Underlying diseases.
「โรคประจำใจ」
Follow up ครั้งที่ 15
---OMIN---
คนบางคนไม่ไล่ให้เราไป แต่ก็ไม่เคยขอให้เราอยู่
ธรรมศรที่ผมรู้จักเป็นแบบนั้น
...จนกระทั่งวันที่ผมถูกบอกเลิก
วันนั้นผมเจ็บไปหมด มันรวดร้าวบีบหน่วงในอกจนร่างผมแทบแหลกอยู่ตรงนั้น ผมคิดว่ามันเป็นสภาวะที่แย่ที่สุดแล้ว แต่เปล่าเลย...ภาพที่ศรจูบกับคนอื่นทำผมเจ็บได้มากกว่านั้นเสียอีก
เพราะฉะนั้นที่บอกว่าจะเอาเลือดมันออกมากลบสีบ้า ๆ นั่น ผมก็ไม่ได้ล้อเล่น
ผมกำหมัดจนมือสั่นเกร็งไปหมด อยากจะส่งหมัดดุ้นไปกระแทกปากที่ช้ำเพราะจูบคนอื่นเสียเหลือเกิน ติดอยู่ที่ตอนนี้เรายืนอยู่ห่างกันเกินไป กว่าผมจะก้าวข้ามลำธารสายเล็กตรงหน้าไปถึงตัวมันได้ ความรักที่มีให้ก็คงทำให้โทสะลดลงไปเยอะแล้ว ผมจึงเลือกที่จะยืนอยู่ที่เดิม อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เผลอทำร้ายมันในตอนที่อารมณ์พุ่งสูงกว่านี้
“ทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่า”
“เธอทำ ไม่ใช่...”
“แมน ๆ หน่อย อย่าให้กูต้องพูดออกมาว่าสิ่งที่กูเห็นมันต่างจากที่บอกเธอไปยังไงบ้าง”
ไอ้ศรไหวไหล่อย่างไม่แยแส “แล้วไง กูเริ่มเอง และการที่มึงมาเห็นทันเวลาก็จัดว่าจังหวะดี ถ้าไม่ทำแบบนี้เธอจะยอมออกไปจากชีวิตมึงเหรอ”
“ถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรงกูก็หาวิธีจัดการเองได้”
“มึงจะรอให้จบงานละครน่ะเหรอ คิดว่าตัวเองหึงเป็นคนเดียวรึไง”
“แล้วที่มึงทำแบบนี้คิดว่ากูจะไม่หึงรึไงวะ!!”
ไอ้ศรดูอึ้งไป “ก็แค่จูบ แค่ละครฉากนึงหน่า อย่าซีเรียสดิวะ”
ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงอย่างสำนึกผิดแต่คำพูดที่หลุดออกมาไม่ได้ทำให้ผมใจเย็นลงได้เลย “ไม่ซีเรียสงั้นเหรอ มึงคิดว่าการที่มึงเอาปากไปประกบกับคนอื่นที่ไม่ใช่กูเป็นเรื่องที่ไม่น่าซีเรียสงั้นเหรอ”
“...”
“ถ้าวันหนึ่งกูไปจูบกับคนอื่นบ้างมึงจะยังรู้สึกไม่ซีเรียสได้อยู่ไหม!?”
“กูขอโทษโอม กูแค่รอไม่ไหว มึงจัดการเขายาก ไม่อยากให้เสียงานกูเข้าใจ กูเลยต้องทำเองนี่ไง แล้วยิ่งรู้ว่าเธอไม่สนใจเรื่องที่มึงมีแฟนอยู่แล้วกูก็ยิ่งรอช้าไม่ได้ ตัดไฟแต่ต้นลมโอม เธออันตรายเกินไป”
“แต่มันใช่เรื่องที่ต้องเอาตัวเองไปแลกเหรอ มันมีอีกตั้งหลายวิธีแต่มึงก็เลือกวิธีที่มึงต้องการและมันเป็นวิธีที่กูรับไม่ได้ว่ะศร มึงทำให้กูรู้สึกแย่ มึงจูบกับคนอื่น ปากมึงสมควรไปสัมผัสคนอื่นอย่างนั้นเหรอวะศร”
“มันก็แค่...”
“แค่อะไร!!” ระดับความโกรธของผมไม่ลดลงเลย มันมีแต่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า ‘แค่...’ จากคนรัก
“แค่จูบ แค่แลกลิ้นกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีอะไรต้องซีเรียสใช่ไหม!?” ลมหายใจผมร้อนไปหมด มือที่กำอยู่ก็ยังไม่คลาย ผมกำจนมันเจ็บไปหมดแล้ว “เนื้อตัวมึงไม่ใช่ของสาธารณะ ทำไมต้องเอาตัวเองไปแลกกับผู้หญิงคนเดียว
มึงก็ไม่ใช่คนโง่นี่ ถ้าคิดได้ขนาดนั้นก็ควรจะคิดได้ว่ากูจะรู้สึกยังไง!”
“กูทำเพื่อเรานะ!”
“กูไม่ต้องการ!!” ผมตะหวาดดังกว่าครั้งไหน ๆ โชคดีที่ตรงนี้ห่างจากห้องอาหารซึ่งคงไม่มีใครได้ยินเสียงของเราสองคน “ถ้ามึงเข้าใจกูสักนิดมึงจะรู้ว่าที่กูพูดไปทั้งหมดคือกูกำลังซีเรียสเรื่องอะไร แต่นี่มึงไม่เข้าใจเลยสักนิดและสิ่งที่มึงทำมันก็บอกได้สองอย่างคือหนึ่งมึงไม่รักตัวเองและสองมึงไม่เชื่อใจกู ไม่เชื่อว่ากูซื่อสัตย์กับมึงคนเดียว ไม่เชื่อว่ากูจะจัดการปัญหานี้ได้ มึงถึงได้ลงทุนเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงคนนั้น”
ธรรมศรถอนหายใจ เบนสายตาไปทางอื่นชั่วครู่ก่อนหันกลับมามองกันด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย “กูขอโทษไปแล้วนะโอม นี่มันแค่เรื่องเล็กเองจะทำให้มันใหญ่ทำไมวะ”
“ที่ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่เพราะของมันเคย ๆ ใช่ไหม ร่างกายผู้หญิงมันให้ความรู้สึกดีล่ะสิ คงจะดีกว่าจูบกับผู้ชายด้วยกัน!”
“ไอ้โอม!!!” ไอ้ศรโกรธ ผมเชื่อว่าถ้าระหว่างเราไม่มีลำธารสายเล็กกั้นอยู่ ผมคงโดนอีกฝ่ายต่อยเข้าให้แล้ว
“ไปทบทวนตัวเองดูนะ”
“...”
“ครั้งนี้เกินไปจริง ๆ ว่ะ”ครั้งนี้ผมไม่อาจให้อภัยกับสิ่งที่มันทำได้ทันทีอย่างครั้งก่อน ๆ
ที่ผ่านมาถึงมันจะชอบหว่านเสน่ห์ไปเรื่อยหรือปล่อยให้สาวเข้ามานัวเนียเวลาเที่ยวผับบ้างแต่ก็ไม่เคยนอกลู่นอกทางอย่างครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำไปตามความพิศวาส แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าที่มันเลือกวิธีนี้ส่วนหนึ่งก็คงมาจากสัญชาตญาณดิบของเพศชายที่เดิมทีมันก็มีมากกว่าผมอยู่แล้ว
ผมหันหลังเดินออกมาโดยไม่มีแม้แต่เสียงเรียกจากอีกฝ่าย ผมไม่ได้หนีเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดน้อยใจไม่ได้ที่ตัวเองไม่มีความสำคัญพอให้มันรั้งเอาไว้ ก็อย่างว่าแหละครับ ที่ผ่านมาก็มีแต่ผมที่เป็นฝ่ายรั้งมาโดยตลอด มีแต่ผมที่ประคับประคองความสัมพันธ์ให้เดินต่อไปได้ ขณะที่มันมีแต่จะทำให้แย่ลงทุกวัน ๆ ราวกับอยากผลักไสผมทางอ้อม
คนบางคนไม่ไล่ให้เราไป แต่ก็ไม่เคยขอให้เราอยู่
ผม
เคยคิดว่าศรเป็นแบบนั้น
แต่ความจริงแล้วที่ไม่เคยขอให้อยู่คงเป็นเพราะ
มีก็ได้...ไม่มีก็ได้ เสียมากกว่า
ก็คงจริงดังว่า พอพูดคำว่าเลิกออกมาสักครั้ง มันก็จะรู้สึกว่าสามารถเลิกกันได้จริง ๆ เพราะถ้าความรู้สึกมันมาถึงจุดที่คิดว่าอยากหยุดความสัมพันธ์แล้ว นั่นแสดงว่าไม่มีกันอีกต่อไปแล้วก็ได้
ผมเคยคิดแบบนั้น และคิดมากขึ้นหลังจากทะเลาะกันครั้งก่อนแล้วคำนั้นหลุดจากปากธรรมศร
สิ่งที่ผมกลัวตอนนี้ไม่ใช่ใจของมันที่อยากจะจากไปเหมือนที่คิดมากในครั้งก่อน แต่เป็นความรู้สึกตัวเองที่จะอยู่อย่างไรกับความจริงที่ว่าจะไม่มีผู้ชายที่ชื่อธรรมศรในชีวิตอีกแล้ว
ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าความรู้สึกตัวเองถลำลึกเกินกว่าความชอบความใคร่ตามประสาวัยรุ่นผมก็เริ่มกลัวที่จะเสียมันไป และเอาเข้าจริง ๆ แล้วผมไม่เคยคิดถึงวันที่ไม่มีอีกฝ่ายอยู่ข้างกายเลยด้วยซ้ำ เพราะผมเชื่อมั่นในตัวเองมาโดยตลอดว่าจะไม่มีวันยอมเสียมันไปเด็ดขาด
แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะยังอยากยึดมันไว้กับตัวอีกไหม ถ้ามันไม่มาง้อหรือเป็นฝ่ายกลับมา ผมจะยังอยากกลับไปหามันเองหรือเปล่า
ผมตัดสินใจกลับมาเก็บของส่วนตัวเล็กน้อยที่ห้องตัวเองแล้วขับรถกลับไปนอนที่บ้าน อันที่จริงแล้วค่ายหนังที่ผมฝึกงานอยู่ใกล้บ้านมากกว่าคอนโดของเราเสียอีก ดีเหมือนกัน ผมจะได้สะดวกในการเดินทาง หวังเอาลึก ๆ ว่าความสะดวกนี้จะคงอยู่กับผมไม่นานนัก...แต่ก็คงต้องยอมรับหากมันจะนานกว่าที่คิด
แม่ดูตกใจที่ผมกลับมานอนบ้านและบอกจะค้างหลายวัน แต่พอบอกว่าใกล้ที่ฝึกงานท่านก็เข้าใจ ขณะที่น้องสาวคนเล็กดี๊ด๊าเป็นพิเศษ คงจะมองสีหน้าผมออกและจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ผมทำเป็นไม่สนใจ เดินขึ้นห้องไปได้ก็โยนสัมภาระลงบนเตียงก่อนทิ้งร่างตามลงไปนอนแผ่มองเพดานที่ว่างเปล่าพอ ๆ กับความนึกคิดของผม
แต่ดูเหมือนเพดานจะขาวสะอาดจนคล้ายฉากฉายหนังเกินไป ภาพไอ้ศรจูบกับผู้หญิงคนนั้นถึงได้ชัดเจนในหัวผมอีกครั้งราวกับถูกสาดฉายบนเพดานตรงหน้า
ผมเห็นทุกอย่างตั้งแต่ตอนที่ศรยกร่างมิ้นไปนั่งบนตักตัวเอง ตอนนั้นผมโกรธแทบบ้า เกือบจะพุ่งเข้าไปกระชากออกแต่ติดตรงที่ว่ายังอยู่ไกลเกินไป ไกลจนทำอะไรไม่ทันท่วงทีแล้วสุดท้ายสิ่งที่ผมไม่อยากเห็นก็เกิดขึ้น แค่คิดว่าศรไม่ได้รู้สึกหวงร่างกายตัวเองไว้สัมผัสแค่แฟนตัวเองผมก็เจ็บแปลบขึ้นมา และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อไอ้ตัวดีเอาแต่พูดว่า ‘มันก็แค่จูบ’ ก่อนหน้านั้นจะจูบจะเอากับใครมากี่ร้อยกี่พันคนผมไม่เคยสนใจ ไม่เคยตามย้อนเวลากลับไปหึงหวง แต่ขอแค่ปัจจุบันอย่าทำอะไรแบบนี้กับใครเท่านั้นเอง ทำไมมันคิดไม่ได้ว่าไม่ควรทำแบบนั้น ผมเจ็บปวดมากจริง ๆ
มันเป็นความผิดหวังมากกว่าจะเสียใจในแง่ของการถูกนอกใจอะไรแบบนั้นนะ ผมแค่รู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่มันทำ และคงเพราะว่าผิดหวังไม่ใช่เสียใจอย่างทุกครั้ง มันเลยอิมแพคกับใจผมมากกว่าครั้งไหน ๆ จนไม่อยากมองหน้ามันในตอนนี้และไม่พร้อมที่จะให้อภัยได้ด้วยความรักทั้งหมดที่มี
ครั้งก่อนโน้นที่น้อยใจเพราะมันไม่ยอมเล่าปัญหาของตัวเองให้ฟังบ้างเลย ผมยอมรับว่าตัวเองค่อนข้างงี่เง่าเอง แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองยังไม่ใช่คนสำคัญพอที่จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้มันได้ทั้งที่เราคบกันลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าฉาบฉวยแล้วด้วยซ้ำ
เพราะคาดหวังมากไปเหรอ...ผมถึงได้ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนี้
ปลายปากกาจรดขีดกากบาทลงบนวันที่ในปฏิทินตั้งโต๊ะเป็นวันที่สาม
สามวันมาแล้วที่ผมได้รับความสะดวกในการเดินทางไปฝึกงาน ทั้งเป็นเรื่องที่น่ายินดีและเป็นเรื่องที่โคตรเหี้ยในความรู้สึก ธรรมศรห่างออกไปทุกที ไม่โทรหา ไม่ไลน์ ไม่แวะไปหาที่ห้องซ้อม สามวันที่ชีวิตผมมีแต่พี่ ๆ ในค่ายหนังที่ทำงานด้วยกัน เพื่อน ๆ ที่กองละครเวที แม่กับน้องสาวและพ่วงมาด้วยรดาที่เรามักจะได้เจอและใช้เวลาด้วยกันในวันที่ผมได้รับสิทธิ์ในการกลับบ้านเร็ว ขณะที่มนุษย์ผู้ชายที่ชื่อธรรมศรหายไปจากสารบบชีวิตผมมาสามวันแล้ว
ผมพบว่าความยุ่งวุ่นวายในแต่ละวันทำให้ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องของมันมากเท่าที่กังวล จะมีคิดบ้างในช่วงที่สมองและร่างกายได้พักและส่วนใหญ่จะเอาแต่คิดว่าเมื่อไหร่มันจะกลับมาหาผม ย้อนแย้งดีไหมละครับ ผมไม่ได้จะเป็นจะตายเลยด้วยซ้ำที่ห่างกับมัน ออกจะใช้ชีวิตได้ปกติไม่เหมือนที่เคยกลัวเลยด้วยซ้ำ แต่ลึก ๆ แล้วคาดหวังเอาไว้มากว่ามันจะกลับมาหา
และถ้ามองให้ลึก ผมว่าตอนนี้ผมไม่ต่างจาก AI เท่าไหร่นัก ฟังก์ชันทำงานได้เต็มร้อย คิดได้แต่ไม่มีความรู้สึก ไอ้เรื่องจะให้มานั่งเศร้ากอดขวดเหล้าคงเป็นไปไม่ได้ อย่างมากก็แค่นอนเหม่อจนหลับไปเท่านั้น
[เด็กที่ร้านบอกว่าเห็นไอ้ศรมาที่นี่ทุกคืน] เป็นไอ้เต๋าอีกตามเคยที่คอยรายงานสถานการณ์ของคนฝั่งโน้นให้ผมฟัง เมื่อช่วงเย็นมันโทรมาชวนไปร้านเหล้าเพราะเห็นว่าผมว่างซ้อม เห็นบอกว่าไปกับพี่ที่ฝึกงานด้วยกัน ไม่คิดว่าจะไปเจอศรที่นั่นด้วย
“...”
[อ่ะ ไม่อยากฟัง โอเคกูวาง] คงจะไปร้านนั่งชิล เสียงปลายสายถึงเคลียร์ไม่อึกทึกนัก
“ไปกับใคร” ผมรีบถามก่อนอีกฝ่ายวางสายไป
[บอกแล้วว่ามากับพี่ที่ทำงาน]
“อย่ากวนตีนตอนนี้”
[คนเดียว เห้ย ไม่แล้วว่ะ มีผู้ชายกลุ่มนึงเข้ามาทักมันแล้วมันก็ยอมเดินไปนั่งโต๊ะเดียวกัน คงสนิทกันน่าดู]
“ใคร”
[ไม่รู้ว่ะ มึงก็รู้ว่าแฟนมึงกว้างขวาง รู้จักคนไปทั่ว]
“...”
[ไม่พูดกูวางจริง ๆ แล้วนะเว้ย] ไอ้เต๋ายังกวนทั้งที่รู้ว่าผมอยากรู้อะไรบ้าง
“มันเมาไหม”
[ตอนนี้ยัง แต่อีกสิบนาทีกูว่าไม่แน่ เพื่อนมันรึเปล่าไม่รู้แม่งรินเอารินเอา]
“ฝากดูหน่อย”
[ไม่มา?]
“เดี๋ยวได้ใจ”
[เอาจริงเว้ยยยย ให้แน่เหอะสัด]
“ที่บอกว่าฝากดู...กูพูดจริงนะ”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนผมวางสาย แล้วถามว่านอนหลับไหม ก็ไม่ ไม่อาจข่มตาให้หลับได้จนกระทั่งไอ้เต๋าโทรมาบอกว่าขับรถตามไปส่งศรถึงคอนโดแล้วในสามชั่วโมงหลังจากนั้นนั่นแหละ มิหนำซ้ำยังถูกปลายสายบ่นใส่อีกว่าอดเหล่สาวเพราะมัวแต่มองไอ้ศรให้ผม
ย่างเข้าสู่วันที่สี่
วันนี้ผมก็คงไม่มีเวลาว่างคิดเรื่องศรอีกเหมือนเคย เพราะช่วงเย็นหลังเลิกงานต้องเข้าไปซ้อมละครต่อ ใกล้เปิดเทอมเต็มที สำคัญคืออีกไม่ถึงสี่สัปดาห์ก็จะเปิดการแสดงแล้ว วันนี้นอกจากจะซ้อมแล้วผมยังต้องฟิตติ้งเสื้อผ้าครีเอทหน้าผมเตรียมถ่ายจริงในอีกวันสองวันข้างหน้า ระหว่างนี้ก็ใช้รูปกราฟิกฉากหรืออื่น ๆ ในการโปรโมทไปก่อน
ผมแบกร่างสะบักสะบอมจากการฝึกงานที่ไม่ต่างจากเจนฯเบ้นักไปถึงคณะในเวลาเกือบหกโมงเย็น ทันได้ยินประกาศข่าวดีจากฝ่ายพีอาร์ว่าบัตรรอบพรีเซลขายหมดแล้ว ก่อนจะเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ตามมาในแทบจะทันทีอีกเรื่องหนึ่ง
“มีคนมาหาเว้ยไอ้โอม” เสียงไอ้โจดังลั่นห้อง หน้าตาแต้มรอยยิ้มของมันทำให้ผมมีหวังว่าคนที่รอจะเจอมาหลายวันจะมาหาในวันนี้ แต่เปล่าเลย ผมนกว่ะ
“ยัยอิม!” เป็นเอม น้องสาวคนกลางของผมที่เป็นหนึ่งในฝ่ายคอสตูมตะโกนเรียกเสียงดังลั่น จะผมหรือเอมเราต่างก็ไม่คาดคิดว่าจะเจอน้องที่นี่ ที่สำคัญคือชวนรดามาด้วย
ยัยอิมแทบจะกระโดดโลดเต้นเข้ามาหาผม ขณะที่รดาได้แต่ร้องเตือนตามหลังมาว่าให้ระวังกล่องอาหารในถุงที่ถืออยู่ด้วย เห็นอย่างนั้นผมจึงรีบเข้าไปช่วยรดาถือ
“จะมาทำไมไม่บอกก่อน” ผมตำหนิน้องสาวตัวเองโดยมีเอมมายืนพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ข้าง ๆ
“แม่อนุญาตแล้ว เนี่ยอาหารพวกนี้นะ รดาเขาตั้งใจทำให้พวกพี่ ๆ ทานเลยนะ” อิมดันเพื่อนรักมายืนตรงหน้าผม รู้ว่าน้องต้องการสื่ออะไร เคยพูดไปแล้วด้วยว่าทำให้สมหวังไม่ได้ แต่คงเพราะช่วงนี้ผมยังไม่มีวี่แววจะคืนดีกับแฟนด้วยละมั้ง น้องถึงได้เชียร์เพื่อนตัวเองหนักขนาดนี้
“สวัสดีค่ะพี่ ๆ อิมเป็นน้องคนเล็กของพี่โอมกับพี่เอมนะคะ” ยัยตัวแสบรีบทักทายแจกไหว้ไปทั่วห้องก่อนที่ผมจะดุขึ้นมาอีก “คุณแม่กับเพื่อนอิมทำอาหารมาเผื่อพี่ ๆ ทุกคนเลยค่ะ มาหยิบไปทานกันได้นะคะ” ช่วงนี้ปิดเทอม แม่ผมที่เป็นอาจารย์อยู่บ้านว่าง ๆ ท่านก็ชอบทำอาหาร มีรดามาอยู่ด้วยทุกวันก็ยิ่งชอบใจใหญ่เพราะมีคนให้สอนทำอันนั้นอันนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าที่แม่ทำแบบนี้เพราะคิดอะไรแบบยัยอิมด้วยรึเปล่า
“ไม่ทราบว่าเพื่อนน้องอิมเป็นอะไรกับพี่ชายน้องเหรอครับถึงได้ทำอาหารมาให้ถึงที่นี่” คำถามสร้างความลำบากให้ผมจะมาจากใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ไอ้โจที่หวิดจะแดกตีนผมหลายรอบแล้ว แม้ไอ้พีทไม่อยู่ ไม่มีคู่หูแกล้งผมแต่มันคนเดียวก็ยังฤทธิ์เยอะอยู่ดี นี่ขนาดมันยังไม่รู้นะครับว่าผมระหองระแหงกับศร ถ้ารู้ขึ้นมาก็ไม่อยากจะคิด
“เพื่อนน้องก็คือเพื่อนน้อง มึงสงสัยตรงไหน” ผมหันไปตอบแทนน้องสาว หวังว่าหน้านิ่ง ๆ ของผมจะทำให้มันมองออกว่าไม่ควรพูดเล่นอะไรตอนนี้
“อ้อออ” ไอ้โจลากเสียงยาวได้ตอแหลที่สุดเท่าที่เคยรู้จักกันมา “เพื่อนน้อง กูเข้าใจละครับเพื่อนรัก”
ถ้าไม่ติดว่ารดายืนอยู่ตรงนี้ด้วยผมจะไล่เตะตูดมันให้ช้ำเขียวสักทีสองที หมั่นไส้มันจริง ๆ ครับ แล้วยังมีหน้าเดินมาหยิบกล่องอาหารพร้อมเล่นหูเล่นตาใส่น้องอีก
“มากันยังไง พี่ให้เราสองคนอยู่ในนี้ไม่ได้นะ กลับไปกันก่อนเลย”
“พี่ชายรดาพามาค่ะ แต่ขอไปทำธุระก่อน เดี๋ยวรดากับอิมลงไปรอข้างล่างได้ค่ะ” รดาบอก
“กล่องนี้ของพี่โอมค่ะ รดาเขาตั้งใจทำให้เป็นพิเศษ” อิมจัดแจงยื่นกล่องอาหารมาให้ผม
“มันก็เหมือนกันทุกกล่องนั่นแหละอิม” รดาปรามเพื่อนเขิน ๆ
“พี่ก็ว่าอย่างนั้นนะ” เอมเสริมจึงโดนยัยน้องคนเล็กมองค้อนเข้าให้อีกคน
“ไม่เหมือนสิ กล่องนี้เธอตกแต่งอยู่ตั้งนาน”
“เอ่อ...ทานให้อร่อยนะคะพี่โอม ไปกันเถอะยัยอิม” คงเพราะเขิน รดาถึงได้รีบดึงเพื่อนตัวเองออกไปจากตรงนี้โดยมีคำขอบคุณของผมดังไล่หลังไป
“ยัยอิมนะยัยอิม รู้ทั้งรู้ว่าพี่โอมมีแฟนอยู่แล้วยังจะจับคู่ให้เพื่อนตัวเองอีก สงสารรดาจริง ๆ” เอมบ่นก่อนยกข้าวกล่องไปหนึ่งถุงใหญ่เผื่อคนอื่น ๆ
ยังดีที่เอมไม่สงสัยอะไร คงเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ได้กลับไปค้างที่บ้านจึงยังไม่ระแคะระคายความสัมพันธ์อันสั่นคลอนของผมกับศร โชคดีอีกอย่างที่วันนี้ยัยจี๊ดไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นก็คงโดนฟอกจนขาวแน่ ๆ
วันนั้นกว่าผมจะกลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืน อาบน้ำเสร็จแล้วก็นึกว่าจะหลับได้เลยเพราะความเหนื่อย แต่เปล่าครับ เหนื่อยแค่ไหนก็ยังมีแรงคิดถึงศร หยิบโทรศัพท์ตัวเองมาเช็คทุกแอปฯแล้วก็ได้แต่ปลง บล็อกช่องทางการติดต่อหรือก็ไม่ แต่ไม่ยักมีซักการแจ้งเตือนที่มาจากคนคนนั้น
หรือเราจะเลิกกันแล้วจริง ๆ วะ
พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 16
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ย้ำอีกครั้งว่าตัวละครแต่ละตัวมีเหตุผลของทุกการกระทำและทุกการแสดงออกค่ะ
อาจมีฐานมาจากพื้นเพครอบครัว นิสัยส่วนตัว ประสบการณ์
ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนและทุกกำลังใจนะคะ
#โรคประจำใจ
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์