[แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]  (อ่าน 106302 ครั้ง)

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ไม่รู้ว่าคิดมากไปรึเปล่า แต่รู้สึกว่าครั้งนี้ไม่ใช่แค่หึงธรรมดาแน่ โอมอินต้องเดือดมากกว่านั้นแน่ๆอ่ะ  :ling3:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
โอ้ยยยยยย​ ศรทำไมควีนจังรู้กกกกก
โอมอินใจเย็นๆนาคาาาาา :ling1:

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 15
---OMIN---









คนบางคนไม่ไล่ให้เราไป แต่ก็ไม่เคยขอให้เราอยู่


ธรรมศรที่ผมรู้จักเป็นแบบนั้น


...จนกระทั่งวันที่ผมถูกบอกเลิก


วันนั้นผมเจ็บไปหมด มันรวดร้าวบีบหน่วงในอกจนร่างผมแทบแหลกอยู่ตรงนั้น ผมคิดว่ามันเป็นสภาวะที่แย่ที่สุดแล้ว แต่เปล่าเลย...ภาพที่ศรจูบกับคนอื่นทำผมเจ็บได้มากกว่านั้นเสียอีก


เพราะฉะนั้นที่บอกว่าจะเอาเลือดมันออกมากลบสีบ้า ๆ นั่น ผมก็ไม่ได้ล้อเล่น


ผมกำหมัดจนมือสั่นเกร็งไปหมด อยากจะส่งหมัดดุ้นไปกระแทกปากที่ช้ำเพราะจูบคนอื่นเสียเหลือเกิน ติดอยู่ที่ตอนนี้เรายืนอยู่ห่างกันเกินไป กว่าผมจะก้าวข้ามลำธารสายเล็กตรงหน้าไปถึงตัวมันได้ ความรักที่มีให้ก็คงทำให้โทสะลดลงไปเยอะแล้ว ผมจึงเลือกที่จะยืนอยู่ที่เดิม อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เผลอทำร้ายมันในตอนที่อารมณ์พุ่งสูงกว่านี้


“ทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่า”


“เธอทำ ไม่ใช่...”


“แมน ๆ หน่อย อย่าให้กูต้องพูดออกมาว่าสิ่งที่กูเห็นมันต่างจากที่บอกเธอไปยังไงบ้าง”


ไอ้ศรไหวไหล่อย่างไม่แยแส “แล้วไง กูเริ่มเอง และการที่มึงมาเห็นทันเวลาก็จัดว่าจังหวะดี ถ้าไม่ทำแบบนี้เธอจะยอมออกไปจากชีวิตมึงเหรอ”


“ถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรงกูก็หาวิธีจัดการเองได้”


“มึงจะรอให้จบงานละครน่ะเหรอ คิดว่าตัวเองหึงเป็นคนเดียวรึไง”


“แล้วที่มึงทำแบบนี้คิดว่ากูจะไม่หึงรึไงวะ!!”


ไอ้ศรดูอึ้งไป “ก็แค่จูบ แค่ละครฉากนึงหน่า อย่าซีเรียสดิวะ”


ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงอย่างสำนึกผิดแต่คำพูดที่หลุดออกมาไม่ได้ทำให้ผมใจเย็นลงได้เลย “ไม่ซีเรียสงั้นเหรอ มึงคิดว่าการที่มึงเอาปากไปประกบกับคนอื่นที่ไม่ใช่กูเป็นเรื่องที่ไม่น่าซีเรียสงั้นเหรอ”


“...”


“ถ้าวันหนึ่งกูไปจูบกับคนอื่นบ้างมึงจะยังรู้สึกไม่ซีเรียสได้อยู่ไหม!?”


“กูขอโทษโอม กูแค่รอไม่ไหว มึงจัดการเขายาก ไม่อยากให้เสียงานกูเข้าใจ กูเลยต้องทำเองนี่ไง แล้วยิ่งรู้ว่าเธอไม่สนใจเรื่องที่มึงมีแฟนอยู่แล้วกูก็ยิ่งรอช้าไม่ได้ ตัดไฟแต่ต้นลมโอม เธออันตรายเกินไป”


“แต่มันใช่เรื่องที่ต้องเอาตัวเองไปแลกเหรอ มันมีอีกตั้งหลายวิธีแต่มึงก็เลือกวิธีที่มึงต้องการและมันเป็นวิธีที่กูรับไม่ได้ว่ะศร มึงทำให้กูรู้สึกแย่ มึงจูบกับคนอื่น ปากมึงสมควรไปสัมผัสคนอื่นอย่างนั้นเหรอวะศร”


“มันก็แค่...”


“แค่อะไร!!” ระดับความโกรธของผมไม่ลดลงเลย มันมีแต่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า ‘แค่...’ จากคนรัก


“แค่จูบ แค่แลกลิ้นกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีอะไรต้องซีเรียสใช่ไหม!?” ลมหายใจผมร้อนไปหมด มือที่กำอยู่ก็ยังไม่คลาย ผมกำจนมันเจ็บไปหมดแล้ว “เนื้อตัวมึงไม่ใช่ของสาธารณะ ทำไมต้องเอาตัวเองไปแลกกับผู้หญิงคนเดียว มึงก็ไม่ใช่คนโง่นี่ ถ้าคิดได้ขนาดนั้นก็ควรจะคิดได้ว่ากูจะรู้สึกยังไง!


“กูทำเพื่อเรานะ!”


“กูไม่ต้องการ!!” ผมตะหวาดดังกว่าครั้งไหน ๆ โชคดีที่ตรงนี้ห่างจากห้องอาหารซึ่งคงไม่มีใครได้ยินเสียงของเราสองคน “ถ้ามึงเข้าใจกูสักนิดมึงจะรู้ว่าที่กูพูดไปทั้งหมดคือกูกำลังซีเรียสเรื่องอะไร แต่นี่มึงไม่เข้าใจเลยสักนิดและสิ่งที่มึงทำมันก็บอกได้สองอย่างคือหนึ่งมึงไม่รักตัวเองและสองมึงไม่เชื่อใจกู ไม่เชื่อว่ากูซื่อสัตย์กับมึงคนเดียว ไม่เชื่อว่ากูจะจัดการปัญหานี้ได้ มึงถึงได้ลงทุนเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงคนนั้น”


ธรรมศรถอนหายใจ เบนสายตาไปทางอื่นชั่วครู่ก่อนหันกลับมามองกันด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย “กูขอโทษไปแล้วนะโอม นี่มันแค่เรื่องเล็กเองจะทำให้มันใหญ่ทำไมวะ”


“ที่ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่เพราะของมันเคย ๆ ใช่ไหม ร่างกายผู้หญิงมันให้ความรู้สึกดีล่ะสิ คงจะดีกว่าจูบกับผู้ชายด้วยกัน!”


“ไอ้โอม!!!” ไอ้ศรโกรธ ผมเชื่อว่าถ้าระหว่างเราไม่มีลำธารสายเล็กกั้นอยู่ ผมคงโดนอีกฝ่ายต่อยเข้าให้แล้ว


“ไปทบทวนตัวเองดูนะ”


“...”


“ครั้งนี้เกินไปจริง ๆ ว่ะ”





ครั้งนี้ผมไม่อาจให้อภัยกับสิ่งที่มันทำได้ทันทีอย่างครั้งก่อน ๆ


ที่ผ่านมาถึงมันจะชอบหว่านเสน่ห์ไปเรื่อยหรือปล่อยให้สาวเข้ามานัวเนียเวลาเที่ยวผับบ้างแต่ก็ไม่เคยนอกลู่นอกทางอย่างครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำไปตามความพิศวาส แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าที่มันเลือกวิธีนี้ส่วนหนึ่งก็คงมาจากสัญชาตญาณดิบของเพศชายที่เดิมทีมันก็มีมากกว่าผมอยู่แล้ว


ผมหันหลังเดินออกมาโดยไม่มีแม้แต่เสียงเรียกจากอีกฝ่าย ผมไม่ได้หนีเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดน้อยใจไม่ได้ที่ตัวเองไม่มีความสำคัญพอให้มันรั้งเอาไว้ ก็อย่างว่าแหละครับ ที่ผ่านมาก็มีแต่ผมที่เป็นฝ่ายรั้งมาโดยตลอด มีแต่ผมที่ประคับประคองความสัมพันธ์ให้เดินต่อไปได้ ขณะที่มันมีแต่จะทำให้แย่ลงทุกวัน ๆ ราวกับอยากผลักไสผมทางอ้อม


คนบางคนไม่ไล่ให้เราไป แต่ก็ไม่เคยขอให้เราอยู่


ผมเคยคิดว่าศรเป็นแบบนั้น


แต่ความจริงแล้วที่ไม่เคยขอให้อยู่คงเป็นเพราะมีก็ได้...ไม่มีก็ได้ เสียมากกว่า


ก็คงจริงดังว่า พอพูดคำว่าเลิกออกมาสักครั้ง มันก็จะรู้สึกว่าสามารถเลิกกันได้จริง ๆ เพราะถ้าความรู้สึกมันมาถึงจุดที่คิดว่าอยากหยุดความสัมพันธ์แล้ว นั่นแสดงว่าไม่มีกันอีกต่อไปแล้วก็ได้


ผมเคยคิดแบบนั้น และคิดมากขึ้นหลังจากทะเลาะกันครั้งก่อนแล้วคำนั้นหลุดจากปากธรรมศร


สิ่งที่ผมกลัวตอนนี้ไม่ใช่ใจของมันที่อยากจะจากไปเหมือนที่คิดมากในครั้งก่อน แต่เป็นความรู้สึกตัวเองที่จะอยู่อย่างไรกับความจริงที่ว่าจะไม่มีผู้ชายที่ชื่อธรรมศรในชีวิตอีกแล้ว


ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าความรู้สึกตัวเองถลำลึกเกินกว่าความชอบความใคร่ตามประสาวัยรุ่นผมก็เริ่มกลัวที่จะเสียมันไป และเอาเข้าจริง ๆ แล้วผมไม่เคยคิดถึงวันที่ไม่มีอีกฝ่ายอยู่ข้างกายเลยด้วยซ้ำ เพราะผมเชื่อมั่นในตัวเองมาโดยตลอดว่าจะไม่มีวันยอมเสียมันไปเด็ดขาด


แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะยังอยากยึดมันไว้กับตัวอีกไหม ถ้ามันไม่มาง้อหรือเป็นฝ่ายกลับมา ผมจะยังอยากกลับไปหามันเองหรือเปล่า


ผมตัดสินใจกลับมาเก็บของส่วนตัวเล็กน้อยที่ห้องตัวเองแล้วขับรถกลับไปนอนที่บ้าน อันที่จริงแล้วค่ายหนังที่ผมฝึกงานอยู่ใกล้บ้านมากกว่าคอนโดของเราเสียอีก ดีเหมือนกัน ผมจะได้สะดวกในการเดินทาง หวังเอาลึก ๆ ว่าความสะดวกนี้จะคงอยู่กับผมไม่นานนัก...แต่ก็คงต้องยอมรับหากมันจะนานกว่าที่คิด


แม่ดูตกใจที่ผมกลับมานอนบ้านและบอกจะค้างหลายวัน แต่พอบอกว่าใกล้ที่ฝึกงานท่านก็เข้าใจ ขณะที่น้องสาวคนเล็กดี๊ด๊าเป็นพิเศษ คงจะมองสีหน้าผมออกและจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ผมทำเป็นไม่สนใจ เดินขึ้นห้องไปได้ก็โยนสัมภาระลงบนเตียงก่อนทิ้งร่างตามลงไปนอนแผ่มองเพดานที่ว่างเปล่าพอ ๆ กับความนึกคิดของผม


แต่ดูเหมือนเพดานจะขาวสะอาดจนคล้ายฉากฉายหนังเกินไป ภาพไอ้ศรจูบกับผู้หญิงคนนั้นถึงได้ชัดเจนในหัวผมอีกครั้งราวกับถูกสาดฉายบนเพดานตรงหน้า


ผมเห็นทุกอย่างตั้งแต่ตอนที่ศรยกร่างมิ้นไปนั่งบนตักตัวเอง ตอนนั้นผมโกรธแทบบ้า เกือบจะพุ่งเข้าไปกระชากออกแต่ติดตรงที่ว่ายังอยู่ไกลเกินไป ไกลจนทำอะไรไม่ทันท่วงทีแล้วสุดท้ายสิ่งที่ผมไม่อยากเห็นก็เกิดขึ้น แค่คิดว่าศรไม่ได้รู้สึกหวงร่างกายตัวเองไว้สัมผัสแค่แฟนตัวเองผมก็เจ็บแปลบขึ้นมา และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อไอ้ตัวดีเอาแต่พูดว่า ‘มันก็แค่จูบ’ ก่อนหน้านั้นจะจูบจะเอากับใครมากี่ร้อยกี่พันคนผมไม่เคยสนใจ ไม่เคยตามย้อนเวลากลับไปหึงหวง แต่ขอแค่ปัจจุบันอย่าทำอะไรแบบนี้กับใครเท่านั้นเอง ทำไมมันคิดไม่ได้ว่าไม่ควรทำแบบนั้น ผมเจ็บปวดมากจริง ๆ


มันเป็นความผิดหวังมากกว่าจะเสียใจในแง่ของการถูกนอกใจอะไรแบบนั้นนะ ผมแค่รู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่มันทำ และคงเพราะว่าผิดหวังไม่ใช่เสียใจอย่างทุกครั้ง มันเลยอิมแพคกับใจผมมากกว่าครั้งไหน ๆ จนไม่อยากมองหน้ามันในตอนนี้และไม่พร้อมที่จะให้อภัยได้ด้วยความรักทั้งหมดที่มี


ครั้งก่อนโน้นที่น้อยใจเพราะมันไม่ยอมเล่าปัญหาของตัวเองให้ฟังบ้างเลย ผมยอมรับว่าตัวเองค่อนข้างงี่เง่าเอง แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองยังไม่ใช่คนสำคัญพอที่จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้มันได้ทั้งที่เราคบกันลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าฉาบฉวยแล้วด้วยซ้ำ


เพราะคาดหวังมากไปเหรอ...ผมถึงได้ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนี้





ปลายปากกาจรดขีดกากบาทลงบนวันที่ในปฏิทินตั้งโต๊ะเป็นวันที่สาม


สามวันมาแล้วที่ผมได้รับความสะดวกในการเดินทางไปฝึกงาน ทั้งเป็นเรื่องที่น่ายินดีและเป็นเรื่องที่โคตรเหี้ยในความรู้สึก ธรรมศรห่างออกไปทุกที ไม่โทรหา ไม่ไลน์ ไม่แวะไปหาที่ห้องซ้อม สามวันที่ชีวิตผมมีแต่พี่ ๆ ในค่ายหนังที่ทำงานด้วยกัน เพื่อน ๆ ที่กองละครเวที แม่กับน้องสาวและพ่วงมาด้วยรดาที่เรามักจะได้เจอและใช้เวลาด้วยกันในวันที่ผมได้รับสิทธิ์ในการกลับบ้านเร็ว ขณะที่มนุษย์ผู้ชายที่ชื่อธรรมศรหายไปจากสารบบชีวิตผมมาสามวันแล้ว


ผมพบว่าความยุ่งวุ่นวายในแต่ละวันทำให้ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องของมันมากเท่าที่กังวล จะมีคิดบ้างในช่วงที่สมองและร่างกายได้พักและส่วนใหญ่จะเอาแต่คิดว่าเมื่อไหร่มันจะกลับมาหาผม ย้อนแย้งดีไหมละครับ ผมไม่ได้จะเป็นจะตายเลยด้วยซ้ำที่ห่างกับมัน ออกจะใช้ชีวิตได้ปกติไม่เหมือนที่เคยกลัวเลยด้วยซ้ำ แต่ลึก ๆ แล้วคาดหวังเอาไว้มากว่ามันจะกลับมาหา


และถ้ามองให้ลึก ผมว่าตอนนี้ผมไม่ต่างจาก AI เท่าไหร่นัก ฟังก์ชันทำงานได้เต็มร้อย คิดได้แต่ไม่มีความรู้สึก ไอ้เรื่องจะให้มานั่งเศร้ากอดขวดเหล้าคงเป็นไปไม่ได้ อย่างมากก็แค่นอนเหม่อจนหลับไปเท่านั้น


[เด็กที่ร้านบอกว่าเห็นไอ้ศรมาที่นี่ทุกคืน] เป็นไอ้เต๋าอีกตามเคยที่คอยรายงานสถานการณ์ของคนฝั่งโน้นให้ผมฟัง เมื่อช่วงเย็นมันโทรมาชวนไปร้านเหล้าเพราะเห็นว่าผมว่างซ้อม เห็นบอกว่าไปกับพี่ที่ฝึกงานด้วยกัน ไม่คิดว่าจะไปเจอศรที่นั่นด้วย


“...”


[อ่ะ ไม่อยากฟัง โอเคกูวาง] คงจะไปร้านนั่งชิล เสียงปลายสายถึงเคลียร์ไม่อึกทึกนัก


“ไปกับใคร” ผมรีบถามก่อนอีกฝ่ายวางสายไป


[บอกแล้วว่ามากับพี่ที่ทำงาน]


“อย่ากวนตีนตอนนี้”


[คนเดียว เห้ย ไม่แล้วว่ะ มีผู้ชายกลุ่มนึงเข้ามาทักมันแล้วมันก็ยอมเดินไปนั่งโต๊ะเดียวกัน คงสนิทกันน่าดู]


“ใคร”


[ไม่รู้ว่ะ มึงก็รู้ว่าแฟนมึงกว้างขวาง รู้จักคนไปทั่ว]


“...”


[ไม่พูดกูวางจริง ๆ แล้วนะเว้ย] ไอ้เต๋ายังกวนทั้งที่รู้ว่าผมอยากรู้อะไรบ้าง


“มันเมาไหม”


[ตอนนี้ยัง แต่อีกสิบนาทีกูว่าไม่แน่ เพื่อนมันรึเปล่าไม่รู้แม่งรินเอารินเอา]


“ฝากดูหน่อย”


[ไม่มา?]


“เดี๋ยวได้ใจ”


[เอาจริงเว้ยยยย ให้แน่เหอะสัด]


“ที่บอกว่าฝากดู...กูพูดจริงนะ”


นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนผมวางสาย แล้วถามว่านอนหลับไหม ก็ไม่ ไม่อาจข่มตาให้หลับได้จนกระทั่งไอ้เต๋าโทรมาบอกว่าขับรถตามไปส่งศรถึงคอนโดแล้วในสามชั่วโมงหลังจากนั้นนั่นแหละ มิหนำซ้ำยังถูกปลายสายบ่นใส่อีกว่าอดเหล่สาวเพราะมัวแต่มองไอ้ศรให้ผม


ย่างเข้าสู่วันที่สี่


วันนี้ผมก็คงไม่มีเวลาว่างคิดเรื่องศรอีกเหมือนเคย เพราะช่วงเย็นหลังเลิกงานต้องเข้าไปซ้อมละครต่อ ใกล้เปิดเทอมเต็มที สำคัญคืออีกไม่ถึงสี่สัปดาห์ก็จะเปิดการแสดงแล้ว วันนี้นอกจากจะซ้อมแล้วผมยังต้องฟิตติ้งเสื้อผ้าครีเอทหน้าผมเตรียมถ่ายจริงในอีกวันสองวันข้างหน้า ระหว่างนี้ก็ใช้รูปกราฟิกฉากหรืออื่น ๆ ในการโปรโมทไปก่อน


ผมแบกร่างสะบักสะบอมจากการฝึกงานที่ไม่ต่างจากเจนฯเบ้นักไปถึงคณะในเวลาเกือบหกโมงเย็น ทันได้ยินประกาศข่าวดีจากฝ่ายพีอาร์ว่าบัตรรอบพรีเซลขายหมดแล้ว ก่อนจะเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ตามมาในแทบจะทันทีอีกเรื่องหนึ่ง


“มีคนมาหาเว้ยไอ้โอม” เสียงไอ้โจดังลั่นห้อง หน้าตาแต้มรอยยิ้มของมันทำให้ผมมีหวังว่าคนที่รอจะเจอมาหลายวันจะมาหาในวันนี้ แต่เปล่าเลย ผมนกว่ะ


“ยัยอิม!” เป็นเอม น้องสาวคนกลางของผมที่เป็นหนึ่งในฝ่ายคอสตูมตะโกนเรียกเสียงดังลั่น จะผมหรือเอมเราต่างก็ไม่คาดคิดว่าจะเจอน้องที่นี่ ที่สำคัญคือชวนรดามาด้วย


ยัยอิมแทบจะกระโดดโลดเต้นเข้ามาหาผม ขณะที่รดาได้แต่ร้องเตือนตามหลังมาว่าให้ระวังกล่องอาหารในถุงที่ถืออยู่ด้วย เห็นอย่างนั้นผมจึงรีบเข้าไปช่วยรดาถือ


“จะมาทำไมไม่บอกก่อน” ผมตำหนิน้องสาวตัวเองโดยมีเอมมายืนพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ข้าง ๆ


“แม่อนุญาตแล้ว เนี่ยอาหารพวกนี้นะ รดาเขาตั้งใจทำให้พวกพี่ ๆ ทานเลยนะ” อิมดันเพื่อนรักมายืนตรงหน้าผม รู้ว่าน้องต้องการสื่ออะไร เคยพูดไปแล้วด้วยว่าทำให้สมหวังไม่ได้ แต่คงเพราะช่วงนี้ผมยังไม่มีวี่แววจะคืนดีกับแฟนด้วยละมั้ง น้องถึงได้เชียร์เพื่อนตัวเองหนักขนาดนี้


“สวัสดีค่ะพี่ ๆ อิมเป็นน้องคนเล็กของพี่โอมกับพี่เอมนะคะ” ยัยตัวแสบรีบทักทายแจกไหว้ไปทั่วห้องก่อนที่ผมจะดุขึ้นมาอีก “คุณแม่กับเพื่อนอิมทำอาหารมาเผื่อพี่ ๆ ทุกคนเลยค่ะ มาหยิบไปทานกันได้นะคะ” ช่วงนี้ปิดเทอม แม่ผมที่เป็นอาจารย์อยู่บ้านว่าง ๆ ท่านก็ชอบทำอาหาร มีรดามาอยู่ด้วยทุกวันก็ยิ่งชอบใจใหญ่เพราะมีคนให้สอนทำอันนั้นอันนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าที่แม่ทำแบบนี้เพราะคิดอะไรแบบยัยอิมด้วยรึเปล่า


“ไม่ทราบว่าเพื่อนน้องอิมเป็นอะไรกับพี่ชายน้องเหรอครับถึงได้ทำอาหารมาให้ถึงที่นี่” คำถามสร้างความลำบากให้ผมจะมาจากใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ไอ้โจที่หวิดจะแดกตีนผมหลายรอบแล้ว แม้ไอ้พีทไม่อยู่ ไม่มีคู่หูแกล้งผมแต่มันคนเดียวก็ยังฤทธิ์เยอะอยู่ดี นี่ขนาดมันยังไม่รู้นะครับว่าผมระหองระแหงกับศร ถ้ารู้ขึ้นมาก็ไม่อยากจะคิด


“เพื่อนน้องก็คือเพื่อนน้อง มึงสงสัยตรงไหน” ผมหันไปตอบแทนน้องสาว หวังว่าหน้านิ่ง ๆ ของผมจะทำให้มันมองออกว่าไม่ควรพูดเล่นอะไรตอนนี้


“อ้อออ” ไอ้โจลากเสียงยาวได้ตอแหลที่สุดเท่าที่เคยรู้จักกันมา “เพื่อนน้อง กูเข้าใจละครับเพื่อนรัก”


ถ้าไม่ติดว่ารดายืนอยู่ตรงนี้ด้วยผมจะไล่เตะตูดมันให้ช้ำเขียวสักทีสองที หมั่นไส้มันจริง ๆ ครับ แล้วยังมีหน้าเดินมาหยิบกล่องอาหารพร้อมเล่นหูเล่นตาใส่น้องอีก


“มากันยังไง พี่ให้เราสองคนอยู่ในนี้ไม่ได้นะ กลับไปกันก่อนเลย”


“พี่ชายรดาพามาค่ะ แต่ขอไปทำธุระก่อน เดี๋ยวรดากับอิมลงไปรอข้างล่างได้ค่ะ” รดาบอก


“กล่องนี้ของพี่โอมค่ะ รดาเขาตั้งใจทำให้เป็นพิเศษ” อิมจัดแจงยื่นกล่องอาหารมาให้ผม


“มันก็เหมือนกันทุกกล่องนั่นแหละอิม” รดาปรามเพื่อนเขิน ๆ


“พี่ก็ว่าอย่างนั้นนะ” เอมเสริมจึงโดนยัยน้องคนเล็กมองค้อนเข้าให้อีกคน


“ไม่เหมือนสิ กล่องนี้เธอตกแต่งอยู่ตั้งนาน”


“เอ่อ...ทานให้อร่อยนะคะพี่โอม ไปกันเถอะยัยอิม” คงเพราะเขิน รดาถึงได้รีบดึงเพื่อนตัวเองออกไปจากตรงนี้โดยมีคำขอบคุณของผมดังไล่หลังไป


“ยัยอิมนะยัยอิม รู้ทั้งรู้ว่าพี่โอมมีแฟนอยู่แล้วยังจะจับคู่ให้เพื่อนตัวเองอีก สงสารรดาจริง ๆ” เอมบ่นก่อนยกข้าวกล่องไปหนึ่งถุงใหญ่เผื่อคนอื่น ๆ


ยังดีที่เอมไม่สงสัยอะไร คงเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ได้กลับไปค้างที่บ้านจึงยังไม่ระแคะระคายความสัมพันธ์อันสั่นคลอนของผมกับศร โชคดีอีกอย่างที่วันนี้ยัยจี๊ดไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นก็คงโดนฟอกจนขาวแน่ ๆ


วันนั้นกว่าผมจะกลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืน อาบน้ำเสร็จแล้วก็นึกว่าจะหลับได้เลยเพราะความเหนื่อย แต่เปล่าครับ เหนื่อยแค่ไหนก็ยังมีแรงคิดถึงศร หยิบโทรศัพท์ตัวเองมาเช็คทุกแอปฯแล้วก็ได้แต่ปลง บล็อกช่องทางการติดต่อหรือก็ไม่ แต่ไม่ยักมีซักการแจ้งเตือนที่มาจากคนคนนั้น



หรือเราจะเลิกกันแล้วจริง ๆ วะ














พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 16
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ย้ำอีกครั้งว่าตัวละครแต่ละตัวมีเหตุผลของทุกการกระทำและทุกการแสดงออกค่ะ
อาจมีฐานมาจากพื้นเพครอบครัว นิสัยส่วนตัว ประสบการณ์
ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนและทุกกำลังใจนะคะ
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ถอนหายใจเลย ทางนั้นจะเป็นยังไงบ้างคะเนี่ย พยายามหาทางมาทำทุกทางเพื่อนรั้งโอมไว้ให้ไม่ทิ้งตัวเอง แต่ทางโอมโรคประจำใจฝั่งนี้ก็เรื้อรังมานานแล้ว ขอให้หาทางเคลียร์กันให้ได้นะคะ อยากให้จบดี  :hao5:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
รอบนี้ดูสาหัสจัง​ เพราะโอมผิดหวังจริงๆ​ เฮ้อ

ออฟไลน์ saiimai1998

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสารโอมอะ ศรทำไมไม่มาง้อเลยใจนึงก็อยากให่เลิกๆศรจะได้รู้สึก แต่ใจนึงก็อย่าเลิกเลย สงสารคนอ่านอย่างเราด้วยยย :sad4:

ออฟไลน์ changemoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ต้องการความหวานแหววแบบตอนแรกๆ 5555 ไม่มีช่วงพักหายใจเลยค่ะ ดราม่ายาวนาน เราทีมศรนะ เอ็นดู คนที่มีความหลัง มันจะกลัวการสูญเสียมากจริงๆ แต่ถ้าผ่านความรู้สึกนี้ไปได้ แล้วโอมอินเข้าใจ ช่วยกันประคับประคอง รักครั้งนี้จะต้องอยู่นานมากแน่ๆ

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ศรมาง้อโอมหน่อยยย แฟนตัวเองกำลังโดนจับคู่นะ รีบมาด่วนนนนน :katai1:

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เลิกกับเขาแล้วมาหาเรานะโอมอิน   :hao5: :katai1:

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 16
---DharmaSORN---






เสียงสะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจของเด็กชายตัวน้อยวัยสองขวบดังระงมไปทั่วบริเวณที่เจ้าตัวไม่ทันใส่ใจว่าคือที่ไหน เขารู้แค่ว่ามันทั้งมืดและวังเวง อากาศโดยรอบเย็นจนชวนให้เหน็บหนาว ยิ่งไร้ซึ่งอ้อมกอดของใครบางคน เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันหนาวเหน็บจนถึงขั้วหัวใจ


ฮึก ฮึก


เจ้าตัวเล็กหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดทีละนิดตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดของร่างกายเพราะแรงสะอื้นที่กระชั้นจนเริ่มจะขาดใจเข้าให้จริง ๆ สองขายังก้าววิ่งเตาะแตะไปตามทางที่ใครคนนั้นเพิ่งลับสายตาไป เขาเพิ่งหยุดเรียกเธอไปไม่นานมานี้เองหลังจากที่เรียกอยู่นานจนเหนื่อยหอบเพราะร้องไห้ตัวโยนไปด้วย ม่านสายตาพร่ามัวมาครู่ใหญ่แล้ว แม้เจ้าตัวจะใช้หลังมือป้อมปัดออกบ่อยครั้งทว่าก็ยังมองภาพเบื้องหน้าไม่ชัดเท่าไหร่ ก่อนที่เธอจะลับสายตาไป เขาจึงมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายหันมามองกันด้วยความอาลัยอาวรณ์กันบ้างหรือไม่ในตอนที่เขาร้องเรียกสุดใจ


แม้จะยังอยู่ในวัยที่ไม่เข้าใจอะไรนักแต่สัญชาตญาณก็บอกให้รู้ว่าเธอกำลังจากไปแบบไม่มีวันกลับมาหากันอีก เขาเสียเธอไปตลอดกาลทั้งที่ยังมีลมหายใจ เด็กชายตัวน้อยวิ่งตามจนแข้งขาอ่อนแรงทรุดล้มอยู่ตรงนั้น ใบหน้าอ่อนใสเปื้อนคราบน้ำตาน้ำมูกก้มลงมองพื้นด้วยความรู้สึกหลากหลายขณะใช้สองมือยันกายให้ลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อทรุดลงครั้งแล้วครั้งเล่าจนท้อ ได้แต่เปล่งเสียงเรียกปนสะอื้นแผ่วเบาด้วยหวังว่ามันจะดังพอให้คนที่จากไปได่้ยินแล้วเดินกลับมากอดกันไว้อีกครั้ง


ฮึก ฮือ


สายลมเอื่อย ๆ ไล้ผิวกายชวนให้ขนลุกชัน ทว่าภายในใจกลับเหน็บหนาวเสียยิ่งกว่า เด็กน้อยยังคงร้องเรียกหาเธออยู่อย่างนั้น ในตอนนี้เขาไม่ได้ปัดคราบน้ำตาออกแล้ว น้ำมูกที่ไหลก็ปล่อยไว้อย่างนั้นจนเผลอกินมันเข้าไป แต่เขาไม่สนใจ เด็กน้อยคิดแต่เพียงว่าถ้าเขาร้องไห้อยู่ตรงนี้จะทำให้เธอเปลี่ยนใจกลับมาหากันได้ ร้องไห้เหมือนทุกครั้งที่อยากได้ของเล่น...ยิ่งร้องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เร็วขึ้นเท่านั้น


เสียงสะอื้นยังคงดังต่อเนื่อง เขาคิดมาตลอดว่ารอบข้างไม่มีใคร จนกระทั่งร่างน้อย ๆ ของตัวเองถูกอุ้มขึ้นโดยใครบางคนแล้วพาเดินย้อนไปคนละทางกับคนที่ทิ้งไป เสียงเล็กจึงแผดร้องออกมาดังที่สุดในตอนนั้น


“แม่!!”


ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันแทบไม่ต่างอะไรกับเสียงกระซิบในตอนที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายเดิม ๆ ของตัวเอง


นาฬิกาตรงหัวเตียงบอกเวลาตีสอง บ่งบอกว่าโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ก่อนเข้านอนเพิ่งดับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงนี่เอง


ผมปาดเหงื่อบนใบหน้าขณะพลิกตัวเข้าหาอีกฝั่งที่เคยมีใครคนหนึ่งนอนอยู่เสมอ


แต่คืนนี้ไม่มี…


สิ่งที่โอมเห็นคือทุกเช้าผมจะซุกตัวเข้าหามัน แต่สิ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้คือผมซุกเข้าหามันตั้งแต่กลางดึกในทุกคืน
ชีวิตผมเริ่มมีความสุขมากขึ้นเมื่อมีผู้ชายที่ชื่อว่าโอมอินเข้ามาในชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังนอนฝันร้ายทุกคืน ดีหน่อยตรงที่มีมันนอนอยู่ข้าง ๆ ให้อุ่นใจ ความอบอุ่นจากร่างกายของโอมช่วยเยียวยาจิตใจของผมได้ดี เพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้ผมไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในทุกครั้งที่ตื่นจากฝันร้ายเหล่านั้น


ผมเคยนึกภาพตัวเองในวันที่ไม่มีโอมอินอยู่ข้างกายไม่ออก ผมลืมไปหมดแล้วว่าก่อนหน้าจะมีมัน ผมอยู่อย่างไร
แล้วความรู้สึกเก่า ๆ ที่หวนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างเช่นตอนนี้ล่ะ...ผมควรจัดการกับมันอย่างไรดี


เด็กชายธรรมศรในวันนั้นร้องไห้แทบเป็นแทบตายเพื่อสิ่งที่อยากได้


แต่ในวันนี้นายธรรมศรจะไม่ร้องไห้เพราะอยากได้ของอีกแล้ว


ผมลุกจากเตียง เปิดลิ้นชักหัวเตียงหาบางอย่างที่ถูกเก็บเอาไว้มาพักใหญ่แล้ว


...บุหรี่กับไฟแช็ึค


ผมถือมันเดินออกไปตรงระเบียง จุดสูบอย่างไม่รีรอ รสขมปร่าทำผมเบ้หน้าเล็กน้อยในตอนที่อัดควันเข้าปอดเพราะห่างเหินไปนานแล้ว ไอ้โอมคงไม่ทันสังเกตว่านับตั้งแต่วันที่มันขอ ผมก็สูบน้อยลง มวนนั้นที่ขอยืมไอ้ท็อปเด็กเกษตรฯก็แทบจะเป็นมวนเดียวในช่วงสองสามเดือนนี้เลยด้วยซ้ำ


ภาพเบื้องหน้าคือวิวเมืองกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่ไม่เคยหลับใหล ผมอัดนิโคตินเข้าไปอีกครั้งและอีกครั้งเพื่อกลบความขุ่นมัวในใจ

 
‘ไปทบทวนตัวเองดูนะ’


เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่โอมอินหายเงียบไปหลังพูดแบบนั้นแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่กลับมา หนึ่งสัปดาห์มันยังน้อยไปสำหรับให้ทบทวนตัวเองหรืออย่างไรผมเริ่มไม่แน่ใจ ช่วงวันสองวันแรกผมยังโอเคกับคำพูดนั้นของมัน อาจจะมีนอนไม่หลับบ้างเป็นธรรมดา แต่พอเข้าวันที่สามแล้วพบว่าของใช้จำเป็นบางอย่างของมันในห้องถูกเจ้าตัวแอบเข้ามาเก็บออกไปผมก็เริ่มใจไม่ดี


อดคิดไม่ได้ว่าโอมอยากจะออกไปจากชีวิตผมจริง ๆ ก็คราวนี้


ครั้งนี้ผมผิดเต็ม ๆ มันให้เวลาผมได้ทบทวนตัวเอง และเพราะรู้ตัวว่าทำเกินไป ผมจึงไม่กล้าบากหน้าไปหามันก่อน ไม่ใช่ว่าไม่อยากง้อ แต่กลัวว่ามันไม่อยากคืนดีกันแล้วต่างหาก ครั้งก่อนที่มีปัญหาผมเคยบอกให้มันถามตัวเอง และครั้งนี้ก็คงเป็นเช่นเดิม แม้จะอยากเป็นคนตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวแต่เพราะรู้ว่าตัวเองผิด ถ้าอีกฝ่ายไม่สบายใจจะอยู่ด้วยอีกแล้ว ผมก็คงต้องยอมรับการตัดสินใจของมัน จริงไหมล่ะครับ


บางที...โอมก็อาจจะคิดได้ว่าเหนื่อยเกินไปที่ฝืนคบกันต่อ


ผมห้ามใจให้สูบแค่มวนเดียวเท่านั้น เมื่อไฟลามถึงก้นบุหรี่ ผมก็จัดการเขี่ยมันกับภาชนะที่สมควรแล้วยืนมองมันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินกลับเข้าห้องนอน


สิ่งที่ทิ้งไว้เบื้องหลังก็คือมวนบุหรี่ที่เหลือแต่เศษซากกับความคิดถึงยามตีสาม


ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ทุกคืนผมจะออกไปดื่มเหล้าที่ร้านตามลำพัง ไม่บอกใคร ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ เว้นแต่บางคืนที่เจอเพื่อนก็จำต้องไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมกำลังทุกข์ใจเรื่องอะไร ก่อนจะกลับมาตอนเที่ยงคืนแล้วนอนหลับไปพร้อมกับเสียงโทรทัศน์ที่เปิดไว้กล่อมนอน แต่สุดท้ายก็ยังสะดุ้งตื่นด้วยฝันร้ายในเรื่องเดิม ๆ เพียงแต่คืนนี้เป็นคืนแรกที่ผมเลือกจะสูบบุหรี่ก่อนหลับตาลงอีกครั้ง


พูดอย่างไม่อายเลยว่าที่ไปนั่งร้านเหล้าทุกวันไม่ใช่แค่อยากดื่มเพื่อลืม แต่เพราะคาดหวังอยู่ลึก ๆ ว่าจะได้เจอโอมเหมือนอย่างทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน หวังว่าอีกฝ่ายจะตามไปหาแล้วพากลับห้อง แต่สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายพยุงสติตัวเองกลับห้องด้วยตัวเองตามลำพัง


เห็นที คงจะได้เลิกกันจริง ๆ ก็คราวนี้


ผ่านไปนานหลายนาทีหรืออาจจะแค่ไม่กี่อึดใจผมก็ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่ามันอึดอัดกระสับกระส่ายเกินกว่าจะข่มตาให้หลับเหมือนปกติได้แล้ว แต่เพราะไม่อยากเปิดโทรทัศน์อีก ผมจึงเปิดเสียงที่เคยอัดไว้ตอนโอมกลับบ้านขึ้นมาฟัง จำได้ว่าคืนหนึ่งเคยอ้อนให้อีกฝ่ายร้องเพลงกล่อม ตอนนั้นหลับไปก่อนที่เพลงจะจบ คืนนี้ก็คงจะช่วยให้หลับได้เหมือนกัน


ค่ำคืนฉันยืนอยู่เดียวดาย
เหลียวมองรอบกาย
มิวายจะหวาดกลัว
มองนภามืดมัว
สลัวเย็นย่ำ ค่ำคืนเอ๋ย
ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม



เปลือกตาที่หนักอึ้งปิดลงช้า ๆ


ยามนภา คล้ำไปใกล้ค่ำ
ยินเสียงร่ำคำบอก
เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย
เจ้าดอกขจร
นกขมิ้นเหลืองอ่อน
ค่ำแล้วจะนอนไหนเอย
เอ๋ยเล่า นกเอย


ผ่านไปครึ่งเพลงแล้วแต่ผมก็ยังมีสติครบถ้วนทั้งที่หลับตารออยู่แล้ว


อกฉัน ทุกวันเฝ้าอาวรณ์
เหมือนคนพเนจร
ฉันนอนไม่หลับเลย
หนาวพระพายพัดเชย
อกเอ๋ยหนาวสั่น สุดบั่นทอน
ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม



ผมตัดสินใจลืมตาขึ้นอีกครั้ง จ้องมองไปในความมืดโดยไม่กระพริบตา เสียงของโอมอินยังดังคลออยู่ข้างหู


ยามนี้เราหลงทางกลางค่ำ
ยินเสียงร่ำคำบอก
เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย
เจ้าดอกขจร
ฉันร่อนเร่พเนจร
ไม่รู้จะนอนไหนเอย
เอ๋ยโอ้หัวอกเอย



‘กูรักมึงมากนะศร’




เหมือนฝันไป…


เสียงพูดปิดท้ายคำร้องทำให้ผมรู้สึกราวกับตัวเองฝันไป เป็นฝันดีในแบบที่ไม่อยากตื่น ทั้งที่ความจริงแล้วนี่คือฝันร้ายเสียด้วยซ้ำเพราะมันมีแค่เสียง แต่คนพูดไม่ได้อยู่ข้างกันตรงนี้อีกแล้ว


คำว่ารักในวันนั้นคงไม่มีความหมายในวันนี้


ผมเลิกสนใจแล้วว่าตัวเองจะได้หลับตอนไหนหรือนอนแค่กี่ชั่วโมงก่อนออกไปฝึกงานต่อ เลิกแม้กระทั่งความพยายามในการข่มตานอน ผมหันมาให้ความสนใจกับการร้องเพลงตามเสียงของโอมอินซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นแทน


ซึ่งมันได้ผล


แม้จะไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหนและได้หลับกี่ชั่วโมง แต่ในตอนเช้าผมได้รับรู้ว่าตัวเองได้หลับบ้างนั่นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว


ตั้งแต่โอมอินจากไปผมยังไม่ได้ไปหาอาภพเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะโทรไปเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องโตขึ้นให้ได้ ต้องหนีจากความเป็นเด็กชายธรรมศรที่ทำอะไรเพื่อเรียกร้องความสนใจได้แล้ว และที่สำคัญ ในวันที่ผมไม่มีใครผมก็ควรจะอยู่ได้ด้วยตัวเองเสียที


ผมใช้ชีวิตในสถานฝึกงานของตัวเองตามปกติ ใต้ตาดำคล้ำลึกโบ๋ไมได้ทำให้ใครสนใจสักเท่าไหร่ อย่างว่าแหละครับ ในหมู่มวลชาววิศวะอย่างเรา ทั้งดื่มเหล้าทั้งนอนดึก ใครยังหน้าใสสิถึงจะตกเป็นเป้าสังเกต


ตกเย็นผมแวะเข้าไปซ้อมละครเวทีที่คณะสถาปัตยกรรมศาสาตร์ เพราะจะเปิดม่านการแสดงในอีกหลายเดือนข้างหน้าทีมงานจึงนัดผมมาซ้อมไม่ถี่สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นแค่เรื่องของการทำความเข้าใจบทเพื่อความอินก็เท่านั้น จะไปหนักช่วงเปิดเทอมใหม่เสียมากกว่า


ผู้กำกับบอกว่าการซ้อมจะเริ่มหลังอาหารเย็นที่ทีมงานเลี้ยง ผมรับข้าวและน้ำเปล่าหนึ่งขวดแล้วปลีกตัวออกมานั่งคนเดียว ถึงผมจะเฟรนลี่แค่ไหนแต่สภาวะอารมณ์แบบนี้ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะเข้าสังคมใด ๆ


ผมเห็นเท่าฟ้าถือแก้วนมเย็นไปให้รุ่นน้องคนหนึ่งที่เล่นเป็นน้องชายนางเอกของเรื่องขณะที่คนอื่น ๆ ได้แค่น้ำเปล่าแล้วก็เริ่มเข้าใจเรื่องที่เราคุยกันเมื่อวันก่อน และแม้ว่ามันจะอยากนั่งทานข้าวกับน้องมากแค่ไหน แต่คงเพราะไม่อยากเอิกเกริก อีกฝ่ายถึงได้เลือกเดินมานั่งเป็นเพื่อนผมที่ปลีกตัวออกจากฝูงชนแทน


“อยากได้นมเย็นบ้าง” ผมเปรย ไม่จงใจนักแต่คนฟังคงรู้ด้วยตัวเองได้ไม่ยากว่าผมเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายทำ


เท่าฟ้าหูแดง คบมานานก็พอรู้ว่ากำลังเขิน “ก็ให้แฟนมาเฝ้าสิวะ มึงอยากกินอะไรเขาก็หามาให้ได้หมดแหละ ได้ข่าวมาว่าสปอยล์เอาเรื่องอยู่นี่”


ผมปักช้อนในข้าวและจับมันไว้อย่างนั้น “แล้วได้ข่าวมารึยังว่ากำลังจะเลิกกันแล้ว”


“จริงดิ!” ไม่ใช่เสียงจากคนตรงหน้าผมแต่เป็นอีกคนที่เดินถือกล่องข้าวเข้ามาแล้วถือวิสาสะนั่งลงข้างผม “เลิกกันแล้วจริงดิ”


“เสือก” ผมว่าใส่หน้าไอ้ท็อป รู้สึกหงุดหงิดกับรอยยิ้มของมันที่ไม่สะทกสะท้านกับคำด่าของผมเลยสักนิด


“เสือกที่ไหน นี่เรื่องของกูด้วยชัด ๆ”


“เกี่ยวอะไรกับมึง”


“ก็จะได้จีบต่อ” ท็อปพูดหน้าตาย ขณะที่ผมกับเท่าฟ้านิ่งอึ้งไป “อย่าทำไขสือ ที่กูเทียวไล้เทียวขื่อเพราะชอบจริง ๆ นะเว้ย ไม่ได้ตามตอแยให้โดนด่าเล่นเฉย ๆ นะ”


“กูไม่ได้ชอบมึง”


“ลองดูก่อนก็ได้ กูก็มีดีนะ”


“ต่อให้เลิกกับโอมจริง ๆ กูก็ไม่ชอบมึง” ผมพูดต่อหน้าเท่าฟ้าโดยไม่อาย มันก็เพื่อนสนิทคนหนึ่ง ขึ้นมหา’ลัยมาอาจไม่ได้ติดต่อกันมากเพราะเรียนหนักทั้งคู่ แต่เมื่อก่อนเราก็ปรึกษาเรื่องสำคัญกันอยู่เสมอ


“ลองดูก่อนดิ มึงชอบแมน ๆ ไม่ใช่เหรอ กูนี่ไงแมน ๆ รับรองว่า...”


“กูไม่สนว่ามึงจะแมนหรือไม่แมน กูไม่ได้มองว่าเป็นเพศหญิงหรือชาย กูไม่มีเงื่อนไขหรอกว่าต้องเป็นแบบไหนกูถึงจะรักได้ ไม่ได้มีเกณฑ์บ้าบอมาคัดแยกคนเข้ากลุ่มที่กูจะรักได้ด้วย กูยึดแค่ความรู้สึก...ถ้ากูชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก”


“...”


“กูไม่สนด้วยว่าใครจะมองกูเป็นเกย์หรือไบฯ หรือรสนิยมทางเพศเป็นแบบไหน สำหรับกูเซ็กซ์ไม่ใช่เรื่องสำคัญ กูต้องการแค่ใครสักคนที่กูรักและมีความสุขเวลาอยู่กับเขา ขณะเดียวกันคน ๆ นั้นก็ต้องรักกูและพร้อมจะอยู่กับกูเหมือนกัน”


“...”


“ซึ่งคน ๆ นั้นไม่ใช่มึง”


ผมหยิบกล่องข้าวและขวดน้ำของตัวเอง บอกขอโทษเท่าฟ้าแล้วลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะเดินออกไปหาที่นั่งอื่นแต่ท็อปเรียกรั้งไว้


“ให้โอกาสกูหน่อยไม่ได้เหรอวะ มึงเองก็ใช่ว่าจะชอบมันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมจะให้โอกาสกูบ้างไม่ได้วะ”


ผมมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง จ้องเข้าไปในตาคู่นั้น ผมรู้ว่ามันจริงใจกับผม ความรู้สึกของมันเป็นของจริงแต่ไม่ใช่เวลานี้ เวลาที่ผม… “เพราะกูยังรักมันอยู่”


ผมเริ่มก้าวเดินออกมา


“กูรอได้ กูเข้าใจว่ามึงต้องการเวลาทำใจ แต่กูรอได้ ให้โอกาสกูได้ดูแลมึงช่วงนี้”


“กูรักไอ้โอม และเรายังไม่ได้เลิกกัน หวังว่ามึงจะเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของกูด้วย เลิกยุ่งกับกูเถอะ อย่าพยายามอีกเลย ไม่มีใครเอาชนะใจกูได้นอกจากมันหรอก”




โอมอินเอาชนะใจผมได้ด้วยการเอาใจใส่


และผมยอมรับว่าไอ้ท็อปเองก็อาจจะเอาชนะใจผมได้ไม่ยากเหมือนกัน


ใช่ว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาก่อกวนกันอย่างเดียว แต่นับจากที่เรารู้จักกันอย่างเป็นทางการ อีกฝ่ายก็ดูแลทั้งกายและความรู้สึกของผมเป็นอย่างดีด้วยวิธีการในแบบของมัน


ในอนาคตอันใกล้...หรืออาจจะไกลกว่าที่คิด บางที...ผมอาจจะรักท็อปได้อย่างที่รักโอมอิน


เพียงแต่ว่าตอนนี้คงยังไม่ใช่


เพราะผมยังรักโอมอยู่










พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 17
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่งเห็นว่าเกิน 1 ปีมานิดหน่อยแล้วสำหรับเรื่องนี้ คงต้องเร่งปั่นให้จบโดยเร็วแล้วล่ะค่ะ
มีคนถามหาฉากหวานๆ รอก่อนนนนนนน
รอก่อนนะคะ อย่าเพิ่งทิ้งเค้าไปไหน *กอดขา*
(เอ๊ะ จะมีโอกาสได้แต่งฉากหวานๆ อีกไหมนะ แหะๆ)
ธรรมศรเขาไม่รู้จักการง้อหรอกค่ะ เขาไม่เคยมีโอกาสได้ร้องขอ
เขาเลยคิดเอาเองว่าคนอื่นคือคนตัดสินสถานะของความสัมพันธ์
อยากอยู่ก็อยู่ อยากไปก็ไป เขาแค่ต้องยอมรับ ทำใจ และปรับตัว
แต่เพราะไม่อยากเสียใครไป เขาเลยต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่ายังผูกอีกฝ่ายไว้กับตัวได้อย่างเช่นการทำให้หึง
แต่ถ้าสุดท้ายแล้วคนมันจะไป เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
อย่าว่าลูกชายเราเลยนะคะ *กระซิกๆ*

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ saiimai1998

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :sad4:ศรลูกกกก ใครไม่เข้าใจหนูแต่แม่เข้าใจนะ ไม่เศร้าน้าาา

ออฟไลน์ Wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :z3: :z3: :z3: :z3:
แงงงงงงงงงงงงงงงง

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เข้าใจศรนะ แต่เรารักโอมอินแฟนเรามากกว่า 555555555555555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เข้าใจทั้งโอมและก็ศรเลย อยากให้ทั้งสองคนเข้าใจกันเร็วๆ

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ศร ถ้าเลิกกันจริง เราขอนะโอมอินอ่ะ  :laugh:

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
หน่วงสุด  :hao5:

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :sad4: ศรลูกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 17
---DharmaSORN---






ผมใช้ชีวิตโดยไร้เงาของโอมอินมาสิบวันแล้ว


หลาย ๆ อย่างเริ่มลงตัว


เหรอวะ?


ไม่จริงหรอก ยอมรับเลยว่าไม่จริง


ผมปรับตัวเก่งขึ้น ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น แต่ช่วงเวลาฝันร้ายของผมก็เลื่อนเข้ามาเร็วขึ้นเช่นกันเนื่องจากนอนเร็วกว่าเดิมจากการเลิกเข้าร้านเหล้าแล้วเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ ผมออกไปทำอะไรใหม่ ๆ แก้เซ็ง อย่างเช่นการออกมารีวิวอาหารญี่ปุ่นกับไอ้น้องรักที่ย่านวัยรุ่นแห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัย


ที่นี่เป็นอาคารเปิด ไม่เชิงห้างแต่ก็จัดว่าใกล้เคียง


“หึ หน้าตาดูไม่ได้เลย” ผมส่ายหน้าเมื่อเห็นสภาพหน้าของไอ้น้องรัก รู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายเพิ่งกลับมาจากค่ายอาสาของชมรม แต่ไม่คิดว่าสภาพจะเยินขนาดนี้ ไม่อยากจะคุยว่าปีก่อนที่ผมไป ตอนกลับมายังหน้าใสเหมือนก่อนไปอยู่เลย


เด็กนั่นทำหน้ายู่ใส่ “ใช่สิ๊ ใครจะหล่อทนหล่อนานเหมือนพี่ศรล่ะครับ”


ผมส่ายหน้าระอา “มึงจะถ่ายวิดีโอทั้งที่หน้าเป็นแบบนี้น่ะเหรอ” ความจริงก็ไม่ได้แย่อะไร แค่ดูแดงเหมือนผิวไหม้แดดเท่านั้นเอง แต่ก็ยังจัดว่าดูดีอยู่เพราะพื้นฐานหนังหน้าดีเป็นทุนเดิม


“เรียล ๆ น่ะพี่”


ผมเบะปากใส่ ยีผมน้องมันด้วยความหมั่นไส้ ไม่เคยรู้ว่าเพจของมันมีคนติดตามมากแค่ไหน แต่ดูจากการมั่นหน้าแล้วคิดว่าคงมีคนกดเข้ามาดูหน้าเรียล ๆ ของมันไม่น้อยอยู่เหมือนกัน


ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมตามมันมาในวันนี้เป็นร้านราเม็งที่มีซาซิมิและซูชิด้วย บรรยากาศค่อนข้างเป็นสไตล์ญี่ปุ่น แต่กลิ่นอายแบบดั้งเดิมถูกลดลงเพราะลูกค้าที่แน่นขนัดตา ผมเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่ารูปแบบการรีวิวของน้องรักไม่ใช่เชิงธุรกิจอย่างที่บล็อกเกอร์คนอื่นเขาทำกัน ไอ้น้องรักกินเองจ่ายเงินเอง แต่แค่เสล่ออยากนำเสนอร้านที่ตัวเองชอบให้คนอื่นรู้ด้วยก็เท่านั้น


“กูนึกว่าวันนี้จะได้กินฟรี” ผมแกล้งแซว


“ฟรีสิครับ ผมเลี้ยงเอง” ไอ้ตัวเปี๊ยกยืดอกตบปุ ๆ อย่างอาด ๆ ราวกับตัวใหญ่ตัวโตเสียเต็มประดาชวนให้หมั่นไส้จนต้องเขกหน้าผากเข้าให้หนึ่งที


รักบอกว่าเคยมาร้านนี้แค่ครั้งเดียวตามคำแนะนำของลูกเพจแล้วชอบเลยอยากให้ทาสอาหารญี่ปุ่นอย่างผมได้ลอง เดิมทีก็อยากมาลองพร้อมกันแต่รอไม่ไหวเพราะครั้งก่อนผมปฏิเสธไป พอได้ลองแล้วอร่อยจริง ๆ ก็มาเซ้าซี้ชวนผมอีกครั้ง ผมที่เบื่อ ๆ เลยตกปากรับคำมาอย่างง่ายดาย


รักเริ่มตั้งกล้องหลักหนึ่งตัวบนโต๊ะ  แล้วถืออีกตัวไว้ในมือ ผมเขินนิดหน่อยที่ต้องกลายเป็นดาราหน้ากล้องแบบนี้ ผมปล่อยให้น้องทำอย่างที่คิดมาแล้วมีหน้าที่แค่ทักทายกับกล้องหลังจากที่อีกฝ่ายแนะนำผมให้คนดูรู้จักแล้ว


เกือบยี่สิบนาทีหลังจากนั้นอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟจนครบ มีราเม็งของโปรดไอ้น้องรักและราเม็งอีกถ้วยของผมที่ยกอำนาจให้คนเป็นตัวตั้งตัวตีจัดการสั่งให้พร้อมแซลมอนซาซิมิและซูชิอีกชุดหนึ่งที่ปริมาณไม่มากเกินผู้ชายสองคน


หลายวันมาแล้วที่ผมไม่ได้ทานอาหารแบบเต็มที่จนอิ่มท้องแบบนี้ ส่วนใหญ่จะทานแค่พอประทังชีวิตตามจิตสำนึกที่มี แต่วันนี้ที่ทานได้เยอะส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้ไอ้น้องรักมันแหละครับ เพิ่งรู้ว่าไอ้นี่เป็นคนที่ทานอะไรก็ดูอร่อยมากไปเสียหมด หน้าตาท่าทางที่เป็นธรรมชาติ ไร้การประดิษฐ์คงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เพจมันมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ เชื่อว่าร้านต่าง ๆ ที่มันเคยไปถ่ายก็ต้องขายดีเหมือนกัน




“จริง ๆ ร้านนี้อยู่ในลิสต์ที่ผมต้องมาถ่ายตั้งนานแล้วนะครับ แต่ที่เพิ่งมาเพราะรอพี่ว่าง” รักพูดในตอนที่พากันออกจากร้านแล้ว ไม่มีกล้องจับใบหน้าเราอีก รายการรีวิวอาหารของรักจบไปตั้งแต่ในร้านโดยที่ผมแทบไม่พูดอะไรนอกจากคำว่าอร่อยและให้คะแนนเป็นตัวเลข


“ทำอะไรไร้สาระ” ผมว่า น้ำเสียงติดรำคาญเหมือนทุกครั้งที่พูดกับรักแต่แท้จริงแล้วไม่ได้จริงจังนัก “ถ้ากูไม่มามึงก็จะรอต่อไปน่ะเหรอ”


“ก็ถ้าพี่ยืนยันหนักแน่นว่าไม่มา ผมก็คงต้องมาแล้วถ่ายคนเดียวอย่างเคย...” รักตีหน้าเศร้า “...สำคัญคือผมอยากให้พี่ได้ลองของอร่อยด้วยกัน” ผมรู้ว่าน้องมันรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ได้แกล้งทำตามจริตอย่างคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกหมั่นไส้จนต้องยีผมมันแรง ๆ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้หลบหลีก


“แล้วนี่กลับยังไง”


“ให้พี่ไปส่งบ้านครับ” เมื่อกี๊น่ะของจริง แต่ตอนนี้น่ะจริตล้วน ๆ ไอ้ท่าทางดี๊ด๊าเกินเหตุกับตาเป็นประกายทำผมอยากถีบน้องมันตรงนี้แต่เพราะคนเดินกันพลุกพล่านจึงทำได้แค่ผลักหัวอีกฝ่ายเท่านั้น


“หวังมากเกินไปละ”


“โธ่! ไม่มีน้ำใจกับน้องกับนุ่งเลย” ดูมันจีบปากจีบคอพูด เห็นแล้วหมั่นไส้อยากบีบปากให้แตกคามือจริง ๆ


“ตกลงกลับยังไง” ผมถามเสียงเข้มขึ้นให้รู้ว่าจริงจัง


“คุณแม่มารับครับ”


ผมแค่นเสียงขึ้นจมูก “ลูกแหง่”


“แม่ห่วง” ไอ้น้องรักแก้คำ


“ไปไหนก็ไปเลยไป” ผมผลักไหล่อีกฝ่ายไม่แรงนัก แต่ปฏิกิริยาที่ได้รับเกินจริงไปมาก จะว่าไปอยู่กับรักก็ทำให้ผมยิ้มได้บ้าง ถึงจะรำคาญและหมั่นไส้อีกฝ่ายแต่ก็ต้องยอมรับว่ามีความสุขกับช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้มากจริง ๆ


เดินกันไปคุยกันไปจนลงมาถึงชั้นล่างสุด ถึงจะบ่นรำคาญและขับไล่ไอ้น้องรักแต่ผมก็มีน้ำใจมากพอที่จะเดินตามมาหมายจะส่งรุ่นน้องให้ถึงมือคนเป็นแม่ แต่ยังไม่ทันถึงจุดหมายก็ได้ยินเสียงคนข้าง ๆ ร้องเรียกแม่ออกมาด้วยความดีใจเสียก่อน


“อยู่นั่นไงครับ คุณแม่ผม”


ผมมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ออกไประบุตำแหน่งของเธอ แต่แทนที่ผมจะเห็นผู้หญิงวัยที่น่าจะเป็นแม่คนได้ ผมกลับเห็นใครบางคนที่อยู่แค่ในความคิดมาหลายวันแล้วแทน


คนในความคิดออกมาโลดแล่นในชีวิตจริงได้ด้วยหรือ?


...แต่ว่านะ เขาคงไม่ได้ออกมาจากความคิดของผมหรอก เพราะว่าในนั้นไม่ได้ม่ีผู้หญิงคนนี้อยู่ด้วย


ข้างกายโอมอินมีเด็กสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งที่ผมจำได้ติดตาว่าคือคนที่เจอกันในร้านหนังสือเมื่อวันก่อน คนที่เป็นเพื่อนกับน้องสาวคนเล็กของมัน เพียงแต่วันนี้ทั้งสองมาด้วยกัน เดินคุยกันกระหนุงกระหนิงไร้เงาน้องสาวมัน


สองขาผมหยุดเดินไปนานแล้วจนรักรู้สึกตัวแล้วเดินย้อนกลับมาสะกิดถามด้วยความห่วงใย จนกระทั่งสองคนนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ผมถึงได้รู้ว่ารักรู้จักกับน้องผู้หญิงคนนั้น ผมรับรู้แค่นั้น ไม่สนใจจะแปลกใจอะไรกับความโลกกลม เพราะใบหน้าของโอมอินน่าสนใจกว่านั้น สิ่งที่สะดุดตาเห็นจะเป็นทรงผมที่แปลกไป คงเป็นทรงที่มันต้องทำเพื่อเล่นละครเวที ดูเข้ากับหน้ามันดีอย่างเหลือเชื่อ


“คุณแม่ครับ”


เสียงของรักดึงสติของผมให้ละสายตาไปมองผู้หญิงอีกคนที่เดินตามมาข้างหลังพร้อมกับท่าทางที่เหมือนเพิ่งวางสายโทรศัพท์จากใครสักคน


รักเดินเข้าไปกึ่งลากกึ่งจูงเธอเข้ามาใกล้ ในตอนนั้นผมเลิกสนใจสองหนุ่มสาวตรงหน้าไปแล้ว ไม่สนใจว่าโอมอินกำลังมองมาด้วยสายตาแบบไหน ไม่มีความคิดจะอ่านความหมายของแววตาคู่นั้นด้วย สมองผมพร่าเบลอไปหมด รับรู้แค่ว่าประสาทสัมผัสทั้งห้ากำลังทำงานอย่างเป็นปกติ


หน้าตาของเธอแม้ไม่เหมือนในรูปถ่ายที่ผมเพียรดูทุกวันในวัยเด็กนักด้วยเพราะริ้วรอยตามวัยที่มากขึ้น แต่ก็ไม่ผิดแปลกไปจนไม่รู้ว่าคือคนเดียวกัน


ท่าทางอ่อนช้อยและดูอบอุ่นยามยิ้มให้ ‘ลูกชาย’ ของเธอนั้นทำให้ผมเจ็บแปลบเหลือเกิน ยิ่งในยามที่จมูกของเธอฝังลงบนแก้มของไอ้เด็กนั่นเสียเต็มรักก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอิจฉาในสิ่งที่ไม่เคยได้รับ


ไม่รู้ว่าคำพูดเก่า ๆ เกี่ยวกับแม่ของรักดังมาจากที่ไหน แต่มันทำให้ผมรู้สึกอิจฉากว่าครั้งแรกที่ได้ยินอยู่มาก



‘ไม่หรอกครับ แม่ผมน่ะใจดีจะตาย แค่เจ้าระเบียบน่ะ ตอนเด็ก ๆ ผมไม่ค่อยได้เล่นอะไรเลอะ ๆ ซน ๆ เหมือนคนอื่นเขาหรอกครับ’
‘หึ ลูกแหง่’
‘เขาเรียกว่าแม่รักแม่ห่วงครับผม’

..
‘ลูกแหง่’
‘คุณแม่ห่วง’




“แม่ครับ นี่พี่ศร…” เธอมองเห็นผมแล้ว ผมได้อยู่ในสายตาของเธอแล้ว “...ที่ผมเล่าให้ฟังว่าชอบทานอาหารญี่ปุ่นมาก พี่เขาชอบที่คุณแม่ทำ--อ้าวพี่ศร พี่!”


ผมหันหลังเดินหนีออกมาอย่างเสียมารยาทเพราะไม่อยากทนฟังหรือมองหน้าใครอีกต่อไปแล้ว มือผมสั่น เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อใบหน้าที่เกร็งจนสั่นไปหมด หยาดน้ำใสที่เอ่อขอบตากำลังจะล้นออกมา ผมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยกระพริบตาถี่ ๆ ไล่ความร้อนผ่าวในจังหวะที่สาดส่องหาทางไปห้องน้ำ


แม้จะไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำแต่ผมก็ยังรีบพุ่งเข้าห้องริมในสุดโดยเร็วก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา ไม่ทันที่จะลงกลอน แรงดันจากนอกประตูก็ทำให้ร่างของผมที่ไม่ทันระวังถอยห่างออกหนึ่งก้าวเปิดโอกาสให้ใครบางคนแทรกตัวเข้ามาใช้พื้นที่แคบ ๆ นี้ด้วยกันได้


ผมมองคนตรงหน้าด้วยความตกตะลึง รู้สึกได้ว่าตอนนี้น้ำตาบางหยดกลั่นตัวไหลอาบสองแก้มบ้างแล้ว ผมไม่มีจังหวะตกใจมากเพราะในนาทีที่ร่างของผมถูกอีกฝ่ายดึงไปสวมกอด ผมก็ปล่อยให้น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลออกมาราวกับเขื่อนแตกทันที


ผมทิ้งตัวและปล่อยใจไปกับอ้อมกอดของโอมอิน ฝังใบหน้าบนลาดไหล่ที่คุ้นเคยให้คอยซับน้ำตาและเก็บเสียงสะอื้นให้เงียบที่สุด โอมไม่ได้พูดอะไรออกมา อีกฝ่ายเพียงแค่ยืนนิ่งเป็นที่พึ่งพาที่ดีให้กับผม มีเพียงมือที่ลูบหลังผมอยู่เท่านั้นที่บอกให้รู้ว่า...ครั้งนี้ผมไม่ได้ร้องไห้ตามลำพังอีกแล้ว





“ให้ไปส่งที่ไหน” คนถามยืนพิงสะโพกกับซิงค์ล้างมือหันหลังให้กระจก ขณะที่ผมล้างหน้าล้างตาอยู่ เงาบนกระจกสะท้อนให้เห็นว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในสายตาของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้น น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ผมไม่ได้ยินมาหลายวันยังคงดังขึ้นพร้อมถ้อยคำแสดงความห่วงใยเช่นเคย...แม้จะแข็งไปนิดก็ตาม


ผมลูบหน้าแล้วถอนหายใจ หน้าตาตัวเองตอนนี้ดูแทบไม่ได้ ร้องไห้แปบเดียวตาบวมฉึ่งเลย “กูขับรถมา”


“กูจะไปส่ง” โอมอินหันลำตัวเข้าหาผม สีหน้าขึงขัง


“กูขับรถเองได้” ผมบิดตัวจะเดินออกไปแต่ถูกรั้งแขนไว้


“จะให้ไปส่งที่ไหน” โอมอินย้ำคำถามเดิมด้วยเสียงที่เข้มขึ้นบ่งบอกว่าถ้าครั้งนี้ผมยังปฏิเสธอีกอาจจะไม่มีการใจเย็นยืนต่อรองกันได้อีกแล้ว


“...”


“...”


“คอนโดไอ้กอล์ฟ”





ผมไม่ได้อยากมาหาไอ้กอล์ฟ


ไม่ได้อยากเจอใครนอกจากไอ้โอม


เพียงแต่ผมไม่กล้าที่จะบอกว่าให้มันขับไป ‘ห้องของเรา’ กลัวจะถูกปฏิเสธ กลัวว่ามันจะแค่ไปส่ง แต่ไม่ได้กลับไปด้วย


จนในตอนที่รถมาจอดหน้าคอนโดแล้วแต่ผมก็ยังนั่งนิ่ง เราต่างเงียบ ราวกับรอฟังว่าเมื่อไหร่เสียงหัวใจของเราจะเต้นตรงกันอีกครั้ง


“ขอบใจที่มาส่ง” ผมพูดขึ้นก่อนทั้งที่ไม่ได้อยากจะลงไปเลยสักนิด


“อย่าให้ไอ้กอล์ฟกอด” อยู่ ๆ มันก็พูดขึ้น ผมหันไปมองหน้ามันตรง ๆ


“ถ้ามึงสบายใจจะอยู่กับมัน อยากระบายบางอย่างที่ยังไม่พร้อมเล่าให้กูฟัง กูยินดี แต่อย่าให้มันกอดปลอบอย่างที่กูทำ...ได้ไหม”


ใจผมเหมือนละลายไปกับคำพูดของมัน ผมละทิ้งทุกความกังวลและหวั่นกลัวแล้วเป็นฝ่ายสวมกอดมันก่อนบ้าง โอมอินนิ่งไป คงไม่คิดว่าผมจะทำแบบนี้ แต่แล้วก็กอดตอบโดยที่ผมไม่ต้องรอนาน  เรากอดกันไม่นานเท่าไหร่มันก็ผละออก โอมเลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นมาประคองใบหน้าผม ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยคราบน้ำตาที่ผมล้างออกไปแล้วบนหน้าผมอย่างอ่อนโยน ผมมองตามสายตาคู่นั้นที่เลื่อนไปตามสัมผัสของนิ้ว ไล่มาตั้งแต่หางตา ใต้ตาที่บวมช้ำของผม ร่องแก้ม แล้วมาหยุดที่ริมฝีปาก ก่อนที่ใบหน้าของอีกฝ่ายจะเคลื่อนเข้ามาอย่างช้า ๆ


ใจผมเต้นแรงและดังจนน่าอาย ทว่าในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่ริมฝีปากจะจรดกันผมกลับเบี่ยงหลบให้รู้ว่าไม่ต้องการ โอมอินชะงัก ถอยห่างออกไปเล็กน้อยแล้วบังคับให้ผมหันไปมองสบตากันตรง ๆ แวบหนึ่งผมเห็นแววสั่นระริกคล้ายน้อยใจการกระทำของผมอยู่ไม่น้อย


“ทำไม”


“กูไปจูบคนอื่นมา...กูทำผิดต่อมึง กูไม่กล้าให้มึงจูบ…กู- -” เหตุผลล้านแปดที่ผมจะยกมาพูดถูกกลืนหายไปเสียหมดเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากฟังแล้วเลือกที่จะจูบลงมาด้วยความยินดีแทน


“เรา...กลับห้องของเรากันเถอะ” ผมทิ้งทิฐิแล้วพูดออกไปในที่สุด


ในห้องโดยสารเงียบยิ่งกว่าตอนก่อนที่ผมบอกว่าจะไปเสียอีก ผมแทบกลั้นหายใจตอนที่รอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย นานหลายอึดใจทีเดียวกว่าจะได้รับคำตอบกลับมาเป็นการ...ส่ายหน้า


ผมยิ้มขื่น เข้าใจว่าเราคงจูนกันติดได้ยากกว่าครั้งก่อน ๆ กำลังจะบอกลาอีกครั้งเพื่อลงจากรถแต่กลับถูกรั้งไว้ด้วยการกอบกุมใบหน้าไว้อย่างอ่อนโยน



“เปลี่ยนบรรยากาศกันหน่อยไหม”













พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 18
---------------------------------------------------------------------
เขาใกล้จะได้สวีทหวานกันแล้ว รอหน่อยน้าาาา
อย่าเพิ่งทิ้งโอมอินกับธรรมศรไปไหนนะคะ
ปล. วันอังคารอาจจะมาอีกตอนนะคะ
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ใจหายหมดเลยตอนโอมส่ายหน้า กลับมารักกันชื่นบานไวๆ นะคะ  :hao5:

ออฟไลน์ rcbpdr

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คืออิจฉาศรได้มั้ย ไม่ว่าจะยังไงโอมอินก็รักอ่ะ ฮือออ ถึงจะปากร้ายยังไงแต่ก็รักแฟนที่สุด เนี่ย

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฉากที่หันมาเจอว่าเป็นแม่ที่น้องรหัสคอยพูดให้ฟังว่าห่วงลูกนักหนาคือคนทิ้งตัวเองไปตอนเด็กนี่อย่างพีค :katai1:

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มันช่างหน่วงเหลือเกินนน สงสารศรอ่ะ ศรมีแค่โอมจริงๆ  :m15:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เป็นอีกคนที่รักศรแต่รอเคลมโอมอินอ่ะค่ะ  :hao6:

ออฟไลน์ meuy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พึ่งได้ตามอ่าน อ่านรวดเดียวเลย

สนุกมากๆลยค่ะ

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 18
---OMIN---




‘คบมันมาหลายเดือนแล้วมึงก็น่าจะรู้ว่ามันแสดงออกไม่เก่ง ยิ่งให้มันพูดเพื่อรั้งมึงไว้ยิ่งไม่มีทาง...ถ้ามึงไปแล้วไม่กลับมาเอง มันก็จะปล่อยให้มึงจากไปตลอดกาล...จำเอาไว้’




ไอ้กอล์ฟเพื่อนไอ้ศรเคยพูดกับผมไว้อย่างนั้น


ถ้าครั้งนี้ผมไม่เป็นฝ่ายเข้าหาก่อน อย่าว่าแต่กลับมาคืนดีกันเลย จะได้เลิกกันแบบมีคำตัดขาดสถานะชัดเจนรึเปล่าก็ยังไม่รู้


จุดหมายปลายทางของเราคือหาดนาจอมเทียน จังหวัดชลบุรี ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าศรมีห้องส่วนตัวในคอนโดแห่งหนึ่งอยู่ที่นี่ด้วย ตึกสูงตั้งอยู่ติดชายหาดที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวในระนาบเดียวกับโรงแรมชื่อดังมากมาย ที่นี่เงียบสงบเหมาะกับคนเก็บตัวอย่างมันจริง ๆ


ผมส่งข้อความไปบอกแม่แล้วว่ามาธุระต่างจังหวัดกับเพื่อน พรุ่งนี้จะกลับ ปกติไม่เคยรายงานตัว แม่ก็ไม่จู้จี้ตามนัก แต่กลัวว่ายัยอิมจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ไม่อยากให้แม่โทรมาตามตอนที่กำลังทำ ‘อะไร ๆ’ อยู่


กว่าเราจะถึงจุดหมายก็เกือบค่ำ เราไม่ได้แวะทานอาหารมื้อเย็นที่ไหน ระหว่างทางผมแวะซื้อเบียร์กระป๋องหนึ่งโหลแช่ในลังน้ำแข็งเรียบร้อยและขนมขบเคี้ยวไม่กี่อย่างมารองท้องเท่านั้น โดยไม่ลืมของสำคัญที่อาจได้ใช้อย่างเจลหล่อลื่นและถุงยางอนามัยด้วย


ศรติดต่อขอกุญแจที่เคาน์เตอร์ชั้นหนึ่งเพราะไม่ได้หยิบมาจากกรุงเทพฯด้วย ก่อนจะพาผมขึ้นลิฟต์ตัวเก่าตามอายุงานของอาคาร ห้องพักชั้นยี่สิบแปดไม่ได้กว้างขวางนัก แต่เพราะการตกแต่งและจัดวางทำให้ยังเหลือพื้นที่ใช้สอยอีกมาก ส่วนหน้าติดประตูเป็นครัวเล็ก ๆ ผมวางลังน้ำแข็งไว้บนซิงค์ ถือของจำเป็นอื่น ๆ ไปวางบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ กลางห้องมีเตียงคิงไซซ์ ผมจามสองสามทีเมื่อศรดึงผ้าคลุมเตียงสีขาวออกจนฝุ่นตลบ


“โทษที” ศรว่า ม้วนผ้าไว้ลวก ๆ แล้ววางไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ กัน


“ถ้าตอนกลางวันจะเปิดประตูหน้าไว้แล้วเปิดระเบียง ลมโกรกเย็นสบาย” ศรเล่าตอนที่ผมเดินไปเปิดม่านออก ทั้งประตูห้องและประตูระเบียงมีสองชั้น เป็นมุ้งลวดและประตูปิดทึบอีกชั้น ตอนนี้ข้างนอกเริ่มมืด ผมเปิดประตูทิ้งไว้แล้วเดินออกไป ตอนเช้าคงสวยดี แต่ตอนนี้เริ่มมองอะไรไม่เห็น แต่เพราะทุกโรงแรมในแถบนี้ออกแบบให้สระน้ำติดริมหาด แสงจากดวงไฟบริเวณนั้นจึงทำให้เห็นภาพกว้างว่าเป็นคอนโดติดหน้าหาดจริง ๆ เสียงคลื่นที่ดังยามซัดเข้าฝั่งก็บอกได้ดีว่าตรงหน้าผมเป็นน่านน้ำอันกว้างใหญ่


ผมสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ความเย็นจากกระป๋องเบียร์สัมผัสที่ข้างแก้ม อีกฝ่ายรอจนผมรับมาแล้วจึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ปกติจะเห็นตามริมสระ แต่ตอนนี้มันถูกนำมาวางตรงระเบียงบนชั้นที่ยี่สิบแปด เพียงแต่มันมีแค่ตัวเดียว นั่นคงเป็นคำตอบได้ว่าไม่เคยมีใครได้มาที่นี่นอกจากเจ้าของห้อง


“อยู่ที่นี่แล้วผ่อนคลายดี” ผมว่า เปิดกระป๋องเบียร์แล้วยืนดื่มอยู่ตรงนั้นพร้อมซึมซับบรรยากาศ ข้างห้องไม่เปิดไฟตรงระเบียง ผมจะอนุมานเอาว่าไม่มีคนอยู่เอาแล้วกัน


“กูชอบที่นี่ ชอบนอนมองทะเลสีดำ” ศรทิ้งตัวลงนอน ชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น ที่พื้นข้างกันมีลังเบียร์วางอยู่


“ชอบเพลง?” ผมหันหลังพิงราวกั้นไว้ ผมมักไม่ใช่คนฟังที่ดีเพราะหน้าตาไม่มีอารมณ์ร่วมของผม แต่ผมชอบที่ศรเล่าเรื่องของตัวเอง และผมคิดว่าเวลาอยู่กับมัน การแสดงออกทางสีหน้าคงไม่ได้แย่อย่างที่ใครหลายคนเคยตำหนิไว้


ศรส่ายหน้า “ชอบความหมาย”


ผมเลิกคิ้วแทนคำถาม ไม่เคยสนใจฟังเพลงนี้จริง ๆ จัง ๆ สักที  “อนาคตที่ไม่แน่นอน...มองแล้วได้ไตร่ตรองตัวเอง”


“...”


“คุณย่าซื้อไว้ให้ก่อนท่านเสีย ช่วงมอปลายกูมาบ่อยมาก”


“มายังไง”


“นั่งรถตู้ มีรถตู้มาจอดหน้าโรมแรมข้างหน้า”


“แล้วก็เดินเข้ามาอ่ะน่ะ” ที่นี่ต้องเข้าถนนส่วนบุคคลมาค่อนข้างลึกจากถนนใหญ่ ไม่มีรถรับจ้างเสียด้วย ถ้าเดินช่วงกลางวันแดดร้อน ๆ นี่อาจถึงขั้นเป็นลมได้เลย


“อือ...ก็ตอนนั้นยังไม่มีใบขับขี่ ขืนเอารถออกมาที่บ้านได้ตามมาวุ่นวายแย่” ศรกระดกเบียร์ดื่มอึกใหญ่ ก้นกระป๋องเริ่มทำมุมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้อยลงไหลออกมาได้


“พวกเขาเป็นห่วง”


ศรแค่นหัวเราะ “อือ ห่วงรถ” ศรดื่มอีกครั้งทั้งที่เพิ่งซดอึกใหญ่ไปเมื่อครู่ราวกับกระหายเสียเต็มประดา


“มึงคิดแง่ร้ายเกินไป”


ศรส่ายหน้า เว้นจังหวะเพื่อดื่มเบียร์อีกอึกหนึ่ง “กูขึ้นรถตู้มาถึงนี่ใช่ว่าจะไม่มีใครรู้ แต่ยังไม่มีใครตามมาเลย ไม่เคยมีหรอก คนที่ห่วงกูน่ะ”


“ถ้าพ่อมึงไม่ห่วง เขาคงไม่ให้คนตามดูมึงหรอก”


“กลัวกูไปตายไม่มีญาติอยู่ที่ไหนน่ะสิ”


ผมส่ายหน้า ตั้งแต่เปิดกระป๋องมาก็ดื่มไปได้แค่อึกเดียวเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับคนตรงหน้า “อย่างน้อยอามึงก็เป็นห่วง น้องเพชรด้วย”


“ห่วงเกินไป”


“มึงไม่ชอบ?”


“ไม่ชอบ อึดอัด”


“กับกูล่ะ” ผมแทบจะกลั้นหายใจด้วยความลุ้นหลังจากพูดออกไป


“ชอบ…” ศรสบตาผม


ผมเชื่อสายตาคู่นั้นได้ใช่ไหม


แต่ว่านะ...ศรแม่งไม่เคยโกหกผมว่ะ


“กูชอบทำให้มึงเป็นห่วง”


ธรรมศรไม่โกหก เพราะเขาเป็นแบบนั้นจริง ๆ ชอบทำตัวให้ผมทั้งห่วงและหวง แต่ผมคงคาดหวังมากเกินไป


ศรวางกระป๋องเปล่าไว้ข้างกล่องลังก่อนหยิบกระป๋องใหม่มาเปิดแล้วดื่มต่อทันที ผมยกขึ้นดื่มบ้าง อะไรบางอย่างที่คุกรุ่นในใจทำให้ผมซดรวดเดียวหมดกระป๋องที่เหลืออยู่เกินครึ่ง


เราคบกันมาพักใหญ่แล้ว แม้ยังไม่มีโอกาสได้ฉลองครบรอบหนึ่งปีอย่างคู่รักคู่อื่นแต่ผมก็อยากมีวันนั้นเหมือนกับคนอื่นเขาเหมือนกัน เราทะเลาะกันมาหลายเรื่อง ทั้งเรื่องเล็กน้อยประจำวันไปจนเรื่องใหญ่ที่หายเงียบทั้งหน้าและเสียงไปเป็นสัปดาห์ เราตกลงคบกันในฐานะแฟนทั้งที่ไม่มีใครสารภาพรักออกมาก่อนด้วยซ้ำ ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเราพูดคำว่ารักให้ได้ยินกันบ้าง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะบอกกันตรง ๆ โดยไม่มีกามารมณ์มาเกี่ยวข้อง


ผมว่า...มันถึงเวลาที่เราต้องเปิดใจคุยถึงความสัมพันธ์ครั้งนี้อย่างจริงจังได้แล้ว


“มึงรักกูบ้างไหม”


ศรมองหน้าผมนิ่ง นานหลายวินาทีทีเดียวก่อนจะซดเบียร์อีกอึกใหญ่ “เมื่อก่อนไม่อยากรัก…”

 
“...” ผมเผลอบีบกระป๋องเปล่าในมือจนบุบ ศรเหลือบมองเล็กน้อยแล้วพูดต่อเหมือนไม่เห็นมัน


“...เคยรักแล้วโดนทิ้ง แม่งโคตรเจ็บ”


“ใครทิ้ง”


“แม่...”


ผมคลายมือออก แววตาของศรตอนนี้ทำให้อยากเข้าไปกอดปลอบมันแทนถือกระป๋องโง่ ๆ อยู่อย่างนี้


“...พ่อก็ด้วย”


“...”


“แต่ไม่เจ็บเท่าแม่”


“แล้วตอนนี้?”


“กูไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบอย่างที่ใครมองหรอก...” ศรเปลี่ยนประเด็น ขยับขาออกไปชิดขอบเก้าอี้ด้านหนึ่งแล้วตบมือลงบนพื้นที่ว่างเรียกให้ผมไปนั่งด้วย ผมฉวยโอกาสนั้นไว้ทันที “...กูก็แค่เด็กที่ถูกแม่ทิ้งให้อยู่กับพ่อที่รักโสเภณีมากกว่ากู เป็นแค่เด็กที่ไม่มีใครต้องการ กูไม่ใช่คนที่ดูเป็นคุณชายเพราะถูกเลี้ยงดูมาด้วยแม่ที่เป็นผู้ดีเก่าอย่างที่ใครพูดกัน กูก็แค่เด็กผู้ชายที่ไม่เคยเล่นโลดโผน เก็บตัวอยู่แต่กับหนังสือที่บ้านคุณย่าและอาที่เป็นหมอ โชคดีที่มีเพื่อนดี กูถึงได้เป็นผู้เป็นคนที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง” แววตาของศรดูสดใสขึ้นในตอนที่พูดถึงเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้นเบียร์กระป๋องที่สามก็ยังถูกเปิดออกอยู่ดี และผมก็ไม่ได้ห้าม


“ผ...ผู้หญิงคนนั้น...แม่ของรดา”


“อือ แม่ไอ้น้องรักด้วย” ศรยิ้ม เป็นยิ้มที่กว้างที่สุดอีกครั้งหนึ่งเท่าที่เคยเห็นมันยิ้มมา แต่เชื่อไหมว่านั่นยังสดใสน้อยกว่ายิ้มจอมปลอมอย่างที่ติดใบหน้าไร้ที่ติอยู่เสมอก่อนที่เราจะคบกันเสียอีก


ผมพูดอะไรไม่ออก วางกระป๋องเบียร์ไว้ข้างกระป๋องเปล่าบนพื้นแล้ววางมือทับหลังมืออีกฝ่ายที่พักไว้บนหน้าท้อง  เกลี่ยไปมาอย่างปลอบประโลมยามที่คิดว่าคนรักต้องทนเก็บความทุกข์ใจนี้ไว้กับตัวเองนานแค่ไหน และไม่ปฏิเสธเลยว่าอบอุ่นใจเพียงไรตอนที่ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ออกจากปากของศรเสียที


มันเหมือนกับว่าผมเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ศรได้แล้วจริง ๆ


เบียร์หมดไปอีกเป็นกระป๋องที่สาม เขาวางมันลงเหมือนกระป๋องก่อนหน้า และคราวนี้ศรไม่ได้เปิดมันอีก “บทเรียนแรกในชีวิตของกูคือ...ถ้าเขาจะไป ต่อให้ร้องไห้หรือร้องเรียกดังแค่ไหน เขาก็ไม่กลับมาอยู่ดี”


ผมบีบมือมันแน่น “เพราะอย่างนี้ใช่ไหม มึงถึงไม่เคยรั้งหรือตามไปง้อกูเลย”


ใบหน้าไร้ที่ติส่ายไปมา “กูไม่กล้ารักมึงด้วยซ้ำ ไม่กล้าผูกใจไว้กับใครอีก...กูกลัว” ท้ายเสียงสั่นอย่างคุมไม่อยู่ แต่ศรไม่หลบตา เราต่างมองลึกเข้าไปเพื่อค้นใจของกันและกัน “ไม่กล้ารักเพราะกลัวถูกทิ้งอีก มันเจ็บเกินไป ไม่ไหว”


“ศร...”


เจ้าของชื่อยิ้มบาง ไม่มีน้ำตาแต่ก็ชวนให้ใบหน้าเศร้าหมองเหมือนในอกกำลังร่ำไห้ “พอมึงไปจริงก็ไม่กล้าไปง้อให้กลับมา กลัวว่ามึงจะปฏิเสธ กลัวว่ามึงจะไม่ต้องการกูแล้ว  กลัวต้องเผชิญความจริงว่าถูกทิ้งอย่าง--”


ผมไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ เพราะแค่นี้มันก็มากเกินพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าผมยังมีความสำคัญกับมันอยู่ ริมฝีปากคู่นี้ยังหวานหยดเหมือนเดิมแม้มีความขมขื่นของอารมณ์ ผมไม่ได้จาบจ้วง ไม่รุนแรง แต่ก็ไม่หวานละมุนละม่อมเหมือนจูบแรกอะไรแบบนั้น แต่จูบครั้งนี้นุ่มลึก เก็บทุกการสัมผัสกันและกันเพื่อปลอบประโลมให้ศรรู้ว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้ ไอ้โอมอินคนนี้ยังต้องการมันอยู่เสมอ


“รักกูไหม” น้ำเสียงแหบพร่าดังชิดริมฝีปาก ผมยังไม่ถอยห่างออกมา ยังวอแวคลอเคลียอยู่บริเวณนั้น สองมือผมกอบใบหน้าของอีกฝ่ายไว้ให้มองสบตากันในระยะที่ใกล้ที่สุดเท่าที่เคยจ้องมองกัน “แค่ตอบมาตามตรงศร ตอบตามที่ใจมึงรู้สึก ลืมความคิดไปก่อน”


นัยน์ตาคู่นั้นแน่นิ่งไม่วูบไหว ใจผมสั่นแรงราวกับเพิ่งออกกำลังกายอย่างหนักมา ยิ่งในตอนที่กลีบปากคู่นั้นเริ่มขยับคล้ายจะเปล่งเสียงออกมาหลังจากนั้น ผมก็ยิ่งใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ


“หนึ่ง”


ผมขมวดคิ้วเมื่อคำที่หลุดออกมาต่างไปจากที่คิด


“สอง” นัยน์ตาที่เคยแน่นิ่งไม่วูบไหวเริ่มแพรวพราวซุกซน แต่ยังไม่ละสายตาออกไป


“...”


“สาม”


“นับเลขบ้าอะไรของมึง”


“สี่”


“ไอ้ศร”


“ห้า” คล้ายจะมีเสียงเข็มนาฬิกาดังมาจากที่ไหนสักแห่ง


“ศร”


“หก”


“ธรรม--” เจ้าของชื่อแทรกนิ้วชี้เข้ามาในช่องว่างน้อยนิดระหว่างเราเพื่อปิดปากผมไว้


“เจ็ด”


“...”


“แปด”


เมื่อผมอ้าปากจะขัดอีกครั้งศรก็ขยับนิ้วตามเพื่อให้ผมเงียบและใจเย็นโดยที่ไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงเมื่อไหร่


“แปดจุดหนึ่ง” ผมเริ่มสงสัยมากขึ้น ครั้งนี้ศรเว้นจังหวะให้สั้นกว่าเดิม


“แปดจุดสอง”


“...”


“รักยัง”



“อะไรของมึง”


“เคยได้ยินไหม เขาบอกว่าถ้าเรามองตาใครนานแปดจุดสองวินาที เราจะตกหลุมรัก” สีหน้าศรเหมือนคนที่กำลังกล่าวถึงงานวิชาการมากกว่าเรื่องโรแมนติกเสียอีก


“...”


“จำได้ไหม เราเคยมองตากันนานประมาณนี้ แต่ตอนนั้นไม่ใกล้เท่านี้”


“...”


“กูว่ากูเริ่มตกหลุมรักมึงตั้งแต่ตอนนั้นแหละ”


ศรพูดจบก็เป็นฝ่ายดึงผมเข้าไปรับจูบที่หวานละมุนโดยที่ผมยังอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน?


ผมเป็นฝ่ายถอนจูบออกก่อน ดึงตัวเองออกห่างมานั่งหลังตรง มองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสนในยามที่เอ่ยถามเพื่อความแน่ชัดออกไปด้วยเสียงผะแผ่ว “ตอนไหน”


“มึงจำไม่ได้?”


“ไม่ศร...” ผมส่ายหน้าช้า ๆ  “มันมีหลายครั้ง” อย่างน้อยตอนถ่ายหนังสั้นด้วยกันผมก็มองตามันผ่านกล้องไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง


“คืนนั้น...ที่ยามเย็น”


ผมเบิกตากว้าง ยามเย็นเป็นชื่อร้านเหล้าเล็ก ๆ ข้างมหา’ลัย ซึ่งเราไปที่นั่นแค่ครั้งเดียวคือตอนที่พี่สัมนัดให้ออกไปดื่มเพื่อทำความรู้จักกันเป็นครั้งแรก!!


“มะ หมายความว่า...”


“น่าจะตอนนั้นแหละ” ...ครั้งแรกที่เจอกัน


“กูโคตรรักมึงเลยโอม”


ผมยังคงเลื่อนลอยอย่างคนไร้สติ แม้จะจับจ้องดวงหน้าไร้ที่ติแต่กลับนึกย้อนไปถึงวันแรกที่เจอกัน ผมจำวันนั้นได้ดี แม้จะเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกและยังไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรมากไปกว่าหน้าตาราวพระเจ้าสรรสร้างจนทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้ ในตอนนั้นเราไม่ได้มองตากันด้วยความรู้สึกหวานซึ้งเหมือนคนที่เจอรักแรกพบอะไรแบบนั้น ออกจะยียวนกวนประสาทเสียด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละ...ผมว่าทฤษฎีที่ศรได้ยินมาน่าจะจริง


เพราะผมเองก็ใจเต้นแรงหลังจากจ้องตาม่ันเหมือนกัน


“เกียร์ของกู” เสียงพึมพำของศรเรียกสติผมให้กลับมาปัจจุบัน ตอนนี้ศรลุกขึ้นนั่งหลังตรงตามผมทำให้ระยะห่างระหว่างเราแคบลงอีกครั้ง นิ้วเรียวแหวกเสื้อเชิ้ตของผมเข้าไปลูบเกียร์ที่ห้อคอผมอยู่ “โอม...”


“หื้ม”


“กูเคยบอกมึงว่าใจกูไม่ได้อยู่ที่เกียร์”


“กูจำได้ มึงบอกว่าให้ไว้เพื่อจองจำกู”


“รู้อะไรไหม...ถ้ากูเป็นเครื่องกล…” ศรเงยหน้าขึ้นมองผม “...มึงคือฟันเฟืองหลักที่ทำให้ชีวิตกูเดินต่อไปได้นะ”


ผมยกยิ้มมุมปาก อยากให้ออกมาดูกวนที่สุดทั้งที่อยากยิ้มกว้างมากกว่า “เพิ่งคิดได้เหรอ”


“หึ” ศรส่ายหน้า ทำเสียงขึ้นจมูก “คิดก่อนจะให้เกียร์มึงอีก ที่ให้ก็เพราะอย่างนี้แหละ”


“ใจร้ายจังวะ ไม่เคยบอกกันบ้างเลย”


“ไม่อยากให้มึงรู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน”


“อยากเป็นคนรักร้าย ๆ ในสายตากู?”


“ก็กูร้ายจริง ๆ”


ผมหรี่ตามอง “จริงสิ กูยังไม่ได้ลงโทษความร้ายกาจของมึงเลย”


“จะทำยังไง”


“เดี๋ยวก็รู้” ผมว่าก่อนรั้งอีกคนให้ลุกตามกันเข้าห้องแล้วผลักอีกฝ่ายลงบนเตียง






(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4

ศรยิ้มขำ “นี่เรียกลงโทษเหรอ”


ผมหัวเราะในลำคอแทนคำตอบ อีกฝ่ายหรี่ตามองเล็กน้อยอย่างไม่ไว้ใจเมื่อสัมผัสบางอย่างได้จากสีหน้าของผม


“ถอดเสื้อผ้าออก” ผมออกคำสั่งพร้อมกับจัดการเสื้อผ้าของตัวเองด้วย


“ช่วยกู”


ศรยิ้ม ผมที่นอนหงายอยู่พยายามทำเป็นมองผ่านไป ไม่อยากใจอ่อนให้กับยิ้มนั่นจนเผลอเป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปปู้ยี้ปู้ยำอย่างใจคิดให้ผิดแผน


“ใช้มืออย่างเดียว” ผมว่าในตอนที่อีกฝ่ายตั้งท่าจะใช้ปากทำให้ ศรชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเริ่มใช้มือรูดรั้งส่วนนั้นของผมอย่างว่าง่าย


เสียดายว่ะ ครั้งก่อนที่มันทำให้แม่งฟินจนนึกว่าได้ขึ้นสวรรค์แล้วจริง ๆ แต่ผมต้องเก็บความฟินนั้นไว้แล้วปั้นหน้าตึงจนเกร็ง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเกร็งจนเสี่ยงตะคริวขึ้นหน้าทั้งที่อยู่กับคนอื่นผมก็หน้าตึงเป็นปกติอยู่แล้ว


ผมรอจนมันแข็งได้ที่ จริง ๆ ก็ใช้เวลาไม่นานนักเพราะปกติผมแทบจะมีอารมณ์ตลอดอยู่แล้วที่อยู่ใกล้ศร ยิ่งได้เห็นดวงหน้าไร้ที่ติงอง้ำด้วยความฉงนแต่ก็ยังตั้งใจทำให้ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ผมได้ดีจริง ๆ


“พอแล้ว”


“ยังไม่เสร็จเลย...ไม่ดีเหรอ”


แม่งเอ้ย!! ไปเรียนรู้การทำหน้าเศร้า น้อยอกน้อยใจอะไรแบบนี้มาจากไหนวะ กูจะบ้าตาย เห็นแล้วอยากจับมาจูบปลอบจนแทบคลั่ง แล้วดูสิ่งที่กูทำ ตกใจตัวเองเหมือนกันที่ยังปั้นหน้านิ่งอยู่ได้ ถึงจะเป็นพระเอกละครเวทีของคณะก็เถอะ แต่กูไม่ใช่เด็กเอกการแสดงนะเว้ย


“นอนคว่ำ”


ศรทำหน้างงแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี ผมแทบจะถอนหายใจแรง ๆ เมื่อไม่มีตาคู่นั้นคอยจ้อง ขยับหน้าเขยื้อนกรามให้หายเกร็งหน่อยแล้วเริ่มทำการ ‘ลงโทษ’ ต่อ


ตอนนี้ศรนอนคว่ำโดยที่ช่วงสะโพกพาดกับปลายเตียงทิ้งขาสองข้างลงพื้น ผมก้าวขึ้นคร่อม ใช้ปลายองคชาติที่เยิ้มน้ำสีใสเกือบขุ่นวางบนกระดูกสันหลังช่วงสะบักของคนใต้ล่าง ศรสะดุ้งตัวด้วยความตกใจแต่ไม่ขัดขืนอะไร ผมเริ่มค่อย ๆ ลากลงมาเรื่อย ๆ ใบหน้าผุดรอยยิ้ม อยากจะก้มลงไปจูบทิ้งรอยตามข้อกระดูกที่ลากผ่านจะแย่อยู่แล้ว


โชคดีที่ผู้ชายไม่ต้องเล้าโลมเพื่อให้ช่องทางสอดใส่มีสารหล่อลื่นพร้อมรับแรงกระแทก ผมจึงไม่ต้องเริ่มด้วยการจูบเหมือนทุกครั้งที่เราเมคเลิฟกัน เมื่อปลายแก่นกายเลื่อนมาจนสุดปลายทาง ผมจึงยัดเข้าไปตามช่องที่เหมาะสมของมันโดยไม่เบิกทางใด ๆ ทันที


“โอ๊ยยยยยยย” ศรร้องลั่น คงเจ็บมากจริง ๆ ถึงตอนนี้อีกฝ่ายคงเข้าใจแล้วว่ากำลังถูกลงโทษถึงได้ไม่โวยวายหรือร้องขอให้หยุดทั้งที่เจ็บจนน้ำตาไหลออกมาให้เห็น


ใจผมกระตุกวูบ เสียจังหวะไปช่วงสั้น ๆ เมื่อเห็นน้ำตาคนรัก ถึงจะอยากลงโทษอย่างไรแต่ผมก็รักมันเกินกว่าจะอยากให้เจ็บแบบนี้


“ทะ ทำต่อเลย”


ผมได้สติในตอนนั้น พยายามลบภาพศรตรงหน้าแล้วแทนที่มันด้วยภาพที่อีกฝ่ายจูบกับผู้หญิงในวันนั้น ไม่ทันรู้ตัวว่าเผลอขยับสะโพกกระแทกเข้าไปแรงแค่ไหน


“อะ โอ้ยยย” ศรร้องอย่างต่อเนื่อง ทั้งเสียวทั้งเจ็บจนน่าสงสาร สองมือกำผ้าปูเตียงแน่น “ชะ ช่วยกูด้วยดิ”


“ช่วยตัวเอง” ผมพูดด้วยเสียงราบเรียบเหมือนไม่แยแส ทำเหมือนนี่เป็นแค่เซ็กซ์ไม่ใช่การเมคเลิฟ


ศรไม่งอแง มือมันเริ่มขยับแก่นกายตัวเองเพื่อช่วยปลดปล่อยตามอารมณ์


“จะ จูบหน่อย” ศรร้องขอ “จูบกูหน่อยนะโอม”


เหี้ยเอ้ย!


“ไม่” ผมยีผมตัวเอง เสียงมันโคตรอ้อนแต่กูยังปฏิเสธได้ลงคอ


“สัมผัสกูหน่อย วางมือบนสะโพกก็ยังดี”


“ไม่” ผมยังเอามือกอดอกไว้เหมือนเดิมแม้จะอยากยื่นไปโอบกอดคนรักไว้มากแค่ไหนก็ตาม


ผ้าปูที่นอนยับย่นเยอะกว่าทุกทีเพราะเนื้อตัวศรไถไปตามแรงกระแทกจากการที่ผมไม่ยอมจับล็อคสะโพกอีกฝ่ายไว้


พั่บ พั่บ พั่บ


เสียงหยาบโลนของผิวเนื้อกระทบกันแรงทั้งเร็วสลับช้า ยิ่งในตอนที่อีกฝ่ายร้องขอให้เร็วขึ้นอีกเพราะใกล้ถึงฝั่งฝันผมก็ยิ่งลดช้าลง ทรมานตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ที่ทรมานกว่าคือสีหน้าของศรที่บิดเบี้ยวด้วยทั้งความเจ็บและความเสียวจากอารมณ์ที่ไร้การต่อเนื่อง


“อะ โอม” ผมชอบเวลาที่ศรเรียกชื่อผมตอนกำลังมีอะไรกันจัง แม่งโคตรเซ็กซี่


“จะ เจ็บ...เหี้ย!” ศรร้องเสียงหลงเพราะผมเผลอเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง


“เจ็บ…” ใบหน้าไร้ที่ติบิดเบี้ยว “จูบหน่อย...นะ”


แม่ง


“มึงจูบคนอื่นมา”


“ก...กูขอโทษ” น้ำตากลั่นตัวจากตาสวยกลิ้งไหลพาดสันจมูกเพราะนอนตะแคงหน้าซึ่งน่าจะเกิดจากความเจ็บมากกว่าเสียใจ “ขอโทษที่ทำให้มึงผิดหวังและเสียใจ”


ขอโทษ...คำนี้ที่รอฟัง


ผมขยับสะโพกให้เร็วขึ้นแต่นุ่มนวลกว่าเดิมเพราะไม่มีความจำเป็นจะต้องลงโทษอีกแล้ว เสียงครางกระเส่าของเราสองคนดังประสานกัน ผมปลดปล่อยอารมณ์ตัวเองให้ออกมาทางเสียงแทนการอดกลั้นไว้อย่างเมื่อครู่


“อ๊ะ อ่าส์”


ร่างกายเกร็งกระตุกก่อนผ่อนคลายเมื่อบางอย่างถูกหลั่งออกและคั่งค้างอยู่ในช่องทางนั้น มันเยอะมากจนในตอนที่ผมถอนออกยังทะลักออกมาตามทาง


ผมพลิกคนใต้ร่างให้นอนหงาย พุ่งเข้าทับร่างและตะโบมจูบตามแรงสิเน่หา ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันทุกครั้งที่ต่างก็อ้าปากเพื่องับทั้งอากาศและริมฝีปากของกันและกัน สองแขนเราต่างโอบกอดและลูบไล้ทั่วร่างกายอีกฝ่ายราวกับเพิ่งมีโอกาสได้สำรวจเป็นครั้งแรก


เสียงหอบหายใจดังระงมไปทั้งห้องในตอนที่ผละกันเพื่อโกยอากาศครั้งใหญ่ก่อนดึงดูดเข้าหากันอีกครั้งตามใจปรารถนา


“จำไว้นะ ปากนี่เป็นของกู” ผมขบริมฝีปากล่างของศรเบา ๆ “...ของกูคนเดียว”


“อื้อออ”


ลิ้นสากลากไล้ลงมาตามสันกราม ลำคอจนถึงแอ่งไหปลาร้า ขบเบา ๆ ในทุกพื้นที่ที่ลากผ่านเพราะไม่อยากสร้างรอยนอกร่มผ้าแต่มาฝังเขี้ยวบนหน้าอกแทน


“เนื้อตัวทุกตารางนิ้วนี่ก็ของกู”


“อื้มมม”


ผมกระหวัดลิ้นรอบตุ่มไตแข็ง ศรแอ่นอกรับการหยอกล้อของผม ใบหน้าได้รูปบิดเบี้ยวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เต็มไปด้วยความสุขไม่ได้เจ็บปวดเหมือนก่อนหน้านี้


“ของกูทั้งหมด”


“อื้อออ”


ผมไล่จูบลงไปถึงหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อเป็นลอนสวย ยกขาอีกฝ่ายให้ชันเข่าขึ้นทั้งสองข้าง ใช้มือจับแกนกลางของมันที่บวมแต่งเพราะยังไม่ได้รับการปลดปล่อยไว้ จรดริมฝีปากลงจูบโคนขาด้านในใกล้กับส่วนนั้นโดยฝากรอยคิสมาร์คไว้เข้มกว่าบริเวณอื่น


“โอ๊ย!!”ศรร้องเสียงหลงเพราะตรงนั้นเป็นเนื้อบาง จูบปกติก็เจ็บง่ายอยู่แล้ว ยิ่งผมขบเม้มจนแดงกว่าส่วนอื่นศรก็ยิ่งเจ็บ


“ของกูคนเดียว”


ผมเงยหน้าขึ้นมอง เห็นอีกฝ่ายมองสบตามาพอดีก็พูดต่อ “เข้าใจไหม”


“อื้ออออ ขะ เข้าใจ”


“...”


“ทั้งหมด...เป็นของมึงคนเดียว”


ผมยิ้มพอใจ ถีบตัวขึ้นไปจุ๊บปากอีกฝ่ายก่อนถอยตัวลงมาใช้ปากครอบส่วนนั้นให้มันเพื่อช่วยปลดปล่อยโดยใช้เวลาไม่นาน


ผมเลื่อนตัวขึ้นไปจูบศรอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ความสิเน่หาในร่างกายของกันและกันเป็นแรงผลักให้เรามอบความรักให้กันและกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


เมื่อจูบจนพอใจแล้วผมก็พลิกตัวหงายกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงโดยดึงศรให้พลิกตามมาจ้องตากันด้วย


“ที่บอกว่าปากมึงเป็นของกูคนเดียว...พิสูจน์ให้ดูดิ”


ศรยิ้มอย่างมีเลศนัยที่เห็นแล้วพ่ายแพ้ให้กับเสน่ห์ของมันเต็ม ๆ แต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่มันพุ่งเข้ามาจุ๊บปากเหมือนที่ผมทำก่อนหน้านี้แล้วเลื่อนตัวลงไปทำแบบเดียวกันด้วย


“อ่าส์...ศร”


ริมฝีปากอ่อนนุ่มนั่นช่างดีกว่าม่ือเป็นไหน ๆ







ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะแสงยามเช้าส่องตา จะพลิกตัวหันหนีก็ทำได้ยากเพราะมีใครอีกคนนอนเบียดและพาดแขนบนตัวผมอยู่ บนตัวเรามีผ้าห่มพาดไว้แค่ครึ่งท่อนล่าง มองจากมุมนี้เห็นแค่กลุ่มผมนุ่มเกยบนไหล่เท่านั้น ผมคลี่ยิ้ม บรรยากาศตอนนี้โรแมนติกใช่เล่นเลยนะ ผมเปลี่ยนความคิดที่จะพลิกตัวหรือหลับต่อ ไม่อยากกวนคนที่กำลังหลับสบาย ยกมืออังหน้าผากและคออีกฝ่าย เมื่อไม่เจอความร้อนก็โล่งใจ เมื่อคืนเล่นรุนแรงด้วยขนาดนั้นก็ต้องกลัวจับไข้เป็นธรรมดา โชคดีที่ไม่แรงจนทำให้ช่องทางนั้นอักเสบ ไม่อย่างนั้นวันนี้มันคงลุกไม่ไหวแน่


ผมหันมองไปทางระเบียง นึกอยากจะลองปิดเครื่องปรับอากาศแล้วเปิดประตูหน้ากับระเบียงให้ลมโกรกอย่างที่เจ้าของห้องคุยโวไว้ แต่อีกใจก็ไม่อยากขยับตัวตอนนี้ เวลามันหลับนิ่ง ๆ แบบนี้น่ารักจนให้นอนมองทั้งวันก็ไม่เบื่อ


คิดแล้วก็ขำ ยิ่งคิดย้อนไปถึงวันแรกที่เจอกันก็ยิ่งขำ วันนั้นผมจ้องหน้ามันนานจริง ๆ ไม่เบื่อเลยสักนิดทั้งที่ยังไม่ได้พิศวาสอะไรด้วยสักเท่าไหร่


ครืด ครืด


เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ผมกำลังคิดว่ามันเป็นของใครและเมื่อคืนเผลอวางไว้ที่ไหน จนกระทั่งเสียงเงียบไปผมก็ยังไม่ได้คำตอบ ผมจึงเลิกสนใจ


ครืด ครืด


เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คนที่นอนกอดผมอยู่เริ่มขยับตัวพร้อมส่งเสียงครางที่บ่งบอกถึงความรำคาญถึงขีดสุด


“ไปรับดิ” ศรพูดเสียงงัวเงียทั้งที่ยังหลับตาขณะพลิกตัวไปอีกฝั่งของเตียงเพื่อให้ผมเป็นอิสระ


ผมใช้เวลาหาที่มาของเสียงนานสามคาบการสั่น หน้าจอปรากฏชื่อแม่ ผมกระแอมไอเรียกเสียงเล็กน้อยก่อนกรอกเสียงลงไป


[อยู่ไหนลูก กลับมาทานอาหารกลางวันกับแม่และน้อง ๆ ทันไหม เที่ยงนี้ที่ร้านปลาอยู่เย็น]


ผมชอบที่แม่พูดธุระออกมาหมดทีเดียวแบบไม่ต้องถามต่อให้เสียเวลา อยากจะตอบกลับไปว่าไม่ทันเพราะยังอยากใช้เวลาอยู่กับศรที่นี่อีกหน่อย อยากลงไปเดินเลียบชายหาด เล่นน้ำ หรืออะไรก็ได้ที่ทำร่วมกัน แต่เพราะปกติเราไม่ชอบทานอาหารนอกบ้าน นานทีจะไป และก็ต้องเป็นกรณีพิเศษด้วย ผมจึงยั้งปากไว้


[มาทันไหมโอม] แม่ถามย้ำเมื่อเห็นผมยังเงียบ


ผมดึงโทรศัพท์ออกจากหูมาดูเวลาแล้วเหลือบมองคนที่ยังนอนหลับตาอยู่ “ผมพาศรไปด้วยได้ไหมครับแม่”







เราสองคนมาถึงร้านก่อนเวลานัดสิบนาทีแต่ก็ยังมาถึงเป็นกลุ่มสุดท้ายอยู่ดี ร้านนี้เป็นร้านเดียวกับที่ผมกับศรทะเลาะกันครั้งก่อน แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือวันนี้ไม่ได้มีแต่คนในครอบครัวผม รดาและแม่ของเธอก็นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย ซึ่งผมน่าจะถามแม่ก่อนรับปากว่าจะมา


ศรชะงักเท้าตั้งแต่ยังเหลืิออีกหลายก้าวกว่าจะถึงโต๊ะ ผมสะกิดถามเผื่อว่ามันอยากกลับเลย แต่คงเพราะเกรงใจแม่ผม มันถึงได้ยอมเดินเข้าไปด้วยกัน ผมสบตาให้รู้ว่าจะอยู่ข้าง ๆ พร้อมดูแลอยู่ทุกเมื่อ ฟากเธอเองก็ออกอาการอยู่เหมือนกัน  ใช่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสังเกตหรือสงสัยอะไรสองคนนี้


เราไหว้และทักทายผู้ใหญ่ทั้งสองคนก่อนรับไหว้น้อง ๆ ผมสบายใจที่แม่เลือกจองโต๊ะกลมแทนโต๊ะมุมเหลี่ยมซึ่งทำให้ศรไม่ต้องกลายเป็นส่วนเกินเมื่อมีสมาชิกร่วมโต๊ะอาหารมื้อนี้มากถึงเจ็ดคน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังถูกอิมจับให้นั่งกลางระหว่างเธอกับรดาจนทำให้ศรกระเด็นออกไปนั่งข้างยัยเอมซึ่งถัดจากอิมอีกทีโดยมีแม่ผมนั่งคั่นกลางศรกับแม่ของมัน และเพราะว่าอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ผมจึงเลี่ยงหรือดุน้องออกมาตรง ๆ ไม่ได้ จำต้องร้องขอความเข้าใจจากศรผ่านสายตา ซึ่งแม้อีกฝ่ายจะส่งยิ้มบางมาให้ว่าไม่เป็นไรแต่ผมก็ไม่สบายใจอยู่ดี


“แม่สั่งอาหารไว้แล้วนะ ศรอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม” แม่บอกผมก่อนหันไปถามศรบ้าง


“ไม่มีครับคุณน้า”


“พี่โอมพาพวกเราไปดูปลาคาร์ฟข้างนอกหน่อยนะคะ เขาบอกว่ามีบ่อใหญ่เลย” ยัยอิมรบเร้า ผมอยากปฏิเสธแต่ก็จำต้องโอนอ่อนเพราะแม่มองอยู่


“ไปด้วยกันไหมศร” คนอื่นได้ยินคงคิดว่าเป็นคำชวน แต่ผมเชื่อว่าศรต้องเข้าใจว่าม่ันคือคำสั่ง


ไอ้ศรส่ายหน้า “มึงไปกับน้องเถอะ”


ผมขัดใจ ทั้งน้องทั้งแฟนทำหงุดหงิดไปหมด รู้ทั้งรู้ว่าอิมอยากจับคู่ให้ผมกับเพื่อนของเธอแต่แทนที่ศรจะตามออกไปช่วยกันกลับเลือกที่จะปล่อยไปอย่างนั้น


“เอมออกไปดูด้วยดีกว่าค่ะ ชักอยากจะเห็นบ้างแล้ว” ผมพยักหน้ารับ รู้ว่าน้องกำลังช่วย แต่ยิ่งได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งไม่สบายใจเพราะเท่ากับว่าทิ้งศรให้อยู่กับผู้ใหญ่ทั้งสองคนตามลำพัง จะไม่คิดอะไรมากเลยถ้าหากเธอเป็นแค่แม่ของรดาไม่ใช่แม่ของศรด้วย


“แผนยัยอิมน่ะพี่โอม ชวนบ้านนั้นมาทานข้าวกันอย่างกับจะดองกันงั้นแหละ เล่นใหญ่เว่อ” เอมบ่นให้ฟังตอนที่เดินตามหลังสองเพื่อนซี๊คู่นั้นไป


ผมไม่ใส่ใจเพราะพอจะรู้อยู่บ้าง แต่คิดว่าหลังจากนี้คงต้องคุยกันใหม่ให้ชัดเจน ยัยอิมจะได้เลิกทำแบบนี้เสียที


ผมเร่งน้อง ๆ ทั้งที่เพิ่งออกมาดูปลาได้แค่สิบนาทีนิด ๆ เท่านั้น ไม่อยากใช้เวลาอยู่ข้างนอกมากนักเพราะเป็นห่วงศร กลัวใจอีกฝ่ายจะหนีกลับไปก่อน แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นจนได้ ทั้งที่รีบกลับเข้ามาแต่ผมก็ยังช้าไป ศรหายไปแล้ว ทั้งโต๊ะเหลือแค่ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านที่กำลังคุยกันถูกคอ


“ศรไปไหนครับแม่”


“กลับไปแล้ว ตอนนั้นแม่ไปเข้าห้องน้ำ กลับมาก็ไม่เจอแล้ว คุณน้าเธอบอกว่าศรมีธุระด่วน ฝากบอกทุกคนว่าขอโทษด้วยที่ไม่ได้ลา”


บ้าเอ้ย!!


ผมรีบโทรไปหาศร สีหน้าผมเป็นทุกข์มากจนทุกคนสงสัย แต่ผมไม่ใส่ใจ ความรู้สึกของศรตอนนี้ต่างหากที่ควรใส่ใจ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้อยู่กับผู้ใหญ่ ผมจะไม่รีรอที่จะตามออกไปตอนนี้เลย


ผมหงุดหงิดหนักจนเผลอสบถคำหยาบออกมาเมื่อศรตัดสายผมทิ้ง กดโทรออกไปอีกกี่ครั้งก็ยังตัดสายจนผมร้อนใจหนัก


“มีอะไรรึเปล่าโอม”


“ไม่มีอะไรครับ”


ในตอนนั้นเองที่ผมได้รับข้อความจากคนที่กำลังเป็นห่วง


DharmaSORN : ไม่ต้องห่วง กูกลับบ้าน


ผมกดโทรออกอีกครั้ง ร้อนใจเกินกว่าจะรอรับรู้ผ่านตัวอักษร ผมอยากได้ยินเสียงมัน อยากแน่ใจว่ามันโอเคจริง ๆ หรือกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่กลับโดนตัดสายอีกครั้ง ผมสบถเบา ๆ ก่อนพิมพ์กลับไปด้วยความร้อนรน


OMIN : บ้านไหน


นานเกือบหนึ่งนาทีกว่าผมจะได้รับคำตอบที่ทำให้หายใจไม่ทั่วท้องเพราะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น นาทีนั้นผมอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะหันไปมองผู้หญิงคนนั้น




DharmaSORN : บ้านที่มีพ่อ









พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 19
---------------------------------------------------------------------
ใกล้จะจบแล้วววววว
NC ง่อยๆเหมือนเดิมจ้า อย่าถือสากันนะ ข้ามๆมันไป

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด