พอดีต้องมาเฝ้าน้องที่โรงพยาบาล เลยเอาโน้ตบุ๊คมาพิมพ์ต่อซะเลย ตอนนี้...ไม่เศร้าเท่าตอนที่แล้ว...มั้ง? 11.ท่ามกลางเสียงเอะอะจอแจของสื่อมวลชนและแขกวีไอพีรวมทั้งดารานักแสดงที่เดินขวักไขว่อยู่ในโถงจัดเลี้ยงของโรงแรมดังใจกลางเมือง แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปและไฟติดกล้องอัดเทปบันทึกภาพจากรายการโทรทัศน์หลากช่องสว่างวาบขึ้นตามจุดต่างๆหลังจากที่เพิ่งจบงานแถลงข่าวก่อนการเปิดโครงการ “แพนดิโมเนียม” ซึ่งเป็นการรวมหุ้นของกลุ่มสุวรรณฤทธิ์กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศซึ่งจะเปิดตัวในประเทศไทยสองโครงการและที่เกาหลีอีกหนึ่งโครงการพร้อมกันในช่วงต้นปีหน้า
ชายร่างสูงกำยำดูโดดเด่นในชุดเสื้อสูทสีเข้มสวมทับเชิ้ตผ้าไหมสีเทาปลดกระดุมเม็ดบนไม่ผูกเน็คไทเดินฝ่าฝูงชนที่พยายามเข้ามารุมล้อมขอสัมภาษณ์และถ่ายรูปเพื่อผ่านเข้าไปยังห้องพักวีไอพีที่เยื้องกับบริเวณที่จัดเลี้ยงอย่างรีบร้อน เสียงทุ้มเอ่ยปัดเมื่อนักข่าวคนหนึ่งวิ่งตามมาแล้วเอาเครื่องมืออัดเสียงยื่นมาใกล้ๆ
“ขอโทษครับ ถ้าหากมีคำถามเกี่ยวกับโครงการ ขอให้สอบถามจากคุณวรชัย ที่ปรึกษาอาวุโสของโครงการนะครับ”
ตระการปิดประตูตามหลังเมื่อก้าวเข้ามาในห้องพักแล้วก็ถอนหายใจ ชายหนุ่มเสยผมอย่างอ่อนเพลีย ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่เขากลับมาเมืองไทยก็ยุ่งกับงานตลอดเพราะต้องเดินทางขึ้นลงระหว่างกรุงเทพฯกับภูเก็ตเพื่อคอยตรวจเช็คความคืบหน้าของโครงการที่บิดาร่วมผลักดันกับบริษัทต่างชาติให้เกิดเป็นรูปร่าง โดยก่อนหน้านั้นตระการถึงกับต้องเดินทางไปประจำกับบริษัทย่อยในเครือที่เกาหลีเพื่อคอยติดต่อธุรกิจกับพาร์ทเนอร์โดยตรง และเพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีไม่มีสะดุดตามคำสั่งของบิดาผู้กำลังประสบปัญหาทางสุขภาพซึ่งมีแต่คนใกล้ตัวที่รู้ ส่วนตัวเขาเองก็พอจะตระหนักถึงภาระความรับผิดชอบที่ตนต้องสืบทอด ประกอบกับความจำเป็นที่จะต้องกำจัดความกังขาจากบอร์ดผู้บริหารและเหล่าพนักงานด้านความสามารถในการรับช่วงกิจการของเขาให้หมดไปจึงต้องมุทำงานหนักเช่นนี้
ร่างสูงรินน้ำเย็นจากเหยือกที่บริเวณเคาน์เตอร์ในห้องขึ้นดื่มแล้วก็เดินไปมองทิวทัศน์กรุงเทพฯยามหัวค่ำจากหน้าต่างกระจกชั้นที่ 30 ของโรงแรม เส้นขอบฟ้าขมุกขมัวที่ไกลออกไปยังพอมีริ้วสีแดงเข้มจากแสงอาทิตย์สุดท้ายพาดผ่าน อาบย้อมให้ปุยเมฆที่ลอยล่องเรื่อไปด้วยสีม่วงอมแดงซีดๆชวนให้เหงาหงอย ชายหนุ่มวางมือหนาลงทาบกระจก เมืองใหญ่ที่ดูจอแจไปด้วยผู้คนและแออัดไปด้วยตึกรามบ้านช่องทรงเหลี่ยมก่อให้เกิดบรรยากาศอ้างว้างจับใจ
แผ่นฟ้าที่ไร้ทิวเขาบดบังช่วยให้มองเห็นทัศนียภาพได้ไกล แต่ก็ไม่ไกลพอที่จะเห็นสถานที่ที่อยู่ในใจเขาตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา มือแข็งแรงกระชับแก้วน้ำแน่นขึ้นเมื่อหวนคิดถึงความทรงจำที่ทำให้ปวดยอกในอก เขาปรารถนาเหลือเกินที่จะทิ้งงานที่กำลังทำให้ชีวิตยุ่งเหยิงจนไร้เวลาส่วนตัวแล้วบินขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อปรับความเข้าใจกับคนรักที่ต้องแยกจากทั้งที่ความสัมพันธ์เพิ่งเริ่มต้น นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ยินเสียง กี่วันต่อกี่เดือนที่ไม่ได้เห็นหน้า แม้จะห่างเหินกันเพียงใดแต่ความถวิลหาอีกฝ่ายนั้นไม่เคยลดน้อยตามไปเลย
“แม่ครับ เมื่อไหร่ต้นจะได้ปรับความเข้าใจกับไผ่เสียที?”
ตระการรู้สึกถึงโทรศัพท์มือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋าเสื้อนอกจึงหยิบออกมาดูแล้วก็ถอนหายใจก่อนกดรับ
“ครับพ่อ”
“งานแถลงข่าวกับงานเลี้ยงเป็นไงบ้าง?”
“งานแถลงข่าวได้รับความสนใจจากสื่อธุรกิจพอสมควรครับ ส่วนงานเลี้ยงตอนค่ำก็มีสื่อด้านบันเทิงมาเยอะ น่าจะเพราะเราจ้างดารามาหลายคน แขกที่ส่งบัตรเชิญไปก็มากันเกือบหมด”
“ฉันหวังว่าแกจะกำลังรับแขกและตอบคำถามสื่ออยู่นะ การเป็นหน้าเป็นตาในสายตาสื่อก็เป็นการประชาสัมพันธ์ธุรกิจเหมือนกัน อย่าให้ฉันรู้ว่าแกให้วรชัยออกหน้าอยู่คนเดียว นี่เป็นหน้าที่ของผู้บริหาร ลูกน้องจะมองยังไงถ้าแกมัวแต่หลบหน้าผู้คน”
ชายหนุ่มแค่นยิ้มกับประโยคดักทางที่แม่นยำราวอีกฝ่ายมาร่วมงานและสังเกตการณ์ด้วยตนเอง “ผมทราบครับ พอดีตอนแถลงข่าวผมโดนนักข่าวสัมภาษณ์เยอะเลยเพลีย ตอนนี้ผมเบรกอยู่แต่เดี๋ยวจะออกไปเปลี่ยนกับอาวีแล้วครับ”
“งั้นก็ดี”
ตระการกดวางสาย เมื่อมองไปนอกหน้าต่างฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มแล้ว ชายหนุ่มหมุนตัวกลับแล้วก็สูดหายใจเข้าลึกก่อนเปิดประตูห้องพักเพื่อกลับไปร่วมงานสังสรรค์ที่ตนเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง
ร่างสูงโดดเด่นก้าวเข้างานได้ไม่ถึงอึดใจก็มีวงแขนบอบบางตรงรี่มาคว้าแขนแกร่งข้างหนึ่งไปคล้องอย่างสนิทสนม
“พี่ต้นหายไปไหนมา ลี่รอถ่ายรูปคู่กับเจ้าภาพตั้งนานแล้วนะคะเนี่ย ไปตรงหน้างานกันดีกว่า”
ตระการยิ้มตามมารยาทเมื่อโดนดึงตัวไปบริเวณที่จัดไว้สำหรับถ่ายรูปบริเวณทางเข้างานแล้วก็มีแต่คนที่ไม่รู้จักเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยเต็มไปหมด แต่ไม่ว่าจะมีใครสับเปลี่ยนเข้ามาสักกี่ราย หญิงสาวข้างกายก็ไม่ผละห่างจากเขาเลย ตรงกันข้ามกลับยิ่งเบียดกายในชุดเกาะอกสั้นรัดรูปเข้าใกล้มากขึ้นเวลาถ่ายรูปหมู่หลายๆคน ด้วยพื้นที่ที่จำกัดแม้ชายหนุ่มจะพยายามถอยสร้างระยะห่างก็ไม่เกิดผลเท่าใดนัก
“อุ๊ย เจ้ปาล์มมาด้วยเหรอวันนี้”
ลลิตาจูงมือชายหนุ่มเดินตามหลังคนรู้จักของตนอย่างถือวิสาสะ ตระการกลอกตาแม้ไม่ชอบใจ เอาเถอะ บางทีเขาอาจหาโอกาสปลีกตัวออกมาระหว่างที่นางแบบสาวคุยอยู่กับเพื่อนได้ ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วเมื่อได้พิศใบหน้าของคนที่กำลังถูกจูงเข้าไปหาในระยะใกล้ ชายหนุ่มจำไม่ได้ว่าเคยเห็นใบหน้านั้นที่ไหนแต่ก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาหญิงสาวผมซอยสั้นอย่างบอกไม่ถูก
เสียงที่ค่อนข้างแหบต่ำเมื่อเทียบกับผู้หญิงทั่วไปเอ่ยตอบเมื่อโดนหญิงสาวร้องทักเสียงแหลม “พอดีวันนี้อิเว้นท์ชนกันหลายงาน พี่ที่กองเลยขอให้มาเก็บภาพกับเนื้อข่าวของงานนี้ไปให้ ไม่คิดว่าจะเจอลี่ที่นี่เหมือนกันนะ”
“พี่ต้นคะ นี่เจ้ปาล์ม เป็นลูกพี่ลูกน้องลี่เอง ทำงานอยู่นิตยสาร ว่าแต่เมี่อกี้เจ้ได้ทันถ่ายรูปคู่ของลี่กับพี่ต้นตรงทางเข้างานรึเปล่า” ท้ายประโยคหญิงสาวหันกลับไปถามญาติของตน
“ก็ได้ไปหลายช็อตแล้วแหละ แต่ถ่ายอีกก็ได้” หญิงสาวยักไหล่แล้วยกกล้องขึ้นเก็บภาพเมื่อเห็นนางแบบสาวเตรียมโพสท์ท่ากับนายแบบจำเป็นไปแล้ว ลลิตาผละแขนจากตระการไปขอดูรูปที่ขึ้นบนจอของกล้องดิจิตอลแล้วก็ทำแก้มป่องเสียงกระเง้ากระงอด
“พี่ต้นน่ะ ทำไมไม่ยิ้มเลยล่ะคะ”
ชายหนุ่มยิ้มจืดๆ แต่ไม่ทันพูดอะไรคนที่เป็นตากล้องก็ชิงพูดปรามหญิงสาวขึ้นเสียก่อน “เอาน่ะลิลลี่ เห็นใจกันหน่อย ท่านเจ้าภาพเค้าคงเหนื่อย”
หญิงสาวผมสั้นในเสื้อเชิ้ตแขนสามส่วนเข้ารูปและกางเกงยีนส์ทรงตรงยืนกดปุ่มเลื่อนเช็ครูปไปเรื่อยๆ ตระการสังเกตว่าคนตรงหน้าเตี้ยกว่าลลิตาที่สวมรองเท้าส้นแหลมเพียงนิดหน่อยเท่านั้น แสดงว่าเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างสูงพอสมควร ขณะที่ชายหนุ่มพยายามนึกว่าเคยพบกับคนตรงหน้าที่ไหน สายตาที่ดูฉลาดรู้ทันคนก็เหลือบขึ้นสบตาเขายิ้มๆอย่างผู้ที่ถือไพ่ลับเอาไว้
“ว่าแต่ เจ้าของบ้านนฤมิตรตอนนี้สบายดีเหรอ?”
*************
“เฮ้ย! ปล่อยซะทีสิ จะพาเราไปไหนเนี่ย!?”
ปฏิมาโวยเสียงฉุนพลางพยายามสะบัดมือที่ถูกมือใหญ่ลากให้เดินตามทันทีหลังสิ้นประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบจริงจังของตน ชายหนุ่มตาโตขึ้นหลังจากได้ยินคำถามนั้น แล้วก็ตรงเข้ามาคว้าข้อมือหล่อนไว้แน่นก่อนหันไปบอกลิลลี่ว่ามีธุระอยากขอดูรูปถ่ายของงานด่วนและขอให้อย่าตามไปที่ห้องพัก จากนั้นก็หมุนตัวพาหล่อนออกมาทันทีทั้งๆที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
ตระการจูงหญิงสาวเข้าในห้องพักวีไอพีแล้วปิดประตูตามหลัง ร่างสูงเพรียวสะบัดข้อมือหลุดจากการจับกุมแล้วก็ก้าวออกห่างจากร่างสูงใหญ่ก่อนหันมองอีกฝ่ายอย่างระแวง
“มีธุระอะไร?”
ชายหนุ่มยกมือทั้งสองข้างขึ้นเมื่อเห็นนัยน์ตาไม่ไว้ใจมองจ้องตรงๆ “ขอโทษที่บังคับพามาที่นี่ ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีจริงๆ แต่พอคุณถามขึ้นมาเมื่อกี้ผมเลยจำได้ คุณเคยไปพักที่เกสต์เฮ้าส์ของไผ่ช่วงเดียวกับผมเมื่อปีที่แล้วใช่ไหม?”
หญิงสาวเลิกคิ้ว “เราจำชื่อเจ้าของบ้านนั้นไม่ได้หรอก แต่ถ้าหมายถึงคนหน้าหวานๆตัวผอมๆนั่นล่ะก็ใช่ ทำไมเหรอ เลิกกันแล้วรึไง?”
คำถามตรงๆแทงใจดำจนชายหนุ่มหน้าหมองลง “ผมไม่รู้ ถ้าคุณถามไผ่คุณอาจได้คำตอบแบบนั้น แต่สำหรับผม ผมยังรักเขาอยู่”
ทายาทหนุ่มของกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังบอกเล่าตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงมั่นคงจนคนฟังประหลาดใจ ปฏิมากอดอกพิงเคาน์เตอร์แล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม
“ทำไมกล้าพูดแบบนั้น ไม่กลัวเราแบล็คเมล์หรือไง แล้วที่ลิลลี่บอกใครๆว่าคบนายอยู่หมายความว่าไง?”
“ผมเคยไปไหนมาไหนกับลิลลี่กับกลุ่มเพื่อนของเขาบ้างตอนเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ผมไม่เคยคิดอะไรกับเขาเกินความเป็นเพื่อนหรือพี่น้อง บังเอิญร้านเพชรของครอบครัวลิลลี่เป็นผู้เช่ารายสำคัญในโครงการหลายๆแห่งของเครือผมพวกเราก็เลยเจอกันในงานบ่อยก็เท่านั้นเอง”
“พูดง่ายดีนี่ ถ้างั้นนายจะบอกว่าลิลลี่กุข่าวงั้นเหรอ?”
“ถ้าคุณถามผม ผมก็จะตอบตรงๆว่าใช่” ชายหนุ่มถอนหายใจ “ลิลลี่ไม่ใช่คนไม่ดี แต่เขาไม่ใช่คนที่ผมรัก”
ปฏิมาขมวดคิ้วเมื่อเห็นแววตาคมทอประกายเศร้าจึงพูดเสียงอ่อนลง
“แล้วทำไมถึงกล้าเล่าให้เราฟัง เราเป็นลูกพี่ลูกน้องลิลลี่นะ ไม่กลัวเราไปบอกเค้าเหรอ?”
มือหนายกขึ้นลูบหน้าอย่างใคร่ครวญ “แบบนั้นอาจดีกว่าก็ได้ ไม่รู้สิ ผมแค่ดีใจที่ได้เจอคนที่เป็นพยานว่าเคยเห็นผมกับไผ่ช่วงที่มีความสุขด้วยกัน แล้วถ้าเป็นไปได้ ผมขอร้องว่าอย่าเอารูปคู่ของผมกับลิลลี่ตีพิมพ์ในหนังสือของคุณก็พอ”
หญิงสาวยืนนิ่งพลางลอบมองคนตรงหน้า สายตาของตระการซื่อตรงเกินกว่าจะคิดว่าชายหนุ่มกำลังเสแสร้งขอความเห็นใจ และหญิงสาวก็เคยเห็นภาพความสนิทสนมระหว่างทายาทธุรกิจพันล้านกับเจ้าของเกสต์เฮ้าส์เล็กๆบนชายเขาในเมืองทางเหนือกับตามาแล้วจริงๆ ร่างเพรียวคลายแขนที่กอดอกอยู่แล้วทรุดตัวลงนั่งที่โซฟามุมห้อง ตระการมองตาม
“ไหนๆคืนนี้เราก็ไม่ได้มีแผนจะไปไหนต่อ ยังไงช่วยเล่าเรื่องของนายกับไผ่ให้เราฟังได้ไหม?”
*************
“รสชาติเป็นไงมั่งไผ่ คิดว่าจานนี้พอจะนำเสนอไหวมั้ย”
คนถูกขอความเห็นเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารแล้วก็ยิ้มบางๆให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “อร่อยดี อ้นนี่ความคิดสร้างสรรค์ดีนะ ไม่เสียแรงที่ไปฝึกทำอาหารที่ญี่ปุ่นมา”
คนถูกชมยิ้มเขินพลางเกาท้ายทอยซึ่งคงเป็นกิริยาที่ติดมาจากการไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นอยู่หลายปี
“ก็ลองผิดลองถูกไปเรื่อยแหละ ยังไงถ้าไม่ได้เอาให้คนอื่นชิมดูก่อนก็ไม่กล้าเอาลงเมนูหรอก อาหารแนวลูกผสมแบบนี้”
พรพฤกษ์ส่งเสียงแย้งในคอแล้วหยิบแก้วน้ำชาอุ่นๆขึ้นจิบ ชายหนุ่มนั่งอยู่ในร้านอาหารของอภิสิทธิ์ อดีตเพื่อนร่วมโรงเรียนสมัยเด็กซึ่งไม่ได้พบกันตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย ร้านดังกล่าวตั้งอยู่ในถนนชื่อดังกลางตัวเมืองเชียงใหม่ซึ่งเป็นแหล่งที่ใกล้หอพักนักศึกษา ระหว่างวันจึงมีลูกค้าเข้าร้านมากมายเพราะติดใจในความแปลกใหม่ของรสชาติอาหารที่นำแนวอาหารแบบไทยและญี่ปุ่นมาผสมกันอย่างลงตัว แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาใกล้ปิดร้านแล้วลูกค้าจึงเหลือเพียงไม่กี่โต๊ะ
“นี่ยังดีนะที่ป๊ายอมให้ยืมเงินมาลงทุน ตอนที่บอกว่าจะออกมาทำร้านของตัวเองโดนบ่นอู้เลย”
“ก็น่าอยู่หรอก ป๊าของอ้นคงอยากให้ลูกชายสืบทอดร้านข้าวซอยของตัวเองมากกว่าน่ะสิ”
พรพฤกษ์ว่าแล้วก็หัวเราะ อีกฝ่ายจึงถอนหายใจเฮือก “ให้แอ้มันทำไปแล้วกัน น้องสาวเราเชื่อฟังป๊ากับม้าดี น่าจะสืบทอดร้านได้ดีกว่า จะว่าไป ไผ่มาอยู่บ้านนอหลายเดือนแล้วเหมือนกันนะ นี่กะปิดบ้านนฤมิตรยาวเลยเหรอ”
คำถามนั้นเหมือนจุดไต้ตำตอ นัยน์ตาหวานเสมองไปนอกร้านแล้วก็อ้อมแอ้มตอบ
“พอดีช่วงนี้อยากพักผ่อนแล้วลุยทำงานแปลน่ะ ถ้าจะอยู่คนเดียวที่บ้านนั้นมันก็เหงา เลยคิดว่าเข้ามาอยู่ในเมืองสักพักดีกว่า ตอนแรกก็จะไปเช่าหออยู่แต่นอบอกว่าไหนๆก็ต้องช่วยดูร้านอยู่แล้วก็ไปอยู่ที่บ้านซะเลย”
นัยน์ตาของอีกฝ่ายเป็นประกายขึ้นทันที
“ความจริงเรายังพอมีห้องชั้นบนเหลือนะ ถ้าเกิดไผ่อยากเปลี่ยนบรรยากาศจากบ้านนอ จะมาอยู่ชั้นบนร้านเราก็ได้ ที่นี่มีเราอยู่คนเดียวเพราะเด็กๆในร้านเค้าไปเช้าเย็นกลับ”
ใบหน้าหวานหันกลับมาเลิกคิ้ว จริงอยู่ว่าถึงแม้ช่วงนี้จะติดต่อกับเพื่อนคนนี้มากขึ้นแต่เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองสนิทกับอีกฝ่ายขนาดที่จะมารบกวนเรื่องที่พัก แต่กระนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจที่ถูกหยิบยื่นให้เสียทีเดียว
“ขอบใจนะ จะเอาไปคิดดู”
“เดี๋ยวเราเข้าไปหลังร้านแป๊บนะ จะดูว่าปิดครัวกันเรียบร้อยหรือยัง”
พรพฤกษ์เท้าคางมองดูรถที่ขับผ่านไปมาบนถนนด้านหน้าร้านอย่างเหม่อๆ เกือบสี่เดือนแล้วหลังจากชายหนุ่มเจ้าของบ้านนฤมิตรประกาศแจ้งบนเว็บไซต์ว่ากำลังปิดเกสต์เฮ้าส์เพื่อทำการปรับปรุง ชีวิตที่ไร้เงาของคนที่เคยผูกพันดำเนินไปอย่างเหงาหงอย ในช่วงเวลาหลังจากที่ตระการกลับไปกรุงเทพฯช่วงแรกๆนั้นเป็นปลายฤดูฝนเข้าฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวทยอยมาพักเขาจึงพอมีอะไรให้ทำบ้าง แต่พอเข้าช่วงโลว์ซีซัน&#