ระเบียบที่ 14 : ห้ามยืนอยู่คนเดียว
เช้าวันนี้—ผมคว้ากระเป๋ากีตาร์ขึ้นมาสะพายที่ไหล่ขวาพลางส่งสายตามุ่งมั่นไปที่ประตูรั้ว ยามเมื่อได้ยินเสียงนุ่มนวลของรถเต่าที่ผมนั่งมาตลอดหลายอาทิตย์ดังแว่วๆ อยู่หน้าบ้าน
ผม...ภูเขา ลูกน้อยของเฮียทิว มีความพร้อมอย่างเต็มเปี่ยมกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่จะต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งขณะนี้ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้ว (เช้าวันจันทร์ 6 โมง 50 นาที) ผมขอกล่าวอย่างเป็นทางการว่า...
“ปฏิบัติการณ์ชอบใครให้พูดตรงๆ ได้เริ่มขึ้นแล้ว ณ บัด...เน้!”
ผลัวะ!
“โอ๊ย”
เจอปีศาจชอบโชว์หน้าอกขัดขวางการทำภารกิจหนึ่งอัตรา!
“มึงจะเต๊ะท่าอีกนานมั้ย เปิดประตูค้างไว้เนี่ยลมมันเข้า”
“เฮียทิวอ๊ะ! เขาเจ็บนะ”
“ตอแหล”
ผมลูบหัวป้อยๆ เกือบจะหน้าทิ่มลงไปกับพื้นแล้วถ้าคนที่ลงมือไม่เอื้อมมือมาคว้ากระเป๋ากีตาร์ไว้ซะก่อน ไม่งั้นนะ...พื้นบ้านยุบแน่ๆ ถุ้ย! หน้าทิ่มไม่ใช่เรื่องตลกนะเฟร้ย ผมหันไปมองเฮียทิวตาขวางแล้วก็พบว่าเฮียทิวยืนเกาพุงอย่างสบายใจ ตบหัวแล้วลูบหลังของจริง พ่อตู
“ทำไม มองมามีปัญหาไร”
“เปล๊า ใครจะมีปัญหากับเฮียทิวล่ะครับ แล้วนี่แปลกจัง ปกติตื่นสายโด่ง วันนี้มาส่งลูกเขาไปโรงเรียนหย๋อ”
“ใครบีบลิ้นมึงไว้”
“อะแฮ่ม”
“กูแค่อยากมาเห็นหน้าลูกเข...ไอ้คนที่มึงชอบเนี่ย จะหล่อซักแค่ไหนเชียวทำให้ลูกกูเพ้อพกนอนมองเพดานอยู่ได้”
“หล่อ?...เฮียทิว!”
“กูพูดอะไรผิด คนที่มึงชอบไม่ได้เป็นผู้ชายหรอ” เฮียทิวเท้าเอวมอง ตอนนี้เราสองพ่อลูกคุยกันอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน ถัดออกไปตรงประตูรั้ว มีรถของคุณชายที่ติดเครื่องรอผมอยู่ตรงนั้น แต่เอ๊ะ..
“นะ...นี่ เฮีย ...เฮีย...รู้”
“กูไม่ได้โง่เหมือนมึง” ว่าแล้วก็จิ้มหัวลูกไปอีกที ที่มันโง่ก็เพราะพ่อรักส์มอไซค์มากกว่าลูกไง ซื้ออาหารบำรุงมอไซค์แต่ไม่ซื้ออาหารสมองให้ลูกบ้างเลย เดี๋ยวนะกลับมาปากสั่นเรื่องเดิม
“คือว่า เฮียทิว..ผู้ชาย ชอบ ว่า เขา แล้ว...”
“เอออออ ไม่ได้จะว่าอะไรหรอก”
“ตะ...แต่...ว่า...ไม่...ว่า...เขา...หระ...หรอ”
“ปากสั่นทำพระแสงอะไร กูจะบอกมึงไว้ตรงนี้ มึงจะชอบใคร จะรักใครก็เรื่องของมึง กูไม่ใช่คนขี้เสือกอยู่แล้ว”
กึก!
เพราะคำพูดเดียวของเฮียทิวทำให้ผมปลดล็อก ไอ้เขาชะงัก มองพ่อตัวเองนิ่ง
“ฮือออออ น้ำตาจะไหล พ่อไม่ขี้เสือก เอ๊ย พ่อไม่ว่าเขา พ่อเข้าใจเขา ฮือ ฮือ”
“ไม่ต้องร้องปลอมๆ ได้มะ”
“เขาขอบคุณพ่อนะครับ”
“เออ! ไม่ต้องมากอด!”
“ก็เขาซึ้งนี่” ผมแนบเเก้มลงกับอกพ่อ ซึ่งพ่อก็พยายามดันหน้าผมออกอยู่ทุกวินาที
“แต่จะว่าไปกูชักสงสารไอ้คนนั้นของมึงแล้วว่ะ”
“งือ ทำไมอะพ่อ”
“ก็มีเด็กเพี้ยนมาบอกชอบเนี่ย ตอนบอกก็ระวัง อย่าให้เค้ากัดลิ้นตัวเองตายนะ”
“พ่ออออออออออออ นี่ลูกนะ”
“เออ ไปได้ละไป”
ผมไม่ทันยกมือไว้ เฮียทิวก็ใช้ฝ่าเท้าเขี่ยก้นผมให้เดินลงบันไดหน้าบ้านพร้อมกับโบกมือไล่ ผมน้ำตารื้น โลกนี้ไม่มีใครดีเท่าพ่อผมอีกแล้ว ไอ้เขาดราม่า ผมหันกลับไปมองพ่อก็เห็นตาลุงคนนั้นจ้องไปที่รถคุณชาย...เอ่อด้วยสภาพกางเกงตัวเดียว เฮียทิวเป็นห่วงลูกใช่มั้ย ไม่ต้องห่วงนะเขาจะทำให้เต็มที่ ถ้าผิดหวัง...เขารู้ว่าพ่อเป็นยังอยู่เป็นเพื่อนเขา เหมือนที่เราอยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิต
เขารักพ่อนะ
ผมบอกรักพ่อในใจ แต่เพราะความรู้สึกอันล้นทะลัก ผมจึงต้องวิ่งกลับไปหาพ่อพร้อมกับคว้าคอพ่อมาจูบแก้มหนึ่งที
“พ่อเป็นกำลังใจให้เขาด้วยนะ จุ๊บ!”
เฮียทิวเบิกตากว้าง ยืนตัวแข็ง คงจะดีใจที่ลูกแสดงความรักล่ะสิ
“ไอ้เขา เดี๋ยวกูยันไปนู่น!”
โธ่ พ่ออยากแสดงความรักกลับก็ไม่บอก หน้าแข้งกระตุกมาจูบตูดผมซะแรงเลยง่ะ เจ็บ,,,
ผมขึ้นมาบนรถด้วยสีหน้าเบิกบานเพราะได้กำลังใจจากพ่อแบบสุดๆ พอนั่งปุ๊บก็ยกมือสวัสดีคุณชายทันที แต่คนที่รอในรถเกือบสิบนาทีไม่พูดอะไรทำให้ในรถเงียบกริบ และเพราะแบบนั้นผมจึงค่อยๆ หันไปมองต้นเหตุแห่งความเงียบอย่างช้าๆ
ชะอุ้ย
มีรังสีแห่งความหงุดหงิดแผ่ซ่านไปทั่วรถ หรือว่าผมเล่นกับพ่อนานเกินไป พี่ชายตาณเลยรอ ผมนั่งตัวเกร็ง กลอกตาไปทางขวาเพื่อมองคุณชาย นั่งเกร็งไม่นานคุณชายก็ออกรถ อันที่จริงแล้วก็เหมือนเดิมทุกวันที่คุณชายจะต้องมารับ แต่ความรู้สึกของผมวันนี้คือคุณชายขับรถไม่เหมือนเดิมเลย มันฉวัดเฉวียนเวียนเกล้าชอบกล
“เอ่อ พี่...ครับ”
“เล่นกับพ่อแบบนั้นตลอดเลยหรอ นายน่ะ” คุณชายถามขึ้นแต่สายตามองตรงไปที่ถนน และเป็นผมเองที่เอียงหน้ามองอย่างงงๆ
“เล่นกับพ่อ? อ๋อที่เขาจูบเเก้มพ่อน่ะหรอ เขาแกล้งพ่อ..เอ๊ยไม่ใช่ ผมก็แกล้งพ่อแบบนั้นแหละ” ผมยิ้ม วันนี้เป็นวันดีๆ มองอะไรก็เป็นสีชมพูไปหมด เอ๊ะ เดี๋ยวนะ สีม่วงมาจากไหน สงสัยตาพร่า
“จริงๆ นะพี่” ผมย้ำพลางยกมือมาขยี้ตา
“อืม รู้แล้ว อย่าขยี้ตา” คุณชายพยักหน้ารับก่อนยื่นมือมาจับมือผมไว้ แล้วต่างคนก็ต่างชะงัก นอกจากจะชะงักแล้วใจผมก็เต้นแรงโดยที่ทราบสาเหตุ ก็เป็นเพราะมือคุณชายที่กำรอบมือผมนี่ไง
คุณชายกระแอมก่อนจะปล่อยมือผม แล้วในรถก็กลับมาเงียบอีกครั้ง
“โตเป็นกระบือแล้วอย่าไปกระโดดแกล้งพ่อแบบนั้นอีก เดี๋ยวพ่อนายล้มหัวฟาดทำยังไง” จู่ๆ พี่ตาณก็พูดขึ้น แต่ไม่รู้ทำไมสายตาพี่ตาณถึงเอาแต่มองปากผมนะ แต่ช่างเถอะ เฮียทิวครับ เขาชอบคนไม่ผิดจริงๆ อะ คุณชายเป็นห่วงพ่อด้วยนะ
ใจกระดอนไปหมดแล้ววว
ผมยกมือกุมอก รู้สึกถึงความชื้นที่มือทั้งสองข้าง หัวใจเต้นตึกตัก แบบว่าตื่นเต้นจนกลัวว่าคุณชายจะได้ยินเสียงหัวใจเข้า
แต่ว่าเวลานี้แหละ!...เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะบอกความรู้สึกตัวเองในตอนที่ความชอบมันวิ่งพลุ่งพล่านอยู่ในหัวใจแบบนี้
“พี่ตาณ...” ผมวางมือตัวเองลงบนมือคุณชายที่ตอนนี้กำลังจับเกียร์รถอยู่ คุณชายไม่มีท่าทีตกใจแต่กลับส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงตอบรับ
พี่ครับ...
“...”
“พี่ตาณ”
“อืม...”
“ผม....” ไอ้เขาช้อนสายตามองคุณชายด้วยความรู้สึกที่มี วินาทีนั้น...ผมพูดเสียงดังพร้อมกับหลับตาปี๋
“ผม...ตรงๆ พี่ครับ!!!”
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด
ผมพูดออกไปแล้ว!
แต่ว่ามัน...
กริบ
เงียบกริบจนได้ยินแต่เสียงแอร์หึ่งๆ...
มันเป็นภาพสโลว์โมชั่นที่มนุษย์ผีบ้าอย่างผมอยากจะเก็บความทรงจำดีๆ ในบรรยากาศบนรถเต่าสุดคลาสสิคนี้ เสี้ยววินาทีที่ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ผมเห็นพี่ตาณเบิกตากว้างก่อนที่ริมฝีปากสุขภาพดีจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา…
“ตรงอะไรล่ะ เลี้ยวข้างหน้าก็ขึ้นทางด่วนแล้ว”
ไม่ว่าเปล่าคุณชายตาณสะบัดมือผมออกก่อนจะเลื่อนมือที่จับเกียร์ไปหมุนพวงมาลัยแทน ขอย้ำอีกครั้งว่ามันเป็นภาพสโลว์โมชั่น ผมเห็นรถเต่าสีสวยเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน ไอ้เขามองมือตัวเองที่โดนสะบัดทิ้งอย่างนิ่งอึ้ง ตาเบิกค้างประหนึ่งเจอเรื่องราวสุดช็อก...
ผม...ภูเขา...และมือข้างนี้โดนทิ้งอย่างไร้เยื่อใย
ทุกคนครับ
ผม...อกหักบนทางด่วน
รบกวนจส.100 ช่วยแจ้งประชาชนให้ด้วยนะครับ
“เป็นอะไรเรา” ทันทีที่จอดรถที่หน้าคณะ คุณชายก็เห็นความผิดปกติของผมเข้า พี่แกขมวดคิ้วฉับ แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนตรงกันข้ามกับสีหน้า
ฮือ อย่ามาอ่อนโยนกับนุ้งได้มั้ย นุ้งอกหักอยู่
“ไม่อยากไปเรียนหรอ”
“...” กูเบะปากเลย อกหักยังหาว่าไม่อยากเรียนหนังสือ
“เอาน่า โตแล้วอย่าร้อง”
“ไม่ได้ร้อง!” เพราะคุณชายขำในลำคอ ผมถึงเงยหน้าเถียง แต่จ้องได้ไม่นานก็ต้องก้มหน้าลงใหม่ ก็...เวลายิ้มแล้วพี่เค้าหล่อจัง
“ไม่ร้องก็ไม่ร้อง จอมงอแง” พี่ตาณยื่นมือมาลูบหัวแรงๆ ผมที่ทนไม่ไหวอีกแล้วจึงเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนจะรีบลงจากรถ แล้วเดินอ้อมมายืนข้างรถฝั่งประตูคนขับเพื่อจะข้ามถนนพร้อมกับกีตาร์สุดที่รัก ผมเม้มปาก หันกลับมามองไปที่พี่ตาณนิ่งไม่ไปไหน คุณชายท่านก็ยังนั่งอยู่ในรถมองผมไม่ไปไหนเช่นกันเพิ่มเติมคือเปิดกระจกให้เห็นหน้ากันชัดๆ
“พี่...”
“หืม?...”
“ผมตรงๆ พี่ ถ้าพี่ไม่ตรงๆ ผม ก็อย่ามาลูบหัวให้ใจผมบางเป็นหมูสไลด์ชาบูเลย”
“พวกมึง กูอกหัก”
แกร๊ง!
กร๊อง!
ท่ามกลางกลิ่นน้ำซุปในร้านชาบูข้างมอ เพื่อนรักที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมทั้งสองคนปล่อยตะเกียบและช้อนในมือลงกับถ้วยกระเบื้องจนเกิดเสียงดัง และพวกมันเบิกตากว้างก่อนที่จะ...
“เฮียดุก บอกมาซิ กูกำลังฝันอยู่ใช่มั้ย”
“หมูน้องรัก เฮียคงจะตอบมึงว่า แน่นอน เราทั้งคู่อยู่ในความฝันที่พิสดารที่สุดในเมืองนี้”
“เราจะติดอยู่ในความฝันนี้อีกนานมั้ยเฮีย กูกลัวว่าไอ้เขาจะโดนผีเข้าตลอดไป”
“หมู กูกับมึงจะร่วมมือกันฝ่าฟันฝันร้ายนี้ไปให้ได้”
“เฮียดุก...”
“ไอ้หมู”
“เฮียดุก”
“ไอ้ห.......”
ผลัวะ! ผลัวะ!
“พวกมึงเป็นผักกาดอะไรเนี่ย!”
ผมลุกขึ้นยืนตบหัวเพื่อนรักทั้งสองด้วยแรงไม่เบามากนักก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเหมือนคนหมดแรง
“กูอกหัก”
“เชี่ยยยย เรื่องจริงหรอวะ”
“ถึงว่าไอ้เขาขี้งก ชวนพวกเรามาแดกชาบู”
“เออ อยากเมาสันในให้ตายไปเลย”
เฮียดุกกับไอ้หมูสบตากัน ก่อนที่มันจะทำการสอบสวนผม “มึงอกหัก แสดงว่ามึงไปชอบใครเค้าล่ะสิ”
“กูเจ็บ...” ว่าแล้วก็คีบหมูมาเคี้ยวอย่างรวดเร็ว แล้วก็...
พรึ่บ!
“ไอ้สัดเขา! มึงนั่งลง มึงจะยืนทำห่าไรคนมองเต็มร้านแล้ว”
“...ยืนอยู่คนเดียวววว ช่างเปล่าช่างเปลี่ยวหัวใจ ฉันยืนอยู่คนเดียวได้ยินไหม ช่างเหงาหัวใจเหลือเกิน และฉันคงทนต่อไปอีกไม่ไหว คงต้องมีใครมาดูแลหัวใจ มันทนต่อไปอีกไม่ไหว อยากจะบอกกกก...ว่าฉันมีเพียงความรักอยู่เต็มหัวใจและอยากรู้ว่ามีใครจะมารับเอาว้ายยยยย”
“นั่งล๊งงงงงงงงงงง”
“เพื่อนกู เพลงพี่โตก็มาว่ะ”
ผมร้องเพลงด้วยเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง คนมองผมก็ไม่สน คนมันเศร้าอะ เฮียดุกที่ทนไม่ไหวรีบย้ายฝั่งมาฉุดผมนั่งลงทันที
“แดกเข้าไปสันในเนี่ย”
“ยืนอยู่คนเดียวววว...”
“ยังไม่หยุดอีก มึงนั่งได้แล้วไอ้ห่า”
“ไหนมึงเล่ามาซิ ว่ามึงไปทำยังไงให้อกหัก” ไอ้หมูเปิดประเด็นพร้อมกับใช้ตะเกียบชี้หน้าผม
“กูชอบคนๆ นึง กูบอกชอบเค้า แต่เค้าไม่สนใจกู”
“เชี่ยเขา!” ไอ้หมูสบตากับเฮียดุกอีกครั้งก่อนจะพูดเสียงเบา “คุณชายรู้ป้ะวะเนี่ย”
“หลอกถามมันเลยไอ้หมู”
พูดไรกันวะ เออช่างแม่ง...จะกินหมูให้ลืมเธอว์
“มึงบอกชอบเค้ายังไง ไอ้ตัวชอบป๊อดอย่างมึงอะนะจะกล้า” ผมว่าผมเมาเนื้อแล้วจริงๆ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ความเจ็บมันลวกปาก
“กูปรึกษาเฮียทิว เฮียทิวบอกว่าให้พูดตรงๆ”
“แล้วมึงบอกชอบเค้าตรงๆ เลยหรอวะ”
“เออดิ! สองต่อสองในรถด้วย!”
“อู้หูวววว ไอ้เชี่ย เพื่อนกูโคตรแมน”
“ในรถด้วย?”
“ใช่!”
“ไอ้เขา คุณชา..เอ๊ย คนที่มึงชอบเค้าฟังไม่ถนัดรึเปล่า”
เอ๊ะ...
“ไม่ถนัดยังไงวะ” ผมกระแอม ดึงสติตัวเองมาครู่หนึ่ง หรือว่าคุณชายจะหูไม่ดีจริงๆ
“ก็ความหมายว่า เค้าอาจจะมีสมาธิอยู่กับการขับรถ ไม่ทันฟังมึงไง”
“หรอ” เอนเอียงตามแล้วกู ผมคิดตาม ใช่สิ ตอนนั้นคุณชายจะต้องขึ้นทางด่วนนี่ ผมอาจจะไปกวน คุณชายเลยไม่ทันฟัง
“แล้วตอนมึงบอกมึงได้เอาอะไรให้เค้ารึเปล่า”
“ต้องมีด้วยหรอวะ”
“เอ้า ไอ้เชี่ย เวลาไอ้หมูไปดูน้องบีบี๋เต้นโคฟเวอร์มันยังต้องเอาดอกไม้ไปให้เลย ถ้าไม่มีก็เอามินิฮาร์ทให้”
“จริงด้วย กูไปตัวเปล่า กูไม่มีอะไรเลย แล้วๆๆ กูต้องให้มินิฮาร์ทได้ยังไงวะ ซื้อที่ไหนไอ้หมูบอกกูมาหน่อยยยย” ผมผลักเฮียดุกที่ย้ายมานั่งข้างๆ ออกก่อนจะสลับไปนั่งข้างไอ้หมูแทนพร้อมทั้งเขย่าแขนมัน เสียงน้ำเดือดดังคลอบรรยากาศตื่นเต้นของผม
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องซื้อหรอกเว้ย” ไอ้หมูบอก มันเช็ดมือกับเสื้อตัวเองก่อนจะใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้มาไขว้กันตรงปลายนิ้ว
“ไอ้เขามึงก็ทำตามดิวะ” เฮียดุกสั่ง ผมเลยทำตามงงๆ ตกลงมึงไม่บอกชื่อร้านที่ขายมินิฮาร์ทให้กูหรอวะ
“เออ อย่างงั้นๆ เดี๋ยวๆ มึงจะมาจีบหงายอะไรตอนนี้ ไขว้กันเยอะๆ เอออออ อย่างงั้น เฮียดูเพื่อนมึงทำใช้ได้เปล่าวะ”
“ให้กูทำอะไรเนี่ย”
“ไอ้เขาควาย นี่แหละมินิฮาร์ท ไม่ต้องซื้อแต่แสดงความรักได้ดีที่สุด อันที่จริงแค่มึงชูนี่นะ เค้าก็เข้าใจแล้วเว้ย”
“จะ...จริงหรอวะ” ผมมองมินิฮาร์ทที่ปลายนิ้วมือตัวเอง พลันก็เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
“เออดิ”
“คราวนี้มึงลองอีกที ถ้าเค้ายังไม่หือไม่อือ เตรียมทิชชู่เช็ดน้ำตาได้เลย” ไอ้หมูชูนิ้วโป้งให้แล้วตบไหล่ผมเบาๆ
“อีกทีเว้ยเพื่อน” ตามมาด้วยเฮียดุกอีกคน
ผมเงยหน้าสบตาเพื่อนทั้งสองคนด้วยแววตาสุดซึ้ง ใจที่ฟีบลงไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อนกลับมาพองโตอีกครั้ง
“ขอบคุณนะเว้ยพวกมึง กูจะลองอีกครั้ง”
ฮึบ!
“ลองไรกันพวกมึงงงงง”
จู่ๆ เสียงแหลมที่ดัดเรียบร้อยแล้วก็ดังแหวกอากาศมาจากด้านหลัง แก๊งสามหนุ่มสามมุมเลยหันไปมองพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
...มนุษย์เพื่อนข้างบ้าน ปัจจุบันเรียนคณะอักษร ได้ปรากฏตัวขึ้นในชุดนักศึกษาหญิงรัดไข่ เอ๊ย รัดติ้ว
“เออพวกมึงกินต่อเหอะ...”
“หมูนี่แม่งโคตรนุ่มเลยว่ะ”
“นี่พวกมึงเมินกูหรอ!”
ตุบ! อีแจ็คที่มาคนเดียวกระแทกตูดนั่งข้างเฮียดุกทันที มันเหยียดปากเป็นเครื่องหมายเช็คถูกให้ผมเป็นการทักทาย กูเพื่อนมึงนะอีแจ็ค
“คิดยังไงมาแดกชาบูตอนเที่ยงเนี่ย เสี้ยนมาจากไหนฮะ เลว” ไม่ต้องรอให้อ้าปากทักทายกลับอีแจ็คเปิดประเด็นทันที
“พวกกูเลวที่แดกตอนเที่ยง?”
“เลวที่ไม่ชวนกู! ถ้ากูไม่นั่งวินผ่านมาจะเห็นพวกมึงมั้ย โกรธมากบ้าบออออ”
“อยากแดกก็สั่ง”
อีแจ็คกวาดตามองรอบโต๊ะ ก่อนจะทำตาโต
“เฮ้ย น้ำเดือดปุดๆ แล้วเนี่ยยยย เทรนดิ บ้าบอออออ” อีแจ็คส่งเสียงร้องอย่างตกใจก่อนจะชี้ๆ ไปที่หม้อชาบู พวกเราเลยมองหาเทรนที่ว่ากันเลิ่กลั่ก
“อะไรของมึงวะเทรน กูจะรู้มั้ยย”
“Train ก็ลดไฟไงอีโง่”
“นั่นมันรถไฟ! มุกมึงล้ำหน้าประเทศไทยแล้วโว้ย”
“เอ้าอีสัด นึกว่าใช้ได้เหมือนกัน เออลดความร้อนลงหน่อย เดือดขนาดนี้ เดี๋ยวผักก็ยุ่ยเป็นเนื้อเฮียดุกแล้วจะยุ่ง” ผมที่อยู่
ใกล้ปุ่มสุดก็กดสองสามทีตามที่มันบัญชา
“แจ็คกูยังไม่ตาย” เฮียดุกมองตาขวาง มือขวายังถือตะเกียบค้างไว้อยู่เลย
“อ้าวหรอ”
“ฮ่าๆๆๆ”
เสียงเพื่อนผมหัวเราะกันลั่นร้าน เฮียดุกที่เคี้ยวผักต้มอยู่แทบจะคายทิ้ง ไอ้หมูก็หัวเราะจนตบหลังผมตุ้บตั้บ อีแจ็คยกมือเรียกพนักงานชายแต่เห็นว่าหล่อเลยแอ๊วเค้า กว่าจะได้สั่งก็หลายนาทีถัดจากนั้น
ความวุ่นวายตรงหน้านี้ทำให้ผมหลุดหัวเราะเบาๆ
…ขอบใจนะพวกมึง...
“ยิ้มอ่อนไรมึงเนี่ยอีเขา เมื่อเช้าไม่ได้ขี้หรอ”
เออ!!!!
[ต่อหน้าถัดไปค่ะ]