►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!  (อ่าน 94899 ครั้ง)

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ชาตินี้อย่าตายเลยนะ ไม่อยากให้ใครเจ็บปวดอีกแล้ว :serius2:

ออฟไลน์ maykiz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
กลับมาต่อโหน่ยยยยย

ออฟไลน์ Somsitwiegel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอคนเขียน ถูกใจสุดๆ ทั้งฟิน ทั้งขำ น่ารักอะ อินหนักแอบเกลียดไอ้หัวงู อยากอุ้มชู พ่อหมาป่า หนุ่มทะเลทลาย น่ารักม๊วก โปรดเห็นใจคนรอรีบมาต่อไวๆ นะจ๊ะ :z3: :ling1: :z13: :hao5: :haun4:

ออฟไลน์ dino94

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แงงงค้างเหลือเกินนนไม่น้าาาเฉิงเฉิงจะตายอีกแล้วหรอ

ออฟไลน์ Septemberry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
งื้ออออออออ ค้างงงงงงงงง

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
 

บทที่ 30: พรจากสวรรค์

ม่านฉีลืมสิ้นทุกอย่างว่าในอดีตกาลนั้น ที่ตนพ้นการลงทัณฑ์ขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้มาได้เป็นเพราะผู้ใด หากไม่ได้เทียนอี้และเจี้ยนสือรวมหัวกันปั้นน้ำเป็นตัวแล้วล่ะก็ เขาคงจะไม่มีวันมาผงาดง้ำวางท่าโอหังให้สามโลกได้หวาดเกรงถึงเพียงนี้หรอก

หากทว่าการสูญเสียแขนกลับทำให้ม่านฉีโมโหโกรธาเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เขาไม่สนหรอกว่าเทียนอี้จะเคยมีพระคุณมากเพียงใด บัดนี้หงุดหงิดจนแทบจะพ่นไฟออกจากปากได้ ทั้งเสียแขน ทั้งถูกขัดขวางไม่ให้ได้ลิ้มลองหัวใจมนุษย์

เรื่องนั้นมันทำให้เขาโกรธเป็นอย่างยิ่ง!

“เจ้ามนุษย์ผู้นั้นเป็นของข้า!”

ม่านฉีพุ่งเข้าหา หมายจะฆ่าฟันให้บรรลัย ไม่สนใจว่าใครเป็นใคร ใจหมายจะกินแต่หัวใจมนุษย์อย่างเดียว

เทียนอี้ซึ่งประคองซิ่นเฉิงในสภาพบาดเจ็บสาหัสไว้ในอ้อมแขนเอี้ยวตัวหลบทันควัน แม้จะกังวลว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้เป็นที่รัก แต่ก็ต้องกระทำเพราะไม่อย่างนั้น ทั้งเขาและซิ่นเฉิงจะต้องถูกม่านฉีเล่นงานแน่

มือข้างหนึ่งประคองร่างมนุษย์หนุ่มไว้ อีกข้างคว้าอาวุธมาต่อกรกับปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวารี เสียงของโลหะจากปลายอาวุธและกงเล็บคมปะทะเข้าหากันดังสนั่นหวั่นไหว เทียนอี้ออกแรงทั้งหมดที่มีผลักอีกฝ่ายเสียจนกระเด็นไปอีกทิศ ก่อนจะรีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

หนี...

ต้องรีบพาซิ่นเฉิงหนีไปยังที่ปลอดภัย!

ตัวเขาจะเป็นอย่างไรนั้นก็ช่างมันเถิด เขาสนแค่จะรักษาชีวิตของคนที่เขารักไว้อย่างเดียวเท่านั้น แขนข้างนั้นอุ้มซิ่นเฉิงขึ้นแบกบนบ่า ขณะที่สองเท้ารีบก้าวอย่างรวดเร็วเพื่อให้พ้นยังบริเวณนั้น

ม่านฉีไม่จำเป็นต้องกินหัวใจของซิ่นเฉิงก็ได้ แต่ด้วยทิฐิของปีศาจที่ทระนงตนว่าเก่งกล้าเหนือผู้ใดในพิภพ ทำให้เขารีบไล่ตามเทพอสูรผู้นั้นด้วยหมายจะเอาชนะเพื่อประกาศตัวว่าปีศาจเช่นเขามีอำนาจอยู่เหนือทหารเอกขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้

ทหารเอก... ใช่ ในสายตาของม่านฉี เทียนอี้ยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแดนสวรรค์ดังเดิมแม้ว่าบัดนี้จะไม่ใช่แล้วก็ตาม

ปีศาจหนุ่มกระโจนพรวดเดียวก็ไปดักหน้าเทียนอี้เอาไว้ได้ รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชะงักงันเสียจนฝุ่นผงตลบคลุ้ง

“จงเลือกเอาว่าจะส่งหัวใจของมนุษย์นั่นมาให้ข้าดีๆ หรือจะต้องให้ข้าลงไม้ลงมือก่อน”

หัวใจของมนุษย์...

หัวใจของซิ่นเฉิง... มันเป็นของเทียนอี้ต่างหาก เรื่องอะไรถึงจะยกให้ผู้อื่นกันเล่า!

เทียนอี้ไม่ยอมแน่ ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าคร้ามครันหล่อเหลาก็ปรากฏร่องรอยแห่งความกรุ่นโกรธ ก่อนจะแผดเสียงขึ้นบ้าง

 “หากเจ้าจะเอาชีวิตที่เต็มไปด้วยตบะมาทิ้งไว้ที่นี่แล้วล่ะก็ เข้ามาได้เลยม่านฉี!”

“เช่นนั้นก็คงต้องเล่นสนุกกับเจ้าหน่อยแล้ว!”

ม่านฉีแสยะยิ้มเสร็จก็โผกระโจนเข้าหา มือข้างที่ยังอยู่กางเล็บออก หมายจะฉุดกระชากร่างของมนุษย์ที่แบกอยู่บนบ่าของเทียนอี้ให้แหลกเป็นชิ้นๆ หากทว่าเทียนอี้หลบเลี่ยงได้ทันควัน กงเล็บนั้นจึงคว้าพลาดไปคว้าเอาอากาศแทน แต่พลาดเพียงครั้งเดียวก็มิอาจทำให้ม่านฉีหยุดมือได้ สะบัดตัวหันมาจู่โจมอีกครั้ง ก่อนที่เทียนอี้จะตวัดอาวุธในมือฟาดฟันปัดป้องอย่างสุดความสามารถ

ซิ่นเฉิง... มนุษย์ผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยกให้ใคร ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมาจากปรโลกหรือสวรรค์ เขาก็จะไม่ยอมให้พรากไปทั้งนั้น!

เทียนอี้ปกป้องอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ แต่ด้วยร่างของเทพที่ไร้ซึ่งพลัง ทำให้ไม่อาจต่อกรกับเรี่ยวแรงของปีศาจเช่นม่านฉีได้ดีนัก ครั้นตวัดอาวุธในมือปัดป้องกงเล็บที่หมายจะกระชากเอาชิ้นเนื้อของมนุษย์หนุ่มที่โอบอุ้มอยู่ไปได้ ม่านฉีก็ใช้โอกาสที่เขาพลาดนั้นตวัดเม็ดทรายใส่ใบหน้าของอีกฝ่าย การกระทำนั้นทำให้เทียนอี้ผงะถอยหลัง ดวงตาปวดแสบพร่ามัวไปครู่หนึ่ง กระนั้นก็พยายามลืมตาขึ้นทั้งที่หยดน้ำตาเอ่อปริ่ม

เขามองไม่เห็น...บัดซบ!

แต่จะมัวมารอให้มองเห็นไม่ได้ เวลานี้ความเป็นความตายของซิ่นเฉิงอยู่ในมือของเขา เขาจะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่มคนนี้เป็นอันขาด

ทว่าเมื่อพลาดท่าเสียทีครั้งหนึ่งแล้วก็พลาดท่าเสียทีอย่างต่อเนื่อง ม่านฉีเห็นว่าแผนการของตนได้ผลก็ใช้ขาเตะเม็ดทรายเข้าใส่ดวงตาของเทียนอี้อีก แรงกระแทกของเม็ดผงเล็กๆ ทำให้เทียนอี้ต้องยืนอยู่นิ่งๆ อาศัยหูเงี่ยฟังเสียงรอบข้างแทน ก่อนจะรับรู้ได้ว่ารอบกายเขาหาได้มีเพียงม่านฉีแต่ผู้เดียวไม่ หากแต่ยังมีบรรดาสมุนปีศาจของอีกฝ่ายที่พากันกรูเข้ามารายล้อมเขาในยามนี้อีก

หากปล่อยไว้เช่นนี้ไม่เป็นการดีแน่ เพราะอีกไม่นานเขาคงจะต้องถูกรุม ตัวเขาน่ะไม่เป็นอะไรหรอก จะห่วงก็แต่ซิ่นเฉิงเท่านั้น

“ในเมื่อข้าให้โอกาสแล้ว แต่ท่านเลือกที่จะช่วยมนุษย์ผู้นั้น ก็จงยอมรับความตายเถิด!”

สิ้นเสียง บรรดาลูกสมุนปีศาจก็กรูเข้าใส่เทียนอี้ทันที ในความมืดมิดนั้น เทียนอี้ใช้หูฟังและเคลื่อนไหวไปตามเสียงที่อยู่รอบกาย มือตวัดอาวุธฆ่าฟันปีศาจเหล่านั้นอย่างชำนาญ

แม่ทัพใหญ่แห่งสวรรค์ อย่างไรก็ยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่ เพียงเคลื่อนไหวก็ทำให้โลหิตคาวคลุ้งน่าสะอิดสะเอียดของปีศาจพวกนั้นสาดกระเซ็นเป็นสาย เม็ดทรายถูกอาบไปด้วยของเหลวสีดำคล้ำ ขณะที่ในใจของเทียนอี้คิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ไม่ว่าจะต้องฆ่าฟันผู้อื่นอีกเป็นร้อยเป็นพัน เขาก็จะพาซิ่นเฉิงหนีไปให้ได้!

การต่อสู้นั้นบ้าคลั่งดุเดือด เทียนอี้ไม่ลดราการเข่นฆ่าเลยแม้แต่น้อย ท่าทีของเขาทำเอาเหล่าสมุนปีศาจเริ่มอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน ม่านฉีเห็นท่าไม่ดีจึงกระโจนเข้าไป กงเล็บที่พุ่งไปหาขูดไปกับเกราะเงินบนกายของเทียนอี้ดังครืดก่อนจะเกิดประกายไฟวูบวาบ สิ้นเสียง เกราะนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยง

พลังของม่านฉีนั้นน่ากริ่งเกรงยิ่ง...

ชวนให้กริ่งเกรงยิ่งกว่าเมื่อม่านฉีพุ่งเข้าใส่เทียนอี้พร้อมกับกระชากเอาเกราะอ่อนที่ยังคงอยู่บนกายเขาขาดวิ่นเป็นชิ้น โลหิตไหลซิบไปตามแนวคมเล็บที่ขูดลากไปบนผิวเนื้อ เทพอสูรหนุ่มร้องออกมาด้วยความปวดแปลบ ก่อนจะทรุดฮวบเมื่อขาข้างหนึ่งถูกกงเล็บนั้นเสียบแทงเข้ามาสุดแรง

“ส่งเจ้ามนุษย์นั่นให้ข้าแต่แรกดีๆ ก็สิ้นเรื่อง”

“อั้ก!”

ม่านฉีว่าพลางออกแรงแทงกงเล็บของตนเข้าไปมากกว่าเดิม เทียนอี้มิอาจทนไหว หากเขายังเป็นเทพที่ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดทางกายใดๆ เขามั่นใจเลยว่าม่านฉีไม่มีทางทำเช่นนี้กับเขาได้แน่

ไม่สิ ไม่ใช่เพียงม่านฉี ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถทำอันตรายใดให้ร่างกายเขาได้ทั้งนั้น

หากแต่ในยามนี้ไม่ใช่ ถึงแสงจันทร์จะสาดส่องแปรเปลี่ยนให้ร่างเทพอสูรกลับคืนสู่ร่างเทพ แต่ก็ไร้ซึ่งอภินิหารใด แล้วเขาจะเอาสิ่งใดไปสู้กับปีศาจตนนี้ได้?

ขาข้างที่ถูกแทงสั่นระริก กระนั้นก็พยายามจะลุกขึ้นยืน ทว่าม่านฉีก็แทงลงมาอีก ทำให้เขามิอาจยืนขึ้นได้ดั่งในนึก มือที่แบกซิ่นเฉิงอยู่ยังคงโอบกอดอีกฝ่ายไว้แน่นอย่างหวงแหน ดวงตาที่บัดนี้พอจะมองเห็นแล้วจับจ้องไปยังสีหน้าลำพองใจของปีศาจตนนั้นอย่างขุ่นแค้น

ทำไม...

ทำไมจะต้องเป็นซิ่นเฉิงกัน!?

“ส่งมนุษย์ผู้นี้มาให้ข้า ไม่เช่นนั้น ข้าสังหารท่านแน่”

“หากเจ้าอยากจะสังหารข้านัก” เทียนอี้ปริปาก “ก็สังหารเสียเลยสิ!”

น้ำเสียงและแววตาบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ยอมโอนอ่อนให้ ม่านฉีก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเทียนอี้มีอุปนิสัยเช่นไร แต่ก็เอาเถิด ในเมื่อออกปากเอง เขาก็จะสงเคราะห์ให้ ที่เขาถามก็เพราะเห็นว่าเคยมีพระคุณและเป็นสหายของบิดามาก่อนต่างหาก ในเวลานี้ถือว่าความสัมพันธ์ใดจบสิ้นลงหมดแล้วก็แล้วกัน

“เช่นนั้นก็ลาก่อน...ท่านแม่ทัพใหญ่เทียนอี้”

มือกระชากออกมาจากต้นขาของแม่ทัพใหญ่ เล็บที่เต็มไปด้วยโลหิตสีแดงสดกางออก หมายจะฉุดกระชากศีรษะของอีกฝ่ายให้หลุดออกจากร่างในคราเดียว ทว่า...ม่านฉีก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น เพราะในเสี้ยวนาทีนั้นเอง ดาบเล่มเขื่องก็พุ่งเข้ามาเสียบแผ่นหลังของเขาเข้าอย่างจัง

ม่านฉีกระอักโลหิตออกมา เหลือบมองคมดาบที่ทะลุหน้าอก ก่อนค่อยๆ หันไปมองยังด้านหลัง

“แต่เห็นทีข้าคงจะต้องบอกลาเจ้าก่อนแล้ว...ม่านฉี”

คมดาบนั้นเป็นของ...

“มะ...แม่ทัพ...จะ...เจี้ยนสือ...”

ริมฝีปากของปีศาจหนุ่มครางแผ่วออกมา เจี้ยนสือซึ่งบัดนี้มีสีหน้าน่ากลัวไม่แพ้กันไม่โต้ตอบสิ่งใด ทำเพียงออกแรงกระแทกให้คมดาบนั้นแทงร่างของม่านฉีให้มากขึ้นกว่าเดิม

ปีศาจหนุ่มคว้าคมดาบที่พุ่งทะลุอกไว้มั่น ออกแรงดันกลับคล้ายจะต่อกร ทว่าก็หาได้กระทำโดยง่าย เหตุเพราะมีแขนเหลือเพียงข้างเดียว อีกอย่าง... ดาบที่แทงทะลุหน้าอกเขามานั้น มันแทงทะลุอกด้านซ้าย

หัวใจ...

หัวใจของข้า!

ม่านฉีกรีดร้องในใจ ความปวดปลาบที่แล่นไปทั่วสรรพางค์กายทำให้เขาล้มคุกเข่าโดยไม่รู้ตัว

ข้า...นี่ข้าจะมาจบสิ้นเท่านี้?

อดคิดไม่ได้เลยว่าเหตุใดชะตากรรมถึงได้น่าอดสูนัก หากแต่เจี้ยนสือก็ไม่รามือ อีกทั้งไม่เห็นใจ

ในเมื่อมันเป็นผู้ทำร้ายยอดดวงใจของเขา ก็ไม่ควรที่จะมีลมหายใจอยู่บนโลกนี้อีก!

“ลาก่อนม่านฉี”

เจี้ยนสือว่าออกมาสั้นๆ เพียงเท่านั้น ก่อนที่จะใช้ดาบในมืออีกข้างตวัดตัดศีรษะของปีศาจบุตรมังกรวารีจนขาดกระเด็น

ไร้ซึ่งเสียงร้องโหยหวนใด มีเพียงเสียงของหนักๆ หล่นลงบนผืนทะเลทรายดังตุ้บ แต่นั่นก็ดังประหนึ่งฟ้าร้องกัมปนาท เหล่าสมุนปีศาจที่อาละวาดอยู่พากันกระถดถอยด้วยความหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว ผู้เป็นหัวหน้าสิ้นไปแล้ว พวกมันจะทำสิ่งใดได้ ขณะที่เหล่าเทพอสูรพากันร้องเฮเมื่อประจักษ์ว่าพวกตนจะได้กลับคืนสู่สวรรค์ พลันความฮึกเหิมก็เอ่อล้น ไล่ล่าสังหารสมุนปีศาจเสียจนไม่เหลือซาก

ความน่ายินดีพร่างพรายไปทั่วทุกบริเวณ ท้องฟ้ามืดมิดเปิดทันใดราวกับว่าเง็กเซียนฮ่องเต้เปิดประตูสวรรค์ต้อนรับให้เทพอสูรทุกตนกลับคืนมา เสียงร้องขอพรดังกึกก้อง โดยส่วนมากเป็นการร้องขอให้ตนกลับคืนสู่การเป็นเทพ ก่อนที่แสงจันทร์ซึ่งสาดส่องลงมายังพื้นดินจะบันดาลให้เหล่าเทพอสูรที่ร้องขอพรกลับคืนร่างเดิมกันถ้วนหน้า

สิ่งนั้น...เป็นสัญญาณว่าการลงทัณฑ์ตั้งแต่อดีตกาลนั้นได้จบสิ้นลงแล้ว

หากแต่เทียนอี้ไม่สนใจที่จะร้องขอพรใด เขายังคงเป็นกังวลกับอาการของคนรัก เมื่อเห็นว่าสิ้นตัวปัญหาไปแล้ว เขาก็รีบวางซิ่นเฉิงนอนราบ มือแตะเบาๆ ที่ซีกหน้าคร้ามซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยคราบโลหิตของซิ่นเฉิง

“เฉิงเฉิง ได้ยินข้าไหม”

น้ำเสียงนั้นเรียกสติของซิ่นเฉิงที่มีอยู่เลือนรางไป ซิ่นเฉิงปรือตามอง พยายามจะขยับริมฝีปากที่แห้งผากเอ่ยเรียกคนตรงหน้า

“ทะ...เทียน...”

“ข้าอยู่นี่... ข้าอยู่นี่แล้ว”

ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดจบ เทียนอี้ก็รีบโพล่งด้วยเกรงว่าการเปล่งเสียงจะทำให้ซิ่นเฉิงเจ็บปวดมากกว่าเดิม หากแต่ซิ่นเฉิงนั้นดื้อด้านอย่างไรก็ดื้อด้านอย่างนั้น ในที่สุดก็เปล่งเสียงเรียกออกไปจนได้

“เทียน...ทะ...เทียนอี้...”

ไม่เพียงเรียกเปล่า ยังจะพยายามยกมือมาจับอีกฝ่าย เทียนอี้รีบคว้ามือของคนตรงหน้าไว้ บีบเบาๆ เมื่อรู้สึกว่ามือของซิ่นเฉิงเย็นเยียบราวกับซากศพ

“ข้าอยู่นี่...”

เทียนอี้ย้ำคำราวกับว่าไม่อยากได้ยินซิ่นเฉิงพูดอีกแล้ว ขณะที่อีกฝ่ายเองมีเรื่องอยากจะบอกกับคนตรงหน้ามากมาย

อยากบอก...

อยากบอกเหลือเกิน...

อยากบอกว่าเขานึกคิดสิ่งใด อยากบอกว่าเหตุใดถึงได้จากมา อยากจะบอกทุกอย่างที่เทียนอี้ไม่เคยรับรู้

ทว่า...สภาพร่างกายเลวร้ายเกินกว่าจะปริปากพูดสิ่งใดได้อีกแล้ว เพียงอ้าปากก็กระอักโลหิตออกมากองใหญ่ เทียนอี้ใจหายวาบ เขาไม่เคยประหวั่นใจกับสิ่งใดได้มากเท่ากับการได้เห็นซิ่นเฉิงเป็นเช่นนี้เลย

“เจ้าจะต้องไม่เป็นไร ข้าจะพาเจ้ากลับไปรักษา”

ว่าแล้วก็หมายจะพาซิ่นเฉิงกลับแคว้นเฟิงฝู ที่แคว้นนั้นมีทั้งหมอและโอสถดีอยู่ หรือบางทีแม่ทัพนายกองบางคนอาจจะยังมีน้ำอมฤตหลงเหลืออยู่ในจวนบ้างก็เป็นได้ โดยที่เทียนอี้หาได้คิดเลยว่ากว่าจะกลับไปถึงยังที่หมาย ตอนนั้นซิ่นเฉิงคงจะเหลือแต่ร่างไร้วิญญาณแล้ว

มีเพียงเจี้ยนสือเท่านั้นที่คิด ทว่าก็หาได้พูดพร่ำสิ่งใด เพราะเขาเองก็อึ้งงันจนมิอาจขยับกาย

เขาจะต้องทำอย่างไร?

ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยซิ่นเฉิงได้!?

เห็นเทียนอี้หมายจะอุ้มซิ่นเฉิงขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนก็ไม่ห้ามปราม จะมีก็แต่เพียงซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ส่ายหน้าเบาๆ

“มะ...ไม่...ไม่ต้อง...”

เทียนอี้ชะงักกึก “เจ้า...”

“มะ...ไม่ต้องรักษาข้า ขะ...ข้ามิอาจทนไหวอีกแล้ว”

ได้ฟัง ใจของสองเทพก็สั่นไหวราวกับเปลวเทียนต้องลม สภาพบาดแผลที่ซิ่นเฉิงได้รับนั้นก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าเหตุใดจึงไม่ไหว แต่พอได้ฟังก็มิอาจจะยอมรับความจริงได้

“ไม่ เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ข้าสัญญาว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร!”

เทียนอี้ไม่ฟังคำพูดใดอีกแล้ว อุ้มซิ่นเฉิงไว้ในอ้อมแขน รีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทันที ปากก็ร้องเรียกกองทหารแพทย์ไปด้วย

“ท่านหมอ! ท่านหมออยู่ไหน! รีบมาดูอาการซิ่นเฉิงเร็วเข้า!”

ความโกลาหลเกิดขึ้นในบัดดล เทพอสูรในสังกัดกองทหารแพทย์ที่กลับคืนสู่ร่างเดิมแล้วรีบพากันกุลีกุจอมาดูอาการ ดูอยู่ได้ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าช้าๆ ให้กับแม่ทัพใหญ่เป็นคำตอบเป็นเชิงว่าไม่มีหวังแล้ว

เทียนอี้เห็นก็ตวาดกร้าวทันที

“รักษาไม่ได้ได้อย่างไร! เจ้าต้องรักษา! ต้องรักษาซิ่นเฉิงให้ได้!”

คำสั่งนั้นสร้างความลำบากใจให้ผู้ฟังยิ่งนัก แต่ก็มีผู้กล้าออกปากบอกไปตามตรง

“บาดแผลฉกรรจ์เพียงนี้ มิอาจรักษาขอรับท่านแม่ทัพเทียนอี้”

สีหน้าของเทียนอี้ดูแย่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เขาไม่ยอมหรอก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยชีวิตซิ่นเฉิงให้ได้

“พวกเจ้าต้องรักษาให้ได้! รักษาเขาประเดี๋ยวนี้!”

ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่เทียนอี้ไร้เหตุผลและใช้อารมณ์เช่นนี้ ท่าทางนั้นทำเอาหมิงจูและพ่อบ้านเหลียงต้องเข้ามาห้ามปราม

“ใจเย็นก่อนเถิดเทียนอี้ เจ้านั่นน่ะ ไม่รอดแล้ว”

“เจ้าหุบปากไปเลย! หากพูดจาไม่เป็นมงคลเช่นนี้ก็อย่าพูดออกมา!”

เป็นหมิงจูที่ถูกตวาดบ้างแล้ว เทียนอี้ไม่ฟังผู้ใด และจะไม่ฟังด้วย

ได้! ในเมื่อที่แห่งนี้หาได้มีผู้ใดประสงค์จะช่วยซิ่นเฉิง เขาก็จะกระทำของเขาเองแต่ผู้เดียว!

แม่ทัพใหญ่รีบอุ้มอีกฝ่ายตรงไปยังอาชาตัวเขื่อง หมายจะกลับไปยังแคว้นเฟิงฝูให้เร็วที่สุด ขณะที่เจี้ยนสือเห็นแล้วก็ไม่รอช้า รีบตามหลังไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะคว้าบังเหียนม้าตัวนั้นให้อยู่นิ่งๆ เทียนอี้มองหน้าสหาย พลันเจี้ยนสือก็เอ่ยขึ้นมา

“ชีวิตของเจ้าแมวป่าตัวนั้นสำคัญยิ่ง รีบไปเถิด ข้าจะไปกับเจ้า”

ในเวลานี้ สองสหายก็สามารถสามัคคีกันได้ ถึงเทียนอี้จะรู้ว่าเป็นเพราะเจี้ยนมือเองก็มีใจให้แก่ซิ่นเฉิง แต่ก็หาได้คิดการใดให้มากความในตอนนี้แล้ว รีบปีนขึ้นไปบนหลังม้า เอนกายของชายหนุ่มให้พิงกับร่างของตน ก่อนที่จะควบม้าออกไปโดยมีเจี้ยนสือควบไล่ตามมา

แสงจันทร์ส่องสว่างเปิดทางให้เห็นพื้นที่โดยรอบ ลมเย็นที่โชยปะทะใบหน้าปลุกให้ซิ่นเฉิงพอจะรู้สึกตัวอยู่บ้าง

หากแต่นั่น...กลับเป็นสติสัมปชัญญะสุดท้าย

เขารู้ตัวแล้วว่าสังขารมิอาจทนความเจ็บปวดนี้ได้ไหว สายตาพร่าเลือนจับจ้องยังใบหน้าคร้ามของเทียนอี้ที่แลดูตึงเครียดก่อนที่หยดน้ำตาสีใสจะไหลออกจากดวงตา

โทษทัณฑ์ที่เป็นเทพแต่ริอ่านมีรัก บัดนี้กลับย้อนคืนมาพรากพวกเขาออกจากกันในชาตินี้อีกครั้งแล้ว

แต่ในชาตินี้...

ในชาตินี้ไม่เหมือนเดิม เขาไม่ได้รักเจี้ยนสืออีกต่อไปแล้ว หากแต่หัวใจของเขานั้นถูกยกให้กับคนตรงหน้า

“ทะ...เทียนอี้...”

น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเรียก เทียนอี้หลุบตาลงมองก็เห็นว่าคนในอ้อมแขนจ้องหน้าเขาด้วยดวงตาปรือจนแทบปิดอยู่

“ขะ...ข้า...”

เสียงนั้นขาดห้วงและแผ่วเบา ทว่าอีกฝ่ายกลับได้ยินชัด โดยเฉพาะประโยคถัดไปที่หลุดออกมาจากริมฝีปากแห้งผากของซิ่นเฉิง

“ข้ารักเจ้า...”

สิ้นเสียงก็หมดลมหายใจ ร่างแกร่งค่อยๆ หมดแรงลงทีละน้อยก่อนจะแน่นิ่ง เทียนอี้เบิกตาโตด้วยตกใจสุดกำลัง มือทั้งสองที่กุมบังเหียนไว้อยู่ชะงักหยุดฝีเท้าม้าทันที ก่อนที่จะร้องเรียกคนในอ้อมแขน

“ซิ่นเฉิง”

“...”

“ซิ่นเฉิง เจ้าได้ยินข้าไหม ซิ่นเฉิง!”

“...”

“ซิ่นเฉิง!”

เสียงนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เทียนอี้ดูจะควบคุมสติของตนไว้ไม่ได้ มือเขย่าร่างของคนรักที่แน่นิ่งไปหลายต่อหลายครั้ง ทำเอาเจี้ยนสือที่ควบม้าไล่ตามหลังมาหยุดเทียบข้าง ครั้นมองไปยังใบหน้าซีดเผือดของมนุษย์หนุ่ม เขาก็ชาวาบไปทั้งกายพร้อมกับความปวดร้าวที่แล่นพล่านเข้ามายังหัวใจ

ซิ่นเฉิง... เจ้าแมวป่าของเขา... จากไปแล้ว

“ซิ่นเฉิง! ข้าเรียกเจ้าได้ยินหรือไม่! ซิ่นเฉิง!”

“เทียนอี้... เขาตายแล้ว”

เจี้ยนสือจำต้องเอ่ยขัดขึ้นมา เทียนอี้หันขวับไปมองสหาย พลันก็มีสีหน้ากราดเกรี้ยว

“เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร! ซิ่นเฉิงไม่เป็นอะไร ซิ่นเฉิงยัง...”

“เขาตายแล้วเทียนอี้! เขาตายแล้ว! ซิ่นเฉิงตายแล้ว!”

เจี้ยนสือตะเบ็งสวน เขาเองก็ไม่อยากจะยอมรับความจริงนี้เหมือนกันนั่นแหละ แต่ก็มิอาจจะหลีกเลี่ยงได้

สิ้นเสียงเขา เทียนอี้ก็นิ่งงันไป

ใช่... เจี้ยนสือพูดถูก ในอ้อมแขนเขาตอนนี้หาใช่ซิ่นเฉิงที่มีเลือดเนื้ออีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นซากศพไร้วิญญาณเท่านั้น

ทำไม...

ทำไมกัน! สวรรค์ถึงได้ลงทัณฑ์เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพียงนี้!

ความแข็งแกร่งที่เคยมีมลายหายสิ้นราวกับหินผาที่ถูกน้ำฝนกัดเซาะเสียป่นปี้ เทียนอี้ไม่อาจทนรับความเจ็บปวดนี้ได้ไหว เมื่อครั้งที่หลิวซูตาย เขาก็ปวดใจจนไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้แล้ว ในครั้งนี้เขามีรักใหม่ สวรรค์ก็ยังมาพรากคนรักของเขาไปอีก

ทำไมถึงไม่เห็นใจกันบ้าง!

“พอพระทัยแล้วสินะองค์เง็กเซียน! พระองค์พอพระทัยแล้วใช่ไหม!”

เทียนอี้แผดเสียง เงยหน้าขึ้นบริภาษผู้เป็นใหญ่ในแดนสวรรค์ จากนั้นก็ร่ำไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น สองแขนโอบร่างเย็นเยียบของซิ่นเฉิงไว้แน่น

เขาจะต้องทำอย่างไร... ต้องทำอย่างไรถึงจะได้มนุษย์ผู้นี้คืนมา?

ภาพนั้นช่างน่าอดสูแก่เจี้ยนสือที่มองอยู่นัก เขาทนไม่ได้ถึงกับต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ขอบตาร้อนผะผ่าวราวกับมีผู้ใดมาจุดเทียนลนอย่างไรอย่างนั้น

เขาเองก็เสียใจไม่แพ้กัน หากแต่มิอาจเสียใจมากกว่าได้ ไม่เช่นนั้นทั้งเขาและเทียนอี้จะไม่เป็นผู้เป็นคนกันทั้งคู่

หากจะมีผู้ใดวิปลาส ก็เป็นเทียนอี้แต่เพียงผู้เดียวพอแล้ว...

เทียนอี้วิปลาสจริงอย่างที่เจี้ยนสือคิด เขาพร่ำก่นด่าสวรรค์สลับกับร่ำไห้คำรามไม่หยุดหย่อน ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้

ดวงตาสีทองอำพันจับจ้องไปยังดวงจันทร์ที่สาดทอแสงลงมา...

การเป็นเทพจะมีความหมายอะไรกันถ้าหากเขาต้องสูญเสียคนรักไปครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้?

พลันก็นึกชิงชังการเป็นเทพสวรรค์ขึ้นมา

ปราบปีศาจได้แล้วจะได้คืนสู่สวรรค์ในฐานะเทพอย่างนั้นหรือ? ฮึ! ไม่เอาหรอก เอาชีวิตของซิ่นเฉิงคืนมายังดีเสียกว่า!

คิดเช่นนั้นแล้วก็พลันฉุกใจขึ้นมาได้

ได้กลับคืนเป็นเทพอย่างนั้นหรือ? หากจำไม่ผิด องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ได้มีรับสั่งว่าจะประทานพรให้แก่เทพอสูรทุกตน เขายังไม่ได้ขอพรใด ถ้าเช่นนั้น...

สายตาเหลือบมองยังร่างไร้วิญญาณของซิ่นเฉิงทันที

พรที่เขามี ...เขาจะขอมอบมันให้กับมนุษย์ผู้นี้

จะมอบให้ทั้งหมด ต่อให้เขาต้องสูญสิ้น เขาก็ยินดีหากได้ชีวิตของซิ่นเฉิงกลับคืน

“ข้าขอ... ขอให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อ...ซิ่นเฉิง ข้าขอให้เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อข้า...”

สิ้นเสียงก็โน้มใบหน้าลงต่ำ ประทับจูบแผ่วเบาบนริมฝีปากซีดเผือดของซิ่นเฉิงราวกับจะส่งพรนั้นไปให้กับคนตรงหน้า ครั้นถอนริมฝีปากออกมา แสงสว่างก็ประกายวาบโอบอุ้มร่างของซิ่นเฉิงเอาไว้ เจี้ยนสือหันกลับมามองด้วยอารามตกใจ ก่อนที่จะโพล่งขึ้นเมื่อเห็นว่าร่างกายของสหายค่อยๆ เลือนรางลงทีละน้อย

“เทียนอี้... เจ้า...”

เทียนอี้ชำเลืองมองไปทางสหาย ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นน้อยๆ ราวกับรู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น

“เจี้ยนสือ ต่อจากนี้ข้าขอฝากด้วย”

เลือนรางจนกลายเป็นฝุ่นผงธุลีและกระจายหายไปตามสายลมที่โบกโบย ทิ้งไว้เพียงซิ่นเฉิงที่ฉับพลันก็หายใจเฮือกออกมา ก่อนที่เขาจะลืมตาโพลง กวาดมองไปรอบๆ ด้วยประหลาดใจว่าตนมาอยู่บนหลังม้าได้อย่างไร ก็ในเมื่อก่อนหน้านี้เขา...

สายตาปะทะเข้ากับเจี้ยนสือซึ่งยังคงมองอยู่ข้างๆ ก่อนจะเปล่งเสียง

“เจี้ยนสือ?”

หากแต่พอไม่เห็นใครอีกคนที่น่าจะอยู่กับเขามากกว่าคนตรงหน้า ปากก็ร้องถามทันควัน

“แล้วเทียนอี้ล่ะ เทียนอี้อยู่ไหน”

เจี้ยนสือหนักใจนักที่จะพูดความจริงออกไป เขาได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสับสนยิ่ง ทั้งดีใจที่เห็นซิ่นเฉิงฟื้นคืนดังเดิม ทั้งเสียใจที่ต้องสูญเสียสหายซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขไปตลอดกาล

“ว่าอย่างไร เทียนอี้อยู่ไหน!”

เห็นไปพูดสักที ซิ่นเฉิงก็ถามออกมาอย่างร้อนรน รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี เจี้ยนสือทอดถอนหายใจ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“เขา...ก็อยู่กับเจ้าแล้วอย่างไรล่ะ”

ซิ่นเฉิงไม่เข้าใจนัก แต่ก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เจี้ยนสือบอกนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่ ขณะที่เจี้ยนสือเหลือบมองไปยังมวลไอบางอย่างที่ก่อรูปก่อร่างขึ้นอยู่ทางด้านหลังของซิ่นเฉิง มวลนั้นก็คือ...

...เทียนอี้

หากแต่ซิ่นเฉิงไม่เห็น มีเพียงเหล่าเทพและปีศาจเท่านั้นที่มองเห็นได้ กระนั้น...เขาก็กลับมาแล้ว

...กลับมาในสถานะอากาศธาตุ กลับแดนสวรรค์ก็ไม่ได้ ไปสู่ปรโลกก็ไม่ได้ เวียนว่ายอยู่ในระหว่างสามโลกอย่างไม่มีที่สิ้นสุดชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่เทียนอี้ก็ยินดียิ่งที่จะอยู่ในสถานะนี้

รอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่มุมปากของอดีตแม่ทัพสวรรค์ สายตาจับจ้องไปยังคนรักด้วยสุขล้ำที่ได้คืนชีวิตให้กับคนตรงหน้า

ต่อให้เขาต้องสละทุกสิ่ง เขาก็ยินดีหากมันเป็นไปเพื่อซิ่นเฉิง

พรจากสวรรค์ประการนั้น...ส่งผลให้เทียนอี้สถิตอยู่กับผู้เป็นที่รักตราบนิจนิรันดร์แล้ว

------------------------------------------

มาต่อให้แล้วค่ะ หายไปนานเลย ฮา เดี๋ยวจะมาลงให้จนจบนะคะ เหลือตอนหน้ากับบทส่งท้ายก็จบละ ที่เหลือจะเป็นตอนพิเศษ ไปติดตามต่อในเล่มเน้อ

ลบข้อความการประกาศขายนิยายออกนะคะ
เรื่องยังอยู่ห้องนิยาย นิยายยังลงไม่จบ ห้ามประกาศขายในกระทู้ทั้งสิ้น

BaoBao
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2018 16:08:14 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ junpa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ม้ายยยยยย เทียนอี้ :ling1: :ling1: :hao5: :mew6:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ไม่เอา ไม่จบแบบเทียนอี้หายไปอย่างนี้นะ :sad4: :serius2: :o12: จะแบบแฮปปี้ใช่มั๊ย

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
เฮ้ย...ไม่ได้ๆ แบบนี้ไม่ได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 31: ตราบนิจนิรันดร์


หลังจากวันนั้น เจี้ยนสือก็เล่าให้ฟังจนหมดสิ้นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเทียนอี้ ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้ซิ่นเฉิงแทบจะสติวิปลาส กว่าเขาจะทำใจยอมรับการจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนของเทียนอี้ได้ก็ใช้เวลาจวบปี และไม่ใช่เพียงแต่เขาที่มิอาจทำใจยอมรับ พ่อบ้านเหลียงเองก็ไม่สามารถทำใจได้เช่นกัน ถึงจะคืนร่างเป็นเทพแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมกลับสวรรค์ พำนักอยู่ที่จวนของแม่ทัพใหญ่เทียนอี้ยังแคว้นเฟิงฝูด้วยหวังว่าสักวัน ผู้เป็นนายจะกลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิม

หากทว่า...เทียนอี้ไม่กลับไปอีกแล้ว เขากลายเป็นอากาศธาตุ ดังนั้นหน้าที่ของเขาคือการติดตามซิ่นเฉิงไปทุกหนทุกแห่ง ต่อให้ซิ่นเฉิงมองไม่เห็นเขา แต่เขาก็หาได้สนใจไม่

ขอเพียงได้อยู่กับคนที่เขารัก... เทียนอี้ก็ไม่สนใจแล้วว่าตนจะเป็นอย่างไร

ไม่แม้แต่จะบอกซิ่นเฉิงให้รับรู้ด้วยซ้ำว่าตนยังอยู่ด้วย ยังไม่ไปไหน และจะอยู่เคียงข้างตราบนิจนิรันดร์ เหตุเพราะเกรงว่าการไร้ซึ่งตัวตนของเขาจะสร้างความทุกข์ให้กับซิ่นเฉิง

ความทุกข์ในรักที่ผ่านมานั้นควรจบสิ้นเสียที...

เจี้ยนสือเองก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อสหายไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ เขาจึงกลับกลับคืนสู่การเป็นเทพสวรรค์ กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะทอดมองลงมายังแดนมนุษย์เบื้องล่างเพื่อสังเกตการณ์ดูการกระทำของสหายและมนุษย์คนที่เขารัก

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เจี้ยนสือเหาะลงจากสวรรค์มาลอบดู...

เวลาผันผ่านไปเกือบปี บัดนี้ซิ่นเฉิงได้กลายเป็นหัวหน้าเผ่าทะเลทรายแล้ว ท่าทางเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่แมวป่าจอมดื้อด้านคนเดิม เขาสุขุมมากขึ้น มีความเป็นผู้นำมากขึ้น ที่สำคัญ... ไม่ค่อยยิ้มแย้มเช่นเคย

เป็นเพราะอะไร เจี้ยนสือรับรู้ได้

ก็ในใจของซิ่นเฉิงนั้นยังคงมีแต่ความโศกเศร้า เอาแต่คะนึงหาผู้เป็นที่รักซึ่งจากไป เป็นเช่นนี้แล้วจะให้แย้มยิ้มอย่างไรได้ไหว
นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เจี้ยนสือรำคาญใจอยู่พอตัว

เทียนอี้จากไปที่ไหนกันล่ะ! เจ้านั่นก็อยู่ข้างเจ้านั่นอย่างไร!

เขาคันปากยุบยิบ อยากจะบอกเล่าความจริงนั้นแก่ซิ่นเฉิงเต็มแก่ หากทว่าก็ทำสิ่งใดไม่ได้ด้วยให้สัตย์กับเทียนอี้ไว้แล้ว

‘เหตุใดเจ้าถึงไม่บอก’
‘เพราะข้าไม่อยากให้เฉิงเฉิงต้องเป็นทุกข์’
‘แต่เจ้านั่นรักเจ้า อย่างน้อยก็ให้รู้หน่อยเถิดว่าเจ้ายังอยู่ด้วย’
‘เหตุนั้นอย่างไร ข้าถึงไม่อยากให้รู้ อยู่เคียงข้างไม่ไปไหน หากทว่ามองไม่เห็น สัมผัสก็ไม่ได้ เจ้าคิดว่าเฉิงเฉิงจะทุกข์ใจมากเท่าใดกัน ขอร้องล่ะเจี้ยนสือ เห็นแก่ที่ข้าเป็นสหาย อย่าได้บอกเรื่องนี้กับเฉิงเฉิง...เด็ดขาด’

นึกถึงคำพูดในวันวาน เจี้ยนสือก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ

ผู้ใดว่าซิ่นเฉิงดื้อด้านกัน สหายของเขาดื้อด้านกว่าเป็นไหนๆ

ดังนั้นการมาเยือนโลกมนุษย์ในครั้งนี้จึงเป็นไปแค่เยี่ยมเยือนซิ่นเฉิงเท่านั้น

“มานั่งตากลมตอนกลางคืนผู้เดียวอีกแล้วเจ้าเหมียว”

เสียงคุ้นหูของใครบางคนเรียกสายตาของซิ่นเฉิงที่นั่งกอดเข่าอยู่บนผืนทรายให้หันไปมอง ก่อนจะเห็นแสงสว่างวาบพุ่งลงมายังพื้นเบื้องล่างและกลายร่างเป็นชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์ของแม่ทัพใหญ่แห่งสรวงสวรรค์

“แล้วเจ้าว่างมากหรืออย่างไรถึงได้ลอบลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์บ่อยครั้งนัก”

พอเห็นว่าเป็นเจี้ยนสือ ซิ่นเฉิงก็ว่าเย้าน้อยๆ เขาพบเจี้ยนสือบ่อยครั้งเหลือเกินในตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ตั้งแต่เทียนอี้จากไป เจี้ยนสือก็เทียวมาดูแลเขาไม่ห่างหายไปไหน คราแรกแม้จะเข้าหาด้วยหวังจะให้เขาเปลี่ยนใจไปมีรักให้ แต่เมื่อเวลาผันผ่านไปและแน่ชัดแล้วว่าไม่ว่าอย่างไร ซิ่นเฉิงก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจ ต่อให้ไม่พบหน้าเทียนอี้อีกชั่วนิรันดร์ หัวใจของเขาก็มิอาจรัก

เจี้ยนสือได้ อดีตเทพอสูรงูจงอางจึงไม่ตอแย แปรผันจากผู้ที่หมายจะครอบครองดวงใจมาเป็นสหายที่คอยแวะเวียนมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามที่เทียนอี้ได้ฝากฝังไว้

วันนี้ก็คงจะมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอีกเช่นกัน สิ้นเสียงของมนุษย์หนุ่ม เจี้ยนสือก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างกาย

“ระยะนี้สวรรค์สงบสุขนัก ไร้ซึ่งปีศาจ ไร้ซึ่งเทพพาล ข้าจึงลงมาเที่ยวให้สำราญใจ”
“ก็แน่อยู่แล้วที่สวรรค์จะไร้ซึ่งเทพพาล ก็เทพพาลองค์นั้นนั่งอยู่ตรงข้างข้าแล้วนี่”

คำเย้านั้นเรียกเสียงหัวเราะให้กับเจี้ยนสือได้เป็นอย่างดี
“เจ้านี่ ดูท่าทางจะอารมณ์ดี ช่วงนี้คงทำใจเรื่องเทียนอี้ได้แล้วกระมัง”

หากแต่ถามไถ่ไม่ถูกจังหวะไปเสียหน่อย ซิ่นเฉิงที่ยิ้มบางๆ อยู่เมื่อครู่หน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะทอดสายตามองไปยังดวงจันทร์ที่ทอแสงสาดส่องลงมายังพื้นทราย

“ไม่ใช่ว่าทำใจได้ แต่ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้เทียนอี้เห็นข้าทุกข์ตรมตลอดเวลา”
คำพูดนั้นทำเอาเจี้ยนสือขมวดคิ้ว
“ไม่อยากให้เจ้านั่นเห็นเจ้าทุกข์ตรม?”

“ข้ารู้สึกว่าเทียนอี้ยังไม่จากข้าไปไหน อาจจะอยู่ที่ใดสักแห่งและเฝ้ามองข้าอยู่”

คนฟังถึงกับพูดไม่ออก ซิ่นเฉิงก็มองไม่เห็นเทียนอี้ไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดถึงพูดราวกับว่า...

สายตาชำเลืองไปมองยังเงารางเลือนของเทียนอี้ที่นั่งอยู่อีกข้างของซิ่นเฉิงทันที เทียนอี้สบตากับส่ายพลันส่ายหน้าน้อยๆ เป็น
เชิงบอกว่า ‘ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไม่ได้บอก’

ก็แน่อยู่แล้ว... หากพูดคุยกับซิ่นเฉิงได้ มีหรือที่ซิ่นเฉิงจะไม่รู้ว่าเทียนอี้ยังคงนั่งอยู่ข้างๆ ที่ชายหนุ่มพูดมาอย่างนั้นคงจะเป็นเพราะอุปาทานไปเองมากกว่า

“เจ้านั่นเฝ้ามองเจ้าอยู่ตลอดแหละ”
“เจ้าหมายความว่า...”
“จากที่ใดสักแห่ง...”

เจี้ยนสือว่า จากนั้นก็ไร้ซึ่งการพูดคุยใดๆ มีเพียงรอยยิ้มบางเบาของซิ่นเฉิงและความเงียบงันที่เกิดขึ้นระหว่างที่ทั้งคู่นั่งเคียงข้างกันกระทั่งย่างเข้าสู่กลางดึกเท่านั้น

ไม่นานนัก ซิ่นเฉิงก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ทำเอาเทพหนุ่มต้องช้อนอุ้มอีกฝ่ายไปส่งยังกระโจมหัวหน้าเผ่าที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่นั่ง ครั้นบิดาและน้องสาวของซิ่นเฉิงเห็นก็พากันคุกเข่าขอบคุณเป็นการใหญ่ ด้วยพวกเขาก็ตามหาตัวซิ่นเฉิงมาตั้งแต่เมื่อยามก่อนแล้ว

เจี้ยนสือกลับออกมา หากแต่ไม่เหาะกลับสวรรค์ไปในทันที เขาเหลือบมองไปยังเงารางเลือนของสหาย ก่อนจะพยักหน้าเรียกเบาๆ

เทียนอี้ซึ่งกำลังจะเข้าไปในกระโจมชะงัก ยอมเดินตามอีกฝ่ายไปโดยดี ครั้นมาถึงยังที่ปลอดคน เจี้ยนสือก็เปิดปากขึ้น

“เจ้าจะทำอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน”
“ทำอะไร”
“เฝ้าตามเจ้าแมวนั่น เจ้าจะทำเช่นนี้อีกนานเท่าใด”
“ก็คง...ตราบเท่าที่ซิ่นเฉิงมีลมหายใจ”
“แต่ต่อให้เจ้านั่นตายเป็นผี เจ้านั่นก็ไม่มีทางรับรู้เลยว่าเจ้ายังอยู่ข้างๆ เทียนอี้... เจ้าให้ข้าบอกไปเถิดว่าเจ้ายังอยู่ ข้ามิอาจทนเห็นซิ่นเฉิงโศกเศร้าเพราะเจ้าได้อีกแล้ว”

เทียนอี้เข้าใจ แต่เขาก็ไม่คิดว่าการบอกไปนั้นจะทำให้ซิ่นเฉิงหายโศกเศร้ากว่าเดิมได้ ดังนั้นจึงตัดบทเอาห้วนๆ

“ที่ผ่านมา ข้าขอบน้ำใจเจ้ามากที่คอยดูแลเฉิงเฉิงให้ แต่เรื่องของข้าก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของข้า เจ้าอย่าได้ยื่นมือเข้ามา”
คำพูดนั้นทำให้เจี้ยนสือไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง

ไม่ให้เขายื่นมือเข้าไปอย่างนั้นหรือ? เขาก็ไม่อยากยุ่งนักหรอกถ้ามนุษย์ผู้นั้นไม่ใช่...

“แต่นั่นคือหลิวซู! เทียนอี้! ซิ่นเฉิงคือหลิวซู!”

ประโยคนั้นทำให้เทียนอี้ที่หันหลังให้กับสหายชะงักงัน สีหน้าเมื่อหันมามองยังเจี้ยนสือดูตกใจเป็นอย่างมาก ขณะที่เจี้ยนสือย้ำอีกครั้ง

“เขาคือหลิวซูกลับชาติมาเกิด”

เป็นความลับที่เจี้ยนสือไม่เคยคิดจะบอกกับเทียนอี้ด้วยกลัวว่าความรักที่มีให้ซิ่นเฉิงนั้นจะแปรเปลี่ยนไป หากแต่เทียนอี้กลับนิ่งงันเมื่อได้ยินอีกฝ่ายย้ำคำในครั้งนี้

คือหลิวซูกลับชาติมาเกิดแล้วอย่างไร ในเมื่อในใจของเขาตอนนี้มีเพียงแต่...

“แต่หัวใจของข้ามีเพื่อซิ่นเฉิงผู้เดียว”
“เจ้าหมายความว่า...”
“ถึงข้าจะเคยมีใจรักหลิวซู แต่บัดนี้คนที่ข้ารักจะมีเพียงซิ่นเฉิงเท่านั้น”

เท่านั้นก็เรียกรอยยิ้มให้กับเจี้ยนสือได้พร้อมกับภูเขาที่ถูกยกออกจากอก

รักซิ่นเฉิง...

เทียนอี้รักซิ่นเฉิงมากเกินกว่าที่เขาจะคาดเดาได้จริงๆ...

พลันเทียนอี้ก็ผละจากไป ร่างเลือนรางหายเข้าไปในกระโจม ปล่อยให้ผู้เป็นสหายทอดมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายกระทั่งหายลับไปสุดสายตา

หากเป็นเช่นนั้น...ข้าก็เบาใจแล้ว

รักเจ้าเหมียวแทนข้าผู้นี้ที...



 
หมดเรื่องหนักใจ เจี้ยนสือก็กลับคืนสู่สรวงสวรรค์ กระนั้นเขาก็ยังคงมิอาจละเรื่องทางโลก แม้ว่าระยะนี้เขาจะไปเยี่ยมเยือนซิ่นเฉิงน้อยลง แต่ก็ไม่วายไปแอบลอบมองดูอยู่ไกลๆ บ้าง เห็นเทียนอี้ยังคงคอยตามเป็นเงาติดตัว เขาก็อดเวทนาขึ้นมาไม่ได้

ทั้งที่รักกันจนมิอาจแยก แต่เหตุใดสวรรค์ถึงไม่เห็นใจให้ทั้งสองได้เคียงครองกัน?

เขาเฝ้าพร่ำถามตนเช่นนี้ไม่หยุดหย่อน เขาเองก็รักซิ่นเฉิงมากไม่แพ้กัน แต่ความรักของเขามิอาจเทียบเท่าความรักของเทียนอี้
ความรักที่เต็มไปด้วยการเสียสละ...

เขามิอาจทำได้และไม่เคยทำได้

แต่...ครั้งนี้เขาจะทำ

ด้วยอดเวทนาสหายและคนที่ตนรักไม่ได้ เจี้ยนสือจึงออกจากตำหนักตนไปหารือกับหมิงจูซึ่งพำนักอยู่ไม่ไกล ครั้นเอ่ยความปรารถนาของตนให้อีกฝ่ายฟังจนเสร็จสิ้น หมิงจูก็มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาฉับพลัน

“เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะทำเช่นนั้นจริงๆ?”
ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ขณะที่เจี้ยนสือยกน้ำจัณฑ์ทิพย์ขึ้นดื่ม ก่อนจะตอบรับอีกครั้ง
“ข้าแน่ใจแล้ว”
“แม้ว่าเจ้าจะต้องสูญเสียพลังในการเป็นเทพน่ะหรือ?”

คนถูกถามพยักหน้ารับมาอีกครั้ง เท่านั้นหมิงจูก็จนปัญญา

“เรื่องของพวกเจ้าทั้งสามทำให้ข้าปวดหัวไม่จบไม่สิ้นเสียจริง”
ตามมาด้วยบ่นกระปอดกระแปดให้เจี้ยนสือได้หัวเราะร่วน
“เอาเถิดน่า ข้ารับปากว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย”
“แต่เจ้าจะกลายเป็นเพียงเทพเล็กๆ เท่านั้น เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าตบะที่เจ้าสั่งสมมามันคุ้มค่ากับการแลกเปลี่ยนนี้?”

เจี้ยนสือไม่พยักหน้าหรือตอบรับใด นอกจากจะว่าเสียงเรียบ

“ถือว่าช่วยข้าสักครั้งแล้วกันหมิงจู หากเจ้ายินยอม เจ้าจะไม่ได้ช่วยเพียงข้า แต่ช่วยเทียนอี้และซิ่นเฉิงด้วย”

ย่อมแน่ว่าสหายอย่างหมิงจูย่อมช่วยสหายทั้งสองอยู่แล้ว แต่เจ้ามนุษย์นั่น... เขาไม่อยากจะช่วยนักหรอก ทว่าในเมื่อเจี้ยนสือผู้ซึ่งไม่เคยเห็นหัวผู้ใดมาขอร้องให้เขาช่วยเหลือถึงเพียงนี้ มีหรือที่เขาจะกล้าขัดน้ำใจได้ลง

“ก็ได้ๆ ข้าจะช่วยเจ้าพูดเอง แต่เจ้ามั่นใจแล้วสินะว่าจะยอมรับผลที่ตามมาได้”
ยังคงถามซ้ำไปซ้ำมา เจี้ยนสือหัวเราะน้อยๆ
“ข้ามั่นใจ เจ้าไม่ต้องถามข้าอีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็อยากทำให้คนที่ข้ารักมีความสุข”

หมิงจูระบายลมหายใจ ไม่ว่าอย่างไร สองเทพสหายของเขาก็ยังเห็นเจ้าเทพชั้นผู้น้อย... ไม่...ไม่ใช่... ยังคงเห็นเจ้ามนุษย์ผู้นั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดอยู่ดี

“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า ข้าจะส่งคนไปทูลฝ่าบาทว่าจะขอเข้าเฝ้า เจ้าไปเตรียมตัวให้พร้อมเถิด”



 
เผ่าทะเลทรายยังคงเร่ร่อนระหกระเหินไปตามวิถี ในยามนี้ซิ่นเฉิงเป็นผู้นำเผ่า เขาไร้ซึ่งความหุนหันพลันแล่นโดยสิ้นเชิง ท่าทีที่เปลี่ยนไปสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเขาเป็นอย่างมาก จากชายหนุ่มใจร้อนก้าวขึ้นสู่ผู้นำของทุกชีวิต ผู้ใดเลยจะรู้ว่าสักวันหนึ่ง เขาจะกลายเป็นที่พึ่งพาของเหล่าพี่น้องในเผ่าเช่นนี้

แต่นั่น...คือสิ่งที่เขาควรกระทำ

อันที่จริงเขาควรกระทำมาตั้งแต่ตอนที่เทียนอี้ยังปรากฏกายให้เขาเห็นด้วย

หากเขาไม่หุนหันพลันแล่น ยืนกรานเด็ดขาดว่าจะไปจากเทียนอี้ เขาคงจะไม่ต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้

พลัดพรากลาจากไม่รู้ทิศ...

เทียนอี้... ตอนนี้เจ้าอยู่แห่งหนใดกัน?

ชายหนุ่มเหม่อมองดวงจันทร์ที่ทอแสงเหลืองนวลกระทบผืนทราย คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เขามานั่งเหม่อมองความงามของดวงจันทร์พลางพร่ำถามหาถึงคนรักที่จากไป

จากไปไหน อยู่แห่งใด เป็นตายร้ายดีเช่นไร เขามิอาจรู้ได้เลยแม้แต่น้อย คราแรกเขาเคยคิดว่าเทียนอี้คงจะกลับไปเป็นเทพบนสวรรค์ แต่เห็นสีหน้าของเจี้ยนสือที่ดูทุกข์ใจยิ่งแล้ว เขาก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอาเพศกับคนรักของเขาเป็นแน่ ในตอนนั้นชายหนุ่มเร่งรีบกลับไปยังแคว้นเฟิงฝู มุ่งหน้าสู่จวนของเทียนอี้ หากแต่มันกลับกลายเป็นเพียงอดีตจวนของแม่ทัพใหญ่ ภายในนั้นไร้ซึ่งผู้คน จะมีก็แต่เพียงพ่อบ้านเหลียงในร่างเทพที่เฝ้าวนเวียนอยู่ที่นั่น

‘เจ้าจระเข้ เทียนอี้ไปไหน’

‘ท่านแม่ทัพเทียนอี้...ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว’

ซิ่นเฉิงยังคงจำคำพูดของพ่อบ้านเหลียงให้ดี เป็นการตอบที่ไม่ตรงกับคำถามเลยสักนิด กระนั้นก็ทำให้ซิ่นเฉิงเข่าอ่อนไปได้ โลกทั้งโลกดำมืด เขารู้สึกราวกับคนที่สูญสิ้นทุกอย่าง เกือบหนึ่งปีที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอ้างว้างนั้นสอนให้เขาเรียนรู้ว่า...การมีชีวิตอยู่โดยไร้ซึ่งเทียนอี้ มันช่างไร้ความหมายนัก

‘ข้าขอให้เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อข้า...’

หากแต่น้ำเสียงคุ้นหูที่ดังก้องอยู่ในภวังค์กลับทำให้เขาต้องกัดฟันทน

ต่อให้ต้องรวดร้าวในใจเพียงใด เขาก็จะต้องมีชีวิตอยู่

คิดดังนั้นจึงพอจะต่อให้ออกปากถามเจี้ยนสือ อีกฝ่ายก็ย้ำแค่ว่าเทียนอี้ยังอยู่กับเขา

อยู่หรือ? อยู่อย่างไร ไยไม่ได้พบหน้ากัน!

เพียงคิด ขอบตาก็ร้อนผะผ่าว ซิ่นเฉิงกะพริบตาปริบสองสามครั้งเพื่อไล่หยดน้ำตา ไม่เคยมีเลยสักวันที่เขาจะไม่คิดถึงผู้ที่จากไป
หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ดื้อรั้น จะไม่กระทำสิ่งใดให้เทียนอี้ลำบากใจ จะดีกับอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ และจะรัก... จะรักตราบที่คนผู้หนึ่งจะรักใครอีกคนได้

ฝ่ามือหนายกขึ้นดึงเครื่องประดับผมที่เทียนอี้เคยมอบให้มาไว้ในอุ้งมือ ปลายนิ้วเรียวลูบไปบนเขี้ยวสุนัขป่าอย่างแผ่วเบา
มีเพียงสิ่งนี้ที่พอจะเป็นตัวแทนของเทียนอี้ได้...

เขาดึงมันมาแนบที่หน้าอก สูดหายใจเข้าเพื่อระงับความรวดร้าวที่แผ่ซ่านภายใน

คิดถึง...
ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน...

ในที่สุดน้ำตาก็ร่วงเผาะตกกระทบผืนทราย ความเข้มแข็งที่แบกอยู่บนบ่า บัดนี้มลายหายสิ้นราวกับไม่เคยมีมาก่อน เสียงสะอื้นไห้ดังลอยมาตามลม พัดพาเข้าโสตสัมผัสของผู้ที่เฝ้ามองอยู่เคียงข้าง

“เฉิงเฉิง อย่าร้องไห้...”

เทียนอี้ว่าเสียงแผ่ว เอื้อมมือโปร่งแสงไปหมายจะลูบศีรษะอีกฝ่ายเป็นการปลอบ หากแต่ก็มิอาจกระทำได้ด้วยไม่สามารถจับต้องกายของคนตรงหน้า

เจ็บปวด...

เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส...

ทั้งที่ได้อยู่ข้างกัน แต่มิอาจกระทำสิ่งใดได้เลย เพียงแค่ปลอบใจให้อีกฝ่ายได้สงบลง เขาก็ไม่สามารถทำได้

การเป็นอยู่เช่นนี้มันทำให้ซิ่นเฉิงมีความสุขจริงๆ อย่างนั้นหรือ?

เทียนอี้ตระหนักขึ้นมาได้ว่าบางทีการมอบชีวิตคืนให้กับซิ่นเฉิงนั้น แท้จริงแล้วมันเป็นการทรมานให้อีกฝ่ายต้องตายทั้งเป็นมากกว่า

“อย่าร้อง... ข้าขอร้องเฉิงเฉิง อย่าร้องไห้เพื่อข้าอีกเลย”

ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่พึมพำอยู่ข้างกายของมนุษย์หนุ่มที่ซบหน้าลงบนฝ่ามือซึ่งถือเครื่องประดับอันเป็นของต่างหน้าที่เขามอบให้เท่านั้น

ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเทียนอี้บีบรัด

เขาจะต้องทำอย่างไร... ต้องทำอย่างไรถึงจะหยุดน้ำตาของบุรุษผู้นี้ไว้ได้!?

ความทรมานนี้สร้างบาดแผลมากมายให้กับทั้งมนุษย์และเทพ... ไม่สิ ไม่ใช่เทพ เขาเป็นเพียงอากาศธาตุ สิ่งนี้นี่แหละที่ทำให้ทั้งเขาและซิ่นเฉิงทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์

หากแต่ความโศกเศร้าของเทียนอี้ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อหูพลันได้ยินเสียงคุ้นเคย

“เจ้าเห็นผลร้ายของการไม่ยอมให้ข้าบอกไปหรือยังว่าเจ้ายังอยู่”

ครั้นหันหลังไปมองก็เห็นว่าเป็นเจี้ยนสือที่ยืนกอดอกมองอยู่ไม่ไกล ร่างที่มีแสงเรืองรองน้อยๆ ทออยู่รอบกายนั้น บ่งบอกให้เทียนอี้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้สำแดงกายให้มนุษย์หนุ่มเห็น

“เจ้าพูดถูก เห็นทีคงต้องบอก”

เทียนอี้ยอมจำนนจนได้ อย่างน้อยการที่ซิ่นเฉิงได้รับรู้ว่าเขายังคงอยู่เคียงข้างก็น่าจะพอทำให้คลายความโศกเศร้าได้บ้าง

เจี้ยนสือได้ยินแล้วก็พยักหน้า หากแต่เขากลับไม่ขันอาสาอย่างที่ควรจะเป็น ทว่ากลับโพล่งสวนมาแทน

“เช่นนั้นเจ้าคงต้องบอกเอง”
เรียวคิ้วของคนฟังย่นยู่ทันที “เจ้าหมายถึง...”
“เจ้าจะเป็นผู้บอกเรื่องนี้แก่ซิ่นเฉิงด้วยตนเอง”
คำพูดนั้นทำให้คนฟังอึ้งงันไปในทันที
“เจี้ยนสือ... หรือว่าเจ้า...”

เจี้ยนสือพยักหน้า เท่านี้ก็เป็นอันรับรู้กันว่าที่เขาบอกว่าจะให้เทียนอี้เป็นผู้บอกด้วยตนเองนั้นหมายถึงอย่างไร
เทียนอี้ซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ พลันทิ้งตัวลงคุกเข่า ยกมือขึ้นคำนับสหาย

“บุญคุณของเจ้าครั้งนี้ ข้าจะไม่มีวันลืม”

จากนั้นก็ก้มลงจนหน้าผากแนบพื้น เจี้ยนสือเห็นแล้วก็ยกยิ้ม

“ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้า” เขาว่า “แต่ทำเพื่อชดเชยความผิดที่ข้าได้ก่อไว้กับหลิวซู จากนี้ต่อไป ข้าขอให้เจ้า...รักเขาแทนข้าด้วย”

สิ้นเสียง แขนทั้งสองข้างของเจี้ยนสือก็ผายออก แสงสว่างวาบประกายออกจากร่างของเทพหนุ่ม ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าหาร่างของใครอีกคนที่คุกเข่าหมอบอยู่บนพื้น ชั่วพริบตาเดียว ร่างกายเลือนรางก็ค่อยๆ มีเลือดเนื้อขึ้นมา

ไออุ่นประหลาดที่ก่อตัวขึ้นไม่ไกลจากข้างกายเรียกให้ซิ่นเฉิงต้องหันไปมอง ฉับพลันก็ต้องหยุดร้องไห้ เบิกตาโต อ้าปากค้างด้วยตะลึงงัน อากาศธาตุที่อยู่ข้างๆ เขาค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างทีละน้อย ก่อนจะปรากฏภาพฉายชัดของใครบางคนที่เขาคุ้นเคยดี

“จะ...เจ้า...”

ซิ่นเฉิงครางออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา ขณะที่เทียนอี้ค่อยๆ ผุดลุกจากพื้น เหยียดตัวตรง มองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าคร้าม

“ข้าเอง...”

ซิ่นเฉิงแทบไม่เชื่อสายตา คนที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า...ทะ...เทียนอี้!?

สองเท้าของบุรุษทะเลทรายก้าวออกไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว กระทั่งมาประชิดกับอีกฝ่าย กายเนื้อที่มีความอุ่นร้อนนั้นทำให้ซิ่นเฉิงอดไม่ได้ที่จะยกมืออันสั่นเทาไปสัมผัสยังซีกแก้มของอีกฝ่าย ครั้นรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือเรื่องจริง หาใช่ภาพลวงตา หยดน้ำตามากมายก็ไหลทะลักออกมาด้วยความยินดี

“ขะ...ข้าฝันไปหรือไม่?”

เทียนอี้ส่ายหน้าพลัน “เจ้าไม่ได้ฝัน เป็นข้า... ข้าเอง เจ้าหมาของเจ้า”

มือใหญ่ยกขึ้นกุมมือของอีกฝ่ายที่ประคองใบหน้าของตนอยู่ บีบเบาๆ เป็นการย้ำว่าเขาคือความจริงที่ประจักษ์ได้ เท่านั้นซิ่นเฉิงก็ไม่ใคร่สงสัยสิ่งใดอีก โผเข้ากอดแน่นอย่างโหยหา ไม่ต่างจากเทียนอี้ที่โอบกอดร่างนั้นด้วยความรักใคร่ ใบหน้าซุกลงมาบนไหล่กว้าง สูดดมกลิ่นกายอันคุ้นเคยของกันและกัน

เขากลับมาแล้ว...

กลับมาแล้วในร่างของมนุษย์...

แต่จะเป็นไปได้อย่างไรนั้น ซิ่นเฉิงก็หาได้สนใจในยามนี้ เขาสนใจเพียงอย่างเดียวว่ายามนี้ความทุกข์ตรมของเขาได้รับการปัดเป่าแล้วเท่านั้น

“ยะ...อย่าไปไหนอีก... อย่าจากข้าไปไหนอีก...”

เสียงนั้นสั่นไหว พร่ำบอกไม่หยุดหลายต่อหลายครั้ง

“อย่าไป... เจ้าหมา เจ้าอย่าไปไหนอีก...”

เสียงนั้นกระตุ้นให้เทียนอี้โอบกอดแนบแน่นมากขึ้นไปอีก ก่อนที่เขาจะกระซิบเสียงพร่าออกมา
“ข้าจะอยู่กับเจ้า... ตราบนิจนิรันดร์”

จากการร้องไห้ด้วยทุกข์โศกกลับกลายเป็นการร้องไห้ด้วยความปีติยินดี เจี้ยนสือซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งแสงประกายเรืองรองดั่งเทพชั้นสูงยังคงไม่สำแดงกายออกมาให้ผู้ใดเห็น ได้แต่ยืนมองบุรุษทั้งสองกอดกันแนบชิด พร่ำบอกรักให้แก่กันอย่างโหยหาภายใต้แสงจันทร์ที่สาดทออาบไล้

หมดสิ้นแล้วซึ่งทุกข์ตรม สองเทพมิอาจรักหรือ? ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ทั้งเทียนอี้และซิ่นเฉิงต่างหากใช่เทพอีกต่อไปแล้ว พลันรอยยิ้มเบาบางก็ปรากฏที่ใบหน้าคร้ามคมของเจี้ยนสือ ก่อนที่เขาจะยกมือของตนที่ปราศจากแสงแห่งเทพขึ้นมอง

เทียนอี้... หลิวซู... ความผิดของข้าที่ผ่านมา ข้าขอชดใช้คืนให้พวกเจ้าในชาตินี้

ขอให้พวกเจ้ามีความสุขตราบนิจนิรันดร์...
 -----------------------------------
ยังไม่จบดีนะคะ มีบทส่งท้ายอีก เดี๋ยวดึกๆ มาอัปให้จ้า ออกไปหาไรกินแป๊บ XD

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทส่งท้าย

การกลับมาของเทียนอี้นั้นเป็นที่น่ายินดียิ่ง ต่อให้เขากลับมาในร่างของมนุษย์ มีอายุขัย มีเจ็บ มีตาย แต่นั่นก็หาได้สำคัญกับเทียนอี้ไม่ ตราบใดที่เขาได้อยู่เคียงข้างคนรัก ได้ครองคู่จนกว่าจะหมดลมหายใจจากกัน สิ่งใดก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ขณะที่ซิ่นเฉิงเองก็สุขล้นกว่าผู้ใดในใต้หล้า รอยยิ้มที่ห่างหายไปจากใบหน้าหล่อเหลานานจวบปีหวนคืนกลับมาอีกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านเหลียงที่ยังคงเฝ้ารออยู่ยังจวนแม่ทัพ ครั้นรู้ว่าเทียนอี้กลับมาก็ยินดียิ่งจนต้องจัดงานเฉลิมฉลองเสียใหญ่โต

กระนั้น... พ่อบ้านเหลียงก็อดเสียดายไม่ได้ที่การกลับมาในครั้งนี้ของเทียนอี้หาใช่เทพสวรรค์ดังเดิม แต่เป็นมนุษย์...

มนุษย์!

มนุษย์ที่เขาเคยคิดชิงชังหนักหนาว่าเป็นตัวปัญหาที่ทำให้ผู้เป็นนายของตนต้องปวดศีรษะไม่เว้นวัน!

แต่บัดนี้จะชิงชังก็ไม่ได้แล้ว ในเมื่อเทียนอี้ดันเป็นพวกเดียวกับซิ่นเฉิงเสียอย่างนั้น ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะบ่นกระปอดกระแปดเมื่ออดีตแม่ทัพสวรรค์ชักชวนซิ่นเฉิงกลับมาเยี่ยมสหายเก่าถึงแคว้นเฟิงฝู

“ข้าก็หาได้คิดว่าท่านแม่ทัพเทียนอี้จะลดตัวลงถึงเพียงนี้ แล้วดูท่านสิ แต่งกายอะไรกัน อาภรณ์เหล่านี้ใช่อาภรณ์ที่ท่านคุ้นเคยเสียที่ไหน”

พาลพาโลไปต่อว่าเอาอาภรณ์ของชนเผ่าทะเลทรายที่เทียนอี้สวมใส่อยู่ด้วย

ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกเผ่าทะเลทรายไปแล้วนี่นา จะแต่งกายเช่นนี้ก็หาได้ผิดแปลก

“เจ้าอย่าบ่นให้มากความไปหน่อยเลยพ่อบ้านเหลียง ข้ากลับมาก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ? จะมีสถานะเป็นเช่นใดก็หาได้เห็นสำคัญเลย”
“สิ่งนั้นก็ถูกต้องอยู่ขอรับ แต่ข้าก็อดขัดใจอยู่ไม่ได้”

ว่าแล้วก็ชำเลืองไปมองหน้าของซิ่นเฉิงอย่างตำหนิที่ทำให้ผู้เป็นนายของตนต้องกลายเป็นอย่างนี้ หากแต่ซิ่นเฉิงไม่สนใจ ลอยหน้าลอยหน้าหยิบเอาขนมที่พ่อบ้านผู้นี้จัดเตรียมมาให้เข้าปากอย่างสำราญใจ ปล่อยให้เทียนอี้ได้หัวเราะขบขันกับการกระทำนั้น

“เอาเถิดๆ ข้ามาพบเจ้าในคราวนี้ก็เพื่อจะมาบอกเจ้าว่าหาได้ต้องเป็นห่วงแล้ว ยามนี้เจ้าเป็นเทพสวรรค์ เจ้าก็อย่าได้มาปะปนวนเวียนกับมนุษย์อีกเลย กลับไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด หากเป็นห่วงข้าก็ใช้ตาทิพย์มองจากสวรรค์ลงมาก็ได้ ไม่ต้องทำเช่นนี้”

พูดอย่างนั้น พ่อบ้านเหลียงก็ถอนหายใจออกมา
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ในเมื่อท่านแม่ทัพสุขสบายดี ข้าก็คงจะหมดห่วงแล้ว”

“สมควรหมดห่วงได้แล้วล่ะเจ้าจระเข้เฒ่า เจ้ามันจู้จี้จุกจิกตลอดไม่ว่าจะเป็นเทพสวรรค์หรือเทพอสูร”

เสียงนี้เป็นของซิ่นเฉิงที่อดไม่ได้ที่จะสวนขึ้นมา พ่อบ้านเหลียงอย่าจะโต้ตอบอยู่หรอก แต่เห็นแก่เทียนอี้ที่จับจ้องพลางอมยิ้มอยู่ เขาถึงได้แต่ถอนหายใจและยอมแพ้ไปโดยดุษณี

“ข้าจุกจิกก็เป็นเพราะห่วงใยผู้เป็นนาย แต่เอาเถิด ในเมื่อท่านแม่ทัพเทียนอี้พูดเช่นนี้ ข้าก็จะละทางโลกแล้ว”
“คิดดีแล้ว” เทียนอี้ว่าพลางยกยิ้ม ก่อนที่จะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ “เอ้อ ข้าว่าจะถามเจ้าสักหน่อย”
“เรื่องใดหรือขอรับ?”
“เจ้าได้ยินข่าวคราวของเจี้ยนสือบ้างหรือไม่?”

คำถามนี้ทำให้คนข้างกายที่กำลังยัดขนมเข้าปากชะงัก ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านเหลียงที่ย่นคิ้วยู่เช่นกัน

“ท่านแม่ทัพถามทำไมหรือ?”
“ก็ตั้งแต่ที่เจ้านั่นมอบพลังเทพให้กับข้า ข้าก็หาได้พบพานอีกเลย จึงอดใคร่รู้ไม่ได้ว่าอยู่ดีมีสุขอย่างไรบ้าง”

เท่านั้นพ่อบ้านเหลียงก็ร้องอ๋อ เขาไม่แปลกใจหรอกที่เทียนอี้ว่ามาเช่นนี้ เพราะเขาเองก็ได้ยินจากหมิงจูมาเช่นกันว่าที่เทียนอี้มีกายเนื้อเป็นมนุษย์ได้ เป็นเพราะเจี้ยนสือขอให้หมิงจูไปช่วยทูลขอองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ให้ทรงใช้อภินิหารปันพลังเทพของเจี้ยนสือไปให้กับเทียนอี้ สิ่งนั้นก็เพื่อให้เทียนอี้ได้มีร่างกายและครองคู่รักใคร่กับซิ่นเฉิง และนั่น...เป็นเหตุใด้เจี้ยนสือต้องสูญเสียพลังไปเกือบสิ้น จากเทพสวรรค์ชั้นสูงก็ถูกลดหลั่นลงมาเป็นเพียงเทพชั้นผู้น้อย

ผู้น้อย...น้อยกว่าเทพในโรงครัวเสียอีก เพราะเจี้ยนสือในยามนี้มีหน้าที่เพียงเป็นเทพประจำบ่อน้ำในทะเลทรายเท่านั้น อภินิหารใดที่เคยมี ล้วนมลายหายไปสิ้น เหลือแต่เพียงพลังเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะปกปักรักษาบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้ก็เท่านั้น

พ่อบ้านเหลียงออกจะเห็นใจอยู่บ้าง แต่ก็คิดเอาว่านั่นเป็นสิ่งที่เจี้ยนสือเลือกเอง อีกทั้งไม่ได้สนิทสนมชิดเชื้อจึงไม่ได้ใส่ใจ มีเพียงหมิงจูเท่านั้นที่แวะเวียนไปเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นพอถูกถาม เขาก็ส่ายหน้าเบาๆ

“ข้าหาได้สนใจ ไม่รู้หรอกขอรับว่าท่านแม่ทัพเจี้ยนสือเป็นอย่างไรบ้าง หากท่านแม่ทัพเทียนอี้สงสัยอยากรู้ คงจะต้องไปถามเอากับรองแม่ทัพหมิงจู แต่ท่านแม่ทัพเทียนอี้ก็อย่าได้กังวลเลย ข้าได้ยินมาว่าเขาสุขสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง”

ถึงจะไม่ได้ดำรงสถานะเดิมแล้ว แต่พ่อบ้านเหลียงก็ยังคงเรียกขานด้วยสรรพนามเดิม

เทียนอี้ก็หาได้ใส่ใจ คนตรงหน้าว่ามาเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ
“หากวันใดมีโอกาส ข้าคงได้พบพานเจี้ยนสือสักวัน”

พ่อบ้านเหลียงยิ้มบางๆ ถึงเทียนอี้และเจี้ยนสือจะเคยวิวาทกันอย่างรุนแรงมาเป็นนับร้อยปี แต่สายใยสัมพันธ์ของสหายก็ไม่เคยถูกตัดขาด

กระทั่งยามนี้...มันก็ยังเหนียวแน่นราวกับจะไม่มีวันขาดสะบั้น

“รบกวนเจ้ามากพอแล้ว ประเดี๋ยวข้ากับซิ่นเฉิงจะต้องพาเผ่าเดินทางขึ้นเหนือ ฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว เราจะกลับถิ่นฐานกัน”

เทียนอี้โพล่งขึ้นมาอีกครา เป็นสัญญาณว่าเขาได้เวลาต้องไปแล้ว พ่อบ้านเหลียงจึงไม่รั้งรอด้วยรู้ว่าหน้าที่ของ ‘หัวหน้าเผ่าทะเลทราย’ ของทั้งสองนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด

“เช่นนั้นข้าก็ขอคารวะท่านแม่ทัพ มีโอกาสคงได้พบพานกันอีก”
“ที่ผ่านมา ขอบน้ำใจเจ้ามาก...พ่อบ้านเหลียง”

ไม่มีคำบอกลาใดอีกแล้ว เทียนอี้และซิ่นเฉิงกลับออกไปนอกจวน...ที่หลังจากนี้มันจะเป็นเพียงอดีตของพวกเขาตลอดกาล



 
การเดินทางกลับคืนสู่ดินแดนทุ่งหญ้านั้นยาวนานและกินเวลาหลายเดือน กระนั้นก็หาได้ทำให้ผู้ใดเหนื่อยอ่อยเลยแม้แต่น้อย การกลับยังภูมิลำเนาเดิมนั้นสร้างความรื่นเริงให้กับทุกชีวิต ทุกราตรีกาลต่างพากันร้องรำไม่หยุดพัก ไม่เว้นแม้แต่สองบุรุษที่แม้ว่างานเลี้ยงจะเลิกราไปแล้ว แต่ทั้งสองยังคงเริงระบำกันไม่หยุดหย่อน

เสียงครางกระเส่าและลมหายใจกระหืดหอบเปรียบเสมือนเสียงขับลำนำ ผิวเนื้อที่กระทบกันเป็นเสียงดนตรีประกอบจังหวะ ซิ่นเฉิงโผกอดร่างใหญ่ที่ทาบทับกายตนเมื่อความอภิรมย์พร่างพรายไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนที่จุมพิตหนักหน่วงจะถูกมอบให้บนริมฝีปากราวกับว่าอีกฝ่ายจะช่วงชิงวิญญาณของเขาไป

“ข้ารักเจ้า”

ผละริมฝีปากออกมาได้ก็กระซิบบอก ก่อนจะบรรจงจูบอีกครั้ง
“ข้ารักเจ้า”

เมื่อริมฝีปากห่างจากกัน ก็พร่ำบอกอีก ทำเอาซิ่นเฉิงหัวเราะออกมาน้อยๆ
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้ารักข้า จะพูดทำไมบ่อยครั้งนักหนาเจ้าหมา”

เทียนอี้ยกยิ้มน้อยๆ “เผื่อว่าเจ้าจะบอกข้าบ้าง”

ที่แท้ก็ออดอ้อนให้อีกฝ่ายพูดประโยคเดียวกันอย่างนั้นหรือ?

ซิ่นเฉิงยกยิ้มกว้าง โน้มลำคอของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้
“ถึงเจ้าจะไม่บอกให้ข้าพูด ข้าก็จะพูดให้เจ้าฟังอยู่แล้วว่าข้ารักเจ้า”

แล้วก็เป็นซิ่นเฉิงบ้างแล้วที่ประกบปากจูบอีกฝ่าย ครั้นผละออกจากกัน ประโยคนั้นก็ดังออกมาให้เทียนอี้ได้ยินอีก
“ข้ารักเจ้าเช่นกัน... รักเจ้า... รักตราบนิรันดร์”

ไม่มีถ้อยคำใดจะไพเราะไปกว่าเสียงแหบห้าวของบุรุษผู้นี้ที่เอ่ยคำรักกับเขาอีกแล้ว เทียนอี้โอบกอดร่างนั้นไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหายไป ท่าทางนั้นทำให้ซิ่นเฉิงขบขันอยู่ไม่น้อย

“เป็นอะไรอีก”
“เจ้าจะทำให้ข้าเกิดกำหนัดอีกคราน่ะสิ”

ถึงกับระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ซิ่นเฉิงหัวเราะร่วน
“หากเจ้าเกิดกำหนัดอีกครา ข้าก็คงจะเป็นเช่นกัน”

เป็นสัญญาณว่าในราตรีนี้ เขาทั้งสองคงจะไม่ได้หลับได้นอนอีกคืนแน่ๆ กระนั้นก็หาได้มีผู้ใดสนใจ เทียนอี้โถมร่างกายทาบทับ ตะโบมจูบพรมไปทั่วอย่างเอาแต่ใจ

"เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าเป็นหมาตะกละก็แล้วกัน"

ผู้ใดจะกล้าว่าได้เล่า หากเทียนอี้เป็นหมาตะกละแล้ว ซิ่นเฉิงก็คงเป็นแมวตะกละไม่ต่างกัน
“จะกลืนกินข้าเท่าใดก็สุดแท้แต่เจ้าเลย”
“เฉิงเฉิง...”
“ข้า...ยินดีจะเป็นเสี้ยวหนึ่งของเจ้า เทียนอี้...”

ไม่มีสุขใดจะสุขเท่าได้รับรู้ความรู้สึกของคนใต้ร่างอีกแล้ว สิ้นเสียง ทั้งคู่ก็กอดก่ายกันกลมราวกับว่าจะมอบความรักให้แก่กันมิรู้ลืม

แสงจันทร์ที่สาดทอมายังกระโจมนั้น...ไม่เปลี่ยนผันร่างของเทพอสูรให้กลับคืนสู่เทพสวรรค์อีกแล้ว และจะไม่มีวันเปลี่ยนผันความรักของทั้งสองให้มลายจากกันด้วย มีแต่จะเป็นสักขีพยานว่าทั้งคู่นั้นจะครองรักกันตราบนานเท่านาน

ทิวาวันหมุนผ่าน ราตรีกาลแปรเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นเทพชั้นสูงหรือเทพชั้นผู้น้อย เทพอสูรหรือมนุษย์ มนุษย์กับมนุษย์ ล้วนแล้วก็
ไม่มีสิ่งใดมาทำให้ใจของทั้งคู่สั่นคลอนได้อีก

ไม่พลัดพราก ไม่ลาจาก มีแต่จะครองรักยั่งยืน

ตราบเท่าที่เส้นผมของพวกเขาจะกลายเป็นสีหิมะ ความรักนั้นจะยังคงสถิตอยู่ หลอมรวมทั้งคู่ให้กลายเป็น ‘เสี้ยว’ หนึ่งของกันและกัน

จบสิ้นแล้วเสี้ยวแห่งอสูร จากนี้ต่อไปจะมีแต่เสี้ยวหัวใจทั้งสองจะผูกพันกันจนกว่าลมหายใจจะถูกพัดพาไป

เสี้ยวแห่งความรัก...

เจ้าหมากับเจ้าแมว...

เทียนอี้และซิ่นเฉิง...

จากนี้สืบไป...ตราบนิรันดร์




 
“เป็นอย่างไรบ้าง”

เสียงของเทพบ่อน้ำดังขึ้น เร่งรัดให้เทพชั้นสูงผู้หนึ่งใช้ตาทิพย์แอบดูบุรุษคู่หนึ่ง ก่อนที่คนที่ถูกเร่งจะหันมามองพร้อมกับกะพริบดวงตาที่สามซึ่งอยู่กลางหน้าผากของตนสองสามครั้ง

“เหนื่อยหอบ นอนหลับกันไปแล้ว”

เท่านั้นก็ไร้ซึ่งคำพูดใด คนถามเม้มริมฝีปากแน่น

เจ้าสองคนนั้น... ไม่คิดทำอะไรกันนอกจากเรื่องอย่างนี้เลยหรือไรนะ?

ขณะที่คนถูกไหว้วานนิ่วหน้าราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร

“เจ้าก็รู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าเทียนอี้กับซิ่นเฉิงจะต้องทำเรื่องเช่นนั้นกัน เป็นอย่างนี้ทุกคืน ยังจะมารบเร้าให้ข้าใช้ตาทิพย์แอบดูอีก ข้าเบื่อหน่ายกับบทรักของสองคนนั้นเต็มแก่แล้วรู้หรือไม่?”

“ก็มันช่วยไม่ได้ ข้าไม่มีตาทิพย์เช่นเจ้านี่”

เจี้ยนสือตัดพ้อ ประโยคนั้นทำเอาหมิงจูที่อุตส่าห์แวะเวียนมาเยี่ยมด้วยเป็นห่วงถึงกับส่งเสียงดัง ‘เฮอะ’ ออกมา

“เป็นเจ้าเองไม่ใช่หรือไรที่สละพลังเทพให้กับเทียนอี้น่ะ ยามนี้จะมีหน้ามาบ่นอะไรได้อีก”

ก็ถูกของหมิงจู เจี้ยนสือไม่มีสิทธิ์บ่นหรอก เป็นฝ่ายเสนอเองอย่างนั้น เขาก็ได้แต่ต้องยอมรับชะตากรรมนั่นแหละ ความจริงแล้วการเป็นเทพประจำบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มันก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่น่าเบื่อสักหน่อยที่มิอาจสอดส่องดูอดีตสหายและอดีตคนรักได้ก็เท่านั้น

“เอาเป็นว่าเจ้าสองคนนั้นสุขสบายดี พลอดรักกันทุกค่ำคืน บางวันก็ยันฟ้าสาง เจ้าเลิกให้ข้าใช้ตาทิพย์กระทำเรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว!”

หมิงจูอดไม่ได้ที่จะโวยวายมาอีกครั้ง ก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดหัวเสียเพราะเมื่อครู่ดันไปเห็นฉากรักอันหฤหรรย์ของทั้งคู่เข้าเต็มเปา ไม่ใช่เป็นภาพไม่น่าดูหรอก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องไปเห็นสักหน่อย

เจี้ยนสือหัวเราะให้กับท่าทางของสหายผู้นั้น ก่อนจะเลิกสนใจเมื่อความกังวลในอกค่อยๆ มลายหายไป พลันหัวเราะขบขันให้กับความวิตกกังวลของตนเอง

เขาจะต้องเป็นห่วงสหายผู้นั้นกับมนุษย์หนุ่มที่มีใจให้ทำไมกันอีก ในเมื่อสองคนนั้นครองรักกันอย่างมีความสุขไปสิ้นแล้ว
จากนี้ต่อไปเขาคงจะหมดห่วงและทำหน้าที่ของตนได้อย่างสบายใจแล้วล่ะ

เทพผู้รักษาบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์...

...เจี้ยนสือ
---------------------------
จบบริบูรณ์แล้วค่ะ ขออภัยที่หายไปนานมากๆ ถ้าอยากอ่านที่จบบริบูรณ์มากกว่านี้ (คือมีเรื่องราวต่อไปอีกเล็กน้อย แล้วก็บทสรุปของพี่งูค่ะ) ติดตามกันในรูปเล่มหรือแบบ Ebook เน้อ บอกเลยว่านายเอกของพี่งูคือเจ้าเดือนสาม (ซานเยว่) เป็นชายหนุ่มขี้เมา หลานชายของซิ่นเฉิงค่ะ (ลูกของซิ่นจิน) ช่วงนั้นจะเป็นคอเมดี้เบาๆ น่ารักๆ ละ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ค่ะ ฝากฝังผลงานเรื่องอื่นๆ ไว้ด้วยน้า

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
จบแล้ววว :L1: :pig4: เจี้ยนสือกลับไปเป็นเทพยังงี้ก็ไม่มีคู่อ่ะสิ ไม่งั้นก็โดนเนรเทศอีก  :hao5: เสียใจอ่ะ อุส่าหาคู่จิ้นโหดๆ(?) ให้เจี้ยนสือ
ขอบคุณนักเขียนนะคะที่ผลิตผลงานดีๆออกมา :กอด1: จะติดตามผลงานและอุดหนุนนะคะ  :bye2:

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
น่ารักมากเลย ขอบคุณครับ  :L2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Nickname

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอตามเรื่องพี่งูต่อ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายให้อ่านค่ะ อ่านเพลินมาก
ปล.เราสงสัยว่ามันเป็นจีนโบราณตรงไหน คือมันแฟนซีมากๆเลยอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


อย่างน้อยก็ไม่เศร้ามาก

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


ออฟไลน์ yin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หู๊ย! เศร้าใจตั้งหลายตอน..ดีจังมีความสุขซะที

ออฟไลน์ mickeyz.min

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
คือร้องไห้หนักมาก น้ตาท่วมอ่ะ สนุกมากๆๆๆๆๆ :katai1:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ขอบคุณค่ะสนุกมากดีใจที่เทียนอี้ได้ครองรักกับเฉิงเฉิง ต้องขอบคุณเจ้างูด้วยที่ยอมเสียสละพลังเทพของตัวเอง

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9

ออฟไลน์ lidelia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-1
สนุกมากกกก

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :3123: :pig4:

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
อ่านเรื่องย่อของพี่งูแล้ว
ซานเยว่สมกับพี่งูจริงๆเลย
ขี้เมา ยั่วเก่ง เจ้าสำราญ
พี่งูได้ปวดหัวกับน้องสามแน่นอน
อารมณ์ฤาษีจำศีลกับโคโยตี้ 555555
ออกแค่เรื่องย่อ แต่เด่นกว่าคู่หลักอีก
ทำให้อยากอ่านมากๆเลย

ออฟไลน์ CheetahYG

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 349
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
 :man1: :man1: :man1:
สนุกมากๆค่ะ ขอบคุณนะคะ
 :L1:

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกมากๆเลยค่ะ
ชอบแนวนี้มากๆ
อ่านเพลินมากค่ะ
ขอบคุณนิยายดีๆค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด