คิดถึงแฟนๆขาประจำทุกท่านเจ้าค่า~
เอ็ดเวิร์ด เฉิน ไม่แน่ใจที่ว่าสั้นนี่คือนิยายของป้าหรืออะไร แต่หลังๆนี้ก็พยายามเขียนแต่ละตอนให้ยาวขึ้นแล้วนะ กลัวคนอ่านไม่จุใจ
The Living Rive พลังจิ้นเท่านั้นที่ครองโลกจ้า~~ โฮะๆๆๆ
ที่รักของ... ไม่เอา ไม่สปอยล์ กิ๊วๆ
บุหรง ช่วงนี้หายไปเลยแฮะ ปั่นนิยายตัวเองอยู่อะดิ คิดถึงนะตะเอ๊ง
pickki_a แท็งกิ้วหลานรัก อย่าว่าแต่ป้าเลย เรื่องของตัวเองก็ค้างได้ที่พอกัน ยังไงก็ขอบคุณที่ชอบสำนวนป้านะจ๊ะ
Ju!_Ju! ไปภูเก็ตเจแตกไปมั่งยังเนี่ย แล้วก็คิดว่าเพราะใครยะป้าถึงได้กลายเป็นป้าอย่างทุกวันนี้ โฮก! *************7.พรพฤกษ์สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือเสียดก้องเข้ามาในโสตประสาท ชายหนุ่มหยีตาขึ้นข้างหนึ่งมองออกไปที่หน้าต่างก็เห็นว่าภายนอกสว่างสดใส แสดงให้เห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้านานพอสมควรแล้ว ร่างเพรียวหลับตาลงอย่างเก่าพลางขยับตัวและกวาดมือเปะปะไปยังโต๊ะเล็กข้างหัวเตียง พอคว้าได้โทรศัพท์มือถือก็กลั้นหาวก่อนกดปุ่มรับสายทันที
“สวัสดีครับ”
เสียงหัวเราะก๊ากดังมาจากปลายสาย “ไอ้เสียงเหมือนคนยังไม่ตื่นนั่นมันอะไรวะ คุณท่านพรพฤกษ์คร้าบ ถือว่าเป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์แล้วนอนอืดกินบ้านกินเมืองอย่างงี้ได้เรอะ?”
พรพฤกษ์ขมวดคิ้วแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นดูหน้าจอ เมื่อเห็นชื่อว่าใครเป็นคนโทรมาก็ยิ้มขำ นิ้วมือเรียวยกขึ้นขยี้ตาพลางตอบรับ
“ขออู้มั่งสิ เมื่อคืนทำงานดึก กว่าจะได้นอนก็ตีสาม แขกก็ไม่มีมาพัก”
เอ...จริงๆก็มีอยู่คนหนึ่งล่ะนะ แต่ทำไมไม่รู้สึกเหมือนเป็นแขกก็ไม่รู้เหมือนกัน พรพฤกษ์คิดช้าๆเหมือนสมองยังไม่ตื่นตัวดี
“อู๊ยยยย ชีวิตเอกเขนอกจริงโว้ย ว่าแต่ช่วงนี้เงียบหายไปนานแล้วนะ คนเค้าไม่ได้ชวนลงหุ้นทำร้านให้รอรับทรัพย์อย่างเดียวนะเว้ย ว่างๆก็ลงมาเป็นนางกวักเรียกลูกค้ามั่งซิ”
“เฮ่ย...ไม่ใช่ผู้หญิง”
พรพฤกษ์ติงอย่างไม่ใส่ใจนักพลางยันตัวขึ้นแล้ววาดขาลงข้างเตียง “แล้วส่วนที่เราลงขันไปก็ส่วนเล็กๆเอง นอมันยังบอกว่าไม่ต้องลงไปบ่อยๆก็ได้ พนักงานในร้านก็มีตั้งเยอะแยะ”
“ไอ้นี่ กวนนะ เอาเหอะ พอดีคืนนี้น้องแนนเค้าจะจัดงานวันเกิดที่ร้านแล้วบ่นคิดถึงพี่ไผ่ๆ ไอ้นอเลยฝากให้โทรมาชวน ตกลงว่างมาแจมมั้ยล่ะ”
พรพฤกษ์เหลือบดูปฏิทินแขวนข้างประตู พรุ่งนี้เป็นวันที่จะมีแขกมาเข้าพักสองห้องตามที่เคยโทรมาจองไว้กับตระการ ถ้าเขาเตรียมห้องไว้ให้เรียบร้อยก่อนตั้งแต่วันนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“ไปก็ได้ ไม่ได้เข้าร้านมาเป็นเดือนแล้วนี่ เอ้อ...เฮ้ยย่าม คืนนี้เราพาเพื่อนไปด้วยได้มั้ย”
“หือ ไปแอบมีเพื่อนที่ไหนแล้วไม่บอกเพื่อนฝูงด้วยเหรอวะ ก็เอาดิคนเยอะๆจะได้คึกคัก”
พรพฤกษ์ไม่ทันรู้สึกถึงน้ำเสียงกระเซ้าๆของอีกฝ่ายตอนที่พูดคำว่า “เพื่อน” จึงกลั้นหาวอีกครั้งก่อนตัดบท
“เอาเหอะ ยังไงไว้คืนนี้เจอกันที่ร้านแล้วค่อยคุยกัน”
นิ้วเรียวกดปิดโทรศัพท์มือถือก่อนลุกเข้าห้องน้ำ ห้องนอนของเขาเป็นห้องเดียวในบ้านที่มีห้องน้ำในตัวเพราะเป็นห้องนอนหลักและเพื่อความเป็นส่วนตัว พรพฤกษ์เงยหน้าขึ้นมองกระจกหลังแปรงฟันล้างหน้าเสร็จพลางเอาผ้าขนหนูซับใบหน้า จะว่าไป เมื่อคืนเขาจำได้ว่าเหนื่อยมากจนฟุบหลับไปหน้าคอมพิวเตอร์ แล้วก็รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อตระการมาเรียก แต่กระนั้นก็จำไม่ได้ว่าตนเองเดินขึ้นมาบนห้องนอนตอนไหน ท่าทางเขาคงเพลียมากไปจนละเมอเดินตามคนปลุกขึ้นมากระมัง
เมื่อพรพฤกษ์เดินลงมาชั้นล่างก็พบว่าตระการกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ พ่อครัวจำเป็นหันมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง
“ตื่นแล้วเหรอ หิวมั้ย? ต้นทำข้าวต้มปลาไว้ กินก่อนค่อยทำงานต่อนะ”
ร่างเพรียวเลื่อนเก้าอี้ออกนั่งแล้วรับถ้วยข้าวต้มควันกรุ่นมาไว้ตรงหน้า “เมื่อคืนแปลไปได้เยอะแล้ว วันนี้บ่ายๆก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะ ว่าแต่คืนนี้เพื่อนโทรมาชวนให้ไปที่ร้าน ต้นอยากไปด้วยกันมั้ย”
ร่างสูงชะงักมือแข็งแรงที่กำลังตักข้าวต้มเข้าปาก นัยน์ตาคมตวัดขึ้นมองอีกฝ่ายยิ้มๆ
“ไปอยู่แล้วสิ เรื่องอะไรจะเฝ้าบ้านเหงาอยู่คนเดียวล่ะ”
*************
พรพฤกษ์จอดรถเลียบถนนในตรอกเล็กๆไม่ห่างจากร้านอาหารกึ่งผับที่ตนเป็นหุ้นส่วนกับเพื่อนก่อนจะเดินนำตระการไปที่ร้าน เนื่องจากทั้งสองเดินทางมาถึงเมื่อเวลาล่วงเลยหัวค่ำไปมากแล้วทั้งร้านจึงมีคนแน่น ตระการสังเกตเห็นว่าลูกค้าส่วนมากเป็นนักศึกษาหรือไม่ก็พนักงานบริษัทที่อายุไม่มากนัก และมีบางโต๊ะที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแบบแบ็คแพ็ค ด้วยสไตล์การแต่งร้านแนวป๊อบอาร์ตย้อนยุคและโต๊ะเก้าอี้ที่เป็นไม้ทาสีดูดิบๆบวกกับการเปิดดนตรีป๊อบสไตล์อังกฤษจึงไม่น่าแปลกใจที่ทางร้านจะมีลูกค้าประจำที่ชื่นชอบบรรยากาศแนวนี้ได้ไม่ยาก
ร่างเพรียวเดินนำคนตัวสูงกว่าเข้าไปนั่งบริเวณเคาน์เตอร์ด้านในซึ่งยังไม่มีคนจับจองแล้วก็สั่งเครื่องดื่มกับพนักงานหลังเคาน์เตอร์ทันที
“บอย ขอสิงห์ไลท์สองขวด”
“อ้าวพี่ไผ่ หูยไม่ได้มาตั้งนานแนะพี่ แป๊บนะ”
เด็กหนุ่มหน้าอ่อนผมตัดสั้นเกรียนซึ่งฟอกจนเป็นสีทองไปทั้งหัว หูข้างหนึ่งใส่ต่างหูสตั๊ดประดับเพชรเทียมเม็ดใหญ่ ท่าทางยังเป็นแค่นักศึกษายกมือไหว้พรพฤกษ์ก่อนหายเข้าไปห้องด้านหลังเคาน์เตอร์แล้วนำเครื่องดื่มที่สั่งมาให้
“พี่นอบอกผมไว้แล้วแหละว่าพี่ไผ่จะมาคืนนี้ แต่ไม่เห็นมาซักทีเลยไม่รู้เฮียเค้าหายไปไหนแล้ว เดี๋ยวผมไปตามให้นะ”
มือหนาหนักตบบ่าบางของพรพฤกษ์ที่หันไปพยักหน้าให้เด็กเสิร์ฟในร้านอย่างไม่เบามือนัก “ไงไอ้เสือภูเขา นึกว่าวันนี้จะไม่ลงมาจากเขาแล้วซะอีก”
ร่างบางหันกลับไปมองต้นเสียงแล้วก็แขวะกลับเข้าให้ยิ้มๆ
“ก็คุณไม่ใช่เหรอครับที่โทรตามผมลงมา ไอ้คุณย่าม ยังดีหน่อยนะที่คราวนี้เลื่อนขั้นให้เป็นเสือภูเขา คราวที่แล้วยังเรียกแพะภูเขาอยู่เลย”
ผู้มาใหม่หัวเราะร่วน ร่างท้วมเล็กน้อยใส่เสื้อยืดสีขาวตุ่นๆตัดกับผิวสีคล้ำและกางเกงขาสามส่วนลายพรางกับรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อบ่งบอกความเป็นศิลปินเต็มตัว ดวงตาคมดูฉลาดทันคนบนใบหน้าที่มีหนวดเครารุงรังดูเปิดเผยและใจดี ชายหนุ่มหันมาทางตระการก่อนเอ่ยทัก
“หวัดดีครับ เพื่อนไอ้ไผ่ใช่มั้ยเนี่ย?”
ตระการนึกชอบความมีอัธยาศัยดีโดยไม่เสแสร้งของคนตรงหน้าทันที “ครับ ผมต้นครับ ตอนนี้มาอาศัยบ้านไผ่อยู่ครับ”
ชายหนุ่มพูดติดตลก อีกฝ่ายเกาคางหลังจากได้ยินคำตอบ
“เหอ แปลกดี ไม่เห็นไอ้ไผ่เคยเล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนชื่อต้น”
พรพฤกษ์กระทุ้งศอกใส่เอวตระการที่นั่งอยู่ข้างกันเบาๆก่อนจะแก้ให้
“เป็นแขกต่างหาก แต่ท่าทางตอนนี้หาทางกลับบ้านไม่เจอเลยมานอนที่เกสต์เฮ้าส์เกือบสองอาทิตย์แล้ว ต้น นี่เพื่อนไผ่ชื่อย่าม เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมแล้ว”
ดิษยะลอบมองคนทั้งสองด้วยสายตาประเมินอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวแล้วก็ยิ้มเผล่ แต่ไม่ทันอ้าปากพูดอะไรก็มีชายหนุ่มร่างผอม ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นปล่อยชายและกางเกงยีนส์สีเข้มเดินตรงเข้ามาทักพรพฤกษ์เสียก่อน
“ไงเรา หาทางมาร้านเจอแล้วเหรอ ตอนไอ้ย่ามบอกว่าไผ่จะลงมาวันนี้เรายังไม่ค่อยเชื่อมันเลยนะเนี่ย”
พรพฤกษ์ยิ้มแห้งๆแล้วก็แนะนำตระการให้รู้จักกับนรพัฒน์ซึ่งเป็นเพื่อนอีกคน ทั้งสามร่วมกันลงขันเปิดร้านนี้ขึ้นเมื่อปีกลาย แต่เจ้าของหลักคือนรพัฒน์เนื่องจากใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของบ้านมาดัดแปลงทำเป็นร้าน และเป็นคนที่ออกเงินลงทุนเยอะที่สุด ส่วนดิษยะนั้นเป็นครูพิเศษสอนดนตรีและมีวงของตัวเอง และในสัปดาห์หนึ่งๆก็จะมาเล่นสดที่ร้านสามวัน
ทั้งสามพูดคุยกันสัพเพเหระตามประสาเพื่อนที่นานครั้งจะได้เจอกัน โดยมีดิษยะคอยเล่าวีรกรรมสมัยเด็กของพรพฤกษ์ให้ตระการฟังและมีนรพัฒน์คอยขัดจังหวะเป็นระยะ ตระการนั่งยิ้มฟังเรื่องราวที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อนของคนข้างตัวและคอยลอบสังเกตพฤติกรรมของร่างบางเวลาพูดคุยกับเพื่อนสนิทซึ่งแตกต่างจากเวลาอยู่กับเขาอย่างเพลิดเพลิน
“จะว่าไป รู้สึกตอนนี้ไอ้อ้นมันจะกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วนะ”
พรพฤกษ์หันไปถามเพื่อนร่างท้วมด้วยสีหน้าแปลกใจ
“อ้น อภิสิทธิ์ที่เคยไปโรงเรียนเดียวกันกับเราตอนเด็กน่ะเหรอ”
ดิษยะหยิบถั่วลิสงทอดใส่ปาก “อ้นนั้นน่ะแหละ พอดีวันก่อนกูไปเล่นดนตรีที่ร้านอาหารริมแม่น้ำแล้วเจอมันเดินเข้ามาทัก เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากไปช่วยญาติทำร้านอาหารที่ญี่ปุ่น เห็นว่าตอนนี้จะกลับมาอยู่ที่นี่ถาวรเพราะที่บ้านมันก็ทำร้านอาหาร มันถามถึงมึงด้วยว่ะ”
“ถามถึงทำไม ตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้สนิทกัน ยิ่งสมัยมัธยมนี่คุยกันนับครั้งได้เลยมั้ง”
พรพฤกษ์ทำหน้าฉงน ตระการสังเกตเห็นท่าทางอมยิ้มของดิษยะแล้วก็ให้รู้สึกอคติกับคนที่อีกฝ่ายพูดถึงขึ้นมาเสียดื้อๆ
นรพัฒน์ขอยืมตัวพรพฤกษ์ไปทักทายน้องสาวของตนซึ่งกำลังนั่งฉลองวันเกิดกับเพื่อนๆอยู่ที่โต๊ะด้านนอก ตรงเคาน์เตอร์จึงเหลือเพียงดิษยะกับตระการเท่านั้น
“นี่...ต้นไม่เคยรู้จักกับไผ่มันมาก่อนจริงๆเหรอ”
ตระการเงยหน้าขึ้นมองคนถามแล้วก็ตอบกลับยิ้มๆ
“ก็เพิ่งเจอตัวตอนที่ผมไปพักที่บ้านนฤมิตรนี่แหละครับ ทำไมเหรอ?”
คนถูกถามเกาคาง ซึ่งตระการคาดว่าคงเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของเจ้าตัวเวลาใช้ความคิด
“อืม...ก็เห็นสนิทกันขนาดนั้น ปกติไผ่มันแนะนำแขกที่เกสต์เฮ้าส์ให้มาที่ร้านก็จริง แต่มันไม่เคยพาแขกมาเองแบบนี้ซักครั้ง”
ตระการได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเขินๆ “เพราะผมมาพักคนเดียวแบบไม่มีแผนการเที่ยวล่ะมั้งครับ แล้วก็อายุน้อยกว่าด้วย ไผ่คงสงสารเลยพาไปโน่นไปนี่”
“เห...นี่เด็กกว่าไอ้ไผ่เหรอ”
ไม่ทันที่ย่ามจะพูดอะไรต่อพรพฤกษ์กับนอก็เดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ หลังจากทั้งหมดดื่มเบียร์หมดไปอีกขวดและเพลงในร้านเริ่มเปลี่ยนเป็นจังหวะเร็วขึ้นสำหรับลูกค้าที่อยากเต้น พรพฤกษ์กับตระการก็ขอตัวกลับก่อนเพราะยังต้องขับรถกลับบ้านอีกไกล
“วันหลังมาอีกนะ มากันวันที่พี่ร้องเพลงก็ได้ จะได้รู้ว่าป๊อบ แคลอรี่ บลาบลายังชิดซ้าย ฮ่าๆๆๆ”
หลังจากทั้งสองเดินลับตาไปแขนใหญ่ๆของดิษยะก็คว้าหมับที่แขนนรพัฒน์ก่อนเจ้าตัวจะเดินไปทางอื่นแล้วป้องปากทำเสียงกระซิบ
“เฮ้ย สงสัยไอ้อ้นแม่งอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้จีบแน่เลยว่ะ”
คนถูกดึงตัวไว้ทำหน้างง “มึงพูดถึงใครวะ แล้วจะทำเสียงกระซิบกระซาบทำไม ดนตรียิ่งดังๆอยู่”
“มึงนี่นะ ก็เพื่อนที่ไอ้ไผ่มันพามาด้วยไง มึงไม่คิดว่ามันดูสนิทกันมากผิดปกติมั่งเหรอ”
นรพัฒน์เลิกคิ้วคิดตามแล้วก็นึกออก “อ๋อ แต่เท่าที่เห็นสองคนนั้นก็ไม่ได้เป็นแฟนกันนี่หว่า แล้วอีกฝ่ายก็แค่แขกที่มาพัก เดี๋ยวก็กลับกรุงเทพฯแล้ว”
“ก็ไม่แน่นา ไม่เห็นตาไอ้ต้นตอนมองเพื่อนมึงเหรอ หวานเยิ้มซะกูกลัวมดขึ้น”
“เหมือนตอนมึงตามจีบน้องกูน่ะเหรอ?”
นรพัฒน์พ่นหัวเราะทางจมูกจนอีกฝ่ายรีบปัดอย่างร้อนตัว “เฮ่ย! เรื่องตั้งแต่สมัยไหนวะนั่น เดี๋ยวแฟนน้องแนนมาได้ยินกูซวยพอดี แล้วตกลงมึงไม่ติดใจอะไรเรื่องไอ้ไผ่มั่งเลยเรอะ?”
ฝ่ายคนถูกถามเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์แล้วหยิบสมุดบัญชีออกมาเปิดดูเพราะท่าทางเพื่อนรักคงไม่ปล่อยตัวไปง่ายๆ
“เรื่องหัวใจใครก็เรื่องของคนนั้นสิวะ แล้วอีกอย่าง ไอ้อ้นมันก็ไม่รุกเองตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ด้วยกัน จะโดนคนอื่นคาบไปก็ต้องโทษตัวมันเองแหละ”
“ตกลงว่า มึงพนันข้างเด็กใหม่?”
“คิดพิเรนทร์อะไรขึ้นมาอีกล่ะ เอาเรื่องเพื่อนมาพนัน ขืนไผ่มันรู้คงได้โดนบ่นหูชา”
นรพัฒน์เหล่ยิ้มเจ้าเล่ห์ของเพื่อนอย่างระแวง ดิษยะจึงจุ๊ปากอย่างขัดใจ “เรื่องอะไรจะให้มันรู้ละ ก็พนันขำๆสิวะ กูเห็นเพื่อนจะมีคู่ทั้งทีก็เลยขอลุ้นให้ตื่นเต้นเล่นเท่านั้นแหละ”
ฝ่ายคนฟังส่ายหน้าอย่างระอาใจ ขณะที่เพื่อนอีกคนกอดอกยิ้มเจ้าเล่ห์นัยน์ตาเป็นมัน บอยเดินถือถังน้ำแข็งออกมาจากห้องหลังเคาน์เตอร์พอดี
“เอ้า พี่ๆเจ้าของร้านครับ อย่ากินแรงลูกน้องแล้วมัวแต่จีบกันอยู่สิครับ ช่วยผมทำมาหากินหน่อย”
“ไอ้บอย”
เสียงเข้มดังประสานขณะที่สายตาอาฆาตสองคู่หันขวับมาทางไอ้เด็กปากดีจนเจ้าของชื่อต้องรีบเผ่นไปนอกเคาน์เตอร์แทบไม่ทัน
*************