จะต่อกันติดมั้ยน้อ แต่ยังไงก็ตาม คิดถึงเสมออ ไปอ่านคลายเครียดกันเล้ย
ระเบียบที่ 16 : ข้อห้ามของคนที่ตรงๆ กันแล้ว สุดท้ายผมก็ไปเรียน โดยที่คุณชายมาส่งเหมือนเดิม เพิ่มเติมคืออาการเบลอๆ ของผมเอง
ก็...แบบว่ามันเบลอว่ารักแถบตลอดเวลา จนไม่กล้ามองหน้าคุณชายตลอดทางไปมหาลัย
ก่อนจะลงรถ จำได้ว่าผมค่อยๆ หันตัวไปไหว้ขอบคุณ พี่ตาณไม่ตอบอะไรแต่อมยิ้มมุมปากเล็กๆ ก่อนจะลูบหน้าผากผมสองสามที เท่านั้นแหละ เผ่นลงจากรถแทบไม่ทัน
...ขุ่นพระ ใจกะตึก ใจกะตัก ยังไงก็ไม่รู้
เพียงเธอมาใกล้กัน หัวใจมันสั่นๆ แต่ค่อนข้างเหงา
เกิดอาการ วิง วิง เธอจะรักกันจริงรึเปล่า เวา เวา
บ้าาาา เขินอะ
“มึงๆ พี่ภูเขาแกเป็นไรวะมึง มาโฟร์-มดอะไรตรงนี้”
“เออ กูว่าแม่งบ้าแล้วว่ะ”
“ไปเหอะมึง กูกลัว”
กูไม่ได้บร้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
.
.
ความอ่อนโยนของคุณชายแทรกซึมเข้าในฝันของผม โดยมีเสียงอาจารย์ร้องโอเปร่าอยู่หน้าห้องเป็นเพลงกล่อมชั้นดี
ในฝันนั้น ผมเห็นพี่ตาณผมเปียกไม่เป็นทรง หัวของพี่ตาณโผล่พ้นออกมาจากห่วงยาง ตั้งแต่เท้าขึ้นไปจนถึงคอ...เอ่อ...ห่วงยางสี่ห้าห่วงได้เขมือบพี่ชายตาณเป็นที่เรียบร้อย ผมกัดปากเพราะอายประเทศไทยที่พี่ตาณมายืนเป็นมนุษย์ห่วงอยู่หน้าคณะ
“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ พี่เอ่อ..มาหาผมมีอะไรรึเปล่า” ผมพูดเสียงสั่นแต่อีกคนตอบกลับมาสั้นๆ ตามสไตล์
“มี”
“...”
“มีแต่เป็นห่วงเนี่ยพอจะมาหาได้มั้ย”
เพียงเท่านั้นแก้มผมก็ร้อนฉ่า ผมเลื่อนสายตามองคุณชายสุดเนียบที่โดนห่วงยางกลืนแล้วลอบสูดลมหายใจเข้า
...มีแต่เป็นห่วงจริงๆ ด้วย…
อาการใจเต้นยังคงค้างจากฝันเมื่อครู่ พอตื่นมาก็พบกับสายตาจับผิดจากเพื่อนหมูทันที
“เชี่ยเขาได้ข่าวว่าไม่สบายหรอวะ”
“ไม่นะ!...”
“ไม่นะอะไรมึง หน้าแดงเป็นเลือดไก่ขนาดนี้”
“กูสบายดี๊ มี....มีตรงไหนที่กูไม่สบายหรอ ไม่มี๊”
“ไอ้ซั๊ด มึงจะเสียงสูงเป็นมิสแกรนด์ทำไม๊”
“เปล๊า กูพูดปกติ๊”
ผลัวะ! / ผลัวะ!
“พอกันทั้งคู่เลยไอ้เหี้ย พวกมึงนี่จริงจังซักสามนาทีจะตายห่าหรอวะ” เฮียดุกผู้ที่ทำหน้าตาถมึงทึงตบหัวผมกับไอ้หมูคนละที (เสียงดังด้วย) เดี๋ยวนะนี่กูรู้จักคำว่าถมึงทึงด้วยหรอวะ
“อะ กูสรุปให้ ไอ้เขาไม่ได้ป่วย แต่มันอะ...บ้า!” เฮียดุกว่างั้นก่อนจะขยับก้นซ้ายขวา สงสัยกางเกงในเข้า...
“เออว่ะจริงของมึง งั้นกูขอจบการหาคำตอบเพียงเท่านี้”
ไอ้หมูสะพายกระเป๋าแล้วเดินตามตูดเฮียดุกออกจากห้องเรียนไปอีกคน
“เดี๋ยวๆ แล้วพวกมึงรู้ได้ไงว่ากูไม่สบาย เอาข่าวมาจากไหน กูมีเพจอัพเดตชีวิตหรอ”
ดีใจได้เป็นคนดัง
“มึงคิดว่ามึงเป็นคนคิ้วท์บอยไง๊ พวกกูได้ข่าวมาจากพ่ออออออออออมึงอะ” พวกมันหันมาตะโกนใส่ผมอย่างมิได้นัดหมาย
พ่ออออออออออออง? เฮียทิวอะนะ
“เฮียทิวเนี่ยนะ ไม่เชื่ออะเมื่อเช้ายังเอาเท้าเขี่ยยอดตูดกูอยู่เลย ไม่สนใจกูซักนิด”
“ไม่ใช่เฮียทิวโว้ย” ไอ้หมูเอ็ดเสียงสูง
“เอ้า กูมีพ่อคนเดียวไม่ใช่เฮียทิวจะเป็นใครวะ”
“มึงนี่โง่ไม่สร่าง จ้างก็ไม่หายโง่จริงจริ๊งง มึงมีพ่อทูนหัวอีกคนไง คุณชายอะไอ้โง๊”
พ่อ...อะไรนะ
“พะ...พ่อทูนหัว!!! อู้ว!!! พวกมึงมั่ว คุณชายหนักจะตายจะไปทูนหัวได้ไง”
ว่าแล้วก็เกาหัวแกรกๆ เอาไปทูนหัวผมก็หลังหักพอดี เฮียดุกเห็นท่าทางนั้นก็ด่าผมทันที รุ่นน้องใต้ตึกหันมามองกันให้รึ่ม
“ไอ้ซื่อบื้อ ถ้ามึงไม่เชื่อ มึงรอถามคุณชายนะ เย็นนี้ไม่มีซ้อม กูให้มึงฟรีหนึ่งวัน ไปถามกันให้เข้าใจ จะทูนหัวทูนตัวอะไรก็เรื่องของมึง แต่ว่าพรุ่งนี้สี่โมงซ้อมนะเว้ย งานใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว”
“เออก็ได้ หิวแล้วอะแดกไรดี”
“เชี่ยนี่ บทจะง่ายก็ง่าย”
“เข้าใจง่าย?”
ไหนขอเล่นบ้าง
“ตัวมึงอะง่าย”
อุ๊!!!!!
.
.
.
“ตอนบ่ายไม่มีเรียนไปร้องเกะกันมั้ยวะ คลายเครียดก่อนทำรายงาน”
“เออดีเหมือนกัน ฟังหัวข้อกูก็ปวดหัวแล้วว่ะ”
ตรรกะไหนมึงวะเนี่ยเพื่อน ผมส่ายหัวอย่างเอือมระอา พวกมึงนี่หน้าตาไม่ดียังไม่ตั้งใจเรียนอีก ว่าแต่….
“ร้องเพลงไรดีวะ ขอลิสต์ก่อน เออๆ ชวนแกงค์สวรรค์รำไรไปด้วยดีมั้ยวะ ไม่ได้เจอหลายวันโปรเจ็คทับหัวตายไปรึยังไม่รู้”
“แหมะ ยิ่งกว่าพวกกูอีก”
เอ้า ทำไมต้องเบะปากอะไรเบอร์นั้น
“แล้วมึงจะไปได้หรอไอ้เขา เวลาไม่มีซ้อมทีไรกลับเร็วเหมือนชินคันเซ็น”
“ไป! ไปได้เว้ย! คุณชายทำงานที่คณะ วันนี้คงกลับสี่โมงนู่นแหละ” ผมมองบนนึกถึงตารางกลับบ้านของตัวเอง ถึงจะแกล้งหน้ามึนเพราะเขิน แต่ก็จำได้ว่าพี่ตาณพูดว่าจะมารับตอนเย็น
นึกถึงคุณชาย ใจเต้นแรงอีกแล้วอะ ฮืออออ
“ขอคุณชายก่อนมั้ยเดี๋ยวก็มีปัญหาหรอกมึง” เฮียดุกรีบพูด เท่านั้นแหละไอ้เขาจึงต้องหันขวับไปทันที
“ขอทำไม คุณชายไม่ว่าหรอก”
แอบไปเงียบๆ ก็ดีเหมือนกัน ...เราห่างกันซักชั่วโมงสองชั่วโมงดีกว่าครับคุณพี่ชายตาณ เจอหน้าแล้วมันทำตัวไม่ถูกทุกทีเลย
“เออๆ งั้นรีบไปเถอะ ร้องตอนบ่ายนี่แหละแจ่มแมว”
“ไปๆ กูรู้แล้ว กูจะร้องเพลงพี่โตเหมือนเดิม”
“ถรุ้ย เดี๋ยวก็ร้องไห้ขอจี่หอยอีกล่ะมึงน่ะ”
ว่าแล้วสามหนุ่มสามมุมก็เดินกอดคอกันออกจากโรงอาหารด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข จุดมุ่งหมายของเราคือร้านคาราโอเกะที่เจ้าของหน้าโคตรบึ้งที่สุดในหน้ามอ
หอมกลิ่นอิสระแบบว่าฟรีด้อม
ดูสิ....ท้องฟ้าวันนี้มันช่างสดใสจริงจริ๊งงงงงง
Rrrrrr Rrrrrrr
ชะอุ้ย
เดินได้ไม่ถึงสามก้าวก็ต้องชะงักกึก เพราะมีสายเข้า ผมรีบหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูทันที และ....นี่คืออาการของคนร้อนตัว เพราะยืนอยู่ตรงกลางเพื่อนผมทั้งสองคนจึงชะโงกหัวเข้ามาดูด้วยความเสือก
“อะ กูว่าล่มแน่ๆ เลยเฮียดุก”
“เออก็ว่างั้น แต่คุณชายแม่งเทพว่ะ จังหวะเป๊ะ”
“เอ่อ ขอตัวไปรับโทรศัพท์แป๊บนึงนะเพื่อนรักทั้งสอง เดินไปก่อนเลยเพื่อน” ผมชะลอฝีเท้าก่อนจะเรียกพลังแห่งความกล้า เป็นผู้ชายต้องกล้าหาญเฟ้ยไอ้เขา
หนึ่ง สอง สาม
อะแฮ่ม!
ติ๊ด
“พี่ตาณ...”
(เลิกเรียนแล้วอย่าเถลไถล)
ชิบหาย คุณชายญานทิพย์!!
“!!!”
(เงียบแบบนี้คิดจะไปไหน)
“เอ่อ พะ...พี่ตาณ เนี่ย...ผมไม่ได้ไปไหนเล้ย...เรียนเสร็จกินข้าวว่างแล้วว่าจะไปห้องสมุดอะครับ”
(ก็ดี งั้นมาหาหน่อย)
“หือ? หาใครนะครับ”
(มาหา...)
“ฟาเธอร์”
กริบ...
(มอมแมมอย่ากวน)
“แหะ ล้อเล่นนิดเดียวเอง”
(ต่อหน้าให้กล้าแบบนี้บ้างนะ)
เอ่อะ
“...”
(เมื่อเช้าพูดอะไรยังเชื่อฟังเป็นตุ๊กตาอยู่เลย)
“เป็นตุ๊กตาลัลลาเบลหรอครับ?”
(หึ ตุ๊กตา....สุนัขเน่าๆ /กริ้ววว ไอ้คุณชายมียิ้มเว้ยพวกมึงงง/)
“...”
(/กุกกัก/ เงียบๆ หน่อย มอมแมม? เงียบทำไม งอนหรอ)
ผมหน้ามุ่ย ไม่งอนได้หรอ อยู่ดีๆ ก็เป็นหมาอะ
“ใช่! และผมไม่ไปหาพี่ด้วย ผมไม่บอกหรอกว่าผมไม่ได้ไปห้องสมุด เพราะผมจะไปร้องเกะกับเฮียดุก แค่นี้นะครั...”
(ห้ามวาง แล้วก็ไม่ต้องไปด้วย /เอ้าๆ หน้าบึ้งแล้วว่ะ น้องเขามาเร็วๆ ครับน้องงง มีคนโมโห/)
ผมได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกฟังไม่ได้ศัพท์ดังมาตามสาย แต่จังหวะดีจงรีบชิ่งครับ
“กุกๆๆๆๆ สัญญาณไม่ดี ไม่ได้ยินเลยครับ วางก่อนนะครั...”
นิ้วมือน้อยๆ ของผมกำลังจะกดวางแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงนิ่งๆ ดังลอดออกมา ไอ้เขาคนแมนจึงรีบเอากลับไปแนบหูในทันใด
(มอมแมม)
ชะ... คุณชายกดเสียงต่ำ
“คะ...ครับ”
(จะมาดีๆ ...)
“...”
(หรือจะมาด้วยน้ำตา)
ในตอนนั้นเอง เพื่อนรักอย่างไอ้หมูและเฮียดุกก็หันมาหาผมที่ยืนหน้าซีดอยู่พอดี เหมือนพวกมันรับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่า…
ผมคงได้ร้องไห้มากกว่าจะได้ไปร้องเกะ
.
.
ผมนั่งรอคุณชายทำงานด้วยใบหน้าเซ็งๆ อยากจะเล่นกีตาร์ก็ไม่ได้ จะร้องเพลงก็ไม่ได้อีก ใต้คณะอักษรน่ะเต็มไปด้วยนักศึกษาที่ตั้งใจทำงานมากเว่อร์ เปิดเทอมมาได้ไม่เท่าไหร่ทำไมเด็กอักษรมีงานเยอะจัง ดูผมดิอยากเล่นกีตาร์งานเฟรชชี่ใจจะขาด เฮียทิวสอนว่าอย่าให้กิจกรรมมากระทบการเรียนครับ ให้ทำทุกอย่างให้ดียกเว้นเรียนหนังสือ ว่าแล้วก็คันไม้คันมือ อยากซ้อมเพลงขึ้นมาซะอย่างนั้น
“เขาสมาธิสั้นหรอ” เพื่อนคุณชายคนหนึ่งที่นั่งตรงข้ามผมทักขึ้นเมื่อเห็นผมเริ่มดิ้นเหมือนคนที่อยู่แบบดิบๆ อ๋อ อยู่ไม่สุข
“เฮ้ยยย พี่รู้ได้ไงอะ นี่ผมไม่เคยบอกใครเลยนะ” ผมพูดเสียงตื่นเต้น ถ้าบินได้คงจะตีปีกพั่บๆ ดีใจออกนอกหน้าว่ามีคนคุยด้วยแล้ว! จนคุณชายที่นั่งคุยงานกับเพื่อนอีกคนเงยหน้าขึ้นมามอง ถึงตอนเงยหน้าจะหล่อก็เถอะแต่ผมขอพูดถึงเรื่องนี้ก่อน นี่มันโคตรซีเคร็ตเลยนะครับทุกท่าน เฮียทิวส่งผมไปเรียนดนตรีตั้งแต่เด็กเพราะพ่ออีแจ็คบอกว่า การเล่นดนตรีจะช่วยเรื่องสมาธิได้ สำหรับไอ้เขาแล้วช่วยได้แค่จบเพลงเท่านั้นแหละ นอกนั้นก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
เพื่อนพี่ตาณหัวเราะหึหึเมื่อเห็นผมทำตาโต ก่อนยื่นมือมาตบหลังผมดังป้าบ “พี่ไม่โง่นะเว้ยไอ้น้อง เห็นมึงยุกยิกเหมือนมดไก่ขัดก็รู้แล้ว”
“...เอ๊ยพี่นั่นมัน ยุกยิกเหมือนมดกุดขุ่ยต่างหาก”
“ไม่ใช่นั่นมดกุกขุก”
“เฮ้ยพี่ นั่นมันมดกักขัก”
“ไม่ใช่เว้ย เห็นมึงยุกยิกเหมือนมดกัดไข่
“ไม่ใช่พี่”
“เฮ้ย ถูกแล้ว!!!”
เรามองหน้ากันก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆๆ”
“พี่นี่ตลกว่ะมุกเนียนเหมือนไม่ใช่มุก ทีตอนไล่กระทืบผมนะหน้าโคตรโหด”
“ตอนนั้นมึงกวนตีนนี่หว่า ตอนนี้ก็กวนตีนเหมือนกัน”
ผมคุยเล่นกับพี่กานต์(จำชื่อไม่ได้หรอกพี่แกบอกมา)สองสามคำ จู่ๆ ก็มีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้น ไม่สิมันรู้สึกตั้งแต่เริ่มคุยกับพี่กานต์แล้ว ตรงสีข้างมันเย็นเยียบไปถึงกระดูก แถมยังรู้สึกว่ามีสายตาทิ่มแทงมาจากคน...เอ่อ...ใกล้ๆ
“เชี่ยกานต์ กูว่ามึงรีบมาแปลส่วนนี้ดีกว่า”
“แป๊บนึงๆ เดี๋ยวไป คุยกับเขาสนุกดีว่ะ แป๊บๆ”
“มึงไม่ควรแป๊บนึง มึงดูหน้าลูกพี่มึงด้วย” พี่แกไม่พูดเปล่าถึงกับลุกขึ้นมาลากคอพี่กานต์ที่ทำหน้างงๆ ผมหันไปก็เห็นว่าพวกพี่ๆ ขยับตัวไปนั่งสุมหัวกันอีกฝั่งของโต๊ะ ดังนั้นตรงนี้ก็เหลือแต่ผมกับพี่ตาณที่ไปกินรังแตนมาจากไหนก็มิรู้
“อะ...อะไร อย่ามามองผมนะ” ผมใช้มือสองข้างปิดนมตัวเองพร้อมกับบิดตัวไปมา หวังว่าพี่ตาณคงจะหันมากัดผมเหมือนอย่างเคย
“อย่ามาทำเล่น”
ชะอุ้ย!
เสียงโหด
“ไม่เล่นด้วยเลย” ผมพึมพำ พึ่งสังเกตว่าคุณชายทิ้งปากกา ไม่สนใจเปเปอร์ที่ตัวเองตั้งใจทำเมื่อกี้เลยแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่เพื่อนเล่น”
เฮ้ย! พูดงี้ก็หล่อดิคุณชาย ไอ้เขาขึ้นเลยเว้ย ขึ้นเลย
“ผมทำผิดอะไร ทำไมพี่ตาณต้องมองผมแบบนี้”
“ผิด ผิดมากด้วย”
“ผมทำอะไรพี่บอกดิ แล้วพี่ล่ะ...พี่เรียกผมมาหาแล้วไม่เห็นคุยกับผมซักคำ ให้ผมมานั่งเล่นกับจั๊กกะแร้ตัวเองตั้งนาน ทีงี้ก็มาดุใส่” ยิ่งพูด พี่ตาณยื่นมือมาบีบปากผม ประโยคต่อมาก็เลยพูดอู้อี้อยู่คนเดียว “ผมทำอะไรผิดนัก ทำไมพี่ตาณต้องเสียงแข็งใส่กันด้วย”
เพื่อนใจน้อยมันเกิดอาการน้อยใจนะพี่ตาณ
“ก็โกรธ” คุณชายพูดเสียงอ่อนลงพร้อมกับคลายมือเล็กน้อย ผมเห็นท่าทีดังนั้นก็เปลี่ยนท่าทีข่มคุณชายใหญ่
“โกรธอะไรผม”
“กับ(ไอ้)กานต์”
“พี่กานต์? ผมเสียงดังรบกวนพี่ตาณหรอ ขอโทษ ก็ผมเหงาไม่มีใครคุยด้วยนี่ แล้วพี่ตาณให้ผมมาที่นี่ทำไมไม่...”
“...มอมแมม” คุณชายเลื่อนมือมาลูบเหม่งผมสองสามที อย่ามาอ่อนโยนกลบเกลื่อนนะ “มอมแมมฟัง”
“...”
ก็ได้ ฮึ! ถึงจะอยากจะสะบัดหน้าแต่เพราะสัมผัสอุ่นๆ ทำให้ผมเอียงหัวเข้าหามือพี่ตาณเหมือนหมาอ้อนเจ้าของ ก่อนที่จะคิดอะไรมากกว่านั้น เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้น
“คนที่ตรงๆ กันแล้วไม่ควรจะไปยิ้มให้คนอื่น”
“...”
“ไม่ควรหัวเราะกับคนอื่น”
“...”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อยู่ข้างๆ กันแบบนี้...ไม่น่ารักเลย”
ทันใดนั้นโลกก็หยุดหมุน
ผมชะงักค้าง สบตาคู่สวยของพี่ตาณก่อนที่สมองน้อยๆ จะประมวลผลประโยคเมื่อกี้ให้กลายเป็นความร้อนบนใบหน้า คุณชายเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนกระทั่ง...
ป๊อก!
“โอ๊ย ดีดหน้าผากผมทำไม” ผมร้องก่อนจะใช้สองมือกุมหน้าผาก
“เล่นใหญ่ตลอด”
หมดกันไอ้บรรยากาศหวานซึ้งเพียงสี่สิบวิ
“เจ็บบบบ” ผมโอนเอนหัวไปด้านข้าง หวังให้พี่ตาณยื่นมือมารับ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล เพราะพี่ชายตาณขยับตัวออกห่างไปสองมิลฯ
ทำไมอ๊ะ! เขยิบออกห่างผมทำไม ส่งแววตาหมาสงสัยไปให้คุณชายเพียงแค่นั้นก็รู้คำตอบ
“ลงโทษ”
คุณชายใจร้ายแค่คุยเล่นกับเพื่อนพี่แค่นี้เอง ผมยังไม่ละความพยายาม สุดท้ายคุณชายยื่นมือมารับหัวผมจนได้
“พี่ลูบหัวด้วย”
ง้อด้วยการขอให้ลูบหัวเลยนะ โห่ พี่ตาณเนี่ยขี้งอนจริงๆ
“จะทำอีกมั้ย” คุณชายพูดเสียงเข้ม ไม่ยอมขยับมือซักที
“ไม่ทำแล้วค้าบบบบบ”
ดูเหมือนว่าพายุน้ำแข็งจะหายไปแล้ว เพราะฝ่ามืออุ่นๆ ลูบหน้าผากผมเบาๆ
“หึ เด็กดี”
อื้อ...ผมโคตรเด็กดีเลยแหละ
เจี่ยม!!!
ใต้คณะอักษรเงียบไปถนัดตา ไม่ใช่ว่าทุกคนหันมามองมนุษย์ที่ลูบหัวลูบหางกันหรอกนะ เป็นเพราะว่าพวกมันไม่เห็นใครเลยต่างหาก เพื่อนคุณชายที่ลอบมองผ่านกระดาษอ้าปากค้าง ก่อนจะเรียกสติด้วยการหันมามองเปเปอร์ที่คุณชายไม่คิดจะชายตามอง ใช่สิ เปเปอร์ไม่ใช่หน้าน้องเขานี่
“เอ่อ พวกมึงข้อนี้ตอบอะไรนะ ห้าบวกห้าเท่ากับสิบเนอะ” ขนุนเอ่ยขึ้นคนแรก หวังให้เพื่อนเลิกเบะปากใส่คู่ข้างๆ แทน
“สัด! เราแปลเปเปอร์มีเลขที่ไหนไอ้ขนุนสนามหลวง”
“ยังไงก็แหล่วแต้...”
“แล้วแต่!”
“เออนั่นแหละ ยังไงก็แล้วแต่พวกมึงหันเฮด(head) มาทำงานดีกว่า ไม่งั้นต่อมอิจฉาจะต้องลามเข้าสู่หัวใจเราแน่ๆ”
“พูดอย่างกับว่างูกัด โอ๊ยยย! คุณชายเพื่อนนนน งูกัดกูพาไปโรงบาลหน่อยยย” หนึ่งร้องเสียงหลงก่อนจะเหล่ตาไปประเมินสถานการณ์ “ไอ้สัดนี่กูร้องดัง ไอ้คู่นั้นยังไม่เลิกซบกันอีกหรอวะ”
“พอเหอะ” หนุนโบกมือไปมา
“พวกมันอะนะ”
“มึงเนี่ยแหละ!”
จบตอน
บอกเลยว่าเรื่องนี้สงสารพระเอกที่สุด555
หายไปนานขอโทษมากเลยค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
ให้มินิฮาร์ททุกคนค่ะ