[แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]  (อ่าน 119111 ครั้ง)

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ rcbpdr

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เห้ยยยย หวังว่าไปพบครั้งนี้เรื่องมันจะเคลียร์ซักที
เพิ่งได้บอกรักกันไปเอง อยากใฟ้โอมมันได้กอดเมียแบบไม่มีเรื่องกวนใจ โอ้ย ตาโอมเอ้ย

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เราว่าเอ็นซีไม่ง่อยนะคะ เขียนดีเลยยย เป็นกำลังใจให้ศรนะคะ กอดนะลูกก ขอบคุณคุณธัญญ์นะคะ สนุกมากเลย  :hao5:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
สนุกจ้า

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อะไรยังไงเนี่ยยยยย ศรต้องผ่านมันไปให้ได้นะะะ :katai1:

ออฟไลน์ nugnig7

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ๊ยยยหนอ เคลียร์สักทีเถอะครั้งนี้ ศรออกจะน่าสงสารด้วยซ้ำแต่ทำไมเรารำคาญนาง แง่ ม่ายยยย
นุ้งโอมของพี่ รักกกกกกก :mew3:

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :sad4: :pighaun: :pighaun:
ขอหวานๆก่อนจบนะค้าาาา

ออฟไลน์ PandP

  • Déjame vivir esa fantasía.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-0
    • http://www.facebook.com/iAMpingPINGping
แวะมารอตอนต่อไปจ้า
หวังว่าอิมกับบ้านรดาจะไม่ก่อดราม่าเน้อออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 19
---DharmaSORN---






ไม่รู้ว่าบ้านหลังใหญ่มีการปรับปรุงแต่งเติมหรือแค่เพราะว่าผมมีความทรงจำเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของมันน้อยเกินไป ในตอนที่กลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้งถึงได้ไม่รู้สึกคุ้นชินกับมันเลยสักนิด


ผมแค่นยิ้ม รู้สึกไม่ต่างจากการเจอคนแปลกหน้าที่รู้จักกันดี


“คุณศร!” ใครสักคนตะโกนเรียก ผมหันไปเจอลุงแก่ ๆ คนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นมาจากสวนหน้าบ้าน ผมหรี่ตามอง พยายามนึกเค้นเอาจากความทรงจำน้อยนิดที่ตกค้างจากวัยเยาว์ว่าชายชราหน้าตาใจดีคนนี้คือใคร


“ลุงจอมครับ คุณศรจำได้ไหม” เขาแนะนำตัว ท่าทางดีใจที่ได้เจอผมยังไม่หายไปไหนแม้ว่าผมจะส่ายหน้าช้า ๆ ตัดความหวังของเขา


“ไม่เป็นไรครับ ตอนนั้นคุณศรเด็กมาก จำไม่ได้ก็ไม่แปลก” ใช่ ตอนจากไปผมเด็กมาก จำเขาไม่ได้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่เขามองผมในวัยยี่สิบเอ็ดแล้วรู้ว่าคือใครนี่สิแปลก


“คุณศรหน้าเหมือนคุณท่านตอนหนุ่ม ๆ น่ะครับ ผมเลยจำได้” เขาว่า ผมรู้สึกไม่ชอบใจนิดหน่อย ใครจะอยากหน้าเหมือน ‘คุณท่าน’ กันล่ะ แต่นั่นทำให้ผมคิดได้ว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นจำผมได้ทันทีที่เจอเหมือนกัน  “คุณศรกลับมาหาคุณท่านเหรอครับ”


“ครับ เขาอยู่ไหน”


“ห้องสนุ๊กครับ” จำได้ลาง ๆ ว่าเคยวิ่งเข้าวิ่งออกอยู่บ้าง ห้องอยู่ชั้นหนึ่ง แต่ปีกซ้ายหรือขวาก็ไม่แน่ใจ


ผมพึมพำขอบคุณลุงจอม ที่ถามไม่ใช่เพราะจะไปหา แค่อยากรู้ไว้เท่านั้นเอง แต่พอฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ก็หันกลับมาหาลุงอีกครั้ง “มีคนอื่นอยู่ด้วยรึเปล่า”


“ตั้งแต่คุณศรไม่อยู่ คุณท่านก็ไม่เคยพาใครเข้าบ้านอีกเลยครับ”


ผมกระแอมเรียกเสียงแก้เก้อ ไม่อยากยอมรับว่ารู้สึกดีนิดหน่อยกับเรื่องที่ได้ยิน




คนเก่าคนแก่หลายคนเข้ามารุมทักทายผม คงลืมไปว่าผมไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างวันวานอีกแล้ว ผมในตอนนี้ไม่ต่างจากคนแปลกหน้าของบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นในตอนที่เจอ ‘คนเคยคุ้น’ คนยิ้มการค้าเก่งอย่างผมยังทำได้แค่ยิ้มแกน ๆ ให้จนพวกหล่อนหนีหายไปหมดหลังจากนำของทานเล่นมาให้ผมทานแกล้มไวน์ที่มินิบาร์ของบ้าน


ผมมองถั่วคั่วที่ดูไม่เข้ากันกับไวน์รสเลิศ แต่คงเพราะเจ้าของบ้านนี้ชอบทาน มันถึงได้ถูกหยิบยกมาทันทีที่ผมเอ่ยปากว่าจะนั่งดื่มไวน์อยู่ตรงนี้คนเดียว


ผมหมุนแก้วให้เครื่องดื่มกระเพื่อมจนเกือบกระเฉาะออกจากปากแก้ว บทสนทนาทางสายโทรศัพท์เมื่อครู่ของผมกับไอ้น้องรักยังไม่หลุดไปจากความคิด
 



[พี่ศร! หายไปนานมาก ผมเป็นห่วงมากเลยนะ] ผมโทรกลับไปเพราะเห็นสายไม่ได้รับและข้อความจากอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร น้องมันก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยความร้อนรน

‘เว่อ แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง’

[ก็พี่เล่นหุนหันพลันแล่นออกไปแบบนั้น ใครจะไม่เป็นห่วงได้ละครับ]

‘อือ ผู้หญิงคนเมื่อวาน...แม่มึงเหรอ’

[แม่น้องสาวครับ]

‘ห๊ะ!?’

[ผมเป็นลูกติดพ่อครับ แม่ผมเสีย ท่านแต่งงานใหม่กับแม่ของรดา แต่ท่านดูแลผมดีมากเลยน--]

‘กูถามนิดเดียวก็ตอบนิดเดียว’

[ครับ ๆ]

‘ยังไงก็ฝากขอโทษแม่มึงด้วยละกันที่เสียมารยาทออกมาแบบนั้น’

[แม่ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ ว่าแต่พี่เถอะ เป็นอะไรรึเปล่า นี่ผมเป็นห่วงจริง ๆ นะ ไม่ได้ล้อเล่น]

‘ไม่มีอะไรหรอก แค่นี้นะ’




เธอรักลูกเลี้ยงมากกว่าลูกแท้ ๆ อย่างผมเสียอีก


อ่า...ผมทำไวน์หกจากแก้วจนได้…


ผมเอื้อมตัวข้ามเคาน์เตอร์ไปหยิบกระดาษทิชชูมาซับของเหลวที่หกก่อนจะซดส่วนที่เหลือในแก้วโดยไม่ต้องเสียเวลาละเลียดชิมอะไรอีกเพราะเสียรสชาติไปมากแล้ว


เสียงรองเท้าสลิปเปอร์ดังมาจากปีกซ้ายของบ้าน ผมจำไม่ได้แล้วว่าฝั่งนั้นมีอะไรบ้าง แต่ตอนนี้เดาได้แล้วว่ามีห้องสนุ๊กอยู่อย่างหนึ่ง เสียงนั้นดังเข้ามาใกล้ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งเสียงทักทาย “ไม่คิดว่าจะยังมาบ้านหลังนี้ถูก”


ผมไม่ได้หันไปมอง จัดการเทไวน์ใส่แก้วอีกครั้ง “ผมมาเอารถ” คนของเขาขับรถที่ผมจอดทิ้งไว้เมื่อวานมาที่บ้าน ผมจึงต้องมาเอาคืนถึงที่นี่ และแน่นอน เสียงหัวเราะในลำคอของเขาต่อจากนั้นบ่งบอกว่ารู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น


เขาทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างผม หยิบแก้วไวน์ที่แขวนไว้เหนือศีรษะออกมารินไวน์ตามวิธีที่ถูกต้อง “ต้องขอบคุณที่แกทะเลาะกับแฟนสินะ ถึงทำให้พ่อได้เห็นแกที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง”


ผมเหล่มองให้รู้ว่าสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร ทั้งเรื่องที่ผมคบกับโอมอินและเรื่องที่ทะเลาะกัน ไหนจะท่าทีไม่ตกใจอะไรกับการที่แฟนผมเป็นผู้ชายเหมือนกันด้วย


“ลืมไปแล้วเหรอว่าคนของพ่อตามแกอยู่”


“...” ถึงผมจะไม่ได้แคร์อะไรเขามากแต่ถ้าเขาห้ามผมคบกับโอม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะปฏิเสธออกมาได้ทันทีเหมือนที่บอกผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า


“อย่ากลัวไปเลยไอ้ลูกชาย ถ้าปู่แกยังไม่ตายโน่นค่อยกลัว” ปู่ผมเป็นนายพล ทหารเก่ายศสูงที่ไม่เคยเปิดใจกับเพศทางเลือก ตอนเด็ก ๆ ผมไม่เคยสนใจทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้ของปู่ คงโชคดีอย่างที่เขาว่า เพราะถ้าปู่ยังไม่ตาย คงน่ากลัวมากจนไม่อยากจะคิด


“ถ้าไม่ได้บังเอิญเจอกันเมื่อวาน พวกแกก็คงยังไม่คืนดีกัน”


เขารู้มากเกินไปแล้ว


“พวกแกมันทิฐิสูง ยึดเหตุผลตัวเองเป็นหลักกันทั้งคู่…” เขาพูดเหมือนรู้จักความรักดีทั้งที่ชีวิตคู่ของตัวเองพังไม่เป็นท่า “...อย่าเอาปมด้อยในชีวิตมาอ้างว่ากลัวผิดหวังโน่นนี่เลย ความจริงแล้วแกแค่ยึดความคิดความรู้สึกตัวเองโดยที่ลืมมองคนอื่น”


ผมเกลียดเขา


เกลียดที่แม้ว่าเขาไม่เคยใส่ใจใยดีหรือเลี้ยงดูผมสักนิดแต่เขาก็ยังรู้จักผมดีกว่าคนอื่นอยู่ดี


“คนของคุณรู้นิสัยผมกับโอมละเอียดขนาดนี้เลยเหรอ”


เขายิ้ม “เส้นสายฉันเยอะ อย่าลืมสิ”


อาภพ...ต้องเป็นอาภพแน่ ๆ


“คนสมัยนี้รักกันแต่ไม่ได้ใช้ความรักเป็นที่ตั้ง พวกแกใช้ทิฐิ เวลามีปัญหาไม่ได้ใช้ความรักประคับประคอง แต่ใช้ทิฐิ ปรุงแต่งจนหลอกตัวเองว่ามันเป็นเหตุผล เหตุผลของฉัน เหตุผลของเธอ สุดท้ายก็เลยไปกันไม่รอด”


“...”


“ช่างเถอะ...แกไม่ได้มาหาพ่อเพราะเรื่องนี้อยู่แล้วนี่ พูดไปก็เปล่าประโยชน์”


“...?...”


“แกเพิ่งไปเจอผู้หญิงคนนั้นมา”


ผมดื่มไวน์รวดเดียวหมด ละเลยทุกวิธีการดื่ม รู้สึกคิดผิดที่เลือกหยิบไวน์ออกมาจากคลัง ตอนนี้ชักอยากได้วอดก้าซักขวดแล้ว


“เธอทำให้แกมีความสุขดีไหมล่ะ”


ผมแค่นหัวเราะก่อนว่าเสียงเรียบ “ไม่ต่างจากคุณนักหรอก”




ในตอนที่ผมถูกทิ้งให้อยู่กับผู้ใหญ่สองท่านในร้านอาหารว่าอึดอัดใจมากแล้ว แต่พอแม่ของโอมปลีกตัวออกไปเข้าห้องน้ำ ผมไม่ทันได้เตรียมตัวเลยว่า ‘เธอ’ จะปริปากพูดกับผมก่อน


ไม่คาดคิดเลยว่าประโยคแรกที่พูดกันจะไม่ใช่การถามสารทุกข์สุขดิบของผม...


‘ศรคบอยู่กับโอมใช่ไหม’

‘ครับ’ ผมยอมรับโดยไม่ลังเล

‘ศรเป็น...เกย์เหรอ’ สีหน้าเธอดูผิดหวัง ผมเคยคิดว่าจะทำตัวเองให้ดี ให้ประสบความสำเร็จ เผื่อวันหนึ่งได้เจอเธอ ผมจะได้รับสายตาของความชื่นชมและภูมิใจในตัวผมบ้าง ไม่คิดว่าเจอกันแล้วจะเป็นแบบนี้

‘รดา...น้องของศร ชอบโอม ศรรู้ใช่ไหม’

อ่า...ถ้าไม่มีเรื่องนี้ บางทีเธออาจจะไม่อยากทักทายผมเลยด้วยซ้ำ

‘แม่ขอได้ไหมศร ขอให้ลูกได้ทำหน้าที่ลูกให้กับแม่ และหน้าที่พี่ชายให้กับน้อง’

ก่อนหน้านี้เธอไม่เรียกผมว่าลูกซักคำ ความจริงแล้วพ่อก็ด้วย แต่พอเป็นเรื่องของลูกอีกคน เธอกลับยกคำนี้มาโน้มน้าวผมทันที

ผมอยากเป็นคนในแบบที่แม่ภูมิใจ คิดเสมอว่าตัวเองพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้แม่รัก เพราะอยากได้ความรักของอีกฝ่าย ผมยังเคยคิดเลยว่าจะยอมตายแทนได้

แต่ไม่ใช่การตัดอากาศหายใจของตัวเองแบบนี้

บางที...ความรักของแม่ที่ผมตามหา อาจไม่มีจริงเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมกำลังได้รับจากอีกคน

‘แม่จะอยากให้ผมทดแทนบุญคุณด้วยวิธีไหนก็ได้ แม่ให้ชีวิตผม แม่จะเอาชีวิตผมคืนไปก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่การยกโอมให้ลูกใหม่ของแม่’

‘แม่กำลังช่วยลูกอยู่นะ’ เธอมีท่าทีโกรธอย่างเห็นได้ชัด ‘ไม่มีใครยอมรับความรักของลูกได้หรอก แม่ไม่อยากเห็นลูกของแม่โดนแม่ของโอมเขารังเกียจ ปล่อยโอมไปตามทางที่เขาควรจะเป็นเถอะลูก’

ในตอนนั้น...ผมเกือบจะร้องไห้ออกมา

‘ขอเถอะครับ อย่าพรากความรักไปจากผมเลย…’

‘...’

‘อย่าพรากคนเพียงคนเดียวที่รักผมจริง ๆ ไปเลยครับ’

สุดท้ายน้ำตาก็ไหลในตอนที่ตัดสินใจเดินหนีออกมาโดยไร้คำร่ำลา



เขาพูดถูก ที่เคยบอกว่าเธอจะทำให้ผมเสียใจเข้าซักวัน


แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้เล่าให้เขาฟัง


“ความจริงแล้วแกไม่ควรคิดว่าการที่เธอตั้งท้องให้แกมีชีวิตขึ้นมาเป็นบุญคุณเลยนะ”


ผมเลิกคิ้วมอง เขาไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ก็จริงไหมล่ะ แกไม่ได้อยากเกิดมาซักหน่อย ทำไมจะต้องถือเป็นบุญคุณ แต่ถ้าเธอดูแลชีวิตแกได้ดีนั่นแหละค่อยนับว่ามีบุญคุณที่ยิ่งใหญ่...แต่นี่ก็ไม่”


“เหมือนอย่างคุณใช่ไหม” ผมสวน ไม่ได้มีความรู้สึกน้อยใจอะไรในชีวิตตัวเองทั้งนั้น ตอนนี้ผมเริ่มคิดถึงไอ้โอม อยากไปหาแล้วว่ะ


เขาไม่ตอบ เพียงแค่ดื่มไวน์ตัดบทสนทนา ถ้าสิ่งที่เขาพูดคือสิ่งที่เขาคิด ผมว่าไม่ผิดเหมือนกันที่ผมจะคิดอย่างที่พูดออกไป และผมเชื่อว่าเขาเองก็รู้ตัวดี


“นั่นเพราะแกปิดกั้น” อยู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน ผมดื่มต่อแต่ตั้งใจฟังมากขึ้น “ยิ่งพ่อพยายามเข้าใกล้ แกก็ยิ่งถอยห่าง ทำได้แค่ดูแลแกอยู่ไกล ๆ”


“พูดได้นี่ ปู่กับย่าเสียไปนานแล้ว”


เขาหัวเราะเล็กน้อย “ถ้ายังไม่ตายพ่อก็อยากให้แกไปถามเขาเหมือนกันนะ”


ผมจ้องตาเขานิ่ง “ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงตามไปถามพวกเขาอย่างไม่ลังเลเลย”


เขาเงียบไป สีหน้าสีตาขึงขังขึ้น “อย่าคิดสั้น”


“ไม่หรอก ไม่คิดมานานแล้ว”


“เพราะแฟนแกน่ะเหรอ”


ผมวางแก้ว หันมองหน้าเขาตรง ๆ “เชื่อไหมว่าตอนนี้เหลือเขาแค่คนเดียวที่รักผม”


เขานิ่งไปอึดใจก่อนส่ายหน้า “แค่คนเดียวที่แกรักต่างหาก”


“...”


“คนที่รักแกยังมีอีกหลายคน”


“...”


“เพื่อนแกไง”


ผมทำหน้าเห็นด้วย จริงอย่างที่เขาว่า เพื่อนพวกนั้นมันเพื่อนแท้ และแปลกที่แม้ว่าผมจะไม่เคยอยากได้รับไออุ่นจากเขา แต่ผมก็ยังคาดหวังอยู่ลึก ๆ ว่าจะได้ยินคำว่ารักจากปากเขาอยู่ดี


คิด ๆ ดูแล้วผมก็คงเหมือนเขาจริง ๆ อย่างที่ลุงจอมว่า


เหมือนทั้งหน้าตาและนิสัย


“เมื่อไหร่จะกลับมาอยู่บ้าน” เขาเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเสียจนผมตั้งตัวไม่ทัน


“บ้านที่เป็นแค่สิ่งก่อสร้าง จะกลับมาทำไม” ถ้าเทียบกับภาษาอังกฤษคงต้องบอกว่าที่นี่เป็นแค่ house ไม่ใช่ home


เขาพูดไม่ออก ได้แต่ดื่มอย่างเงียบ ๆ


“...แต่คืนนี้ขอค้างคืนนึงละกัน”


เขายิ้มละมุน นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้เห็นเขายิ้ม แต่ก็เห็นได้แค่แวบเดียวราวกับแค่ตาฝาดไปเพราะเขาหน้าเรียบตึงขึ้นอีกครั้งก่อนตะโกนเรียกแม่บ้านมารับคำสั่งทำความสะอาดห้องนอนของผมให้เรียบร้อยและยังสั่งให้จัดอาหารเย็นเผื่อผมด้วย ผมไม่ปฏิเสธความต้องการของเขา อยากทานด้วยกันก็ได้ไม่มีปัญหา ตราบใดที่ไม่มีแขกไม่ได้รับเชิญมาร่วมด้วยน่ะนะ




แม่ครัวบ้านนี้ต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ ๆ


ผมมองกับข้าวบนโต๊ะสลับกับใบหน้าลุ้นสุดขีดของเหล่าแม่บ้านที่ยืนเรียงกันอย่างในละคร


“คนของพ่อทำอาหารญี่ปุ่นไม่เป็นหรอกนะ แต่ถ้ารับปากว่าจะย้ายกลับมาอยู่ด้วยกัน พ่อจะให้พวกเขาไปฝึกทำ...หรือจะให้จ้างเชฟมาเลยดี”


“ผมว่าผิดประเด็น” ใช่ว่าผมจะทานอาหารชนิดอื่นไม่ได้เสียหน่อย แต่ที่ทำมานี่มันมากเกินไปสำหรับสองคนต่างหาก


“เพราะเขาไม่รู้ว่าแกชอบอะไรไม่ชอบอะไร บอกเขาไว้ซิ ครั้งหน้าจะได้ทำให้ถูก”


ผมโคลงศีรษะ มองข้ามประเด็นเรื่องการโน้มน้าวให้ผมกลับมาอยู่บ้านให้ได้ไป ตัดสินใจตักอาหารที่น่าจะเผ็ดน้อยที่สุดอย่างไก่ผัดซอสแดงใส่จาน


“ถูกปากไหม” เขาถามหลังจากผมตักเข้าปากไปหนึ่งคำยังไม่ทันกลืน สีหน้าอย่างกับคนที่ทำอาหารพวกนี้เองทั้งที่ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรเลยสักนิด


ผมเหลือบมองแม่บ้าน ทุกคนกำลังลุ้นจนตัวโก่งรอคำตอบจากผม


“อร่อยครับ” อยู่ในระดับไม่แย่ ทานได้ ผมเดาว่าพวกเธอคงไม่ค่อยได้ทำอาหารบ่อยนัก รสชาติถึงได้อยู่ในระดับนี้


“คุณคงไม่ค่อยได้ทานข้าวที่บ้าน”


เขาชะงักมือที่กำลังยื่นไปหยิบช้อนกลางในจานเดียวกับผมเมื่อครู่ก่อนจะทำตัวเป็นปกติ “ตอนเช้าก็แค่กาแฟ กลางวันทานนอกบ้าน มื้อเย็นก็ทานมาจากข้างนอกเสร็จสรรพ จะกลับมาทานคนเดียวที่บ้านทำไม”


“นั่นสินะครับ ทานนอกบ้านไม่เหงาเพราะมี ‘เพื่อน’” ตั้งแต่แม่ทิ้งพวกเราไป เขาก็เอาแต่เที่ยวแตร่กับผู้หญิงพวกนั้น ผมจึงโทษว่าเป็นความผิดของเขา เพราะเขาเป็นแบบนี้ แม่ถึงทิ้งเราไป


เขาถอนหายใจ รวบช้อนราวกับอิ่มแล้ว ผมไม่สน ยังคงตักอาหารต่อไปขณะที่คนอื่น ๆ พากันออกไปจากห้องนี้อย่างเงียบ ๆ


“พ่อยอมรับว่ามั่วไปทั่ว แต่ไม่ใช่ตอนที่ยังอยู่กับผู้หญิงคนนั้นแน่”


ไม่อยากยอมรับว่านัยน์ตาคู่นั้นไม่โกหก


ผมรวบช้อนบ้าง เริ่มรู้สึกว่าไม่เจริญอาหารทั้งที่เพิ่งตักเนื้อปลานึ่งมะนาวใส่จานไปเมื่อครู่ “แล้วทำไมแม่ถึงทิ้งไป”


เขาถอนหายใจอีกครั้ง ปล่อยตัวเอนหลังพิงพนัก “คงต้องไปถามคนที่ทิ้งไป”


ผมจิ๊ปาก เริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย “แล้วคุณทำอะไรให้เธอทิ้งไปล่ะ”


“บอกแล้วว่าให้ไปถามเธอเอาเอง”


ผมพ่นลมหายใจแรง ดื่มน้ำจนหมดแก้วก่อนลุกขึ้นยืน


“ดื่มนมอุ่น ๆ ซักแก้วไหม จะได้นอนหลับสบาย”


ผมหันมอง แทบไม่ต้องคิดที่จะตอบรับทั้งที่ไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อน “ครับ”


ผมจะถือว่านี่คือการบอกว่า ‘ฝันดีนะ’ ในแบบของเขาก็แล้วกัน






(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4

เด็กน้อยคนเดิมยังปรากฏขึ้นด้วยอิริยาบถเดิมในช่วงเวลาเดียวกันอย่างทุกคืน ใบหน้าเปื้อนน้ำตากับเสียงสะอื้นที่ครวญครางเอาแต่ร้องเรียกหาคนที่จากไป ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอันเหน็บหนาวกัดกินหัวใจจนกร่อนแหว่งเสียรูปทรง ทว่าในค่ำคืนนี้ กลับมีคนเข้ามาโอบอุ้มเร็วกว่าทุกที...ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของใครบางคนที่สัมผัสได้จริง ๆ


“อื้อออ” ผมครางในลำคอลืมตาขึ้นมองด้วยความสงสัย เพราะไม่ใช่แค่อ้อมกอด แต่ยังมีจุมพิตที่ขมับอีกด้วย


“มึงร้องไห้” เขาไม่ได้โกหก หยาดน้ำตายังทิ้งร่องรอยของความชื้นไว้บนใบหน้า


ท่ามกลางความมืดที่ไม่สนิทนัก ผมเห็นเจ้าของความอบอุ่นเป็นผู้ชายวัยเดียวกัน สีผิวเข้มกว่าเล็กน้อยแต่ยังขาวอยู่ดี ใบหน้าหล่อเหลาดูคมคายเพราะเครื่องหน้าที่แต่งแต้ม อีกฝ่ายนอนคร่อมร่างของผมที่นอนตะแคงอยู่ ปลายนิ้วซับน้ำตาที่ร่องแก้มและหางตาให้อย่างอ่อนโยน นัยน์ตาคู่นั้นมองมาด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่ผมเคยได้รับมาตลอดที่คบกัน


ผมเลือกไม่ผิด…


...คิดถูกแล้วที่ไม่ยกโอมให้ใคร


“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมเปลี่ยนเรื่อง รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เซ้าซี้เพราะไม่อย่างนั้นคงพูดออกมาตรง ๆ แล้วว่าผมร้องหาแม่


โอมพลิกตัวผมให้นอนหงายก่อนทิ้งศีรษะลงซบไหล่อย่างออดอ้อน เอ่อ...นั่นแหละ ผมรู้สึกว่าแม่งอ้อนผมอยู่ “เพิ่งมาถึง”


“ตีสองเนี่ยนะ” ไม่ต้องมองนาฬิกาผมก็พอเดาช่วงเวลาได้ เพราะฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมามากกว่าสิบปีมักเกิดขึ้นช่วงเวลานี้เสมอ


“อือ” โอมครางตอบเสียงเหนื่อย “ไม่อยากมารบกวนพ่อมึง”


“แต่แอบย่องเข้าบ้านเขาตอนตีสองเนี่ยนะ”


ผมแอบยิ้ม ดีใจกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ที่โอมอินทำเสมอ


“ก็คิดถึง”


ผมยิ้มกว้างขึ้น


“ร้อนใจด้วย รอถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้วเลยต้องมา”


“ร้อนใจเรื่องอะไร” ผมถามทั้งที่เดาคำตอบได้ นอนลูบผมอีกฝ่ายเล่นหวังจะให้ใจเย็นขึ้น


“เรื่องที่มึงหนีมา”


ห้องตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงหายใจแรง ๆ ของกันและกันเท่านั้นที่ดังชัดเจน


“แม่มึงจับคู่มึงกับน้องเขารึเปล่า”


โอมผงกศีรษะขึ้น จ้องมองผมอย่างคาดคั้น “มึงหนีมาเพราะเรื่องนี้เหรอ”


ผมไม่ตอบ พยายามกดศีรษะอีกฝ่ายให้ซบลงที่เดิมแต่ถูกฝืนไว้ สุดท้ายผมก็ต้องพูดออกมาทั้งที่มันจ้องหน้าอยู่ “เธออยากให้กูเสียสละมึงให้รดา”


ไอ้โอมหน้าเสีย “ล...แล้วมึงยอมรึเปล่า”


“กลัวกูยกมึงให้คนอื่นเหรอวะ” ผมพูดติดตลกเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้นจริง ๆ


“กูกลัวเพราะว่าแม่มึงขอ” โอมยกมือลูบหน้าผม นัยน์ตามันฉายแววกังวลอย่างที่ผมไม่เคยเห็น “เพราะมึงรักแม่มาก มึงอาจจะอยากทำตามที่แม่ต้องการ”


“กูคงเลวมากถ้าบอกว่าตอนนี้กูรักมึงมากกว่าเธอ” ...และทุกคนบนโลก


ผมคงเลวจริง ๆ นั่นแหละ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะ ผู้ชายคนนี้กลายเป็นโลกทั้งใบของผมไปแล้ว


นิ้วเรียวถูกเลื่อนมาหยุดไว้ตรงริมฝีปากของผม “อย่าพูดแบบนี้อีก…” แต่โอมคงไม่คิดอย่างนั้น “...อย่าคิดว่าตัวเองเลว และอย่าคิดว่ารักกูมากกว่าเธอ”


แม้จะคิดว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริงแต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไป


“คิดแค่ว่าตอนนี้มึงแค่รักกูเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็พอแล้ว”


ผมยิ้มล้อ “เลี่ยนว่ะ” ผลักอีกฝ่ายให้นอนหงายอยู่ข้างกัน


“กูพูดจริง ๆ นะ” เราต่างนอนมองเพดานกันในความมืด


“อือ” ผมพลิกตัวคะแคงเข้าหาโอม จ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย ไม่ได้ยื่นแขนออกไปโอบกอดเพราะตอนนี้ตัวผมอยู่ในผ้าห่มขณะที่อีกคนนอนทับมันไว้ “นอนเถอะ”


“ไม่กอดกูแล้วจะนอนหลับเหรอ”


ผมยิ้ม “ทำเป็นรู้ดี”


“ลืมไปแล้วเหรอว่ากูสนใจมึงอยู่ตลอด”


ผมเลิกคิ้ว สงสัยว่าเป็นไปได้หรือที่โอมจะรู้ว่าผมฝันร้ายในทุกค่ำคืน แต่อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้ผมสงสัยนาน โอมเอ่ยปากอธิบายต่อจนกระจ่าง “ก่อนนอนมึงนอนห่างกูจะตาย กว่าจะหลับได้แต่ละคืนก็หน้านิ่วคิ้วขมวดซะยับย่นไปหมด แต่ตื่นเช้ากลับกอดกูซะแน่น แถมยังหลับตาพริ้มซะขนาดนั้น คุณภาพการนอนต่างกันเห็น ๆ”


ผมห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมาไม่ได้จริง ๆ เพราะขืนกลั้นไว้มีหวังแก้มแตกแน่ ๆ “มึงแม่ง”


โอมตะแคงตัวเข้าหาผมบ้าง อยากจะสำรวจเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมมาจากบ้านเสียหน่อยแต่ผมกลับไม่อาจละไปจากสายตาที่มองมาได้เลย “รักกูมากเหรอมึงน่ะ” ผมเย้าขำ ๆ ทว่าจริงจังอยู่ในที


โอมยื่นมือมาลูบแก้มผม ทำอย่างกับแก้มสาก ๆ ของกูนุ่มเป็นก้นเด็กไปได้ เขินนะเว้ย! “ยังต้องให้บอกอีกเหรอ”


ผมกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ลงคอ แม้จะเขินแต่ก็ยังปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสอยู่อย่างนั้น “อยากฟัง”


“กูรักมึง”


มือที่จับแก้มผมอยู่จะสัมผัสถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นบนใบหน้าได้ไหมนะ


“รักมึงคนเดียวมาตลอด”


พอแล้ว…


“รักมึงมากขึ้นทุกวัน”


ไม่ต้องการความรักจอมปลอมจากใครอีกแล้ว…


...พอแล้วจริง ๆ...


“เลี่ยนว่ะ” ผมว่า พยายามปั้นหน้าให้ดูเขินน้อยที่สุดในตอนที่ปัดมืออีกฝ่ายออกจากหน้าอย่างเบามือแล้วชิงพลิกตัวหนีกลับมานอนหงายก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอตามมาให้ยิ่งรู้สึกเขินราวกับเป็นสาวน้อย


“บอกว่ากูเลี่ยนแต่เป็นคนถามเองเนี่ยนะ”


“พอ ๆ นอนเว้ยนอน” ผมกลบเกลื่อนความอายด้วยการพลิกตัวหนีอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้โอมไม่ยอมให้ผมนอนหันหลังให้ มันต้านแรงผมไว้พร้อมกับจับให้ผมหันไปหามันแทน


“ศร”


“อะไรเล่า กูจะนอนแล้ว” แกล้งหงุดหงิดไปอย่างนั้น ความจริงคือเขินจนไม่ไหวแล้ว ไม่อยากฟังอะไรเลี่ยน ๆ อีก ถึงจะชอบก็เถอะ


“กูจริงจังกับมึงจริง ๆ นะ” โอมจับมือข้างหนึ่งของผมด้วยการสอดประสาน


“รู้หน่า” ผมหลบสายตาตอบรับเสียงเบา


“มองหน้ากู”


เพราะผมนอนหันหลังให้แสงจากภายนอกผมถึงได้เห็นหน้าและแววตามันค่อนข้างชัด ไม่รู้ว่ามุมย้อนแสงฝั่งผมจะทำให้อีกฝ่ายมองเห็นรายละเอียดบนหน้าผมบ้างหรือเปล่า


“เรามาเริ่มต้นใหม่กันนะ…” ใจผมกระตุกวูบ รับรู้ถึงความจริงจังในความสัมพันธ์ระหว่างเราของโอมเสมอมา แต่ไม่เคยมีครั้งไหนชัดเจนเท่าครั้งนี้ “...ทิ้งความไม่แน่นอนครั้งก่อนไปให้หมด เรามาสร้างความรักของเรากันใหม่ด้วยความเข้าใจ เปิดใจ และรับฟังกันเถอะว่ะ”


ระบบความคิดผมรวนไปหมด มันว่างเปล่าทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคิดเรื่องมากมายไปหมด รู้สึกเหมือนตัวเองถูกขอแต่งงานทั้งที่เคยคิดมาทั้งชีวิตว่าตัวเองต้องเป็นคนพูดประโยคทำนองนี้ไม่ใช่คนฟัง


“อะไรที่รบกวนจิตใจมึง อะไรที่เป็นปัญหา เปิดใจให้กูเข้าไปช่วยแก้ไขหรืออย่างน้อยก็เป็นที่ระบายให้มึงได้ไหมวะ”


“...”


“กูอยากดูแลมึงแม้ว่ามึงจะดูแลตัวเองได้ดีอยู่แล้วก็ตาม”


“โอม”


“ต่อจากนี้เราจะเจอปัญหาอีกมากมาย แต่ถ้ามึงตกลงจะสร้างความรักของเราไปด้วยกัน กูสัญญาว่าจะจับมือมึงฝ่าฟันไปให้ได้” โอมกระชับมือที่จับกันให้แน่นขึ้น


“พอแล้ว พูดยาวเกินไปแล้ว นี่ท่องบทละครอยู่เหรอวะ” ผมว่า และถ้าโอมตั้งใจฟังจริง ๆ จะได้ยินคำต่อท้ายจากผมด้วยว่า ‘น้ำเน่าสัด’


“อย่าให้กูต้องน้ำเน่านานได้ไหมวะ ตอบดิ”


ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อครู่ยังพูดเสียงอ่อนเสียงหวานเผยความน้ำเน่าออกมาเสียหมดเปลือก อยู่ดี ๆ ก็ทำเสียงกระโชกโฮกฮากใส่เสียอย่างนั้น แต่พอมองชัด ๆ แล้วเห็นแววเขินอายในหน่วยตาคู่นั้นผมก็พอจะเข้าใจได้


แม่งเขินกว่าวันที่ตกลงเป็นแฟนกันเสียอีก


“มึงคิดดีแล้วเหรอวะ” ผมย้อนถาม รู้สึกจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ ที่เปิดใจคุยกัน ผมคิดว่านี่คือด่านสุดท้ายสำหรับตัวเองแล้ว ด่านสุดท้ายสำหรับการตัดสินใจที่จะมีผลไปตราบนานเท่านาน “มึงรู้ไหมว่ากูเป็นพวกยึดติด ถ้ามึงเป็นคนของกูแล้ว กูไม่ปล่อยไปง่าย ๆ หรอกนะ ปีหน้าเราก็จะเรียนจบ สำหรับกู มันคือการก้าวเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มันคือการคิดถึงอนาคตที่ต้องชัดเจนขึ้น เรื่องความสัมพันธ์ก็เหมือนกัน ถ้ากูจะคบใครซักคนในช่วงวัยนี้ คน ๆ นั้นจะต้องอยู่ข้างกูในอีกยี่สิบสามสิบปีหรือมากกว่านั้นด้วย แต่ถ้ามึงคิดถึงการมีครอบครัว มีลูก มีทายาท กูว่ามึงไม่ควรจริงจังกับกูให้มาก และเราควรจบมันให้เร็วที่สุดด้วย”


“ไม่!” โอมตอบเสียงดังฟังชัดจนเกือบกลายเป็นตะคอก แววตาคู่นั้นแข็งกร้าวขึ้นด้วยความมุ่งมั่น “กูไม่เคยเห็นภาพตัวเองในวันที่ไม่มีมึง”


“มึงคิดให้ดีนะโอม กูไม่มีใครที่ต้องแคร์แล้ว แต่มึงมี….แม่มึงจะยอมเหรอ”


“ถ้ามึงตกลงจะก้าวไปด้วยกัน กูสัญญาว่าจะฝ่าฝันทุกอย่างไปให้ได้ มึงบอกว่ามึงยึดติด ไม่มีทางปล่อยกูไปง่าย ๆ แล้วมึงคิดเหรอว่ากูอยากเดินออกไปจากชีวิตมึง”


“...”


“มึงก็รู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน”


ผมยกยิ้ม “มึงตัดสินใจแล้วนะ”


“ไม่เคยคิดเปลี่ยนใจ”


ผมยิ้ม ไม่มีคำตอบจากปากผม มีเพียงแค่จูบลึกซึ้งแทนคำมั่นสัญญาที่เกิดจากใจสองดวงที่ตรงกันเท่านั้น




ผมกับโอมอินพากันออกจากบ้านก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ไม่ใช่เพราะอยากพามันหนีเจ้าของบ้านหรือว่าผมไม่อยากเจอหน้าเขาอีก แต่เพราะเราต่างต้องรีบกลับบ้านไปเตรียมตัวไปฝึกงานต่อ เพื่อไม่ให้ไปสาย เราจึงจำต้องตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อเลี่ยงจราจรติดขัดในเช้าวันจันทร์


“ไม่คิดจะอยู่ทานอาหารเช้าด้วยกันก่อนเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มปนแหบตามวัยดังขึ้นในตอนที่เรากำลังเดินผ่านห้องนั่งเล่น ผมสะดุ้งตัวเล็กน้อย ขณะที่คนที่เดินตามหลังมาหยุดเดินเป็นที่เรียบร้อย


ผมพ่นลมหายใจอย่างที่ชอบทำเวลาอยากต่อต้านผู้ชายคนนั้นแต่ไม่สำเร็จเพราะมีใครบางคนไม่เห็นด้วย ผมถอยหลังกลับไปยืนข้างโอมก่อนตะโกนตอบคนที่ยังนั่งอยู่ในห้องนั้น “คนเขามีการมีงานทำ”


เขาคนนั้นกำลังเดินตรงมาหา ร่างสูงใหญ่ในชุดนอนสีสุภาพที่เห็นแค่ปกเสื้อกับขากางเกงที่โผล่พ้นขอบเสื้อคลุมสีเข้มออกมาก็รู้แล้วว่าเป็นเสื้อที่ตัดจากผ้าชนิดเดียวกับที่ผมชอบใส่ เห็นแล้วยิ่งหงุดหงิดรับรุ่งอรุณ ใจคอจะเหมือนกันทุกอย่างเลยหรือ


“ผมขอโทษที่เข้าบ้านของคุณอาโดยพลการครับ” โอมว่าหลังจากที่ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อมแล้ว มันพูดขึ้นเองก่อนที่เขาจะเอาเรื่องเสียอีก


นัยน์ตาคมดำขลับที่แสนน่ากลัวคู่นั้นกำลังมองคนของผมอย่างพิจารณาด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา ผมตั้งใจจะเอาตัวเองเข้าไปขวางเพราะไม่ชอบให้ใครมาใช้สายตาแบบนี้มองสิ่งที่ตัวเองเลือก แต่โอมยั้งไว้ก่อนแล้วตอบโต้ด้วยคำพูดที่สุภาพทว่าถือดีอยู่ในที


“ถ้าท่านจะกรุณา ผมรับปากว่าครั้งหน้าจะเข้ามาพร้อมศรเลย”


ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยกยิ้มอย่างถูกใจ ใช่! เขากำลังถูกใจอยู่แน่ ๆ ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ในจำนวนชั่วโมงที่พบเจอน้อยนิดนั้นมากพอให้ผมรู้ว่ามีบางอย่างถูกใจเขาเข้าเต็ม ๆ


“คนในบ้านนี้เอาแต่พูดว่าศรเหมือนฉัน...ไม่คิดว่าฉันจะเป็นฝ่ายเหมือนเขาด้วย โดยเฉพาะเรื่องการชอบใครซักคน”


“เราต้องไปแล้ว” ผมสะกิดโอม จงใจขัดบทสนทนาของเขา


“บอกให้ศรกลับมานอนบ้านบ้างสิ” เขายังคงพูดขึ้นต่อแม้ว่าโอมจะบอกลาแล้วก็ตาม คำกล่าวของเขาทำผมคันยุบยิบในใจ อะไรกันวะ พูดอย่างกับพ่อตาฝากฝังลูกสาวกับเขยอย่างนั้นแหละ แล้วอะไรคือการที่แฟนตัวดีของผมหันไปตอบรับด้วยเสียงหนักแน่นวะ!





ความสัมพันธ์ของเรากลับเข้าสู่สภาวะปกติและเหมือนจะดีขึ้นเรื่อย ๆ มาหลายวันแล้ว ผมเลิกสนใจเรื่องที่แม่พูดถึงเพราะเธอไม่ได้โผล่มายุ่งย่ามอะไรด้วยอีก มั่นใจด้วยว่าช่วงนี้โอมเองก็ไม่ได้เจอลูกสาวของเธอด้วย เพราะเลิกงานก็กลับมานอนที่ห้องของเราแทนที่จะเป็นบ้านตัวเองอย่างก่อนหน้านี้


ความรักของเราถูกเติมเต็มจากกันและกันในทุกวัน แม้จะมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยแต่ก็เต็มไปด้วยคุณภาพกว่าช่วงแรกที่คบกันมากนัก เริ่มต้นเช้าในแต่ละวันด้วยการช่วยกันเตรียมอาหารแทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโอมเพียงเพราะอีกฝ่ายอยากทำเองอย่างเช่นทุกที การที่ผมเสนอตัวเข้าไปช่วยในครัวอาจจะเป็นภาระให้โอมบ้างแต่มันก็มีความสุขดี นี่ผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองนะ แค่ยกคำพูดของอีกฝ่ายมาบอกเล่าเท่านั้นเอง


ระหว่างวันเราต่างทำงานของตัวเองแต่ไม่ลืมที่จะทิ้งข้อความสั้น ๆ ถึงกันอย่างเช่น ‘ได้พักรึยัง’ ‘มื้อเที่ยงกินไร ขอลอกหน่อย’ หรือ ‘เหนื่อยสัด’


ช่วงเย็นเราเจอกันน้อยมาก ปกติโอมเลิกงานกลับมาก็ดึกแล้ว วันไหนเลิกเร็วก็ต้องเข้าไปซ้อมละครเวที ไม่เหมือนผมที่ตารางชีวิตยังหลวมกว่ามาก ถ้าผมไม่ตามไปหาที่ห้องซ้อมเราก็แทบจะไม่เจอกันในตอนเย็นเลย ครั้นจะไปบ่อยมากก็ไม่ได้ ผมเป็นคนนอก เกรงใจเพื่อนร่วมงานของมันด้วย


ชีวิตรักของเราราบเรียบมาระยะหนึ่งจนใกล้หมดช่วงฝึกงาน บททดสอบแรกหลังจากเริ่มต้นกันใหม่มาในรูปแบบของเพื่อนฝูง เมื่อสิ้นสุดการฝึกงาน ต่อไปคือการเปิดเทอมใหม่เพื่อเลื่อนชั้นขึ้นปีที่สี่ และกลุ่มเราที่ไม่ได้หมายรวมแค่เพื่อนในสาขาเดียวกันมีธรรมเนียมกันว่าจะต้องไปเที่ยวค้างแรมกันอย่างน้อยหนึ่งคืนก่อนเปิดเทอม


ครั้งนี้ไอ้ดล เพื่อนภาคไฟฟ้าเป็นตัวตั้งตัวตี จั่วหัวเป็นสถานที่ให้เพื่อนโหวตกันจนสุดท้ายผลออกมาที่เขาใหญ่วันเสาร์หน้า แม้ครั้งนี้จะค้างแค่วันเดียวและเป็นธรรมเนียมอย่างที่ทำกันทุกเทอม แต่ผมกลับอึกอักไม่กล้าบอกโอม กลัวอีกฝ่ายจะหึงหวง ไม่แคล้วเป็นต้องจบที่ทะเลาะกันอีกครั้ง แต่ลึก ๆ แล้วผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะว่าอย่างไรบ้าง


“เสาร์หน้ากูไปเขาใหญ่กับเพื่อนนะ” ผมชิงเปิดประเด็นขึ้นมาในตอนที่กำลังเร่งรีบกับอาหารเช้าก่อนจะแยกย้ายกันไปฝึกงาน โอมชะงักมือที่จับช้อนส้อม เหลือบตาขึ้นมองผมเล็กน้อย “พวกกูไปกันแบบนี้ก่อนเปิดเทอมทุกครั้ง ปาร์ตี้เล็ก ๆ”


โอมอินยังรอฟังด้วยท่าทีใจเย็นกว่าเมื่อก่อนมาก แอบคิดไม่ได้ว่ามันจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เราคบกันได้นานขึ้นจริง ๆ เหรอ


“เพราะว่าไปกันทุกเทอมเนี่ยแหละ กูเลยปฏิเสธไม่ได้ แต่มึงจะไปด้วยก็ได้นะ พวกมันไม่ว่า”


“กูติดซ้อมละคร” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยราบเรียบแต่กลับซ่อนความขุ่นเคืองไว้ไม่มิด


“ถ้ามึงไม่อยากให้ไป กูไม่--”


“ไปเถอะ”


ผมลอบยิ้ม แค่นิดเดียวแบบที่โอมไม่ทันสังเกตเห็น


“ไปเที่ยวกับเพื่อน กูจะห้ามทำไม”


“พูดจริงเหรอวะ”


“เออ” น้ำเสียงขุ่นขึ้นแต่กลับทำให้ผมอารมณ์ดีอย่างน่าประหลาด นี่ผมเห็นความหวงของมันเป็นของหวานอันโอชะหรืออย่างไรกัน


“เดี๋ยวนี้ไม่หึงหวงกันแล้วเหรอ ถึงปล่อยให้ไปได้”


“ทั้งหึงและหวงมากกว่าเดิมอีก...” โอมจ้องหน้าผมนิ่ง “...แต่กูจะเชื่อใจมึงมากขึ้น”


ผมยิ้มกว้าง “ขอบใจนะ”


ขอบใจที่ไม่ได้หมายถึงการตอบรับคำอนุญาตให้ไปค้างคืนได้ แต่ขอบใจที่มันเปิดใจมากขึ้น และผมเองก็จะไม่มีวันทำให้มันผิดหวังเด็ดขาด









พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 20
--------------------------------------------------
หายไปนาน 1 เดือน กับ 2 วัน
เดือนที่แล้วเดินทางไปเกือบครึ่งเดือน
กลับมาเลยต้องเคลียร์อะไรหลายๆอย่าง
จะกลับมาอัพนิยายแล้วนะคะ
เรื่องนี้ตั้งใจจะเขียนให้จบก่อนสิ้นปี จะทันไหมนะ *หัวเราะแห้ง
ฝากด้วยนะคะ
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ BaGgYsOdA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
แม่ศรคือเป็นคนยังไงกันอ่ะ พูดมาได้!!!!!!!! นั่นก็ลูกชายเธอเหมือนกันป่ะ  :fire:
ดีแล้วที่ศรไม่ยอม โอมยังรักศรมากกว่าเธอที่เป็นแม่อีก แงๆ พูดละขึ้น
ขอให้ต่อจากนี้มีแต่เรื่องดีๆ เข้าใจกันมากๆนะ เหน่ยแทนแร้ว

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ชอบพ่อน้องมากเลย เหมือนพ่อลูกกันมากจริงๆค่ะ โอมมาช่วยผสานรวยร้าวคงดีกว่านี้ ขอให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันอย่างใจเย็นๆ มีสติ รักกันนานๆค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 20
---OMIN---





‘ถึงบ้านพักแล้วนะ’
*แนบรูป*



ศรส่งข้อความพร้อมรูปมารายงานโดยที่ผมไม่ต้องกำชับก่อนไปหรือลุกไล่ตามตอแยให้เสียสุขภาพจิตกันทั้งสองฝ่ายเลยสักนิด ความใส่ใจเล็ก ๆ ที่ศรเพิ่งจะมีทำให้ผมยิ้มออกมา เพราะถือเป็นสัญญาณที่ดีของความสัมพันธ์


บททดสอบแรกของการเริ่มต้นใหม่ของพวกเราคือการที่ผมต้องยอมปล่อยให้ศรไปค้างคืนตามลำพังกับกลุ่มเพื่อนที่ต่างจังหวัด


‘ไปเถอะ’


เหมือนจะพูดง่าย แต่จริง ๆ แล้วโคตรยากเลย


อยู่ ๆ จะให้คนขี้หึงอย่างผมยอมปล่อยแฟนไปเที่ยวไกลหูไกลตาโดยที่ไม่สามารถตามไปดูแลได้มันยากจะทำใจอยู่นะครับ แต่พอคิดว่านี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะปรับตัวเข้าหากันผมก็จำต้องยอมรับสถานการณ์ เมื่อเราตกลงจะเริ่มต้นชีวิตรักกันใหม่ สิ่งแรกที่ควรมีคือการเชื่อใจและให้เกียรติกันไม่ใช่หรือครับ


ผมอาศัยช่วงพักกลางวันปลีกตัวหาที่เงียบ ๆ โทรไปถามไถ่ แทนที่อีกฝ่ายจะแค่รับสายธรรมดากลับเปิดเป็นวิดีโอคอลให้ผมได้เห็นหน้าเพื่อนมันทุกคนด้วย


เชี่ย! เขินว่ะ


[หยุดแซวไอ้สัด] เสียงธรรมศรแหวใส่เพื่อนที่ร้องเสียงโห่ปนแซวว่ามันเป็นคนอวดแฟน ไอ้ตัวดีหน้าแดงก่ำที่ไม่รู้ว่าเขินหรือร้อนมากกว่ากันแน่ แสงจากฝั่งโน่นสว่างจ้ารับกับฉากหลังสีเขียวที่ธรรมชาติแบบสุด ๆ ก่อนที่หน้าจอจะเหลือแค่ใบหน้ารูปงามของคนที่ผมคิดถึงเพียงคนเดียว


[มึงกินข้าวรึยังเนี่ย]


ผมยิ้มมุมปาก “กินแล้ว” มองใบหน้าศรตอนนี้เห็นแต่ความสดใสในแววตาคู่นั้น ว่ากันตามตรงแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำที่ผมเพิ่งมีโอกาสเห็นอีกฝ่ายอยู่กับเพื่อนในลักษณะของการสังสรรค์เฮฮาที่ไม่ใช่ตามร้านเหล้า “อยู่ไหนกัน”


[ส่งรูปไปให้ดูแล้วนะ]


“โทษที ทำงานอยู่เลยยังไม่ได้เปิดดู ว่างก็โทรเลยเนี่ย”


[อากาศโคตรดี อยากให้มึงมาด้วยกันเลยว่ะ]


อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมากว้าง ๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยังนึกถึงกันแม้จะมีความสุขมาก ๆ อยู่กับเพื่อน “ตกลงว่าตอนนี้อยู่ไหน”


[มาเขาใหญ่ก็ต้องมาเล่นอะไรที่มันโลดโผนสิวะ]


“ระวังตัวด้วย”


[อย่าห่วงหน่า ไปแล้วนะ พวกแม่งตามแล้ว] ศรรีบลา ผมได้ยินเสียงไอ้หนึ่งตะโกนดังแว่วเข้ามาอยู่สองสามที [อ้อ...ไว้กลับไปจะแนะนำมึงให้รู้จักเพื่อนกูทุกคนเลย]


“อือ ๆ ดูแลตัวเองด้วยนะ”


[แน่นอนอยู่แล้วหน่า กูยังอยากมีชีวิตกลับไปหามึงนะ ไปแล้ว ๆ]


ผมหลุดขำ ทำเป็นไม่ได้ยินประโยคบอกลารีบ ๆ แล้วสนใจแค่เหตุผลของการดูแลตัวเองเป็นอย่างดีของศร แค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายอยากกลับมาหากัน ใจผมก็เต้นแรง รู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างกับสมัยเพิ่งรักกันใหม่ ๆ อย่างไรอย่างนั้น



ทั้งที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการฝึกงานแต่ผมกลับไม่มีเวลาให้พี่ ๆ ที่ทำงานได้เลี้ยงส่งเลย เพราะผมต้องรีบกลับไปซ้อมละครเวทีในทุกวัน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ผมกำลังเดินทางไปมหาวิทยาลัยเพื่อซ้อมละครเวทีก็ได้รับสายจากศรอีกครั้ง นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าแปลกใจไปสักหน่อย ปกติช่วงที่ห่างกันผมไม่เคยได้รับการติดต่อจากศรบ่อยขนาดนี้ อย่างมากก็แค่ส่งข้อความหากันวันละช่วงสั้น ๆ ก็เท่านั้น และก็เป็นผมเองด้วยที่ทักไปหาก่อนแม้ว่าจะต้องการได้ยินเสียงมากกว่าก็ตาม


แต่ตอนนี้...ผมคิดเข้าข้างตัวเองได้รึเปล่าว่าศรกำลังติดผม


ผมเผลอยิ้มออกมาจนไอ้เต๋าที่ขอติดรถมาด้วยแซวเข้าให้ “มัวแต่ยิ้มไอ้สัด รับสายซักทีสิวะ”


ผมกดเปิดลำโพงด้วยความเคยชิน เพราะปกติขับรถคนเดียวไม่ชอบใช้อุปกรณ์ช่วยใด ๆ ช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่ครั้งนี้มีเพื่อนนั่งมาด้วย แต่ครั้นจะให้ถือแนบหูไว้ตลอดเวลาก็ลำบากต่อการขับรถอีกเช่นกัน


[รับช้า] ปลายสายว่าเสียงขุ่นก่อนที่ผมจะส่งเสียงทักทายไปเสียอีก [หรือว่าขับรถอยู่เหรอ โทษ ๆ ขับไปเถอะ เดี๋ยวค่อยโทรไปใหม่] น้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นโหมดห่วงใยอย่างรวดเร็วทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู แอบเห็นว่าไอ้เต๋าเองก็เบือนหน้าไปยิ้มให้วิวข้างทางเช่นกัน


“ไม่เอา ๆ” ผมรีบรั้งไว้ก่อนอีกฝ่ายชิงตัดสายไปอย่างที่พูด “คุยได้”


“คุยอะไร ขับรถไม่โทรครับ ขับไป”


“คุยแปป ๆ ไง” ผมเผลอส่งเสียงอ้อนออกมาจนไอ้เต๋าหลุดขำพรืด คนปลายสายถึงได้รู้ว่าไม่ได้คุยกันตามลำพังก็ตอนนี้เอง


[อยู่กับใคร] นั่นไง เสียงแข็งมาเลยเมียกู


“หวัดดีศร” ไอ้เต๋าส่งเสียงทักทายอย่างรู้งาน


[มึงเหรอเต๋า]


“เออ กูเอง วันนี้ขอติดรถมันไปมอด้วย ไม่ต้องทำเสียงแข็งหึงมันขนาดนั้นหรอก” ไอ้เต๋าเย้าหยอก


[ใครหึง อย่าปั่นมั่ว ๆ ไอ้เต๋า] มาครับ ปากแข็งอีกแล้วเมียกู


“เออ ไม่หึงก็ไม่หึง แฟนมึงไม่มีใครอื่นหรอก ไม่ต้องกลัว แค่นี้มันก็หลงมึงจนไปไหนไม่รอดแล้ว อย่างตอนนี้ก็นั่งยิ้มเหมือนคนบ้าแล้วเนี่ย”


“สัด!” ผมแทรกเมื่อถูกเพื่อนเผา ได้ยินปลายสายพึมพำบางอย่างไม่ชัดนัก แต่เดาว่าคงเขินอยู่ไม่น้อย “แล้วทำไมโทรมาตอนนี้ เล่นกันเสร็จแล้วเหรอ”


[อือ เพิ่งเล่นเสร็จ โคตรมัน ครั้งหน้ามาด้วยกันนะ ชวนพวกมึงด้วยนะเต๋า] ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม ที่ผ่านมาเหมือนเราคบกันแค่สองคน ผมรู้จักเพื่อนมัน มันรู้จักเพื่อนผมก็จริง แต่เราไม่เคยไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมอะไรร่วมกับเพื่อนของอีกฝ่ายเลยนอกจากเมาด้วยกันซึ่งก็แทบจะต่างคนต่างดื่มด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เหมือนว่าเราจะเข้าใกล้ความเป็นคน ๆ เดียวกันมากขึ้นเพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งของคนรอบข้างกันและกันแล้ว


“ได้ดิ ไม่พลาดแน่นอน” ไอ้เต๋ารับปาก มันหันมองล้อผมอย่างโจ่งแจ้ง โคตรเขินเลย


[เดี๋ยวจะไปซื้อของสดมาทำกินกันคืนนี้ กูวางสายก่อนแล้วกันมึงจะได้ขับรถ]


“มึงเลือกของสดเป็นด้วยเหรอ”


ศรหัวเราะมาตามสาย [ให้สาว ๆ แถวนี้ช่วยสิวะ]


“น้อย ๆ หน่อยมึงน่ะ” พูดไปอย่างนั้นแหละ สาบานได้ว่าไม่ได้หึงสักนิดเพราะรู้ว่าศรแค่พูดเล่น


ศรหัวเราะดังขึ้น มันดูอารมณ์ดีจนผมพลอยอารมณ์ดีไปด้วย [ไว้กลับไปจะให้มึงสอน]


“รีบกลับมานะ” ผมคิดไว้แล้วว่าถ้าศรอยากเรียนรู้เรื่องพวกนี้ ผมจะให้ใครสอน


[ขี้อ้อนว่ะ...พูดมาแบบนี้กูก็ชักอยากจะกลับแล้ว]


ผมหลุดหัวเราะดังลั่น ไม่อยากกระมิดกระเมี้ยนคีพลุคอะไรต่อหน้าไอ้เต๋าอีกแล้ว ตั้งแต่คบกันมาเพิ่งเคยได้ยินศรพูดจาทำนองนี้ใส่ ทำเหมือนคิดถึงกันมาก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงโวยของเพื่อนมันดังมาตามสายว่าถ้าชิงหนีกลับมาก่อนเป็นเรื่องแน่


“พรุ่งนี้ก็ได้กลับหน่า แล้วคืนนี้จะเมารึเปล่า” ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง ถ้าบอกว่าไม่มีเหล้าเบียร์ก็คงไม่ใช่ ไม่ได้อยากจะห้ามแต่จะไม่ให้หวงคงไม่ได้เหมือนกัน


[กูไม่แดกจนเมาหรอก อย่าห่วง แค่นี้นะ ขับรถดี ๆ ถึงแล้วบอกด้วย บาย] ศรตัดจบรวดเดียวด้วยความเร่งรีบ คงเพราะว่าเพื่อนเริ่มส่งเสียงแซวกันหนักขึ้น


“งานอ้อนเมียก็มาว่ะ” เต๋าแซวทันทีที่สัญญาณหายไป “โทษ ๆ แฟน”


ผมยิ้มบางให้รู้ว่าไม่นึกโกรธที่เพื่อนพูดถึงศรในฐานะ ‘เมีย’ อย่างที่เคยห้ามไว้เมื่อก่อน ส่วนหนึ่งเพราะรู้ดีว่าเต๋าไม่ได้จงใจล้อสถานะนั้นให้ศรไม่สบายใจแต่แค่หยอกผมไปตามอารมณ์เท่านั้น


“ช่วงแรก ๆ ที่มึงหลงมัน วิ่งเต้นไปหามัน หายใจเข้าออกเป็นมัน กูว่ามึงอาการหนักแล้วนะ มึงเหมือนคนแปลกหน้าที่กูไม่เคยรู้จัก เพิ่งรู้ว่ามึงยังเป็นหนักได้มากกว่าเดิมก็ตอนที่ไอ้ศรเป็นฝ่ายติดมึงบ้างเนี่ยแหละ” เต๋าพูดด้วยสีหน้าอึ้ง ๆ ยังทิ้งท้ายด้วยอีกว่า “...เหมือนคนบ้า”


ผมไม่ออกความเห็นเรื่องนี้ ปล่อยให้เพื่อนเดาอารมณ์จากสีหน้าเอาเอง


“เคลียร์หมดแล้วดิ” ไอ้เต๋าถาม ที่ผ่านมามันเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของผมกับศรมากที่สุด แทบจะรู้ทุกอย่างเท่า ๆ กับผมเลยด้วยซ้ำ มันเป็นที่ระบายและที่ปรึกษาได้เสมอ แต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงสองถึงสามสัปดาห์นี้ผมยังไม่ได้เล่า และคิดว่าคงรวบลัดจบในแค่วลีเดียวก็พอ


“อืม หมดแล้วทุกประเด็น” ...ผมคิดว่านะ




ในตอนที่ผมกับเต๋ามาถึงหอประชุมใหญ่ที่จะใช้เป็นสถานที่จริงในการแสดง เพื่อนคนอื่น ๆ ก็กำลังแต่งตัวเตรียมเข้าฉากกันอยู่ ผมใช้เวลาช่วงที่เดินเข้าห้องแต่งตัวส่งข้อความไปบอกศรสั้น ๆ ตามที่อีกฝ่ายสั่งไว้ ไม่ทันได้กดออกจากหน้าแชทข้อความของผมก็ถูกอ่านจากคนปลายทางรวดเร็วราวกับเปิดรออยู่แล้ว หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีสติกเกอร์คาแรคเตอร์ที่โคตรกวนแต่มีข้อความบนหัวว่ารับทราบก็ถูกส่งกลับมา


“หมั่นไส้ ชิส์!!” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นในระยะใกล้ ผมหันไปยิ้มยียวนใส่เจ้าของคำพูดที่ยิ่งเบะปากแดงแปร๊ดนั่นหนักขึ้นไปอีก “หน้าชื่นตาบานกว่าเมื่อก่อนอีกนะยะ”


“ธรรมดาของคนอินเลิฟ”


“เกลียดดดดดด” ผมหลุดหัวเราะให้กับยัยจี๊ดจนสุดท้ายก็โดนไล่ให้ไปแต่งตัวเพื่อซ้อมได้แล้ว




เกือบสามชั่วโมงกับการซ้อมเสมือนจริง ฉากจริง เพลงจริง แต่แก้นั่นแก้นี่ไปเรื่อย จากละครความยาวชั่วโมงครึ่งก็ลากยาวจนเกือบสามทุ่ม ใจผมร้อนเสียยิ่งกว่าชุดหนา ๆ ที่สวมใส่เต็มองค์ ป่านนี้ไม่รู้ว่าศรเป็นอย่างไรบ้าง ช่วงเวลาแบบนี้น่าจะกำลังเล่นเกมหรือไพ่กันอยู่แน่ ๆ เดาจากรูปอาหารที่ส่งมายั่วน้ำลายกันตั้งแต่ทุ่มครึ่ง


“พี่โอมคะ มีคนมาหาค่ะ” รุ่นน้องในคณะคนหนึ่งโผล่แค่หน้าผ่านม่านเข้ามาในห้องแต่งตัวเพื่อแจ้งข่าว เมื่อถามกลับไปว่าใครก็ได้รับคำตอบกลับมาแค่ลักษณะภายนอกของ ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ เท่านั้น


ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปเจอเขา ผู้ชายท่าทางภูมิฐานดูมีอายุ สวมสูทสุดเนี๊ยบ ทั้งหล่อทั้งเท่ คือคำอธิบายที่รุ่นน้องสาวพูดถึงผู้ชายคนที่นั่งรออยู่บริเวณของผู้ชม


ผมก้าวเดินไปตามขั้นบันไดเพื่อไปหาท่าน พ่อของธรรมศรรออยู่ตรงนั้น ใบหน้าใจดีที่มองกี่ครั้งก็เหมือนเห็นคนรักของตัวเองในวัยที่เริ่มมีอายุกำลังหันมาทางผม รอยยิ้มที่มีพลังทำลายล้างสูงนั่นราวกับเป็นฉบับต้นแบบที่ผมชื่นชอบหนักหนา แต่ผมว่าศรได้แม่มาไม่น้อย เพราะใบหน้าหล่อไร้ที่ติของมันดูหวานและสวยในบางมุมอยู่เหมือนกัน


“สวัสดีครับ” ผมไม่รู้ว่าท่านมาหาผมทำไม แต่เชื่อว่าคนที่รู้ความเคลื่อนไหวของลูกชายตลอดอย่างท่านจงใจมาในวันที่ศรไม่อยู่อย่างแน่นอน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังทำใจดีสู้เสือ ในเมื่อใบหน้านั้นยังซ่อนความต้องการไว้ใต้ใบหน้าใจดี ผมก็ต้องไม่หวั่นกลัวเช่นกัน


“นั่งสิ ใกล้ ๆ กันเนี่ยแหละ ไม่อยากพูดเสียงดังนัก” ท่านรีบบอกเมื่อผมเลือกนั่งเก้าอี้ตัวที่ถัดจากเขาสองตัว


“ขอบคุณที่ดูแลลูกชายฉันเป็นอย่างดีมาตลอด”


“ด้วยความยินดีครับ” ผมก้มหัวให้เขาเล็กน้อยก่อนหันมองไปที่เวทีเหมือนกับเขาราวกับมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงนั้นทั้งที่ตอนนี้มันว่างเปล่าเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ถึงมันจะไม่เคยมองฉันในแง่ดี แต่ฉันก็รักมันมากนะ”


“ผมทราบครับ ศรเองก็รักท่าน”


เสียงทุ้มต่ำดังในลำคอคล้ายหัวเราะเยาะตัวเอง “มันบอกเธอเหรอ”


“ศรแคร์ท่าน” ผมสัมผัสได้


“อืม...แล้วรู้ใช่ไหมว่าถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยได้ดูแลศรแต่ฉันก็สร้างทุกอย่างไว้ให้มัน”


ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอ เริ่มเห็นเค้าลางสาเหตุที่ทำให้เขามาหาผมถึงที่นี่แล้ว “ครับ”


“ที่มาคุยด้วย ไม่ใช่จะบอกว่าคนอย่างเธอไม่คู่ควรกับลูกชายที่เพรียบพร้อมของฉันหรอกนะ…”


“...”


“...แต่มาคุยในประเด็นที่ฉันต้องการทายาทมาสืบทอดสิ่งที่ฉันสร้างขึ้น”


“...”


“ถ้าตอนนี้เป็นวัยคึกคะนอง หวั่นไหวชั่ววูบตามวัยอยากรู้อยากลองฉันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าคิดจะยืนยาวไปในอนาคต เธอคงรู้ตัวนะว่ามีทายาทให้ฉันไม่ได้”


ผมหาเสียงตัวเองไม่เจอเลยจริง ๆ ไม่รู้ด้วยว่านอกจากคำว่าครับแบบโง่ ๆ แล้วตัวเองจะสามารถพูดอะไรได้บ้าง


“เธอคงไม่บอกให้ฉันยกสิ่งที่สู้ลงทุนลงแรงสร้างมามากมายทั้งชีวิตให้การกุศลหรอกใช่ไหม” เขาเน้นคำแสดงความเหน็ดเหนื่อยของตัวเองจนผมจนคำพูด


‘เธออยากให้กูเสียสละมึงให้รดา’



เรื่องเล่าจากปากศรในคืนนั้นดังเข้ามาในความคิด วันนั้นศรสู้เพื่อให้เราไม่ต้องแยกจากกัน ทำไมวันนี้ผมจะยอมแพ้ง่าย ๆ ได้ล่ะ


ถึงจะไม่รู้ว่ามีดีอะไรไปสู้ก็เถอะนะ


“ผมเข้าใจครับ” ผมกล่าวอย่างนอบน้อม และถ้าไม่สังเกตก็แทบจะไม่เห็นว่าคิ้วหนาของเขากระตุก “เรื่องสืบทอด ผมจะปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของศร แต่ถ้าท่านอยากได้ ‘ลูกชาย’ คืน ผมช่วยได้นะครับ”


ลูกชาย คนที่ห่างอกพ่อมามากกว่ายี่สิบปี


ไม่ทันได้คำตอบว่าผมจะได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่นั้นหรือไม่ คนที่กำลังถูกพูดถึงก็มีตัวตนขึ้นมาทันทีในรูปแบบของข้อความที่ทำเอาสมาร์ทโฟนในมือสั่นแรงต่อเนื่องอยู่หลายครั้ง


‘ยังไม่เปิดอ่านอีก’

‘ซ้อมเสร็จยัง’

‘โทรหาได้รึยังวะ’



ข้อความพวกนั้นปรากฏแก่สายตาในตอนที่ผมเสียมารยาทหงายหน้าจอขึ้นมอง และเชื่อว่าคนข้าง ๆ เองก็น่าจะเห็นพร้อมกัน


ไม่ทันไรคนที่เพิ่งถามว่าโทรหาได้หรือยังก็โทรเข้ามาพอดี ผมเหลือบมองพ่อของเจ้าตัวเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายพยักพเยิดหน้าเป็นเชิงอนุญาตแกมบังคับให้รับสายแล้วคุยตรงนี้ ผมก็ทำตามทันที


[รับช้ามาก ซ้อมเสร็จยังวะ ไม่หิวเหรอ กินไรยัง เหนื่อยแย่เลยดิ รีบหาข้าวกินด้วย…] เป็นอีกครั้งที่ศรรัวมาเป็นชุดก่อนที่ผมจะส่งเสียงทักทายไปเสียอีก ถ้าเป็นคนอื่นรับสายแทนผมล่ะแย่เลย


“ใจเย็นดิศร” ผมเผลอหลุดยิ้มออกมา อยากจะแซวว่าอีกฝ่ายชักจะติดผมมากเกินไปแล้สแต่ก็ต้องรีบเก็บอาการเมื่อเห็นสายตาเรียบนิ่งของคนข้าง ๆ มองมา “กูเพิ่งเลิก กำลังจะกลับแล้ว”


[หาข้าวกินด้วย มึงอย่าลืมขั้นตอนนี้]


“ยุ่งกับปากท้องกูจังเลยมึงเนี่ย” ถ้อยความเหมือนจะด่าว่าเสือกแต่ถ้ามีใครได้ยินน้ำเสียงหรือเห็นสีหน้าผมคงรู้ว่ามันตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง นิ้วกูแทบจะแกะขนเบาะเก้าอี้เล่นด้วยความฟูในใจแล้ว


[กะ ก็...ก็…] เสียงปลายสายตะกุกตะกักเหมือนยังหาคำแก้ตัวไม่ได้ เมียผมนี่พิลึกคน เดี๋ยวพูดตรงเดี๋ยวปากแข็ง [ก็พักนี้มึงผอมเกินไปแล้ว เป็นพระเอกละครเวทีที่หุ่นไม่ดีเลย เขายังไม่พิจารณาถอดมึงออกจากบทอีกเหรอ]


ผมหลุดหัวเราะให้กับข้ออ้างที่ศรยกมา ในตอนนั้นเองที่เพิ่งนึกได้ว่าเผลอลืมไปแล้วว่านั่งอยู่กับใคร


ผมกระแอมไอเล็กน้อย ดันลิ้นกับกระพุ้งแก้มแก้เก้อและเก็บความรู้สึกอยากยิ้มจนแทบบ้าไปในคราวเดียวกัน “โทรไปถามพ่อมึงด้วยดิว่ากินข้าวรึยัง”


[อะไรของมึง]


“เริ่มต้นกันใหม่ไง...เริ่มจากตอนนี้เลย” ผมรู้ว่าศรเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อพ่อไปมากแล้ว ดูจากครั้งล่าสุดที่ยอมนอนค้างที่บ้านทั้งที่ครั้งแรกที่ผมเห็น อีกฝ่ายแทบไม่อยากเจอหน้าพ่อด้วยซ้ำ


“ถ้าไม่กล้าโทรก็ส่งข้อความไปดิ” ผมเหล่มองคนข้าง ๆ สีหน้าเขาเรียบตึงอยากจะคาดเดา “ใช้ข้ออ้างเดียวกันนี่ไง” ได้ยินเสียงสบถหลังจากรู้ว่าผมรู้ทันดังแว่วมาให้ยิ่งอารมณ์ดี


[อือ บิ้วกูเก่งนะมึงน่ะ]


ผมยิ้ม โล่งใจที่อีกฝ่ายรับพิจารณาคำแนะนำของผม “อย่าลืมว่ากูเป็นแค่อีกคนนึงที่มึงรัก...ยังมีคนอื่น ๆ ที่มึงรักและเขาก็รักมึงนะ”


[หมายถึงกิ๊กคนก่อน ๆ ของกูน่ะเหรอ]


“ไอ้ศร!”


คราวนี้คนปลายสายหัวเราะลั่นจนมีเสียงเพื่อนฝูงดังแทรกขึ้นมาว่าเจ้าตัวถูกใจอะไรนักหนาถึงได้หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้ [รู้แหละหน่า แต่ขอคิดดูก่อนแล้วกัน]


“ครับ” ผมเหลือบมองคนข้าง ๆ อีกครั้งก่อนพูดประโยคปิดท้ายด้วยเสียงที่เบาที่สุด “รักมึงนะ”


ไม่ได้อยากแสดงความรักอะไรตอนนี้หรอกครับ แต่แค่อยากให้ศรรู้ว่าผมอยู่ข้างมันเสมอและพร้อมจะเป็นแบ็คอัพให้มันผ่านความรู้สึกหวั่นกลัวต่าง ๆ ในใจไปให้ได้


ผมหันมองเขาเต็มตาหลังจากวางสายแล้ว คนสูงวัยกว่ากระตุกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาไม่วาวโรจน์อย่างที่นึกกลัวไปเองแต่ก็ยากจะคาดเดาความรู้สึกจริง ๆ ในนั้น


“ดีจริง ๆ ที่ลูกชายฉันมาเจอเธอ”






ผมไม่รู้ว่าศรได้ทำอย่างที่ผมแนะนำหรือไม่ เพราะเมื่อกลับถึงห้องพร้อมอาหารกล่องง่าย ๆ ก็ดันมีสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันนั่นคือเพื่อนในกลุ่มมันกำลังไลฟ์สด


ไอ้ฟากำลังพูดเป็นต่อยหอย ดีหน่อยที่มันไม่พูดขึ้นกลางวงว่าผมเป็นหนึ่งในคนที่กำลังดูอยู่ ข้างหลังมันมีเพื่อนกลุ่มใหญ่นั่งล้อมกันเป็นวงกลม ผมไม่แน่ใจเรื่องจำนวนคนเพราะมุมกล้องกวาดไม่ทั่วทั้งวง เห็นแค่ว่ามีคนที่ผมไม่รู้จักปนอยู่ด้วยมากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เห็นแล้วว่าศรอยู่ตรงไหนของวง


“ตอนนี้เรากำลังจะเริ่มเล่นเกมโดเรมอนกันนะครับ…”


ผมเปิดกล่องอาหารออก ตัดสินใจไม่เทใส่จานแล้วลงมือกินไปด้วยฟังไอ้ฟาเล่ากติกาของเกมไปด้วย


ปกติกลุ่มเพื่อนผมไม่มีกิจกรรมเล่นกันในวงเหล้า เกมชื่อน่ารักแต่กติกาจำยากฉิบหายอย่างที่พวกนั้นกำลังเล่นกันจึงทำให้ผมค่อนข้างงง คุ้น ๆ ว่าศรเคยเล่าให้ฟังว่าพวกนั้นชอบเล่นเกมที่ต้องใช้สมองและสติเวลาดื่ม ถือเป็นความสนุกอย่างที่สุดเพราะบ่อยครั้งที่พลาดกันแบบไม่น่าให้อภัย ผมกำลังจัดการอาหารตรงหน้าด้วยความหิวโหยจึงทันฟังแค่ว่าให้แจกไพ่แบบหงายแต้มไปเรื่อย ๆ โดยไพ่แต่ละใบจะมีคำอธิบายที่รู้กันว่าเจ้าตัวต้องทำอะไรบ้าง แต่หลังจากนั้นผมฟังไม่ทันอีกเลย


ในระหว่างนั้นผมทันเห็นไลน์จากศรเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ เป็นรูปวงเกมและอีกสองคำถามเกี่ยวกับปากท้องของผมตามมาต่อจากนั้น นี่มันตามติดผมแทบทุกย่างก้าวเลยจริง ๆ เป็นความแปลกใหม่ที่โคตรน่ารัก ผมกดออกจากไลฟ์เข้าหน้าแชทเพื่อพิมพ์ตอบกับศรในทันที


OMIN : กำลังกิน
OMIN : อยู่ที่ห้องเนี่ยแหละ
DharmaSORN : ดีมาก เหนื่อยก็รีบนอนพัก
OMIN : รู้ตัวไหมว่าวันนี้ทำตัวแปลกมาก
DharmaSORN : ยังไง
OMIN : วันนี้มึงทักกูมากี่รอบละ โทรหาถี่ขนาดไหนได้นับไหม

ศรเว้นช่วงไปจนผมคิดว่าฝั่งโน้นคงเริ่มเล่นเกมกันแล้ว

DharmaSORN : รำคาญเหรอวะ
OMIN : มึงก็รู้ว่ากูชอบ แต่มึงไม่เคยเป็นแบบนี้ไง กูเลยแปลกใจ

ศรเว้นจังหวะไปอีกทั้งที่อ่านข้อความแล้ว

DharmaSORN : จริง ๆ อยากทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว แต่กลัวมึงไม่ชอบ
OMIN : ก็เลยทำตัวให้กูเป็นฝ่ายวิ่งตามสินะ
DharmaSORN : เออดิ
OMIN : แล้วทำไมตอนนี้ยอมตามกู
DharmaSORN : อาภพเคยบอกว่าให้ลองทำตัวดีๆ น่ารักๆ มึงจะได้ไม่ทิ้งไปไหน

โอ๊ยยยย โว๊ยยยย!!

OMIN : ใครจะกล้าทิ้งวะ
OMIN : แค่นี้ก็หลงมึงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว
DharmaSORN : พูดมาก กูไปเล่นเกมแล้ว
DharmaSORN : ฝันดี
DharmaSORN : บาย



กลับมาจะฟัดให้ช้ำเลย!


ผมหมายมั่นในใจก่อนกดเข้าไปดูไลฟ์อีกครั้ง ทันได้เห็นตอนเริ่มเกมพอดี เดาว่าก่อนหน้านี้พวกมันคงเวิ่นอะไรกันอยู่แน่ ๆ “เริ่มจากไอ้ทัชแล้ววนขวานะครับ แจกซักทีโว้ยไอ้ดล” เสียงไอ้ฟาดังอย่างต่อเนื่อง ผมเหลือบมองเป็นระยะ ทันเห็นคนแรกที่ได้ไพ่ เจ้าของชื่อ ‘ทัช’ คือคนที่นั่งซ้ายมือของศร นั่นเท่ากับว่าคนต่อไปที่จะได้ไพ่คือแฟนผม ส่วนคนที่ทำหน้าที่แจกไพ่ชื่อดลนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมัน


“สองงงง ดื่มมมมม” คนที่ชื่อทัชได้ไพ่แต้มสอง ตามกติกาคงต้องดื่มเพราะมีคนที่ทำหน้าที่เทวอดก้าเพียวยื่นไปให้หนึ่งแก้วเป๊ก เห็นอย่างนั้นผมก็ร้อนใจ อยากจะโทรไปหาคนรักเสียเดี๋ยวนั้นแต่ก็ยั้งใจและมือไว้ได้ทันเมื่อคิดได้ว่าผมควรเชื่อคำมั่นที่อีกฝ่ายให้ไว้ว่าจะไม่เมาเกินไปจนทำให้เป็นห่วง แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าสถานการณ์อาจจะพาไปจนอีกฝ่ายไม่อาจรักษาคำพูดตัวเองไว้ได้


“เก้าโว้ยเก้า คนซ้ายมือดื่มเลยครับเพื่อน” คนที่ชื่อทัชหัวเสียชี้นิ้วไปหาไอ้ศรอย่างหมายมั่นราวกับฝากรอยแค้นเอาไว้ก่อน เพราะเมื่อศรได้ไพ่แต้มเก้า นั่นเท่ากับว่าคนซ้ายมืออย่างทัชต้องเป็นคนดื่มแทน ผมเพิ่งรู้ในตอนนี้เองว่าเกมนี้ห้ามใช้ชี้นิ้วใส่กัน ให้ใช้ได้แค่กำปั้นเหมือนมือของโดเรมอนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นต้องโดนลงโทษด้วยการดื่มด้วย กลายเป็นว่าครั้งนี้ทัชต้องดื่มมากถึงสองแก้ว


ผมปล่อยให้ไลฟ์ดำเนินไปตามการควบคุมของฟา ละสายตาจากจอแล้วฟังแค่เสียงบ้างในตอนที่จัดการอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ก็ยังถือสมาร์ทโฟนติดมือไว้ตลอด


“แต้มเจ็ดไอ้สัด!” ดูเหมือนไพ่ใบนี้จะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เจ้าของไลฟ์รวมถึงคนอื่น ๆ ตื่นเต้นขึ้นมา “เริ่มนับเดี๋ยวนี้เลยมึง”


ผมหันมองจออย่างสนใจทั้งที่กำลังชะล้างตัวอยู่ใต้ฝักบัว คนที่มีไพ่แต้มเจ็ดอยู่ตรงหน้าเริ่มพูดเลขหนึ่งขึ้นมาแล้วคนถัดไปด้านขวามือก็เริ่มนับเลขต่อกัน “หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า...หก...แปด” เสียงโห่ร้องดังขึ้นเมื่อไม่มีเลขเจ็ดออกจากปากใคร หลังจากนั้นคนที่เหลือก็เริ่มนับเลขกันต่อ “เก้า...สิบ...สิบเอ็ด...สิบสอง...สิบสาม...สิบห้า” เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีกครั้งราวกับร่วมยินดีที่มีผู้รอดชีวิตจากเหล้าแก้วนั้นที่ถูกนำมาวางรอไว้กลางวงแล้วเพิ่มอีกคน


เสียงนับเลขยังดังอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีคนเผลอพูดเลข ‘สิบเจ็ด’ ขึ้นมา ที่ผมบอกว่าเผลอเพราะเมื่อเจ้าตัวพูดออกมาแล้วรีบยกมือปิดปากแทบไม่ทันคงเพราะรู้ตัวว่าได้พูดคำต้องห้ามออกไปแล้ว กอปรกับเพื่อนฝูงโห่ร้องกันอย่างสนุกสนาน


ผมละสายตาจากจอมาสนใจการอาบน้ำของตัวเองต่อเมื่อเกมดำเนินต่อไป เท่าที่ดูมาสิบห้านาที ศรดื่มไปแล้วสี่แก้วจากทั้งแต้มไพ่ของตัวเอง (ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วว่าแต้มที่ต้องดื่มเองคือสอง สาม และสี่) และดื่มจากการตกกระไดพลอยโจรเพราะถูกคนได้ไพ่แต้มห้าเลือกเป็นบัดดี้ที่เมื่อเจ้าตัวโดนอะไร คนของผมก็ต้องโดนไปด้วย


ผมปิดไฟจนหมดแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงเหมือนจะเข้านอนแล้วแต่กลับดูไลฟ์ของฟาไม่วางตาราวกับกำลังดูเกมโชว์ที่เรตติ้งดีที่สุดในประเทศไทย


“ไพ่คิงเว้ย!!” คนที่ได้ไพ่ตะโกนอย่างดีใจ “เชี่ยดลแม่งโชคดีสัด” ผมไม่รู้ว่าไพ่คิงในมือคนชื่อดลมีอำนาจมากขนาดไหน แต่เดาจากสีหน้าเพื่อนร่วมวงแล้วคิดว่าคงทำให้หลายคนร้อน ๆ หนาว ๆ ได้


“ใครที่ดูอยู่แล้วลืมว่าไพ่คิงทำอะไรได้ ผมจะทวนให้นะคร้าบบ” เสียงฟาเริ่มยาน เดาว่ามันไม่ได้เมาหรอก คงแค่กำลังสนุกมากกว่า “คนได้ไพ่คิงมีสิทธิ์จะให้ใครทำอะไรก็ได้นะครับ มาดูกันว่าผู้โชคดีคนนั้นจะเป็นใคร”


“ไอ้ศร...” นัยน์ตาของดลจ้องมองคนของผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมต้องกลั้นหายใจเพราะไม่อาจรู้สึกไว้ใจนัยน์ตาคู่นั้นได้เลย


“กูขอสั่งให้มึง...”


ผมไม่กล้าหายใจเลยจริง ๆ


“...จูบกู...”


ภาพบนหน้าจอกลายเป็นสีขาวของพื้น คงเป็นเพราะเจ้าตัวตกใจ เช่นเเดียวกับผมที่ตอนนี้ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความร้อนใจ ตอนนี้ผมไม่เห็นว่าศรกำลังทำหน้าอย่างไรที่ได้ยินคำสั่งแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าเพราะความคึกคะนองจากปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดหรืออย่างไรถึงทำให้กล้าออกคำสั่งบ้า ๆ นั่น และไม่รู้ด้วยว่าศรจะเมาจนบ้าจี้ตามเกมอีกฝ่ายด้วยหรือไม่


...เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น...


ไม่ทันได้รู้ว่าเกมดำเนินต่อไปอย่างไรการไลฟ์ของฟาก็จบลงพร้อมทิ้งความคลุมเครือเอาไว้ในใจของทุกคน ผมหงุดหงิดจนแทบคลั่ง รีบต่อสายถึงคนที่เพิ่งปิดไลฟ์หนีไป รออยู่นานจนเกือบจะทนไม่ไหวลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะไปหาศรที่เขาใหญ่เสียเดี๋ยวนี้เลย โชคดีจริง ๆ ที่ฟายอมรับสายของผมในครั้งที่สาม


“วิดีโอคอลกับกู!!”







พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 21
----------------------------------------------------------------
หวานเรี่ยราดจริงๆเลยคู่นี้
ไม่รู้ว่าจะมีคนจำเพื่อนๆภาคไฟฟ้าของศรได้รึเปล่า ฮ่่าๆๆ นานๆโผล่ที

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โอมใจเย็นนะะะะะะ  :mew2:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ TheBig

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้ สนุกมากๆเลยค่ะ มาต่อไวๆนะคะ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
โอมใจเย็นๆ5555555555 ศรไม่จูบหรอกน่า

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 21
---DharmaSORN---






“ไอ้ศร...”


ผมหลับตาชั่วครู่เมื่อได้ยินชื่อตัวเอง เกมไพ่โดเรมอนที่พวกผมชอบเล่นกันตอนเมาและยิ่งขาดสติก็ยิ่งสนุกนั้นแม้จะมีกติกาที่ยุ่งยากแต่เพราะเล่นกันบ่อยครั้งจึงทำให้จำได้แม่นยำ คนที่ได้ไพ่เอซจะได้รับอำนาจสั่งให้ใครดื่มก็ได้ ขณะที่แต้มสองสามสี่ต้องดื่มเองหนึ่งแก้ว แต้มห้าต้องหาบัดดี้ร่วมชะตากรรมไปจนกว่าจะหาคนที่ได้ไพ่แต้มห้าใบใหม่ ซึ่งพวกผมมักใช้แต้มนี้ในการพลีชีพเพื่อรุมแกล้งมอมใครสักคนในวง ซึ่งคืนนี้ก็คือไอ้กอล์ฟที่ดูจะเมาหนักที่สุดในชีวิตของมันแล้ว แต้มหกเล่นเกมหมวดคำ คนที่คิดคำในหมวดนั้น ๆ ไม่ออกต้องเป็นคนดื่ม แต้มเจ็ดจะเริ่มนับเลขวนไป คนที่พูดเลขที่มีเจ็ดหรือเลขที่หารด้วยเจ็ดลงตัวหรือข้ามเลขที่ไม่ใช่เลขต้องห้ามจะต้องดื่ม ซึ่งเมื่อกรึ่ม ๆ จะเริ่มสับสนจนเผลอข้ามหรือลังเล นับแต่ละทีเกินสามสิบก็เก่งมากแล้วครับ แต้มแปดเป็นไพ่ใบเดียวที่ทำให้คน ๆ นั้นลุกออกจากวงไปได้ แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น จะไปเข้าห้องน้ำหรือทำอะไรก็แล้วแต่ แต้มเก้าคนซวยคือซ้ายมือ ตรงข้ามกับแต้มสิบที่คนขวามือต้องดื่ม ไพ่แจ็คเป็นการฝึกความช่างสังเกต คนรอบวงต้องเลียนแบบท่าทางของเจ้าของไพ่ที่จะเริ่มทำตอนไหนก็ไม่รู้ได้ คนที่ทำช้าที่สุดจะรับเคราะห์ไป ไพ่ควีนคือไพ่ตัวซวย คนที่ได้รับจะกลายเป็นที่น่ารังเกียจของเพื่อนร่วมวงไปในทันที กฎคือห้ามใครพูดกับเขา และถ้าเจ้าของไพ่เป็นคนที่พูดมากหรือเมาแล้วพูดมากช่างก่อกวนแล้วละก็ เกมต่อจากนั้นจะโคตรกวนประสาทจนมีคนยอมดื่มเพื่อให้ได้ด่ามัน ส่วนไพ่คิง…


...อำนาจสูงสุดจะตกในมือคน ๆ นั้น


“กูขอสั่งให้มึง...”


ขอแค่อย่าเล่นอะไรพิเรนทร์ก็พอ


“...จูบกู...”


ผมอยากสบถออกมาดัง ๆ เล่นเกมนี้กันมาหลายครั้งแต่ไม่เคยมีครั้งไหนเล่นบ้า ๆ ข้ามเส้นกันแบบนี้ แม้ไม่เคยขีดเส้นจำกัดนิยามของการสั่งอะไรก็ได้ แต่ทุกคนก็เล่นกันในขอบเขตที่พอดีมาโดยตลอด ผมไม่สนใจท่าทางนิ่งอึ้งของทุกคนแต่เลือกหันมองไอ้ฟาที่ลดโทรศัพท์ในมือลงแล้ว ส่งสัญญาณให้มันปิดกล้องเสียที ซึ่งมันก็รีบทำตามอย่างว่าง่าย เห็นอย่างนั้นแล้วจึงไล่สายตากลับมามองคนที่ถือไพ่คิงในตอนนี้


เจ้าตัวหน้าแดงก่ำมองมาที่ผมตาเยิ้มแต่ส่อแววท้าทายอยู่ในที ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาในตอนนี้ ทุกคนพร้อมใจกันรอดูสถานการณ์เงียบ ๆ แต่ในความนิ่งเงียบนั้นผมเห็นจากหางตาว่ามีเพียงฟาที่เคลื่อนไหว ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรับสายของใครสักคน เห็นยกขึ้นแนบหูได้แปบเดียวก็เอาลง


“กูยังไม่เมา” ผมว่า บอกให้รู้ว่าไม่บ้าพอจะตามเกมมันอย่างคนคึกคะนองที่ขาดสติ “เมื่อกี้ไอ้โอมดูอยู่รึเปล่า” ประโยคหลังผมหันไปถามไอ้ฟา สีหน้าซีดเผือดปราศจากคำพูดของมันเป็นคำตอบได้ดี


“ฉิบหาย” ผมสบถเบา ๆ งานเข้ากูแน่ ๆ อดไม่ได้ที่จะคว้าโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้ข้างกายขึ้นมาดู เมื่อไม่เห็นการติดต่อใด ๆ จากอีกฝ่ายอย่างที่กำลังกลัวก็เบาใจขึ้นแต่ยังไม่วางใจ


“มึงชอบไอ้ศรเหรอวะ” ไอ้เตอร์ถามขึ้นมา ทุกคนในวงให้ความสนใจกับประเด็นนี้ทั้งที่ก่อนหน้านี้เกือบล้มคอพับคออ่อนกันไปหลายคนแล้ว รวมถึงไอ้กอล์ฟ เหยื่อของไพ่แต้มห้าที่อยู่ดี ๆ ก็สร่างเมากลับมาเป็นกอล์ฟคนเดิมได้เร็วจนไม่น่าเชื่อ


ไอ้ดลไม่ตอบ แต่เลือกมองมาทางผมแล้วถามคำถามที่ไม่มีที่มาที่ไปแทน “มึงเป็นไบฯ ได้ทั้งชายทั้งหญิงเหรอวะ”


ผมคว้าแก้วเป๊กกลางวงที่มีวอดก้าเพียวอยู่เต็มแก้วขึ้นมาซดดื่มรวดเดียว ความร้อนที่แสบคอทำเอาผมต้องเบ้หน้าเล็กน้อย เป็นความจริงที่ไม่ว่าจะดื่มมากกี่แก้วก็ไม่มีทางชินกับสัมผัสแบบนี้ได้ “กูไม่รู้”


“งั้นก็ต้องชอบกูเหมือนที่ชอบมันได้เหมือนกัน” ไอ้ดลยังรั้นต่อ ผมไม่ค่อยเข้าใจสาเหตุที่มันดื้อดึงจะคุกคามเรื่องส่วนตัวของผมสักเท่าไหร่ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะมันเมามาก ถ้าเป็นอย่างนั้น สาบานได้เลยว่าผมจะไม่มีวันปล่อยให้มันเมาถึงจุดนี้อีกเด็ดขาด


“อันนี้พูดในฐานะคิงรึเปล่า” ผมเลิกคิ้วถาม


อีกฝ่ายโยนไพ่ในมือทิ้งอย่างไม่ใยดีในอำนาจของมันอีกต่อไป “ถามในฐานะที่กูเป็นกู”


“กูไม่สนหรอกว่ากูจะเป็นเพศทางเลือกแบบไหน แต่ถ้ามึงมองว่ากูเป็นเกย์ กูก็บอกได้ว่ากูเป็นเกย์ที่รักเดียวใจเดียว เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้ากูชอบไอ้โอมได้ ไม่ได้แปลว่ากูก็ชอบมึงได้เหมือนกัน”


“...”


“...แต่มันแปลว่ากูชอบไอ้โอมแค่คนเดียว”


"มีอะไรที่มันให้มึงได้แต่กูให้ไม่ได้เหรอวะ กูพร้อมให้มึงได้ทุกอย่างไม่แพ้มันหรอกนะ…” ดลเริ่มขึ้นเสียงแต่ยังคงนิ่ง “...หรือว่ามันเอาเก่ง...กูก็ให้มึงได้ไม่แพ้มันเหมือนกัน"



ถ้าเป็นช่วงแรกที่คบกับโอมผมคงเดือดดาลกับคำพูดดูถูกดูแคลนของเพื่อน ไอ้ทัชที่นั่งข้าง ๆ จึงรีบคว้าไหล่ไว้อย่างหวั่นกลัวว่าผมจะพุ่งเข้าไปต่อยไอ้ดล ทว่าตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่เพื่อนพูดมันยังคงทำให้ผมไม่พอใจเหมือนเดิม เพียงแต่น้อยเกินกว่าจะทำให้วู่วามจนทำอะไรที่เสียเพื่อนได้


"หึ พูดมาแค่นี้กูก็รู้แล้วว่าจริง ๆ แล้วมึงแค่อยากได้...มึงไม่ได้อยากให้อะไรกูเลยด้วยซ้ำ"


“แล้วมัน...คนแบบนั้นน่ะเหรอให้อะไรมึง”


ผมยิ้ม นึกย้อนถึงสิ่งที่ได้รับจากคนรักแล้วก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม “มากอย่างที่มึงคาดไม่ถึงเชียวล่ะ”


“พูดขนาดนี้ก็สารภาพรักเลยดิ” ไอ้ฟาแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าดลนิ่งไปและไม่มีวี่แววจะถามต่อ


“ถ้ามึงตั้งใจฟังจะรู้ว่ากูพูดไปแล้ว”


“มึงแค่บอกว่าชอบ” ไอ้ฟาสวน


การที่ผมบอกว่าผมรักเดียวใจเดียวและชอบโอมคนเดียวยังไม่แปลว่ารักโอมอีกเหรอ ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าพวกมันต้องการอะไร ยิ่งเมื่อทุกคนพากันร้องเรียกหาคำว่ารักจากผมราวกับกำลังเชียร์อัพอะไรสักอย่างผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ และถ้าหากเป็นธรรมศรคนปกติ ไม่มีทางที่ผมจะมานั่งสาธยายเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังแน่ แต่นี่คงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ด้วยส่วนหนึ่ง ผมถึงได้คึกไหลตามการชักจูงของพวกมันได้ง่ายดาย


“กู...รัก...โอม...อิน...คน...เดียว”


ผมพูดช้า ๆ ชัด ๆ ย้ำทีละคำ “ได้ยินกันชัดแล้วนะ เลิกเสือกเรื่องกูกันสักที”


ปุ้ง! ปุ้ง! ปุ้ง!


เมื่อเสียงพูดของผมสิ้นสุดลง เพื่อนรอบวงไพ่ก็พร้อมใจกันดึงสลักปล่อยพลุกระดาษใส่ผมจากรอบทิศทางพร้อมเสียงเฮที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องปล่อยผมให้นั่งงงอยู่คนเดียว


ผมปัดเศษกระดาษบนศีรษะออกด้วยความรำคาญหลังจากที่แน่ใจว่าจะไม่มีใครปล่อยพลุใส่ผมอีกแล้ว “เล่นบ้าอะไรกันวะ”


“มึงมันคนปากหนัก ไม่เคยแสดงออกว่ารักว่าชอบ ดีแต่ให้เขาเป็นฝ่ายตามอยู่ตลอด พวกกูหมั่นไส้เลยเล่นแม่ง” ไอ้เมฆ เพื่อนในกลุ่มผมอีกคนเฉลยขึ้นมา ตอนนี้มันย้ายตัวเองไปนั่งใกล้คู่หูอย่างไอ้ฟาแล้ว ถ้าอยู่ใกล้มือใกล้เท้าล่ะพ่อจะถีบให้จมตีนเลย


“เสือกกันเก่งนะพวกมึง”


“นี่ช่วยนะเว้ย” ไอ้หนึ่งเสริม เพื่อนในกลุ่มสนิทเนี่ยแหละตัวดี


“ช่วยเหี้ยไร พวกมึงเพื่อนกูหรือเพื่อนมันกันแน่วะ แถมช่วยให้กูซวยอีก ไอ้โอมเข้าใจกูผิดหมดแล้วไอ้พวกเหี้ย”


ไอ้ฟาหัวเราะลั่น “ไม่ผิดหรอก ตอนนี้มันรู้แล้วว่ามึงรักมันมากกกกกกกกก” เกลียดการลากเสียงด้วยสีหน้ากวนส้นตีนของมันจริง ๆ


“ยังไงพวกมึงก็เหี้ยอยู่ดี” กูไม่เชื่อหรอกว่ากลับไปแล้วไอ้โอมจะไม่เอาเรื่อง เพียงแค่ว่ามันไม่ตามมาที่นี่ตั้งแต่คืนนี้ก็เท่านั้นแหละ


“ความคิดนี้มาจากท่านกอล์ฟเลยนะเว้ย ไม่ถึงกับเหี้ยม้างงงง” ไอ้ทัชว่าทั้งยังติดเสียงขบขันไว้ท้ายประโยคให้รู้ว่าแท้จริงแล้วก็รู้สึกขัดแย้งกับสิ่งที่พูดออกมาอยู่เหมือนกัน


ผมหันมองคนเจ้าความคิด เพื่อนสนิทกูเนี่ยแหละตัวดีที่สุดจริง ๆ ยิ่งสนิทยิ่งวางใจก็ยิ่งตัวดี “โคตรเหี้ย” ผมว่าไม่จริงจังนัก พอรู้ว่าเป็นกอล์ฟที่คิดเรื่องบ้า ๆ พวกนี้ขึ้นมาก็รู้สึกว่าความขุ่นเคืองในใจน้อยลงไปทันที คงเพราะมันเป็นเพื่อนที่รับฟังและให้คำปรึกษากันมาโดยตลอดละมั้ง ผมถึงได้เข้าใจว่ามันทำเพื่ออะไร


“กูอยากให้มึงพูดออกมาบ้างไง บางอย่างการกระทำมันไม่พอหรอกนะ อีกอย่าง มึงก็ใช่ว่าจะทำตัวดี มีคำพูดให้คนฟังได้สบายใจบ้างก็ดีไม่ใช่เหรอวะ” ไอ้กอล์ฟอธิบายด้วยท่าทีจริงจังต่างจากพวกเพื่อนเหี้ยที่เริ่มกลับเข้าสู่บรรยากาศสนุกสนานกันแล้ว


“ช่างแม่งเถอะ รวมหัวกันแกล้งกูสำเร็จแล้วนี่” ผมปิดวงดราม่าไว้แค่นั้น เกมไพ่โดเรมอนก็สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน ตอนนี้เราแค่นั่งดื่มกันไปแหกปากร้องเพลงคลอเสียงกีตาร์กันไปอย่างที่ควรจะเป็นในช่วงใกล้เที่ยงคืนแบบนี้



ผมดื่มแค่พอให้สนุก รู้ว่าขอบเขตตัวเองอยู่ที่ตรงไหน อาศัยความสามารถในการเล่นดนตรีของตัวเองเนียนเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกชนแก้วด้วยบ่อย ๆ บางคนหนีไปอ้วกมาแล้วรอบหนึ่งแต่ก็ยังกลับมาดื่มต่อได้เพราะความสนุก จริง ๆ นะครับ ปกติไม่ดื่มกันเยอะขนาดนี้หรอก แต่พออยู่กับเพื่อน เที่ยวค้างคืนกันแบบนี้แล้วความสนุกมันเพิ่มขึ้นจึงทำให้รู้สึกอยากดื่มมากกว่าปกติเป็นธรรมดา


ยิ่งดึกก็ยิ่งคึก หลายคนที่สร่างเมาแล้วเริ่มตั้งวงไพ่กันอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เป็นเกมไพ่จริง ๆ ที่มีการวางเงินพนันกัน เพียงแต่เล่นกันเอาสนุกสนานด้วยเงินเหรียญที่บางคนเตรียมตัวมาดีในแบบที่แทบจะทุบกระปุกมาเลยทีเดียว ผมนั่งเกากีตาร์อยู่ข้างวง ดูพวกมันเล่นพลางร่วมหัวเราะพลางได้ไม่นานก็ปลีกตัวออกไปนั่งเก้าอี้ริมสระว่ายน้ำคนเดียว


ทริปนี้ไอ้ดลเป็นคนจัดการทุกอย่าง เราเลือกที่พักเป็นบ้านที่นอนรวมกันทั้งหมดได้ในทุกครั้ง และครั้งนี้ดลเลือกบ้านที่มีสระว่ายน้ำขนาดเล็กอยู่ด้านข้างที่แค่เปิดประตูกระจกออกมาจากห้องนั่งเล่นที่พวกมันกำลังนั่งอยู่ก็ถึงพื้นที่ตรงนี้แล้ว


สระว่ายน้ำตรงหน้าผมถูกใช้งานไปตั้งแต่ช่วงค่ำพร้อม ๆ กับเตาย่างข้างสระ ตรงที่ผมนั่งอยู่นี่ก็เคยเป็นที่สังสรรค์กันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วนี่เอง คืนนี้อากาศแค่พอสบายตัว ไม่ถึงกับทำให้ขนลุกขนพอง เผลอระบายยิ้มให้กับเสียงโวยวายจากวงไพ่ที่ดังออกมาข้างนอกเพราะผมแย้มบานประตูเอาไว้


ผมมีเบียร์กระป๋องติดมือมาด้วย ดื่มริมสระแล้วจรรโลงใจอย่างบอกไม่ถูก แม้บรรยากาศโหวกเหวกจะไม่เข้ากับคืนจันทร์เพ็ญแต่ผมยังมีใจนึกถึงคนไกลจนต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายรูปส่งไปให้ ถึงตอนนี้จะเที่ยงคืนแล้วแต่ผมเชื่อว่าโอมยังไม่นอนแน่ ๆ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่ยอมโทรมาหากันบ้าง แอบเสียวสันหลังอยู่เหมือนกันว่ามันจะเคืองเพราะเรื่องเกมไพ่ที่เล่นกันเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ไม่ทันถามไอ้ฟาซะด้วยว่าโอมได้ฟังถึงตอนไหน


“เอาหน่อยไหม”


ผมส่งรูปไปให้โอม ไม่ทันเห็นคำแจ้งเตือนเล็ก ๆ ว่าอีกฝ่ายเห็นแล้วหรือยังก็ต้องรีบปิดหน้าจอเพราะมีคนเข้ามาขัดจังหวะ


คำเชื้อเชิญของดลหมายถึงบุหรี่ไฟฟ้า เจ้าตัวยื่นมาให้พร้อมพยักพเยิดหน้าให้ผมรับมา แต่ผมกลับส่ายหน้า เคยลองแล้วครับ รสหวานเหมือนลูกกวาด ควันเป็นสีพาสเทลอ่อน ๆ มีกลิ่นหอมที่พร้อมมอมเมาโดยที่เราไม่รู้ตัวนั่นอันตรายเสียยิ่งกว่านิโคตินทั่วไปเสียอีก


“ไม่ชอบรสนี้? เปลี่ยนก็ได้นะ กูมีเยอะ” ไอ้ดลยังเสนอทางเลือก เปลี่ยนใจที่จะนั่งลงข้างผมเป็นหันหลังกลับเตรียมจะไปหยิบอันใหม่อย่างที่บอก


“กูไม่สูบ เชิญมึงตามสบายเลย”


ไอ้ดลหรี่ตามองผมอย่างพิจารณาก่อนตัดสินใจนั่งลงข้างกัน “แบบมวนกูก็มีนะ”


“กูเลิกสูบแล้ว”


คราวนี้ดลยิ่งจ้องหนัก คิ้วเลิกขึ้นด้วยทั้งสงสัยและแปลกใจ “แฟนมึงขอ?”


“อือ” พูดถึงแฟน แฟนก็ส่งข้อความมาหาทันที ผมปล่อยให้สมาร์ทโฟนสั่นครืดบนโต๊ะอย่างนั้น แม้จะอยากปลีกตัวออกไปหาที่เงียบ ๆ คุยกับโอม แต่ไหน ๆ นี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้คุยกับดลตามลำพังแล้ว ทำไมผมจะไม่คว้าไว้ล่ะ


ผมแหงนหน้ามองพระจันทร์ ทัศนวิสัยตรงหน้ามีควันสีขาวขุ่นเกือบทึบจากบุหรี่ไฟฟ้าของคนข้าง ๆ ลอยบดบังความสวยงามของมันไปเกือบหมด


"ศร...แฟนมึงห้ามโน่นห้ามนี่แถมยังตามติดตลอด มึงไม่อึดอัดเหรอวะ มึงดูไม่มีอิสระ"



ผมยิ้มให้กับ ‘อิสระ’ ของตัวเอง "กูมีอิสระมาทั้งชีวิตแล้วว่ะ สิ่งที่กูต้องการคือการจำกัดขอบเขตกูด้วยความรักและความเข้าใจ...ซึ่งไอ้โอมให้กูได้"


มันเป็นคนเดียวเลยด้วยซ้ำที่มอบสิ่งนี้ให้กับผม


ผมที่แทบจะถูกเลี้ยงมาแบบปล่อยทิ้งปล่อยขว้าง มีอิสระในการคิดและตัดสินใจมาโดยตลอด เมื่อมาเจอคนที่คอยจำกัดขอบเขตโน่นนี่ในชีวิตเพราะอยากให้ผมมีชีวิตที่ดีและทำไปเพราะความรักที่มีให้ผมอย่างจริงใจ ทำไมผมจะไม่ยินดีจะรับไว้ล่ะ จริงไหมครับ?


ดลไม่ถามหรือแสดงความคิดเห็นอะไรต่อ อีกฝ่ายลุกออกไปอย่างเงียบ ๆ ผมได้แต่หวังว่ามันจะเข้าใจ


ไม่ทันหยิบเครื่องมือสื่อสารมาต่อสายหาคนรัก เก้าอี้ข้างผมก็ถูกจับจองอีกครั้ง


“กูนึกว่าวันสละโสด เพื่อนจะทะยอยเข้ามาคุยอะไรกับกูนักหนา”


ไอ้กอล์ฟหัวเราะในลำคอ


“ขอบใจนะ”


“ไหนตอนแรกด่าว่าเหี้ยไง”


“แล้วมึงจะให้กูพูดกลางวงเหรอว่าขอบใจที่กันไอ้ดลออกไปจากกู”


“มึงรู้เหรอ”


“กูไม่ได้โง่นะที่จะไม่รู้ว่าใครชอบกูบ้างอ่ะ”


ไอ้กอล์ฟหัวเราะชอบใจแต่ไม่ได้ดังจนทำให้ใครหันมาสนใจได้ “กูไม่เหี้ยแล้วสินะ”


“ขอบใจมึงจริง ๆ ที่ช่วยเหลือกูในหลาย ๆ อย่าง บางอย่างยังไม่ทันบอกมึงก็จัดการให้กูแล้ว”


“ด่าว่าเสือกเลยก็ได้”


ผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี


กอล์ฟวาดแขนขึ้นจะกอดคอ แต่ผมเบี่ยงหลบได้ทัน “อะไรวะ”


“ไอ้โอมไม่ให้กูกอดกับมึงแล้ว”


“นี่มันระแวงกู?”


“ไม่ให้กอดทุกคนนั่นแหละ”


“แหม เดี๋ยวนี้เชื่อฟังนะมึง เคลียร์กันทุกเรื่องแล้วเหรอ”


“อือ มันรู้เรื่องที่บ้านกูแล้ว”


“แล้วเป็นไง สบายใจขึ้นไหมล่ะมึงน่ะ”


“อืม ขอบใจมึงนะที่คอยรับฟังและช่วยกูแก้ปัญหามาตลอด”


“กูก็ต้องขอบใจมึงเหมือนกันที่เชื่อใจกู วางใจให้กูเป็นที่ระบายมาตั้งแต่เด็ก”


เรายิ้มให้กันอย่างจริงใจเหมือนอย่างเช่นทุกครั้งที่ปรับทุกข์กันเสร็จ


“มึงรู้ไหมว่าโลกมันกลมกว่าที่คิดนะ...” ผมเริ่มเล่าเรื่องที่รู้ว่าแม่ตัวเองเป็นแม่ของไอ้น้องรัก น้องสนิทที่ชมรมและน้องรดา เด็กสาวที่มาชอบไอ้โอม แต่ยังไม่เล่าเรื่องที่แม่ขอผมที่ร้านอาหารเมื่อวันนั้น


“เชี่ย!” ไอ้กอล์ฟอุทานออกมาหนึ่งคำถ้วน หน้ามันอึ้งมากราวกับจะไม่สามารถคิดและแสดงความเห็นอะไรออกมาได้ในตอนนี้


“ทฤษฎีโลกกลมแม่งจริงเกินไปแล้ว”


“เดี๋ยวนะ ถ้าไม่บังเอิญเจอกัน มึงก็จะยังไม่ยอมบอกไอ้โอมเรื่องครอบครัวใช่ไหม”


“ก็ไม่รู้จะบอกยังไงนี่หว่า” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม


“น่าตีจริง ๆ เลยมึงเนี่ย” ไอ้กอล์ฟทำท่าทางประกอบที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ทุบ’ มากกว่าตี


“แล้วเป็นไง”


“อะไรเป็นไง”


“ที่เจอแม่ไง”


“ก็...ไม่มีไรเป็นพิเศษ”


เรามองสบตากัน ผมรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องลึกกว่านั้น แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ “อือ”


ผมสบายใจที่จะระบายกับมันเพราะมันเป็นคนแบบนี้นี่แหละ รู้จังหวะว่าตอนไหนควรถาม ตอนไหนควรพอ



ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ผมจะได้คุยกับโอมอินเสียทีเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะมีใครเข้ามาคุยกับผมอีกหลังจากกอล์ฟลุกออกไปได้พักใหญ่ ผมไม่ได้ลุกออกไปหาที่เงียบ ๆ อย่างที่ตั้งใจแต่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเพียงแค่ปิดประตูกระจกเพื่อไม่ให้เสียงจากภายในดังออกมารบกวนเท่านั้น ผมครองพื้นที่ตรงนี้แค่คนเดียว เหยียดขาพาดเก้าอี้อีกตัว เอนหลังพิงให้สบายตัวเล็กน้อยก่อนเปิดข้อความของโอมออกอ่าน เป็นเพียงข้อความเดียวสั้น ๆ ว่า ‘ว่างรึยัง’


ผมกดวิดีโอคอลไปหาอีกฝ่าย คนปลายทางกดรับแทบจะทันทีราวกับกำลังรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ ภาพจากฝั่งโน้นมืดจนผมต้องบอกให้เปิดไฟ เข้าใจแหละว่ามันคงนอนอยู่บนเตียงแล้ว แต่ผมอยากเห็นหน้ามันนี่หว่า


กี่ครั้งแล้วที่ผมโทรหามันในวันนี้ หรือแม้แต่เป็นฝ่ายส่งข้อความไปก่อน เห็นนั่นเห็นนี่ก็คิดถึงมัน อยากแชร์ให้มันฟังไปหมดทุกอย่าง สำคัญคืออยากใช้เวลาที่มีความสุขในวันนี้ร่วมกับโอมด้วย


“กูจะทำยังไงกับมึงดีวะ” ไอ้โอมว่าทันทีเมื่อไฟสว่างขึ้น เราคุยกันแบบเปิดลำโพงเพราะผมไม่ได้หยิบหูฟังออกมาด้วย ไม่สนใจว่าเพื่อนจะล้อกันว่าอย่างไรอีกเพราะชินกับการถูกล้อมาทั้งวันแล้ว


“อะไรวะ”


สีหน้าอีกฝ่ายเคร่งเครียดและดูจริงจังมากจนผมกังวลใจไปด้วย “กูแม่งโคตรอยากจะขังมึงไว้ในห้องเลย ออกไปไหนไกลหูไกลตาแล้วเสน่ห์แรงซะเหลือเกิน”


ผมยิ้มขำ จะหัวเราะออกมาตรง ๆ ก็กลัวจะทำให้อีกฝ่ายยิ่งหงุดหงิด นี่ขนาดผมยังไม่ได้อ่อยใครแกล้งมันนะ มันยังหึงผมขนาดนี้ นี่แหละโอมอินแฟนผม “พวกมันแค่แกล้งกูขำ ๆ เท่านั้นเอง มึงก็ได้ยินหมดแล้วนี่”


“เสือกกันเก่ง” ผมยิ้มเมื่อโอมพึมพำด่าพวกนั้นด้วยคำเดียวกัน “มึงไม่รู้หรอกว่ากูกลัวแค่ไหน กูเกือบจะขับรถไปเขาใหญ่แล้วนะถ้าไอ้ฟาไม่ยอมรับสายกู”


นั่นไง กูว่าแล้ว


“มึงไม่เชื่อใจกูรึไงวะ” ผมไม่ได้ใช้น้ำเสียงหาเรื่องหรือชวนตี ออกจะเสียงอ่อนเสียด้วยซ้ำ


“กูรู้ว่ามึงจะไม่ทำให้กูเสียใจอีก แต่กูกลัวมึงเมาแล้วขาดสติ” แววตามันจริงจังมากจนผมกลัว กลัวว่าถ้าวันหนึ่งผมพลาดทำมันเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง อาจจะจบไม่สวยเหมือนที่ผ่านมา “ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ บอกตามตรงว่ากูไม่รู้ว่าจะทำใจได้เหมือนครั้งก่อนรึเปล่า”


“กูรับปากมึงแล้วไงว่าจะไม่เมา และกูก็ทำได้ด้วยนะเว้ย”


“อืม พรุ่งนี้กลับกี่โมง” โอมอินเปลี่ยนเรื่อง แต่ดูก็รู้ว่ายังมีบางอย่างรบกวนจิตใจอีกฝ่ายอยู่


“ไปถึงคงเย็น ๆ กูเข้าไปหาที่โรงละครได้ไหม” ผมว่าอย่างเอาใจ


“ไปรอที่ห้องเถอะ เดินทางเหนื่อย ๆ กลับไปนอนพักก่อน”


ผมยิ้ม เชื่อเถอะว่ามันเองก็อยากเจอผมให้เร็วที่สุดเหมือนกันแต่ก็ยังเป็นห่วงผมมากกว่าความต้องการของตัวเองอยู่ดี


“อย่ายิ้มแบบนี้” คนปรายสายส่งเสียงดุมา นัยน์ตาคู่นั้นขึงขังขึ้นฉับพลัน “อย่ายิ้มแบบนี้ในภาวะที่มึงเมา มันทำให้กูแทบคลั่ง”


“ยิ้มปกติป่าววะ” ผมว่าเสียงอ่อน ยอมรับว่าเขินอยู่หน่อย ๆ


“มึงรู้ไหมว่ากูอยากไปรับมึงกลับมาตอนนี้เลย...” ไอ้โอมดูหัวเสียมาก ๆ “...ไม่อยากให้ใครเห็นมึงตอนเมา ไม่อยากให้ใครเห็นรอยยิ้มที่หวานมากขึ้นเป็นพิเศษ กูหวง กูกำลังจะเป็นบ้าเพราะกูคิดแต่เรื่องเห็นแก่ตัว กู--”


“มึงมีสิทธิ์หวงโอม มึงมีสิทธิ์ จะบอกอะไรให้รู้ไว้นะ กูไม่ได้ยิ้มแบบนี้ให้ใครเห็นง่าย ๆ หรอกนะ ถึงกูจะเมาแต่กูก็จะยิ้มแบบนี้เฉพาะเวลาที่กูรู้สึกอุ่นใจ สบายใจ และปลอดภัยเท่านัั้นแหละ...คืนนั้นก็ด้วย” ผมหมายถึงคืนแรกที่เราเจอกันในวันที่พี่สัมนัดมาทำความคุ้นเคยกันก่อนเริ่มโปรเจคจบของพี่แก


“กูรักมึงมากนะ” ผมเสริม จนอีกฝ่ายยิ้มออกมาได้


“รู้แล้ว ๆ...แล้วเมื่อตอนหัวค่ำโทรไปหาพ่อรึยัง”


ผมนึกถึงตอนที่โอมบอกให้ลองโทรไปถามพ่อดูบ้างว่ากินข้าวรึยัง รวบรวมความกล้าอยู่นานก็ตัดสินใจส่งแค่ข้อความไปเท่านั้น ใครจะกล้าโทรไปหาคนที่เคยมีเรื่องผิดใจกันด้วยเรื่องที่แสดงความเป็นห่วงได้ชวนเลี่ยนขนาดนั้นกันละครับ มันยากเกินไปนะ


“ส่งข้อความไปแล้ว”


แต่สิ่งที่ผิดคาดไปมากคือการที่คนอย่างเขาโทรกลับมาเองเนี่ยแหละ เราปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่นาน ไม่มีแม้กระทั่งคำทักทายแต่ต่างก็รู้ว่าปลายสายคือใคร


“ดีแล้วคนเก่ง ค่อย ๆ เริ่มนะมึง”


“คนเก่งบ้าอะไรเล่า!” ฟังแล้วจั๊กจี๋หูเป็นบ้า


“ก็อยากให้กำลังใจมึงไง ไหน ๆ มึงก็เคลียร์ใจกับพ่อแล้วไม่ใช่เหรอ กลับไปเป็นครอบครัวกันมันก็ถูกต้องแล้วนี่”


“ก็ยังไม่ได้เคลียร์ขนาดนั้นหรอก ยังมีประเด็นคาใจอยู่” ...แต่ตอนนั้นแค่รู้สึกว่าพ่อพึ่งได้มากกว่าแม่


“ไม่เป็นไร ๆ ค่อย ๆ เริ่มกันไป กูอยู่ข้าง ๆ มึงตลอดแหละ”


“ขอบใจนะ”


“อือ กูเป็นแฟนมึงนะ กูไม่ปล่อยให้ใครมาอยู่ข้างมึงแทนที่กูอยู่แล้ว”


ผมหลุดหัวเราะลั่น โอมอินก็ยังคงหวงอย่างที่มันเป็นมาโดยตลอด “กูให้มึงเป็นคู่ชีวิตเลย”


อีกฝ่ายดูอึ้งกับสถานะที่ผมมอบให้จนผมต้องย้ำชัดอีกครั้ง “จริง ๆ นะ”


“ศร”


“หืม”


“จบไปอยากทำงานอะไร”


“ก็ต้องวิศวะสิวะ ถามแปลก”


“เคยคิดอยากรับช่วงต่อจากพ่อมึงไหม”


ทำธุรกิจน่ะเหรอ “ไม่อ่ะ”


“แล้วถ้าเขาอยากให้มึงทำล่ะ”


“พูดอะไรวะ”


“แค่ถามดู ก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ มึงเป็นลูกคนเดียวของเขานี่”


“อืม ขายทอดตลาดแล้วรอกินเงินปันผลจากหุ้นดีไหม” ผมว่าติดตลก ที่ผ่านมาไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้มาก่อน “กูไม่ชอบทำธุรกิจว่ะ ไม่มีหัวด้านการค้า...ทำไม? มึงอยากใช้เส้นกูเข้าไปทำงานที่นั่นเหรอ”


“จะบ้าเหรอ กูจบนิเทศจะไปทำงานแบบนั้นได้ยังไงวะ”


“ได้ดิ...ตำแหน่งเลขาฯกูไง กูล็อกให้มึงคนเดียวเลยนะ”


ไอ้โอมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “เหอะ อยากโรลเพลย์เป็นเจ้านายกับเลขาฯก็ไม่บอก กลับมาเดี๋ยวจะจัดให้เลย”


“ไอ้บ้า!!” ผมหันมองในบ้านเลิ่กลั่ก กลัวว่าจะมีใครออกมาได้ยินเรื่องสัปดนแบบนี้ ถ้าพวกมันได้ยินมีหวังโดนล้อจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแน่


มันเหมือนโดนล้อว่าติดแฟนเสียที่ไหนกันละวะ!!



 





พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 22
--------------------------------------------------------------
ใกล้จะจบแล้ววววว
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-11-2018 16:01:46 โดย ธัญญ์ »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด