17
หลิวลู่เดินไปสมทบกับสองอาหลานที่กำลังสนทนากันเกี่ยวกับเขาอยู่ วรากรคงจะเล่าเรื่องราวของเขาให้หลานชายคนเดียวฟังไปบ้างแล้ว เมื่อทั้งสองได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเดินเข้าไปใกล้ก็หยุดบทสนทนาลง
“อาหลิว หากก่อนหน้านี้ผมทำอะไรให้อาไม่พอใจ ผมก็ขอโทษอาด้วยนะครับ” พยัคฆ์กล่าวขอโทษเขาทันทีที่เห็นว่าเป็นใครเดินเข้าไป
“ไม่เป็นไร อาไม่ถือ แต่อย่าเรียกอาว่าอาหลิวเลย จะเรียกตามหลาน ๆ อาก็ได้”
“แล้วอากร เรียกอาหลิวว่าอะไรครับ อย่างน้อยถ้าเจอกันที่ที่ออฟฟิต เราจะได้เรียกเหมือนกัน”
“อาเรียก...กวางน้อย” วรากรส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้จนเขาต้องเสหน้าหนี
“เฮีย!! เอาดีๆ นี่มันใช่เวลาไหม?”
“ฮ่าๆๆ ขอโทษๆ อาก็เรียกชาติอย่างที่แกเรียกนั่นแหละไอ้เสือ”
“ครับ งั้นผมเรียกอาชาติแล้วกันนะครับ”
“ที่ให้เฮียมารอ คงจะอยากคุยเรื่องลตาสินะ” วรากรเข้าเรื่อง
“อืม เฮียรู้เรื่องเจ้าสัวเซียงแค่ไหน?”
“เท่าที่พวกเราพอจะรู้ เจ้าสัวเซียง ค้าไม้อยู่ทางเหนือครับ แล้วมีหนี้ก้อนใหญ่ตามบ่อนต่าง ๆ ไม่ใช่แค่ที่สองที่ บ้านนี้มีหนี้สินพอสมควร” พยัคฆ์รายงานเขา
“เรื่องนั้น อารู้อยู่แล้ว แล้วเรื่องคุณลตานั่นล่ะ”
“เรื่องนี้ผมเพิ่งเริ่มสืบได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไรครับ”
“อืม...”
“หลิว เฮียขอหลิวแล้วนะ” วรากรย้ำคำมั่นสัญญาระหว่างเรา ตั้งแต่วันที่เขาเข้าไปหาวรากรที่ห้องทำงาน
“ผมรู้ ผมจะไม่ปิดบังอะไรเฮียแล้ว แค่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี”
“งั้นก็เริ่มที่เจ้าสัวเซียงสิ มันตามหาหลิวทำไม”
“ตระกลูไบ่เคยเป็นคนที่ค้าขายกับตระกูลฝู่มาก่อน พวกนั้นไปมาหาสู่กับครอบครัวฝู่มานาน สนิทสนมกันจนกระทั่ง เจ้าสัวเซียง หรือ ไบ่เซียง(白象) ถูกทาบทามให้แต่งงานเข้าตระกูลฝู่ ตระกลูไบ่ที่มีลูกชายเพียงคนเดียวมีหรือจะยอม ยิ่งมีข่าวลือเรื่องอาซ้อแล้วด้วย พวกนั้นค่อย ๆ ตีตัวออกห่าง โดยอ้างว่าได้ส่งเจ้าสัวเซียงมาดูแลปางไม้ที่นี่ และเมื่ออาหงส์เกิด ทางตระกูลไบ่ก็กลับมาทาบทามให้อาหงส์ไปเป็นคู่หมายของลูกชายเจ้าสัวเซียง เพราะรู้ว่าอาหงส์มีเมฆาขาวอยู่”
“นายเกรียงไกรนี่นะ ใครได้ไปนี่ตกนรกทั้งเป็น” พยัคฆ์วิจารณ์
“ตระกูลไบ่ตอนนั้นก็หากินกับพวกค้าอาวุธเถื่อน โดยให้ใช้เส้นทางที่พวกมันได้สัมทานป่าไม้มา ให้พวกค้าอาวุธนั่นใช้ในขนของ แล้วพวกที่ถูกจับได้ส่วนหนึ่งก็ใช้เส้นทางของเจ้าสัวเซียง”
“ครั้งล่าสุด ที่ไปหาหลิวที่บ้านใหญ่ ก่อนจะเกิดเรื่องกับตระกูลฝู่ น่าจะเป็นวันเดียวกับที่มันเข้าไปทาบทามหงส์ เฮียได้มีโอกาสเห็นไบ่เซียงในตอนนั้น”
“อืม...ตอนนี้ตระกลูฝู่ที่ฮ่องกงก็เหมือนมังกรไร้หัว หางก็กัดกันเอง เท่าที่ผมรู้ พวกธุรกิจถูกกฎหมายน่ะยังอยู่ แต่ไม่รุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อน เหมือนแค่เป็นฉากหน้าของการขายของผิดกฎหมายเท่านั้น ภายในตระกูลก็แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย สลับสับเปลี่ยนกันขึ้นกุมอำนาจมาตลอด 20 ปี”
“นี่แสดงว่า หยกก็ยังมีพี่น้องหรือญาติอยู่ที่ฮ่องกงอีกหรอครับ”
“ถึงใช่ ก็ไม่ได้เป็นสายตรงเหมือนอย่าอานั่นแหละ เป็นคนนอกทั้งนั้น”
“หลิวไม่ควรคิดแบบนี้นะ หลาน ๆ เขามีแต่หลิว เป็นอา เป็นน้องของพ่อแท้ ๆ เป็นญาติเพียงคนเดียวที่หลาน ๆ ไว้ใจ อยากคิดว่าตัวเองเป็นคนนอกแบบนี้อีก เข้าใจไหม? การคิดแบบนั้นมันอาจจะทำร้ายจิตใจหลานโดยไม่รู้ตัว” วรากรพยายามเตือนเขา
“อาชาติ เป็นน้องแท้ ๆ ของพ่อน้องหยกหรอครับ”
“อืม”
“พ่อของหยกคงไม่ได้เป็นอดีตหน่วยซีลด้วยอีกคนหรอกนะครับ”
“ไม่ใช่หรอก พี่ชายอาก็แค่อดีตตำรวจธรรมดาๆ น่ะ”
“ถ้าผมเดาไม่ผิด เจ้าสัวเซียงต้องการให้นายเกรียงไกรแต่งงานกับหงส์ เมื่อหงส์ที่เป็นทายาทสายตรงก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปจัดการธุรกิจของครอบครัวฝู่ได้ ใช่ไหมครับ แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าหงส์อยู่กับอา?”
“อาสงสัยว่าตระกูลไบ่เป็นคนแพร่ข่าวลือทั้งหมด เพราะไม่อยากให้ไบ่เซียงมันมาแต่งเข้าตระกูลฝู่ หลังจากหงส์เกิดได้ไม่กี่ปี อาก็ออกจากงานมาเป็นบอดี้การ์ดให้อาซ้อ ไม่แปลกหรอกที่ไบ่เซียงมันจะสงสัยอา และตอนนั้นหงส์ก็ติดอากับเฮียกรมาก”
“แล้วถ้าหงส์ไม่ยอมแต่งงานกับนายเกรียงไกรล่ะครับ”
“หงส์ไม่ยอมแต่งงานกับนายเกรียงไกรแน่นอน และไม่คิดจะดองกับตระกูลไบ่ด้วย อย่าลืมสิ ถึงตอนนั้นหงส์จะยังเด็ก แต่ก็มีเมฆาขาวห้อยติดตัวตลอด”
“หงส์รู้ว่าคนพวกนั้นคิดและต้องการอะไร แล้วแบบนี้พวกมันจะมีแผนอะไรต่อไป”
“ถ้าเลวร้ายจริง ๆ พวกมันก็คงชิงเมฆาขาวไป แล้วอ้างสิทธิ์ในการถือครองหยกเข้าไปคุมกิจการของตระกูลฝู่”
“อาชาติหมายความว่า หยกสามชิ้นนั่น เปรียบเหมือนตราประจำตระกูล หรือป้ายประกาศิตอะไรเทือก ๆ นั้นหรอครับ”
“ใช่”
“ธุรกิจของตระกูลฝู่นี่ใหญ่แค่ไหนกัน ถึงได้ต้องแย่งกันขนาดนี้”
“หึ!! ไอ้เสือ แกรู้จัก เยี่ยนหวอ กรุ๊ป (燕窝) ไหมล่ะ?”
.........................................................................
ผมกำลังฝึกจับสัมผัสที่เจ่เจ้สอนผมอยู่ในห้อง เจ่เจ้คอยบอกผมว่าผมต้องทำยังไงตลอด เพราะเธอสัมผัสความรู้สึกของผมได้ มันเลยค่อยข้างง่ายและพัฒนาไปได้เร็ว
“หยก”
“ครับ” ผมลืมตาขึ้น มองหน้าเจ่เจ้
“คุณเสือกำลังขึ้นมาแล้วนะ”
“...” ผมไม่รู้ว่าผมพร้อมจะเจอเขาตอนนี้ไหม ผมได้แต่หลับตาลงอีกครั้ง พยายามปิดรับทุกสัมผัสเข้ามาหาผม
“ใจเย็น ๆ หยก ไม่ต้องตื่นกลัวไป ค่อยๆ ทำไปอย่าที่เจ่เจ้สอน”
ผมยังคงหลับตามฟังเสียงเจ่เจ้ไปเรื่อย ๆ เสียงเจ้หงส์เหมือนจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวของผมในขณะนี้ เพราะผมปิดกั้นสัมผัสทั้งหมดแม้กระทั่งสัมผัสของของเจ่เจ้เอง ความรู้สึกของพี่เสือที่ส่งหาตอนนี้ ผมสามารถรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของเขา ถึงตอนนี้มันจะบางเบา แต่มันก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย นี่ขนาดเจ้าตัวยังมาไม่ถึงห้องเลยด้วยซ้ำ มันค่อย ๆ รุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ ผมต้องพยายามอยางหนักเพื่อจะปิดกั้นความีรู้สึกนั้น จนได้ยินเสียงประประตูเข้ามา เสียงฝีเท้า
“อาหยกเป็นอะไรไป”
“หงส์สอนหยกจัดการเรื่องความรู้สึกอยู่น่ะคะ อ่าวแล้วคุณเสือล่ะคะ”
“ไอ้เสือมันไม่ยอมเข้ามาน่ะ มันว่าหยกน่าจะยังกลัวมันอยู่” คำพูดคำนี้ของอากร ทำให้ผมนึกถึงคำสัญญาที่พี่เสือขอผมไว้
พี่เสือหรอ? นี่ผมเริ่มชินกับชื่อนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เขาเป็นห่วงผมจริง ๆ ผมรู้สึกได้ ความรู้สึกของมันก็ยังรุนแรงสำหรับผมอยู่ดี ผมควรจะทำยังไงดี ผมไม่ได้กลัวว่าเขาจะกินหรือจะขังผมแล้ว แต่ความรู้สึกกดทับพวกนี้ มันทำให้ผมหายใจไม่ออก
“หยก ใจเย็น ๆ นะ อย่าสับสนสิ มีสมาธิอยู่กับตัวเอง” เสียงของเจ่เจ้ช่วยเรียกสติของผม มันมาพร้อมความรู้สึกของพี่เสือที่ค่อย ๆ ถอยห่างออกไป ไกลออกไป นี่มันอะไรกัน เขาจะหันหลังให้ผมอย่างนั้นหรอ
ทำไม? ผมถึงรู้สึกใจหายกับความคิดนี้
ผมลืมตาขึ้น สัญชาตญาณมันนำไปก่อนความคิด ผมก้าวออกไปจากห้องทันที เมื่อความคิดได้อย่างนั้น ผมเห็นแผ่นหลังนั้นกำลังเดินไปยังโถงลิฟท์ เขาจะหันหลังให้ผมจริง ๆ หรอ?
ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาเขา ผมพยายามจะเรียกเขา แต่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกไปได้ เสียงฝีเท้าของผมทำให้เขาหันมา สีหน้าเขาตกใจไม่น้อย ผมเองก็เริ่มรู้สึกกว่าเท้าไปข้างหน้าได้ยากขึ้น ความรู้สึกเหมือนเดินลุยน้ำ มันเดินไปข้างหน้าไม่ได้อย่างใจ
ความรูสึกกดทับที่มีมากขึ้น กำแพงที่ผมสร้างขึ้นมันหายไปตั้งแต่เมื่อไร มันทำให้ต้องรับความรู้สึกคนตรงหน้าเขามาเต็ม ๆ
“อย่า...ปะ...ไป...”
ความรู้สึกสุดท้ายของผม คืออ้อมกอดที่กอดผมอยู่เมื่อคืน...เขา...ไม่ได้ทิ้งผม...ใช่ไหม...
แล้วทำไม...ผมถึงกลัวว่าเขา...จะทิ้งผมไป...มากขนาดนี้............................................................................
พยัคฆ์ลงจากสวนชั้นลอยพร้อมกับวรากร อาชาติ เรื่องที่พวกเขาคุยกันข้างบน ทำให้เขาเข้าใจอะไร ๆ ได้มากขึ้น เข้าใจว่าทำไมเมื่อคืนอาชาติต้องให้เขาพาหยกหลบคุณลตา พาไปทีบ้านก็ไม่ได้ มาโรงพยาบาลก็ไม่ได้ เพราะทั้ง 2 ที่ ล้วนจะนำมาพบเมฆาขาวชิ้นอื่น ๆ ได้ทั้งสิ้น อันตรายต่อทุกคนที่สวมมันอยู่ ตอนนี้พวกเข้ายังไม่สามารถเดาไม่ได้ว่าพวกเจ้าสัวเซียงต้องการแค่ไหน ต้องการทั้งคนทั้งของ หรือแค่ของ ไม่ว่าทางไหนก็อันตรายทั้งนั้น
หยกเป็นคนที่เขาห่วงมากกว่าใคร ลูกชายคนเดียวที่เป็นทายาทของตระกูล ให้เขาคิดในทางเลวร้ายที่สุด เจ้าสัวเซียงอาจจะต้องการกำจัดหยกทิ้งไปเลยก็เป็นได้
ตอนนี้หยกน่าจะสวมเมฆาขาวอยู่ เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก เขาจึงเลือกที่จะเดินรั้งท้าย อาชาติหันมามองเขาเล็กน้อย เมื่อมาถึงหน้าห้องพักของหงส์ เขาจึงเลือกที่จะยืนรออยู่ข้างนอก
“อาหยกเป็นอะไรไป”
“หงส์สอนหยกจัดการเรื่องความรู้สึกอยู่น่ะคะ อ่าวแล้วคุณเสือล่ะคะ”
“ไอ้เสือมันไม่ยอมเข้ามาน่ะ มันว่าหยกน่าจะยังกลัวมันอยู่”
เขาได้ยินเสียงที่คุยกันดังมาจากในห้อง จึงยืนฟังอยู่ข้างนอก เขาคงต้องให้เวลากับหยกสักพัก
“ตอนนี้ยังโชคดี ที่คุณลตาไม่รู้ว่าพวกเรารู้จักกับหยก ดังนั้นทุกคนก็ทำตัวให้เป็นปกติ หยกสามารถไปทำงานได้ แต่ห้ามไปที่ค่ายมวยนั่นอีกเด็ดขาด รวมทั้งที่ทำงานของเจ็กด้วย”
“ลตาน่าจะตามสืบเรื่องเฮียอีกสักพัก ดังนั้นเฮียจะให้ไอ้เสือไปเฝ้าที่ค่ายมวยสัก 2-3 วันให้ลตาตายใจ ว่าพวกเราไม่ได้อะไรจากที่นั่น”
“ผมจะรบกวนให้เฮียส่งคน คอยตามดูโบตั๋น แต่ไม่ถึงกับต้องคุ้มครองอะไร แค่ตามดูอยู่ห่าง ๆ ก็พอ”
“ได้ แล้วหยกล่ะ?”
“ผมว่าหลานเฮียคงอยากจะอาสา แค่ตามห่าง ๆ จะเป็นอะไรไหมหงส์”
“ขึ้นอยู่กับการฝึกของหยกค่ะเจ็ก หยก หยก” อยู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหงส์เหมือนจะตกใจอะไรบางอย่าง “หยก ใจเย็น ๆ นะ อย่าสับสนสิ มีสมาธิอยู่กับตัวเอง” หรือเขาจะอยู่ใกล้หยกเกินไป จำได้ว่าแถว ๆ หน้าลิฟท์มักจะมีพื้นที่ให้ญาติผู้ป่วยออกมายืดเส้นยืดสาย เขาไปรอไกลหน่อยคงไม่เป็นไร
เมื่อเขาเดินห่างออกมา กลับได้ยินเสียงเปิดประตูห้องพร้อมเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่กึ่งเดินกึงวิ่งมาจากด้านหลัง เขาแปลกใจจนต้องหันไปมองดู หยกกำลังวิ่งเข้ามาหาเขา สีหน้าหวาดกลัวนั่น น้องหยกกลัวเขาอีกแล้ว แต่ทำไมถึงยังวิ่งเข้ามาหา ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำใส ๆ นั่น มันทำให้พยัคฆ์ใจแทบขาด แววตาแห่งความเจ็บปวด หรือเขาจะทำให้คนตรงหน้าต้องเจ็บปวดขนาดนี้
หยกเดินมาได้อีกไม่กี่ก้าว ร่างกายที่เริ่มโงนเงน ดีที่เขาพุ่งตัวเข้าไปรับร่างนั้นไว้ได้ทัน ก่อนที่ร่างนั้นจะร่วงกระแทกพื้น มือน้อย ๆ เกาะแขนเขาอย่างอ่อนแรง
“อย่า...ปะ...ไป...” เสียงน้องหยกบอกเขาเสียงแผ่ว แต่มันกลับดังก้องอยู่ในความรู้สึกเขา มันสะท้อนไปสะท้อนมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด น้องหยกออกมาตามเขา? เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ทำให้เข้าต้องละจากใบหวาน
“เฮ้อ...ตกใจแทบแย่ อยู่ ๆ ก็วิ่งออกมา ดีนะที่คุณเสืออยู่ตรงนี้”
“น้องหยกเป็นอะไรไปครับอาชาติ” เขาถามพร้อมกับสอดแขนไปที่ใต้ร่างโปร่งก่อนอุ้มขึ้นแนบอก
“คงต้องไปถามหงส์แล้ว อาก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาอุ้มหยกตามอาชาติไปที่ห้อง อากรยืนรออยู่หน้าประตูอยู่แล้ว เขาวางหยกลงบนโซฟายาว จัดท่าให้นอนในท่าที่สบายก่อนใช้เกลี่ยนิ้วซับน้ำตาให้อย่างเบามือ เขาไม่อยากเห็นสีหน้าที่หยกหวาดกลัวเขาและแววตาที่เจ็บปวดแบบนั้นอีก ไม่อยากเห็นอีกเลย
“หยกเป็นอะไรไปครับ?” เขาถามขึ้นเหมือนละเมอ
“เฮ้อ...หงส์น่าจะเป็นฝ่ายต้องถามคุณมากกว่าค่ะ?”
“ถามผม?” เขาละสายตามจากคนตรงหน้าไปยังคนที่นั่งอยู่บนเตียงทันที
“คุณกับหยกเพิ่งจะเจอกัน ได้ใกล้ชิดกันก็เมื่อวานนี้เอง ซึ่งก่อนหน้านี้คุณแทบเข้าใกล้หยกไม่ได้เลย แล้วพวกคุณ..." หงส์มีสีหน้าหนักใจ ฉันสัมผัสได้ถึง สายใยแห่งความผูกพันธ์ ที่หยกมีต่อคุณ มันเป็นไปได้ยังไง?”
“คุณหมายความว่ายังไง ความผูกพันธ์อะไรกัน”
“ฉันเข้าใจว่าหยกคงยังไม่รู้ตัว ว่าเขาผูกพันธ์กับคุณแค่ไหน เมื่อครู่ที่เขารู้สึกได้ว่าคุณเป็นห่วงเขา แต่คุณกลับหันหลังเดินหนีเขาไป”
“ผมแค่จะไปหาที่นั่ง หน้า...ลิฟท์...”เขาหันกลับไปมองหน้าที่หลับใหล จริงหรือที่หยกความผูกพันธ์กับเขา ทั้ง ๆ ที่พวกเราเองยังไม่ค่อยได้ทำความรู้จักกันสักเท่าไร
“หยกเข้าใจว่าคุณจะไปจากเขา”
“...” เขาเองก็สับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายในวันสองวันนี้ ถ้าเขาไม่เจอกับตัวมาบ้าง เขาคงคิดว่าตัวเองบ้าไปแล้ว
“ไอ้เสือ ไอ้เสือ” เขาหันมองวรากรที่เรียกเขา “ให้พวกอาเรียกตั้งนาน หงส์เขาถามแกไม่ได้ยินเหรอ?”
“ถาม? ถามว่าอะไรนะครับ? อ่อ อืม...ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้รึป่าวนะครับ ผมเองก็เพิ่งรู้จากหยกเมื่อคืน”
เขาเล่าเรื่องที่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ทั้งเขาและหยกต่างฝันถึงกันและกัน อาจจะเป็นวันและเวลาเดียวกันด้วยซ้ำ แต่เขาไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ ในความฝันหยกอาจจะตกใจที่เจอเขา แต่ไม่ได้กลัว
“ในความฝันเราไม่สามารถพูดหรือคุยกันได้ ส่วนใหญ่จะสื่อสารกันทางภาษากายมากกว่า ผมไม่ได้หวังจะให้คุณหรืออา ๆ เชื่อผมนะ เพราะผมเองก็ยังพิสูจน์อะไรไม่ได้”
“มันก็เป็นไปได้อยู่ค่ะ เพราะความรู้สึกของคุณที่มีต่อหยกมันค่อนข้างแรง ยามที่คุณหลับจิตของคุณอาจจะล่องลอยไปสัมผัสจิตของหยกได้ มันคงค่อย ๆ สร้างความผูกพันธ์ระหว่างคุณกับหยกขึ้นมา”
“ผม...ไม่อยากเห็นหยกเป็นแบบนี้เพราะผม”
“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ให้เวลาหยกเขาหน่อย วันนี้เขาทำได้เท่านี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว อากรค่ะ ระหว่างนี้ให้คุณเสือคอยตามหยกก็ดีนะคะ จะได้ให้หยกค่อย ๆ ฝึกกับคุณเสือไปด้วย เริ่มจากระยะห่างก่อน แล้วค่อย ๆ เข้าใกล้ทีละนิด ไม่นานหยกก็ชินไปเอง”
“แล้วผมจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าระยะประมาณไหน ความรู้สึกของผมถึงจะไม่รุ่นแรงเกินไปสำหรับหยก ในเมื่อคุณไม่ได้อยู่บอกกับผม”
“คุณมีโทรศัทพ์ คุณก็โทรถามหยกเอาสิค่ะ ไม่เห็นต้องรอให้หงส์คอยบอกเลย” สิ้นคำพูดของหงส์ ทั้งวรากรและหลิวลู่ก็ได้แต่ปล่อยหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
.........................................................................
โบตั๋นกำลังนั่งวาดแพทเทิร์นสำหรับตัดผ้า ตามดีไซด์ของเพ็ญนภาในสตูดิโอ นอกจากเธอจะเป็นนางแบบไร้สังกัดตามคำชวนของเพ็ญภาพแล้ว เธอยังขอทำงานในส่วนของห้องเสื้อด้วย ซึ่งคอลเล็คชั่นหน้า เพ็ญนภารับปากเธอว่าจะให้เธอออกแบบเสื้อผ้า 1 ชุด นั่นก็เท่ากับว่าเธอก้าวเข้าใกล้ความฝันไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว
“น้องตั๋น น้องตั๋นขา เห็นรึยังค่ะ” เสียงเพ็ญนภาเขามาทำลายฝันกลางวันของเธอให้หายไปในอากาศทันที
“อะไรกันค่ะพี่ภา ตั๋นตกใจหมด”
“แหม๋ น้องตั๋นก็มัวแต่เหม่อน่ะสิ คิดถึงใครอยู่ค่ะ ใช่คุณพยัคฆ์หรือเปล่าเอ่ย” โบตั๋นแอบเบะปากเล็กน้อยเมื่อเพ็ญนภาเอ่ยชื่อคนที่เธอไม่ค่อยอยากได้ยิน
“แล้วพี่ภามีอะไรรึป่าวค่ะ”
“มีสิ นีไงค่ะนี่ไง ดูสิ”
โบตั๋นมองสมาร์ทโฟนในมือเพ็ญนภา ปรากฎแบนเนอร์โฆษณากินเนื้อที่ไปเกือบครึ่งหน้าจอของสมาร์ทโฟน ภาพเธอกับหยกถ่ายเซ็ทแฟชั่น ในคอนเซ็ป Twin มันทำให้เธอถึงกับตะลึง หยก...สวยมาก สวยจนเธอตกใจ
“ตะลึงเลยใช่ไหมค่ะ นี่ถ้าพี่ไม่รู้มาก่อนว่าน้องหยกเป็นผู้ชายนะ พี่คงชวนมาเป็นนางแบบให้ห้องเสื้อพี่แล้วล่ะค่ะ นี่ต้องให้เครดิตช่างภาพเขานะคะ เอ้...ช่างภาพคนนั้นชื่ออะไรนะคะ... คุณเมฆใช่ไหม? เขาถ่ายภาพน้องทั้งสองของพี่ได้ออกมาสวยกันทั้งคู่ เหมือนเป็นฝาแฝดกันเลยค่ะ”
โบตั๋นยังคงตะลึงกับภาพตรงหน้า ใช่พี่ชายของเธอสวยมาก ถึงทั้งคู่จะเหมือนกับเป็นคู่แฝดกัน แต่ถ้ามองภาพๆ นี้กันจริง
ๆ กลับแยกหยกกับเธอได้อย่างชัดเจน เธอที่ดูร่างเริง สดใส แววตาที่สื่อออกมาในแนวซุกซน แต่หยกกลับดูสวย หวาน มีเสน่ห์หน้าดึงดูด ละสายตามไปจากแววตาหวานซึ้งนั้นไม่ได้จริง ๆ อย่างที่เจ้เปิ้ลพูดไว้ไม่มีผิด ขนาดเธอเป็นน้องสาวแท้ ๆ ยังถอนสายตาจากภาพตรงหน้าไม่ได้เลย
“ภาพเซ็ทนี้ทางห้องเสื้อโน้นเขาพอใจมาก นี่เค้าถึงกับซื้อพื้นที่บิลบอร์ดยาว 3 เดือนเลยนะคะน้องตั๋น น้องพี่ดังกันใหญ่แล้ว”
“ว่าอะไรนะคะ? 3 เดือนเลยหรอค่ะ?” เธอไม่ได้ตกใจเรื่องความเด่นดังที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เธอเป็นห่วงความปลอดภัยของหยกมากกว่า ถ้าคนพวกนั้นจำหยกได้ล่ะ?
“ใช่จ้า 3 เดือนเลย ไม่รู้ว่าทางนั้นจะลงดิจิทัล บิลบอร์ดแถวบีทีเอสด้วยรึป่าวนะ พี่ยังไม่ได้ไปสืบ หูย...แค่คิดพี่ก็ตื่นเต้นจะแย่แล้ว”
To Be Continue