อนจะหยิบส้อมที่วางพาดอยู่ตรงขอบจานมาจิ้มเนื้อแซลม่อนนุ่มๆ เข้าปาก
   
“สั่งอีกจานก็ได้นะ” พี่บาสรุ่นพี่ต่างสาขารีบเสนอ สงสัยจะทนดูสภาพน่าอนาถของรุ่นน้องอย่างไอ้หมอกไม่ไหว
“ไม่เอาอ่ะพี่ ผมไม่ค่อยจะถูกกับปลาดิบสักเท่าไหร่” ไอ้หมอกส่ายหน้าพรืด เพราะมันไม่ค่อยชอบกินของดิบ บอกว่ากลัวพยาธิ แต่ที่เมื่อกี้มันกิน เพราะมันแค่จะแกล้งผมเล่นเฉยๆ
ก็แลลงทุนดี

“สลัดมั้ยมึง?” ไอ้คินถาม เมื่อเห็นว่าผมนั่งอยู่ริมสุดน่าจะตักสลัดไม่ถึง แต่มึงครับ มึงเองก็นั่งอยู่ตรงข้ามกูแท้ๆ มั้ย เลวจริงอะไรจริง รู้ว่ากูไม่ชอบรสชาติน้ำสลัด แม่งก็ระริกระรี้เสนอหน้าบริการเชียว
“…” ผมเลยแยกเขี้ยวใส่ไอ้เพื่อนหน้าตาเจ้าเล่ห์แม่งซะ ก่อนจะรีบส่ายหน้าพรืดใส่รุ่นพี่ที่กำลังจะไสจานสลัดมาให้

“น้องรันเป็นเด็กไม่กินผักเหยอครับ?” ไอ้หมอกได้ทีก็กวนตีนขึ้นมาเลย แล้วนั่นจะทำเป็นลิ้นเปลี้ยทำไมไม่ทราบ?
‘เกลียดมึง!’ ผมรีบพิมพ์ข้อความลงในกรุ๊ปแชทอีกครั้ง

‘เกลียดแล้วได้อารายยยยย~~’ ดูความกวนตีนของไอ้หมอกมันครับ ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย กวนตีนยังไงก็ยังกวนอย่างนั้น
“…” ผมเบะปากใส่มัน แล้วก็หันไปสะกิดพี่ทีม เพื่อให้ตักสปาเก็ตตี้ให้สักคำ แต่ปรากฏว่าพี่อาคเนย์ที่นั่งถัดจากพี่ทีมดันส่งจานสปาเก็ตตี้มาให้ผมทั้งจาน พร้อมกับบอกให้ผมกินให้หมดเลย เพราะฝั่งพวกพี่เขาทานกันหมดแล้ว ผมก็เลยสลับจานยำแซลม่อนไปแลก

ไม่นานเวลาของการปาร์ตี้ก็จบลง เพราะท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว พี่ๆ ทุกคนก็เลยช่วยกันออกค่าเสียหายในจำนวนที่ไม่มากนัก โดยเรียกเก็บเงินจากพี่อาคเนย์และพี่บาสน้อยที่สุด เพราะพวกพี่เขาอยู่คนละสาขากับพวกเรา จากนั้นก็แยกย้ายกันตรงหน้าร้าน เพราะพวกพี่ๆ บ้างก็อยู่หอใน บ้างก็อยู่หอนอก
"ขอบคุณนะครับ” ผมไหว้ขอบคุณพวกพี่ๆ ตามพวกไอ้คินที่ส่งสัญญาณเป็นคำพูด จากนั้นพวกผมก็รีบแยกตัวไปเอาจักรยานที่จอดทิ้งไว้ที่คณะก่อนจะพากันกลับไปพักที่หอ
และวันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวัน ที่สังคมเล็กๆ แห่งนี้ ทำให้ผมมีความสุข..

---------------------------
[edit คำผิด - สูงชะรูด > สูงชะลูด 17/11/2017  / 27/01/2018 ศิลปะศาสตร์ > ศิลปศาสตร์]
ตอนที่แล้วในช่วงการเรียนการสอนไม่แน่ใจว่าหลายคนอ่านจะตีความได้มั้ยว่าในคลาสบรรยายจะมีอาจารย์อยู่ในห้องสองท่าน
คืออาจารย์ที่สามารถพูดได้ และอาจารย์อีกท่านคืออาจารย์ที่ใช้ภาษามือเพื่อถอดความจากคำพูดของอาจารย์อีกท่านให้นักศึกษาที่มีความบกพร่องอีกทีค่ะ ภาษามือยังคงไม่โผล่ค่ะ แต่ตอนหน้าเจอแน่ ทุกคนอาจจะมึนในภาษาบรรยายของเราได้

หมายเหตุ : ถ้าหากการแบ่งย่อหน้าทำให้ดูอ่านยากบอกเรานะคะจะได้แก้ให้ เพราะเราถนัดเขียนสองย่อหน้าให้ติดกัน เราลงนิยายเรื่องนี้ไว้ที่เด็กดีอีกที่นึงค่ะ เผื่อใครไม่สะดวกอ่านในนี้ > http://myurl.la/86pIkK
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 18:05:09 โดย Chomin »

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 2 [up 19/10/2017]
«ตอบ #5 เมื่อ19-10-2017 22:37:53 »

ทำไมพี่ถึงรู้ภาษามืออ มีซัมติงอะไรรึเปล่าาา
รันน่ารักนะะะ //กอออ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 2 [up 19/10/2017]
«ตอบ #6 เมื่อ19-10-2017 23:46:14 »

ตามจ้าาา น่าสนใจมาก อาคเนย์เนาะ พระเอกของน้องรัน ><

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 3 [up 20/10/2017]
«ตอบ #7 เมื่อ20-10-2017 12:37:47 »

♥ Fall in you ♥
-ตอน 3-

วันนี้มีเรียนแต่เช้าอีกแล้ว แต่เพราะผมต้องไปทานมื้อเช้าที่โรงอาหารกลาง ก็เลยต้องตื่นเช้ากว่าใครเขาเพื่อน เพราะหนทางจากโรงอาหารมาถึงคณะศิลปศาสตร์ มันก็ออกจะไกลพอสมควร แต่ด้วยความที่ช่วงเช้าอากาศมันดี แถมบรรยากาศในมหาลัยก็ร่มรื่น เลยไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ไม่มียานพาหนะ
ต้องบอกก่อนว่า ที่ผมไม่ยอมหยิบยืมจักรยานมาขี่ ก็เพราะผมจะรอซ้อนท้ายไอ้หมอกอย่างเดียว ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเมื่อย สบายจะตาย ผมจะยืมมาขี่เองทำไม ยอมเดินแค่ช่วงเช้า แต่สบายไปทั้งวัน เป็นความคิดที่คนฉลาดคู่ควรจะตาย

“ไง” ผมสวนทางกับพี่อาคเนย์ที่โรงอาหาร อีกฝ่ายก็เลยทักทาย
“…” ผมก้มหัวพลางยิ้มรับ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์มือถือของตัวเองแล้วส่งให้อีกฝ่ายอ่าน

‘มาหาอะไรทานแต่เช้าเลยนะครับ’
“อ่าฮะ” อีกฝ่ายพยักหน้าพลางส่งเสียงตอบ จากนั้นก็เกิดเดดแอร์ขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ อาจเพราะเราไม่ได้สนิทกันมากมายแถมคำทักทายของผม มันก็ออกจะไม่เข้าท่าซะด้วย

‘ไปกินข้าวกันไหมครับ?’ ผมพิมพ์ถามอีกฝ่าย เพราะไม่รู้จะหยิบยกอะไรมาคุยกันดี แต่ใครจะรู้ว่าคำกล่าวนั้นมันเป็นความคิดที่โคตรจะผิด เพราะยังไงความเงียบก็ยังคงอยู่คู่กับพวกเราอยู่ดี

“ไม่กินถั่วฝักยาวเหรอ?” พี่เขาถามขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่เขี่ยถั่วฝักยาวไปไว้ข้างๆ จาน
“…” ผมพยักหน้า

“เสียดาย” พี่เขายื่นช้อนส้อมออกมาตักบรรดากองถั่วฝักยาวออกจากจานผมไปใส่ที่จานของตัวเอง พร้อมกับบอกเหตุผลให้ผมฟังหน้าตาเฉย ผมจึงได้แต่ก้มหน้ากินผัดพริกแกงงุดๆ

“ก็เพราะไม่กินผักนี่ไง ตัวถึงได้เล็กแบบนี้น่ะ” จู่ๆพี่เขาเปรยขึ้นมาเบาๆ ผมจึงรีบเงยหน้าขึ้น ก่อนจะควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง
‘สูงตั้ง 175 ไม่ได้เรียกว่าตัวเล็กสักหน่อย’ ผมพิมพ์ข้อความเถียงอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่ว บอกเลยว่าเรื่องความสูง ไม่แก้ตัวไม่ได้จริงๆ และที่ผมเป็นแบบนี้ ก็เพราะตั้งแต่ผมได้มาสนิทสนมกับพวกไอ้หมอกไอ้คินน่ะแหละ แม่งชอบหาว่าผมเตี้ย ไม่ได้ดูเลยว่าตัวเองน่ะสูงยังกับเสาไฟ
มาตรฐานความสูงมันถึงได้ผิดเพี้ยนแบบนี้ไง!

“รู้จักเถียง แสดงว่าก็สู้คน แล้วเมื่อกี้กูก็หมายถึงมึงผอมไม่ได้หมายถึงมึงเตี้ย” พี่อาคเนย์โคลงหัว พลางยิ้มอย่างพึงพอใจ ผมเลยรีบจ้วงข้าวเข้าปาก เพราะไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอะไรต่อไปดี ในเมื่อผมเผลอปล่อยไก่ออกไปซะตัวเบอเริ่ม แถมพี่เขาก็ยังยิ้มแบบที่ผมไม่เข้าใจว่าการที่ผมสู้คน มันน่าดีใจตรงไหน
หรือว่าพี่บอสก็ไม่สู้คน? พี่เขาก็เลยเป็นห่วงกลัวว่าผมจะเป็นแบบนั้นด้วย?

อ่า.. คิดอะไรแปลกๆ ซะแล้ว..

ห่วงเหรอ? พี่เขาจะห่วงผมทำไมเล่า!

หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ พี่อาคเนย์ก็อาสามาส่ง เพราะว่าไหนๆ เราก็เรียนคณะเดียวกันแล้ว ไปด้วยกันมันก็ประหยัดทั้งแรงและน้ำมันจะตาย ด้วยความที่เหตุผลของพี่เขามันก็เข้าท่า ผมก็เลยปฏิเสธไม่ได้ เราสองคนเลยได้โอกาสแยกตัวตรงที่จอดรถของคณะ
และสุดท้าย ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าพี่เขาเรียนอยู่สาขาไหน..

วันนี้เรามีคลาสเรียนภาษามือเป็นครั้งที่สามแล้ว แต่ก่อนจะเริ่มเรียนในบทต่อไป อาจารย์พิศมัยจะทำการทบทวนบทเรียน ด้วยการสุ่มคำ โดยเขียนบนกระดานไวท์บอร์ด สำหรับสองหมวดแรกที่ได้เรียนไป ก็คือหมวดพยัญชนะและสระ
‘ก’ คือคำที่อาจารย์เขียน เพราะว่าในรุ่นของเราจะต้องเรียนรวมกันทั้งคนที่มีความได้ยินและไม่ได้ยิน ดังนั้นการเขียนจึงเป็นทางเลือกที่ง่ายและสะดวก อีกทั้งอาจารย์พิศมัยก็ยังเป็นอาจารย์ที่เป็นที่รู้จักในวงการของล่ามภาษามือไทยด้วย เราจะเห็นหน้าค่าตาของอาจารย์ได้ตามหน้าจอโทรทัศน์ ในกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ ด้านล่างบ่อยๆ

แต่ว่าก่อนจะมาเรียนคลาสภาษามือได้ พวกผมจะต้องมีการติวคำศัพท์อยู่เสมอ อารมณ์เหมือนคนอื่นเวลาเรียนคลาสภาษาจีนและญี่ปุ่น น่ะแหละ พอต้องมาทบทวนบทเรียนในคาบ ผมกับไอ้คินก็เลยคล่อง ส่วนไอ้หมอกมันก็จำได้จนขึ้นใจแล้ว มันเคยบ่นๆ ให้พวกผมฟังว่า บทเรียนของปีหนึ่ง เป็นบทเรียนที่มันเคยเรียนผ่านมาแล้วทั้งนั้น จึงไม่ใช่ความรู้ใหม่อะไร มันก็เลยไม่ต้องพยายามมากมาย เพราะทุกอย่างถูกฝังอยู่ในหัว

แต่ก็นะ ถ้าไม่ได้มันช่วยติว พูดตรงๆ ว่าก็จำยาก เพราะเพื่อนคนอื่นๆ จากที่ไปถามๆ มา พวกเขาต้องเข้าเว็บคณะ เพื่อศึกษาผ่านวีดิโอคลิปที่อาจารย์อัพโหลดไว้เป็นหมวดๆ เพราะของแบบนี้ แค่ศึกษาจากในชั้นเรียน ยังไงก็ไม่พอหรอก ส่วนพวกผม ก็สบายหน่อย เรียนรู้เอาจากไอ้หมอก จำคำไหนไม่ได้ ก็ใช้ให้มันทำให้ดู วันละหลายๆ สิบรอบ
ก็มีทั้งแกล้งลืมบ้าง ลืมจริงบ้างสลับกันไป..

หลังจากทบทวนบทเรียนกันไปแล้ว อาจารย์ก็เริ่มเข้าสู่หมวด ‘สิ่งของ’ โดยอาจารย์จะเปิดให้พวกเราดูทีละคำว่ามีคำไหนบ้าง ซึ่งพวกเราก็สามารถดูคำที่ต้องเรียนได้จากในหนังสือ และมันก็มีภาพประกอบ แต่สำหรับมือใหม่อย่างเรา ต่อให้มีรูปก็ทำความเข้าใจได้ยาก
อาจารย์กดเลื่อนสไลท์มายังคำแรก จากนั้นท่านก็เริ่มบรรยายท่าทางให้เราเข้าใจ ว่าท่าทางแบบนี้ ในภาษามือไทยมันหมายความว่า ‘กบเหลาดินสอ’ นักศึกษาทั้งคลาสจึงเริ่มทำตามที่ท่านสอน โดยการยกมือข้างซ้ายทำท่าเหมือนกับจับอะไรสักอย่าง ส่วนข้างขวาก็ทำเหมือนกำลังหมุนอะไรสักอย่าง ซึ่งท่าทางแบบนั้นมันก็คล้ายกับตอนที่เรากำลังเหลาดินสอโดยใช้กบเหลาขนาดใหญ่

“ตีกันไปหมด งงเด้! งงเด้!” พออาจารย์ปล่อยพัก ไอ้คินก็เดินออกมาจากห้องพร้อมพวกผม จากนั้นมันก็บ่นอย่างระบายอารมณ์พลางขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด สภาพของมันในตอนนี้ เลยคล้ายกับคนเพิ่งตื่นนอนแล้วไม่ยอมหวีผม เห็นอย่างนั้น ผมจึงหันไปพยักหน้ากับไอ้คิน เพราะเราเองก็ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ไม่ต่างกัน

“เอาน่า พวกมึง สู้ๆสิวะ” ไอ้หมอกตบบ่าของผมกับไอ้คินสักแปะสองแปะ
“ยากว่ะ วิชานี้กูจนมุมตลอด” ไอ้คินยังคงบ่นกระปอดกระแปด ส่วนผมก็พยักหน้าสำทับอย่างรวดเร็ว

แต่ท้ายที่สุด เราก็มีเวลาบ่นและพักหายใจหายคอกับวิชาหินๆ ได้ไม่นาน ก็ต้องเข้าเรียนอีกแล้วครับ และคราวนี้พวกผมก็ต้องใช้สมาธิให้มากขึ้น เพราะกว่าจะหมดคาบ ท้องก็ร้องแล้วร้องอีก
เพราะเวลาหิว มันเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่องนี่หว่า..   

“กินไร?” พอเลิกเรียน คำแรกที่ออกมาจากปากไอ้หมอก ก็ไม่พ้นเรื่องปากเรื่องท้อง
‘กูอยากกินสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมา’ ผมพิมพ์ข้อความบอกไอ้เพื่อนสองตัว

“ไอ้รันมึงพูดผิดพูดใหม่ได้นะ” ไอ้หมอกมันย้อน
“…” ผมเลิกคิ้ว พลางทำหน้างง ขณะที่มือก็กำสายกระเป๋าที่สะพายพาดไหล่ไว้แน่น พร้อมกับเดินลงบันไดทีละก้าว

“มึงอยากบลูเลม่อนหรือสปาเก็ตตี้ เอาดีๆ ?”
“...” ผมฉีกยิ้มเป็นคำตอบ เท่านั้นพวกมันก็รู้แล้วว่าเป้าหมายของผมคืออะไร

“มันเขี้ยวมึงว่ะ” ไอ้หมอกมันว่า พลางขยี้หัวผมจนยุ่งไปหมด
“มึงอย่าไปทำตัวแบบนี้ใส่ใครนะเว้ย” ไอ้คินมันว่า พลางเดินกอดคอผมที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกมัน

“…” ผมหันไปมองมัน เพราะอยากจะถามว่าทำไม
“ก็มึงทำแล้วน่าเกลียด เดี๋ยวคนอื่นเขาจะกลัวมึงซะก่อน” หลังจากนั้นไอ้หมอกมันก็รีบเสนอหน้าตอบขึ้นมาทันที ผมเลยหันไปแยกเขี้ยวใส่มันซะ ไม่รู้ว่ามันเป็นโรคบ้าอะไร ชอบหาเรื่องผมอยู่เรื่อย

เมื่อเดินมาจนถึงลานจอดรถจักรยาน ผมก็ยืนกอดอกมองไอ้สองเพื่อนซี้มันถอยรถ กระทั่งเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมถึงได้ตั้งท่าจะซ้อนท้ายไอ้เพื่อนรักคู่อาฆาต
“อ๊ะ” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อผมเกือบจะหน้าคะมำ เพราะไอ้หมอกมันแกล้งไสจักรยานไปข้างหน้า ทำให้ผมก้าวพลาด
ดีนะกูหน้าไม่ทิ่มพื้นน่ะ

“ฮ่าๆ ขึ้นมาเร็วๆ กูไม่แกล้งมึงละ” ไอ้หมอกมันหันมายิ้มกวนตีนให้ แถมยังหัวเราะใส่ผมอีก จากนั้นมันก็กวักมือเรียกให้ผมมาซ้อนท้าย แต่ขอโทษที กูงอนแม่งละ ไปซ้อนท้ายไอ้คินดีกว่า สบายใจดี
“งอนเหรอมึง?” พอไอ้คินมันเริ่มปั่นจักรยานออกจากเขตรั้วคณะศิลปศาสตร์ ไอ้หมอกแม่งก็รีบปั่นเข้ามาใกล้แล้ววอแวไม่เลิก

“งอนไมหว้า ดีกันเห๊อะ” ไอ้หมอกมันทำเสียงตะแง้วๆ เหมือนลูกแมว แต่ไม่ได้น่ารักเลยสักนิด ติดจะน่าถีบด้วยซ้ำ
“ไอ้สัส เดี๋ยวล้ม!” ไอ้คินถึงกับว๊ากขึ้นมาทันที เมื่อไอ้หมอกมันเอาขามาเตะๆ พวกผมจนรถส่ายไปส่ายมา ส่วนผมก็รีบคว้าชายเสื้อของไอ้คินเอาไว้แน่นเพื่อความปลอดภัย

“ฮ่าๆ สนุกอ่ะเด้!” ไอ้หมอกยังคงเล่นกวนตีนไม่เลิก แต่ก็ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาจนได้
“สนุกบ้านมึงดิ ไอ้รันมึงรีบถีบแม่งคืนเลย!” พอไอ้คินมันหันมาบอก ผมก็เลยจัดให้ ไอ้หมอกแม่งก็โวยวายสลับกับหัวเราะใหญ่

“เหนื่อย ไอ้สัส พอ!” ไอ้คินมันว่า พลางจอดรถข้างทาง ก่อนจะหอบแฮ่กๆ
“เออ!” ไอ้หมอกมันตอบตกลง พร้อมกับหอบแฮ่กพอกัน จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่สบายสุด

“สบายเลยนะมึงน่ะ”
“…” ผมทำหน้ามุ่ย เมื่อไอ้หมอกและไอ้คิน มันหันมารวมหัวกันขยี้หัวจนเส้นผมงี้กระจาย!

 วันนี้เรามีเรียนทั้งวัน ครึ่งบ่ายเป็นคลาสบรรยาย ก็เรียนบ้างหลับบ้างตามประสา เพราะคลาสนี้เป็นวิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนรวมกับนักศึกษาต่างสาขา หรือบางทีก็อาจจะต่างคณะด้วย แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรนะ ต้องบอกก่อนว่า สังคมเล็กๆ เริ่มทำให้ผมมองโลกในแง่ที่ดีขึ้น จนเริ่มมองข้ามอดีตต่างๆ ไป เพราะอย่างน้อย ในโลกที่มันเริ่มกว้างใหญ่ ผมก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่คิด..
แต่จะว่าไปก็เสียดายเหมือนกัน ที่วิชาเรียนรวม เพื่อนๆที่ไม่มีการได้ยินจะถูกจับแยกไปไว้อีกคลาส

“ไอ้รัน ไอ้ห่านี่ นั่งลงเด้ กูเกร็ง!” หลังเลิกเรียน ไอ้หมอกมันอยากปั่นจักรยานเล่นรอบมหาลัย ผมที่ซ้อนท้ายมัน จู่ๆ ก็นึกสนุกลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ขณะที่ฝ่ามือทั้งสองข้างก็วางเอาไว้บนไหล่ของไอ้หมอก
“…” ผมดื้อ ดื้อกว่าที่ใครคิด เพราะฉะนั้นเวลานี้ผมจึงไม่ฟังที่ไอ้หมอกมันโวยวาย
นี่ถ้าผมพูดได้ ป่านนี้ผมคงหัวเราะจนเสียงดังลั่นไปแล้ว

“ไอ้เชี่ยนี่ ดื้อกว่าที่กูคิดไปอีก” ไอ้หมอกมันบ่น จากนั้นมันก็เริ่มปั่นให้ช้าลง ท่าทางจะเกร็งจริง ผมก็เลยนั่งซ้อนท้ายมันดีๆ มันถึงได้เริ่มผ่อนคลายขึ้น

แต่ก่อนเนี่ย ผมไม่ใช่คนสดใสอะไรแบบนี้หรอก วันๆแทบจะไม่เคยหัวเราะ ยิ่งเวลาอยู่โรงเรียน ผมจะยิ่งเก็บตัว เพราะผมเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ก็เพราะไอ้หัวโจกของห้องน่ะแหละ มันชอบล้อว่าผมเป็น ‘ไอ้ใบ้’ ทำให้ผมมีอคติต่อเพื่อนคนอื่นๆ ไปด้วย แต่พอมาอยู่ที่นี่ เพื่อนๆ ทุกคนไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแปลกแยก ผมก็เลยยิ้มและหัวเราะได้แบบที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

จุดเริ่มต้นที่บกพร่องของผม มันเริ่มจากวันที่พ่อกับแม่พาผมไปนั่งชิงช้าสวรรค์ แถมยังแจ๊คพ็อตเจอชิงช้ามันค้างอยู่ตรงจุดสูงสุด ผมงี้กลัวจนหัวหด ร้องไห้และกรีดร้องจนแทบจะหมดแรง พ่อกับแม่ก็เลยทั้งดุทั้งปลอบแกมขู่ไม่ให้ส่งเสียง ว่าถ้าผมยังเอาแต่ดิ้นและกรีดร้องอยู่แบบนี้ บางทีเราอาจจะล่วงลงไปข้างล่างกันหมด
จากนั้นมาผมก็พูดไม่ได้อีกเลย แถมยังดื้อไม่ยอมไปรักษาด้วย

จำได้ว่าตอนเกิดเรื่องผมน่าจะอายุประมาณ 4 ขวบ และเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคกลัวความสูง เหตุการณ์แบบนั้นมันจึงเป็นเรื่องราวอันแสนโหดร้าย ที่พอเล่าให้ใครฟังแล้ว พวกเขาต่างก็หาว่าผมน่ะกลัวอะไรไม่เข้าท่า ซึ่งพวกเขาคงจะลืมไปว่า แต่ละคนน่ะ มีความหวาดกลัวไม่เท่ากัน อีกทั้งวุฒิภาวะในตอนนั้นก็นับได้ว่าผมยังเด็กมากๆ
ลองว่าเรื่องเกิดขึ้นในตอนนี้สิ ผมคงไม่กลัวจนพูดไม่ได้หรอก

“กูเจ็บไอ้เชี่ยรัน ปล่อยกู กูผิดไปแล้ววว!” ไอ้หมอกโวยวายยกใหญ่ จนผมเริ่มรู้สึกตัวว่าเมื่อกี้ ผมแอบลงไม้ลงมือกับมันเพราะเผลอไปนึกถึงเรื่องในอดีตที่ไม่ค่อยจะโอเคนัก
“…” ผมรีบไล่ความคิดหม่นๆของตัวเอง แล้วก็เอื้อมมือไปยีหัวไอ้หมอกจนอีกฝ่ายโวยวายออกมาอีกคำรบใหญ่ จากนั้นเราก็ตกลงกันว่าจะฝากท้องไว้ที่โรงอาหารก่อนจะกลับหอพักในเวลาต่อมา

“มึงอาบก่อนเลย กูจะส่องเฟซก่อน” พอไอ้หมอกมันได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก มันก็ชะโงกหน้าลงมาจากเตียงชั้นสอง ผมก็เลยต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะหนังสือที่อยู่ใต้เตียง เพื่อขยับมาเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบสัมภาระไปอาบน้ำ เพราะไอ้พวกนี้มันไม่ชอบให้ผมออกมาแต่งตัวข้างนอก มันบอกว่าอุจาดลูกตา แต่ทีพวกมันนะ เดินแก้ผ้าโทงๆอยู่ในห้องก็ได้
โคตรไม่ยุติธรรม ลำบากลำบนกูอีก

พออาบน้ำเสร็จ ผมก็รีบแต่งตัวแล้วเอาผ้าขนหนูพาดบ่า ก่อนจะหยิบสัมภาระตัวเก่าออกมาโยนใส่ตระกร้าข้างๆเตียง จากนั้นก็เริ่มเช็ดผมอย่างจริงๆ จังๆ พอไอ้หมอกมันลุกไปอาบน้ำ ไอ้คินก็เป่าไดร์ฟให้หัวตัวเองแห้งพอดี ทีนี้มันก็กวักมือเรียกผม
“…” ผมส่ายหน้า เพราะไม่ชอบเป่าไดร์ฟ ก็มันร้อนจนแสบหนังหัวนี่หว่า ปล่อยให้มันแห้งเองตามธรรมชาติก็ดีจะตาย

“ดื้อตลอดอ่ะมึง นอนทั้งหัวชื้นๆ ใช้ได้ที่ไหนวะ” ไอ้คินมันบ่นอย่างไม่ยอมแพ้ จากนั้นมันก็ดึงปลั๊กออกจากเต้าเสียบตรงโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง แล้วก็ย้ายมาเสียบที่โต๊ะเขียนหนังสือของผม ก่อนจะลงมือเป่าผมอย่างไม่สนใจฟังคำทัดทานใดๆ

ไอ้พวกห่านี่ แม่งต้องแอบไปเป็นลูกน้องของคุณนายแม่แน่ๆ ซึ่งผมก็เข้าใจอยู่หรอกว่าคนประเภทที่ไม่สมบูรณ์แบบอย่างผมน่ะ ต้องเอาใจใส่ดูแลกันเป็นพิเศษ
แต่แบบนี้มันก็พิเศษเกินไปนิด จนกูจะกลายเป็นง่อยอยู่แล้ว!

ผมเคยถามพวกมันนะ ว่าทำไมถึงต้องมาทำดีกับผมจนเกินหน้าเกินตาขนาดนี้ พวกมันก็เลยให้คำตอบมาว่า ผมน่ะ เหมือนเป็นทั้งน้อง ทั้งเพื่อน พวกมันก็เลยต้องดูแล อีกทั้งสาขาของเรายังสอนให้เพื่อน พี่ น้อง คอยดูแลกันและกันให้ดี โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีความบกพร่องอะไร จะต้องคอยดูแลเอาใจใส่กลุ่มคนที่มีความบกพร่องไม่ให้พวกเขารู้สึกแปลกแยก พูดง่ายๆก็คือพวกเขาจะต้องคอยเป็นหลักยึดให้กับคนที่ขาด ดังนั้นในแต่ละห้องพักจึงมีนักศึกษาที่มีความบกพร่อง 2 คนต่อคนที่ไม่มีความบกพร่อง 1 คน

“เชี่ยหมอก มึงนี่ก็อีกคน มานี่เลย อย่าเพิ่งไปนอน มาเป่าผมก่อนสิไอ้สัส”

----------------------
แก้คำผิด 27/01/2018 หมั่นเขี้ยว > มันเขี้ยว
เราจะลงให้ 3 ตอนรวดเลยนะคะ เพราะเราจะไปต่างจังหวัด เลยจะลงไว้ให้อ่านก่อน เพราะตั้งใจว่าจะลงวันละตอนจนจบเรื่อง
ส่วนภาษามือคำไหนที่เราบรรยายแล้วนึกภาพไม่ออก ทิ้งข้อความไว้ก็ได้ค่ะ เราจะได้เอาคลิปวิดิโอมาแปะให้ดู
สำหรับเหตุผลที่รันพูดไม่ได้ อันนี้เราหาข้อมูลมา มันเคยเกิดขึ้นจริง ถึงแม้เหตุผลมันจะดูเล็กน้อย แต่สำหรับคนทีเจอไม่ถือว่าเล็กน้อยเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 18:18:30 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 4 [up 20/10/2017]
«ตอบ #8 เมื่อ20-10-2017 12:42:29 »

♥ Fall in you ♥
-ตอน 4-


‘ผมว่าจะถามหลายทีแล้ว ทำไมพี่มากินข้าวเช้าคนเดียวตลอดเลย?’ ผมพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์มือถือ แล้วส่งให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จาได้อ่าน
“แล้วมึงล่ะ ?” พี่อาคเนย์ไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม

‘เพื่อนผมมันไม่กินข้าวเช้า มันบอกเสียเวลานอน’
“ฝั่งนี้ก็เหมือนกัน” พี่อาคเนย์ตอบแล้วก็ยกยิ้ม ผมเลยส่งยิ้มกลับไปก่อนจะก้มหน้าก้มตากินมื้อเช้าบ้าง

จะว่าไปอาทิตย์นี้ เกือบจะทั้งอาทิตย์แล้วนะ ที่ผมบังเอิญเจอพี่อาคเนย์ตอนแปดโมงเช้าที่โรงอาหาร แล้วไปๆ มาๆ เราสองคนก็มานั่งกินข้าวเช้าด้วยกันตลอด
“ไหนๆ ก็เจอกันทุกวันละ แลกไลน์กันมั้ย ใครมาถึงก่อนจะได้เป็นคนสั่งข้าว” พี่อาคเนย์เสนอความเห็น

“…” ผมพยักหน้ารัวอย่างเห็นด้วย เพราะวันนี้ผมมาสายไปครึ่งชั่วโมง แถมยังต้องเสียเวลาไปต่อคิวซื้อข้าวอีก วันนี้ก็แอบคิดว่าจะต้องนั่งกินข้าวคนเดียวแล้ว แต่บังเอิญพี่เขาดันมาสายกว่า ก็เลยรีบตามมาสมทบที่โต๊ะตัวเดิม มุมเดิมของโรงอาหารกลาง

“ยิ้มไร?” พี่อาคเนย์ถามเสียงแข็ง เมื่อเราต่างก็มีไลน์ของกันและกันแล้ว แต่ผมก็ยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตายิ้มกับโทรศัพท์ แต่พอพี่เขาทัก ผมก็รีบกลั้นยิ้มทันที
ก็ดูสิ ผู้ชายตัวสูง ไหล่กว้าง หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาคมเฉี่ยว อีกทั้งจมูกยังโด่งเป็นสัน แถมผิวยังสีขาวออร่าซะขนาดนั้น แต่ดันมีชื่อเล่นจริงๆ ว่า ‘ฮ่องเต้’
ช่างไม่เหมาะกับพี่เขาเลย
เรียกพี่อาคเนย์ ยังจะเหมาะกว่าอีก

“เดี๋ยวกูเท ไม่เอามึงไปคณะด้วยซะเลยนี่ สายแล้วเนี่ย” รุ่นพี่ตรงหน้าว่าพลางลุกขึ้นยืน พร้อมหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ด้วยมือข้างนึง ส่วนอีกข้างก็ถือจานไปเก็บตรงภาชนะเก็บล้าง ผมก็เลยรีบสะพายกระเป๋าแล้วถือจานตามพี่เขาไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเราก็แยกกันตรงที่จอดรถคณะศิลปศาสตร์ จำได้ว่าก่อนลงจากรถ พี่เขาควานหาหนังสือจิตวิทยาที่เบาะหลัง จากนั้นก็ถือติดมือไปด้วย
และในวันนี้ ผมก็ได้รู้สักทีว่าพี่อาคเนย์เลือกเรียนสาขาอะไร..

“วันนี้กูแม่งโคตรขี้เกียจอ่ะ พูดตรงๆ” ไอ้หมอกบ่นกระปอดกระแปด หลังจากอาจารย์ปล่อยคลาส เพื่อให้เวลาพวกเราไปหาข้อมูลมาทำรายงานเรื่องสิทธิของเด็กหูหนวกที่จะเติบโตขึ้นเป็นเด็กที่ใช้ภาษาได้สองภาษา ซึ่งภาษาที่ว่าก็คือภาษาสำหรับคนหูหนวกหรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายก็คือภาษามือ และภาษาไทยในรูปแบบของภาษาเขียนและภาษาพูด
“กูงีบก่อนได้ป่ะ” ไอ้หมอกมันถามความเห็น ขณะที่ผมกำลังเดินนำหน้า ส่วนสายตาก็มองสอดส่องหาหมวดหมู่ของหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เป็นหัวข้อที่อาจารย์มอบให้

“เออ กูก็คิดว่างั้นว่ะ คนอื่นเขาเข้าวัดแล้วร้อน แต่กูเข้าห้องสมุดแล้วง่วง” ไอ้คินมันก็เห็นดีเห็นงามไปกับไอ้หมอกด้วย ผมจึงหันไปทำตาดุใส่พวกมัน แต่พวกมันก็หาได้กลัวไม่ แถมยังพากันเดินลัดเลาะชั้นหนังสือออกไปหามุมเพื่อหลับนอนอีกต่างหาก
นี่ถ้างานของมันไม่เสร็จ ผมจะหัวเราะสมน้ำหน้าให้สะใจเลย

พอเดินไปถึงหมวดหนังสือต่างประเทศ ผมก็นึกลังเลว่าจะเปลี่ยนแผนดีไหม แต่พอส่องไปส่องมาก็พบว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่ผมสามารถพบเจอเขาได้ทุกเช้าที่โรงอาหารคณะ และเราก็เคยกินข้าวด้วยกันหลายครั้ง แถมยังแลกไอดีไลน์กันแล้วด้วย ผมจึงย่อตัวลงนั่ง พลางเอาปลายนิ้วชี้จิ้มข้างแขนของรุ่นพี่ต่างสาขาเบาๆ เพื่อให้เขาขยับตัวไปนอนอีกด้านหนึ่ง ผมจะได้สะดวกในการหาหนังสือหนังหาที่ต้องการ

‘หลับสบายเลยนะครับ’ ผมยิ้มพลางส่งข้อความไปให้อีกคนอ่าน
“จะสบายกว่านี้ ถ้าไม่มีใครมาปลุกเนี่ย” พี่เขาทำหน้ามุ่ยพร้อมกับขยับไปนั่งชิดมุมด้านขวามือ ผมก็เลยอมยิ้มก่อนจะหันไปสนใจจุดประสงค์หลักของการมาห้องสมุดอีกครั้ง กระทั่งได้หนังสือเล่มที่ต้องการ ผมจึงเขย่งปลายเท้าให้สูงขึ้น ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มนั้นติดมือมาด้วย พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ รุ่นพี่ต่างสาขาอย่างถือวิสาสะ เพื่อควานหาเนื้อหาที่ตรงประเด็นให้ได้ ก่อนที่จะไปรวมกลุ่มกับเพื่อน

“เล่นใหญ่ ใช้หนังสือภาษาอังกฤษทำรายงานเลยเหรอมึง?” คนที่ผมคิดว่าน่าจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว จู่ๆ ก็ถามขึ้นหลังจากที่ผมนั่งปักหลักกลั่นกรองข้อมูลอยู่ข้างๆ
‘ครับ พอดีหมวดที่เป็นภาษาไทย เพื่อนๆไปออกันเยอะมาก ผมเลยไม่อยากเข้าไปเบียด’ ผมพิมพ์ตอบลงในแชท โดยที่อีกฝ่ายก็อ่านข้อความจากหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง จากนั้นบทสนทนาของเราก็จบลงแค่นั้น

“ขนตามึงแลยาวดีเนอะ”

เดดแอร์..
บอกได้คำเดียวว่า เดดแอร์!

ไอ้พี่อาคเนย์แม่งต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ อยู่ๆ ก็มานั่งพิจารณาขนตาผมเฉย เล่นเอาผมทำงานไม่รู้เรื่องไปเลย โชคดีที่พวกไอ้คินมันไลน์มาตาม ผมเลยถือโอกาสรีบแยกตัวกับอีกฝ่ายซะ
   
พอมาถึงโต๊ะที่ไอ้เพื่อนสองคนมันจับจอง ผมก็รีบก้มหน้าก้มตาแปลภาษาอังกฤษในเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ส่วนไอ้เพื่อนสองตัว มันก็นอนเอกเขนกอย่างสบายใจเฉิบ
“โห ไอ้เชี่ย มึงจะเมพไปไหน เล่นแปลเองเลยเหรอวะ โหดสาด” หลังจากไอ้คินมันชะโงกหน้ามาสอดส่องการทำงานของผม มันก็รีบอุทานออกมา พร้อมกับทำหน้าทำตาซะโอเว่อร์
 “เชรดดดด” ไอ้หมอกมันรีบเงยหน้าขึ้นจากข้างแขนของตัวเอง จากนั้นก็ชะโงกหน้ามาดูเนื้อหาที่ผมจะใช้ประกอบงานที่อาจารย์สั่ง

‘กูไม่ได้เก่ง กูแค่ขี้เกียจไปแย่งหนังสือกับเพื่อนคนอื่น แม่งวุ่นวายเกิน’ ผมเข้าสู่โหมดแชท แล้วพิมพ์ข้อความลงไปในกรุ๊ป
“เป็นการขี้เกียจที่ยิ่งใหญ่มาก ไอ้สัส ต่างกับกู ที่ขี้เกียจแล้วก็นอนแม่งเลย” ไอ้หมอกมันว่า พลางพยักหน้าหงึกหงัก ส่วนไอ้คินก็ยกนิ้วโป้งทำท่ากดไลท์อย่างเห็นด้วย ผมเลยขี้คร้านจะสนใจพวกมัน รีบหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ

พอนั่งทำงานเพลินๆ เผลอแป้ปเดียวก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ไอ้หมอกมันเลยทำท่าบิดขี้เกียจ ส่วนไอ้คินก็รีบเอาหนังสือไปเก็บที่ชั้นวางหนังสือ เพราะหลังจากที่มันนอนจนสาแก่ใจ ไอ้เพื่อนสองตัวมันก็รีบตั้งอกตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายขึ้นมาบ้าง 
“กูไปห้องน้ำแป๊ป พวกมึงก็รีบๆ เลย กูแม่งหิวสัสๆ” ไอ้หมอกมันหันมาบอกผมที่กำลังเก็บเครื่องเขียนลงในกระเป๋าเครื่องเขียน จากนั้นก็ลุกเอาหนังสือไปเก็บที่ชั้นวาง เนื่องจากผมแปลเนื้อหาที่ต้องการได้ครบถ้วนแล้ว เหลือแค่เรียบเรียงอีกนิดหน่อยก็น่าจะเสร็จ

เที่ยงนี้พวกเราตกลงจะไปกินร้านใกล้ๆ คณะ เนื่องจากมีเรียนในช่วงบ่าย อีกทั้งรสชาติอาหารก็ดีด้วย ที่สำคัญร้านนี้แอบเก๋นิดนึง ตรงที่มีช้อยส์ให้เลือกสั่งเป็นเมนูตามใจเชฟ เวลาสั่งก็ต้องเสี่ยงดวงกันหน่อยว่ามันจะเป็นเมนูไหน อร่อยหรือเปล่า แต่เท่าที่เคยสั่ง ก็ไม่เคยผิดหวังนะ

“เหมือนเดิม?” ทันทีที่ก้นแตะลงบนเก้าอี้ตรงมุมประจำ ไอ้หมอกก็หันมาถามความเห็น ผมกับไอ้คินเลยพยักหน้า
“เมนูตามใจเชฟเหมือนเดิมพี่ น้ำเปล่าสองขวด”

“นับวันอากาศยิ่งร้อนเหี้ยๆนะประเทศไทย” ไอ้คินเริ่มบ่นพลางขยับเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองไม่หยุด แถมร้านยังเป็นโอเพ่นแอร์แบบธรรมชาติอีกต่างหาก
“สุดๆ กูแม่งอยากจะโดดบ่อน้ำพุตรงหน้าทางเข้าคณะชิบ” ไอ้หมอกมันโอดครวญพลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
 ‘เอาดิ โดดเลยมึง’
“กวนนะมึงไอ้เตี้ย!” ไอ้หมอกที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับส่งมะเหงกมาเขกหัวผมแบบไม่ออมแรง

‘สาดดด เจ็บนะเว้ย’ ผมเบ้ปาก พลางก้มหน้าก้มตาพิมพ์เถียงกับไอ้เพื่อนซี้คู่อาฆาตราวกับเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน
“หราาาา” พอมันทำลอยหน้าลอยตา ผมก็ถึงกับชักสีหน้าใส่ไอ้หมอกอย่างเอาเรื่อง เพราะเวลามันกวนตีนทีไร เล่นเอาผมหงุดหงิดทุกที คิดแล้วก็เซ็ง ถ้าผมพูดได้นะ ป่านนี้ผมด่ามันเปิดเปิงไปแล้ว
เสียเปรียบชะมัด!

แต่แล้ว เราสองเพื่อนซี้ก็มีโอกาสเถียงกันเป็นเรื่องเป็นราวในแบบของตัวเองได้ไม่นาน อาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ พวกผมก็พากันชื่นชมเมนูที่เขานำเสิร์ฟ ที่มีทั้งข้าวอบสับปะรด ข้าวหมูก้อนทอดไข่เจียว โรตีแกงเขียวหวาน
“แย่งกู” ไอ้หมอกทำหน้างอ เมื่อผมเอื้อมมือไปหยิบข้าวอบสับปะรด เรื่องของเรื่อง มันเป็นเมนูที่เราสามคนยังไม่เคยสั่ง และไม่แน่ว่าเมนูนี้อาจจะเป็นเมนูลับของร้านก็ได้

“…” ผมยักไหล่ และตั้งท่าจะกินให้หนำใจ แต่ปรากฏว่าโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ครัว กำลังถามหาเมนูข้าวอบสับปะรด เพราะว่ากลุ่มของเขาได้สั่งล่วงหน้าไว้แล้ว
คงจะเป็นลูกค้าประจำล่ะมั้งน่ะ..

“เมื่อกี้มึงเอาไปเสิร์ฟโต๊ะไหนวะนั่น?” พี่เจ้าของร้านรีบหันไปถามพนักงานเสิร์ฟ ส่วนไอ้เด็กนั่นก็เกาหัวงงๆ พลางกวาดตามองไปรอบๆ ร้าน ก่อนจะหยุดลงที่โต๊ะของผม ขณะที่ลูกค้าคนดังกล่าวก็ค่อยๆ หันหน้ามาทางนี้ด้วย
อ่า.. พี่อาคเนย์ หรือพี่ฮ่องเต้นี่เอง..

“เพื่อนผมมันยังไม่ได้กิน พี่จะเอาคืนไปก็ได้นะ?” ผมเอาเท้าสะกิดไอ้หมอก จนมันเงยหน้าขึ้นจากข้าวหมูก้อนทอดไข่เจียว แต่ก็ไม่ได้เข้าใจเอาซะเลยว่าผมต้องการอะไร ผมเลยต้องเอาเท้าเตะขามันอีกรอบ มันถึงได้ตะโกนบอกรุ่นพี่ต่างสาขาให้ผม
“ไม่เป็นไร แลกเมนูกันก็ได้” พี่เขาว่าอย่างนั้น แล้วก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมก็เลยก้มหน้าก้มตาทานเมนูของเขาต่อ
แต่จะว่าไป เมนูนี้ก็อร่อยดีนะ..

หลังเลิกเรียนไอ้หมอกไอ้คินมันชวนผมปั่นจักรยานรอบมหาลัยเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้พวกมันมีเป้าหมายใหม่ มันบอกว่ามันอยากจะแวะไปให้อาหารปลาที่คณะดุริยางคศาสตร์ พร้อมกับนั่งชิวๆฟังเขาซักซ้อมวงดุริยางค์ที่แอบเปิดหน้าต่างแง้มๆไว้ จากนั้นก็ค่อยไปหาอะไรกินตรงร้านหมูย่างหน้ามหาลัย

“มึงรู้ป่ะ ทำไมกูถึงเลือกเรียนสาขานี้ ?” ไอ้คินมันโยนอาหารปลาลงในบ่อ ก่อนจะหันมาตั้งคำถามใส่พวกผมสองคน
“กูจะรู้มึงเรอะ ได้ข่าวว่าเราเพิ่งรู้จักกันมั้ยมึง” ไอ้หมอกรีบย้อนความทันควัน

“กูอ่ะ เห็นอาจารย์ทำหน้าที่ล่ามภาษามือในกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ แล้วคิดว่าโคตรเท่ แถมยังทำประโยชน์ให้สังคมด้วยนะเว้ย กูเลยตัดสินใจเลือกเรียน” ไอ้คินมันตอบพลางยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจกับการตัดสินใจของมัน
“ส่วนกู เลือกเรียนสาขานี้เพราะมันให้ประโยชน์กับคนประเภทกูว่ะ อีกอย่างกูซื้อความสบายใจของตัวเองด้วย คือมันก็อดกลัวไม่ได้นะเว้ย ว่ากูที่เป็นแบบนี้จะไปเรียนสาขาอื่น คณะอื่นแล้วจะได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ กับรุ่นพี่แบบนี้มั้ย เพราะกูน่ะ ถ้าถอดเครื่องช่วยฟังซะ ก็จบเห่” ไอ้หมอกมันพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ ผมเลยตบไหล่มันเบาๆ ในสถานะคนหัวอกเดียวกัน

“อืม กูเข้าใจ”
‘กูเองก็คิดเหมือนไอ้หมอกนะ ยิ่งตอนเด็กกูเคยถูกเพื่อนเอาเรื่องที่กูพูดไม่ได้มาล้อเลียน กูเลยยิ่งมีอคติกับคนไร้ข้อบกพร่องไปใหญ่ แถมพอตอนแม่งรู้สาเหตุที่ทำให้กูพูดไม่ได้นะ แม่งก็หาว่ากูไร้สาระ ไอ้สัสเอ้ย ถ้าพวกแม่งมาเป็นกู แม่งจะไม่คิดว่ามันไร้สาระเลย’

“ยังไงวะ?” ไอ้คินมันย้อนถาม ทำเอาผมชะงักขึ้นมาทันที
“ถ้ามึงไม่สะดวกจะเปิดใจเล่า ก็ไม่ต้องเล่าแม่ง” ไอ้หมอกมันว่าพลางบีบไหล่ผมที่นั่งอยู่ระหว่างกลางพวกมัน

“หาไรแดกกันเหอะว่ะ ทิ้งเรื่องดราม่าไว้แม่งตรงนี้แหละ ต่อไปพวกมึงจะมีแต่ความสุข เชื่อกู!” ไอ้คินมันลุกขึ้นยืนพลางยีหัวผมกับไอ้หมอกคนละที พวกผมก็เลยยกยิ้มให้มันแทนคำสัญญา ก่อนจะเดินตามไอ้เพื่อนตัวสูงที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงนำหน้าออกไปยังลานจอดรถของคณะดุริยางคศาสตร์ จึงทำให้พวกเราค่อยๆมองเห็นรูปทรงของตัวอาคารที่ประดับด้วยโน้ตดนตรีหลากประเภท

พวกเราจัดการคืนจักรยานที่ประตูหน้ามอ ก่อนจะข้ามสะพานลอยเพื่อข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม เดินเรียบข้างทางไปอีกหน่อยก็เจอกับร้านหมูย่างสไตล์เกาหลี แต่พวกเราจะเปรี้ยวสั่งแต่เนื้อย่างมาแดกให้พุงกาง
“เฮ้ย บังเอิญว่ะ รวมโต๊ะกันเลยมั้ยพวกมึง?” หลังจากทักทายพวกพี่ทีมกับพี่อาคเนย์เรียบร้อยแล้ว พี่ทีมก็รีบกดดันชักชวนพวกเราทันที เพราะพนักงานกำลังรอคอยคำตอบจากเราอยู่

“โอเคพี่ เลี้ยงด้วยนะ” ไอ้คินมันว่า พลางยักคิ้วให้รุ่นพี่สายรหัสของตัวเอง
“แดกตีนกูนี่ รอบนี้หารกันครับมึง” พี่ทีมว่าพลางลากคอไอ้คินให้เดินตามพนักงานไปพร้อมแก

ผมปล่อยหน้าที่การสั่งอาหารให้คนอื่นๆ ส่วนตัวเองก็พิมพ์แชทไปบอกแม่ว่ากำลังจะกินมื้อเย็น จากนั้นก็นั่งไถโทรศัพท์เงียบๆ คนเดียว ซึ่งแอปพลิเคชันที่ผมเข้าไปส่องนั่นส่องนี่บ่อยที่สุดก็เห็นจะเป็นทวิตเตอร์นี่แหละครับ ความบันเทิงหลากหลายดี แถมบ่นคนเดียวก็ไม่มีใครมาว่าแดกด้วย
‘วันนี้นึกยังไงมากินซะไกล?’ หลังจากนั้นพี่อาคเนย์ก็ทักมา ผมเลยเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แวบนึง จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ตอบอีกฝ่าย

‘คนเรามันก็ต้องมีอารมณ์อยากเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนเมนูกันบ้างสิครับ ใจคอพี่จะให้พวกผมฝากท้องกับโรงอาหารอย่างเดียวเลย?’ ประโยคอันยาวเหยียดถูกส่งออกไปภายในเวลาไม่กี่อึดใจ เพราะผมเป็นเซียนเรื่องการพิมพ์ อีกทั้งผมก็เปิดใจในการพูดคุยกับรุ่นพี่ตรงหน้าแล้ว ตั้งแต่รับรู้ว่าพี่เขาไปแอบเรียนภาษามือจนแทบจะเป็นมือโปรอยู่แล้ว

‘เออ’
‘ว่าแต่แถวนี้มีคาเฟ่ที่ทำบลูเลม่อนอร่อยๆอีกหรือเปล่าครับ’

‘ก็มีนะ เดินลงจากสะพานลอยก็เจอเลย ร้านขึ้นชื่ออยู่ ไอ้บอสถึงกับตกเป็นทาส’
‘ถ้าพี่บอสถึงกับตกเป็นทาส แสดงว่าผมก็ไม่น่าจะรอด’ หลังจากพิมพ์เสร็จผมก็เงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ซึ่งพี่เขาก็ส่งยิ้มบางๆมาให้ ผมจึงยิ้มตอบ

‘ว่าแต่พี่ใช้เวลาเรียนภาษามือนานมั้ยครับ คือพี่ดูคล่องมาก’
‘ถ้าเอาแบบจริงๆจังๆก็ช่วงเข้ามหาลัยนี่แหละ อาศัยความรู้จากไอ้ทีม ไอ้บอสน่ะ ไม่งั้นเกิดพวกแม่งได้รวมหัวกันด่า กูก็ตายพอดี’

‘ไว้มึงคล่องภาษามือเมื่อไหร่ มาลองภูมิกับกูนี่’
‘ได้เลยครับพี่ฮ่องเต้’ ผมเงยหน้าพลางยักคิ้วรับคำท้า ส่วนอีกฝ่ายก็ทำถลึงตาใส่ เพราะผมดันเรียกชื่อต้องห้ามเข้าให้ แต่จากนั้นบทสนทนาของพวกเราก็จำต้องหยุดลง เมื่อคนอื่นๆ เริ่มงัดหัวข้อมาพูดคุยกันเพื่อสร้างความสนิทสนม ซึ่งผมกับพี่บอสก็ได้แต่ยิ้มรับบ้าง พยักหน้าตอบบ้าง กระทั่งอาหารเย็นของพวกเราเริ่มพร่องได้ช้าลง จึงพากันฝืนกินให้หมดจนท้องแทบแตก ก่อนจะแยกย้ายกันที่หน้าร้านเหมือนเดิม เพราะหอพักของรุ่นพี่ทั้งสามอยู่ตรงซอยถัดจากร้านหมูย่างนี่เอง

“ไว้เจอกันพี่”
“เออ”

ติ้ง!

ผมเปิดกระเป๋าเป้ พลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ขณะที่สองขาก็ก้าวเดินตามการนำทางของไอ้เพื่อนทั้งสองคนที่กำลังมุ่งตรงไปยังสะพานลอยที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรานัก

‘พรุ่งนี้จะกินอะไร?’
‘พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียนครับ พี่ไม่ต้องสั่งเผื่อผมก็ได้’

‘เออว่ะ พรุ่งนี้วันพฤหัสนี่หว่า กูก็ลืมไปเลย’
‘อะไรกันพี่ ยังไม่ทันจะแก่เลย ขี้ลืมซะแล้วเหรอ’

‘วอนละมึง มะเหงกนี่’
‘กูถึงหอละ บาย’

ผมยังไม่ทันได้พิมพ์ต่อล้อต่อเถียงอะไรกลับไป อีกฝ่ายก็รีบชิ่งหนีซะแล้ว ผมเลยได้แต่เก็บเครื่องมือสื่อสารลงในกระเป๋าใบโปรด ก่อนจะค้นพบว่าตัวเองเอาแต่อมยิ้มจนปวดแก้มไปหมด

--------------------------------------
27/01/2018 แอพพลิเคชัน > แอปพลิเคชัน
คุณอาคเนย์ค่าตัวไม่แพงแล้วนะคะ 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 18:24:38 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 5 [up 20/10/2017]
«ตอบ #9 เมื่อ20-10-2017 12:48:55 »

♥ Fall in you ♥
-ตอน 5-



เนื่องจากวันนี้ผมไม่มีเรียนจึงตื่นสายกว่าปกติอยู่หลายชั่วโมง เรียกได้ว่ามื้อเช้าไม่ต้องกิน มากินมื้อเที่ยงแม่งเลย เพราะอีกชั่วโมงเดียวก็จะเที่ยงแล้ว ด้วยความที่วันนี้ว่างจัด จะอยู่แต่ที่หอก็น่าเบื่อ ผมเลยหอบงานมาทำที่ห้องสมุด ส่วนไอ้เพื่อนสองตัวมันขอบาย เพราะห้องสมุดกับมันไม่ค่อยถูกโฉลกกันเท่าไหร่

ติ้ง!

ผมเปิดกระเป๋าสะพายพลางควานหาโทรศัพท์โดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่าใครเป็นต้นเหตุผมก็รีบสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปยังแอปพลิเคชันอันคุ้นเคย ก็พบว่าพี่ฮ่องเต้ส่งข้อความเสียงมาให้ โชคดีที่ผมยังเดินไปไม่ถึงห้องสมุดก็เลยสามารถเปิดฟังได้อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร
   
‘เสียงเปิดหนังสือ ?’ ผมขมวดคิ้ว พลางพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

‘เยส ให้ทาย กูอยู่ไหน?’
‘ก็ต้องห้องเรียนสิครับ เพราะมีเสียงอาจารย์แว่วเข้ามาด้วย’

‘เก่งใช้ได้ แล้วมึงล่ะอยู่ที่ไหน’ พออีกฝ่ายย้อนถาม ผมก็รีบทำแบบเดียวกัน โดยการอัดเสียงรอบด้านส่งไปให้
‘มีเสียงนกร้อง มีเสียงรถวิ่ง แสดงว่ามึงกำลังอยู่ริมถนนในมอ’

‘ครับ’ ผมส่งข้อความตอบโต้อีกฝ่ายไม่ถึงนาที พี่เขาก็ส่งข้อความเสียงกลับมาอีกครั้ง
‘เสียงเก้าอี้.. พี่กำลังจะเลิกเรียน ?’

‘เก่งนี่’ พออีกฝ่ายออกปากชม ผมก็เริ่มอัดเสียงรอบข้าง ก่อนจะส่งไปให้พี่เขาทายอีกหน
‘ตอนนี้มึงอยู่ป่าช้าเหรอ ทำไมถึงเงียบสนิทขนาดนั้น’ ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมาทันทีที่อ่านข้อความของอีกฝ่ายจบ

‘จะบ้าเหรอครับ นั่นก็ขั้นแอดวานซ์เกิน ห้องสมุดก็พอครับ’
‘อื้อ งั้นกูไปหาข้าวกินก่อน’

‘ครับ’

ว่าแต่..
บทสนทนาระหว่างเราก็จบลงไปแล้ว แต่รอยยิ้มของผม ทำไมมันถึงไม่จบลงไปด้วย?

พอเคลียร์งานจนเสร็จ ผมก็ปลีกวิเวกอีกครั้ง โดยครั้งนี้ผมเลือกที่จะยืมจักรยานมาปั่น เพราะตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะไปนั่งเล่นที่ริมทะเลสาบเล็กๆแถวหอประชุมที่เพิ่งสร้างใหม่ เพราะอากาศเย็นๆแบบนี้มันช่วยจรรโลงให้มีอารมณ์อยากจะทบทวนภาษามือขึ้นมา
กระทั่งได้ที่จอดรถผมก็เดินตัวเปล่าไปนั่งรับลม เพราะตั้งใจว่าจะเปิดคลิปสอนภาษามือแล้วทำท่าทางตามในคลิปเอา ซึ่งรอบๆบริเวณต่างก็เต็มไปด้วยนักศึกษาที่พากันมานั่งจับกลุ่มพูดคุยหรือปิกนิกกัน แซมด้วยบุคคลภายนอกประมาณหยิบมือหนึ่งในบริเวณนี้ แต่ถ้าหากมองออกไปตรงถนนจะเห็นบุคคลภายนอกมาออกกำลังกายกันเยอะมาก
คำแรกที่ผมเริ่มทบทวนในหมวดสิ่งของ ก็คือคำว่า ‘กาว’ โดยผมยกมือทำท่าจับจีบเหมือนรำไทยทั้งสองข้าง และหันตรงส่วนจีบเข้าหากัน พร้อมกับขยับนิ้วชี้ขึ้นลงสองครั้ง จากนั้นก็เปิดคลิปเพื่อดูเฉลย พอตอบถูก ผมก็เริ่มทายคำต่อไปทันที
ผมยกแขนซ้ายขึ้นตั้งฉากโดยหันท้องแขนเข้าหาตัว พลางกำมือไว้หลวมๆ ส่วนมือขวาก็ทำเหมือนผมกำลังบรรเลงปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ด จากนั้นก็กดดูเฉลยของคำว่า ‘คอมพิวเตอร์’ อีกหน
ซึ่งครั้งนี้ผมก็ตอบถูกอีกเช่นเคย

การทบทวนบทเรียนของผมยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดง เพราะดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ผมจึงถือโอกาสนั้นพักจากตำราเรียน เพื่อค่อยๆมองความเปลี่ยนไปของธรรมชาติตรงหน้า กว่าจะรู้ตัว บริเวณรอบๆกายก็เริ่มถูกชดเชยด้วยแสงสว่างที่มนุษย์เป็นผู้ควบคุม

ติ้ง!

‘มึงอยู่ไหน แดกข้าวยัง?’ ไอ้คินทักมาอย่างตรงเวลา เพราะปกติเราจะทานมื้อเย็นกันเวลาที่ฟ้ามืดสนิท
‘ริมทะเลสาบ สั่งข้าวผัดต้มยำให้กูหน่อย’

‘กูว่าจะออกไปกินนอกมอว่ะ’
‘งั้นมึงก็ไปกินกับไอ้หมอกแล้วกัน กูอยากกินข้าวผัดต้มยำว่ะ’ ผมเดินไปยังลานจอดรถ พลางพิมพ์ข้อความไปด้วยอย่างชำนาญ แต่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองรอบกายบ่อยๆเพื่อความปลอดภัย

‘แดกโรงอาหารก็ได้ กินข้างนอกติดๆกันมันก็เปลืองเงิน’ คราวนี้เป็นไอ้หมอกที่คล้อยตามผม สรุปวันนี้พวกเราทั้งหมดเลยฝากท้องกับโรงอาหารเหมือนทุกครั้ง แต่กว่าผมจะไปถึงที่หมาย ก็ต้องแวะซื้อบลูเลม่อนร้านเด็ดซะก่อน ซึ่งก็ต้องใช้สกิลการประคองจักรยานด้วยมือข้างเดียวให้ยุ่งยาก จากนั้นถึงค่อยทำเรื่องคืนจักรยานตรงจุดบริการใกล้โรงอาหาร ก่อนจะไลน์ไปถามที่สิงสถิตกับพวกมัน

ปึ่ก!

“นานสัส กูจะแดกหมดแล้วเนี่ย” พอพวกมันได้ยินเสียงผมวางแก้ว ก็รีบเงยหน้าขึ้นจากมื้อเย็นอันโอชะ แล้วก็เป็นไอ้หมอกที่โอดครวญออกมา
“เออนี่ มึงรู้ตัวมั้ยว่ามึงกำลังเป็นที่สนใจในสังคมโซเชียลเนี่ย” ไอ้คินมันเริ่มถามเปิดประเด็น เมื่อมื้อเย็นตรงหน้ามันได้หมดเกลี้ยงแล้ว

“…” ผมส่ายหน้าตอบ พลางตักข้าวเข้าปาก ส่วนตาก็จ้องมองมันเพื่อส่งสัญญาณให้มันพูดต่อ
“เรื่องของเรื่องเนี่ย ไอ้มินท์มันแชร์มา กูเลยเห็นเข้าพอดี คืองี้ มีคนถ่ายคลิปตอนมึงกำลังฝึกภาษามือไว้ด้วยเว้ย แต่มันไม่ธรรมดาตรงที่เขาเอาไปลงในเพจอะไรวะ ที่เขาลงแต่รูปพวกตัวท็อปหล่อๆของมหาลัยน่ะ” ไอ้คินระริกระรี้อธิบายด้วยความตื่นเต้น จากนั้นมันก็ยื่นโทรศัพท์ของมันมาให้ผมดูหลักฐาน

“…” พอดูจบผมก็ส่งคืนมันไป ก่อนจะจ้องหน้าเพื่อให้มันพูดต่อ
“ประเด็นคือมึงก็ไม่ได้หล่ออะไรนะ แต่แอดมินดันตาถั่วเอาคลิปมึงไปลงซะงั้น โห่วว กูล่ะเซ็ง” ไอ้ห่าคินแม่ง กูก็หลงฟังมาได้ตั้งนาน สรุปคือมึงจะตัดพ้อที่ตัวเองไม่ได้ลงเพจอะไรนั่น งั้นดิ ?

‘สัส’ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋า ก่อนจะพิมพ์คำเดียวสั้นๆ แต่ได้ใจความเน้นๆ
“อยู่เฉยๆ กูก็เหมือนกูโดนด่าไปด้วยเลยวุ้ย” ไอ้หมอกมันบ่น จากนั้นมันก็ตบหัวไอ้คินที่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ

‘มีเชี่ยไรอีก?’ หลังจากก้มหน้าก้มตากินข้าวจนหมดเกลี้ยง ผมก็เงยหน้ามาสบกับไอ้หมอกที่มองมาที่ผมอย่างพินิจพิจารณา
“กูกำลังสงสัยว่าทำไมพวกนั้นถึงชมว่ามึงน่ารัก เพราะความขาวงั้นดิ โห่ว อิจสุดไรสุด”

“นี่เว้ยๆ มีคนมาไขข้อสงสัยแล้ว เขาบอกว่าไอ้รันมันดูน่ารักเวลาที่ใช้ภาษามือ สรุปว่าไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตานะครับ จบๆ แยกย้ายได้” ผมส่ายหน้าหลังจากฟังไอ้เพื่อนซี้มันถกเถียงกันเรื่องหน้าตาของผม ซึ่งผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรเพราะรู้ว่าพวกมันกำลังแกล้งแซวที่จู่ๆผมก็ได้ไปลงในเพจอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นแต่ก่อน ผมคงซัดไอ้คนพูดจนร่วงไปแล้ว เพราะในตอนนั้นคนที่วิจารณ์เขาไม่ได้พูดเพื่อแกล้งแซวเล่นๆอย่างพวกมันสองคนแน่นอน

‘รีบกินเถอะว่ะ จะได้รีบกลับหอ’ ผมพิมพ์ข้อความตัดบท เพื่อลากตัวเองออกมาจากบทสนทนาอันแสนวุ่นวายนั่น บอกตามตรงว่า ยิ่งมีคนให้ความสนใจมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
เพราะว่าอคติต่างๆ มันเริ่มส่งผลในแง่ลบมากกว่าแง่บวก

เช้านี้ผมต้องนั่งทานข้าวคนเดียว เพราะพี่อาคเนย์ไม่มีเรียน อีกทั้งวันนี้ยังมีเรียนวิชาภาษาอังกฤษอีกต่างหาก ผมจึงต้องรีบทานข้าวให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ไปจองที่เงียบๆ สำหรับกลุ่มของผม และผมจะได้มีสิทธิ์จองที่นั่งที่ไม่ต้องอยู่ติดกับใคร
นั่งรอได้สักพักใหญ่ ไอ้หมอก ไอ้คินมันก็เดินเข้ามาพร้อมกับอาจารย์ประจำรายวิชาภาษาอังกฤษ เราก็เลยไม่มีโอกาสได้พูดคุยทักทายกัน รอจนกระทั่งเลิกเรียนนั่นแหละ ถึงได้เปิดปากสอบถามกันว่าจะไปกบดานที่ไหนต่อ เพราะบ่ายวันนี้เราไม่มีเรียน อีกทั้งยังว่างมากๆ รายงานอะไรก็ไม่มี ส่วนการบ้านก็ไว้ค่อยทำเอาตอนใกล้จะถึงเวลาต้องเรียนในคาบถัดไป

“รัน!” ผมกำลังจะเดินออกจากอาคารเรียนอยู่แล้ว แต่เผอิญว่ารุ่นพี่ปีสามตะโกนเรียกเข้าเสียก่อน พวกผมเลยต้องเดินเข้าไปหาพี่ทีมที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะข้างบันได
“สวัสดีครับ ว่าแต่เรียกไอ้รันมันทำไมวะพี่” ไอ้คินเป็นฝ่ายออกหน้า หลังจากทักทายกันเรียบร้อยแล้ว

“คืองี้ พวกพี่เห็นคลิปที่รันใช้ภาษามือแล้วได้รับความนิยมมาก ก็เลยกะจะให้มาทำแคมเปญเผยแพร่ภาษามือของสาขาน่ะ” พี่ทีมอธิบายพลางยกยิ้ม
“แคมเปญรอบนี้ พวกพี่คิดไว้ว่าจะทำเป็นคลิปคาราโอเกะภาษามือ โอเคมั้ยรัน ไม่ยากหรอก” ผมยิ้มอย่างแบ่งรักแบ่งสู้ เพราะไม่กล้าจะปฏิเสธพี่เขาเท่าไหร่ แม้ว่าใจจะไม่อยากทำเอาซะเลย
แต่ก็นะ มันงานของสาขานี่หว่า

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้มาซ้อมที่หอของพี่ก่อนแล้วกัน สักทุ่มนึงเนอะ”
“…” ผมพยักหน้ารับ

“งั้นพี่ขอไลน์เราหน่อย”

หลังจากแจกไลน์ให้รุ่นพี่ร่วมสาขาเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็ร่ำลากับรุ่นพี่กลุ่มดังกล่าว ซึ่งในขณะที่เรากำลังจะเดินไปยังที่จอดรถจักรยาน พวกไอ้คินมันก็บ่นผมใหญ่ที่ไม่อยากทำ แต่ก็ไม่ยอมปฏิเสธออกไป

‘ก็มันงานสาขานี่หว่า กูจะกล้าปฏิเสธได้ยังไงวะ’ ผมพิมพ์เถียงพวกมัน
‘งั้นก็เรื่องของมึงแล้วครับ ไปเว้ย จะได้มาคุยกันว่าบ่ายนี้จะไปไหนต่อ’ ไอ้หมอกมันว่า พลางเอื้อมมือมายีหัวผม ก่อนจะไปจัดการถอยรถออกจากซองจอด

บ่ายวันนี้พวกผมตัดสินใจแล้วว่าจะไปนั่งเล่นกันที่คาเฟ่ตรงข้ามมหาลัย ก็ร้านที่พี่อาคเนย์เคยบอกว่าบลูเลม่อนมันเด็ดน่ะแหละ แล้วจากนั้นมื้อเย็นเราก็จะไปทานมาม่าหม้อไฟด้วยกัน ก่อนจะกลับมาเตรียมตัวสำหรับบทเรียนในวิชาภาษามือที่จะต้องเรียนในวันพรุ่งนี้

“ไหนๆก็ว่างยาวแล้ว กูว่ามาติวภาษามือกันดีกว่ามั้ย” หลังจากสั่งเมนูที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ไอ้คินมันก็ออกความเห็นที่ดูเป็นงานเป็นการขึ้นมา
“โห ไอ้สัส ว่างๆทั้งทีมึงยังจะติวภาษามืออีกเหรอวะ” ไอ้หมอกรีบโอดครวญอย่างรวดเร็ว

‘แน่นอนสิวะ พวกกูไม่ได้ลอยตัวเหมือนมึงนะเว้ย’ ผมรีบเสริมไอ้คินทันควัน ทำเอาไอ้หมอกทำหน้ายุ่งเข้าไปใหญ่ เพราะมันน่ะเคยบอกว่าแค่เรียนในห้องเรียนก็เบื่อจะแย่แล้ว มันก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า ปีหนึ่งก็ต้องเริ่มเรียนจากอะไรที่มันเป็นพื้นฐาน จะให้ไปขั้นแอดวานซ์อย่างที่มันต้องการได้ไง
“งั้นเชิญพวกมึงตามสบาย กูขอนั่งชิวๆส่องเฟซ ส่องไอจีดีกว่า”

เมื่อไอ้เพื่อนซี้มันออกตัวซะขนาดนั้น พวกผมก็เลยต้องอาศัยศึกษาเอาจากเว็บไซต์ของคณะแทน ไว้ตอนนาทีสุดท้ายของการทบทวนบทเรียน ค่อยไปกระตุ้นไอ้หมอกมันทีหลัง เพราะยังไงบทเรียนพวกนี้มันก็ลอยตัวจะแย่แล้ว

ติ้ง!

พอนั่งเรียนภาษามือกันจนเบื่อ ผมกับไอ้คินก็เลยเปลี่ยนมานั่งคุยกันแทน ไอ้หมอกมันเลยสามารถหลุดออกจากโลกโซเชียลได้ แต่กลายเป็นผมแทน ที่ต้องเข้าสู่โลกโซเชียล เพราะรุ่นพี่ต่างสาขาที่วันนี้ไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าเป็นคนส่งข้อความแชทมาหา

‘ทำอะไรอยู่ เลิกเรียนยัง?’ ทันทีที่อ่านข้อความจบ ผมก็อมยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนจะวาดสายตาไปมองนาฬิกาที่อยู่ด้านบนสุดของหน้าจอโทรศัพท์
‘เพิ่งจะสามโมงเองครับ ยังไม่ทันเลิกเรียนหรอก’ ผมตอบอย่างยียวน แต่ก็รีบอัดเสียงบรรยากาศโดยรอบส่งไปให้อีกฝ่ายทีหลัง
‘อ้อ ไม่มีเรียน? สรุปอยู่คาเฟ่?’
‘ครับ’

‘ร้านไหน?’
‘ทำไมครับ พี่จะตามมาเหรอ?’

‘กูจะตามไปเพื่อ?’ พออีกฝ่ายย้อนใส่เสร็จ ก็รีบส่งข้อความเสียงมาให้ผมเป็นการตบหัวแล้วลูบหลังเหมือนอย่างที่ผมทำก่อนหน้า

‘อ้อ.. อยู่ห้าง เข้าไปในเมืองนี่เอง’
‘อืม’

‘ตอนนี้ผมอยู่คาเฟ่ ร้านที่พี่บอกว่าบลูเลม่อนอร่อยจนพี่บอสยังต้องตกเป็นทาสน่ะแหละ’
 
‘แล้วเป็นไง อร่อยสมคำร่ำลือมั้ย?’ พอพี่เขาย้อนถาม ผมก็เลยอัดคลิปเสียงดูดน้ำจนดังลั่นไปให้อีกฝ่าย
‘จริงๆเลย ส่งมาได้’ พออีกฝ่ายส่งสติ๊กเกอร์หมีหันหน้าเข้ากำแพงกลับมาให้ ผมก็รัวสติ๊กเกอร์หัวเราะแทบจะทุกรูปแบบที่มีกลับไป
และวันนี้ ก็ยังเป็นวันที่ดีๆอีกหนึ่งวันสำหรับผม..

--------------------------------
[edit 30/11/2017 แก้คำผิด ทะเลสาป > ทะเลสาบ / กบดาล > กบดาน / 27/01/2018 แอพพลิเคชัน > แอปพลิเคชัน]
ปิดท้ายด้วยความสัมพันธ์ที่คืบหน้าเนอะ
เราตั้งใจให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเอื่อยๆ เจอกันบ้าง ไม่เจอบ้าง
เพราะเวลาเรียนเอาจริงๆ แม้แต่เพื่อนจากโรงเรียนเดียวกันยังไม่ค่อยเจอเลยค่ะ 555
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ รู้สึกมีกำลังใจเยอะเลย เพราะที่ผ่านมาแล้วนอยด์ๆงานเขียนของตัวเองอยู่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2019 12:33:35 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 5 [up 20/10/2017]
« ตอบ #9 เมื่อ: 20-10-2017 12:48:55 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 3-5 [up 20/10/2017]
«ตอบ #10 เมื่อ20-10-2017 15:29:38 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 3-5 [up 20/10/2017]
«ตอบ #11 เมื่อ21-10-2017 04:24:00 »

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 3-5 [up 20/10/2017]
«ตอบ #12 เมื่อ21-10-2017 13:31:57 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 3-5 [up 20/10/2017]
«ตอบ #13 เมื่อ21-10-2017 15:26:39 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 3-5 [up 20/10/2017]
«ตอบ #14 เมื่อ21-10-2017 15:30:28 »

น้องน่ารัก

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 6 [up 23/10/2017]
«ตอบ #15 เมื่อ23-10-2017 21:49:24 »

♥ Fall in you ♥
-ตอน 6-


วันนี้เป็นวันนัดหมายสำหรับการร่วมงานทำแคมเปญของสาขา พี่ทีมนัดให้เรามาเจอกันที่โรงอาหารเพื่อทานข้าวทานอะไรให้เรียบร้อย จากนั้นก็จะนั่งรถที่มีพี่อาคเนย์เป็นสารถีจำเป็น เพื่อไปเรียนงานที่หอพักของรุ่นพี่ร่วมสาขา ส่วนเพื่อนของผมมันขอตัวกลับหอไปนอนอืดที่ห้องอย่างไม่สนใจใยดีอะไรทั้งนั้น
มันน่าโมโหจริงๆ

“พี่เลือกเพลงของขวัญของ Musketeers ไว้นะ จะลองฟังดูก่อนมั้ย หรือจะเริ่มฝึกกันเลย” พอไขกุญแจเข้ามานั่งปักหลักในห้องได้ พี่ทีมก็ถามความเห็นผม ส่วนพี่บอสก็เดินไปเปิดแอร์ ขณะที่พี่อาคเนย์หรือคุณฮ่องเต้ เขาก็นั่งหลังตรงอยู่บนที่นอนประหนึ่งท่านเจ้าคุณเสียอย่างนั้น ส่วนผมก็ทิ้งตัวลงนอนที่พื้น ตามพี่ทีมที่บังเอิญหาจุดยืนให้กับผมเพื่อรับมือในสถานการณ์อันไม่คุ้นชินนี้

‘ซ้อมเลยก็ได้ครับ’ ผมก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความเพื่อสื่อสารกับพี่ทีมอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากจะรบกวนพี่เขานานๆ แถมขากลับพวกพี่เขายังต้องไปส่งผมที่หออีก เดี๋ยวจะดึกซะเปล่าๆ
“งั้นฝึกวันละสองท่อนก็แล้วกัน จะได้ไม่หนักเกิน” พี่ทีมเสนออย่างใจดี ผมก็เลยยิ้มให้พี่เขาแทนคำตอบ

“ไอ้เนย์ มึงไปเอากีตาร์มาดิ พอน้องมันคล่องจะได้ลองฝึกเลย” พี่ทีมก็ยังคงเป็นพี่ทีมคนเดิมที่ไม่ว่าจะพูดอะไรกับใคร พี่เขาก็มักจะใช้ภาษามือโดยอัตโนมัติ พร้อมกับออกปากพูดไปด้วย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเพื่อนรักอีกหนึ่งคน
“เออๆ” ผมมองตามรุ่นพี่ต่างสาขาอย่างสงสัย เมื่ออีกฝ่ายเดินออกไปจากห้อง
 
“ไอ้บอสมันบอกว่า ไอ้เนย์มันอยู่ห้องข้างๆน่ะ”
“…” ผมยิ้มพลางเกาหัวแก้เก้อที่มีคนจับความสงสัยของผมได้

“เอาล่ะ เริ่มเลยแล้วกันเนอะ ไอ้บอสมึงหยิบเนื้อเพลงตรงหัวเตียงให้กูที” พี่ทีมใช้ภาษามือสื่อสารกับพี่บอส และนำกระดาษแผ่นดังกล่าวมากางไว้กลางวง ขณะที่คนที่เดินกลับห้องตัวเองเมื่อครู่ก็หิ้วกีตาร์เข้ามาในห้อง แล้วก็ปักหลักอยู่บนที่นอนพร้อมกับเกากีตาร์เล่นโดยไม่ได้สนใจพวกเราทั้งสามคนที่นั่งออกันอยู่บนพื้น

มีเรื่องราวมากมาย ที่ไม่มีใครได้ฟัง
คำพูดนับร้อยพัน ที่ต้องการเอื้อนเอ่ย
ไม่ว่าจะนานสักเท่าไร
ยังยืนยันคำเดิมเสมอ ไม่เคยเปลี่ยน


พี่บอสเป็นคนสอนภาษามือให้ผม โดยเริ่มจากท่อนแรกอย่างช้าๆ แต่เพราะมันเป็นประโยคยาวๆ ผมเลยยังจำไม่ค่อยได้ พี่ทีมเลยเสนอให้ค่อยๆสอนทีละวรรค เพราะรายละเอียดมันเยอะ แถมผมยังฝึกแบบก้าวกระโดดอีกต่างหาก
“เริ่มจากวรรค.. มีเรื่องราวมากมาย ที่ไม่มีใครได้ฟัง” พี่ทีมร้องเพลงในวรรคแรกแบบช้าๆ พร้อมกับทำภาษามือประกอบ เริ่มจากการใช้มือขวาแตะที่ไหล่ขวา แล้วก็ทำมือจับจีบเหมือนรำไทยทั้งสองข้าง โดยนำปลายจีบจรดเข้ามาใกล้กัน ก่อนจะวาดห่างออกจากกัน จากนั้นก็ยกแขนขึ้นตั้งฉากทั้งสองข้าง จากนั้นก็นำนิ้วชี้ข้างขวาไปแตะที่ปลายนิ้วชี้ข้างซ้าย วาดเป็นรูปครึ่งวงกลมจนสุดก่อนจะจรดปลายนิ้วโป้งกับฝ่ามือให้คล้ายกับท่าของปอบหยิบ ก็เป็นอันจบประโยคแรก
แค่วรรคแรก ผมก็จะตายแล้วว่ะ งานนี้กีตาร์พี่อาคเนย์คงได้เป็นหมัน เพราะผมมันหัวช้ากว่าที่พวกพี่เขาคิดน่ะสิ
 
“ใจเย็นมั้ยพวกมึง น้องมันจะอ้วกแตกแล้วนั่น” การฝึกซ้อมสำหรับแคมเปญสุดหินก็มีอันต้องหยุดชะงักลง เมื่อพี่อาคเนย์เป็นฝ่ายพยักพเยิดให้รุ่นพี่ร่วมสาขาหันหน้ามาดูหน้าผมที่กำลังงงแดกจนได้ที่ จากนั้นก็ใช้ภาษามือสื่อสารกับพี่บอสด้วยอีกทาง
เพราะจนแล้วจนรอด ผมก็ตายสนิทกับภาษามือไทย

“กูก็สอนทีละวรรคแล้วนะเว้ย” พี่ทีมเกาหัวแกรกๆ พลางหันไปแก้ตัวกับเพื่อนตัวเอง
“เออ กูรู้ แต่มึงอย่าลืมว่านี่มันขั้นแอควานซ์ของน้องมันนะเว้ย จากชั้นอนุบาลก้าวมามหาลัยเลยนะนั่น ใจเย็นเว้ย” อืมนะ พี่อาคเนย์ก็เปรียบเทียบซะเห็นภาพเลย แต่ก็ต้องขอบคุณพี่เขามากที่ทักท้วงขึ้นมา เพราะหลังจากนั้นพี่ทีมกับพี่บอสก็เปลี่ยนเป็นสอนวรรคนึงซ้ำๆจนผมจำได้แม่น ถึงค่อยย้ายไปอีกวรรค
แต่กว่าจะจำได้จนจบเพลง กูจะงงตายก่อนมั้ย ?

ถึงจะซ้อมกันจนดึกดื่น แต่แคมเปญนี้ก็ยังไม่คืบหน้าไปไหน วันนี้คงต้องพอแค่นี้ก่อน เพราะว่านี่ก็ดึกแล้ว พวกพี่เขากลัวผมเข้าหอในไม่ได้ และสารถีจำเป็นตั้งแต่เมื่อเย็นก็ถูกเนรเทศให้มาส่งผมในตอนค่ำอีกหน ทั้งๆที่เจ้าตัวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ สักนิด แต่ก็นั่นล่ะ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีการโต้เถียง นอกจากออกปากขอยืมมอเตอร์ไซค์ของพี่ทีมเท่านั้น หน้าที่นี่ก็เลยยังตกเป็นของพี่อาคเนย์ต่อไป
“…” ก่อนที่ประตูห้องจะถูกปิดลง ผมก็ยกมือไหว้ลาพี่ทีมกับพี่บอส แล้วถึงค่อยก้าวเดินตามร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อบอลและกางเกงบอลราวกับจะออกไปเตะบอลในกลางดึก

“มึงหิวป่ะ?” จู่ๆ คนที่เดินนำหน้าก็หันมาถามความเห็นจากผม ขณะที่กำลังเดินลงบันไดหออย่างช้าๆ
“…” ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอ ผมก็คงต้องสนองสักหน่อย อีกอย่างท้องผมก็เริ่มร้องแล้วด้วย คาดว่าวันนี้ใช้สมองเยอะไปหน่อย มันก็เลยเปลืองพลังงานอย่างที่เห็น

‘กูจะแวะกินเตี๋ยว พวกมึงจะกินมั้ย?’ ระหว่างนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่มีสารถีจำเป็นนำทาง ผมก็ทักแชทไปถามไอ้เพื่อนซี้ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้มันนอนตายไปแล้วหรือยัง
‘เอาๆ บะหมี่เกี๊ยวหมูแดงสอง’ ไอ้หมอกเป็นคนตอบกลับมา

‘แล้วไอ้คินอ่ะ มึงเอาอะไร’
‘สองถุงนั่นล่ะ กูสั่งเผื่อมันแล้ว’

เมื่อตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ผมก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าตามเดิม ซึ่งก็พอดีกับรถที่จอดถึงที่หมาย พี่อาคเนย์เดินนำหน้าไปยังโต๊ะติดกำแพง ก่อนจะเขียนเมนูของตัวเองลงไป จากนั้นก็เลื่อนสมุดจดมาให้ผมเขียนเป็นรายถัดมา
“มึงไปตักน้ำไป เดี๋ยวกูเอาไปให้เฮียแกเอง” พอคนอายุมากกว่าออกความเห็นแบบนั้น ผมก็เลยเลี่ยงไปตักน้ำตรงจุดบริการอย่างไม่มีข้อแม้

ด้วยความที่แม้ว่าจะเป็นมื้อดึก แต่คิวก็ยังยาวเหยียด รุ่นพี่ตรงหน้าก็เลยก้มหน้าไถจอโทรศัพท์อย่างเมามัน ส่วนผมที่ไม่ได้ติดโซเชียลอะไรขนาดนั้นก็ได้แต่ลูบไอน้ำเย็นๆข้างๆแก้วในความเงียบ

“พรุ่งนี้จะกินอะไร?” ผมเงยหน้าขึ้น เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็เลิกสนใจโลกภายนอกมาให้ความสนใจกับคู่สนทนาอย่างผมแทน
‘เจอกันแต่ละที เราจะคุยกันแค่เรื่องของกินเหรอครับ?’ ผมย้อนถามด้วยถ้อยความที่กะจะล้ออีกฝ่ายเต็มที่ แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองไปซะงั้น

“มึงอยากคุยกับกูเรื่องอื่นด้วยว่างั้น” สายตาแพรวพราวพร้อมกับคำถามที่สาดเข้าใส่ ทำเอาผมต้องก้มหน้าดูดน้ำจากปลายหลอดใสแก้เก้อ
“เออ แล้วมึงเป็นคนจังหวัดไหน?” อีกฝ่ายเริ่มตั้งคำถาม เมื่อผมยังคงเงียบต่อไป

‘ชลบุรี’
“กูคนกรุงเทพ” ผมพยักหน้ารับรู้อย่างไม่แปลกใจนัก เพราะจังหวัดที่เราสอบติดก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงเท่าไหร่เลย

“แล้วทำไมมึงถึงเลือกมาเรียนที่นี่ล่ะ?” ถึงก๋วยเตี๋ยวจะมาเสิร์ฟแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เลิกทำตัวเป็นเหยี่ยวข่าว
‘เพราะที่นี่มีสาขาที่ผมอยากเรียนน่ะครับ’ ผมวางตะเกียบทั้งที่ยังปรุงเครื่องไม่เสร็จ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาก้มหน้าก้มตาตอบคำถามของอีกฝ่าย โดยที่คนอายุมากกว่าก็ไม่ยอมเสียเวลาในการกินแม้แต่นาทีเดียว ผมก็เลยต้องยื่นหน้าจอโทรศัพท์ไปให้พี่เขาอ่านแทน

‘พี่เล่นกีตาร์มานานหรือยังครับ?’
“เอาจริงป่ะ กูเพิ่งหัดเล่นว่ะ ไอ้ทีมแม่งบังคับ” พี่เขาตอบพลางหัวเราะ

‘แต่ก็แลเก่งดีนะครับ เล่นเป็นเพลงได้แล้ว’
“ถุย! เก่งเกิ่งอะไรล่ะ กูก็เล่นเป็นเพลงเดียวนี่แหละ มึงมัวแต่ฝึกภาษามือจนไม่ได้สนใจฟังที่กูดีดล่ะสิ

“เอ้านี่ กินเยอะๆ จะได้ฉลาด ความจำจะได้ดีๆ” พี่เขาว่าอย่างนั้นพลางตักเกี๊ยวหมูมาให้
‘แอบด่าผมเหรอ?’ ผมพิมพ์ข้อความยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน พลางทำหน้าทำตาหมั่นไส้อีกฝ่ายเสียเต็มประดา

“ไม่ได้แอบ แต่กูพูดตรงๆเลยนะนั่น” พี่เขาเถียงพลางยักคิ้วให้ผม พร้อมกับจ้วงบะหมี่เหลืองเข้าปากเป็นการปิดกั้นบทสนทนา
‘อ้อ ที่แท้พี่ฮ่องเต้ก็เป็นคนตรงๆ’

โป๊ก!

หลังจากพี่เขาอ่านข้อความตอบโต้ของผมจบ อีกฝ่ายก็เขกหัวผมอย่างแรง พลางทำหน้ายักษ์ใส่ไม่หยุด เพราะผมดันไปเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อไม่เข้าหู

“ยังจะแอบยิ้มอีก มื้อนี้ไม่เลี้ยงซะดีมั้ย” พี่เขาบ่นพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกางเกงเพื่อรอจ่ายเงิน
‘ไม่เอาพี่ ส่วนของผมเดี๋ยวจ่ายเอง’ ผมรีบวางทุกสิ่งทุกอย่างลงทันที เมื่อพี่เขาทำท่าจะเลี้ยงขนานใหญ่

“เออน่า” พอพูดจบพี่อาคเนย์ก็เดินไปจ่ายเงินกับเถ้าแก่ พร้อมกับถือถุงก๋วยเตี๋ยวของเพื่อนผมมาให้ด้วย
‘ตั้งแต่พรุ่งนี้ เดี๋ยวผมเลี้ยงคืนจนกว่าจะครบ โอเคมั้ย?’ พอเดินมาจนถึงที่จอดรถ ผมก็ยังไม่ยอมซ้อนท้ายอีกฝ่ายที่ติดเครื่องรอเรียบร้อยแล้ว แต่กลับยื่นโทรศัพท์ให้อ่านแทน

“เอาดิ ขึ้นมาได้แล้วจะสี่ทุ่มแล้วเนี่ย”

พี่เขาจอดรถตรงหน้าป้อมยาม ผมไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายพลางรับถุงก๋วยเตี๋ยวมาถือไว้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋า และตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์อย่างรวดเร็ว

‘เมนูพรุ่งนี้พี่ไม่มีสิทธิ์เลือกนะครับ เพราะผมจ่าย’
“ตามใจดิ กูกินง่ายอยู่ง่าย” ผมยิ้มกับคำพูดโฆษณาชวนเชื่อของรุ่นพี่ตรงหน้า ก่อนจะตัดบทอำลาด้วยการโบกมือบ้ายบายให้พี่เขาสองสามที ถึงได้เดินหายเข้าไปในลานจอดรถหลังป้อมยาม แต่เมื่อหันกลับมาก็ยังเห็นพี่เขารออยู่ที่เดิม ผมเลยหันมาโบกมือให้อีกฝ่ายอีกครั้ง ด้วยความกังวลว่าพี่อาคเนย์จะไม่เข้าใจ

ติ้ง!

ผมรีบพลิกหน้าจอโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาดู ก่อนจะยกยิ้มจนเต็มแก้มเมื่ออีกฝ่ายเขาตอบกลับมาด้วยถ้อยความเชิงรำคาญและขับไล่ แต่ทำไมมันถึงได้แฝงความน่ารักก็ไม่รู้

‘ขึ้นไปได้แล้ว กูจะได้รีบกลับ ง่วงแล้วเนี่ย’

“โห กูนึกว่าจะไม่ได้แดกซะละ” พอเปิดประตูห้อง เสียงไอ้หมอกก็ดังแหวกอากาศขึ้นมาทันที
“เชี่ย! ร้อนๆ” ด้วยความหมั่นไส้ ผมเลยเอาถุงก๋วยเตี๋ยวไปวางบนหน้าขาของมันที่กำลังนั่งเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นห้องเพื่อทำอะไรสักอย่าง

“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง ถ้าไม่ติดว่ากูหิวอยู่นะ มึงโดนแน่” ไอ้หมอกมันว่า ก่อนจะขยับตัวเองไปจัดการตรงมุมสำหรับคว่ำจาน จากนั้นไม่นานไอ้คินก็เดินออกมาจากห้องน้ำและตามไปสมทบ ผมก็เลยถือโอกาสนี้ไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน
“…” หลังจากเดินไปตากผ้าเช็ดตัวแล้ว ผมก็เดินไปดูว่าไอ้หมอกมันทำอะไรของมัน พอมันรู้ตัวก็ขยับให้ผมได้ดูผลงานของมันได้เต็มที่ จึงเห็นว่ามันลงทุนวาดรูปภาษามือของเพลงที่ผมต้องฝึก
เดาเอาว่ามันคงจะไลน์ถามชื่อเพลงกับพี่ทีมหรือไม่ก็พี่บอสแน่ๆ

“นี่เดี๋ยวกูจะเขียนคำอธิบายให้ด้วย แต่ลายมือกูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ มึงต้องทำใจ” ผมยิ้มพลางนั่งมองไอ้หมอกอย่างสนใจ เพราะมันวาดรูปเก่งมาก มีทำลูกศรชี้เข้าออกตามทิศทางที่ต้องเคลื่อนไหวด้วย
“เดี๋ยวกูช่วยเขียนให้ก็ได้ มึงแค่อธิบายให้กูฟังก็พอ เห็นว่าพี่ทีมจะเอาไปลงเพจด้วย”

“เออได้ ส่วนมึงไอ้รัน ไปนอนได้แล้วไป กูรู้ว่ามึงลืมหมดแล้วที่พี่เขาสอนวันนี้น่ะ” ผมยกยิ้มพลางเอามือประกบกันและเอียงหัวแนบไว้ตรงข้างแก้มแบบมั่วๆ เป็นเชิงว่าฝันดีนะมึง
แต่ถ้าพวกมึงไม่เข้าใจก็เรื่องของพวกมึงแล้ว

ติ้ง!

‘กูถึงหอละ ฝันดี’
‘ฝันดีเหมือนกันครับ พี่ฮ่องเต้’

‘เดี๋ยวพรุ่งนี้ กูจะเขกหัวให้’
‘ครับๆ ไปนอนจริงๆแล้วนะ’

‘เออๆ ไปสักทีเถอะ’

-------------------------------------------------
[27/01/2018 แก้คำผิด เกลากีตาร์ > เกากีตาร์]
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ภาษามือพอเขียนเป็นคำบรรยายชวนงงยิ่งนัก 555
เขียนยากจริงๆค่ะ ไม่รู้จะนึกภาพออกมั้ย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 18:11:51 โดย Chomin »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 6 [up 23/10/2017]
«ตอบ #16 เมื่อ24-10-2017 08:03:12 »

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 6 [up 23/10/2017]
«ตอบ #17 เมื่อ24-10-2017 08:36:01 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 6 [up 23/10/2017]
«ตอบ #18 เมื่อ24-10-2017 09:06:17 »

 :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 7 [up 24/10/2017]
«ตอบ #19 เมื่อ24-10-2017 19:18:14 »

♥ Fall in you ♥
-ตอน 7-


โป๊ก!

“ทักทายๆ ไหนดูซิ มึงซื้ออะไรมาให้กูกิน” หลังจากประเคนกำปั้นใส่หัวตามคำสัญญาที่ผมไม่เคยอยากได้ตั้งแต่เมื่อวาน ร่างสูงของรุ่นพี่ต่างคณะคนนั้นก็รีบทิ้งตัวลงข้างๆผม ซึ่งไม่ใช่ที่นั่งปกติของเจ้าตัว
“ปลาดุกผัดเผ็ดทอดกรอบ” พี่อาคเนย์ลากจานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมาไว้ด้านหน้าตัวเอง

“กินเผ็ดแต่เช้าเลยเหรอวะ แสบท้องกันพอดี” อีกฝ่ายบ่นอุบ แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตากินเอาๆ จนผมอดกลัวไม่ได้ว่าข้าวจะติดคอเข้าให้เสียก่อน

ติ้ง!

‘วันนี้ผมเลี้ยงคืนไงครับ พี่ไม่มีสิทธิ์เลือกนะ’
“ขนาดอ่านแค่ข้อความยังน่าหมั่นไส้ นี่ถ้าได้ยินเสียงจะน่าตีแค่ไหนวะเนี่ย” พี่เขาบ่นพึมพำคล้ายกับพูดคนเดียว แต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจน แต่ก็ต้องทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินไปซะ เพราะถึงยังไงผมก็พูดไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นประโยคเมื่อครู่มันคงไม่สามารถเพิ่มความน่าหมั่นไส้ไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว

“เจอกันเย็นนี้” หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ พี่เขาก็ขับรถมาส่งผมตามธรรมเนียม แต่ก่อนที่เราจะแยกย้ายกัน อีกฝ่ายก็รั้งผมไว้ด้วยคำพูดที่แสดงให้เห็นว่าเย็นนี้หรือเย็นต่อๆไป เราสองคนจะเพิ่มเวลาพบเจอกันอีกหลายชั่วโมง
“…” ผมหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายเป็นการปิดท้าย ก่อนจะเดินเข้าอาคารเรียนแบบไม่รีรอ ใครอีกคนเหมือนทุกครั้ง

“รอด้วยดิ เรียนชั้นไหน?” คนตัวสูงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาเดินข้างๆ จนผมต้องลดจังหวะการเดินลง
“…” ผมหันไปชูเลขสามให้อีกฝ่าย จากนั้นคนตัวสูงก็พยักหน้ารับ

“ชั้นเดียวกัน ฝั่งไหน?”
“…” ผมชี้ไปทางขวามือ

“กูซ้ายว่ะ งั้นคงแยกกันตรงนี้ แล้วเจอกัน” พี่เขาว่าอย่างนั้น แถมก่อนจะผละตัวจากไป ก็ยังไม่วายจะยีหัวผมจนไม่เป็นทรงซะอีก ให้ตายสิ มือซนจริงๆเลย
‘ตัดมือทิ้งซะดีมั้ยครับ ผมยุ่งหมด’ หลังจากปัดผมให้เข้าที่เข้าทาง โดยการหยิบโทรศัพท์มาส่องไปด้วยว่าทรงผมตอนนี้มันโอเคเหมือนเดิมแล้วหรือยัง จากนั้นผมก็รีบไลน์ไปหาคนตัวโตที่เรียนอยู่อีกฟากหนึ่งของตัวตึก

‘เอาดิ ตามมาตัดเลย กูเรียนห้อง 10304’ พอเจอคำท้าแบบนั้น ผมก็ไปต่อไม่เป็น ก็เลยอ่านข้อความแล้วก็เงียบๆ ทำเป็นลืมๆไปซะ

กว่าที่การเรียนการสอนในคาบวิชาสถิติจะจบลง ผมก็แทบจะสำลอกออกมาเป็นตัวเลขให้ได้ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าวิชาหินๆ มันจะเพิ่มวิชานี้ไปด้วยอีกตัว เพราะว่าบทแรกๆมันยังง่าย แต่บทถัดๆมามันเริ่มสำแดงฤทธิ์จนน่ากลัว
“กูอยากกินก๋วยเตี๋ยวป้าไก่ว่ะ ไปกินกัน” ไอ้หมอกเอ่ยชวน ขณะที่เรากำลังเก็บอุปกรณ์การเรียนใส่กระเป๋า

“เอาดิ” คำตอบของไอ้คินถือเป็นตัวตัดสิน ต่อให้ผมไม่อยากกินก๋วยเตี๋ยวแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะขัดขืนได้
“ไอ้รัน!!” ผมชะงักขาที่กำลังจะเดินลงบันไดตรงหน้าตึกคณะ เพื่อหันไปมองข้างหลังที่มีใครบางคนตะโกนเรียกผมซะดังลั่น

“พวกมึงจะไปกินอะไรกัน” เมื่อรุ่นพี่ต่างสาขาเดินมาถึงก็รีบถามคำถามที่ต้องการ
“เตี๋ยวป้าไก่พี่ ไปด้วยกันมั้ย” ไอ้คินอาสาตอบ เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เจาะจงจะเอาคำตอบจากผมนัก

“ไปมั้ยมึงไอ้บาส เดี๋ยวมื้อนี้กูเลี้ยงมึงเอง”
“โอ้โห มึงแดกข้าวผิดสำแดงหรือเปล่าครับเพื่อน” พี่บาสยกมือขึ้นประกบสองข้างแก้มของเพื่อนตัวโต พลางบีบเข้าหากันจนท่าทางน่าตลก ผมเลยอดไม่ได้ต้องแอบหัวเราะ

“สัส เดี๋ยวกูไม่เลี้ยงแม่ง” พี่อาคเนย์บ่นพลางสะบัดมือเพื่อนตัวเองออกอย่างแรง
“พวกผมว่าจะเดินกันไปนะพี่ ชิวๆ” ไอ้หมอกมันเสนอหน้าออกความเห็น ซึ่งเป็นความเห็นที่ผมโคตรไม่พอใจ เพราะวันนี้อยู่ๆพวกมันสองคนก็ไม่ยอมยืมจักรยานมาขี่ซะงั้น แถมยังเสือกไปกินตั้งไกล
มันน่าประเคนฝ่าตีนให้นัก

“เอาดิ กูไม่ได้เดินเล่นนานละ คาบบ่ายไม่มีเรียนซะด้วย” พี่บาสพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่พี่อาคเนย์กลับแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายแทบจะทันที
“ทำไมไอ้เนย์ ถ้ามึงอยากซิ่งไป ก็เอาดิ กูไม่ได้บังคับมึงซะหน่อย”

‘เดินไปกันเถอะครับ ถือว่าไปเดินเล่นกันไง’ ผมกดส่งข้อความหาอีกฝ่ายที่ไม่มีใครเข้าข้าง
“เออๆ” หลังจากพี่อาคเนย์อ่านข้อความจบ พี่เขาก็ตอบตกลงแบบส่งๆ จนผมอดคิดไม่ได้ว่าคำคะยั้นคะยอของผมทำไมมันได้ผลขนาดนี้

โชคดีที่วันนี้อากาศมันครึ้มฟ้าครึ้มฝน จึงทำให้ไม่ร้อนมากมายนัก การเดินทางไปร้านก๋วยเตี๋ยวป้าไก่ด้วยเท้าทั้งสองข้างจึงเป็นไปอย่างราบรื่น โดยที่เพื่อนทั้งสองคนของผมมันเดินกอดคอกันนำหน้า ส่วนผมย้ายตัวเองลงไปเดินอยู่ตรงริมเส้นขอบถนนคนเดียว เพราะคนอื่นเขาเดินอยู่บนฟุตปาธตามปกติ

 ติ้ง!

เพราะมีเสียงโทรศัพท์ดังเรียกร้องความสนใจขึ้นมา จึงทำให้ผมเสียสมาธิในการเดินให้ตรงเส้นจนขาข้างนึงเกือบจะหล่นออกจากกรอบเส้นตรงอยู่แล้ว ถ้าหากใครอีกคนไม่เคาะหัวผมเสียก่อน สติที่เคยมีก็เลยกลับคืนมา
“ถ้าตกลงไปมึงโดนแท่งน้ำแข็งเสียบทะลุแน่” พอผมหันกลับไปมอง อีกฝ่ายก็พูดแบบไม่มีเสียงให้รู้กันแค่สองคน

“เดินดิ” พอถูกอีกฝ่ายกระตุ้นอย่างนั้น ผมก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่มือก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดอ่านข้อความ ซึ่งก็พบว่าเป็นคนที่เดินอยู่ข้างหลังนั่นแหละที่เป็นคนส่งมา

‘มึงนี่เล่นอะไรเป็นเด็กๆ เตือนไม่เคยจะฟัง’
‘ว่าแต่ผม แล้วพี่มาเดินตามทำไมครับ ไม่ใช่ว่าเราก็ชอบเล่นเป็นเด็กๆเหมือนกันเหรอ?’

‘มึงเสียรู้กูแล้ว กูแค่ส่งข้อความมาทำลายสมาธิ มึงจะได้เป็นหนี้ที่กูช่วยไม่ให้มึงโดนน้ำแข็งเสียบ ฉะนั้นค่าข้าวเมื่อเช้าโมฆะนะ’ หลังจากอ่านจบ ผมก็หยุดการก้าวเดินทันที พร้อมกับหันไปจ้องรุ่นพี่แสนขี้โกง
“…”

“ตามนั้น” อีกฝ่ายว่า พลางยักคิ้วส่งมาให้พร้อมกับเดินหนีขึ้นไปบนฟุตปาธ เพื่อไปวอแวกับเพื่อนตัวเองที่กำลังเดินคุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่

“อะไรของมึงเนี่ย!” ด้วยความเจ็บใจที่การชดใช้หนี้ไม่เป็นไปตามที่หวัง ผมก็เลยหมายมั่นปั้นมือว่ามื้อกลางวันนี้ผมจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงพี่เขาเอง หนี้จะได้ลดลง ซึ่งพอคิดจนสบายใจแล้ว ผมก็รีบวิ่งเข้าไปกระโดดกอดคอแทรกกลางระหว่างเพื่อนทั้งสองอย่างร่าเริง แต่ทำเอาพวกมันเกือบหน้าทิ่ม จนโดนพวกมันเหวี่ยงเข้าให้ เท่านั้นไม่พอ ยังจะมาตบหัวผมจนสะเทือนไปถึงขี้เลื่อยข้างในอีก
“มึงนี่นะ” ไอ้คินมันส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายร่างกายกันอีก

ก๋วยเตี๋ยวร้านที่ว่านี้มีจุดเด่นแตกต่างจากร้านอื่นตรงที่ บรรยากาศภายในร้านจะให้อารมณ์แบบไทยจ๋า ภาชนะสำหรับใส่อาหารประเภทแห้งก็คือใบตอง ส่วนประเภทน้ำก็จะใส่ถ้วยรูปทรงกะลามะพร้าว ส่วนเรื่องรสชาติและราคาก็ดีเสียจนสามารถจับจ่ายอย่างไม่เสียดายเงินสักบาท ลำบากหน่อยก็ตรงที่ร้านนี้มันไกลจากคณะของผม เพราะถึงจะมีจักรยานแต่ยังไงก็ต้องออกแรงปั่นจนน่องโตอยู่ดี ดังนั้นการจะมากินที่ร้านนี้ ใจจะต้องมีความมุมานะที่จะกินมากถึงมากที่สุด
“เหมือนเดิมนะ?” ทันทีที่นั่งบนเก้าอี้ไม้ทรงกลม ไอ้หมอกก็หันมาถามผมกับไอ้คิน พวกเราสองคนเลยพยักหน้า ไอ้เพื่อนตัวดีมันเลยจดเมนูอาหารลงในกระดาษโน้ต

“พวกพี่จะกินอะไรกันครับ ?” ไอ้คินอาศัยจังหวะนั่งว่างๆ สอบถามสองหนุ่มรุ่นพี่ที่กำลังนั่งอ่านเมนูอาหารอย่างใจจดใจจ่อด้วยอารามนึกไม่ออกว่าในวันนี้จะเลือกกินเมนูไหนดี
“กูบะหมี่หมูแดงแห้งเหมือนเดิมแล้วกัน มึงล่ะ” พี่อาคเนย์หันมาบอกไอ้หมอกให้เขียนเมนูเพิ่ม จากนั้นก็หันไปถามเพื่อนสนิท

“งั้นเอาเหมือนไอ้เนย์แล้วกัน”
“สรุปว่าบะหมี่หมูแดงห้า น้ำล่ะพี่ พวกผมเอาเก๊กฮวย” ไอ้หมอกขีดฆ่าตัวเลขในกระดาษอีกครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปถามความเห็นรุ่นพี่ต่างสาขาตรงหน้าเพิ่มเติม

“เอาเหมือนพวกมึงเลย”

บทสนทนาของพวกเราจบลงแค่นั้นจริงๆครับ ดีที่อาหารมาเสิร์ฟเสียก่อน พวกเราเลยมีกิจกรรมต้านทานความเงียบงันได้บ้าง สำหรับตัวผมไม่ได้อึดอัดอะไรหรอกครับ เพราะกับพี่อาคเนย์เราก็เจอกันหลายครั้งแล้ว แถมยังคุยไลน์กันนับครั้งไม่ถ้วนอีก แต่ที่ไม่ได้คุยด้วยก็เพราะข้อจำกัดบางอย่างของผมนั่นแหละ ส่วนเพื่อนอีกสองคน ว่ากันตามตรง พวกมันก็แทบจะไม่เคยได้คุยกับพี่อาคเนย์และพี่บาสสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากการเลี้ยงสายเมื่อคราวนั้น พวกมันก็เจอรุ่นพี่สองคนนี้แทบนับครั้งได้ คนปากเก่งอย่างพวกมันก็เลยนั่งสงบเสงี่ยมจนผิดหูผิดตา ส่วนพี่บาสเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับพวกเรานัก บรรยากาศมื้อนี้ก็เลยเงียบสงัดอย่างที่เห็น

“มึงอารมณ์ไหนวะเนี่ย ไปเลี้ยงพี่เขาเฉย” หลังจากแยกทางกับรุ่นพี่ทั้งสองที่วางแผนจะไปนั่งให้อาหารปลาที่บ่อใต้ตึกคณะดุริยางคศาสตร์ ไอ้หมอกมันก็ถามขึ้นราวกับอดใจรอโอกาสนี้มานาน
‘ก็เมื่อวานพี่เขาจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวให้พวกมึงไง กูเลยต้องเลี้ยงใช้หนี้’

“มิน่าล่ะ จู่ๆมึงแม่งก็ไม่ทวงค่าก๋วยเตี๋ยวพวกกู เล่นเอากูนอนไม่หลับด้วยความตกตะลึง” ไอ้หมอกพูดจบแม่งก็หัวเราะลั่น ท่าทางดูมีความสุขมากจนน่าหมั่นไส้
‘งั้นจ่ายมาเลยครับพวกมึง’ พอพิมพ์เสร็จผมก็แบมือขอเงินจากพวกมันสองคน ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่เก็บเงินเพราะเห็นว่าเมื่อคืน พวกมันช่วยวาดการ์ตูนเป็นภาษามือให้ แม้ว่าสาเหตุที่พวกมันทำจะเป็นเพราะงานสาขาก็เถอะ แต่อย่างน้อยมันก็ส่งผลประโยชน์ต่อผมอยู่บ้างก็เลยอยากจะเลี้ยงพวกมันตอบแทน

“ของกูมึงไปเช็คบิลกับไอ้หมอกเลยนะเพื่อน” ไอ้คินมันวาดแขนโอบไหล่ผม พลางตบเบาๆ พร้อมกับพยักพเยิดไปทางไอ้หมอก ทำเอาเจ้าตัวถึงกับโวยวายไล่เตะอย่างเกรี้ยวกราด
‘กูล้อเล่นมั้ย เลิกตีกันได้แล้ว’

“โห่ เรื่องกินมึงเป็นคนบอกกูเองว่าอย่าเอามาล้อเล่น ไหงมึงทำกันได้ลงคอวะ”
“เออไอ้รัน พวกกูช่วยทำสื่อท่องจำให้มึงทั้งคืนเลยนะเว้ย มึงดูใต้ตาพวกกู ดำยังกับหมีแพนด้า” ไอ้คินมันเดินเข้ามาชี้เปลือกตาของตัวเองให้ผมดู ไอ้หมอกมันเองก็ทำตามบ้าง
   
‘ที่กูพูดไม่ได้’ ผมก้มลงพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ของตัวเอง จากนั้นก็ยื่นออกไปให้พวกมันอ่าน เพราะผมตัดสินใจจะเอาความลับของตัวเองไปแลกกับการกระทำของพวกมันที่ส่งผลถึงใต้ตาอันดำคล้ำ
“อะไรวะ” เพื่อนสองคนดูเหมือนจะยังงงๆที่จู่ๆผมก็คิดอยากจะเปิดปากเล่าเรื่องของตัวเองตอนนี้

‘ตอนเด็กแม่กูพาไปเล่นชิงช้าสวรรค์ แต่เพราะว่ามันสูงมาก กูเลยกลัวมาก ร้องไห้จนแทบขาดใจ แถมแม่ยังขู่กูอีกว่า ถ้าไม่หยุดร้องจะตกลงไปข้างล่าง จากนั้นมา กูก็พูดไม่ได้อีกเลย และกูก็ไม่คิดจะไปรักษาด้วย มึงว่าสาเหตุแบบนี้มันตลกมากมั้ย?’
“…” ผมเงยหน้ามองพวกมันสองคนอย่างคาดหวัง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเปิดใจพูดถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองมีความบกพร่อง แถมยังพูดกับคนที่เพิ่งจะสนิทกันได้ไม่นานอีกด้วย

“ความกลัวของคนเรามันไม่ใช่เรื่องตลกเว้ยมึง” ไอ้คินพูดขึ้นมาเป็นคนแรก
“ใช่ๆ คนเรามีเรื่องที่กลัวแตกต่างกันจะตาย อย่างกูนะ เห็นมาดหล่อขนาดนี้ ที่จริงกูกลัวแมลงสาบชิบหาย เจอเมื่อไหร่กูพร้อมกรีดร้องอย่างเสียจริตเสมอ”

“ส่วนกูนี่ กลัวเหี้ยไรไม่กลัว เสือกกลัวเลือด เจอแต่ละทีกูแม่งจะเป็นลมซะให้ได้” ผมหันไปยิ้มให้พวกมันจนแก้มแทบจะแตกเสียให้ได้ ที่พวกมันไม่ได้เห็นว่าความกลัวของผมมันเป็นเรื่องไม่เข้าท่า
“ทีหลังพวกมึงกลัวอะไร ไม่ชอบอะไร หรือชอบอะไรก็เอาแลกเปลี่ยนกันดีมั้ยวะ”

“อื้อ” เมื่อไอ้คินตอบรับ ผมก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ก็เป็นอันจบข้อตกลงที่แสนสมบูรณ์ของเรา

และแล้ววันนี้ ก็เป็นวันที่ขาของผมได้ก้าวออกมาจากโลกใบเดิมไปสู่โลกใบใหม่ได้อีกก้าว..

------------------------------------------------
[27/01/2018 แก้คำผิด ฟุตบาธ > ฟุตปาธ]
เป็นความรักในรูปแบบที่เรียบง่ายมากสำหรับคู่นี้
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 18:30:19 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 7 [up 24/10/2017]
« ตอบ #19 เมื่อ: 24-10-2017 19:18:14 »





ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 7 [up 24/10/2017]
«ตอบ #20 เมื่อ24-10-2017 19:57:12 »

ติดตามค่ะ เป็นเรื่องที่สร้างสรรมากค่ะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 7 [up 24/10/2017]
«ตอบ #21 เมื่อ24-10-2017 19:59:55 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 7 [up 24/10/2017]
«ตอบ #22 เมื่อ25-10-2017 14:10:30 »

ติดตามจ้า  :L2:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 8 [up 25/10/2017]
«ตอบ #23 เมื่อ25-10-2017 18:41:12 »

♥ Fall in you ♥
ตอน 8

นี่ก็หลายอาทิตย์แล้วที่ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน ผมจะต้องไปทำงานให้สาขาด้วยการซ้อมภาษามือเพื่อประกอบเนื้อเพลงลงในเพจสาขาให้คล่อง ซึ่งระหว่างที่กำลังเตรียมการกันอยู่นี้ พวกพี่เขาก็ค่อยๆทยอยลงคลิปวีดิโอในช่วงซ้อม ลงเพจสาขาเรื่อยๆ พร้อมกับเปิดรีเควชเพลงที่อยากให้ทำคาราโอเกะภาษามืออีกด้วย
แต่สาเหตุที่ทำให้กิจกรรมกลายเป็นที่สนใจก็เพราะเพจเดิมที่เพื่อนผมเคยพูดถึง ได้ทำการแชร์ข้อมูลนั้นไป คลิปดังกล่าวก็เลยแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนหลายๆคน จากที่สนใจแค่ตัวผมที่อยู่ในคลิป ก็เริ่มให้ความสนใจกับภาษามือเป็นจำนวนมาก และรูปวาดของพวกไอ้หมอกไอ้คินก็กลายเป็นสื่อชั้นดีสำหรับมือใหม่ที่ให้ความสนใจ

เรียกได้ว่าแคมเปญนี้ช่วยรณรงค์จนได้ผลดีเกินคาดหมาย และผมก็เริ่มสะดวกใจที่จะทำกิจกรรมนี้มากขึ้นด้วย เพราะทุกคนไม่ได้เอาแต่สนใจผม หรือบางคนไม่ได้สนใจผมเลยด้วยซ้ำว่าหน้าตาดีเหมาะสมกับการอวยของเพจดังที่แชร์ข้อมูลด้วยหรือไม่ แต่บางคนก็มีวิพากษ์วิจารณ์ทำนองว่า

‘เพิ่งได้เห็นหน้าชัดๆก็คลิปนี้เองเนอะ เวลายิ้มน่ารักชะมัด เขาชื่ออะไรหนอ’

‘คลิปก่อนเราก็มึนไปเลยเว้ย อยู่ๆก็หวีดกันเป็นอุปทานหมู่ พอเจอคลิปนี้เข้าไป โอ้ย นั่นเนื้อคู่หรือเปล่าว้า’

‘ขอยืนยันคำเดิมนะ พอใช้ภาษามือแล้วน้องเค้ามีเสน่ห์มากกก’

‘แคมเปญนี้อยากให้ทำเรื่อยๆค่ะ ได้ความรู้ด้วย ได้ส่องผู้ชายด้วย’

‘กว่าจะใช้ภาษามือจบเพลง ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ มือแม่งพันกันจนกูงง’

‘อยากให้ทำภาษามือเพลงรักเธอ ของพี่โต๋จังครับ จะเอาไปทำให้แฟนดูบ้าง’

“คนเม้นท์เยอะสัส กูขี้เกียจขุดละ ส่วนใหญ่รีเควสเพลงกันแล้วว่ะ”
“กูว่าแคมเปญนี้ยากไปว่ะ น่าจะทำเป็นสอนทีละคำ ง่ายกว่าเยอะ” ไอ้คินมันออกความคิดเห็นระหว่างมื้อกลางวันในวันที่ไม่มีการเรียนการสอน

“แต่ถ้าทำเป็นคาราโอเกะมันตื่นตาตื่นใจกว่าไง”
“เออ กูก็ว่างั้น แล้วนี่มึงจำได้ครบเพลงยัง?” หลังจากโต้วาทีกันจนจบ ไอ้หมอกก็หันมาสอบถามความคืบหน้าของงานสาขาที่กำลังเป็นที่จับตามอง เพราะมันกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เด็กวัยรุ่นยุคใหม่สนใจกับเรื่องภาษามือที่มักจะถูกมองข้าม หรือไม่แพร่หลายมากนัก สื่อหลายสำนักก็เริ่มนำข่าวไปลงแล้วด้วย จนเมื่อวานแม่ถึงกับโทรมาแซวผมยกใหญ่ แต่ก็เพราะแม่พูดให้ผมคิดที่จะเต็มใจทำกิจกรรมนี้ด้วยแหละ ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกไม่โอเคกับการที่มีคนไร้ข้อบกพร่องที่ผมยังไม่ไว้วางใจ มาให้ความสนใจกันมากมายขนาดนี้

“เลี้ยง” ผมเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารเมื่อเห็นแก้วบลูเลม่อนสามแก้ววางอยู่กลางวง เพราะรุ่นพี่ต่างสาขาจู่ๆก็เกิดใจดีขึ้นมาอีกแล้ว หนี้สิ้นของเราเลยยังไม่หมดกันสักที เพราะเวลาที่ผมจะใช้คืน พี่เนย์ก็ชอบเลี้ยงนั่นนี่กลับมาตลอด จากแค่เลี้ยงมื้อดึก ก็ลามมาเป็นมื้อเช้า กลางวัน เหลือเย็นอีกมื้อก็ครบแล้ว เลยทำให้หนี้สิ้นจำนวนไม่มาก งอกเงยจนผมจำยอดไม่ได้แล้ว เพราะระยะเวลาของการติดหนี้กันไปมาก็หลายอาทิตย์พอสมควร
“โว๊ะ วันนี้ก็มาว่ะ นี่ถ้าพวกผมไม่รู้ว่าพี่กับไอ้รันกำลังเจรจากันตามประสาเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ผมจะคิดว่าพี่จีบไอ้รันมันแล้วนะ”

“…” พี่เนย์มันไม่พูดอะไรเลย นอกจากยิ้มส่งท้ายแล้วก็จากไป
“พี่มันจีบมึงจริงๆดิวะ” ไอ้หมอกมันรีบหันมามองผมอย่างรวดเร็วด้วยอารามตกอกตกใจเพราะคาดไม่ถึง

‘ไม่ได้จีบเว้ย’ ผมรีบพิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเองก็ตาม เพราะตลอดเวลาที่อยู่กับไอ้พี่เนย์ พี่มันไม่ได้พูดเพราะ ไม่ได้ใส่ใจอะไรผมมากนัก แต่ก็ไม่ได้ละเลย เราคุยไลน์กันบ่อย แต่ก็มีแค่ถามว่าอยู่ไหน ทำอะไร มื้อต่อไปกินเมนูไหน ซึ่งบทสนทนาต่างๆระหว่างเรา มันก็เกิดขึ้นและจบลงด้วยช่วงเวลาสั้นๆ
สิ่งเดียวที่ส่งเสริมคำพูดของไอ้หมอก ก็คงมีแค่สายตาระยิบระยับเท่านั้น แล้วก็มีหลักฐานจากคลิปเบื้องหลังแคมเปญใหญ่นั่นด้วย เพราะคนถ่ายก็คือพี่เนย์ ไม่ว่าผมจะเปลี่ยนอิริยาบถไหนก็มีหมด ขนาดตอนผมแอบไปยืนสั่งขี้มูกยังมี แถมทุกวันนี้ภาพนั้นพี่มันยังเอามาใช้แหย่ผมให้ของขึ้นตลอด แล้วพอยุขึ้นหน่อยก็จะอารมณ์ดีมาก นั่งผิวปากจนผมอยากจะต่อยให้ปากแตกจนผิวไม่ออกไปเลย

ที่แปลกคือ ทั้งๆที่พฤติกรรมของไอ้พี่เนย์มันออกจะแหย่ในเชิงที่ไม่ต่างกับเพื่อนสมัยเด็ก แต่ดันกลายเป็นว่า เพราะเป็นพี่มัน ผมถึงไม่คิดอคติ ถึงกับยอมนั่งให้แหย่แล้วหลุดยิ้มทุกครั้งจนต้องหาทางออกด้วยการหันมองรอบกายที่มันเจริญตากว่า
แต่ในใจมันกลับสั่นๆมากขึ้นทุกวันๆ

ติ้ง!

‘วันนี้จะซ้อมมั้ย พอดีพวกพี่ไม่ว่าง ถ้าจะซ้อมพี่จะให้ไอ้เนย์ไปรับ’ หลังจากอ่านข้อความของพี่ทีมจบ ผมก็หยุดคิดสักพัก แล้วก็ก้มหน้าตอบกลับไปว่า
‘ถ้าพี่เนย์สะดวก ผมยังไงก็ได้ครับ’

‘งั้นเอาเป็นว่าซ้อมนะ’
‘ครับ’


ติ้ง!

‘สี่โมงครึ่งลงมารอหน้าหอเลย’
‘ครับ’

หลังจากทานมื้อกลางวันจนอิ่ม พวกเราก็กลับขึ้นห้องเพื่อทำการบ้านกันต่อ จะได้มีเวลาทบทวนบทเรียนก่อนๆของวิชาภาษามือด้วยส่วนนึง และเวลาที่เหลือจะได้ช่วยกันติวแคมเปญของสาขาด้วย พวกพี่ทีมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก

“จริงๆมึงก็ทำได้นี่หว่า แล้วมึงติดอะไรวะ หรือมึงแกล้งทำไม่ได้?” ไอ้หมอกมันโวยวายออกมาเมื่อค้นพบความจริง
‘กูก็ไม่รู้ว่ะ พอไปทำต่อหน้าพวกพี่เขาแล้ว กูแม่งไม่ตายตอนจบก็กลางทางต้นทางตลอด’ ผมเลือกจะบอกความจริงไปเพียงครึ่งเดียว เพราะผมรู้ดีว่าที่ผ่านมาอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวเอง หรือทำได้ไม่เต็มที่ ทั้งๆที่ก็ผมมั่นใจดีว่าทำได้แน่ๆ

“มึงคงตื่นกล้องแล้วก็กดดันนั่นแหละ กูว่าเลิกซ้อมแล้วพักสมองเหอะ”
เมื่อใกล้ถึงเวลานัด ผมก็ลงมารอรุ่นพี่ต่างสาขาที่หน้าหอพักชาย ไม่นานนักรถคันคุ้นเคยก็เข้ามาจอดเทียบริมฟุตปาธ ผมจึงเปิดประตูและรีบขึ้นรถอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยววันนี้กูพาไปกินร้านไกลหน่อยแล้วกัน ปลอบใจก่อนจะโดนเชือด” สารถีจำเป็นเขาว่าแกมขู่

‘ผมเลี้ยงนะ’ ผมพิมพ์ข้อความแล้วยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน
“ตามสบายเลยครับ ร้านนี้ราคาจัดหนักนะมึง” พอได้ยินอีกฝ่ายตอบแบบนั้น ผมก็นึกอำลาค่าขนมของเดือนนี้ไว้ล่วงหน้าเลยแล้วกัน เพราะการใช้จ่ายมื้อนี้มันต้องมีการเลี้ยงคืนในมื้อต่อไปที่คงสร้างความงุนงงให้มากขึ้น ว่าสรุปแล้วใครติดหนี้ใคร และใครควรชำระหนี้ด้วยยอดที่มากกว่า เพราะหลังๆมา เหมือนผมกับพี่เขาจะผลัดกันใช้หนี้ไปแล้ว

“ร้านนี้ซิกเนเจอร์คือเราสามารถนั่งห้อยขาริมน้ำได้”
“…” ผมยิ้มรับพลางหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

“กูว่ามึงน่าจะชอบ แต่คนมันเยอะ ไปถึงมึงอาจจะไม่ชอบก็ได้มั้ง”
“…” ผมหันกลับมามองรุ่นพี่คนข้างๆอีกครั้ง ด้วยความฉงนว่าสรุปแล้วผมควรจะรู้สึกแบบไหนกันแน่ สงสัยคงต้องรอไปถึงที่ร้านเสียก่อน ถึงจะได้คำตอบ

ร้านดังกล่าวคนเยอะอย่างที่พี่เขาว่าจริงๆ แต่ด้วยความที่เรามากันเร็ว ที่นั่งที่สามารถห้อยขาลงน้ำได้จึงยังไม่เต็ม เราก็เลยได้ที่นั่งทำเลดีคือบริเวณด้านในสุดของที่นั่งแบบแถวหน้ากระดานแนวนอน เพราะไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมาเท่าไหร่ ในเมื่อด้านหลังคือระเบียง ด้านซ้ายคือน้ำ ด้านหน้าก็น้ำ และด้านขวาก็เป็นที่นั่งของลูกค้าท่านอื่น
 
‘ชามะนาวครับ’
“มึงเบื่อบลูเลม่อนแล้วเหรอวะ?”

‘ถ้าวันนี้ก็ใช่ครับ ผมเบื่อแล้ว แต่ถ้าพรุ่งนี้ถามใหม่ จะได้คำตอบอีกอย่าง’
“แล้วของคาวจะกินอะไร มึงชอบยำแซลม่อน เอามั้ย?” ผมพยักหน้าตอบพลางดูเมนูที่อีกฝ่ายเปิดไปด้วย

“เอาชามะนาว แตงโมปั่น ยำแซลม่อน ปลาดุกฟู สเต๊กหมูมั้ย?”
“…” ผมพยักหน้าเพราะไม่รู้จะสั่งอะไรดี

ติ้ง!

‘พี่ชอบน้ำแตงโมปั่นเหรอครับ?’
‘อื้อ อร่อยดี ไหนๆมึงก็ถามละ คราวหน้าจะใช้หนี้กูห้ามเอาน้ำลำใยนะมึง’

‘คนไม่ได้จ่ายเงินไม่มีสิทธิ์เลือกนี่ครับ’
“เผด็จการจริงๆเลยมึงนี่” พี่เนย์หันมาต่อว่าผมที่นั่งอยู่ด้านในสุด ซึ่งจากระยะห่างที่มันใกล้กว่าทุกครั้งทำเอาผมหน้าร้อนเห่อ จนต้องเลือกหันหน้าไปมองน้ำ มองต้นไม้ รอบๆแทน

“มึงคิดว่าที่กูทำ แปลว่ากูจีบมึงป่ะ?”
‘…’ ผมหันหน้ากลับไปมองคนข้างๆอย่างตกใจ ที่จู่ๆอีกฝ่ายก็ถามออกมาแบบนั้น แต่เมื่อได้สติผมก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ตอบ

ติ้ง!

‘ไม่มั้งครับ’
“เหรอวะ” พี่เขาขมวดคิ้วจากนั้นก็หันไปให้ความสนใจกับเมนูที่เราสั่ง เมื่อบริกรนำมาเสิร์ฟ

“ไว้ถ้าแม่ขึ้นมาหา กูพามาที่ร้านนี้ดีกว่า” พี่เขาว่าพลางจัดองศาเครื่องดื่มสองแก้วเพื่อจะถ่ายเก็บไว้ตามสมัยนิยม
“มึงรู้ป่ะ ทุกครั้งที่กูกลับบ้าน กูจะชอบจูบปากพ่อกับแม่ตลอด ใครรู้ใครก็ล้อกูกันหมด แต่กูว่ามันน่ารักดีออก ไม่เห็นน่าล้อตรงไหนเลย” พี่เขาเล่าไปพร้อมกับยิ้มไป จนผมอดใจเต้นระส่ำไม่ได้ เพราะรอยยิ้มของพี่เนย์ในตอนนี้ มันอ่อนโยนมากกว่าทุกรอยยิ้มที่ผมเคยเห็น

“มึงไม่เชื่อที่กูพูดเหรอวะ?” พอพี่เขาถ่ายรูปเสร็จ ก็เลื่อนแก้วมาหาผม พร้อมกับคาดคั้นเอาคำตอบ
‘ไม่ได้ไม่เชื่อครับ แค่คาดไม่ถึง’ ผมพิมพ์ตอบ พลางยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน โดยละเอาไว้ในใจว่าไม่ใช่แค่คาดไม่ถึง
แต่มันน่ารักจนใจสั่นต่างหากล่ะ

“กูว่าเรามาซ้อมงานที่ไอ้ทีมมันฝากไว้ ฆ่าเวลาดีมั้ย”
“…” ผมพยักหน้าตอบ แม้ว่าใจจะยังไม่อยากให้ถึงเวลานั้นก็ตาม เพราะขนาดมีพวกพี่ทีม พี่บอสอยู่ด้วยผมยังแย่ นี่มีแต่พี่เนย์ ผมไม่ลนยิ่งกว่าเดิมเหรอ
ก็ในเมื่อ ไอ้พี่คนนี้นี่แหละที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง

“กูจำภาษามือเพลงนี้ได้หมดละ ถ้าพลาดตรงไหน มึงเชื่อใจกูได้เลยว่ากูจะไม่ปล่อยให้มึงตีเนียนแน่ๆ” พี่เขาขู่ไว้อย่างนั้นพลางหยิบหูฟังออกมาจากกระเป๋ากางเกง
‘แก้หน่อยดีไหมครับ ขมวดซะปมหนาเชียว’ ผมรีบท้วงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมคืนสภาพหูฟังให้มันอยู่ในรูปเดิม
แบบนี้ก็ใกล้กันแย่เลยสิ

“ไม่ต้องเลย มึงอย่ามาเนียน กูจะเปิดเพลงแล้ว” สิ้นคำพูดนั้น ผมก็ทำได้แค่ยอมรับชะตากรรม และใช้ภาษามืออย่างเงอะงะ แต่ก็ไปไม่รอด เพราะผมมัวแต่กลัวว่าอีกฝ่ายจะมองจ้องกันเหมือนทุกครั้ง แต่ปรากฏว่าพอหันไปมอง ผมกลับเห็นอีกฝ่ายกำลังใช้ภาษามือสื่อสารไปตามความหมายของเพลงที่กำลังบรรเลง เห็นอย่างนั้นผมก็เลยลองตั้งใจฝึกซ้อมอย่างจริงจังดูบ้าง
และเมื่อในหัวไม่ได้คอยแต่นึกว่าอีกฝ่ายจะมองอยู่ ผมก็สามารถใช้ภาษามือสื่อความหมายได้จนจบเพลง

“มึงก็ทำได้นี่หว่า” พอผมหันหน้าไปทางคนชม ผมถึงได้รู้ตัวว่าเมื่อครู่การกระทำของตัวเองก็ยังคงอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายเหมือนทุกที

“กินเถอะ อาหารมาเสิร์ฟพักนึงละ” พี่เขายิ้มแบบที่ยิ้มเหมือนกับตอนพูดเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของตัวเอง จนผมรู้สึกตาพร่าอย่างบอกไม่ถูก เลยได้แต่จัดเรียงจานให้เข้าที่เข้าทางแก้เก้อ
ดูเอาเถอะ อาหารมาเสิร์ฟตอนไหนผมก็ยังไม่รู้เลย

อาการหนักเกินไปแล้ว


--------------------------------------------------
[27/01/2018 แก้คำผิด ฟุตบาธ > ฟุตปาธ]
พรุ่งนี้ของดอัพนิยายนะคะ และสำหรับตอนนี้ก็เริ่มมีกุ๊กกิ๊กบ้างนิดหน่อย 555 ตามแพลนเดิมเรื่องนี้มีทั้งหมด 10 ตอน เท่ากับว่าตอนนี้เหลืออีกแค่ 2 ตอนเท่านั้น เรายังลังเลอยู่ระหว่าง จะเลือกให้จบ 10 ตอน ตามคอนเซ็ปเดิมที่เราวางเอาไว้ดีมั้ย แล้วที่เหลือคือตอนพิเศษที่มาในคอนเซ็ปใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่ตอน กับจะเปลี่ยนตอนพิเศษในคอนเซ็ปใหม่ที่ว่าเป็นตอนที่ 11,12, 13 ดี เพราะยังไงเนื้อเรื่องก็ต่อกันอยู่แล้ว เลือกไม่ถูกจริงๆ สองจิตสองใจมากค่ะ
และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่ชอบนิยายของเรานะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 18:32:46 โดย Chomin »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 8 [up 25/10/2017]
«ตอบ #24 เมื่อ25-10-2017 19:49:00 »

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 8 [up 25/10/2017]
«ตอบ #25 เมื่อ25-10-2017 20:08:37 »

 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 8 [up 25/10/2017]
«ตอบ #26 เมื่อ25-10-2017 20:19:34 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 8 [up 25/10/2017]
«ตอบ #27 เมื่อ25-10-2017 21:59:40 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 8 [up 25/10/2017]
«ตอบ #28 เมื่อ25-10-2017 22:43:27 »

 :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
«ตอบ #29 เมื่อ27-10-2017 17:02:59 »

♥ Fall in you ♥
ตอน 9

‘วันนี้กูไม่อยู่ อัดจริงคงราบรื่นดีเนอะ’ หลังจากอ่านข้อความจบ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ใจของผมมันก็ห่อเหี่ยวลง
‘ไปไหนครับ?’ ผมพิมพ์แล้วก็ลบเพราะประโยคนี้อยู่หลายครั้ง เมื่อไม่กล้าตัดสินใจส่งไปถาม แต่มาเสียท่ากดส่งไปก็เพราะความตกใจกลัวว่าพี่ทีมจะเห็นแท้ๆ
ประโยคที่ไม่เคยกล้าส่งก็ถูกส่งออกไปได้อย่างง่ายดาย

“สะดุ้งอะไรขนาดนั้น พี่ไม่ใช่ผีนะเว้ย” พี่ทีมพูดแกมขำ แต่ผมขำไม่ออก เพราะเมื่อครู่ใจผมล่วงลงไปอยู่ตรงปลายเท้าแล้ว
‘ขึ้นห้องเถอะ ฝนจะตกแล้ว’ โชคดีที่พี่บอสเข้ามาใช้ภาษามือสื่อสารกับเราเสียก่อน พี่ทีมจึงต้องมาถอดความภาษามือให้ผมฟัง ผมจึงหายใจหายคอได้โล่งขึ้น

อย่างที่ทราบกันดีว่าวันนี้พี่อาคเนย์ไม่ว่าง ผมเลยต้องซ้อนสามมากับพี่บอสและพี่ทีม ซึ่งท้องฟ้าเบื้องบนก็มืดสนิทจนไม่สามารถแวะไปทานอะไรลองท้องได้เลย พวกเราทั้งหมดเลยเลือกจะกลับมาตั้งหลักที่ห้องก่อน ถ้าหิวจนทนไม่ไหวค่อยหาอะไรในตู้เย็นมาทำกินกัน

“หรือจะทำอะไรกินกันก่อนดีวะ” พี่ทีมวางข้าวของลงบนที่นอนพลางถามเพื่อนสนิทที่ล้มตัวลงนอนกับเตียงไปแล้วด้วยภาษามือ แต่ที่ต้องพูด ก็เพื่อให้ผมเข้าใจบทสนทนานั้นด้วย
“ไอ้บอสมันจะกิน งั้นกินก่อนแล้วกันเนอะรัน” ผมยิ้มพลางพยักหน้ารับ เพราะสิทธิ์ในการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ผม

“มึงไปเปิดแอร์ให้น้องดิ เดี๋ยวกูจะไปเข้าครัว” ร่างสูงของรุ่นพี่ประธานปีสามใช้ภาษามืออย่างรวดเร็วแล้วก็เดินออกไปจากห้องราวกับจรวด ท่าทางว่าเจ้าตัวคงจะหิวมากจริงๆนั่นแหละ

ติ้ง!

‘ร้านเหล้า’ ทันทีที่มีเสียงข้อความเข้า ผมก็รีบค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋า จากนั้นก็เปิดอ่านเมื่อเห็นว่าคนที่รอส่งกลับมา ซึ่งคำตอบนั้นก็ทำเอาผมคิดได้ว่าพี่เนย์เองก็ต้องมีสังคมอีกสังคมหนึ่ง ที่ผมไม่คุ้นเคย จู่ๆใจมันก็ห่อเหี่ยวลงแปลกๆ เพราะผมคงไม่กล้าจะเข้าไปในสังคมนั้น แม้ว่าพี่เขาจะเชื้อเชิญอย่างดีก็ตาม แต่ก็ไม่รู้ว่าเวลานั้นมันจะมาถึงเมื่อไหร่
‘มึงติดหนี้กูนะรัน’

‘หนี้อะไรครับ?’
‘วันนี้กูลงทุนชวนเพื่อนมาเลี้ยงเหล้า เพราะมึงเลย

‘ยังไงครับ?’
‘มึงนี่เข้าใจยากจริง เวลากูอยู่ด้วย มึงก็เงอะๆงะๆ ผิดๆถูกๆจนกูสงสาร ยังไงวันนี้ก็ทำให้สำเร็จแล้วกัน กูโม้ไว้เยอะ อย่าให้กูเสียหน้า’

ผมอ่านบทสนทนาที่โต้ตอบกันเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง ก่อนจะรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเผลอคิดตีความไปได้ว่าความลับของตัวเองที่ไม่ยอมบอกเพื่อนกลับถูกอีกฝ่ายมองออกจนหมด

‘เป็นอะไรล่ะนั่น นั่งหน้าแดงหูแดงไปหมด’ พี่บอสยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ผมอ่านข้อความทั้งๆที่ตัวเองกำลังนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียง
“…” ผมยิ้มพลางส่ายหน้า

‘เห็นไอ้เนย์มันบอกว่าเมื่อวานเราทำได้คล่องมาก วันนี้อัดรอบเดียวก็ผ่าน’
‘อัดรอบเดียวผ่านก็เกินไปครับ แล้วเมื่อวานก็มีทำผิดเยอะด้วย’ ผมแก้ตัวผ่านทางไลน์โดยสนทนากันด้วยการพิมพ์และไม่เงยหน้าขึ้นมามองคู่สนทนาเลยสักนิด

‘แต่มันชมเราหลายรอบมากเลยนะ ว่าทำได้คล่องแบบไม่ต้องหยุดทีละท่อนเลย’
‘อ่า’

‘แล้วมันก็ชมอีกอย่างนึงด้วย’
‘อะไรครับ’

‘รันน่ารัก’
‘แปลกๆนะครับมาชมผมว่าน่ารักเนี่ย’ ผมพิมพ์ไปใจก็สั่นไป ส่วนมือนี่ไม่ต้องพูดถึง จิ้มผิดจิ้มถูกจนน่าโมโห

‘สำหรับไอ้เนย์ การชมผู้ชายไม่แปลกหรอก’
‘??’ คำตอบของพี่บอสทำเอาผมไม่รู้จะพิมพ์อะไรต่อไปดี นอกจากส่งเครื่องหมายคำถามกลับไป

“มาม่าผัดเสร็จแล้ว มากินเร็ว”

‘ไอ้ทีมเรียกแล้ว ไปกันเถอะ’
‘ครับ’ ผมจำต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าใจจะยังไม่อยากจบบทสนทนาเมื่อครู่ลงก็ตาม

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าผมสามารถทำสำเร็จได้ภายในเทคเดียว พวกพี่ๆพากันตื่นเต้นยกใหญ่ รีบเร่งจะช่วยกันทำคลิปวีดิโอให้เสร็จภายในคืนนี้เลย ไม่แน่ว่าคลิปอาจจะปล่อยก่อนเที่ยงคืนก็เป็นได้ เพราะนี่เพิ่งจะสามทุ่ม ผมเลยขอกลับเอง ไม่อยากจะเป็นภาระ และอยากให้งานมันเดิน เพราะเราเสียเวลากันมาหลายอาทิตย์แล้ว
แต่สงสัยจะเป็นคราวซวยของผม เพราะยังเดินไม่ทันจะพ้นซอยดี ฝนก็เทลงมายกใหญ่ ผมเลยต้องวิ่งเข้ามานั่งหลบในร้านกาแฟที่ใกล้ที่สุดแทน

ผมเลือกสั่งชาผลไม้แบบร้อนมาทานแก้หนาว เพราะเนื้อตัวเปียกปอนบวกกับแอร์เย็นๆก็ทำให้เริ่มครั่นเนื้อครั่นตัว และเมื่อได้อยู่กับตัวเอง ผมก็นั่งครุ่นคิดไปถึงเรื่องที่พี่บอสพูด เพราะผมยังไม่เข้าใจนักว่ามันไม่แปลกยังไง
‘ฝนแม่งตก กูคงติดฝนอีกนานเลยว่ะ จะเดินฝ่าไปก็ไกลเกิน’ ผมไลน์ไปแจ้งเพื่อนๆทั้งสองคน เพื่อไม่ให้พวกมันเป็นห่วงที่ผมอาจจะกลับผิดเวลา

‘ให้กูยืมมอไซค์ไอ้โชคไปรับมั้ย?’ ไอ้คินถาม
‘ไม่ต้องหรอกมึง เกรงใจว่ะ ฝนหยุดเมื่อไหร่ก็กลับเมื่อนั้น’

‘เกิดมันหยุดตอนหอปิดมึงจะทำไงวะ’ ไอ้หมอกแย้ง
‘กูก็บอกว่าติดฝนกลับไม่ได้ไง ป้ายามแกคงไม่ใจร้ายหรอกมั้ง’

‘เออ ถ้าจะให้ไปรับก็บอกนะเว้ย’
‘อื้อ’

‘มึง’
‘ว่า?’

‘ผู้ชายชมผู้ชายว่าน่ารัก มึงว่าแปลกมั้ย’
‘แปลก’ ไอ้คินว่า

‘แต่กูว่าไม่แปลก’ ไอ้หมอกเสริม
‘สรุปแปลกหรือไม่แปลก’ ผมพิมพ์เร่ง จากนั้นก็เดินไปรับเครื่องดื่มเมื่อถึงคิวรับเครื่องดื่มของผมแล้ว

‘สำหรับกู ต่อให้ผู้ชายคนนั้นมันหน้าตาดีแบบที่ไม่ใช่แนวเข้มๆอ่ะมึง กูอธิบายไม่ถูก ให้ตายกูก็ไม่ชมเขาว่าน่ารักนะเว้ย เพราะคงไม่มีผู้ชายคนไหนชอบให้คนชมว่าน่ารักมากกว่าหล่อหรอกว่ะ’
‘เออจริง ถ้าเป็นกูโดนชมงั้นนะ กูกระโดดถีบขาคู่ละ’ ไอ้หมอกพลิกลิ้นขึ้นมาแล้ว คราวนี้ยิ่งทำให้ผมเทคะแนนไปที่คำว่า ‘แปลก’ ไปกันใหญ่

‘พี่เนย์ชมมึงเหรอ?’
‘เปล่า’ ผมเลือกที่จะตอบความจริงเพียงครึ่งเดียวอีกแล้ว เพราะพี่เขาไม่ได้บอกกับผมจริงๆ แต่ดันไปบอกกับพี่บอสนั่นไง

‘เอาจริงๆ กูว่าพี่เขาจีบมึงว่ะ’
‘ทำไมคิดงั้นวะ’ ผมย้อนถามไอ้หมอกด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม

‘โอ้โหมึง พี่มันวนเวียนรอบตัวมึงเยอะสัส เช้า กลางวัน เย็น ค่ำ’
‘มึงก็พูดเว่อร์ อย่างมากก็เจอแค่สามครั้งต่อวันเท่านั้นแหละ’

‘มึงครับ เจอกันสามครั้งนี่เยอะเหี้ยๆเลยนะ’ ณ ตอนนี้ หัวใจผมเต้นหนักกว่าเดิมแล้ว เพราะทุกอย่างในหัวมันกำลังเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยยะสำคัญมากๆ
‘มึงไม่คิดว่าผู้ชายกับผู้ชายมันแปลกๆเหรอวะ’

‘แปลกยังไงวะ สมัยนี้นะมึง เดินจูงมือกันจนมดแทบขึ้นยิ่งกว่าคู่ชายหญิงอีก แถมละคงละครแนวนี้ก็เยอะมั้ยมึง กูเห็นเพื่อนเราแม่งหวีดกันเต็มเฟซ’
‘กูว่าถ้าพี่เขาจีบแล้วมึงชอบ มึงก็ไม่ต้องสนอะไรแม่งหรอก’ ไอ้คินเสริม จนทำเอาความรู้สึกหวั่นไหวมันเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างได้ชัดเจนขึ้น

Rrrrr

“มึงนั่งอยู่ร้านกาแฟหน้าปากซอยหอกูป่ะ?” ทันทีที่ผมรับสาย อีกฝ่ายก็รัวคำพูดใส่ผมอย่างรวดเร็ว
“เอ้า กูนี่ก็บ้าเว้ย ดันกดโทรหามึงซะงั้น ถ้ามึงอยู่ มึงกดเลขอะไรก็ได้มาสองที” ผมเลยกดตามคำแนะนำ จากนั้นสายก็ตัดไป ผมจึงได้แต่มองโทรศัพท์ด้วยความงุนงง
แต่ไม่นานเจ้าตัวก็โผล่มาให้เห็นด้วยสภาพที่เปียกซก

“เพื่อนกูมันมาสั่งกาแฟดำเลยเจอมึง” พี่เขาบอกทั้งๆที่ผมยังไม่ทันได้ถามคล้ายกับอ่านใจกันออก จากนั้นคนเปียกปอนของจริงก็เดินไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์

“ทำไมไม่ให้พวกนั้นไปส่งล่ะ?”
‘เกรงใจครับ’

“แล้วถ้ากูจะไปส่งมึงยังจะเกรงใจอยู่มั้ย?” คำถามตอบยากมีมาอีกแล้ว
‘ไม่ครับ’ แต่สุดท้ายผมก็กลั้นใจตอบเมื่อคิดได้ว่าจะลองทำให้ความรู้สึกของตัวเองมันชัดเจนขึ้นอีกหน่อย

“ถ้าหมดแคมเปญนี้แล้ว กูกับมึงยังมากินข้าวเย็นด้วยกันได้มั้ย เพราะหนี้มึงยังเหลืออีกเยอะเลยนะเว้ย” คนตัวเปียกพูดพลางถูมือตัวเองไปมา ไม่รู้ว่ากำลังวางตัวไม่ถูกหรือว่ากำลังหนาวอยู่กันแน่
‘ครับ’ ผมพิมพ์ข้อความแล้วเลื่อนโทรศัพท์ไปให้อีกฝ่ายอ่าน ขณะที่ตัวเองก็จ้องมองสายฝนข้างนอกอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ยิ้มอะไรมึง กูยิ้มตามเลยเนี่ย” พออีกฝ่ายกล่าวอย่างนั้น ผมก็เหลือบมองไปที่กระจกตรงส่วนที่อยู่ข้างหน้าของพี่เนย์ก็ทันเห็นว่าเจ้าตัวกำลังยิ้มอยู่จริงๆ จากนั้นสายตามันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองใบหน้าจริงๆของผู้พูด จากนั้นผมก็ก้มหน้าพิมพ์ข้อความตอบอีกฝ่ายด้วยจังหวะที่เชื่องช้ากว่าทุกที
‘ไม่รู้สิครับ ไม่มีสาเหตุมั้ง’

ถึงตอนนี้ ฝนก็ยังคงตกลงมาไม่ขาดสาย แต่ผมก็ยังคงนั่งมองได้ไม่มีเบื่อ ขณะที่เครื่องดื่มมันก็เย็นจนชืดหมดแล้ว แต่ผมก็ยังคงดื่มมันได้ และความเงียบระหว่างเราทั้งคู่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย

“หอปิดแล้วว่ะ มึงจะเอาไง”
‘ผมว่าจะลองขอป้ายามดู ฝนตกหนักแกคงไม่น่าจะใจร้าย’

“ป้ายามหอมึงชื่ออะไร”
‘ผมจำไม่ได้’ ผมยอมตอบแม้จะไม่เข้าใจว่าพี่เขาจะถามไปทำไม

“ถ้าป้าเพ็ญศรีนะมึง เถรตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัด”
‘ผมจะดวงซวยขนาดนั้นเลยเหรอครับ’

“ก็ถ้ามึงดวงดีจะมานั่งติดฝนอยู่นี่เหรอ”
‘ฮ่าๆ ถ้าผมจะซวยจนกลับหอไม่ได้ ผมก็คงต้องนอนใต้สะพานลอยหรือไม่ก็แย่งที่ไอ้ด่างนอนมั้งครับ’

“มึงถือคติ จะอนาถทั้งที ต้องอนาถให้สุดว่างั้น”
“…” ผมไม่ตอบอะไร แต่เลือกที่จะยิ้มแทน

“ถ้างั้นมึงไปค้างห้องกูเถอะ”
“…” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเจอมุกสุดท้ายเข้าไป

‘ล้อเล่นหรือเปล่าครับ?’
“ล้อเล่นบ้าอะไรวะ นี่กูจริงจังนะเว้ย”

“ใครจะกล้าปล่อยให้มึงไปลำบากลำบนขนาดนั้นวะ หื้ม?”
“…” ผมยิ่งพูดไม่ออกไปใหญ่ เมื่ออีกฝ่ายลงท้ายคำพูดคำจาในลักษณะที่มันชวนเก้อเขินเพราะน้ำเสียงทุ้มอ่อนๆที่เปล่งออกมา

“ไปไม่ไป?”
‘ไปก็ได้ครับ’

ในเมื่อไม่มีทางเลือก ผมก็ต้องเลือกทางเดียวที่มีนี่แหละ

--------------------------------------------------------

จีบกันเบาๆ เนอะ เลยต่างคนต่างเฉไฉความรู้สึกของตัวเองมาตั้งนาน
เรื่องนี้เราได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง Fall in you ของคยูฮยอนค่ะ อารมณ์ของเพลงมันจะเป็นความรักที่ขัดเขิน และทำเป็นไม่รับรู้ว่าใจตรงกัน จุดเด่นจะอยู่ที่รอยยิ้มและบทสนทนาที่พูดคุยกันด้วยเรื่องธรรมดา แต่ทำให้ใจเต้น และหน้าแดง มันคือการจีบกันแบบเรียบง่ายค่ะ บรรยากาศของเรื่องก็เลยออกมาทำนองนี้ 55555
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ หวังว่าจะไม่เบื่อกันไปซะก่อน เราพยายามจะเขียนรันออกมาให้ดูน่ารักทั้งๆที่เขาไม่สามารถพูดได้ ประมาณว่าให้ดูน่ารักที่นิสัย ส่วนพี่เนย์ก็เป็นฝ่ายที่สามารถพึ่งพาได้ ในพาร์ทนี้อาจจะยังไม่เห็น แต่พาร์ทสเปจะได้เห็นกันค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด