ป้าไม่คิดจะต่อจริงอ่ะวันนี้
ไม่ฉงฉานป๋มหน่อยเหยอ
คิดเสียว่าเห็นแก่ไอ้เอตัวน้อยๆที่แสนจะน่ารักน่าเอ็นดู คนนี้หน่อยนะคับ
เอาตอนต่อไปมาลงส่งผมหน่อยน้าๆๆๆ ป้าคนสวย สวยที่สุดในปฐพี
พอจะอ้อนขึ้นมาล่ะเห็นป้าสวยขึ้นมาทันที ไม่รู้ได้อ่านทันก่อนไปขึ้นรถรึเปล่านะ โชคดีบ่ายนี้นายไม่เข้าออฟฟิศเลยพอปั่นนิยายได้ แล้วก็เดี๋ยวทั้งอาทิตย์นี้ป้าโดนงานนอกรุมเร้า ทั้งแปลบทความให้นศ.ปริญญาโท ทั้งวาดภาพประกอบนิทานให้ธีสิสของญาติ บทต่อไปจะได้มาลงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เง้อออ ~ เวลานอนของช้านนนนน *************
5. ตระการชะลอรถและแตะเบรกเมื่อเห็นสัญญานไฟบริเวณสี่แยกเริ่มเปลี่ยนสี สัญญานไฟสำหรับคนข้ามถนนสว่างวาบขึ้นพร้อมกับเสียงสัญญานเร่งให้คนเดินข้าม สามีภรรยาชาวต่างชาติคู่หนึ่งจูงเด็กชายผมสีอ่อนแก้มแดงยุ้ยน่ารักข้ามบริเวณทางม้าลายก่อนเดินหายลับไปในซอยเล็กๆ เขามองภาพครอบครัวอบอุ่นนั้นแน่วนิ่ง ทำไมกันนะ ภาพความทรงจำในวัยเด็กของเขาจึงไม่เคยมีบรรยากาศแห่งความชื่นมื่นเช่นนั้นอยู่เลย
*************
“คุณคะ ให้ต้นได้เลือกเรียนอย่างที่เค้าชอบเถอะนะคะ”
“เธอก็ดีแต่ตามใจ มันก็รู้ว่ายังไงมันก็ต้องกลับมาดูแลกิจการของกลุ่ม ทำไมฉันต้องให้มันเสียเวลาไปเรียนอะไรที่ไม่มีประโยชน์อย่างนั้นด้วย”
“คุณตฤณ ถือว่าเห็นแก่พิม อย่างน้อยตอนนี้ให้แกได้ทำสิ่งที่แกอยากทำเถอะค่ะ”*************
ตระการสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแตรรถคันหลังบีบไล่ นัยน์ตาคมเหลือบมองไฟสัญญานที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วจึงเหยียบคันเร่งออกตัวอย่างแรงจนยางล้อรถบดถนนเสียงดังแสบแก้วหู
ชายหนุ่มถอยรถเข้าซองในลานจอดรถหลังตลาด หลังเช็คว่าล็อคประตูเรียบร้อยก็เดินหาตู้โทรศัพท์แบบใช้บัตรที่จำได้ว่าเคยเห็นตอนเข้าเมืองมาซื้อของกับพรพฤกษ์เมื่อครั้งก่อน ร่างสูงแข็งแรงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนสอดบัตรเข้าเครื่องแล้วกดหมายเลขเก้าหลักที่เขาจำได้ขึ้นใจ หลังฟังสัญญานเรียกครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากปลายสาย
“สวัสดีค่ะ ที่นี่บ้านสุวรรณฤทธิ์ค่ะ”
“ป้าแสน ผมต้นนะ พ่ออยู่ไหมครับ?”
เสียงปลายสายดังขึ้นอย่างตื่นเต้น “คุณต้น!! ตายแล้วพ่อคุณ อยู่ดีๆก็ผลุนผลันหายไปจากบ้าน คุณท่านก็อารมณ์เสียตลอดที่ติดตามคุณต้นไม่ได้เลย แล้วนี่คุณต้นอยู่ที่ไหนคะ?”
ตระการตัดบทโดยเลือกไม่ตอบคำถามของหญิงวัยกลางคนเลยสักคำถาม
“ถ้าพ่ออยู่ขอผมคุยด้วยหน่อยครับป้า”
เสียงเครียดๆเหมือนกำลังข่มอารมณ์ทำให้หญิงวัยกลางคนรีบละล่ำละลักรับคำก่อนจะไปตามคู่สนทนาให้เขา ไม่นานชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำแหบๆดังขึ้นจากปลายสาย
“แกอยู่ที่ไหน?”
คำถามสั้นห้วน น้ำเสียงนิ่งแต่ทรงพลังราวจะคุกคามเขาอยู่ในที ไม่มีแม้คำถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามแบบที่บิดาทั่วไปพึงถามบุตรที่จู่ๆหายตัวไปจากบ้าน ทว่าตระการก็มิได้คาดหวังอยู่แล้วว่าจะได้ยินคำพูดที่แสดงความห่วงใยจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด ชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนสร้างฐานะพิสูจน์ตนเองมาตลอดในวัยหนุ่มคงเผาผลาญความรู้สึกอ่อนโยนของพ่อเขาให้เหือดแห้งไปหมดแล้วกระมัง
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆโดยระวังไม่ให้เสียงลอดเข้าหูโทรศัพท์ก่อนกรอกเสียงลงไป “ผมเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้แล้วนี่ครับว่าไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องงานผมก็ฝากคุณวรชัยไว้แล้ว ตอนนี้ไม่มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจเร่งด่วน อาวีเขาจัดการได้พ่อก็รู้”
“แต่ตอนนี้เรามีโครงการแพนดิโมเนียมที่ต้องคุยกับทางคุณลิขิตอยู่นะ”
“เราไม่ใช่รายเดียวที่ทางนั้นกำลังเจรจาอยู่นี่ครับ”
เสียงปลายสายเริ่มเข้มขึ้นด้วยความฉุนเฉียว “แกไม่ต้องมาเถียงฉัน แกคิดว่าแกมีสิทธิ์อะไรถึงจะมาทำให้กลุ่มสุวรรณฤทธิ์ที่ฉันสร้างมาต้องตกต่ำเพราะแกไม่ดิ้นรน ฉันให้อิสระที่แกต้องการมามากเกินพอแล้วต้น ตื่นจากความฝันแล้วมาเจอกับชีวิตจริงได้แล้ว!”
มาแล้ว คำพูดเดิมๆที่ทำร้ายจิตใจ บทสนทนาที่ซ้ำซากอยู่กับเรื่องเก่าๆเหมือนอัดเทปไว้ บางครั้งเขาก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองเกิดมาผิดที่ ถ้าเขาได้อยู่ในครอบครัวชนชั้นกลางที่ไม่ใช่นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พันล้านชีวิตเขาจะปลอดโปร่งสักแค่ไหน ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไรตอบ พ่อของเขาก็สำทับใส่โทรศัพท์ตามมาอีก
“แล้วก็หนูลิลลี่น่ะ เขาโทรมาหาแกหลายรอบแล้ว ยังไงฝ่ายนั้นก็เป็นผู้หญิง อย่าทำให้เขาต้องงามหน้าไปมากกว่านี้ ติดต่อไปหาเขาซะด้วย”
ตระการจับอะไรบางอย่างได้จากน้ำเสียงของบิดาจึงรีบแก้ตัว “พ่อครับ ผมกับลิลลี่ไม่ได้เป็นอะไรกันนะครับ เราเจอกันในงานเลี้ยงบ้างก็จริง แต่นักข่าวเอาไปเขียนข่าวกันเอง ผมไม่เคยนัดเจอเขาเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง”
“งั้นที่เขาให้สัมภาษณ์สื่อไปปาวๆว่าพวกแกสนิทสนมกันมากนั่นจะว่ายังไง ยังไงบ้านเขาก็มีหน้ามีตา ชั้นไม่ได้ว่าอะไรถ้าแกจะดองกับเขา” น้ำเสียงลงท้ายนั้นมีประกายเหยียดหยันอยู่ในที
ตระการกำหูโทรศัพท์แน่น ที่จริงเขาควรจะชินได้แล้วที่บิดาเห็นความสัมพันธ์ของคนเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ ถ้าไม่เพียงเพราะเขาเคยประสบมาแล้วด้วยตนเองว่าอย่างน้อยผู้ให้กำเนิดก็ยังมีความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลงตามประสาผู้ชายทั่วไปกับผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง เขาคงคิดว่าตฤณ สุวรรณฤทธิ์ ผู้ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในนักธุรกิจชั้นนำของประเทศนั้นมีหัวใจที่ตายด้านไปแล้วจริงๆ
“เอาเป็นว่า เดี๋ยวผมจะติดต่อคุณวีเรื่องโปรเจ็กต์ของคุณลิขิตก็แล้วกัน ส่วนเรื่องลิลลี่ อย่างน้อยผมขอตัดสินใจเองว่าจะทำยังไงต่อไป”
“แกจะทำอะไรก็รีบทำ แล้วก็รีบๆกลับมากรุงเทพฯได้แล้ว อย่าให้ฉันต้องจ้างคนไปตามแกกลับมา รู้ไว้ว่าจะตามตัวแกน่ะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉัน”
ตระการนิ่งไปชั่วอึดใจ เขาตระหนักดีอยู่แล้วว่าเวลาแห่งความสุขอันหอมหวานที่ตนเองได้ลิ้มรสอยู่นั้นกำลังหดสั้นลงเพียงใด แต่อย่างน้อยเขาก็อยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะต้องกลับไปเผชิญกับชีวิตที่แตกต่างไปจากตอนนี้ราวพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
“ผมรู้ว่าพ่อทำได้ อย่างน้อย ขอผมทำตามคำขอของแม่ให้เรียบร้อยก่อน แล้วราวสัปดาห์หน้าผมจะกลับไป”
ปลายสายวางหูไปแล้ว ตระการวางหูโทรศัพท์แต่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ความทรงจำตลอดช่วงเวลาตั้งแต่วันแรกที่ได้ออกจากเมืองหลวงมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองเหนือนี้เกือบสองสัปดาห์ฉายซ้ำไปมาในหัว ความทรงจำที่มีแต่ภาพของคนอีกคนหนึ่งยิ้มและหัวเราะที่ทำให้หัวใจของเขาพองฟูด้วยความอิ่มเอมในใจ
ขอเพียงตอนนี้ แม้มันจะเป็นแค่ความฝัน ก็อย่าให้เขาต้องรีบตื่นขึ้นมาพบความจริงเลย...