Underlying diseases.
「โรคประจำใจ」
Follow up ครั้งที่ 20
---OMIN---
‘ถึงบ้านพักแล้วนะ’
*แนบรูป*ศรส่งข้อความพร้อมรูปมารายงานโดยที่ผมไม่ต้องกำชับก่อนไปหรือลุกไล่ตามตอแยให้เสียสุขภาพจิตกันทั้งสองฝ่ายเลยสักนิด ความใส่ใจเล็ก ๆ ที่ศรเพิ่งจะมีทำให้ผมยิ้มออกมา เพราะถือเป็นสัญญาณที่ดีของความสัมพันธ์
บททดสอบแรกของการเริ่มต้นใหม่ของพวกเราคือการที่ผมต้องยอมปล่อยให้ศรไปค้างคืนตามลำพังกับกลุ่มเพื่อนที่ต่างจังหวัด
‘ไปเถอะ’เหมือนจะพูดง่าย แต่จริง ๆ แล้วโคตรยากเลย
อยู่ ๆ จะให้คนขี้หึงอย่างผมยอมปล่อยแฟนไปเที่ยวไกลหูไกลตาโดยที่ไม่สามารถตามไปดูแลได้มันยากจะทำใจอยู่นะครับ แต่พอคิดว่านี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะปรับตัวเข้าหากันผมก็จำต้องยอมรับสถานการณ์ เมื่อเราตกลงจะเริ่มต้นชีวิตรักกันใหม่ สิ่งแรกที่ควรมีคือการเชื่อใจและให้เกียรติกันไม่ใช่หรือครับ
ผมอาศัยช่วงพักกลางวันปลีกตัวหาที่เงียบ ๆ โทรไปถามไถ่ แทนที่อีกฝ่ายจะแค่รับสายธรรมดากลับเปิดเป็นวิดีโอคอลให้ผมได้เห็นหน้าเพื่อนมันทุกคนด้วย
เชี่ย! เขินว่ะ
[หยุดแซวไอ้สัด] เสียงธรรมศรแหวใส่เพื่อนที่ร้องเสียงโห่ปนแซวว่ามันเป็นคนอวดแฟน ไอ้ตัวดีหน้าแดงก่ำที่ไม่รู้ว่าเขินหรือร้อนมากกว่ากันแน่ แสงจากฝั่งโน่นสว่างจ้ารับกับฉากหลังสีเขียวที่ธรรมชาติแบบสุด ๆ ก่อนที่หน้าจอจะเหลือแค่ใบหน้ารูปงามของคนที่ผมคิดถึงเพียงคนเดียว
[มึงกินข้าวรึยังเนี่ย]
ผมยิ้มมุมปาก “กินแล้ว” มองใบหน้าศรตอนนี้เห็นแต่ความสดใสในแววตาคู่นั้น ว่ากันตามตรงแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำที่ผมเพิ่งมีโอกาสเห็นอีกฝ่ายอยู่กับเพื่อนในลักษณะของการสังสรรค์เฮฮาที่ไม่ใช่ตามร้านเหล้า “อยู่ไหนกัน”
[ส่งรูปไปให้ดูแล้วนะ]
“โทษที ทำงานอยู่เลยยังไม่ได้เปิดดู ว่างก็โทรเลยเนี่ย”
[อากาศโคตรดี อยากให้มึงมาด้วยกันเลยว่ะ]
อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมากว้าง ๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยังนึกถึงกันแม้จะมีความสุขมาก ๆ อยู่กับเพื่อน “ตกลงว่าตอนนี้อยู่ไหน”
[มาเขาใหญ่ก็ต้องมาเล่นอะไรที่มันโลดโผนสิวะ]
“ระวังตัวด้วย”
[อย่าห่วงหน่า ไปแล้วนะ พวกแม่งตามแล้ว] ศรรีบลา ผมได้ยินเสียงไอ้หนึ่งตะโกนดังแว่วเข้ามาอยู่สองสามที [อ้อ...ไว้กลับไปจะแนะนำมึงให้รู้จักเพื่อนกูทุกคนเลย]
“อือ ๆ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
[แน่นอนอยู่แล้วหน่า กูยังอยากมีชีวิตกลับไปหามึงนะ ไปแล้ว ๆ]
ผมหลุดขำ ทำเป็นไม่ได้ยินประโยคบอกลารีบ ๆ แล้วสนใจแค่เหตุผลของการดูแลตัวเองเป็นอย่างดีของศร แค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายอยากกลับมาหากัน ใจผมก็เต้นแรง รู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างกับสมัยเพิ่งรักกันใหม่ ๆ อย่างไรอย่างนั้น
ทั้งที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการฝึกงานแต่ผมกลับไม่มีเวลาให้พี่ ๆ ที่ทำงานได้เลี้ยงส่งเลย เพราะผมต้องรีบกลับไปซ้อมละครเวทีในทุกวัน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ผมกำลังเดินทางไปมหาวิทยาลัยเพื่อซ้อมละครเวทีก็ได้รับสายจากศรอีกครั้ง นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าแปลกใจไปสักหน่อย ปกติช่วงที่ห่างกันผมไม่เคยได้รับการติดต่อจากศรบ่อยขนาดนี้ อย่างมากก็แค่ส่งข้อความหากันวันละช่วงสั้น ๆ ก็เท่านั้น และก็เป็นผมเองด้วยที่ทักไปหาก่อนแม้ว่าจะต้องการได้ยินเสียงมากกว่าก็ตาม
แต่ตอนนี้...ผมคิดเข้าข้างตัวเองได้รึเปล่าว่าศรกำลังติดผม
ผมเผลอยิ้มออกมาจนไอ้เต๋าที่ขอติดรถมาด้วยแซวเข้าให้ “มัวแต่ยิ้มไอ้สัด รับสายซักทีสิวะ”
ผมกดเปิดลำโพงด้วยความเคยชิน เพราะปกติขับรถคนเดียวไม่ชอบใช้อุปกรณ์ช่วยใด ๆ ช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่ครั้งนี้มีเพื่อนนั่งมาด้วย แต่ครั้นจะให้ถือแนบหูไว้ตลอดเวลาก็ลำบากต่อการขับรถอีกเช่นกัน
[รับช้า] ปลายสายว่าเสียงขุ่นก่อนที่ผมจะส่งเสียงทักทายไปเสียอีก [หรือว่าขับรถอยู่เหรอ โทษ ๆ ขับไปเถอะ เดี๋ยวค่อยโทรไปใหม่] น้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นโหมดห่วงใยอย่างรวดเร็วทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู แอบเห็นว่าไอ้เต๋าเองก็เบือนหน้าไปยิ้มให้วิวข้างทางเช่นกัน
“ไม่เอา ๆ” ผมรีบรั้งไว้ก่อนอีกฝ่ายชิงตัดสายไปอย่างที่พูด “คุยได้”
“คุยอะไร ขับรถไม่โทรครับ ขับไป”
“คุยแปป ๆ ไง” ผมเผลอส่งเสียงอ้อนออกมาจนไอ้เต๋าหลุดขำพรืด คนปลายสายถึงได้รู้ว่าไม่ได้คุยกันตามลำพังก็ตอนนี้เอง
[อยู่กับใคร] นั่นไง เสียงแข็งมาเลยเมียกู
“หวัดดีศร” ไอ้เต๋าส่งเสียงทักทายอย่างรู้งาน
[มึงเหรอเต๋า]
“เออ กูเอง วันนี้ขอติดรถมันไปมอด้วย ไม่ต้องทำเสียงแข็งหึงมันขนาดนั้นหรอก” ไอ้เต๋าเย้าหยอก
[ใครหึง อย่าปั่นมั่ว ๆ ไอ้เต๋า] มาครับ ปากแข็งอีกแล้วเมียกู
“เออ ไม่หึงก็ไม่หึง แฟนมึงไม่มีใครอื่นหรอก ไม่ต้องกลัว แค่นี้มันก็หลงมึงจนไปไหนไม่รอดแล้ว อย่างตอนนี้ก็นั่งยิ้มเหมือนคนบ้าแล้วเนี่ย”
“สัด!” ผมแทรกเมื่อถูกเพื่อนเผา ได้ยินปลายสายพึมพำบางอย่างไม่ชัดนัก แต่เดาว่าคงเขินอยู่ไม่น้อย “แล้วทำไมโทรมาตอนนี้ เล่นกันเสร็จแล้วเหรอ”
[อือ เพิ่งเล่นเสร็จ โคตรมัน ครั้งหน้ามาด้วยกันนะ ชวนพวกมึงด้วยนะเต๋า] ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม ที่ผ่านมาเหมือนเราคบกันแค่สองคน ผมรู้จักเพื่อนมัน มันรู้จักเพื่อนผมก็จริง แต่เราไม่เคยไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมอะไรร่วมกับเพื่อนของอีกฝ่ายเลยนอกจากเมาด้วยกันซึ่งก็แทบจะต่างคนต่างดื่มด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เหมือนว่าเราจะเข้าใกล้ความเป็นคน ๆ เดียวกันมากขึ้นเพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งของคนรอบข้างกันและกันแล้ว
“ได้ดิ ไม่พลาดแน่นอน” ไอ้เต๋ารับปาก มันหันมองล้อผมอย่างโจ่งแจ้ง โคตรเขินเลย
[เดี๋ยวจะไปซื้อของสดมาทำกินกันคืนนี้ กูวางสายก่อนแล้วกันมึงจะได้ขับรถ]
“มึงเลือกของสดเป็นด้วยเหรอ”
ศรหัวเราะมาตามสาย [ให้สาว ๆ แถวนี้ช่วยสิวะ]
“น้อย ๆ หน่อยมึงน่ะ” พูดไปอย่างนั้นแหละ สาบานได้ว่าไม่ได้หึงสักนิดเพราะรู้ว่าศรแค่พูดเล่น
ศรหัวเราะดังขึ้น มันดูอารมณ์ดีจนผมพลอยอารมณ์ดีไปด้วย [ไว้กลับไปจะให้มึงสอน]
“รีบกลับมานะ” ผมคิดไว้แล้วว่าถ้าศรอยากเรียนรู้เรื่องพวกนี้ ผมจะให้ใครสอน
[ขี้อ้อนว่ะ...พูดมาแบบนี้กูก็ชักอยากจะกลับแล้ว]
ผมหลุดหัวเราะดังลั่น ไม่อยากกระมิดกระเมี้ยนคีพลุคอะไรต่อหน้าไอ้เต๋าอีกแล้ว ตั้งแต่คบกันมาเพิ่งเคยได้ยินศรพูดจาทำนองนี้ใส่ ทำเหมือนคิดถึงกันมาก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงโวยของเพื่อนมันดังมาตามสายว่าถ้าชิงหนีกลับมาก่อนเป็นเรื่องแน่
“พรุ่งนี้ก็ได้กลับหน่า แล้วคืนนี้จะเมารึเปล่า” ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง ถ้าบอกว่าไม่มีเหล้าเบียร์ก็คงไม่ใช่ ไม่ได้อยากจะห้ามแต่จะไม่ให้หวงคงไม่ได้เหมือนกัน
[กูไม่แดกจนเมาหรอก อย่าห่วง แค่นี้นะ ขับรถดี ๆ ถึงแล้วบอกด้วย บาย] ศรตัดจบรวดเดียวด้วยความเร่งรีบ คงเพราะว่าเพื่อนเริ่มส่งเสียงแซวกันหนักขึ้น
“งานอ้อนเมียก็มาว่ะ” เต๋าแซวทันทีที่สัญญาณหายไป “โทษ ๆ แฟน”
ผมยิ้มบางให้รู้ว่าไม่นึกโกรธที่เพื่อนพูดถึงศรในฐานะ ‘เมีย’ อย่างที่เคยห้ามไว้เมื่อก่อน ส่วนหนึ่งเพราะรู้ดีว่าเต๋าไม่ได้จงใจล้อสถานะนั้นให้ศรไม่สบายใจแต่แค่หยอกผมไปตามอารมณ์เท่านั้น
“ช่วงแรก ๆ ที่มึงหลงมัน วิ่งเต้นไปหามัน หายใจเข้าออกเป็นมัน กูว่ามึงอาการหนักแล้วนะ มึงเหมือนคนแปลกหน้าที่กูไม่เคยรู้จัก เพิ่งรู้ว่ามึงยังเป็นหนักได้มากกว่าเดิมก็ตอนที่ไอ้ศรเป็นฝ่ายติดมึงบ้างเนี่ยแหละ” เต๋าพูดด้วยสีหน้าอึ้ง ๆ ยังทิ้งท้ายด้วยอีกว่า “...เหมือนคนบ้า”
ผมไม่ออกความเห็นเรื่องนี้ ปล่อยให้เพื่อนเดาอารมณ์จากสีหน้าเอาเอง
“เคลียร์หมดแล้วดิ” ไอ้เต๋าถาม ที่ผ่านมามันเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของผมกับศรมากที่สุด แทบจะรู้ทุกอย่างเท่า ๆ กับผมเลยด้วยซ้ำ มันเป็นที่ระบายและที่ปรึกษาได้เสมอ แต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงสองถึงสามสัปดาห์นี้ผมยังไม่ได้เล่า และคิดว่าคงรวบลัดจบในแค่วลีเดียวก็พอ
“อืม หมดแล้วทุกประเด็น” ...ผมคิดว่านะ
ในตอนที่ผมกับเต๋ามาถึงหอประชุมใหญ่ที่จะใช้เป็นสถานที่จริงในการแสดง เพื่อนคนอื่น ๆ ก็กำลังแต่งตัวเตรียมเข้าฉากกันอยู่ ผมใช้เวลาช่วงที่เดินเข้าห้องแต่งตัวส่งข้อความไปบอกศรสั้น ๆ ตามที่อีกฝ่ายสั่งไว้ ไม่ทันได้กดออกจากหน้าแชทข้อความของผมก็ถูกอ่านจากคนปลายทางรวดเร็วราวกับเปิดรออยู่แล้ว หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีสติกเกอร์คาแรคเตอร์ที่โคตรกวนแต่มีข้อความบนหัวว่ารับทราบก็ถูกส่งกลับมา
“หมั่นไส้ ชิส์!!” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นในระยะใกล้ ผมหันไปยิ้มยียวนใส่เจ้าของคำพูดที่ยิ่งเบะปากแดงแปร๊ดนั่นหนักขึ้นไปอีก “หน้าชื่นตาบานกว่าเมื่อก่อนอีกนะยะ”
“ธรรมดาของคนอินเลิฟ”
“เกลียดดดดดด” ผมหลุดหัวเราะให้กับยัยจี๊ดจนสุดท้ายก็โดนไล่ให้ไปแต่งตัวเพื่อซ้อมได้แล้ว
เกือบสามชั่วโมงกับการซ้อมเสมือนจริง ฉากจริง เพลงจริง แต่แก้นั่นแก้นี่ไปเรื่อย จากละครความยาวชั่วโมงครึ่งก็ลากยาวจนเกือบสามทุ่ม ใจผมร้อนเสียยิ่งกว่าชุดหนา ๆ ที่สวมใส่เต็มองค์ ป่านนี้ไม่รู้ว่าศรเป็นอย่างไรบ้าง ช่วงเวลาแบบนี้น่าจะกำลังเล่นเกมหรือไพ่กันอยู่แน่ ๆ เดาจากรูปอาหารที่ส่งมายั่วน้ำลายกันตั้งแต่ทุ่มครึ่ง
“พี่โอมคะ มีคนมาหาค่ะ” รุ่นน้องในคณะคนหนึ่งโผล่แค่หน้าผ่านม่านเข้ามาในห้องแต่งตัวเพื่อแจ้งข่าว เมื่อถามกลับไปว่าใครก็ได้รับคำตอบกลับมาแค่ลักษณะภายนอกของ ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ เท่านั้น
ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปเจอเขา ผู้ชายท่าทางภูมิฐานดูมีอายุ สวมสูทสุดเนี๊ยบ ทั้งหล่อทั้งเท่ คือคำอธิบายที่รุ่นน้องสาวพูดถึงผู้ชายคนที่นั่งรออยู่บริเวณของผู้ชม
ผมก้าวเดินไปตามขั้นบันไดเพื่อไปหาท่าน พ่อของธรรมศรรออยู่ตรงนั้น ใบหน้าใจดีที่มองกี่ครั้งก็เหมือนเห็นคนรักของตัวเองในวัยที่เริ่มมีอายุกำลังหันมาทางผม รอยยิ้มที่มีพลังทำลายล้างสูงนั่นราวกับเป็นฉบับต้นแบบที่ผมชื่นชอบหนักหนา แต่ผมว่าศรได้แม่มาไม่น้อย เพราะใบหน้าหล่อไร้ที่ติของมันดูหวานและสวยในบางมุมอยู่เหมือนกัน
“สวัสดีครับ” ผมไม่รู้ว่าท่านมาหาผมทำไม แต่เชื่อว่าคนที่รู้ความเคลื่อนไหวของลูกชายตลอดอย่างท่านจงใจมาในวันที่ศรไม่อยู่อย่างแน่นอน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังทำใจดีสู้เสือ ในเมื่อใบหน้านั้นยังซ่อนความต้องการไว้ใต้ใบหน้าใจดี ผมก็ต้องไม่หวั่นกลัวเช่นกัน
“นั่งสิ ใกล้ ๆ กันเนี่ยแหละ ไม่อยากพูดเสียงดังนัก” ท่านรีบบอกเมื่อผมเลือกนั่งเก้าอี้ตัวที่ถัดจากเขาสองตัว
“ขอบคุณที่ดูแลลูกชายฉันเป็นอย่างดีมาตลอด”
“ด้วยความยินดีครับ” ผมก้มหัวให้เขาเล็กน้อยก่อนหันมองไปที่เวทีเหมือนกับเขาราวกับมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงนั้นทั้งที่ตอนนี้มันว่างเปล่าเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ถึงมันจะไม่เคยมองฉันในแง่ดี แต่ฉันก็รักมันมากนะ”
“ผมทราบครับ ศรเองก็รักท่าน”
เสียงทุ้มต่ำดังในลำคอคล้ายหัวเราะเยาะตัวเอง “มันบอกเธอเหรอ”
“ศรแคร์ท่าน” ผมสัมผัสได้
“อืม...แล้วรู้ใช่ไหมว่าถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยได้ดูแลศรแต่ฉันก็สร้างทุกอย่างไว้ให้มัน”
ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอ เริ่มเห็นเค้าลางสาเหตุที่ทำให้เขามาหาผมถึงที่นี่แล้ว “ครับ”
“ที่มาคุยด้วย ไม่ใช่จะบอกว่าคนอย่างเธอไม่คู่ควรกับลูกชายที่เพรียบพร้อมของฉันหรอกนะ…”
“...”
“...แต่มาคุยในประเด็นที่ฉันต้องการทายาทมาสืบทอดสิ่งที่ฉันสร้างขึ้น”
“...”
“ถ้าตอนนี้เป็นวัยคึกคะนอง หวั่นไหวชั่ววูบตามวัยอยากรู้อยากลองฉันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าคิดจะยืนยาวไปในอนาคต เธอคงรู้ตัวนะว่ามีทายาทให้ฉันไม่ได้”
ผมหาเสียงตัวเองไม่เจอเลยจริง ๆ ไม่รู้ด้วยว่านอกจากคำว่าครับแบบโง่ ๆ แล้วตัวเองจะสามารถพูดอะไรได้บ้าง
“เธอคงไม่บอกให้ฉันยกสิ่งที่สู้ลงทุนลงแรงสร้างมามากมายทั้งชีวิตให้การกุศลหรอกใช่ไหม” เขาเน้นคำแสดงความเหน็ดเหนื่อยของตัวเองจนผมจนคำพูด
‘เธออยากให้กูเสียสละมึงให้รดา’เรื่องเล่าจากปากศรในคืนนั้นดังเข้ามาในความคิด วันนั้นศรสู้เพื่อให้เราไม่ต้องแยกจากกัน ทำไมวันนี้ผมจะยอมแพ้ง่าย ๆ ได้ล่ะ
ถึงจะไม่รู้ว่ามีดีอะไรไปสู้ก็เถอะนะ
“ผมเข้าใจครับ” ผมกล่าวอย่างนอบน้อม และถ้าไม่สังเกตก็แทบจะไม่เห็นว่าคิ้วหนาของเขากระตุก “เรื่องสืบทอด ผมจะปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของศร แต่ถ้าท่านอยากได้ ‘ลูกชาย’ คืน ผมช่วยได้นะครับ”
ลูกชาย คนที่ห่างอกพ่อมามากกว่ายี่สิบปีไม่ทันได้คำตอบว่าผมจะได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่นั้นหรือไม่ คนที่กำลังถูกพูดถึงก็มีตัวตนขึ้นมาทันทีในรูปแบบของข้อความที่ทำเอาสมาร์ทโฟนในมือสั่นแรงต่อเนื่องอยู่หลายครั้ง
‘ยังไม่เปิดอ่านอีก’
‘ซ้อมเสร็จยัง’
‘โทรหาได้รึยังวะ’ข้อความพวกนั้นปรากฏแก่สายตาในตอนที่ผมเสียมารยาทหงายหน้าจอขึ้นมอง และเชื่อว่าคนข้าง ๆ เองก็น่าจะเห็นพร้อมกัน
ไม่ทันไรคนที่เพิ่งถามว่าโทรหาได้หรือยังก็โทรเข้ามาพอดี ผมเหลือบมองพ่อของเจ้าตัวเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายพยักพเยิดหน้าเป็นเชิงอนุญาตแกมบังคับให้รับสายแล้วคุยตรงนี้ ผมก็ทำตามทันที
[รับช้ามาก ซ้อมเสร็จยังวะ ไม่หิวเหรอ กินไรยัง เหนื่อยแย่เลยดิ รีบหาข้าวกินด้วย…] เป็นอีกครั้งที่ศรรัวมาเป็นชุดก่อนที่ผมจะส่งเสียงทักทายไปเสียอีก ถ้าเป็นคนอื่นรับสายแทนผมล่ะแย่เลย
“ใจเย็นดิศร” ผมเผลอหลุดยิ้มออกมา อยากจะแซวว่าอีกฝ่ายชักจะติดผมมากเกินไปแล้สแต่ก็ต้องรีบเก็บอาการเมื่อเห็นสายตาเรียบนิ่งของคนข้าง ๆ มองมา “กูเพิ่งเลิก กำลังจะกลับแล้ว”
[หาข้าวกินด้วย มึงอย่าลืมขั้นตอนนี้]
“ยุ่งกับปากท้องกูจังเลยมึงเนี่ย” ถ้อยความเหมือนจะด่าว่าเสือกแต่ถ้ามีใครได้ยินน้ำเสียงหรือเห็นสีหน้าผมคงรู้ว่ามันตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง นิ้วกูแทบจะแกะขนเบาะเก้าอี้เล่นด้วยความฟูในใจแล้ว
[กะ ก็...ก็…] เสียงปลายสายตะกุกตะกักเหมือนยังหาคำแก้ตัวไม่ได้ เมียผมนี่พิลึกคน เดี๋ยวพูดตรงเดี๋ยวปากแข็ง [ก็พักนี้มึงผอมเกินไปแล้ว เป็นพระเอกละครเวทีที่หุ่นไม่ดีเลย เขายังไม่พิจารณาถอดมึงออกจากบทอีกเหรอ]
ผมหลุดหัวเราะให้กับข้ออ้างที่ศรยกมา ในตอนนั้นเองที่เพิ่งนึกได้ว่าเผลอลืมไปแล้วว่านั่งอยู่กับใคร
ผมกระแอมไอเล็กน้อย ดันลิ้นกับกระพุ้งแก้มแก้เก้อและเก็บความรู้สึกอยากยิ้มจนแทบบ้าไปในคราวเดียวกัน “โทรไปถามพ่อมึงด้วยดิว่ากินข้าวรึยัง”
[อะไรของมึง]
“เริ่มต้นกันใหม่ไง...เริ่มจากตอนนี้เลย” ผมรู้ว่าศรเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อพ่อไปมากแล้ว ดูจากครั้งล่าสุดที่ยอมนอนค้างที่บ้านทั้งที่ครั้งแรกที่ผมเห็น อีกฝ่ายแทบไม่อยากเจอหน้าพ่อด้วยซ้ำ
“ถ้าไม่กล้าโทรก็ส่งข้อความไปดิ” ผมเหล่มองคนข้าง ๆ สีหน้าเขาเรียบตึงอยากจะคาดเดา “ใช้ข้ออ้างเดียวกันนี่ไง” ได้ยินเสียงสบถหลังจากรู้ว่าผมรู้ทันดังแว่วมาให้ยิ่งอารมณ์ดี
[อือ บิ้วกูเก่งนะมึงน่ะ]
ผมยิ้ม โล่งใจที่อีกฝ่ายรับพิจารณาคำแนะนำของผม “อย่าลืมว่ากูเป็นแค่อีกคนนึงที่มึงรัก...ยังมีคนอื่น ๆ ที่มึงรักและเขาก็รักมึงนะ”
[หมายถึงกิ๊กคนก่อน ๆ ของกูน่ะเหรอ]
“ไอ้ศร!”
คราวนี้คนปลายสายหัวเราะลั่นจนมีเสียงเพื่อนฝูงดังแทรกขึ้นมาว่าเจ้าตัวถูกใจอะไรนักหนาถึงได้หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้ [รู้แหละหน่า แต่ขอคิดดูก่อนแล้วกัน]
“ครับ” ผมเหลือบมองคนข้าง ๆ อีกครั้งก่อนพูดประโยคปิดท้ายด้วยเสียงที่เบาที่สุด “รักมึงนะ”
ไม่ได้อยากแสดงความรักอะไรตอนนี้หรอกครับ แต่แค่อยากให้ศรรู้ว่าผมอยู่ข้างมันเสมอและพร้อมจะเป็นแบ็คอัพให้มันผ่านความรู้สึกหวั่นกลัวต่าง ๆ ในใจไปให้ได้
ผมหันมองเขาเต็มตาหลังจากวางสายแล้ว คนสูงวัยกว่ากระตุกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาไม่วาวโรจน์อย่างที่นึกกลัวไปเองแต่ก็ยากจะคาดเดาความรู้สึกจริง ๆ ในนั้น
“ดีจริง ๆ ที่ลูกชายฉันมาเจอเธอ”
ผมไม่รู้ว่าศรได้ทำอย่างที่ผมแนะนำหรือไม่ เพราะเมื่อกลับถึงห้องพร้อมอาหารกล่องง่าย ๆ ก็ดันมีสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันนั่นคือเพื่อนในกลุ่มมันกำลังไลฟ์สด
ไอ้ฟากำลังพูดเป็นต่อยหอย ดีหน่อยที่มันไม่พูดขึ้นกลางวงว่าผมเป็นหนึ่งในคนที่กำลังดูอยู่ ข้างหลังมันมีเพื่อนกลุ่มใหญ่นั่งล้อมกันเป็นวงกลม ผมไม่แน่ใจเรื่องจำนวนคนเพราะมุมกล้องกวาดไม่ทั่วทั้งวง เห็นแค่ว่ามีคนที่ผมไม่รู้จักปนอยู่ด้วยมากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เห็นแล้วว่าศรอยู่ตรงไหนของวง
“ตอนนี้เรากำลังจะเริ่มเล่นเกมโดเรมอนกันนะครับ…”
ผมเปิดกล่องอาหารออก ตัดสินใจไม่เทใส่จานแล้วลงมือกินไปด้วยฟังไอ้ฟาเล่ากติกาของเกมไปด้วย
ปกติกลุ่มเพื่อนผมไม่มีกิจกรรมเล่นกันในวงเหล้า เกมชื่อน่ารักแต่กติกาจำยากฉิบหายอย่างที่พวกนั้นกำลังเล่นกันจึงทำให้ผมค่อนข้างงง คุ้น ๆ ว่าศรเคยเล่าให้ฟังว่าพวกนั้นชอบเล่นเกมที่ต้องใช้สมองและสติเวลาดื่ม ถือเป็นความสนุกอย่างที่สุดเพราะบ่อยครั้งที่พลาดกันแบบไม่น่าให้อภัย ผมกำลังจัดการอาหารตรงหน้าด้วยความหิวโหยจึงทันฟังแค่ว่าให้แจกไพ่แบบหงายแต้มไปเรื่อย ๆ โดยไพ่แต่ละใบจะมีคำอธิบายที่รู้กันว่าเจ้าตัวต้องทำอะไรบ้าง แต่หลังจากนั้นผมฟังไม่ทันอีกเลย
ในระหว่างนั้นผมทันเห็นไลน์จากศรเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ เป็นรูปวงเกมและอีกสองคำถามเกี่ยวกับปากท้องของผมตามมาต่อจากนั้น นี่มันตามติดผมแทบทุกย่างก้าวเลยจริง ๆ เป็นความแปลกใหม่ที่โคตรน่ารัก ผมกดออกจากไลฟ์เข้าหน้าแชทเพื่อพิมพ์ตอบกับศรในทันที
OMIN : กำลังกิน
OMIN : อยู่ที่ห้องเนี่ยแหละ
DharmaSORN : ดีมาก เหนื่อยก็รีบนอนพัก
OMIN : รู้ตัวไหมว่าวันนี้ทำตัวแปลกมาก
DharmaSORN : ยังไง
OMIN : วันนี้มึงทักกูมากี่รอบละ โทรหาถี่ขนาดไหนได้นับไหม
ศรเว้นช่วงไปจนผมคิดว่าฝั่งโน้นคงเริ่มเล่นเกมกันแล้ว
DharmaSORN : รำคาญเหรอวะ
OMIN : มึงก็รู้ว่ากูชอบ แต่มึงไม่เคยเป็นแบบนี้ไง กูเลยแปลกใจ
ศรเว้นจังหวะไปอีกทั้งที่อ่านข้อความแล้ว
DharmaSORN : จริง ๆ อยากทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว แต่กลัวมึงไม่ชอบ
OMIN : ก็เลยทำตัวให้กูเป็นฝ่ายวิ่งตามสินะ
DharmaSORN : เออดิ
OMIN : แล้วทำไมตอนนี้ยอมตามกู
DharmaSORN : อาภพเคยบอกว่าให้ลองทำตัวดีๆ น่ารักๆ มึงจะได้ไม่ทิ้งไปไหน
โอ๊ยยยย โว๊ยยยย!!
OMIN : ใครจะกล้าทิ้งวะ
OMIN : แค่นี้ก็หลงมึงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว
DharmaSORN : พูดมาก กูไปเล่นเกมแล้ว
DharmaSORN : ฝันดี
DharmaSORN : บาย
กลับมาจะฟัดให้ช้ำเลย!
ผมหมายมั่นในใจก่อนกดเข้าไปดูไลฟ์อีกครั้ง ทันได้เห็นตอนเริ่มเกมพอดี เดาว่าก่อนหน้านี้พวกมันคงเวิ่นอะไรกันอยู่แน่ ๆ “เริ่มจากไอ้ทัชแล้ววนขวานะครับ แจกซักทีโว้ยไอ้ดล” เสียงไอ้ฟาดังอย่างต่อเนื่อง ผมเหลือบมองเป็นระยะ ทันเห็นคนแรกที่ได้ไพ่ เจ้าของชื่อ ‘ทัช’ คือคนที่นั่งซ้ายมือของศร นั่นเท่ากับว่าคนต่อไปที่จะได้ไพ่คือแฟนผม ส่วนคนที่ทำหน้าที่แจกไพ่ชื่อดลนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมัน
“สองงงง ดื่มมมมม” คนที่ชื่อทัชได้ไพ่แต้มสอง ตามกติกาคงต้องดื่มเพราะมีคนที่ทำหน้าที่เทวอดก้าเพียวยื่นไปให้หนึ่งแก้วเป๊ก เห็นอย่างนั้นผมก็ร้อนใจ อยากจะโทรไปหาคนรักเสียเดี๋ยวนั้นแต่ก็ยั้งใจและมือไว้ได้ทันเมื่อคิดได้ว่าผมควรเชื่อคำมั่นที่อีกฝ่ายให้ไว้ว่าจะไม่เมาเกินไปจนทำให้เป็นห่วง แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าสถานการณ์อาจจะพาไปจนอีกฝ่ายไม่อาจรักษาคำพูดตัวเองไว้ได้
“เก้าโว้ยเก้า คนซ้ายมือดื่มเลยครับเพื่อน” คนที่ชื่อทัชหัวเสียชี้นิ้วไปหาไอ้ศรอย่างหมายมั่นราวกับฝากรอยแค้นเอาไว้ก่อน เพราะเมื่อศรได้ไพ่แต้มเก้า นั่นเท่ากับว่าคนซ้ายมืออย่างทัชต้องเป็นคนดื่มแทน ผมเพิ่งรู้ในตอนนี้เองว่าเกมนี้ห้ามใช้ชี้นิ้วใส่กัน ให้ใช้ได้แค่กำปั้นเหมือนมือของโดเรมอนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นต้องโดนลงโทษด้วยการดื่มด้วย กลายเป็นว่าครั้งนี้ทัชต้องดื่มมากถึงสองแก้ว
ผมปล่อยให้ไลฟ์ดำเนินไปตามการควบคุมของฟา ละสายตาจากจอแล้วฟังแค่เสียงบ้างในตอนที่จัดการอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ก็ยังถือสมาร์ทโฟนติดมือไว้ตลอด
“แต้มเจ็ดไอ้สัด!” ดูเหมือนไพ่ใบนี้จะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เจ้าของไลฟ์รวมถึงคนอื่น ๆ ตื่นเต้นขึ้นมา “เริ่มนับเดี๋ยวนี้เลยมึง”
ผมหันมองจออย่างสนใจทั้งที่กำลังชะล้างตัวอยู่ใต้ฝักบัว คนที่มีไพ่แต้มเจ็ดอยู่ตรงหน้าเริ่มพูดเลขหนึ่งขึ้นมาแล้วคนถัดไปด้านขวามือก็เริ่มนับเลขต่อกัน “หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า...หก...แปด” เสียงโห่ร้องดังขึ้นเมื่อไม่มีเลขเจ็ดออกจากปากใคร หลังจากนั้นคนที่เหลือก็เริ่มนับเลขกันต่อ “เก้า...สิบ...สิบเอ็ด...สิบสอง...สิบสาม...สิบห้า” เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีกครั้งราวกับร่วมยินดีที่มีผู้รอดชีวิตจากเหล้าแก้วนั้นที่ถูกนำมาวางรอไว้กลางวงแล้วเพิ่มอีกคน
เสียงนับเลขยังดังอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีคนเผลอพูดเลข ‘สิบเจ็ด’ ขึ้นมา ที่ผมบอกว่าเผลอเพราะเมื่อเจ้าตัวพูดออกมาแล้วรีบยกมือปิดปากแทบไม่ทันคงเพราะรู้ตัวว่าได้พูดคำต้องห้ามออกไปแล้ว กอปรกับเพื่อนฝูงโห่ร้องกันอย่างสนุกสนาน
ผมละสายตาจากจอมาสนใจการอาบน้ำของตัวเองต่อเมื่อเกมดำเนินต่อไป เท่าที่ดูมาสิบห้านาที ศรดื่มไปแล้วสี่แก้วจากทั้งแต้มไพ่ของตัวเอง (ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วว่าแต้มที่ต้องดื่มเองคือสอง สาม และสี่) และดื่มจากการตกกระไดพลอยโจรเพราะถูกคนได้ไพ่แต้มห้าเลือกเป็นบัดดี้ที่เมื่อเจ้าตัวโดนอะไร คนของผมก็ต้องโดนไปด้วย
ผมปิดไฟจนหมดแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงเหมือนจะเข้านอนแล้วแต่กลับดูไลฟ์ของฟาไม่วางตาราวกับกำลังดูเกมโชว์ที่เรตติ้งดีที่สุดในประเทศไทย
“ไพ่คิงเว้ย!!” คนที่ได้ไพ่ตะโกนอย่างดีใจ “เชี่ยดลแม่งโชคดีสัด” ผมไม่รู้ว่าไพ่คิงในมือคนชื่อดลมีอำนาจมากขนาดไหน แต่เดาจากสีหน้าเพื่อนร่วมวงแล้วคิดว่าคงทำให้หลายคนร้อน ๆ หนาว ๆ ได้
“ใครที่ดูอยู่แล้วลืมว่าไพ่คิงทำอะไรได้ ผมจะทวนให้นะคร้าบบ” เสียงฟาเริ่มยาน เดาว่ามันไม่ได้เมาหรอก คงแค่กำลังสนุกมากกว่า “คนได้ไพ่คิงมีสิทธิ์จะให้ใครทำอะไรก็ได้นะครับ มาดูกันว่าผู้โชคดีคนนั้นจะเป็นใคร”
“ไอ้ศร...” นัยน์ตาของดลจ้องมองคนของผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมต้องกลั้นหายใจเพราะไม่อาจรู้สึกไว้ใจนัยน์ตาคู่นั้นได้เลย
“กูขอสั่งให้มึง...”
ผมไม่กล้าหายใจเลยจริง ๆ
“...จูบกู...”
ภาพบนหน้าจอกลายเป็นสีขาวของพื้น คงเป็นเพราะเจ้าตัวตกใจ เช่นเเดียวกับผมที่ตอนนี้ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความร้อนใจ ตอนนี้ผมไม่เห็นว่าศรกำลังทำหน้าอย่างไรที่ได้ยินคำสั่งแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าเพราะความคึกคะนองจากปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดหรืออย่างไรถึงทำให้กล้าออกคำสั่งบ้า ๆ นั่น และไม่รู้ด้วยว่าศรจะเมาจนบ้าจี้ตามเกมอีกฝ่ายด้วยหรือไม่
...เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น...
ไม่ทันได้รู้ว่าเกมดำเนินต่อไปอย่างไรการไลฟ์ของฟาก็จบลงพร้อมทิ้งความคลุมเครือเอาไว้ในใจของทุกคน ผมหงุดหงิดจนแทบคลั่ง รีบต่อสายถึงคนที่เพิ่งปิดไลฟ์หนีไป รออยู่นานจนเกือบจะทนไม่ไหวลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะไปหาศรที่เขาใหญ่เสียเดี๋ยวนี้เลย โชคดีจริง ๆ ที่ฟายอมรับสายของผมในครั้งที่สาม
“วิดีโอคอลกับกู!!”
พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 21
----------------------------------------------------------------
หวานเรี่ยราดจริงๆเลยคู่นี้
ไม่รู้ว่าจะมีคนจำเพื่อนๆภาคไฟฟ้าของศรได้รึเปล่า ฮ่่าๆๆ นานๆโผล่ที
#โรคประจำใจ
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์