พิมพ์หน้านี้ - ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Nov9th ที่ 26-08-2017 20:34:44

หัวข้อ: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 26-08-2017 20:34:44
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


-----------------------------------------------------------------------------------------

ครั้นเหล่าแม่ทัพเซียนแห่งสวรรค์ถูกขับไล่ด้วยกระทำผิด
เมืองมนุษย์จึงเป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายที่พวกเขามาสิงสถิต
หากแต่การพำนักในเมืองมนุษย์นั้นทำให้ร่างกายงดงามแปรเปลี่ยนเป็นอมนุษย์
มนุษย์ย่อมรังเกียจเดียดฉันท์เทพอสูร
กระนั้นก็ไม่อาจหนีพ้นด้วยเหล่าเทพอสูรนั้นครอบครองแคว้น
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแคว้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในทะเลทรายแห้งแล้งแห่งนี้
...บุรุษมอบแรงกายให้ได้ใช้งาน สตรีมอบร่างกายเพื่อสร้างทายาท

เมื่อได้รู้ว่าน้องสาวฝาแฝดถูกบิดาขายให้ไปเป็นฮูหยินของเทพอสูรตนหนึ่งแลกกับแหล่งน้ำอันน้อยนิด
‘ซิ่นเฉิง’ นักรบแห่งชนเผ่าเร่ร่อนก็โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก อาจหาญถึงขั้นบุกจวนแม่ทัพแห่งแคว้นเฟิงฝู

ยามได้ยินคนรับใช้แจ้งว่ามีหัวขโมยจากทะเลทรายบุกรุกหมายชิงเจ้าสาวยามวิกาล
‘เทียนอี้’ จึงไปดูหน้าหัวขโมยด้วยตนเอง
เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย วิญญาณของซิ่นเฉิงก็แทบหลุดจากร่าง
เทียนอี้เป็นสุนัขป่า!?
ตะลึงงันขึ้นไปอีกเมื่อเทียนอี้เสนอเงื่อนไขที่ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“หากเจ้าไม่อยากตาย ก็จงเลือกเอาว่าจะให้น้องของเจ้าเป็นฮูหยินของข้า หรือเจ้าจะมาเป็นฮูหยินเสียเอง”

-----------------------------------------------------------------------------------------

สารบัญ

อารัมภบท (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3694907#msg3694907)
บทที่ 1: โจรทะเลทราย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3694912#msg3694912)
บทที่ 2: พยศ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3695057#msg3695057)
บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3695454#msg3695454)
บทที่ 4: สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3696147#msg3696147)
บทที่ 4: สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3696148#msg3696148)
บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3696455#msg3696455)
บทที่ 6: ศิโรราบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3697288#msg3697288)
บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3697700#msg3697700)
บทที่ 8: เทพอสูร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3699148#msg3699148)
บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3700301#msg3700301)
บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3700302#msg3700302)
บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3701032#msg3701032)
บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3701034#msg3701034)
บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3701541#msg3701541)
บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3702337#msg3702337)
บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3702338#msg3702338)
บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3702975#msg3702975)
บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3702979#msg3702979)
บทที่ 14: หวงแหน[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3703688#msg3703688)
บทที่ 14: หวงแหน[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3703691#msg3703691)
บทที่ 15: จุมพิษ[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3704149#msg3704149)
บทที่ 15: จุมพิษ[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3704159#msg3704159)
บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3705025#msg3705025)
บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3705027#msg3705027)
บทที่ 17: เทพสองสหาย[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3705626#msg3705626)
บทที่ 17: เทพสองสหาย[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3705628#msg3705628)
บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3706041#msg3706041)
บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3706043#msg3706043)
บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3706974#msg3706974)
บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3706975#msg3706975)
บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3708187#msg3708187)
บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3708189#msg3708189)
บทที่ 21: สัตว์เลือดเย็น[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3710812#msg3710812)
บทที่ 21: สัตว์เลือดเย็น[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3710814#msg3710814)
บทที่ 22: เสี้ยวอสูร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3711594#msg3711594)
บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3712712#msg3712712)
บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3712714#msg3712714)
บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3715358#msg3715358)
บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3718566#msg3718566)
บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3718567#msg3718567)
บทที่ 26: มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3752308#msg3752308)
บทที่ 27: ข้ารักเจ้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3764713#msg3764713)
บทที่ 28: สิ้นเยื่อใยเสน่หา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3764959#msg3764959)
บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3768310#msg3768310)
บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3768312#msg3768312)
บทที่ 30: พรจากสวรรค์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3810035#msg3810035)
บทที่ 31: ตราบนิจนิรันดร์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3810416#msg3810416)
บทส่งท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61637.msg3810510#msg3810510)
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 26-08-2017 20:35:26
อารัมภบท

เมื่อครั้งทัพสวรรค์ได้รับบัญชาจากองค์เง็กเซียนให้ไปปราบกบฏเมืองบาดาลอันเป็นที่สิงสถิตของเทพมังกรวารีในโทษฐานที่จักรพรรดิเมืองบาดาลริอ่านแข็งข้อต่อคำสั่ง กล้าให้ที่พักพิงแก่เทพเซียนที่ผันตัวเป็นปีศาจสังหารมนุษย์ อีกทั้งยังต้องโทษจองจำนับหมื่นปี เหล่าแม่ทัพสวรรค์ก็ได้กรีฑาทัพไปตามรับสั่ง หากแต่เมื่อถึงที่หมาย บัญชาสวรรค์จากองค์เง็กเซียนกลับมลายสิ้นด้วยสายใยผูกพันดั่งมิตรสหายของจักรพรรดิมังกรวารีและบรรดาแม่ทัพสวรรค์ช่างแน่นแฟ้น อีกทั้งปีศาจที่ใช้เมืองบาดาลแห่งนี้เป็นที่หลบซ่อนตัวก็หาใช่ผู้อื่นไกล หากแต่เป็นโอรสของเทพมังกรวารี เท่ากับว่ามีศักดิ์เป็นหลานของเหล่าแม่ทัพ

แม้ไม่ควรให้สายสัมพันธ์นี้มาขัดต่อหน้าที่ กระนั้นความเป็นพี่น้องและสหายร่วมสาบานก็มิอาจตัดขาด เหล่าแม่ทัพสวรรค์แสร้งทำลายเมืองบาดาลทิ้งเสียย่อยยับ เปิดช่องทางให้สหายเทพมังกรของตนพาโอรสหลบหนีไปยังที่เร้นลับ ให้พ้นจากสายพระเนตรขององค์เง็กเซียน

ทว่า... พวกเขาคงลืมไปกระมังว่าองค์เง็กเซียนคือประมุขสวรรค์ เป็นจักรพรรดิของเหล่าเทพทั้งปวง การตบตานี้หรือจะทำให้หลงเชื่อได้โดยง่าย ครั้นเหล่าแม่ทัพสวรรค์กลับมาพร้อมกราบทูลการปฏิบัติหน้าที่ ครานั้นเองที่ทุกตนต่างต้องโทษกันถ้วนหน้า

‘กบฏสวรรค์’ เป็นคำกล่าวหาที่เสมือนกับตราประทับที่ผนึกแน่นอยู่กลางหน้าผาก เหล่าแม่ทัพสวรรค์ละอายแก่ใจยิ่งนัก แต่นั่นก็หาได้เป็นโทษที่สาสมกับการขัดพระบัญชาไม่ องค์เง็กเซียนทรงเนรเทศพวกเขาและเหล่าทหารในกองทัพออกจากเขตสวรรค์ ตัดขาดทุกความเมตตาทั้งปวงที่เคยมีมาตั้งแต่โบราณกาลเสียสิ้น

เมื่อสวรรค์ซึ่งเป็นประหนึ่งบ้านมิอาจหวนกลับได้ และเมืองบาดาลก็ถูกทำลายหมดทั้งสิ้นแล้ว สถานที่แห่งเดียวที่เหล่าแม่ทัพสวรรค์จะพำนักพักพิงจึงหนีไม่พ้นโลกมนุษย์ หากแต่เมื่อพากันลงมายังที่หมาย ทันทีที่ฝ่าเท้าสัมผัสแผ่นดิน ร่างกายของพวกเขาก็ถูกกองเพลิงห่อหุ้มไว้ อีกทั้งยังเผาผลาญรูปลักาณ์อันงดงามจนมอดไหม้ไม่เหลือชิ้นดี ทว่า...เทพสวรรค์ไม่มีวันดับสูญ เหล่าแม่ทัพจึงจุติใหม่อีกคราในร่างที่พวกเขาหาได้เคยคาดคิดมาก่อน

ร่างกายอันอัปลักษณ์... กึ่งมนุษย์ กึ่งสัตว์...

อมนุษย์...

มันเป็นการลงโทษจากสวรรค์!

เรือนกายแปรเปลี่ยนเป็นสรรพสัตว์ตามอุปนิสัยโดดเด่นของแต่ละคน กระนั้นก็หาได้สำคัญเท่ากับการที่พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตมีเลือดเนื้อและรู้จักความตาย

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เทพอสูร’

เหล่านั้นคือคำขานเรียกเทพตกสวรรค์ แต่ถึงอย่างนั้น บทลงโทษก็หาได้ยุติเพียงเท่านี้ นอกจากจะมีเรือนกายอัปลักษณ์แล้ว พวกเขายังถูกตราหน้าให้เป็นมลทินด่างพร้อมอีก ด้วยในสายตาของเหล่ามนุษย์หาได้มองว่าพวกเขาเป็นอดีตเทพเซียนแต่อย่างใด หากแต่คือเหล่าอสุรกายที่คอยเบียดเบียน ช่วงชิง และครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างไปจากมนุษย์ คุณงามความดีใดที่พวกเขาเคยสร้างไว้ให้มนุษย์เหล่านั้นเมื่อครั้งยังอยู่บนสวรรค์ถูกลบเลือนไปหมดสิ้น...

และจะถูกมองชั่วนิรันดร์อย่างรังเกียจเดียดฉันท์...เช่นนั้น...ตราบนิรันดร์
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 26-08-2017 20:39:07
บทที่ 1: โจรทะเลทราย

เสียงฝีเท้าหนักๆ ของอาชาหนุ่มวิ่งย่ำไปบนผืนทะเลทรายสีทองดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ หากเป็นเพียงอาชาตัวเดียว เสียงนั้นคงจะไม่ชัดเจนเพียงนี้ แต่ด้วยเป็นเสียงฝีเท้าจากเหล่าอาชาคู่ใจของนักรบแห่งชนเผ่าทะเลทราย มันจึงดังกึกก้องไปทั่วอาณาเขตอันเวิ้งว้าง

กระนั้นก็หาได้ทำให้ชายหนุ่มผู้ควบม้าสีดำปลอดนำหน้าขบวนสนใจได้ ในหัวเขามีเพียงความตั้งใจเดียวเท่านั้นที่ผุดพรายเข้ามาในชั่วยามนี้

จะต้องกลับไปเค้นถามความจริงจากท่านพ่อ!

ใช้เวลาไม่นานนัก เหล่านักรบแห่งทะเลทรายก็มาถึงยังจุดหมาย เบื้องหน้าเป็นภาพของกลุ่มคนที่ถูกเรียกขานว่าเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกำลังสาละวนกับการขนถ่ายถุงบรรจุน้ำที่ทำจากหนังสัตว์จากหลังเกวียนเทียมม้าและอูฐอยู่ แต่ทุกชีวิตก็ต้องหยุดเคลื่อนไหวลงทันทีที่ร่างสูงของชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลอ่อนทิ้งตัวลงจากหลังม้าคู่ใจ ก่อนจะแผดเสียงดังลั่นพร้อมกับสีหน้าเกรี้ยวกราด

“ท่านพ่อของข้าอยู่ที่ไหน!?”

ไร้ซึ่งสรรพเสียงตอบรับ ยิ่งทำให้สีหน้าและแววตาของชายหนุ่มฉกรรจ์ฉายความไม่พอใจออกมาอีก

“ข้าถามว่าอยู่ที่ไหน!? ซิ่นจินอยู่ที่ไหน!?”

ประโยคแรกถามถึงบิดา ประโยคต่อมาเป็นชื่อหญิงสาวที่เขารู้จักดี

จะไม่ให้รู้จักดีได้อย่างไรกัน ในเมื่อชื่อนั้นเป็นของน้องสาวฝาแฝดที่อาศัยครรภ์มารดาร่วมกัน นางหายตัวไปตอนที่เขาออกไปปล้นกองคาราวานเช่นนี้ หาใช่เรื่องที่เขาจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนได้ไม่

เมื่อโทสะพวยพุ่งมากกว่าเดิม คำตอบที่ซิ่นเฉิงต้องการก็ได้รับในบัดนั้นเมื่อคนที่เขาถามหาได้ปรากฎกายออกจากกระโจมผ้าซึ่งเย็บมุงด้วยหนังสัตว์

“เหตุใดต้องเสียงดัง จะตามตัวข้า เจ้าก็เพียงเดินเข้ามาที่นี่”
ชายวัยกลางคน ท่าทางอ่อนแอผู้นั้นคือบิดาของเขา และผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำชนเผ่าเร่ร่อนเผ่านี้

ครั้นซิ่นเฉิงเหลือบเห็น ก็พลันก้าวอาดๆ เข้าไปหา เสียงเครื่องประดับเงินที่สวมห้อยตามลำตัวแกร่งดังกระทบกันเป็นจังหวะการเคลื่อนไหว ก่อนจะหยุดลงเมื่อมีเสียงแหบห้าวของเขาดังกลบ

“ข้าได้ยินว่าท่านพ่อยกซิ่นจินให้เป็นฮูหยินของเทพอสูร มันหมายความเช่นไร”

ไม่รอช้า ซิ่นเฉิงถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ ตอนที่เขาเดินทางไปกับนักรบของชนเผ่าเพื่อออกปล้นตามวิสัย ยังไม่ทันจะได้พบเป้าหมาย ก็มีม้าเร็วมาแจ้งข่าวว่าน้องสาวฝาแฝดถูกส่งตัวไปยังแคว้นเฟิงฝู ซึ่งเป็นแคว้นที่ถูกครอบครองโดยเหล่าเทพอสูรที่ได้ชื่อว่าเป็นอสุรกาย แม้เขาจะไม่เคยพบพานเทพอสูรเหล่านั้นมาก่อน แต่ก็รู้ดีว่าคนเหล่านั้นหาใช่มนุษย์เฉกเช่นพวกเขาแต่อย่างใด หากแต่เป็นอมนุษย์ที่มีร่างกายบางส่วนเป็นสัตว์ และอีกบางส่วนเป็นมนุษย์ ครั้นได้ยินว่าซิ่นจินถูกยกให้ไปตบแต่งเป็นฮูหยินของชายที่นางไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์ ซิ่นเฉิงก็โกรธเสียจนคลั่ง แต่เมื่อได้ยินว่าชายที่จะมาเป็นสามีของนางเป็นอสุรกาย เขาก็ห้อตะบึงกลับมายังจุดพำนักของชนเผ่าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาเค้นความจริงจากบิดาอย่างที่เป็นอยู่นี้

“เจ้าได้ยินมาเช่นไร มันก็หมายความเช่นนั้น” ผู้เป็นบิดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ หากทว่าสร้างความเดือดดาลให้กับบุตรชายมากกว่าเดิม
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าท่านพ่อเอานางไปแลกกับน้ำเหล่านี้!” ตะเบ็งเสียงพลางชี้นิ้วไปยังถุงบรรจุน้ำมากมายเบื้องหลัง
อีกฝ่ายไม่ตอบใดๆ แต่ความเงียบนั่นแหละที่เป็นคำตอบชัดเจน

“ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร นางเป็นลูกของท่านนะ” ซิ่นเฉิงผิดหวังในตัวบิดาไม่น้อย สีหน้าโกรธเกรี้ยวเสียจนบูดเบี้ยวไม่น่ามอง
คนอาวุโสกว่าสบดวงตาเต็มไปด้วยโทสะของบุตรชายเพียงครู่ ก่อนว่าออกมา
“ซิ่นเฉิง เจ้าเห็นหรือไม่ว่าคนในเผ่าเราต้องอดอยากล้มตายกันมากมายเพียงใด เจ้าจะทนเห็นพวกเขา ทั้งคนเฒ่า สตรี อีกทั้งลูกเด็กเล็กแดงต้องขาดใจตายด้วยกระหายน้ำเช่นนั้นหรือ?”
“ก็เลยเป็นเหตุผลที่ท่านพ่อนำบุตรสาวตนเองไปแลกกับน้ำอย่างนั้นสิ”

ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ ตอบกลับมาจากชายวัยกลางคนตรงหน้าอีกครา ทำเอาซิ่นเฉิงบันดาลโทสะกว่าเดิม หากคนตรงหน้าหาใช่บิดาของเขา เขาคงจะไม่รอช้าที่จะชักดาบวงพระจันทร์เสี้ยวที่สะพายอยู่ข้างเอวออกมาสังหารเสียให้สิ้นแล้ว

เพราะทำไม่ได้จึงได้แต่จ้องใบหน้าหยาบกร้านของบิดาเขม็ง กดเสียงต่ำออกมา
“ท่านจะต้องเสียใจที่ทำเช่นนี้”

สิ้นเสียงก็สะบัดกาย เดินหนีไปอีกทางท่ามกลางสายตาของสมาชิกเผ่าที่มองเขาด้วยความหวาดหวั่นว่าหลังจากนี้ ซิ่นเฉิงจะกระทำการไม่คาดฝันขึ้นมา นั่นก็คือ...การไปช่วงชิงตัวซิ่นจินกลับมา

ไม่เว้นแม้แต่บิดาเองที่คิดเห็นเช่นนั้น ทันทีที่เห็นร่างสูงก้างจากไป ก็รีบร้องเรียกทันควัน
“เจ้าจะไปไหนกันซิ่นเฉิง”
คนถูกเรียกชะงักเล็กน้อย หันมามองด้วยแววตายากจะอ่าน ก่อนคำพูดของเขาจะทำให้ทุกคนที่ได้ยินแทบหยุดหายใจ
“ข้าจะไปพาซิ่นจินกลับ”

ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้แม้แต่น้อย ผู้เป็นบิดาไม่เห็นด้วย รีบเดินเข้ามาหาพลางร้องห้าม
“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้นะซิ่นเฉิง นางกำลังจะเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพเทียนอี้ คงเข้าพิธีสมรสอีกไม่กี่ราตรีข้างหน้า เจ้าจะช่วงชิงมาไม่ได้”

ซิ่นเฉิงส่งเสียงหึในลำคอ มุมปากยิ้มเย้ย “ช่วงชิงมาไม่ได้ เป็นเพราะท่านพ่อกลัวเช่นนั้นหรือ?”

ไม่ต้องตอบรับ เพียงแววตาที่มองมายังบุตรชายก็เป็นคำตอบแล้วว่าเขากลัวอมนุษย์ตนนั้นเพียงใด หากไม่เป็นเพราะเขาและสมาชิกในเผ่าหาได้รู้ว่าบ่อน้ำกลางทะเลทรายบ่อเล็กๆ ที่บังเอิญเจอขณะรอนแรมไปหาที่พำนักใหม่นั่นเป็นของเทียนอี้ หนึ่งในแม่ทัพเทพอสูรซึ่งครองแค้วนเฟิงฝูที่ได้ชื่อว่าเป็นแคว้นอันอุดมสมบูรณ์ท่ามกลางทะเลทรายแห้งแล้งแห่งนี้ เขาก็คงจะไม่ถูกทหารของเทียนอี้จับโทษฐานบุกรุก โทษของการขโมยย่อมร้ายแรงถึงชีวิต และเพื่อไม่ให้สมาชิกในเผ่าคนอื่นๆ ต้องสูญเสียเพราะความโง่เขลาของตน การสละสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับชีวิตของคนอีกหลายคนย่อมเป็นสิ่งที่ควรกระทำ
หาใช่ว่าเขาไม่เสียใจที่จะต้องส่งซิ่นจิน ธิดาคนเดียวไปเป็นฮูหยินของอมนุษย์ตนนั้น กระนั้นก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ หากแต่ซิ่นเฉิงหาได้คิดเช่นนั้นไม่ เมื่อเห็นบิดาไม่ให้คำตอบ เขาก็นึกคับแค้นใจ

“ไหนท่านเคยบอกกับข้าว่าซิ่นจินเป็นสิ่งล้ำค่าของท่าน นางมีใบหน้าละม้ายคล้ายท่านแม่ ไม่ว่าตัวต้องตายก็จะไม่ยอมเสียให้ผู้ใดไปอย่างไรล่ะ?”

ไม่สนใจแม้จะถามด้วยซ้ำว่าเทียนอี้ผู้นั้นคือใครกันแน่ หรือบิดาและสมาชิกในเผ่าคนอื่นๆ ถูกทหารอมนุษย์ของเทียนอี้พบเจอได้เช่นไร ในหัวของเขามีเพียงภาพดวงหน้าของซิ่นจิน...น้องสาวฝาแฝดของเขาที่ต้องรับเคราะห์แทนความโง่เขลาของบิดา

ถึงนางจะมีใบหน้าคล้ายคลึงกับผู้เป็นพี่ หากแต่กลับคล้ายมารดามากกว่าเสียอีก นางงดงาม แม้จะเป็นสตรีในชนเผ่าเร่ร่อน แต่ความงามของนางก็ไม่เป็นรองผู้ใด จึงไม่แปลกหากซิ่นเฉิงจะหวงนางมาก ก็นางเป็นทั้งน้อง และเป็นของล้ำค่าของเขาเช่นกันนี่ ตั้งแต่มารดาสิ้นไป ก็มีซิ่นจินนี่แหละที่เยียวยาจิตใจของเขาให้แข็งแกร่งเฉกเช่นทุกวันนี้ ขณะที่ผู้เป็นบิดาละเลยเขาราวกับไร้ตัวตน มาเป็นว่ามีประโยชน์เอาก็ตอนที่เขาเติบใหญ่และก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้านักรบของเผ่า ตอนนั้นเองที่บิดาเริ่มเรียกหาเขา แต่นั่นก็เป็นไปเพื่อการใช้งานเท่านั้น

“ซิ่นเฉิง...” ครั้นถูกบุตรชายพูดแทงใจดำ น้ำเสียงแห้งผากก็ครางเรียกชื่ออีกฝ่าย
ซิ่นเฉิงยิ้มเย้ย “ท่านตระบัดสัตย์” จากนั้นก็หันหลัง ก้าวเดินหนีไปยังกลุ่มนักรบทะเลทรายที่รู้ดีว่าหลังจากนี้ พวกเขาจะต้องทำอะไร ทว่าก็ต้องชะงักอีกคราเมื่อเสียงของบิดาลอยมาตามลม

“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เจ้าจะทำให้คนในเผ่าเราเดือดร้อน!”

ซิ่นเฉิงเหลือบไปมอง ขณะที่บิดายังคงพูดต่อ

“เจ้าจะขึ้นดำรงตำแหน่งแทนข้าในภายภาคหน้า ทำการสิ่งใดก็จงคิดถึงคนในเผ่าไว้ด้วย”

ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง คล้ายกับจะรับฟัง หากแต่ไม่ เขาก้าวเดินต่อไป ทำให้บิดาหมดสิ้นซึ่งความอดทน
“หากเจ้าขึ้นหลังม้า ข้าจะถือว่าเจ้าหาใช่คนของเผ่าอีกต่อไป!”
ซิ่นเฉิงหันขวับมามอง คำรามในลำคอเล็กน้อย ก่อนว่าเสียงเครียด
“ข้าจะรวบรวมคนและสร้างเผ่าของข้าขึ้นใหม่แอง”

จากนั้นก็กระโดดขึ้นหลังม้า เหลือบมองบรรดานักรบหนุ่มที่ร่วมปล้นเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายปี พลันร้องถาม
“ผู้ใดจะไปกับข้า ขอให้ขึ้นม้าประเดี๋ยวนี้!”

ชายฉกรรจ์พากันลังเลใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโดดขึ้นหลังม้าอย่างพร้อมเพรียง ถึงพวกเขาจะรักและเคารพบิดาของซิ่นเฉิงมากเพียงใด แต่เหล่าเด็กกำพร้าที่สูญสิ้นบิดามารดาจากความอดอยากกลับได้รับการอุ้มชูจากซิ่นเฉิง ฝึกวิชาศาสตราวุธ การขี่ม้า และการล่า มากกว่าได้รับความใส่ใจจากคนเป็นผู้นำเสียอีก เมื่อต้องเลือกระหว่างผู้ที่นับถือประดุจพี่น้องร่วมสายโลหิต กับผู้นำที่แทบไม่เห็นตัวตนของพวกเขานอกจากมองว่าเป็นนักรบที่จะต้องดูแลสมาชิกในเผ่าเท่านั้น จึงไม่เป็นการยากที่จะตัดสินใจเลือกซิ่นเฉิง

ซิ่นเฉิงกวาดสายตามองบรรดาสหายร่วมรบ พลันเชิดปลายคางขึ้นด้วยกระหยิ่มใจ ก่อนหันไปมองบิดา
“ท่านกับข้าสิ้นสุดกันเพียงเท่านี้”

ครั้นสิ้นเสียง ฝีเท้าของอาชาก็ควบทะยานออกไปยังผืนทรายเบื้องหน้า จุดมุ่งหมายคือแคว้นเฟิงฝูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้นัก ปล่อยให้สมาชิกคนอื่นๆ ในเผ่ามองตามด้วยประหวั่นใจว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า ขณะที่ผู้เป็นบิดาปวดร้าวในใจด้วยต้องเสียบุตรและธิดาอันเป็นที่รักไปเพราะความโง่เขลาของตน กระนั้นเขาก็จำต้องเดินหน้าต่อไป ออกปากสั่งกับสหายคนสนิทเสียงเบา

“บอกทุกคนให้รีบเก็บของ เราจะเดินทางกันเดี๋ยวนี้”

ที่แห่งนี้อยู่ไม่ได้แล้ว... การกระทำของซิ่นเฉิงจะนำภัยมาอย่างแน่นอน

อยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...



 
จะว่าแคว้นเฟิงฝูนั้นอยู่ไม่ไกลก็อาจจะคาดเดาผิดไปสักหน่อยนัก ใช้เวลาร่วมสองราตรีเลยทีเดียวกว่าจะมาถึงอาณาเขตแว่นแคว้น ซิ่นเฉิงไม่กล้าเข้าใกล้แคว้นนั้นไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ด้วยเขาจะต้องสำรวจให้ถ้วนถี่เสียก่อนว่าทางหนีทีไล่ของแคว้นนี้อยู่ที่ใดบ้าง เมื่อช่วงชิงซิ่นจินและพาหลบหนีออกมาแล้ว ทางไหนที่เขาและพรรคพวกจะไม่ถูกจับได้

ทว่า... เท่าที่เห็นดูเหมือนจะมีแค่ประตูทางเข้าแคว้นเท่านั้นที่เป็นทางเข้าออกแห่งเดียวของแคว้นนี้ เหนือประตูบานใหญ่ก็เต็มไปด้วยเหล่าทหารอมนุษย์ที่เฝ้าประจำการตามจุดต่างๆ ของรั้วหินสูงตระหง่าน

เห็นทีคงจะต้องปลอมตัวเป็นพ่อค้าแฝงกายเข้าไปสืบเสาะข้อมูลเสียก่อน จากนั้นค่อยสืบเสาะเรื่องราวของเทียนอี้จากทาสในนั้น...

ทาส... ถูกต้อง แคว้นเฟิงฝูนั้นถูกอมนุษย์ครอบครองมานานหลายร้อยปี ตอนยังเยาว์วัย ซิ่นเฉิงเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบต่อกันมาว่าอมนุษย์เหล่านี้เคยเป็นเทพชั้นสูงบนสวรรค์ หากแต่ต้องโทษกบฏจึงถูกขับไล่ จุติใหม่อีกครั้งในโลกมนุษย์ในฐานะเทพอสูร เพราะได้ครอบครอบผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในทะเลทรายแห้งแล้งแห่งนี้ บรรดามนุษย์ที่ทนต่อความแร้นแค้นไม่ไหวจึงเข้าสวามิภักดิ์ บุรุษยอมตกเป็นทาสให้ใช้แรงงาน สตรียอมมอบร่างกายเพื่อสร้างทายาทให้แก่อมนุษย์เหล่านั้นด้วยอมนุษย์ไม่มีผู้ใดเลยที่เป็นหญิง

น่าแปลก... แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้สนใจไม่ ทำเพียงแค่นหัวเราะออกมาเท่านั้น

เทพอสูรเช่นนั้นหรือ? เบียดเบียด พรากญาติพี่น้อง ช่วงชิงทุกอย่างของมนุษย์สมควรถูกเรียกว่าอมนุษย์ถึงจะเหมาะสมกว่า

ความคิดนั้นสิ้นสุดลงเมื่อเห็นดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยเข้ายามอุ้ย[1] ซิ่นเฉิงก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ปลอมตัวเป็นพ่อค้า ปิดบังอำพรางใบหน้าและคลุมศีรษะ แฝงกายเข้าไปในแคว้นเฟิงฝูกับคนสนิทอีกหยิบมือ พวกที่เหลือให้ซุ่มรออยู่ด้านนอกเพื่อให้รอพาหลบหนีเมื่อชิงตัวซิ่นจินมาได้สำเร็จ

การสำรวจแคว้นเฟิงฝูนั้นช่างเป็นไปอย่างยากลำบาก ด้วยเหล่านักรบชนเผ่าเร่ร่อนหาได้เคยเห็นบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน มันช่าง...แตกต่างจากผืนทะเลทรายที่เขาคุ้นเคยนัก ร้านรวงเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ผู้คนทั้งมนุษย์และเทพอสูรแต่งกายด้วยอาภรณ์แปลกตา ต่างจากอาภรณ์ที่พวกเขาสวมใส่ยิ่งนัก แม้จะตกใจกับบรรดาเทพอสูรที่มีรูปลักษณ์กึ่งสัตว์ กึ่งมนุษย์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมที่หลากหลายคละเคล้ากันไป แต่ที่ทำให้ตกตะลึงไปมากกว่านั้นก็คือ...ต้นไม้

ต้นไม้สีเขียวขึ้นกระจัดกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ของแคว้นเฟิงฝู มองแล้วเหมือนกับสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน นักรบหนุ่มที่แม้จะเคร่งขรึมถึงกับครางออกมาด้วยประหลาดใจไม่ได้ ขณะที่ซิ่นเฉิงหาได้สนใจเรื่องเหล่านั้น นอกจากจะมองหาสถานที่ซึ่งเป็นที่พำนักของอมนุษย์นามเทียนอี้

การค้นหาไม่ใช่เรื่องยากนักด้วยเทียนอี้เป็นหนึ่งในแม่ทัพคนสำคัญของแคว้นเฟิงฝู เพียงเอ่ยปากถามทาสรับใช้ของร้านโอสถในละแวกตลาด ก็ได้รับคำตอบว่าที่พำนักของเทียนอี้คือจวนแม่ทัพทางทิศตะวันตก ซิ่นเฉิงแสร้งเดินผ่านอยู่หลายครั้งหลายครา พลางพินิจว่าจวนใหญ่แห่งนี้ ถึงจะมีทหารรักษาการณ์รายล้อมอยู่รอบ แต่ก็หาได้ยากยิ่งสำหรับการลอบเข้าไปนัก ก่อนจะรีบหาที่ซ่อนตัวหลบ รอจนตะวันลาลับขอบฟ้าต่อไป



 
เมื่อผืนฟ้าทอแสงสีดำ นภาประดับดวงดาราประกายระยับ เสียงเคาะบอกว่าเป็นยามโฉ่ว[2]ดังแว่วมาให้ได้ยิน ซิ่นเฉิงกับพรรคพวกซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในซอกซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งค่อยๆ เผยเรือนกายออกจากความมืด ภายใต้ผ้าคลุมหน้ามิดชิดนั้น ต่างฝ่ายต่างพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณบอกว่าควรแก่เวลาแล้ว

แม้จะเป็นคนทะเลทราย แต่ก็หาได้ไร้ซึ่งวรยุทธ์ ซินเฉิ่งและสหายพากันใช้วิชาตัวเบาปีนไต่ไปตามหลังคาบ้านเรือนกระทั่งถึงอาณาเขตจวนของแม่ทัพเทียนอี้ ครั้นเห็นว่ารอบข้างปลอดสายตาจากทหารยาม ซิ่นเฉิงก็เป็นคนแรกที่กระโดดข้ามรั้วสูงเข้ามายังสวนด้านใน ทันทีที่พรรคพวกตามเข้ามา เขาก็ชี้นิ้วเป็นสัญญาณว่าผู้ใดควรไปทางไหน

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งไปที่เรือนทางซ้าย อีกคนไปทางขวา มีเพียงซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ยังอยู่ในสวนของเรือนใหญ่ เขาทอดมองไปยังสิ่งก่อสร้างที่ดับไฟเสียมืดสนิทตรงหน้าด้วยแววตามุ่งมั่น

ไม่เรือนไหนสักเรือนต้องมีซิ่นจินอยู่ข้างใน
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะพานางกลับออกมาให้จงได้!



 
กลิ่นสาบประหลาดลอยมาตามลม แตะเข้าจมูกของร่างกำยำภายในห้องหนังสือเข้าอย่างจัง ทำเอาอมนุษย์ที่นั่งอ่านตำราการศึกชะงัก วางสิ่งที่ถืออยู่ในมือลงเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอดและพินิจอีกครั้งว่าเมื่อครู่ เขาเข้าใจผิดไปหรือไม่ แต่เมื่อกลิ่นที่ลอยเข้ามาแตะจมูกนั้นช่างไม่คุ้น เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าในจวนนั้นมีผู้บุกรุก

ถึงพวกเขาจะอยู่ท่ามกลางทะเลทราย แต่กลิ่นทรายคละคลุ้งเช่นนี้ย่อมไม่ใช่กลิ่นของคนในแคว้นเฟิงฝูอย่างแน่นอน อีกทั้งกลิ่นนั้นก็หาใช่กลิ่นเทพอสูร หากแต่เป็นกลิ่นของมนุษย์

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่ได้กลิ่นนี้ ข้ารับใช้คนสนิทซึ่งมีใบหน้าเป็นจระเข้เองก็ได้กลิ่นเช่นกัน ไม่แน่ใจนักว่าความรู้สึกที่ไวเช่นนี้เป็นเพราะความสามารถซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเทพ หรือเป็นเพราะสัญชาตญาณสัตว์กันแน่ กระนั้นก็หาได้สนใจเมื่อพ่อบ้านเหลียงเอ่ยขึ้น

“จะให้จัดการเลยหรือไม่ขอรับ ท่านแม่ทัพ...”

ดวงตาเรียวสีทองอำพันชำเลืองมองผู้พูด พอจะเดาได้ว่าผู้ใดบุกรุกเข้ามายามวิกาล และมาเพื่อการใด เพราะกลิ่นนั้นช่างไม่ต่างอะไรจากกลิ่นของว่าที่ฮูหยินของเขาซึ่งเพิ่งถูกนำตัวเข้าจวนมาในวันนี้ ก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

“ปล่อยไปก่อน ให้กระทำการตามใจสักครู่ แล้วค่อยให้ทหารไปจัดการ”

เสียงนั้นเป็นของประมุขจวน...แม่ทัพเทียนอี้ ท่าทางเขาดูไม่ยี่หระกับสิ่งใด เมื่อสิ้นเสียงก็ทอดสายตาอ่านตำราบนโต๊ะอีกครั้ง ปล่อยให้พ่อบ้านเหลียงพยักหน้ารับคำและนั่งนิ่งเงียบๆ คอยรับใช้ใกล้ชิดอยู่เช่นเดิม




 
จวนแม่ทัพกว้างขวาง ใช้เวลานานอยู่โขทีเดียวในการสำรวจแต่ละห้องในจวนกว่าจะค้นพบว่าซิ่นจินถูกนำมาขังไว้ที่ห้องหนึ่งของจวนใหญ่ซึ่งซิ่นเฉิงสำรวจอยู่ เขาพบนางโดยบังเอิญเสียด้วยซ้ำ เพราะเสียงสะอื้นร่ำไห้ที่ดังลอดออกมาทำให้ชายหนุ่มไม่รอช้า ผลักบานประตูเข้าไป แล้วก็พบกับนางที่ฟุบหน้าอยู่กับฟูกนอน

ครั้นเอ่ยเรียก...
“ซิ่นจิน...”

หญิงสาวก็ผินหน้ามามองยังผู้มาใหม่ ทันทีที่เห็นบุรุษนิรนามในอาภรณ์ปกปิดหน้าตา นางก็จำได้ทันทีว่าชายผู้นั้นคือพี่ชายฝาแฝดของตน

“ท่านพี่” ร่างบางผุดลุก โผเข้าหาอีกฝ่ายอย่างร้อนรน “ท่านมาที่นี่ได้เช่นไร แล้วท่านพ่อล่ะ”
“เรื่องนั้นไว้ข้าจะตอบเมื่อพาเจ้าออกไปได้ ตอนนี้รีบตามข้ามาก่อนเถิด” ซิ่นเฉิงว่าเร็วๆ คว้าข้อมือของน้องสาวให้รีบก้าวตาม

ซิ่นจินไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องอยู่ต่อ ถึงนางจะไม่ขัดเมื่อครั้งบิดาเอ่ยปากแลกเปลี่ยนตัวนางกับชีวิตของคนในเผ่า แต่ก็หาใช่ว่านางอยากจะมาเป็นฮูหยินของอมนุษย์ผู้นั้น ต่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของนางจะดีขึ้น นางก็หาได้ยินดีไม่

การเป็นฮูหยินเพื่อสร้างทายาทอมนุษย์นั้นทำให้นางเหมือนไปเยือนปรโลกทั้งเป็น!

หากแต่การหลบหนีไม่ง่ายนักเมื่อเทียนอี้ซึ่งปล่อยให้พวกแมวขโมยจากทะเลทรายเดินเล่นอยู่ในจวนนานสองนานออกคำสั่งให้พ่อบ้านเหลียงสั่งการทหารเข้าจับกุม พรรคพวกของซิ่นเฉิงถูกจับได้เป็นอันดับแรก ก่อนที่ทหารพวกนั้นจะมาดักรอยังหน้าเรือนใหญ่ซึ่งเป็นเรือนหลักของแม่ทัพเทียนอี้

ทันทีที่เห็นทหารอมนุษย์ในร่างสรรพสัตว์กรูกันมาล้อม ซิ่นเฉิงก็ชะงักฝีเท้า ดันร่างของน้องสาวให้ไปหลบอยู่ทางด้านหลัง ขณะที่มือข้างหนึ่งดึงดาบวงเสี้ยวพระจันทร์ขึ้นมากระชับในมือแน่น หมายจะประหัตประหารอีกฝ่ายให้สิ้นซาก บัดนี้เขาคิดในใจแล้วว่าต่อให้ตัวต้องตาย เขาก็จะไม่ยินยอมให้ซิ่นจินตกเป็นของเทพอสูรเจ้าของจวนเป็นอันขาด

คิดเช่นนั้นก็ถลาเข้าหาเทพอสูรชั้นผู้น้อย เหวี่ยงกระหวัดดาบในมือด้วยท่าทางคล่องแคล่วและชำนาญ รูปร่างที่เล็กกว่าอมนุษย์เหล่านั้นทำให้เขาได้เปรียบในการหลบหลีก กระนั้นเรื่องพละกำลังก็ยังเสียเปรียบอยู่ หากแต่ซิ่นเฉิงก็สู้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี
สายตาคอยชำเลืองมองซิ่นจินซึ่งอยู่ในอารามตกใจเป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจว่านางยังปลอดภัย อีกทั้งสอดส่ายสายตาหาทางหนีทีไล่ไปด้วย โดยหารู้ไม่ว่าพรรคพวกของตนถูกจับไปแล้ว

เสียงเอะอะมะเทิ่งจากเรือนใหญ่ทำเอาเทียนอี้จำต้องวางมือจากตำราพิชัยอีกครั้ง ผุดลุกขึ้นพลางออกปากกับพ่อบ้านเหลียง
“ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าเหตุใดการจับเจ้าแมวขโมยถึงได้เสียงดังถึงเพียงนี้ พ่อบ้านเหลียง บอกให้ทหารนำแมวขโมยอีกสองคนนั่นตามข้าไปด้วย”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
สิ้นเสียงของพ่อบ้านเหลียง ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิทก็เคลื่อนออกจากห้องหนังสือ มุ่งหน้าตรงไปยังเรือนใหญ่ทันที



 
ผ่านไปเพียงครู่ ซิ่นเฉิงเริ่มรู้สึกตัวว่าการต่อกรกับอมนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่หาควรทำเลยแต่อย่างใด เพราะนอกจากเขาจะต้องใช้แรงต่อต้านอย่างมหาศาลแล้ว เขาอาจจะหมดเรี่ยวแรงพาซิ่นจินหนีได้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนแผนฉับพลัน ตั้งใจจะพาหนีแทน พร้อมกันนั้นก็สบถบ่นพรรคพวกที่หายตัวไป ไม่โผล่มาในเวลาคับขันเยี่ยงนี้ไม่หยุด

เจ้าพวกนั้น... ไม่ใช่ว่าถูกจับไปแล้วหรอกนะ

ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่หายไปนานขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะถูกจับได้แล้ว เพราะไม่เช่นนั้น เสียงต่อสู้ดังสนั่นขนาดนี้ก็ต้องได้ยินและตามมาช่วยเขาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพาซิ่นจินออกไปก่อน

“ซิ่นจิน!” คิดเช่นนั้นก็ร้องเรียกหญิงสาวที่หลบอยู่ไม่ไกล
นางถลาเข้ามาคว้ามือของพี่ชายที่ยื่นให้จับไว้อย่างรวดเร็ว เขากะใช้วิชาตัวเบาพานางหลบหนี หากแต่ยังไม่ทันจะได้ทำการใดๆ
น้ำเสียงทุ้มของใครบางคนก็ดังขัดขึ้น

“จะพานางไปโดยทิ้งคนของเจ้าไว้เช่นนั้นหรือ?”

ซิ่นเฉิงชะงัก หันไปมองแล้วก็ต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นว่าสหายร่วมรบถูกจับมัดมือไพล่หลัง เบื้องหลังมีทหารอมนุษย์ร่างโตคอยควบคุมอยู่อีกสองตน

“พวกเจ้า...” ครางออกมาด้วยประหวั่นวิตกเป็นยิ่งนัก
ขณะที่นักรบทะเลทรายพวกนั้นร้องตะโกนบอก
“หนีไปซะท่านพี่ ทิ้งพวกข้าไว้! อึ้ก!”

โดนทุบหลังไปทีหนึ่งโทษฐานเสนอหน้าพูดโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนพ่อบ้านเหลียงที่เป็นเจ้าของเสียงก่อนหน้าจะพูดขึ้นอีก
“หากข้าไม่สั่ง อย่าได้ปริปากออกมา”
“เจ้า!” ซิ่นเฉิงเห็นแล้วก็เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงจะเป็นพี่น้องร่วมสาบาน เขาก็ไม่ยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องได้ง่ายๆ

ตั้งท่าจะปรี่เข้าหาบุรุษผู้มีศีรษะเป็นจระเข้ด้วยหมายสังหาร หากแต่ยังไม่ทันขยับเขยื้อน เสียงแหบห้าวของผู้มาใหม่ก็ดังขัดขึ้นอีก
“หยุดการกระทำของเจ้าก่อนที่จะต้องมีใครสักคนเสียเลือดเนื้อดีกว่า เห็นอยู่ไม่ใช่หรือว่าเจ้าต่อกรกับพวกข้าไม่ไหว”
ซิ่นเฉิงหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเงาตะคุ่มสูงใหญ่ ครั้นเงานั้นเดินเข้ามาใกล้ยังใต้ร่มไม้ สายตาก็เห็นชัดเจนว่าผู้มาใหม่นั้นมีรูปร่างเป็นเช่นไร

ศีรษะใหญ่ ใบหน้าช่วงจมูกและปากยาว ใบหูทั้งสองข้างตั้งตรง เส้นขนสีเงินยวงดกฟูไปทั่วเรือนร่าง อีกทั้งทางด้านหลัง...มีหาง

สุนัขป่า!?

ซิ่นเฉิงขมวดคิ้วมุ่น คนตรงหน้าหาใช่เทพอสูรทั่วไปที่เขาพบเห็นเป็นแน่ ด้วยสัมผัสได้ถึงรัศมีน่าเกรงขามบางอย่างที่ต้องทำให้เขาต้องสั่นเทาไปทั่วทั้งร่างอย่างมิอาจควบคุม ยิ่งถูกดวงตาสีทองอำพันจับจ้อง เขาก็รู้สึกราวกับว่าวิญญาณถูกกระชากออกเป็นเสี่ยงๆ เลยทีเดียว

กระทั่งอีกฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้ง สติสัมปชัญญะของซิ่นเฉิงถึงได้กลับมาอีกครั้ง

“กล้าดีมากที่มาช่วงชิงตัวฮูหยินของข้าถึงในจวนเช่นนี้ ...เจ้าโจรทะเลทราย”

หรือนั่นจะเป็น...แม่ทัพเทพอสูรเทียนอี้!?

[1] ยามอุ้ย เท่ากับเวลา 13.00 น. - 14.59 น.

[2] ยามโฉ่ว เท่ากับเวลา 01.00 น. - 02.59 น.



**************

แอบเขียนยากนิดนึง

นึกอยู่นานว่าจะเล่าออกมายังไงให้ท่านแม่ทัพไม่ออกมาเป็นหมาไซบีเรียนฮัสกี้ 555

ถ้าชอบก็ฝากเม้นต์ให้กันหน่อยนะคะ

หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 26-08-2017 21:07:39
โอ้ๆๆๆเนื้อเรื่องสนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 26-08-2017 21:16:52
เป็นไซบีเรียนก็น่ารักดีออกนะครับ   55

แวะมาเยือนพันธมิตรนิยายจีนครับ   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kny ที่ 26-08-2017 21:17:17
คิดถึงเทพของอียิปเลย
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-08-2017 21:45:34
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 26-08-2017 21:47:07
จะเป็นสุนัขป่าไปตลอดกาลเลยใช่ไหมอ่ะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 26-08-2017 21:50:24
จะเป็นสุนัขป่าไปตลอดกาลเลยใช่ไหมอ่ะ

นายของุบงิบไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวรออ่านไปเรื่อยๆ ก่อนเนอะ ^^
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 26-08-2017 22:05:18
ติดตามจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-08-2017 22:13:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wikawee ที่ 26-08-2017 22:16:03
รู้สึกว่าซินจิ่นเกะกะอ่ะ ช่วยเอาออกไปให้พ้นๆที เห็นแล้วรำคาญลูกตา  :katai1: อ่อนแอเกินไป ใช้ชีวิตรอดมาได้ยังไง  :z6:

ส่วนแมวขโมยต้องเจอดี ที่บังอาจลักลอบเข้ามาในจวน  o18
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 26-08-2017 22:44:34
น่าติดตามมาก ๆ รู้สึกได้ถึงความสนุก มาต่อตอนต่อไปไวๆ นะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 1: โจรทะเลทราย[26/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 27-08-2017 00:30:09
บทที่ 2: พยศ

“นางเป็นคนรักของเจ้าเช่นนั้นหรือ?”

ซิ่นเฉิงแทบหยุดหายใจ หูไม่ได้ยินเสียงของเทียนอี้ที่ถามมาเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย เอาแต่จับจ้องไปยังใบหน้าของสุนัขป่าอย่างตะลึงงัน ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นอมนุษย์ก็จริง แต่สำหรับการเผชิญหน้ากับเทียนอี้ เขารู้สึกราวกับว่า... เขากับอมนุษย์ตนนี้เทียบชั้นกันไม่ติด

ไม่...ไม่ใช่อมนุษย์ ตรงหน้าเขาคือเทพอสูรต่างหาก

นี่สิถึงจะเรียกว่าเทพอสูรได้อย่างเต็มปาก!

“ว่าอย่างไร ตอบคำถามข้ามาเจ้าโจร นางเป็นคนรักของเจ้าใช่หรือไม่?” เมื่อเห็นบุรุษชุดดำไม่พูด เทียนอี้ก็ถามซ้ำ
ซิ่นเฉิงพรั่นพรึงเสียจนลำคอตีบตัน เกิดเป็นนักรบทะเลทราย ปล้นกองคาราวานสินค้าและสังหารโจรทะเลทรายกลุ่มอื่น รวมถึงอริศัตรูมาก็มาก แต่หาได้เคยประหวั่นวิตกถึงเพียงนี้

เห็นซิ่นเฉิงไม่พูดเสียที ซิ่นจินซึ่งหลบอยู่ด้านหลังก็เกรงไม่น้อยว่าพี่ชายตนจะได้รับอันตราย นางเข้าใจว่าคนตรงหน้าตกอยู่ในภาวะตระหนก แม้จะกล้าหาญเพียงใด แต่ผู้มีอำนาจและชวนยำเกรงกว่ามาปรากฎตัวตรงหน้าก็ย่อมพูดไม่ออก เฉกเช่นเดียวกับนางยามได้เจอหน้าของเทียนอี้ครั้งแรก

ขนาดครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง นางก็ยัง...หวาดกลัว

กระนั้นก็ปริปากออกไปอย่างไม่รีรอ

“หะ...หามิได้เจ้าค่ะ ชายผู้นี้หาได้เป็นคนรักของข้าไม่ หากแต่เป็นพี่ชายฝาแฝดร่วมสายโลหิต ขอท่านแม่ทัพเมตตาด้วย”

ไม่พูดเปล่า ยังถลาออกมาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า วิงวอนขอให้เทียนอี้ยกโทษให้ที่ซิ่นเฉิงบุกรุกเข้ามาชิงตัวนางถึงในจวน เพราะนางรู้ว่าเหล่าอมนุษย์พวกนี้ ต่อให้มีเมตตาต่อมนุษย์ คอยอุ้มชูอุปถัมภ์เพียงใด แต่พวกเขาก็มีกฎระเบียบเคร่งครัดที่ต้องปฏิบัติตามเช่นกัน มนุษย์คนใดที่ไม่สามารถทำตามกฎเหล่านั้นได้ โทษอย่างเบาคือถูกเนรเทศ ส่วนโทษอย่างหนัก...ถูกประหาร

เพียงแค่ไปรุกล้ำบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ครอบครองของแม่ทัพเทียนอี้ โทษยังถึงตายยกเผ่า แล้วนี่บุกจวนอย่างอุกอาจ คงไม่ถูกตัดศีรษะขาด เสียบประจาน แล้วสับร่างเป็นชิ้นๆ ให้นกกากินหรือ?

เห็นดรุณีน้อยก้มศีรษะเสียจนหน้าผากติดพื้น เทียนอี้ก็ครางในลำคอเบาๆ
“พี่ชายฝาแฝด...”

ซิ่นจินเงยหน้าขึ้นมาพยักหงึกหงัก หยาดน้ำสีใสเอ่อปริ่มขอบตา สร้างความน่าเวทนาให้กับผู้พบเห็นยิ่งนัก นางเป็นหญิงงาม ไม่คู่ควรกับหยดน้ำตาเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ผู้เป็นพี่อย่างซิ่นเฉิงเองก็ไม่ต้องการเห็นนางร่ำไห้ ยิ่งไปกว่านั้น... นางไม่สมควรคุกเข่าให้กับชายที่บังคับใจนางให้มาเป็นฮูหยินเช่นนี้!

“ซิ่นจิน! เจ้าลุกขึ้นประเดี๋ยวนี้!”
ไม่เพียงโวยวาย ซิ่นเฉิงยังถลาเข้าไปฉุดให้ร่างของผู้เป็นน้องลุกขึ้น ขณะที่ซิ่นจินส่ายหน้ารัวให้เขาหยุดการกระทำนั้นด้วยเกรงว่าจะทำให้เจ้าของจวนโกรธ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้ผู้ใดเพื่อข้า ข้ามาช่วยเจ้า เท่ากับข้ายอมตายเพื่อเจ้า” ซิ่นเฉิงว่าด้วยน้ำเสียงดุดันฉะฉาน หงุดหงิดเต็มประดาที่เห็นคนตรงหน้าหวาดกลัวจนสั่นเทาทั้งที่เขาเองก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก

เทียนอี้มองด้วยความสนใจ บุรุษผู้นั้นกล้าหาญแม้จะดูโง่เขลาไปบ้าง ทำให้เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยใคร่รู้นักว่าซิ่นเฉิงจะทำอย่างไรต่อไป

“บิดาของเจ้าพาผู้คนบุกรุกบ่อน้ำของข้า แล้วเจ้าก็ยังจะบุกรุกจวนข้า ชิงตัวว่าที่ฮูหยินของข้าไปอีก กระทำการอุกอาจเช่นนี้ เจ้าคิดว่าสมควรรับโทษเช่นไร?”

ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ตอบรับ ซิ่นเฉิงกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เขารู้ดีว่าโทษทัณฑ์นั้นคือความตาย หาได้เคยมีมนุษย์ใดอาจหาญยกตนสูงเทียมเท่าเทพอสูรได้ด้วยเกรงต่อบารมี แต่ในยามนี้ เขา... เขาจะเป็นคนแรกที่ไม่ยอมคุกเข่าวิงวอนร้องขอเมตตาใดๆ จากปีศาจตรงหน้า

“เจ้าอยากจะทำเช่นไรกับข้าก็ทำ แต่จงปล่อยซิ่นจินและพี่น้องร่วมสาบานของข้าไป”

“ท่านพี่! รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา!”
“ท่านบ้าไปแล้วหรือ!?”
พี่น้องร่วมสาบานต่างกรีดร้องอย่างตกใจ ก่อนจะโดนทุบไปอีกคนละทีสองทีด้วยฝีมือของพ่อบ้านเหลียง พร้อมด้วยเสียงดุ

“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าถ้าไม่ได้อนุญาตก็อย่าปริปาก จับพวกมันมัดปากไว้ซิ”

ชายหนุ่มฉกรรจ์ถูกผ้ามัดปากเอาไว้ ซิ่นเฉิงมองแล้วก็กำมือแน่น เขาต้องรีบทำการใดสักอย่างเพื่อให้พวกพ้องของเขาเป็นอิสระ

“ปล่อยพี่น้องของข้าไป เจ้าสุนัขป่า...” ว่าเสียงต่ำออกมา อีกทั้งสรรพนามที่ใช้เรียกร่างใหญ่ตรงหน้าก็เจือความดูแคลน

เทียนอี้ไม่ชอบใจนัก แต่ก็หาได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา จะมีก็แต่ซิ่นจินเท่านั้นที่เกาะแขนพี่ชาย ปรามให้เขาสงบสติอารมณ์
“ท่านพี่... ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลย ข้าจะขอร้องท่านแม่ทัพเอง”
“เจ้าต่างหากที่อย่าพูด เจ้าเป็นน้องข้า พวกเขาก็เป็นพี่น้องข้า ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง” ซิ่นเฉิงหันไปขึ้นเสียงใส่

กล้าหาญเสียจริงๆ ด้วย...

เป็นที่น่าชื่นชมอยู่ไม่น้อย แต่ก็ดูโง่เขลาในสายตาของเทียนอี้อยู่ดี  ก่อนเขาจะชำเลืองมองไปยังทหารในการควบคุม

เพียงเหลือบมองแค่นั้น ทหารอมนุษย์สองนายก็ตรงไปยังซิ่นเฉิง พลันบังคับให้เขาทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของซิ่นจิน ขณะที่ซิ่นเฉิงดิ้นพราดด้วยไม่ยอม แต่จะไปสู้อะไรได้ สุดท้ายก็ต้องคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเทียนอี้ แววตาเจ็บใจฉายให้เห็น เทียนอี้เชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ย

“อยากจะทำอะไรกับเจ้าก็ทำเช่นนั้นหรือ... เจ้าพูดราวกับว่าเจ้ามีสิทธิ์เลือกอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้หรือว่าโทษของเจ้าที่บุกรุกจวนแม่ทัพคือความตาย?”
ซิ่นเฉิงไม่ตอบคำถาม พูดเพียงสิ่งที่ตนอยากจะพูด
“ปล่อยพี่น้องของข้า”

เสียงหัวเราะหึในลำคอจากเทียนอี้ดังมาให้ได้ยิน ก่อนเขาจะเมินคำพูดนั้นด้วยการสั่งทหาร
“เอาผ้าคลุมหน้าออก”

เท่านั้น ผ้าคลุมหน้าและศีรษะของซิ่นเฉิงก็ถูกกระชากออกไป รูปหน้าของเขาทำให้เทียนอี้นิ่งไปครู่ ยามได้ยลโฉมของซิ่นจินครั้งแรกหลังจากนางถูกคนสนิทพาตัวมาที่จวน เขาก็คิดว่านางงดงามไม่ใช่น้อย แต่ก็หาได้ชวนตกตะลึงเท่ากับใบหน้าของซิ่นเฉิง
เขาเป็นฝาแฝดของซิ่นจินก็ย่อมต้องมีใบหน้าละม้ายคล้ายนาง แต่ในความงดงามนั้นแฝงไปด้วยความผยองและถือดี ผิวหน้าคล้ำแดด คิ้วหนาเป็นเสี้ยววงพระจันทร์ สันกรามเป็นสันนูนเด่นชัดบ่งบอกความเป็นบุรุษเพศ อีกทั้งผมยาวสลวยดกดำ ทั้งหมดล้วนทำให้ซิ่นเฉิงดูต่างจากโจรทะเลทรายที่เทียนอี้คาดการณ์ไว้ไม่น้อย

เหมือนกับอาชา...แสนพยศ

เทียนอี้คิดในใจ ขณะเดียวกันก็สนใจซิ่นเฉิงมากขึ้นเป็นเท่าตัว
“เจ้ามีนามว่าอะไร”

ซิ่นเฉิงตอบคำถามด้วยการถ่มน้ำลายใส่ แม้ไม่โดนใบหน้าแต่ก็กระเซ็นไปเปื้อนชายอาภรณ์ ทหารอมนุษย์ที่เห็นเหตุการณ์นั้นกดร่างของซิ่นเฉิงลงไปกับพื้นเต็มแรงด้วยโมโหที่หยามเกียรติผู้เป็นนาย ส่วนซิ่นจินก็หวีดร้องออกมา พลันรีบเอ่ยนามของผู้เป็นพี่

“ซิ่นเฉิงเจ้าค่ะ เขามีนามว่าซิ่นเฉิง”

เทียนอี้ชำเลืองมองดวงหน้าของหญิงสาวที่เว้าวอนขอให้เขาออกคำสั่งให้ทหารปล่อยพี่ชาย พลันปรามออกมา
“ไม่เป็นไร ปล่อยไป”

ผู้เป็นนายสั่งมาเช่นนั้นก็จำต้องปล่อย ซิ่นเฉิงเงยใบหน้าบูดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดขึ้นมองเขม็ง ก่อนที่เทียนอี้จะทรุดตรงลงนั่งยองตรงหน้า ชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น มือเอื้อมไปเชยปลายคางของอีกฝ่าย เมื่อซิ่นเฉิงสะบัดหนีและทำทีจะกัด เทียนอี้ก็คว้าเอาปลายคางไว้มั่น จากนั้นก็บีบแน่น

“ซิ่นเฉิง ข้าจะให้เจ้าเลือก” น้ำเสียงเย็นเยือกเล็ดรอดผ่านคมเขี้ยวสีขาวมุก ก่อนคำพูดประโยคถัดมาจะทำให้ทุกชีวิตนิ่งงัน “หากเจ้าไม่อยากตาย ก็จงเลือกเอาว่าจะให้น้องของเจ้าเป็นฮูหยินของข้า หรือเจ้าจะมาเป็นฮูหยินเสียเอง”

ซิ่นเฉิงถึงกับเบิกตาโพลง ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่ตกใจไปตามๆ กัน

เจ้าอมนุษย์ตนนี้ช่าง...!

สายตาเกรี้ยวกราดฉายออกมาจากดวงตาสีนิลของซิ่นเฉิง จากที่ไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับเทพอสูรเหล่านี้อยู่แล้วด้วยนึกรังเกียจ ยามนี้เขาแทบจะสังหารคนตรงหน้าได้ด้วยมือเปล่าเลยทีเดียว

ปฏิกิริยาตอบสนองกระด้างกระเดื่องเรียกเสียงหัวเราะในลำคอให้เทียนอี้ได้เป็นอย่างดี

น่าสนใจมากจริงๆ...

ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน ว่าเสียงเรียบ
“ข้าจะทำตามข้อเสนอของเจ้า จะปล่อยพี่น้องของเจ้าไป แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามคนของเผ่าเจ้ากลับมาเหยียบแคว้นเฟิงฝูอีก ส่วนเจ้า...ต้องอยู่ที่นี่ เป็นทาสของข้า”

จะว่าโล่งใจก็ไม่สุดเท่าไรนัก แต่ได้ยินเทียนอี้ว่าอย่างนั้นก็พอเบาใจขึ้นมาได้บ้างที่เขาไม่คิดให้ซิ่นเฉิงเป็นฮูหยิน แต่ให้เป็นทาสแทน และคนที่ดูเหมือนจะโล่งใจที่สุดเห็นจะเป็นพ่อบ้านเหลียงที่ระบายลมหายใจออกมายาว

“ว่าอย่างไร เจ้าจะยินยอมรับข้อเสนอของข้าหรือไม่”
แผนแรกของเขาคือรอดชีวิตกลับออกไปพร้อมกัน แต่ในเมื่อเข้าตาจนเช่นนี้ ซิ่นเฉิงก็จำต้องสละตนเองเพื่อให้คนอื่นๆ รอด
“ข้าจะอยู่ ปล่อยพี่น้องของข้าไปซะ”
เทียนอี้พยักหน้า ออกปากสั่งการ “พาพวกเขาไปส่งนอกแคว้น ข้าวของของซิ่นจินก็ให้นางเก็บออกไปด้วย”

ไร้ซึ่งความอาลัยในตัวว่าที่ฮูหยินที่เพิ่งรับเข้าจวนวันนี้ พ่อบ้านเหลียงอยากจะทักท้วงเพียงใดก็จำต้องเก็บถ้อยคำเอาไว้ก่อนด้วยเหตุการณ์หลังจากนี้ค่อนข้างชุลมุน ซิ่นจินร้องไห้โวยวาย ไม่ยอมให้ซิ่นเฉิงตัดสินใจเช่นนี้ อีกทั้งสหายของแมวขโมยผู้นั้นก็ดิ้นพล่านไม่ยินยอมแต่โดยดีเช่นกัน กว่าจะจัดการได้เสร็จสิ้นก็ใช้เวลาไปหลายเค่อ[1]

ครั้นทหารพาตัวทั้งสามออกไปนอกจวน และเทียนอี้สั่งการให้ทหารนายอื่นพาทาสคนใหม่ไปยังเรือนคุมขังทางด้านหลังจวน พ่อบ้านเหลียงก็สบโอกาสเปิดปากขึ้น

“ท่านแม่ทัพขอรับ อย่าหาว่าข้ายื่นมือเข้าไปสอดเลย แต่ทำเช่นนี้จะดีหรือ? ท่านจำเป็นต้องมีทายาทสืบสกุล ปล่อยนางไปเช่นนั้น แล้วเอาตัวพี่ชายนางไว้ ข้าเกรงว่าจะ...”

“พ่อบ้านเหลียง” พูดยังไม่ทันจบ เทียนอี้ก็เอ่ยขัด เมื่ออีกฝ่ายเงียบ เขาก็ว่าต่อ “ข้าเข้าใจแล้วเรื่องทายาท แต่นางยังไม่ใช่สตรีที่ข้ามีใจปฏิพัทธ์ด้วย อีกอย่าง นางก็หาได้เต็มใจเป็นฮูหยินของข้า เจ้าจะให้ข้าขืนใจนางหรือไร”

แต่เดิม เขาก็ไม่ได้สนใจสตรีมนุษย์ใดอยู่แล้ว การที่ซิ่นจินมาที่จวนเขาได้ ล้วนเป็นการจัดการของพ่อบ้านเหลียงทั้งสิ้น ที่เขาไม่พูดขัดใดๆ ก็ด้วยไม่อยากจะถกเถียงเรื่องที่เคยพูดมาตลอดหลายร้อยปีซ้ำไปมาก็เท่านั้น เมื่อสบโอกาส มีหรือที่เขาจะไม่รีบให้นางไป แล้วเก็บ ‘เจ้าตัวน่าสนุก’ เอาไว้เลี้ยงดูแทน

“แต่ท่านแม่ทัพ ท่านก็รู้ว่าเทพอสูรหาได้มีสตรีแต่อย่างใด เราจำเป็นต้องสร้างกองทัพให้ใหญ่ขึ้น จึงจำเป็นต้องมีทายาท เทพอสูรตนอื่นวัยไล่เลี่ยกับท่านรึก็มีทายาทสืบสกุลกันถ้วนหน้าแล้ว แต่ท่าน...”
“ท่านก็ยังไม่มีทายาทไม่ใช่หรือพ่อบ้านเหลียง แม้แต่ฮูหยินก็ไม่มี”

เทียนอี้สวนขึ้น พ่อบ้านเหลียงก็ปิดปากฉับ เถียงต่อไม่ออก และเมื่อชื่อของใครบางคนหลุดออกจากปากของเทพอสูรหนุ่ม คนทักท้วงในคราแรกก็ยิ่งลำคอตีบตัน

“หากเจ้าจะบีบคั้นข้าให้มีทายาท เจ้าก็ต้องไปบีบคั้นเจี้ยนสือกับหมิงจูด้วย ทั้งสองเองก็อายุไล่เลี่ยกับข้า”

พ่อบ้านเหลียงอับจนคำพูด ได้แต่ระบายลมหายใจออกมา ปล่อยให้ผู้เป็นนายกลั้วหัวเราะเบาๆ และเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรทิ้งท้ายไว้อีก

จริงอย่างที่เทียนอี้ว่า เทพอสูรนามเจี้ยนสือและหมิงจูนั่นก็เป็นเช่นเดียวกัน ไร้ซึ่งทายาท แม้แต่ฮูหยินก็หาได้สนใจตบแต่ง แล้วเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะหาทางกลับขึ้นสวรรค์ได้อย่างไร

คิดแล้วจากนั้นก็ได้แต่พึมพำบ่นกับตนเอง

“ตัวเจ้าเองก็เช่นกัน เป็นตัวอย่างที่ดีไม่ได้ ยังจะหาญกล้าไปสั่งสอนท่านแม่ทัพอีก”




 
เมื่อตกอยู่ในสภาพจำยอม ซิ่นเฉิงก็พยายามจะคิดในแง่ดีว่าตกเป็นทาสก็ยังดีกว่าเป็นฮูหยิน และดีอย่างยิ่งด้วยพี่น้องของเขารอดชีวิตกลับออกไปจากแคว้นอสุรกายอย่างปลอดภัย แต่ก็รำคาญใจอยู่ไม่น้อยครั้นคิดว่าจะต้องพินอบพิเทา คุกเข่าและก้มศีรษะให้กับเจ้าหมาป่าขนฟูฟ่องตัวนั้น

น่าเจ็บใจนัก!

เพราะอย่างนั้น ซิ่นเฉิงจึงไม่อาจเข้าร่วมใช้แรงงานกับทาสมนุษย์คนอื่นๆ ในจวนได้ ถูกกักตัวอยู่ในเรือนคุมขังทาสเพื่อรอดูท่าที ผ่านไปหลายราตรี ก็หาได้เห็นว่าเขาจะมีท่าทางกระด้างกระเดื่องน้อยลงแต่อย่างใด อีกทั้งยังประท้วงด้วยการปฏิเสธความเมตตาจากเทียนอี้ ไม่แตะต้องอาหาร ดื่มเพียงน้ำเท่านั้น จนร่างกายอ่อนแรงทีละน้อย แม้จะอดอาหารบ่อยครั้งด้วยตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาคลุกคลีอยู่กับความอดอยาก แต่ก็ไม่อาจต้านทานความเป็นไปของวัฏจักรชีวิตได้ไหว

กระนั้น...ก็ยังแผลงฤทธิ์อยู่ดังเดิม พร้อมจะอาละวาดใส่ทหารผู้คุมทุกตนที่เข้ามาใกล้ นับว่าเป็นมนุษย์คนแรกเลยก็ว่าได้ที่ปั่นป่วนเสียจนจวนแม่ทัพเทียนอี้อลหม่านไปหมด

การไม่ปรากฏตัวเลยของทาสคนใหม่ทำเอาเทียนอี้ประหลาดใจ แต่ก็หาได้สนใจนักด้วยเขามีภาระหน้าที่ต้องจัดการมากมาย หากแต่ครั้นได้ยินว่าที่ซิ่นเฉิงไม่ได้ออกมาใช้แรงงานร่วมกับทาสคนอื่นๆ เป็นเพราะเขาอาละวาดไม่หยุด พ่อบ้านเหลียงจึงเห็นว่ายังไม่เหมาะสมที่จะเอามาใช้งาน หากยังพยศอยู่เช่นนี้ มีหวังคงได้ทำให้ทาสมนุษย์คนอื่นๆ วุ่นวายอย่างแน่นอน

และเมื่อได้ฟังความจากพ่อบ้านเหลียงว่าซิ่นเฉิงก่อวีรกรรมใดไว้บ้าง เขาก็ถามเสียงเรียบออกมา
“แล้วเขาอยากได้สิ่งใด”
“ท่านแม่ทัพยังต้องถามอีกหรือ? ย่อมแน่อยู่แล้วว่าเจ้าคนผู้นั้นต้องอยากเป็นอิสระ”

ได้คำตอบอย่างนั้น เทียนอี้จึงเปลี่ยนคำถาม
“ถ้าเช่นนั้น นอกจากเป็นอิสระจากข้า เขาอยากได้สิ่งใด”
“ข้าก็ถามแล้วเช่นกัน แต่เจ้านั่นทำเพียงจ้องมองข้าด้วยสายตากราดเกรี้ยว อีกทั้งยังเรียกข้าว่าเจ้าจระเข้เฒ่าอีก”
“จระเข้เฒ่ารึ?”
เทียนอี้จับจ้องไปยังผู้พูดทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับ เสี้ยวหน้าสุนัขป่าก็คล้ายจะมีรอยยิ้มขบขัน ก่อนมันจะหายไปในพริบตาเมื่อถูกอีกฝ่ายมองด้วยสายตาคล้ายตำหนิ

“เอาล่ะพ่อบ้านเหลียง ประเดี๋ยวข้าจัดการเอง”

เพราะคิดได้ว่าเขาได้รับของบางอย่างจากซิ่นจินในวันที่ส่งตัวนางและนักรบแห่งเผ่าทะเลทรายกลับออกไปนอกแคว้น นางได้ฝากห่อผ้าห่อหนึ่งให้กับซิ่นเฉิงไว้

ห่อผ้านั้น...คงจะเป็นเครื่องมือต่อรองกับชายหนุ่มได้ไม่มากก็น้อย



 
ซิ่นเฉิงนั่งพิงกำแพงด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก สายตาจับจ้องไปยังผู้คุมทางด้านนอกที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนมาตั้งแต่เมื่อหลายชั่วยามก่อน พลันเหลือบมองข้อมือและข้อเท้าซึ่งถูกโซ่ตรวนพันธนาการไว้

ทาสเช่นนั้นหรือ? ที่เขาเป็นอยู่นี่มันนักโทษไม่ใช่หรือไร?

นึกสังเวชในชะตากรรมของตนขึ้นมา ก่อนที่ความคิดนั้นจะมลายหายไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ พร้อมกับการทำความเคารพของผู้คุม เท่านั้นก็รู้ว่าผู้มาใหม่น่ะคือ...

“ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่กินข้าวกินน้ำแม้แต่วันเดียว คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ”

...เทียนอี้

มาถึงก็เอ่ยปากขึ้น ซิ่นเฉิงไม่พูดตอบโต้ใดๆ ทำเพียงมองอีกฝ่ายในอาภรณ์งดงาม ถักทอจากไหมชั้นดีนิ่งๆ เท่านั้น ก่อนจะนึกขบขันขึ้นมา

“หึ เจ้ายังจะต้องใส่เสื้อผ้าอีกหรือ? ข้าว่าสุนัขป่าเช่นเจ้าไม่จำเป็นต้องสวมใส่ของชั้นดีเช่นนั้นหรอก ทำเพียงยืนสี่ขาแล้วเห่าหอนก็พอ”
“เจ้า!” พ่อบ้านเหลียงที่ตามเข้ามาด้วยถึงกับหัวเสีย หลุดขึ้นเสียงออกมา แต่ก็เงียบไปเมื่อเทียนอี้ยกมือปรามโดยไม่พูดอะไร

ครั้นทุกอย่างสงบนิ่งดังเดิม เทียนอี้ก็ว่าออกมาช้าๆ “เนื้อตัวเจ้าเปรอะเปื้อนไม่น้อย กินอาหารแล้วชำระล้างร่างกายเสียหน่อย ข้าให้คนเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เจ้าเปลี่ยน”

สิ้นเสียง พ่อบ้านเหลียงก็ให้ทาสมนุษย์คนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่เป็นคนรับใช้นำเสื้อผ้ามาให้ มันเป็นเสื้อผ้าเช่นเดียวกับที่ทาสมนุษย์ในจวนสวมใส่

ซิ่นเฉิงชำเลืองมองแล้วแสร้งเมิน

มันเรื่องอันใดที่เขาจะต้องยินยอมทำตาม หากเขาทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่ายอมรับสถานะตนเองว่าเป็นทาสของเทียนอี้น่ะสิ เขาไม่ทำหรอก!

แม่ทัพเทพอสูรมองก็พอดูออกว่าชายหนุ่มหัวดื้อคนนี้คิดการใดอยู่ เขาก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ พลันล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อ หยิบอะไรบางอย่างออกมาพร้อมว่า

“หากเจ้าไม่ชอบเสื้อผ้านั้น จะสวมใส่เสื้อผ้าที่เข้ากับเครื่องประดับนี้ ข้าก็ไม่ว่า”

ซิ่นเฉิงเบนสายตาไปมอง ทันทีที่เห็นเครื่องประดับเงินร้อยระย้าเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเดือนหงาย เขาก็เบิกตาโพลง

นั่นมันเครื่องประดับผมของซิ่นจิน!

เขาจำได้เป็นอย่างดี เพราะเขาเองก็มีเครื่องประดับแบบเดียวกันอยู่ชิ้นหนึ่ง มันเป็นของต่างหน้าที่มารดาทิ้งไว้ให้เขากับน้องสาวคนละชิ้น แต่ของเขานั้นสูญหายไประหว่างการล่าสัตว์เมื่อครั้งที่เขาเป็นเด็กหนุ่มแรกรุ่น จึงมีแต่ซิ่นจินเท่านั้นที่มีเครื่องประดับนี้อยู่

นางให้เขาไว้ดูต่างหน้า...

ซิ่นเฉิงรับรู้ได้โดยไม่ต้องให้ผู้ใดมาบอก และก็รู้ดีเช่นกันว่าเทียนอี้คงไม่มอบให้โดยง่ายหากไม่มีเงื่อนไข
“เจ้าต้องการสิ่งใด”
“กินข้าวแล้วชำระล้างร่างกายเสีย เมื่อแต่งตัวเสร็จก็จงออกไปเอาเครื่องประดับนี้กับข้าที่ห้องรับรอง ส่วนเสื้อผ้าของเผ่าเจ้า ข้ามอบให้เป็นหน้าที่ของพ่อบ้านเหลียงดูแล”

แค่นั้นน่ะหรือ?

ซิ่นเฉิงสงสัย แต่ก็ไม่เอ่ยปากถาม เพราะทันทีที่สิ้นเสียงของเทียนอี้ ทาสรับใช้มนุษย์ก็ยกอาหารเข้ามาให้ เขาจึงไม่รอช้าที่จะกินมันเข้าไปโดยไม่สนว่าอาหารในถาดนั้นปรุงจากวัตถุดิบใดบ้าง ทั้งหมดเป็นไปอย่างเร่งรีบ เพียงเพื่อต้องการเอาเครื่องประดับนั้นกลับคืนมาสู่อุ้งมือตนในไวที่สุดเท่านั้น

เทียนอี้ปรายตามองอย่างพอใจที่ชายหนุ่มกินอาหารอย่างตะกรุมตะกราม คงเพราะร่างกายอดอาหารมาหลายวัน เมื่อได้ลิ้มรสก็รีบร้อนกินโดยไม่สนใจผู้ใด ก่อนเขาจะผละออกไปโดยมีพ่อบ้านเหลียงตามไปส่ง ครั้นจะแยกจากกัน พ่อบ้านเหลียงก็เอ่ยขึ้นมา

“ตามใจเช่นนี้มันดีแล้วหรือท่านแม่ทัพ”

เทียนอี้หันไปมอง “ม้าพยศก็ต้องใจดีด้วย หากเจ้าปราบม้าพยศด้วยการบังคับขี่มัน แทนที่จะให้หญ้าให้น้ำจนอิ่มหนำ เจ้าคิดหรือว่ามันจะยอมให้เจ้าขี่ มนุษย์ผู้นั้นก็เช่นกัน ถ้าข้าบังคับฝืนใจให้ทำตามคำสั่ง มีหรือที่เขาจะยอมทำตามโดยง่าย ปราบพยศม้าเช่นไร ปราบพยศมนุษย์ก็เฉกเช่นนั้น”

เข้าใจได้โดยพลันว่าเหตุใดแม่ทัพเทียนอี้ผู้เข้มงวดถึงได้ใจดีกับซิ่นเฉิงนัก ทั้งที่ฝ่ายนั้นไม่ได้น่าเอ็นดูเลยแม้แต่น้อย

“เมื่อเขาเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พามาหาข้า ข้าจะรอที่ห้องรับรอง”

เห็นว่าพ่อบ้านเหลียงไม่พูดใดๆ ออกมาอีกก็ปลีกตัวไปอีกทาง ปล่อยให้คนมองตามอดคิดไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงหาใช่ทาสมนุษย์คนใหม่ของจวนแม่ทัพแห่งนี้ แต่เป็นสัตว์เลี้ยงของเทียนอี้มากกว่า

ดูท่าทางเทียนอี้จะสนุกกับการปราบพยศมนุษย์หนุ่มคนนี้พอดูเลยทีเดียว...

[1] เค่อ ประมาณ 15 นาที


**************

หัวแล๊นแล่น เขียนรัวเลยค่ะ

ย่องมาอัพให้ตอนดึกๆ อีกตอนแล้วกัน

ตอนที่แล้ว อาเฉิงเป็นแมว ตอนนี้เป็นม้าซะงั้น

ตอนหน้าเป็นตัวอะไร เดี๋ยวคิดได้จะมาบอกนะ

หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 2: พยศ[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ice.sp0211 ที่ 27-08-2017 03:49:25
โหยยยย คือดีต่อใจ รอดูน้องโดนปราบพยศ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 2: พยศ[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wikawee ที่ 27-08-2017 04:58:29
อยากให้แม่ทัพจัดหนักๆเลย เด็กอะไรปากไม่ดีเลย แบบนี้ต้องสั่งสอน  :z6: :z6: :z6: :z6: เอาให้หนักให้หลาบจำ  :m16:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 2: พยศ[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-08-2017 07:30:21
พยายามเข้านะท่านแม่ทัพเทพอสูร
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 2: พยศ[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 27-08-2017 07:39:25
ซิ่นเฉิงมีอคติกับพวกอมนุษย์ ต้องโดนปราบพยศอย่างแรง
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 2: พยศ[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 27-08-2017 08:36:38
ท่านแม่ทัพใจดีอุตส่าห์ปล่อยคนแต่ใจดีไม่สุดนะนี่
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 2: พยศ[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 27-08-2017 08:40:15
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 2: พยศ[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: backforred ที่ 27-08-2017 12:01:15
สนุกมากกก  :o8:
มาต่อไวๆนะ
 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 2: พยศ[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 27-08-2017 12:26:37
มารออ่านด้วย สนุกอ่ะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 2: พยศ[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PAtxxkMxxn ที่ 27-08-2017 15:04:40
จีดหนักๆซีกที55555
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 2: พยศ[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 27-08-2017 21:29:06
บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย

การกระทำของซิ่นเฉิงล้วนเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานนัก ชายหนุ่มในชุดรูปทรงประหลาดตาก็ปรากฎให้เห็นในห้องรับรองของเรือนหลังใหญ่ เทียนอี้ซึ่งนั่งพินิจเครื่องประดับผมในมือละสายตาไปมองยังผู้มาใหม่ ครั้นเห็นว่าเป็นเจ้าม้าหนุ่มจอมพยศ เขาก็จ้องมองอย่างสำรวจ

เสื้อผ้าฝ้ายสีดำไร้แขนแนบชิดลำตัวอำพรางเรือนร่างของซิ่นเฉิง กางเกงผ้าฝ้ายสีเดียวกันตัดเย็บผสมผสานกับหนังสัตว์ รองเท้าสานจากหญ้าแห้ง เครื่องแต่งกายนี้บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าใด สำหรับซิ่นเฉิงแล้ว คงจะมาจากเผ่าทางเหนือซึ่งรอนแรมหนีหนาวมาทางใต้ ถึงได้ใช้หนังสัตว์ขนยาวในการประดับตกแต่งเป็นเครื่องนุ่งห่ม

กระนั้นก็หาได้สำคัญแต่อย่างใดเมื่อซิ่นเฉิงออกปากทวงถึงสิ่งของสำคัญของตน
“ไหนเครื่องประดับผมของนาง”
เทียนอี้ปรายตามอง ชูของในมือขึ้น
“ส่งมันมาให้ข้า”

น้ำเสียงที่ใช้ช่างหาได้มีความอ่อนน้อมเลยแม้แต่น้อย แต่เทียนอี้ก็ไม่ได้ต่อว่าใดๆ นอกเสียจากส่งมันต่อให้พ่อบ้านเหลียงนำไปมอบให้ชายหนุ่ม

ทันทีที่ได้รับมาถือในมือ ซิ่นเฉิงก็มีสีหน้ายากจะอ่านปรากฎให้เห็น ก่อนจะมลายหายไปเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมา
“ประดับผมของเจ้าเสียสิ ข้าได้ยินมาว่าเผ่าของเจ้า ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ล้วนตกแต่งเรือนกายด้วยเครื่องประดับเงิน”

คิดหรือว่าซิ่นเฉิงจะทำตาม เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง สายตาบ่งบอกชัดเจนว่าจะดื้อแพ่ง ทำให้เทียนอี้ต้องพูดออกมาอีก
“หากเจ้าไม่ใช้ก็ส่งคืนให้ข้าเก็บรักษาให้ก่อน”
“ข้าจะใช้”

สวนกลับในทันที ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะจับปอยผมสีดำขลับของตนเองออกมาปอยหนึ่ง และจัดการสานกันเป็นเปียเล็กๆ ครั้นพ่อบ้านเหลียงส่งเชือกให้มัด เขาก็จัดการด้วยความรวดเร็ว พลันเอาเครื่องประดับชิ้นนั้นไปเกี่ยวกับผมเอาไว้

บัดนี้ ซิ่นเฉิงกลายเป็นนักรบหนุ่มแห่งเผ่าทะเลทรายทางเหนือเต็มตัว รูปลักษณ์ต่างจากคราบแมวขโมยเมื่อหลายราตรีก่อนไม่น้อย เมื่อเนื้อตัวสะอาดสะอ้านไร้คราบเปรอะเปื้อน เขาเองก็เป็นหนุ่มรูปงามไม่ต่างจากน้องสาวฝาแฝดสักนิด เทียนอี้พึงใจที่ได้เห็นคนใต้อำนาจดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา

“ข้ากลับไปที่คุกได้หรือยัง”
เห็นว่าทุกอย่างเสร็จสิ้น ซิ่นเฉิงก็โพล่งขึ้นมา ดูก็รู้ว่าเขาไม่อยากจะอยู่ที่นี่สักเท่าไร

ไม่สิ... เขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเทียนอี้ต่างหาก ยอมรับว่าการอยู่ต่อหน้าของแม่ทัพเทพอสูรตนนี้ช่างทำให้เขาประหม่าเสียเหลือเกิน เทียนอี้เองก็รับรู้ได้ ทว่าธุระของเขายังไม่เสร็จสิ้น ก่อนเขาจะเอ่ยตอบ

“ข้ามีเรื่องจะต่อรองกับเจ้า”
“มีเรื่องอันใดก็จงรีบพูด”
น้ำเสียงสื่อออกมาอย่างชัดเจนว่ารังเกียจที่จะเสวนาด้วย ขณะที่เทียนอี้แสร้งทำไม่สนใจ
“ข้าต้องการให้เจ้าปฏิบัติตนเยี่ยงข้ารับใช้คนอื่นๆ”

เลี่ยงที่จะไม่พูดคำว่า ‘ทาส’ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เทียนอี้ก็หาได้คิดว่าเหล่ามนุษย์ที่มาสวามิภักดิ์กับตนเป็นทาส หากแต่เป็นคนมาช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ต่างๆ ในจวนให้เขามากกว่า แม้ว่าสถานะที่แท้จริงจะคือทาสก็ตาม จะพูดว่าเป็นเพราะเขามีเมตตาด้วยครั้งหนึ่งเคยเป็นเทพบนสวรรค์ก็ได้ ถึงได้มีความคิดเช่นนี้

ทว่าสำหรับซิ่นเฉิงแล้ว เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะ
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมเป็นทาสของเจ้าจริงๆ เช่นนั้นหรือ? ฝันไปเถิดเจ้าสุนัข!”

ก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าซิ่นเฉิงจะต้องมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างนี้ พลันเทียนอี้ก็หันไปพยักหน้าให้พ่อบ้านเหลียงนำสิ่งหนึ่งมาวางบนโต๊ะ
“ข้าก็ไม่อยากจะบังคับเจ้า ถึงได้บอกว่ามีเรื่องต่อรอง” ว่าพลางคลี่ห่อผ้าออกช้าๆ

ซิ่นเฉิงมองอย่างสงสัย ก่อนที่จะเบิกตาโตทันทีที่เห็นว่าภายในห่อผ้านั้นมีสิ่งใดอยู่

เครื่องประดับเงิน... ของเขา!

เป็นของที่เขาถอดทิ้งเอาไว้ก่อนปลอมตัวเป็นพ่อค้า แฝงกายเข้ามาในแคว้นเฟิงฝู

ความจริงแล้ว แค่เครื่องประดับเงิน ซิ่นเฉิงไม่จำเป็นจะต้องอยากได้คืนก็ได้ เขาจะสวมวิญญาณโจรทะเลทราย ปล้นชิงจากกองคาราวานมาอีกเท่าไรก็ย่อมได้หากได้รับอิสระ แต่ที่ไม่อาจละเลยได้เป็นเพราะ...

...สร้อยคอวงพระจันทร์เสี้ยว เขาได้รับมาเมื่อครั้งได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้านักรบ มันเป็นเครื่องหมายของการเป็นบุรุษเต็มตัวและการเคารพนับถือจากพี่น้องร่วมสาบาน

...สร้อยข้อมือ ผู้อาวุโสในเผ่ามอบให้ครั้งเติบใหญ่เข้าสู่ชายหนุ่มวัยแรกรุ่น เป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตและความเป็นอิสระจากการดูแลของครอบครัว

...สร้อยข้อเท้า ผู้น้อยในเผ่ามอบให้หลังจากเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้านักรบ นั่นหมายถึงการแสดงความนับถือและการขอฝากฝังชีวิตไว้ในอุ้งมือของเขา

ทั้งหมดล้วนมีคุณค่าทางจิตใจและจิตวิญญาณทั้งสิ้น มันเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เขาแข็งแกร่งเฉกเช่นทุกวันนี้

ทันทีที่เห็นเช่นนั้นก็ถลาเข้าไปหมายจะช่วงชิงกลับคืน แต่ก็ไม่อาจเข้าใกล้ด้วยทหารรับใช้ของเทียนอี้เข้ามาสกัดไว้เสียก่อน มีกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยด้วยซิ่นเฉิงไม่ยอมง่ายๆ

เทียนอี้เหลือบมอง ครู่หนึ่งซิ่นเฉิงถึงสงบลง เขาถึงได้พูดต่อ
“ห่อผ้านี้ น้องสาวของเจ้าฝากมาให้ ข้าจะคืนมันให้เจ้า แต่ต้องมีเงื่อนไข”

นั่นอย่างไรเล่า! เจ้าสุนัขป่าตัวนี้เคยให้อะไรเขาโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนกันบ้าง!

“อะไร!” ซิ่นเฉิงชักหัวเสีย ตะเบ็งเสียงออกมา

พ่อบ้านเหลียงคันปากยุบยิบ อยากจะตำหนิให้ระวังท่าทีไว้บ้าง แต่เห็นว่าเทียนอี้ไม่พูดอะไร เขาจึงไม่ปริปาก ปล่อยให้ผู้เป็นนายจัดการ

“ข้าจะมอบเครื่องประดับของเจ้าคืนให้อย่างละชิ้นต่อการเชื่อฟังครั้งหนึ่ง หากเจ้าเชื่อฟัง ปฏิบัติตนตามคำสั่ง เจ้าจะได้สมบัติของเจ้าคืน”

ซิ่นเฉิงส่งเสียงจึ๊ในลำคออย่างไม่พอใจ แต่ก็เข้าทางเทียนอี้เลยทีเดียวด้วยเขารู้ดีว่าคนอย่างซิ่นเฉิง ต่อให้ไม่อยากทำเพียงใด แต่เพื่อสิ่งที่ต้องการแล้ว เขาพร้อมจะแลกมาไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม

“หากเจ้ายอมรับเงื่อนไข ข้าจะให้พ่อบ้านเหลียงเป็นคนดูแล” ตัดบทเอาเสียอย่างนั้น
ถึงตอนนี้ ซิ่นเฉิงก็ต้องยอมรับแล้ว
“ได้ ข้าจะทำ”

เทียนอี้มองอย่างพอใจ พลันหันไปสั่งพ่อบ้านเหลียง
“ช่วยดูแลคนรับใช้คนใหม่ด้วย ตั้งแต่วันนี้ให้พาไปนอนในเรือนนอนของคนรับใช้”
“ขอรับท่านแม่ทัพ” รับคำสั่งเสร็จ พ่อบ้านเหลียงก็ตรงมายังชายหนุ่มพร้อมออกปาก “ตามมาสิ”

อย่ามาสั่งข้าเชียว เจ้าจระเข้เฒ่า...

สายตาที่ซิ่นเฉิงมองคนพูดเหมือนกำลังจะบอกอย่างนั้น แต่ไร้ซึ่งสรรพเสียง ทำเพียงเดินตามหลังพ่อบ้านเหลียงไปเท่านั้น ปล่อยให้เทียนอี้มองนิ่งๆ อยู่ครู่ พลันละสายตาและไม่ได้สนใจอีกต่อไป




 
ว่ากันตามตรง ซิ่นเฉิงไม่ชินเอาเสียเลยกับการได้นอนในเรือนนอนคนรับใช้เช่นนี้ การนอนร่วมกับคนอื่นอีกหลายสิบชีวิตไม่ใช่ปัญหา เมื่อครั้งที่เขายังมีอิสระ เขาก็คลุกคลีกับพวกนักรบคนอื่นๆ นอนกลางดิน กินกลางทรายด้วยกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้เขานอนไม่หลับนั้นเป็นเพราะฟูกที่นุ่มสบายเกินไปเสียมากกว่า คนที่นอนบนพื้นทรายอย่างเขามาตลอดชีวิต คุ้นชินกับฟูกเช่นนี้เสียที่ไหน

ดังนั้นราตรีแรกในการย้ายมานอนยังเรือนคนรับใช้ ซิ่นเฉิงจึงข่มตาหลับไม่ได้เลยสักนิด เมื่อไม่ได้นอน อารมณ์ก็ฉุนเฉียวหงุดหงิดง่ายกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ครั้นพ่อบ้านเหลียงพาออกมาสอนงานที่ต้องทำในจวนให้ ซิ่นเฉิงก็ทำไม่ได้ทุกงานไป ความอดทนต่ำถึงขีดสุด ทำได้ไม่เท่าไรก็ออกอาการอาละวาดเสียจนคนรับใช้คนอื่นๆ วงแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง ลำบากพ่อบ้านเหลียงอีกที่ต้องเข้ามาห้ามทัพเสียทุกคราไป อะไรไม่ว่า พ่อบ้านเหลียงก็ถูกซิ่นเฉิงแผลงฤทธิ์ใส่อีกด้วย

ก่อนหน้านั้นให้ไปตักน้ำจากบ่อน้ำมารดต้นไม้ในสวน ซิ่นเฉิงก็เกิดหงุดหงิดฉุนเฉียว ทิ้งถังน้ำลงพื้นเอาดื้อๆ เมื่อคนรับใช้คนหนึ่งทักท้วง ก็ถูกเขาคว้าถังน้ำใบเดิมมาสาดน้ำใส่ พอพ่อบ้านเหลียงเข้ามาห้ามปราม ซิ่นเฉิงก็จัดการเอาถังไม้นั้นแกว่งกระหวัดฟาดเสียอย่างนั้น เคราะห์ดีที่พ่อบ้านเหลียงมีวรยุทธ์ด้วยเดิมทีเองก็เป็นเทพบนสวรรค์จึงหลบหลีกมาได้ แต่ไม่หยุดเพียงเท่านั้น ซิ่นเฉิงอาละวาดทำลายสวนจนต้องเรียกเหล่าทหารเทพอสูรมากำราบ กว่าจะสิ้นฤทธิ์ก็เล่นเอาสวนพังไปเสียครึ่งแถบ

ช่างน่าปวดกะโหลกยิ่งนัก!

และไม่ว่าจะให้ซิ่นเฉิงทำงานใด เขาก็ไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุผลหลักคือเขาไม่อาจปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ พ่อบ้านเหลียงพยายามเข้าใจว่าเป็นเพราะซิ่นเฉิงใช้ชีวิตอย่างอิสระ เมื่อถูกกำหนดกฎเกณฑ์ก็อึดอัดจนคลุ้มคลั่ง แต่การที่อาละวาดมันเสียทุกงาน ทุกชั่วยาม และทุกทิวาราตรี มันทำให้เขาหมดความอดทนเช่นกัน

เรื่องความเกเรของคนรับใช้คนใหม่ของจวนจึงไปถึงหูท่านแม่ทัพ แม้ไม่อยากจะให้มีเรื่องรำคาญใจ แต่ถึงอย่างไร เทียนอี้ก็สมควรต้องรับรู้

“ข้าว่าท่านแม่ทัพต้องจัดการเจ้ามนุษย์ผู้นั้นเสียให้เด็ดขาดแล้วขอรับ เพราะท่านใจดี เอ็นดูเจ้านั่นมากเกินไป เลยทำให้ได้ใจ”
เทียนอี้รู้อยู่แล้วว่าสักวัน พ่อบ้านเหลียงจะต้องมาคุยกับเขาเรื่องนี้ เขาวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ ชำเลืองมองผู้พูด

“มันเป็นการฝึก”

ฝึกก็คือการปราบพยศ อย่างที่เทียนอี้เคยว่า ซิ่นเฉิงเป็นม้าหนุ่มจอมพยศ จะปราบพยศได้ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่สำหรับพ่อบ้านเหลียงแล้ว เขาคิดว่าไม้อ่อนคงจะใช้ไม่ได้ผลกับเจ้าม้าตัวนี้ สมควรอย่างยิ่งแก่การเอาไม้มาทุบให้หัวแบะเสียมากกว่า

“แต่ข้าว่าการที่ท่านแม่ทัพปล่อยให้เป็นเช่นนี้ รังแต่จะทำให้เจ้ามนุษย์นั่นได้ใจนะขอรับ ข้าว่าท่านทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะกำเริบเสิบสานไปมากกว่านี้ดีกว่า”

เทียนอี้เข้าใจความกังวลของพ่อบ้านเหลียงดี แต่เขาก็ไม่ได้เห็นว่ามนุษย์อย่างซิ่นเฉิงจะร้ายกาจอะไร ที่บุกเข้ามาในจวนเขายามวิกาลนั่นก็เพราะเป็นห่วงน้องสาวร่วมสายโลหิต ยอมสละตนเองเพื่อให้พรรคพวกรอด นั่นนับว่าเป็นความกล้าหาญอย่างยิ่งเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้เลยทีเดียว

“เจ้าไม่ต้องใส่ใจ ทำตามที่ข้าสั่งไปเถิดพ่อบ้านเหลียง”
เพราะคิดอย่างนั้นเลยไม่มีความเห็นใดอีก พ่อบ้านเหลียงเห็นก็เอ่ยปากท้วง
“แต่ว่า...”
“ประเดี๋ยวข้าจะไปที่ห้องหนังสือเสียหน่อย ราตรีนี้เจ้าไม่ต้องตามมาคอยรับใช้ ไปพักผ่อนเถิด” ตัดบทเอาเสียดื้อๆ

พ่อบ้านเหลียงเลยพูดต่อไม่ออก ได้แต่ระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

ท่านแม่ทัพเทียนอี้จะชะล่าใจเกินไปแล้ว...




 
คราแรกที่ตอบรับเงื่อนไขของเทียนอี้ก็เพราะคิดว่าแค่ทำตามที่อมนุษย์ตนนั้นต้องการ แลกกับเครื่องประดับชิ้นหนึ่งอะไรนั่น มันไม่ใช่เรื่องอยาก แต่ในความเป็นจริง ช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน ซิ่นเฉิงแทบจะกัดลิ้นตัวเองตายอยู่แล้วเมื่อต้องทำตามความประสงค์ของผู้เป็นนายที่เขาไม่เต็มใจยอมรับอย่างนั้น

สู้ไปขโมยมาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวแล้วหนีออกไปยังจะง่ายกว่าอีก!

ชายหนุ่มอดคิดอย่างนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ ยังไม่เพียงคิดอีกด้วย เขาจะทำมันจริงๆ

หลายราตรีที่ผ่านมานี้ ซิ่นเฉิงลอบสังเกตว่าทุกคืน เทียนอี้จะออกจากห้องรับรองไปยังห้องหนังสือ และใช้เวลาอยู่ในนั้นจนถึงยามจื่อ[1] จากนั้นถึงจะกลับเข้าห้องนอน ดังนั้น หากเขาจะไปขโมยมาและหนีออกจากจวนแม่ทัพ รวมถึงกลับสู่ทะเลทราย จึงมีโอกาสแค่ชั่วยามนี้เท่านั้น

ซิ่นเฉิงออกจากเรือนคนรับใช้เมื่อถึงเวลา สายตากวาดมองไปในความมืดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดพบเห็นเขา ครั้นเห็นทางสะดวกก็รีบทะยานไปยังเรือนหลังใหญ่ หมายจะเข้าไปในห้องนอนของเทียนอี้



 
กลิ่นสาบทะเลทรายลอยคละคลุ้งมาแตะปลายจมูก ต่อให้ผ่านการอาบน้ำชำระล้างร่างกายหลายต่อหลายครั้ง แต่เทียนอี้ก็จำได้ดีว่ากลิ่นนี้เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของซิ่นเฉิง ด้วยความที่กลิ่นเข้ามาใกล้เสียจนเตะปลายจมูก ทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่าเจ้าของกลิ่นคงจะมาเล่นสนุกในเรือนของเขากลางดึก ทำให้เขาต้องละความสนใจจากตำราตรงหน้า ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้และออกไปยังนอกระเบียง สูดหายใจเพื่อหาต้นตอว่ากลิ่นนั้นพัดมาจากทิศทางใด

“ห้องนอน...” เทียนอี้พึมพำ หน้าผากย่นยู่เล็กน้อยก่อนจะตรงไปยังทิศทางนั้น การที่ซิ่นเฉิงบุกรุกห้องนอนเขาคงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกเสียจาก...

คิดแล้วก็หัวเราะในลำคอด้วยรู้ว่าซิ่นเฉิงจะไปหาอะไรในห้องนอนเขา พลางพึมพำออกมาอีก

“เจ้าแมวขโมยตัวนี้ช่างไม่เข็ดหลาบเอาเสียเลย”




 
ห่อผ้าบรรจุเครื่องประดับต้องอยู่ที่ไหนสักที่ในห้องนอนของเทียนอี้!

แต่ซิ่นเฉิงที่บุกรุกเข้ามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ก็ยังหาไม่เจอเลยแม้แต่น้อย เขารื้อทุกตู้ ค้นทุกชั้น ไม่เว้นแม้แต่ซอกมุม ล้วนหาไม่เจอเลยสักนิดว่าห่อผ้าที่ซิ่นจินฝากให้อยู่ที่ไหน พานชวนให้หัวเสียขึ้นมาอีกจนต้องก่นด่าเจ้าของห้องออกมา

“ขุดดินฝังกลบหรืออย่างไรกัน เจ้าสุนัขหัวขโมย...”
เสียงนั้นเข้าหูของเทียนอี้ซึ่งอยู่ทางด้านนอกอย่างจัง

สุนัขหัวขโมยเช่นนั้นหรือ? เขานึกขันในใจ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ข้าว่าเจ้าต่างหากกระมังที่เป็นหัวขโมย ...เจ้าแมว”

ซิ่นเฉิงสะดุ้งเฮือก หันไปมองตามทิศทางของต้นเสียง พลันเห็นเงาตะคุ่มสูงใหญ่ทางด้านนอกประตูก็รีบหาทางหนีทีไล่ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาหมายจะหนีออกจากจุดที่อยู่ ทว่าก็ไม่ทันการ เพียงแค่จะกระโดดออกจากหน้าต่าง เทียนอี้ก็ผลักบานประตูเข้ามา ปรี่มาหาเขาด้วยความว่องไว คว้าข้อเท้าไว้ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะกระโดดลงจากขอบหน้าต่างได้เสียอีก

“เข้ามาทำสิ่งใดในห้องข้า”
ซิ่นเฉิงหันไปมองด้วยสีหน้าตื่นๆ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ
“ปล่อยมือออกจากข้าประเดี๋ยวนี้!”

เทียนอี้ไม่ปล่อย ขืนปล่อย เจ้าแมวตัวนี้ก็กระโดดหนีไปน่ะซี...

เขากระชากให้อีกฝ่ายกลับเข้ามาข้างในห้อง หมายจะสอบถามให้ได้ความว่าเข้ามาในห้องนอนของเขาเพื่อการใด ทว่าการดึงซิ่นเฉิงกลับเข้ามานั้น ราวกับเป็นการเปิดฉากการต่อสู้ ซิ่นเฉิงส่งหมัดใส่อีกฝ่ายทันที

กำปั้นหลุนๆ ที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าทำให้เทียนอี้ผงะถอย เมื่อปัดมันออก ซิ่นเฉิงก็จัดการปล่อยหมัดอีกข้างใส่ กลายเป็นว่าแม่ทัพเทพอสูรต้องปะมือกับมนุษย์หนุ่มอย่างจำยอม

ถึงจะรู้ว่าสู้ไม่ได้ในเรื่องของพละกำลัง กระนั้นซิ่นเฉิงก็ยังจะดื้อด้านสู้ ครั้นเห็นเทียนอี้หลบหลีกทุกกระบวนยุทธที่เขาสำแดงออกมาได้ชะงัด สีหน้าของซิ่นเฉิงก็กราดเกรี้ยว ขัดใจไม่น้อยที่ไม่อาจจะต่อกรได้ ก่อนจะเปลี่ยนจากการใช้หมัดมาใช้กรงเล็บ วิชามารที่เขาเรียนรู้จากผู้เฒ่าคนหนึ่งในเผ่าซึ่งอดีตเคยเป็นนักรบ

ฝ่ามือพุ่งไปคว้าคอเสื้อของเทียนอี้ ก่อนกระชากเต็มแรง ส่งผลให้อาภรณ์ขาดวิ่นเป็นชิ้น เทียนอี้ชำเลืองมอง เห็นตนเสียท่าก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่ควรจะหยอกล้อกับคนตรงหน้าอีกแล้ว จริงอย่างที่พ่อบ้านเหลียงพูด ใจดีด้วยมากไป อีกฝ่ายจะกำเริบเสิบสาน

ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะยั้งมืออีกต่อไป ทันทีที่เห็นซิ่นเฉิงพุ่งเข้ามาหาพร้อมกับวิชากรงเล็บมาร เขาก็คว้าเอาข้อมือข้างนั้นไว้ บิดไพล่หลังเสียจนอีกฝ่ายร้องโอดโอยออกมาเมื่อความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย อีกทั้งยังเตะตัดขาให้อีกฝ่ายทรุดลงไปกองกับพื้น ก่อนจะว่าเสียงเข้ม

“ถึงเวลาที่เจ้าต้องหยุดพยศเสียที”
ซิ่นเฉิงซึ่งเจ็บปวดจนใบหน้าเหยเกเหลือบมองอมนุษย์ตนนั้น ก่อนจะแค่นเสียง
“ข้า...จะไม่ยอมก้มหัวให้เจ้า ไม่มีวัน!”

ดื้อดึงเสียจนน่าจับโบยนัก!

“แต่มันถึงเวลาแล้ว” ถึงจะคิดเช่นนั้น เทียนอี้ก็ไม่อยากจะถือสาหาความใด ได้แต่บอกเสียงเรียบ พลันปล่อยมือออกจากร่างกำยำนั้น

ทว่า... การปล่อยให้ซิ่นเฉิงเป็นอิสระ แทนที่เขาจะเข็ดหลาบเพราะความเจ็บปวดที่เทียนอี้มอบให้ เขากลับไม่ยอมอ่อนลงง่ายๆ สบโอกาสก็พุ่งเข้ามาหา หมายจะทำร้ายคนตรงหน้าอีก

เทียนอี้หันกลับมาในชั่วพริบตา ยื่นมือออกไปตรงหน้า คว้าเอาลำคอแกร่งของซิ่นเฉิงไว้ พลันออกแรงบีบเสียจนคนที่คิดร้ายต่อเขาหายใจไม่ออก

ซิ่นเฉิงดิ้นพล่าน มือทั้งสองพยายามรั้งเอามือของเทียนอี้ออก ทว่าก็ไร้ประโยชน์เมื่อมันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าคล้ำแดดเริ่มซีดขาวด้วยขาดอากาศหายใจ จึงสะบัดขาเตะเข้าที่ช่องท้องของเทียนอี้เต็มแรง

ถึงจะความอดทนเป็นเลิศ แต่ถูกเตะเข้าไปอย่างนั้นก็ทำเอาจุกเหมือนกัน เทียนอี้คลายฝ่ามือออกเล็กน้อย ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะวาดกรงเล็บมารเข้าที่ใบหน้า หากแต่เทียนอี้หลบได้จึงพลาดไปโดนยังลำคอ

ขนสีเงินยวงกระจุกหนึ่งหลุดติดมือชายหนุ่มมา เทียนอี้เหลือบมองแล้วก็คำราม
“เจ้า...!”
ชักจะโกรธขึ้นมาเสียแล้ว อุตส่าห์ให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงดูเป็นอย่างดี แต่เจ้าแมวป่าตัวนี้ก็หาได้เชื่องขึ้นเลยแม้แต่น้อย ยังจะตอบแทนบุญคุณเขาด้วยการข่วนจนขนของเขาหลุดอีก

ช่างน่าทำโทษนัก!

ส่วนซิ่นเฉิง เห็นขนบริเวณลำคอของเทียนอี้หายไปกระจุกหนึ่งก็ยิ้มเยาะออกมาด้วยกำแหง
“ทำไมรึเจ้าหมาน้อย”

เทียนอี้หมดความอดทนแทบจะในทันที ส่งเสียงคำรามแล้วพุ่งเข้ามาหาอีกฝ่าย ซิ่นเฉิงหมายจะหลบ แต่คราวนี้เทียนอี้เอาจริง หลบไปก็เท่านั้นเพราะเขาถูกคว้าลำคอเสียเต็มแรง ก่อนจะถูกเหวี่ยงไปยังเตียง ตามมาด้วยร่างใหญ่ที่ทาบทับลงมา

เสียงลมหายใจกระหืดหอบดังออกมาจากอมนุษย์ออกมาคล้ายกับว่าสะกดโทสะที่พวยพุ่ง ซิ่นเฉิงพยายามขยับ ด้วยหายใจไม่ออกแต่ไม่เป็นผล ครั้นเมื่อสบดวงตาสีทองอำพัน เขาก็หยุดเคลื่อนไหวไปในทันที

สีหน้าของเทียนอี้ในตอนนี้หาใช่นิ่งเรียบอย่างที่เคยเห็นอีกต่อไป ทว่าดูกราดเกรี้ยว แยกเขี้ยวใส่ราวกับจะบอกว่าหากเขาไม่หยุดดื้อดึง คมเขี้ยวสีขาวมุกคู่นี้แหละจะฝังลงมาบนลำคอของเขาแล้วฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ จนจำซากเดิมไม่ได้

“อย่าดื้อรั้นกับข้า”

พอจะหายใจได้เกือบเป็นปกติแล้ว เทียนอี้ก็ว่าขึ้นเมื่อเห็นว่าสายตาที่ซิ่นเฉิงมองมาแฝงไปด้วยความหวาดกลัว

ใช่...หวาดกลัว ถึงจะกล้าเพียงใด แต่ทุกครั้งที่ถูกเทียนอี้จับจ้อง ลึกๆ ในใจเขาก็ประหวั่นพรั่นพรึงอมนุษย์ตนนี้อยู่ดี

ครั้นเห็นว่าการสั่งสอนสมควรพอแค่นี้ เทียนอี้ก็คลายฝ่ามือแล้วผละขึ้นนั่ง ซิ่นเฉิงไอโขลกหน้าดำหน้าแดงกระทั่งน้ำตาไหล เจ็บใจไม่น้อยทีเดียวที่สู้เทียนอี้ไม่ได้ ไม่เพียงแค่พละกำลังมากกว่าเขามหาศาล ยังจะมีวรยุทธที่เหนือชั้นกว่าอีกโข แม้จะมีร่างกายใหญ่โต แลดูคล้ายกับว่าจะเคลื่อนไหวได้เชื่องช้า ทว่าผิดถนัดด้วยเทียนอี้นั้นเคยเป็นเทพ ถึงจะสูญสิ้นซึ่งพลังตบะที่สั่งสม แต่ก็ไม่แปลกที่เขาจะยังมีวรยุทธสูงส่งติดตัวอยู่ เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เขาฝึกฝนจนแก่กล้าเสียก่อนที่จะกลายเป็นเทพเสียอีก อีกทั้งยังหวาดกลัวเทียนอี้จนร่างกายแข็งทื่ออีก เป็นความจริงที่ไม่อยากยอมรับแต่ก็จำยอมด้วยไม่อาจเลี่ยงได้

ช่างน่าเจ็บใจจริงๆ!

เทียนอี้จ้องมองมนุษย์หนุ่มด้วยสายตายากจะอ่าน ไม่รู้ว่าเขากำลังระอาใจอย่างที่พ่อบ้านเหลียงระอา หรือครุ่นคิดหาวิธีกำราบพยศอยู่กันแน่ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มหยุดไอแล้ว เขาก็เปรยออกมา

“หากเจ้ามีเรี่ยวแรงมากมายถึงเพียงนั้น รุ่งขึ้นให้มาพบข้าที่ลานกว้างของจวน ไม่ต้องไปกับพ่อบ้านเหลียง”

ซิ่นเฉิงไม่รู้ว่าเทียนอี้ให้เขาไปพบทำไม แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนักด้วยเจ็บแค้นเสียจนตามืดบอดเสียมากกว่า
“ข้าจะไม่ทำตามคำสั่งของเจ้า! โอ๊ย!” ถึงจะกลัว แต่ก็ไม่วายยอกย้อน พลางดันตัวขึ้นหมายจะลุก ทว่าเมื่อใช้ข้อมือที่ถูกบิดเมื่อดันตัวขึ้น ความปวดแปลบก็พร่างพรายจนต้องนั่งลงไปอย่างเดิม

เทียนอี้เห็นว่าข้อมืออีกฝ่ายแดงเถือกก็คว้าแขนข้างนั้นของซิ่นเฉิงไปพินิจ
“แค่กล้ามเนื้ออักเสบเล็กน้อย ใช้สมุนไพรประคบเพียงครู่ก็หาย ไปที่ห้องโอสถกับข้า ข้าจะประคบให้ ป่านนี้พ่อบ้านเหลียงคงเข้านอนแล้ว”

เห็นท่าทางนั้น ซิ่นเฉิงก็กระชากแขนกลับ
“ข้าไม่ต้องการความเมตตาจากสุนัขป่าอย่างเจ้า!”
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าดื้อดึงกับข้า” เทียนอี้ถามเสียงต่ำ
ซิ่นเฉิงชักสีหน้า “หากข้าจะต้องตาย ข้าจะยอมตายถ้าต้องวิงวอนขอชีวิตจากเจ้า”

คล้ายจะได้ยินเสียงถอนหายใจดังออกมาจากเทียนอี้

เอาเถิด ไม่อยากจะประคบสมุนไพรก็ช่าง ถ้าเช่นนั้นก็...

“กลับเรือนนอนไป รุ่งเช้า ข้าจะให้คนไปตาม”

...ไล่เลยแล้วกัน อยู่ด้วยนานๆ แล้วชักจะปวดกะโหลกอย่างที่พ่อบ้านเหลียงเป็นแล้ว

ไม่ต้องให้ไล่ซ้ำ ซิ่นเฉิงก็ไม่อยู่ต่อ ต่อให้ไม่ไล่ก็ไม่มีวันอยู่ เขารีบผุดลุกขึ้น ส่งสายตาเจ็บแค้นมาให้เทียนอี้ ก่อนจะพรวดพราดกลับออกไปในพริบตา

เสียงร้องโหวกเหวกด้วยความโมโหพร้อมกับเสียงกิ่งไม้ของต้นไม้บางต้นถูกทำลายลอยตามมาให้ได้ยิน ไม่ต้องถามก็รู้เลยว่าป่านนี้ซิ่นเฉิงคงจะระบายอารมณ์กับต้นไม้ในสวนเขาอยู่

นี่คงหมายจะให้สวนของเขาพินาศให้จงได้สินะ?

กระนั้นเทียนอี้ก็ไม่ถือสาใดๆ ทำเพียงยกมือขึ้นแตะลำคอบริเวณที่ขนหายไป พลางพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง

เจ้าแมวตัวร้าย...

[1] ยามจื่อ เท่ากับเวลา 23.00 น. - 00.59 น.



**************

แม่ทัพเทียนอี้มีมติแล้วค่ะว่าอาเฉิงเป็นเจ้าแมว

ตอนนี้เป็นแมวป่าสุดจะไม่เชื่องอยู่ เคืองที่กระชากเอาขนหลุดไปเป็นกระจุก

แต่อีกไม่นานคงได้กลายเป็นแมวน้อย

ถึงตอนนั้นคงถูกท่านแม่ทัพน้วยทั้งวัน 555



ป.ล.ใครเล่นทวิตเตอร์ ติดแท็ก #เสี้ยวอสูร นะคะ

เดี๋ยวนายไปสร้างเพจในเฟซบุ๊กกับสมัครทวิตก่อน

จะได้เอามาเม้าท์กันนะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-08-2017 23:10:07
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 27-08-2017 23:15:19
ตาย ๆ  ปล้ำกันดุเดือดรุนแรงจนเตียงแทบพัง  แต่เทียนอี้นี่ใจอ่อนเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ice.sp0211 ที่ 28-08-2017 01:07:00
ปราบพยศกันได้ดุเดือดจริงๆ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 28-08-2017 01:44:13
แมวพยศน่าดูเลย สงสัยจริงว่าจะปราบพยศยังไง
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 28-08-2017 07:39:09
นี่เทพอสูรฆ่าแม่นายเอกหรือเปล่าดูโกรธ เกลียด จนหน้ามืดมาก
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 28-08-2017 08:26:00
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 28-08-2017 09:52:33
รอตอนต่อไปจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: backforred ที่ 28-08-2017 20:15:09
 :hao5: ค้างอ่า มาต่อไวๆนะ
 :katai1: :hao5: :katai1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 28-08-2017 21:00:26
จะหาวิธีไหนมาปราบน่ะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 29-08-2017 03:14:27
บทที่ 4: สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน[1]

คำสั่งของเทียนอี้มีผลในอรุณรุ่ง ซิ่นเฉิงที่ถูกคนรับใช้คนหนึ่งมาปลุกให้ลุกจากฟูกนอนแต่เช้าออกอาการหัวเสียอย่างรุนแรง เขาอยากจะอาละวาดให้โรงนอนพังนัก คิดว่าเขาเพิ่งได้นอนเมื่อไรกัน ถึงได้กล้ามาปลุกทั้งที่เขายังหลับอุตุอย่างนี้!?

ทว่านั่นก็เป็นความผิดของเขาเอง เทียนอี้ได้บอกแล้วว่ารุ่งเช้าวันใหม่จะให้คนมาตามตัวไปพบที่ลานกว้างของจวน หากแต่ซิ่นเฉิงก็มัวแต่อารมณ์เสียด้วยเหตุที่สู้เทียนอี้ไม่ได้จนต้องระบายอารมณ์ลงกับสวนในจวนของเทียนอี้จวบจนรุ่งสาง กลับเข้ามานอนเมื่อร่างกายรู้สึกเหนื่อยอ่อน หลับไปเพียงครู่ก็ต้องตื่นด้วยถึงกำหนดการที่อีกฝ่ายได้บอกเอาไว้

กระนั้นซิ่นเฉิงก็หาได้รู้สึกว่านั่นเป็นความผิดของตน นอกเสียจากรำคาญใจที่ชีวิตของเขาถูกกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นมา

ถ้าหากว่าไม่เป็นเพราะต้องแลกชีวิตของเขากับพี่น้องในเผ่า เขาก็ไม่มีวันที่ตกเป็นทาสของเทพอสูรอย่างแน่นอน!

เจ้าสุนัขป่านั่น... ชักจะได้ใจมากไปเสียแล้ว!

ประโยคนี้ควรเป็นเทียนอี้มากกว่า การรับซิ่นเฉิงมาอยู่ในจวนก็เท่ากับว่าหาเสี้ยนหนามมาตำนิ้วตนเอง มาอยู่ได้ไม่กี่ราตรีก็สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทั้งจวน ไม่เพียงแต่พ่อบ้านเหลียงเท่านั้นที่ไปฟ้องเขาเรื่องความเกเรของคนทะเลทรายผู้นี้ ยังจะมีเหล่าทหารและคนรับใช้ซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกันอีกด้วย นั่นเป็นเพราะซิ่นเฉิงไม่สนใจฟังผู้ใดทั้งนั้น

ไม่ใช่เพราะว่าต่อต้านเทพอสูรหรอก แต่เป็นไปเพราะอุปนิสัยดื้อด้านที่ติดตัวของชายหนุ่มผู้นั้นเสียมากกว่า

สำหรับซิ่นเฉิงแล้ว ถึงจะรำคาญใจเพียงใดก็จำต้องมาที่ลานกว้างอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะคราแรกที่ให้คนรับใช้ด้วยกันไปตาม เขาแผดเสียงใส่ ทำท่าคล้ายจะทำร้ายจนอีกฝ่ายหนีเตลิดเปิดเปิงเพื่อนอนต่อ ไม่นานนัก พ่อบ้านเหลียงก็จัดการพาทหารเทพอสูรมาลากตัวออกจากโรงนอนไปยังลานกว้างอย่างไม่สนใจเสียงโวยวายทัดทานใดๆ

หากท่านแม่ทัพเทียนอี้ไม่ใช้ไม้แข็ง พ่อบ้านเหลียงผู้นี้นี่แหละจะเป็นผู้ลงมือเอง!

สุดท้ายแล้ว ซิ่นเฉิงก็มายืนอยู่กลางลานกว้างของจวนจนได้ บริเวณกลางจวนนั้นมีโต๊ะและเก้าอี้ พร้อมเครื่องถ้วยชาตั้งอยู่ ใกล้กันนั้นปรากฏร่างอมนุษย์ของเทียนอี้ เขารินชาลงถ้วยใบเล็กก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่รออยู่มาหยุดยืนตรงหน้า

“มาแล้วหรือ?”
“เห็นข้าอยู่ตรงหน้า เหตุใดจึงต้องถาม” ซิ่นเฉิงสวนกลับทันควัน

พ่อบ้านเหลียงส่งสายตาดุดันให้ แต่ก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงระงับอารมณ์หงุดหงิดได้
“มองหน้าข้าเช่นนี้ จะฉีกเนื้อข้าเป็นชิ้นๆ หรืออย่างไรเจ้าจระเข้เฒ่า”
“หากทำได้ ข้าคงไม่รีรอ” พ่อบ้านเหลียงอดไม่ได้ที่จะสวนกลับ

เทียนอี้ย่นหน้าผากเล็กน้อยที่เห็นคนสนิทซึ่งปกติจะเป็นคนสุขุม ต่อล้อต่อเถียงกับมนุษย์หนุ่มผู้ซึ่งดูจะอารมณ์ฉุนเฉียวตลอดเวลา ครั้นพ่อบ้านเหลียงเหลือบเห็นสายตาเชิงตำหนิ เขาก็ปิดปากเงียบ ไม่เอ่ยใดๆ ปล่อยให้ซิ่นเฉิงเดินไปมาด้วยท่าทางโอหัง

“เรียกข้ามา หรือจะให้ข้ามาประลองกับเจ้า?”

ที่พูดเช่นนั้นเป็นเพราะซิ่นเฉิงเห็นว่าลานกว้างหน้าจวนนั้นหาใช่ลานกว้างธรรมดาอย่างเช่นจวนอื่นๆ แต่อย่างใด ทว่าเป็นลานสำหรับการประลองยุทธ รอบข้างมีอาวุธมากมายแขวนเรียงรายอยู่ อีกทั้งยังมีทหารเทพอสูรซึ่งดูแล้วน่าจะตำแหน่งสูงกว่าเหล่าทหารเวรยามอีกหลายนายยืนอยู่ไม่ห่าง

เทียนอี้พยักหน้ารับ ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ข้าเป็นว่าเจ้ามีเรี่ยวแรงมากมาย อีกทั้งยังมีวรยุทธ หากใช้ให้เจ้าทำงานเช่นคนรับใช้อื่นๆ ในจวน เจ้าคงจะทำลายจวนข้าอีกเป็นแน่ ข้าจึงให้เจ้ามาใช้กำลังที่นี่แทน”

เป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งที่ซิ่นเฉิงคิดไม่ได้ผิดคาดไป โดยปกติแล้ว ลานประลองแห่งนี้จะถูกใช้งานในทุกเช้าเพื่อให้เหล่าทหารได้ฝึกปรือฝีมือวรยุทธที่มีติดตัว ในวันหนึ่งๆ จะมีการจัดชุดทหารให้มาผลัดเปลี่ยนมาประลองกันเป็นเวลาสองชั่วยาม จากนั้นถึงจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ เมื่อถึงวันใหม่ ทหารชุดใหม่ก็จะเข้ามาฝึกปรือ ขณะที่เทียนอี้มีหน้าที่สังเกตการณ์และคอยชี้หาจุดบกพร่องให้ทหารแต่ละนาย เหตุที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะตั้งแต่ที่ถูกขับไล่ลงมาอยู่ยังโลกมนุษย์จนกลายเป็นเทพอสูร วรยุทธใดๆ ที่ติดตัวไว้เมื่อครั้งเป็นเทพก็เริ่มเสื่อมถอยด้วยไม่ได้ใช้งานเหมือนครั้งที่ยังอยู่ในกองทัพสวรรค์ การให้ทหารได้มาประลองกันในทุกเช้าก็เพื่อให้ไม่หลงลืมว่าเคยเป็นเทพที่โลดแล่นในสนามรบมาก่อน ไม่เช่นนั้น หากวรยุทธเสื่อมถอยก็จะกลายเป็นเพียงเทพอสูรที่กลายเป็นแค่พ่อค้าร้านตลาดอย่างเทพอสูรบางตนที่เห็นได้โดยทั่วไป ถึงแม้วรยุทธจะไม่ได้สูญหาย แต่ก็ไม่สามารถออกรบได้อย่างเต็มกำลังเฉกเช่นหลายร้อยปีก่อนแล้ว

ทว่าซิ่นเฉิงก็หาได้คิดสนใจใคร่ถาม ได้ยินเทียนอี้ตอบอย่างนั้นก็แสยะยิ้มพราย
“กลัวข้าทำลายจวนของเจ้า หรือกลัวข้าจะถอนขนของเจ้าจนหมดตัวกันแน่?”
ว่าพลางเหลือบมองไปยังลำคอของเทียนอี้ซึ่งขนหายไปกระจุกหนึ่ง พ่อบ้านเหลียงที่ทักผู้เป็นนายแต่เช้าเพราะสังเกตเห็นความผิดปกติตระหนักได้ตอนนี้เองว่าขนของเทียนอี้หายไปเพราะฝีมือของผู้ใด

เทียนอี้ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงนักหรอก ใช่ว่าเขาเกรงว่าจะถูกมนุษย์ผู้นี้ถอนขนด้วย เขาแค่ไม่อยากให้ซิ่นเฉิงก่อเรื่องวุ่นวายให้คนอื่นๆ ในจวนมากกว่า

“หากเจ้ามัวแต่จะพูดพร่ำ ก็จงเลือกอาวุธแล้วมาประลองกับทหารของข้าให้ข้าได้ชมเสียดีกว่า”

สิ้นเสียงของแม่ทัพเทพอสูร ทหารนายหนึ่งก็เดินไปหยิบอาวุธที่ราวมากระชับถือในมือ ซิ่นเฉิงมองปราดไปเห็นอีกฝ่ายซึ่งมีศรีษะเป็นเสือโคร่ง ก็เข้าใจได้ทันทีว่านั่นแหละคือคู่ประลองของเขาที่จะต้องปะมือด้วย เท่านั้นก็ปรายตาเลือกหาอาวุธของตนเองบ้าง หากแต่อาวุธใดๆ ก็ดูแล้วจะไม่ถนัดมือเขาทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าเขาจะใช้ดาบ กระบี่ ทวนหรือหอกไม่เป็น แต่มือเขาคุ้นเคยกับอาวุธชนิดหนึ่งมากกว่า

เทียนอี้เห็นมนุษย์หนุ่มใช้เวลาในงานเลือกค่อนข้างนานก็พอจะรับรู้ได้ ยกมือขึ้นไหวๆ เล็กน้อย ทหารนายหนึ่งก็นำห่อผ้ามาวางไว้บนโต๊ะให้ ครั้นคลี่ออกมาก็ปรากฏดาบวงพระจันทร์อยู่คู่หนึ่ง มันไม่ใช่ดาบประจำกายของซิ่นเฉิงที่ถูกริบไปเมื่อครั้งที่บุกจวนเข้ามา แต่ก็ถือได้ว่าเป็นอาวุธที่เขาถนัดที่สุดแล้ว

“รับไปสิ เจ้าคงจะถนัดมือกับอาวุธนี้”

ได้ยินเทียนอี้พูด ซิ่นเฉิงก็ไม่อยากจะตอบรับหรอก แต่เขาไม่อยากจะเสียหน้าเพราะต้องแพ้เทพอสูรในการประลองมากกว่า ไม่ว่าเทพอสูรหน้าไหน เขาก็ไม่ต้องการพ่ายแพ้ทั้งนั้น พลันเดินเข้าไปคว้าดาบขึ้นมาไว้ในมือเล่มละข้างโดยไม่ได้รอให้เทียนอี้อนุญาตก่อน หรือขอบคุณแต่อย่างใด คว้าเสร็จก็เดินกลับไปยังจุดที่เดินมา ท่าทางกระด้างกระเดื่องนั้นสร้างความเวียนศีรษะให้กับพ่อบ้านเหลียงเสียเหลือเกิน

วิธีนี้จะปราบพยศได้จริงๆ น่ะหรือ?

“กฎของการประลองมีอยู่เพียงสามข้อ ข้อแรก...ห้ามให้ถึงตาย ข้อสอง...เมื่ออีกฝ่ายยอมแพ้ ต้องหยุดมือ และข้อสาม...ห้ามขุ่นเคืองกันไม่ว่าผลการประลองจะออกมาเป็นอย่างไร หากข้าได้ยินว่าผู้ใดหมางใจกันจนก่อเรื่องนอกลานประลอง ข้าจะลงโทษขั้นเด็ดขาด” เทียนอี้ว่า จากนั้นก็ทอดสายตามองมายังซิ่นเฉิงที่ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไร “เข้าใจใช่ไหม เจ้าแมวป่า”
“เข้าใจแล้ว เจ้าหมา” อีกฝ่ายตอบรับยอกย้อน น้ำเสียงฟังดูยียวนมากทีเดียว

พ่อบ้านเหลียงที่เห็นเหตุการณ์ ยิ่งมองก็ยิ่งขุ่นใจ เขาจะกัดลิ้นตายเพราะเห็นผู้เป็นนายเมตตาคนไม่รู้จักกาลเทศะให้ได้แล้ว!

อ้อ...ลืมไป เขาคงกัดลิ้นตายไม่ได้... จระเข้ไม่มีลิ้น

ถ้าอย่างนั้น เขาคงต้องปวดหัวกับความใจดีของเทียนอี้และความเกเรของซิ่นเฉิงไปอีกพักใหญ่เลยกระมัง...

เสียงสัญญาณดังขึ้นเป็นการบอกให้เริ่มการประลองได้ ซิ่นเฉิงแกว่งมีดในมือไปมาอย่างคล่องแคล่ว ย่อตัวลง ค่อยๆ ก้าวอย่างเชื่องช้า ท่าทางคล้ายกับแมวป่าเตรียมสู้ไม่มีผิด ในขณะที่เทพอสูรเสือโคร่งเองก็ตั้งท่ารับ สายตาจับจ้องไปยังมนุษย์หนุ่มเขม็ง
อาวุธของเทพอสูรตรงหน้าคือกระบี่ แสดงว่าเขาก็ต้องคล่องแคล่วไม่แพ้กันถึงได้ใช้อาวุธชนิดนี้ได้ อีกทั้งยังเป็นเสือโคร่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะว่องไวเพียงใด แต่นั่นก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงหวั่นใจเท่ากับการตระหนักได้ถึงพละกำลังมหาศาลของเทพอสูรที่เขารู้ตัวดีว่าไม่อาจต่อกรได้หากใช้เวลานาน เขาจะต้องจบการประลองด้วยเวลาที่สั้นที่สุด ดังนั้นการโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่ายคือสิ่งที่ควรกระทำ

ซิ่นเฉิงตัดสินใจได้ก็หลอกล่อให้คู่ประลองพุ่งเข้าหาก่อน ในขณะที่ตนเองเป็นฝ่ายตั้งรับ นั่นก็เพื่อตรวจสอบดูว่าวรยุทธของเทพอสูรผู้นี้เป็นเช่นไร ครั้นมั่นใจแล้วว่าถึงจะว่องไวคล่องแคล่วเพียงใด แต่ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่พอๆ กับเทียนอี้ ก็ยังทำให้

เคลื่อนไหวได้ไม่ดีเท่าไรนัก จุดนี้เองที่ซิ่งเฉิงได้เปรียบ เริ่มปะมือกลับไปบ้าง

สองมือเหวี่ยงสะบัดดาบวงพระจันทร์ไปตรงหน้า ข้างหนึ่งตั้งรับคมกระบี่ อีกข้างกระหวัดฟาดฟันอีกฝ่าย ก่อนที่จะสบโอกาสเมื่อเทพอสูรเสือโคร่งพุ่งทะยานมาข้างหน้า หมายจะซัดเพลงกระบี่ใส่เขา เท่านั้นซิ่นเฉิงก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยขึ้นในอากาศ เท้าเหยียบเอาหัวไหล่แกร่งของอีกฝ่ายและพลิกตัวมานั่งคร่อมบนลำคอของคู่ประลองไว้ พลันดึงดาบในมือมาประสานไขว้บริเวณคอหอย คมดาบเย็นเยียบทำเอาเทพอสูรหยุดชะงัก ขณะที่ซิ่นเฉิงว่าอย่างกระหยิ่มใจ

“เจ้าแพ้แล้ว”

อีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจำนน หากแต่การประลองยังไม่จบเท่านั้น หลังจากเทพอสูรที่มีเรือนกายครึ่งหนึ่งเป็นเสือโคร่งเดินออกจากลานประลองไป เทพอสูรตนใหม่ก็เข้ามาแทนที่ ดูท่าทางแล้ว เทียนอี้จะให้เขาได้ประลองเสียจนกว่าจะพ่ายแพ้และหมดแรงไปข้าง ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น เพราะการประลองในวันนี้เกินกว่าสองชั่วยามตามที่กำหนด ด้วยซิ่นเฉิงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อีกทั้งยังจับจุดอ่อนของเทพอสูรแต่ละตนและจัดการให้เสร็จสิ้นในเวลาชั่วพริบตา

เทียนอี้ชื่นชมเขาในไหวพริบนี้ ไม่แปลกใจนักว่าเหตุใดมนุษย์ที่มีอุปนิสัยอย่างซิ่นเฉิงถึงได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่น่าจะถูกสังหารตายไปตั้งนานแล้วเพราะความโอหัง นั่นเป็นเพราะเขาเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง

ก็สมแล้วกับที่เป็นคนทะเลทราย

แม่ทัพเทพอสูรรำพึงในใจขณะที่สายตาจับจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มซึ่งบัดนี้หายใจกระหืดหอบหลังจากที่ต่อกรกับทหารเทพอสูรตนหนึ่งที่มีศีรษะเป็นหมี

ไม่เพียงแต่ศีรษะ รูปร่างเองก็ใหญ่โตดุจหมีเช่นเดียวกัน เทพอสูรตนนี้ค่อนข้างรับมือยากด้วยซิ่นเฉิงเริ่มอ่อนแรงแล้ว อีกทั้งอีกฝ่ายก็ใช้อาวุธหนักอย่างกระบองหนามเหล็ก หากแต่เพราะการเคลื่อนไหวค่อนข้างเชื่องช้า ในที่สุด ซิ่นเฉิงก็หาโอกาสปีนขึ้นไปนั่งคร่อมบนลำคอของอีกฝ่ายได้

ทุกครั้งที่เขาชนะ มักจะจบลงด้วยการปีนขึ้นไปนั่งขี่คอของคู่ต่อสู้อยู่ร่ำไป จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะจับเทพอสูรตัวเท่าภูเขาทุ่มลงพื้นได้นี่... ต้องใช้วิธีนั้นถึงจะถูกต้องแล้ว

เมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงจัดการคู่ต่อสู้รายล่าสุดได้ เทียนอี้ก็ไหวมือเป็นสัญญาณให้ทหารนายใหม่เข้าไป ซิ่นเฉิงเหลือบเห็นก็โพล่งขัด
“มัวแต่ให้สมุนของเจ้ามาประลองกับข้า แล้วเจ้าล่ะ ไยถึงไม่มาประลองกับข้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด หรือจะกลัวข้าถอนขนกัน ถึงได้ให้ผู้อื่นรับหน้าแทนเช่นนี้” ว่าพลางหายใจกระหืดหอบ

ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่บัดนี้มีเหงื่อกาฬผุดพรายไปทั่วร่างทันที
“หึ กลัวจะกลายเป็นสุนัขป่าไร้ขนจริงๆ ล่ะสินะ”

เห็นเทียนอี้ไม่ตอบ ซิ่นเฉิงก็กลั้วหัวเราะ มือยกขึ้นเสยปอยผมตรงหน้าขึ้น เปิดให้เห็นหน้าผากกว้างและรูปหน้าเป็นสันคม เขาไม่รวบผม และไม่เคยรวบ ปล่อยให้เส้นผมที่ยาวถึงกลางหลังยุ่งเหยิงอย่างไม่ใส่ใจ จะว่าไปแล้วมันช่างดูขัดหูขัดตาพ่อบ้านเหลียงและเทพอสูรตนอื่นๆ เสียเหลือเกิน เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกว่ามนุษย์ผู้นี้ไร้ซึ่งอารยะ แต่สำหรับเทียนอี้แล้ว เขากลับมองว่านั่นเป็นความขบถที่ฝังแน่นอยู่ในสายเลือดของซิ่นเฉิง

“เจ้าจะมากเกินไปแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ชอบท่านแม่ทัพมากเพียงใด แต่เขาก็เป็นผู้ไว้ชีวิตพี่น้องของเจ้า!” พ่อบ้านเหลียงสุดจะทนกับท่าทางยโสของซิ่นเฉิง ครั้นคนถูกต่อว่าหันไปมองก็พูดขึ้นอีก “เจ้าคิดว่าตนเป็นใคร ถึงได้กล้าท้าทายท่านแม่ทัพเช่นนี้ มนุษย์เช่นเจ้าหาได้เกรงกลัวฟ้าดิน บุญคุณก็หาได้สำนึก คนอกตัญญูเช่นเจ้าช่างน่าตีให้ตายนัก”
“ก็ตีข้าสิ เจ้าจระเข้เฒ่า”

ไม่สำนึกจริงๆ เสียด้วย ยอกย้อนอย่างไม่ยี่หระ พ่อบ้านเหลียงเกือบจะพุ่งไปคว้ากระบองมาฟาดให้ตายดั่งคำท้าอยู่แล้ว เห็นเขาไม่ค่อยใช้กำลังแต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เป็นวรยุทธเสียหน่อย

ทว่า... ความคิดนั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อผู้เป็นนายยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม จากนั้นก็ผุดลุกจากเก้าอี้ ก้าวมาตรงหน้าเล็กน้อย
“ในเมื่อเจ้าอยากจะประลองกับข้า ข้าก็จะให้เจ้าได้สมประสงค์”

ไม่คิดไม่ฝันว่าเทียนอี้จะตามใจมนุษย์เกเรได้ถึงเพียงนี้ พ่อบ้านเหลียงอยากจะทัดทานนัก แต่พอเห็นแม่ทัพเทพอสูรตรงไปหยิบไม้กระบองมากระชับถือในมือ เขาก็ไม่พูดอะไรออกมาด้วยรู้ว่าการที่เทียนอี้เลือกอาวุธเช่นนี้ แสดงว่าเขาต้องการจะสั่งสอนซิ่นเฉิงด้วยตนเอง...ด้วยการโบยเยี่ยงเด็กเล็กๆ

“ถ้าข้าชนะเจ้า เจ้าต้องคลานสี่ขาให้ข้าดู เจ้าหมา!” ซิ่นเฉิงดูจะคึกคักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ร้องท้าทาย ควงดาบในมือไปมา
พ่อบ้านเหลียงได้แต่หัวเราะหึในใจ ...ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเองอีกว่าจะจบลงเช่นไร

กระนั้นก็ไม่ปริปากใดๆ ออกมา ยืนนิ่งรอดูเรื่องสนุกที่จะบังเกิดขึ้นในอีกชั่วพริบตาข้างหน้า

เทียนอี้ก้าวเข้ามากลางลานประลอง นัยน์ตาสีทองจับจ้องไปยังซิ่นเฉิงที่ตั้งท่าระวังภัย พอแสร้งวาดกระบองไม้ในมือเข้าหา ซิ่นเฉิงก็กระโดดหนีทันควัน ก่อนจะโต้กลับด้วยวิชายุทธที่ไม่ต่างจากการต่อสู้ในครั้งก่อนๆ สักเท่าไร

เทียนอี้มองออกทันทีว่าซิ่นเฉิงหมายจะทำการใด... คงจะหาช่องโหว่แล้วกระโดดขึ้นมาขี่คอเขาอย่างแน่นอน เขาชำนาญการศึก เชี่ยวชาญสนามรบมาตั้งหลายร้อยปี ต่อให้กลายเป็นเทพอสูร หลงลืมวรยุทธไปบางส่วน สูญสิ้นซึ่งตบะ แต่ก็หาใช่ว่าเขาจะอ่านท่าทางของซิ่นเฉิงไม่ออก

แม่ทัพเทพอสูรไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น เขาทำเพียงหลอกล่อให้ซิ่นเฉิงตายใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายคิดว่าตนสบโอกาส กระโดดเข้ามาใกล้หมายจะขึ้นขี่คอ เมื่อนั้นเอง เทียนอี้ก็สะบัดกระบองไม้ในมือฟาดเข้าไปที่สีข้างของอีกฝ่ายไม่แรงนัก

เป็นการตีที่ไม่แรง ทว่า...สำหรับพละกำลังของเทพอสูรแล้วก็ทำให้ซิ่นเฉิงกระเด็นกระแทกพื้น ใบหน้าเหยเกเพราะความจุกเสียดที่แล่นพล่านเข้าทั่วทั้งสรรพางก์กายได้เลยทีเดียว

“เจ้า!” ซิ่นเฉิงกัดฟันกรอด ส่งสายตากรุ่นโกรธไปยังเทียนอี้ที่มองเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นพรวดพราด กระโดดเข้าใส่ด้วยโทสะ

เทียนอี้เบี่ยงตัวหลบ เมื่อพ้นทางก็เหวี่ยงกระบองฟาดเข้าไปที่ขาพับจนซิ่นเฉิงล้มลงไป ดาบวงพระจันทร์หลุดจากมือ ซิ่นเฉิงรีบตะกายไปข้างหน้า หมายจะคว้าดาบกลับคืนมา แต่ก็ถูกเทียนอี้ใช้กระบองปัดออกห่างเสียก่อน พอจะพลิกตัวไปต่อกร ก็ดันถูกตีเข้ามาที่แผ่นหลังทำให้ลุกไม่ขึ้น

“เจ้าแพ้แล้ว”
เทียนอี้ว่าเสียงเรียบหลังจากที่เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดของซิ่นเฉิงเงียบลง เป็นเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาจริงๆ ที่เขาปราบพยศ พร้อมกับสั่งสอนให้ซิ่นเฉิงได้รับรู้ว่ายังมีผู้ที่เหนือกว่า อีกนัยหนึ่งก็เป็นการทำให้ตระหนักด้วยว่าไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็ไม่อาจเทียบเคียงกับเทพ ไม่ว่าเทพผู้นั้นจะกลายเป็นเทพอสูรแล้วก็ตาม

“เนื้อตัวเจ้าอาจจะช้ำ ให้พ่อบ้านเหลียงประคบร้อนให้แล้วกัน”
เทียนอี้ว่าส่งท้าย ขณะที่ซิ่นเฉิงกัดฟันกรอดด้วยเจ็บแค้นใจ เมื่อคืนนี้ เขาก็เสียทีให้กับเทียนอี้ การกระชากขนหลุดมาเป็นกระจุกนั้นสร้างความสะใจให้มากพอตัวก็จริง แต่การต้องมาพ่ายแพ้หมดท่าเช่นนี้กลับทำให้เขาอับอายเสียจนลืมสิ้นไปหมดว่าความสะใจที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นเป็นอย่างไร

ดวงตาสีนิลมองจ้องเทียนอี้เขม็ง สายตาที่ส่งออกมาเจ็บแค้นเสียจนเทียนอี้สัมผัสได้ หากแต่เขาไม่ใคร่สนใจ หันหลังหมายจะเดินกลับเข้าเรือนใหญ่เพื่อไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ทว่าทันทีที่หัน ซิ่นเฉิงก็ข่มความเจ็บปวด ลุกขึ้นไปคว้าดาบมาไว้ในมือ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปทางด้านหลังของเทียนอี้อย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะได้ร้องบอกเทียนอี้เสียอีก

คราวนี้ไม่ใช่การจู่โจมเช่นการประลอง ซิ่นเฉิงหมายจะเอาชีวิตเลยทีเดียว แต่ความว่องไวของมนุษย์หรือจะสู้ความไวของประสาทสัมผัสเทพอสูรสุนัขป่าตนนี้ แค่ได้ยินเสียงขยับกาย เขาก็รับรู้แล้วว่าซิ่นเฉิงคิดการใด ก่อนจะหันกลับมาตวัดกระบองฟาดเข้าที่ข้อมือของซิ่นเฉิงที่เหวี่ยงดาบหมายจะทำร้ายเขาเต็มแรง

ที่ออกแรงเสียเต็มแรง... นั่นเป็นการสั่งสอนว่าแพ้ให้รู้จักแพ้ หากแต่ดูเขาคงจะออกแรงมากไปหน่อย เพราะทันทีที่ข้อมือของซิ่นเฉิงถูกตี ดาบในมือก็ร่วงหล่นและบาดเข้ากับท่อนแขน

โลหิตสีแดงสดไหลออกจากแขนแกร่ง ซิ่นเฉิงร้องออกมาด้วยตกใจระคนเจ็บปวด แต่ก็แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เสียงนั้นก็เงียบไป เหลือเพียงสายตาเจ็บแค้นและร่างกายที่สั่นเทิ้มขึ้นมาเพราะความกรุ่นโกรธเท่านั้น

ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี เขาก็ไม่สามารถเอาชนะเทพอสูรได้เลยหรืออย่างไร!?

แต่ผู้ใดกันเล่าจะล่วงรู้ความคิดของซิ่นเฉิงได้ ถึงจะรู้ก็หาได้มีผู้ใดใส่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทียนอี้ที่ในตอนนี้ สายตาของเขามีแต่ตกใจเท่านั้นที่เห็นอุบัติเหตุไม่คาดฝัน เขาไม่ได้ตั้งใจทำร้ายให้ซิ่นเฉิงถึงขั้นเลือดตกยางออก เมื่อเห็นว่ามนุษย์หนุ่มได้รับบาดเจ็บ ก็รีบออกปากสั่งพ่อบ้านเหลียง

“รีบพาเขาไปที่ห้องโอสถ”
พ่อบ้านเหลียงพยักหน้ารับ สั่งให้คนรับใช้ซึ่งเป็นมนุษย์ไปพยุงชายหนุ่มขึ้น ซิ่นเฉิงสะบัดกายหนี ส่งเสียงดัง
“อย่ามาแตะตัวข้า เจ้าพวกคนไร้ศักดิ์ศรี!”

ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เจ็บแค้นกว่าที่เคยเป็น อันที่จริงแล้ว มนุษย์ควรจะรังเกียจเดียดฉันท์เทพอสูรที่มาพรากครอบครัวและแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ไปไม่ใช่หรือ? แล้วนี่...มายอมเป็นทาส หมายความว่าศักดิ์ศรีของพวกมนุษย์มันไร้ค่าแล้วหรือไร!?

เป็นคำถามที่ผุดพรายขึ้นในใจของชายหนุ่ม เขาอยากจะถาม แต่พูดไม่ออกสักคำ ยิ่งเทียนอี้ซึ่งเห็นเหตุการณ์ว่าขึ้นมาด้วย
“เจ้าจะดื้อรั้นไปถึงเมื่อไรกัน ข้าสั่งให้ไปที่ห้องโอสถก็จงทำตามเสีย”

เขาก็ยิ่งพูดไม่ออก... ถ้าจะต้องทำตามคำสั่ง เขายอมตายเสียดีกว่า!

เห็นซิ่นเฉิงเอาแต่จ้องมอง ไม่ขยับกายเสียที เทียนอี้ก็จำต้องพูดออกมาอีก
“อยากจะให้เลือดออกจนหมดตัวตาย กลายเป็นผีเฝ้าจวนข้า ไม่กลับไปทะเลทรายอีกก็ตามแต่ใจเจ้า”

เมื่อนั้นแหละที่ซิ่นเฉิงยอมละทิ้งความเย่อหยิ่ง เดินตามไปอย่างว่าง่ายโดยที่พ่อบ้านเหลียงไม่ต้องให้ทหารเทพอสูรตนใดมาลากหรืออุ้มไปอย่างเช่นหลายชั่วยามก่อนหน้า เป็นที่น่าแปลกใจยิ่งนัก ขณะที่ซิ่นเฉิงคิดแต่เพียงว่าเขาจะต้องรักษาชีวิตนี้ไว้

...รักษาไว้จนกว่าจะได้กลับไปยังบ้านเกิดอันเป็นที่รัก

ผืนทรายร้อนระอุใต้แผ่นฟ้ากว้าง... บ้านของเขา เขาจะต้องกลับไปให้ได้



 
 
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย[27/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 29-08-2017 03:18:04
บทที่ 4: สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน[2]


การที่ซิ่นเฉิงยอมเดินตามมาถึงห้องโอสถอย่างเชื่อฟังก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่การที่เขาเอาแต่ยืนนิ่ง พ่อบ้านเหลียงที่หมายจะทำแผลให้พูดอะไรก็ไม่ตอบสนอง นั่นทำให้เทียนอี้รำคาญใจขึ้นมาเล็กๆ ก่อนจะต้องออกปากให้พวกคนรับใช้คนอื่นๆ ออกไปรอทางด้านนอก ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านเหลียงเอง เพราะคิดว่าที่ซิ่นเฉิงยืนนิ่ง ไม่ไหวติงเป็นการต่อต้านอย่างอหิงสาอยู่นั้น เป็นเพราะรอบข้างมีผู้คนมากมายนั่นเอง หากยอมทำตามคำสั่งของเทียนอี้ คงคิดว่าจะเสียหน้าถึงได้แสดงท่าทางนั้น เทียนอี้จึงต้องรับหน้าที่ในการทำแผลให้ชายหนุ่มอย่างไร้ทางเลือก

ครั้นภายในห้องโอสถเหลือเพียงเขากับซิ่นเฉิง เทียนอี้ซึ่งนั่งอยู่บนตั่งไม้ก็เอ่ยปาก
“ไม่มีผู้ใดแล้ว เจ้าเลิกดื้อดึงแล้วมานั่งตรงนี้ ข้าจะทำแผลให้”

ซิ่นเฉิงยังคงยืนนิ่ง แสร้งทำหูทวนลม เห็นดังนั้น เทียนอี้ก็ระบายลมหายใจ ว่าออกมาอีกครา
“มานั่ง” พูดช้าๆ ชัดๆ แต่หนักแน่น

ซิ่นเฉิงยอมทำตามในที่สุด เมื่อทรุดตัวนั่งแล้ว เทียนอี้ก็ถือวิสาสะคว้าแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บไปพลิกดู เสียงร้องโอดโอยดังลอดออกจากริมฝีปากหนาเล็กน้อย แม่ทัพเทพอสูรเหลือบมองเล็กน้อยเพื่อพินิจว่าเจ็บปวดมากหรือไม่ แต่พอเห็นว่าคนตรงหน้าทนได้ก็พลิกดูอีกครา

“บาดแผลไม่ลึกนัก ไม่กี่วันก็คงหาย”
พูดพลางหันไปคว้าผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นบิดหมาดมาเช็ดคราบเลือดที่เริ่มแห้งเกรอะกรังให้ ซิ่นเฉิงมองฝ่ามือใหญ่ที่ห่างไกลจากคำว่าฝ่ามือมนุษย์นิ่ง

ฝ่ามือ...ที่ดูไม่ต่างจากเท้าของสุนัขป่า มันมีลักษณะคล้ายกับฝ่ามือของมนุษย์ หากแต่มีขนปกคลุมไปทั่วและมีเล็บงอกยาว ชวนให้ดูน่ากลัวมากกว่าที่จะน่าสัมผัส กระนั้นมือของเทียนอี้กลับเช็ดคราบเลือดให้เขาอย่างทะนุถนอมและระมัดระวัง จนขนสีเงินยางเปรอะเปื้อนคราบเลือดจางๆ ไปด้วย ทว่าเทียนอี้ก็หาได้สนใจ นอกจากจะตั้งหน้าตั้งตาทำแผลไปโดยไม่ปริปากพูดออกมา

ซิ่นเฉิงนั่งนิ่ง ก่อนจะสูดปาดด้วยความเจ็บแสบเมื่อผงสมุนไพรที่ถูกบดจนละเอียดถูกโปะลงมาบนปากแผล

“เจ็บรึ?” เทียนอี้เหลือบมองหน้า

ซิ่นเฉิงเก็บสีหน้านั้นทันที เหลือเพียงแต่ใบหน้าที่นิ่วเสียจนคล้ายคนท้องผูก เทียนอี้จึงไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อ นอกจากพูดไปเรื่อยเปื่อย

“ฝีมือวรยุทธของเจ้าน่ะล้ำเลิศนัก ไม่ว่าศัตรูจากทิศใดก็หวาดกลัวความคลั่งของเจ้าได้ไม่ยาก”

จู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน ซิ่นเฉิงอดแปลกใจไม่ได้ หัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมคลายออกเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดเข้าหากันอีกเมื่อเทียนอี้เอ่ยประโยคถัดไปออกมา

“แต่เจ้าใจร้อนเกินไป ต่อให้ไหวพริบดี หากแต่โง่เขลา ร้อนรนจะเอาชนะเช่นนั้น สุดท้ายก็มีแต่จะพ่ายแพ้” ว่าจบก็หันไปเอาผ้าสำหรับพันแผลขึ้นมาพันไปที่ท่อนแขนแกร่ง “เมื่อครู่ก็เช่นกัน ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ เจ้าก็ควรจะสงบจิตสงบใจเสียก่อน จากนั้นค่อยใช้สติคิดทบทวน ฝึกปรือจนวิชาแก่กล้ากว่านี้ แล้วค่อยมาเอาคืนก็ยังไม่สาย”

เขาหมายถึงการที่ซิ่นเฉิงหมายจะทำร้ายเขานั่นแหละ

ซิ่นเฉิงพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง
“ข้าไม่ต้องการให้สุนัขเช่นเจ้ามาสั่งสอนหรอกนะ”
“ข้าก็ไม่ต้องการให้แมวป่าเช่นเจ้ามาระรานปั่นป่วนในจวนข้าเช่นกัน” เทียนอี้สวน
“สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน หากเป็นเช่นนั้นก็ปล่อยข้ากลับไปสิ จะกักขังข้าไว้เพื่อการใด” ซิ่นเฉิงขึ้นเสียงเล็กน้อย
“เจ้าคงจะลืมไปว่าเจ้าเป็นทาสของข้าเพราะเหตุผลอะไร”

ถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็พูดต่อไม่ออก ได้แต่ก่นด่าอีกฝ่ายในใจ แต่ก็เพียงครู่เดียวเมื่อเทียนอี้ถามขึ้นมาอีก
“เจ้าเป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่าทะเลทรายใช่หรือไม่”
“ถามทำไม”

ถึงซิ่นเฉิงจะไม่ตอบ เทียนอี้ก็รับรู้ได้

ซิ่นจินผู้เป็นน้องสาวเป็นธิดาของหัวหน้าเผ่า ซิ่นเฉิงก็ย่อมต้องเป็นบุตรอยู่แล้ว ...ก็แค่ถามเพื่อเริ่มการสนทนาเท่านั้น

“เจ้าเป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่า ในภายภาคหน้าจะต้องสืบต่อปณิธานของบิดา แต่เจ้าใจร้อนเฉกเช่นพายุเพลิงเช่นนี้ เป็นการดีแล้วหรือที่ผู้อื่นในเผ่าจะฝากชีวิตไว้ในอุ้งมือของเจ้า...”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” ได้ฟังก็นึกหงุดหงิดขึ้นมา จนต้องหันไปว่าเสียงเขียว

แต่ก็หาได้ทำให้เทียนอี้หยุดได้เลย...

“หากเจ้ายังคงใจร้อนดั่งเปลวไฟ ทำการใดไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบเช่นนี้ เจ้าคงจะดูแลคนของเจ้าได้ลำบาก ดูแล้ว เจ้าก็อายุอานามไม่น่าจะแรกรุ่น ...เจ้ามีอายุกี่ขวบปีกัน”
“ยี่สิบ”
“แล้วเหตุใดถึงได้ไร้ซึ่งสติปัญญา”
“เจ้าจะทำแผลให้ข้าหรือสั่งสอนข้ากันแน่!” ชักหมดความอดทนแล้ว เขาไม่ได้ต้องการให้ใครมาสั่งสอนเขาในเวลาอย่างนี้ คำพูดประมาณนี้ เขาได้ยินบิดาปรามาสมาบ่อยครั้งแล้ว เรียกว่าแทบจะนับครั้งไม่ถ้วนเลยก็ว่าได้ ซึ่งเขาไม่ต้องการฟัง!

และแทนที่เทียนอี้จะสงบปากสงบคำ เขากลับว่าออกมาหน้าตาเฉย
“ทั้งสองอย่าง”
“เจ้ามันช่าง...!”
“เสร็จแล้ว”

ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะได้บริภาษใดๆ เทียนอี้ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน พร้อมกับปล่อยมือออกจากแขนที่พันผ้าเป็นที่เรียบร้อยของซิ่นเฉิงออก

ไร้ซึ่งคำขอบคุณจากชายหนุ่ม เขาทำเพียงมองแขนของตนนิ่ง ขณะที่เทียนอี้ลุกไปดูหม้อต้มยา
“เจ้าอาจจะรู้สึกปวดแสบที่แผล ดื่มยานี่เสีย จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้”
“คิดจะวางยาพิษข้าหรือไร” ซิ่นเฉิงว่าจับผิด

แม่ทัพเทพอสูรเหลือบมามองทันควัน
“หากคิดจะสังหารเจ้า ใช้เพียงมือข้างเดียวก็เสร็จสิ้นแล้ว หาต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากไม่”

ฟังแล้วก็ชวนเจ็บใจไม่น้อย เทียนอี้ตอกย้ำเสียเหลือเกินว่าเขาไม่อาจมีวันต่อกรกับอีกฝ่ายได้ แต่นั่นก็คือความจริง เมื่อคืนนี้ก็เกือบตายเพราะมือของเจ้าสุนัขป่า เมื่อครู่ก็ได้รับบาดเจ็บเพราะมือนั้นเช่นกัน เป็นความจริงที่ชวนให้หัวเสียเหลือเกิน

“ข้าก็ลองถามดู เจ้าไม่ชอบหน้าข้า ข้าก็ต้องระวังตัว” เถียงไม่ได้ ซิ่นเฉิงก็พูดไปเรื่อย
 “เจ้าต่างหากกระมังที่ไม่ชอบหน้าข้า” เทียนอี้นึกขันในใจขณะเอ่ยส่วน “และห้องโอสถของข้าหาได้มียาพิษ เจ้าไม่ต้องห่วง” จากนั้นก็ออกปากเตือน “แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะหยิบโอสถใดมาใส่ปากโดยไม่ถามไถ่ข้าก่อนได้ โอสถทุกชนิดล้วนมีทั้งคุณและโทษ ต้องใช้ให้ถูกอาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอสถที่อยู่ในชั้นข้างๆ เจ้า หากข้าไม่อนุญาต ผู้ใดก็หาได้มีสิทธิเปิด ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านเหลียง”

ฟังแล้ว ซิ่นเฉิงก็จึ๊ปาก

เป็นเพียงอมนุษย์แท้ๆ ริอ่านแสร้งวางตัวเป็นหมอเทวดา!

และด้วยความหมั่นไส้ ซิ่นเฉิงจึงหันไปยังข้างกาย ลอบเปิดตู้ยาออกมา ก่อนจะคว้าเอาสมุนไพรรูปร่างคล้ายดอกไม้ที่ตากจนแห้งขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จับใส่ปากด้วยอารามประชัดประชัน พลันรีบปิดตู้ดังเดิมเมื่อเห็นว่าเทียนอี้ยกถ้วยยากลิ่นฉุนมาให้

“ดื่มเสีย จะได้ไปพัก วันนี้เจ้าไม่ต้องอยู่ช่วยงานผู้ใด พักผ่อนให้เต็มที่เพราะร่างกายของเจ้าจะระบม”

ซิ่นเฉิงอยากจะสวนคืน แต่เพราะปากอมสมุนไพรแห้งอยู่จึงไม่พูดอะไร คว้าถ้วยยามากระดกดื่ม ขณะเดียวกันก็กลืนเอาสมุนไพรนั้นลงคอไปด้วย เมื่อดื่มจนหมดถ้วยก็วางถ้วยกระเบื้องกระแทกลงข้างกาย

ครานี้เทียนอี้จึงได้พูดขึ้น
“ถอดเสื้อผ้าเสียสิ ข้าจะประคบร้อนให้ ร่างกายของเจ้าบวมช้ำเพราะถูกข้าตีอยู่หลายแห่ง ไหนจะข้อมือที่ถูกข้าบิดเมื่อคืนอีก”

มันใช่เรื่องที่เขาจะต้องเปลื้องผ้าตามถ้อยคำของเจ้าสุนัขป่าตัวนี้หรือ!?

อีกทั้งเทียนอี้ไม่ได้พูดเปล่า เห็นซิ่นเฉิงนั่งนิ่งก็จะเข้ามาปลดเปลื้องอาภรณ์ให้อีก ทำเอาอีกฝ่ายต้องรีบปัดมือเต็มไปด้วยขนนุ่มทิ้ง

“หาได้จำเป็นไม่ ข้าจะไปพัก!”

พูดจบ ซิ่นเฉิงก็ผุดลุกพรวด ตรงไปยังประตูและผลักออก จากนั้นก็เดินเร็วๆ หายไปอีกทาง เทียนอี้ก็ไม่ได้คิดจะทักท้วงใดๆ เพราะต่อให้ไม่ประคบร้อน ยาที่ให้ซิ่นเฉิงดื่มเมื่อครู่ก็พอจะช่วยบรรเทาอาการฟกช้ำอยู่

เทียนอี้จึงเก็บข้าวของเสียจนเสร็จสิ้น จะออกจากห้องโอสถอยู่แล้วเชียว ฉับพลันก็ฉุกใจขึ้นมาบางอย่าง เดินกลับมาที่ตั่ง เปิดชั้นโอสถที่เขาสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเปิดออก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเห็นรอยเว้าแหว่งของสมุนไพรอบแห้งที่หายไปเสี้ยวหนึ่ง

หรือว่าซิ่นเฉิงจะ...

ไม่ต้องคิดต่อก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะฝ่าฝืนคำสั่ง เขาบอกให้ไปซ้าย ซิ่นเฉิงจะไปขวา หากบอกให้ไปขวา ซิ่นเฉิงก็จะไปซ้าย นั่นเป็นการกระทำของชายหนุ่มผู้นั้น...

ถึงสมุนไพรที่ซิ่นเฉิงฉกชิงไปจะไม่ใช่โอสถอันตราย แต่ก็เห็นทีว่าหลังจากนี้คงจะมีเรื่องวุ่นวายตามมาอย่างแน่นอน เพราะนั่น...เป็นสมุนไพรที่เรียกว่า ‘เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี’
*******************
พยศเหลือเกินนะเจ้าแมววว เดี๋ยวเชื่องเมื่อไหร่ จะโดนท่านเทพหมาจับน้วย 555

เมื่อวานนี้อยากจะอัปมากค่ะ
แต่นายเขียนไม่จบตอนก็เลยมาอัปตอนดึกๆ ของวันนี้แทน

นายมีเพจแล้วนะคะ เพิ่งเปิดใหม่สดๆ ร้อนๆ ไปตามกันได้ที่
https://goo.gl/GAWFoz
ชื่อเพจ Nov 9th_writer จะได้ไว้เม้าท์กันค่ะ

ทวิตเตอร์ นายสมัครแล้วแต่โดนล็อกค่ะ หาวิธีแก้ไขไม่ได้ก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน
ใครอยากจะหวีดก็ติดแท็ก #เสี้ยวอสูร นะ เดี๋ยวนายใช้อีกแอคเคาน์เข้าไปดูค่ะ
 
ใครอ่านตอนนี้แล้ว ฝากกำลังใจไว้ให้นายด้วยนะคะ
จะได้เป็นแรงกระตุ้นให้นายมาอัปตอนต่อไปเร็วๆ ^^


 
 
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 4: สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 29-08-2017 08:22:57
ยาอะไรน่ะ โอ๊ยๆแค่ชื่อก็คิดไปไกล
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 4: สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ice.sp0211 ที่ 29-08-2017 09:25:00
โอ้น้งแมวซนจนได้เรื่องไหมเนี่ย -.,-
ชอบมากๆ เลย รอนะคะ
สู้ๆ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 4: สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 29-08-2017 12:24:10
รอตอนต่อไปจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 4: สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 29-08-2017 16:08:46
เทียนอี้ใจดี+ใจเย็นมากเลยย

ทำไมชื่อสมุนไพรทำเราคิดไปไกล 555555
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 4: สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-08-2017 20:40:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 4: สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 29-08-2017 20:54:31
 
บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี

‘เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี’

เพียงชื่อของสมุนไพรก็ทำให้ใจของเทียนอี้อยู่ไม่สุข หาใช่ว่ามันเป็นยาพิษ แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่โอสถที่จะกินเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า ยิ่งผู้ที่รับโอสถนั้นเข้าไปในร่างกายคือซิ่นเฉิงด้วยแล้ว เทียนอี้ก็อดคิดไม่ได้เลยว่าจวนเขาจะอลหม่านเพียงใดหากยานั้นเริ่มออกฤทธิ์

แต่ก็นับว่ายังดีที่ซิ่นเฉิงกินสมุนไพรแห้งนั้นเข้าไปโดยไม่ได้ต้มน้ำ หากเป็นการต้มดื่มอย่างที่ควรกระทำ ฤทธิ์ของมันจะสำแดงให้เห็นไวสักหน่อย แต่จับใส่เข้าปากแล้วกลืนลงคอ ฤทธิ์จึงออกช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทว่านั่นก็ทำให้เทียนอี้ต้องคอยเฝ้าสังเกตการณ์เป็นระยะ เมื่อฤทธิ์โอสถเผยออกมาให้เห็นเมื่อไร เขาคงต้องรีบจับซิ่นเฉิงแยกมาอยู่อีกเรือนนอน หาไม่แล้ว เรือนนอนคนรับใช้คงได้เกิดสงครามอย่างแน่แท้

ราตรีแรกผ่านไป โอสถยังไม่ออกฤทธิ์ เทียนอี้พอจะเบาใจไปได้บ้าง อย่างน้อยก็ให้ซิ่นเฉิงได้พักผ่อนเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บก่อน จากนั้นค่อยเผชิญหน้ากับอาการชวนให้น่ารำคาญใจอีกครา

เมื่อเข้าสู่ราตรีที่สอง ฤทธิ์โอสถถึงได้เริ่มสำแดงให้เห็น ซิ่นเฉิงเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาอย่างประหลาด คราแรกก็คิดว่าร่างกายอาจต้องพิษไข้เพราะบาดเจ็บและเสียโลหิตไปมากพอควร จึงได้แต่นอนพักผ่อนด้วยหวังว่าอาการจะทุเลาลง ทว่าเขาคิดผิด นอกจากอาการจะไม่ทุเลาลงแล้ว ร่างกายยังจะร้อนรุ่มดั่งเปลวไฟกว่าเดิมเสียด้วย

หรือเขาจะป่วยหนักกัน?

ซิ่นเฉิงหวั่นใจไม่น้อยกับความผิดปกติทางร่างกาย ถึงเขาจะไม่ค่อยเกรงกลัวผู้ใดในใต้หล้า แต่เขากลับกลัวความตายหากจะต้องเผชิญ

ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่อยากมาสิ้นชีพในแคว้นที่หาใช่บ้านเกิดของเขา ถ้าจะต้องตาย ก็ขอไปตายในทะเลทรายดีกว่า!
คิดเช่นนั้น ซิ่นเฉิงจึงเริ่มคิดหาหนทางหนีออกจากจวน กลับไปตายเอาดาบหน้าในทะเลทรายกว้าง โดยหารู้ไม่ว่าเทียนอี้ได้ให้คนรับใช้ในเรือนนอนเดียวกับเขาคอยเฝ้าสังเกตอาการตั้งแต่ชั่วยามแรกที่เทียนอี้รู้ว่าเจ้าแมวป่าขโมยกินสมุนไพรที่สั่งห้ามใครแตะต้องถ้าไม่ได้รับอนุญาตเข้าไป

เมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงมีอาการแปลกๆ คนรับใช้ก็รีบไปรายงานให้เทียนอี้รับรู้ กระนั้นเจ้าของจวนก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ด้วยหมายใจจะรอให้อาการของซิ่นเฉิงหนักหนากว่านี้ก่อน อีกนัยก็คือ เทียนอี้ต้องการจะสั่งสอนให้ซิ่นเฉิงรับรู้ว่าสิ่งใดที่เขาห้ามนั้น ก็ไม่ควรกระทำ ไม่เช่นนั้นก็ต้องยินยอมรับผลร้ายที่จะเกิดขึ้นด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็คิดว่าต่อให้สมุนไพรนั่นออกฤทธิ์ ซิ่นเฉิงก็น่าจะรู้ว่าควรจะบรรเทาอาการตนเองด้วยการกระทำใด จึงไม่ได้เข้าไปวุ่นวายในทันที

และผลร้ายจากการดื้อดึงไม่เชื่อฟังนั้นก็ได้บังเกิดขึ้นแล้ว แต่คงจะยากต่อการยินยอมรับผลร้ายนั้นสำหรับซิ่นเฉิงเสียหน่อย เขาออกอาการฉุนเฉียวเมื่อร่างกายไม่เป็นไปดั่งใจนึก ทั้งที่พยายามจะควบคุมอารมณ์ที่พวยพุ่งอยู่ภายในให้สงบแล้ว ทว่าความร้อนรุ่มที่แผ่กำจายไปทั่วร่างกลับทำให้เขากระสับกระส่ายจนอยู่ไม่สุข อาการนี้ช่างน่ารำคาญใจนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร้อนที่ดูเหมือนจะแผดเผา ‘จุดนั้น’ ให้มอดไหม้เป็นจุณถ้าหากเขาไม่จัดการทำอะไรสักอย่างเสียที

จุดนั้น... ใช่แล้ว บริเวณอวัยวะกลางลำตัวของเขานั่นเอง

ซิ่นเฉิงอึดอัดถึงกับทนไม่ไหว ต้องปลดเชือกรัดกางเกงออก ดูสิ่งที่อยู่ด้านในอย่างหัวเสียเมื่อมันไม่ยอมสงบลงเสียทีตั้งแต่เมื่อชั่วยามก่อน ครั้นเห็นอวัยวะแห่งความเป็นบุรุษเพศชูชัน ซิ่นเฉิงก็สบถหยาบ
“บัดซบ...”

เขาเกิดกำหนัดมาพักใหญ่แล้ว อยากจะปลดเปลื้องอยู่หรอกเพราะดูท่าจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เขาและเจ้า ‘มังกรน้อย’ สงบลงได้ แต่ทว่าพอคิดว่าจะต้องกระทำสิ่งนั้นภายในจวนของอมนุษย์ตนนั้น เขาก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรีขึ้นมา ต่อให้เขาต้องตายเพราะกำหนัดตนเอง เขาก็จะไม่ยอมกระทำสิ่งใดให้เป็นที่น่าอับอายจนเทียนอี้เอามาพูดถึงชั่วลูกชั่วหลานได้เป็นอันขาด

เพราะหยิ่งผยองด้วยเหตุผลนั้น ซิ่นเฉิงจึงไม่แตะต้องแก่นกายกลางลำตัวเลยแม้แต่น้อย หากแต่เจ้าสมุนไพรช่างมีฤทธิ์เหลือร้าย เมื่อไม่ได้รับการปลดเปลื้อง ความร้อนในร่างกายก็แทรกซึมเข้าทุกอณูผิวหนัง ส่งผลให้ร่างกายร้อนผ่าวดุจเปลวไฟ คราวนี้เองที่ซิ่นเฉิงได้ล้มหมอนนอนเสื่อจริงๆ

ซิ่นเฉิงที่จู่ๆ ก็ล้มฟุบลงไปขณะที่เข้าร่วมมื้อเย็นกับคนรับใช้คนอื่นๆ ถูกพาตัวเข้าไปพักผ่อนในเรือนนอน พ่อบ้านเหลียงรีบมาดูอาการ เมื่อเห็นว่ามนุษย์หนุ่มมีเหงื่อกาฬอาบท่วมร่าง อีกทั้งยังตัวร้อนดุจเพลิง เขาก็สั่งให้คนรับใช้ไปต้มโอสถมาให้ดื่ม ทว่าก็หาได้ช่วยให้อาการดีขึ้นแม้แต่น้อย รังแต่จะทรุดลงไปอีก คราวนี้สติของซิ่นเฉิงชักไม่สมประดี เรียกก็ไม่ขานตอบ ได้แต่ปรือตาเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย ทำเอาพ่อบ้านเหลียงอดเป็นห่วงไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไรนักก็ตาม พลันคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าป่วยหนักถึงเพียงนี้ก็ต้องตามท่านหมอมา แต่การให้ท่านหมอมารักษานั้น จำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินตรา ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนั้นก็คือเขา แต่เขาไม่มีสิทธิจะใช้จ่ายได้ตามใจ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากท่านแม่ทัพใหญ่เสียก่อน

ดังนั้น พ่อบ้านเหลียงจึงไม่รอช้าที่จะนำความไปบอก ทันทีที่แม่ทัพเทพอสูรได้ยินความ เขาก็ว่าออกมาเสียงเรียบ
“ไม่ต้องตามท่านหมอ แต่ให้นำตัวมนุษย์นั่นไปที่เรือนของข้า”
“ท่านแม่ทัพหมายถึง...”
“ที่เรือนของข้ามีห้องรับรองแขกอยู่ ให้พาเขาแยกไปนอนที่นั่น ส่วนอาการของเขานั้น ข้าจะเป็นผู้ดูแลเอง”

พ่อบ้านเหลียงอดประหลาดใจไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าเทียนอี้พอจะมีความรู้เรื่องโอสถอยู่ แต่ก็หาได้มากพอจะรักษาอาการป่วยหนักๆ ได้เฉกเช่นท่านหมอ ทว่าพอจะถาม เทียนอี้ก็ตอบออกมาก่อนราวกับรู้ทันว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร

“ซิ่นเฉิงไม่ได้ป่วยไข้อย่างที่เจ้าคิดหรอก พ่อบ้านเหลียง”
“ถ้าไม่ได้ป่วยไข้ แล้วเจ้านั่นเป็นอะไรหรือขอรับ?”
เทียนอี้เหลือบมอง ตอบด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“กินโอสถเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีเข้าไป”
“หา?”
“เจ้าได้ยินไม่ผิด”

หากไม่เคยเห็นจระเข้อ้าปากก็คงจะได้เห็นกันในครานี้ พ่อบ้านเหลียงแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินเช่นนั้น แต่เมื่อผู้เป็นนายย้ำคำหนักแน่น ก็อดคิดไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงช่างเป็นตัวปัญหาเสียจริง เพราะเขารู้ดีว่าสมุนไพรที่ชื่อเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีนั้นเป็นสมุนไพรชนิดใด

...เป็นยาปลุกกำหนัดสำหรับคู่บ่าวสาวในคืนวิวาห์

ถูกต้อง... มันถูกใช้ต้มให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวดื่มในคืนเข้าหอ ทั้งหมดก็เพื่อการกระตุ้นเร้าให้ในการมีทายาทสืบสกุล เหตุที่ต้องใช้ก็เป็นเพราะเทพอสูรมีรูปลักษณ์กึ่งมนุษย์ กึ่งสัตว์ สตรีมนุษย์ที่ตบแต่งเจ้าเรือนมักหวาดกลัวสามีที่มีรูปร่างอัปลักษณ์ ทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า ดังนั้นเรื่องความสิเน่หาหรือความใคร่ใดๆ ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึง พวกนางเอาแต่ร่ำไห้ไม่หยุดตั้งแต่รู้ว่าจะต้องตบแต่งกับเทพอสูรเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาโอสถนี้ ไม่เช่นนั้น คืนเข้าหอคงจะล่มไม่เป็นท่า
และไม่แปลกถ้าหากเทียนอี้จะมีสมุนไพรนี้ติดห้องโอสถของจวนไว้ ต่อให้เขายังไม่ได้ตบแต่งสตรีนางใดเป็นฮูหยิน แต่สหายของเขาตบแต่งกับมนุษย์สตรีมาหลายต่อหลายครั้ง เมื่อฮูหยินคนเก่าสิ้นใจ ฮูหยินคนใหม่ก็เข้าพิธีไหว้ฟ้าดิน เป็นเช่นนี้มานานนับร้อยปีแล้ว จึงเกิดเป็นธรรมเนียมที่ว่าสหายตนใดมีงานมงคลสมรส สหายที่ไปร่วมงานจะต้องมีโอสถชนิดนี้ติดไม้ติดมือไปเป็นของขวัญร่วมแสดงความยินดีเสมอ

เทียนอี้มีติดไว้ในจวนก็เพื่อการนี้นั่นเอง...

“แล้ว...ท่านแม่ทัพจะเป็นผู้ดูแลจริงๆ น่ะหรือ? ข้าว่ามอบหมายให้เป็นหน้าที่ของข้ากับคนรับใช้อื่นน่าจะดีกว่าไม่น้อย” ได้ยินว่าเทียนอี้จะดูแลเจ้ามนุษย์ชอบสร้างปัญหาผู้นั้น พ่อบ้านเหลียงก็อดเสนออย่างเป็นห่วงไม่ได้
เทียนอี้ระบายลมหายใจ
“ข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง จะได้ถือโอกาสนี้ขัดเกลานิสัยดื้อด้านของซิ่นเฉิงด้วย”

พูดมาอย่างนั้น พ่อบ้านเหลียงจะไปทำอะไรได้กันเล่า แต่ก็คิดว่าดีอยู่ไม่น้อยที่เทียนอี้ลดความใจดีลงเสียที จะเข้าขั้นโหดร้ายเลย เขาก็ไม่ทัดทานใดๆ ทั้งนั้น เพราะขนาดซิ่นเฉิงถูกตีเข้าเต็มแรงเมื่อครั้งที่ประลองกันอย่างนั้น ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีท่าทีอ่อนน้อมลงเลยแม้แต่น้อย เห็นทีจะต้องจัดการกำราบให้เด็ดขาด

“หากท่านแม่ทัพต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดก็ได้โปรดบอก”
“ขอบใจเจ้ามาก”

เทียนอี้ตอบรับเสียงเรียบ จากนั้นก็ไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ ระหว่างอมนุษย์ทั้งสอง มีเพียงความเงียบงัน ก่อนทั้งคู่จะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามกิจวัตรของใครของมันโดยไม่สนใจเรื่องของซิ่นเฉิงอีก



 
ซิ่นเฉิงถูกนำมาพักในเรือนใหญ่ แม้คราแรกจะดื้อแพ่ง ไม่ยอมมา แต่สุดท้ายก็ต้องยินยอมด้วยร่างกายร้อนรุ่มเสียจนอ่อนล้า อีกทั้งอวัยวะบุรุษเพศกลางลำตัวก็เอาแต่ชูชันไม่มีท่าทีสงบ การแยกออกจากเรือนนอนของคนรับใช้มาอยู่อย่างส่วนตัวเห็นทีจะเป็นการดีกว่า ซึ่งนั่นก็เป็นประสงค์ของเทียนอี้ที่หมายจะให้ซิ่นเฉิงได้ปลดปล่อยตนเองเป็นการส่วนตัว

ทว่า... ความหยิ่งผยองอันโง่เขลาของซิ่นเฉิงที่เกรงว่าจะเป็นที่หมิ่นศักดิ์ศรีให้เทียนอี้ได้พูดถึงชั่วลูกชั่วหลานว่าปราบพยศเขาได้เพราะกำหนัดที่ก่อเกิดอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ซิ่นเฉิงจึงไม่แม้แต่จะแตะต้องกลางลำตัว ทำเพียงนอนนิ่งๆ ปล่อยให้ความร้อนในกายเผาผลาญเสียจนเหงื่อกาฬไหลพรากตลอดทั้งวัน

อาการมาแย่ลงในตอนตะวันลาลับ ช่วงหัวค่ำก็พอจะกัดฟันทนได้ แต่เมื่อคล้อยเข้าสู่กลางดึก ซิ่นเฉิงก็เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป หายใจหอบหนัก จังหวะการหายใจขาดช่วง คล้ายกับทุรนทุรายจะขาดใจตายให้จงได้ เขาเกือบจะเผลอใช้มือปลดเปลื้องตนเองอยู่แล้ว หากแต่ก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น เพราะมือกำผ้าห่มไว้เสียแน่น

ไม่มีวัน...อย่างไรก็ไม่มีวันจะทำเรื่องอย่างนั้นในจวนของเทียนอี้เป็นอันขาด!

เสียงร้องดังอือๆ ลอยมาให้เจ้าของจวนซึ่งนั่งอยู่ในห้องหนังสืออย่างเช่นทุกวันรำคาญอยู่ไม่น้อย แม้ห้องที่ให้ซิ่นเฉิงพัก กับห้องหนังสือจะไกลกันพอควร แต่ด้วยความที่ประสาทสัมผัสไว เทียนอี้จึงได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน อีกทั้งกลิ่นกายของซิ่นเฉิงซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะตัวก็ลอยคละคลุ้งปะปนมาในอากาศอีก ทำเอาเทพอสูรจำต้องปิดตำราลง แล้วก้าวออกจากห้องนั้น เดินไปตามทางกระทั่งถึงยังห้องของมนุษย์หนุ่ม

มือหนาผลักบานประตูเข้าไปโดยไม่ร้องขออนุญาต ครั้นประตูเปิดก็เห็นซิ่นเฉิงนอนพลิกตัวไปมาอย่างทรมาน เทียนอี้พ่นลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย

ถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ยังจะดื้อรั้นอีก...

บ่นในใจขึ้นมาด้วยระอา ก่อนจะหันไปปิดประตูลงดาล จากนั้นก็ก้าวเข้ามาทรุดนั่งที่ปลายเตียงด้วยความเงียบเชียบ มองซิ่นเฉิงที่ซุกใบหน้าลงกับผ้าห่มผืนบางครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้น

“เจ้าต่อต้านฤทธิ์ของสมุนไพรนี่ไม่ได้หรอก วางทิฐิลงแล้วทำสิ่งที่ควรทำเถิด”

ซิ่นเฉิงละใบหน้าจากผ้าห่ม หันไปมองก็เห็นมนุษย์ครึ่งสุนัขป่าทอดสายตามองเขาอยู่ เขาไม่ตอบรับคำพูดเมื่อครู่ นอกจากย่นคิ้วแล้วปั้นสีหน้าหงุดหงิดใส่เท่านั้น
“เจ้าเข้ามาทำไม”
“มาดูอาการของเจ้า” เทียนอี้ตอบรับตามตรง
“ข้าไม่ต้องการ!” ซิ่นเฉิงก็ปฏิเสธตามตรงเช่นกัน

ทว่าก็ไม่สามารถไล่เทียนอี้ออกไปได้ เทพอสูรจ้องมองอยู่อีกครู่ เมื่อหลุบสายตาลงต่ำและเห็นว่าระหว่างขาของมนุษย์หนุ่มตรงหน้ามีอาการตอบสนองต่อฤทธิ์ของสมุนไพรนั้น เขาก็เอ่ยขึ้น

“สิ่งที่เจ้าลักลอบกินเข้าไป มันคือว่านที่มีชื่อว่า ‘เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี’ เป็นยาปลุกกำหนัดชั้นดีที่จะทำให้เจ้ามีอาการเช่นนี้ไปจวบจนครบเจ็ดวัน”

คราวนี้ซิ่นเฉิงประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึงได้ร้อนรุ่มกายและหว่างขามากเป็นพิเศษอย่างนี้ ก่อนที่เขาจะปั้นใบหน้าขมึงทึงออกมา

“เจ้าหลอกให้ข้ากินมัน”
“เจ้าหยิบไปกินเอง”
“หากเจ้าไม่บอกว่าห้ามเปิด ข้าก็ไม่เปิดไปฉกชิงมันเข้าปากหรอก!”

โทษว่าเป็นความผิดของเทียนอี้อีก แต่ก็นั่นแหละ หากเทียนอี้บอกให้ไปซ้าย ซิ่นเฉิงก็จะไปขวา ถ้าสั่งห้ามก็จะทำ เป็นอย่างนี้แล้วจะโทษว่าความผิดใครดีล่ะ?

“เพราะเจ้าโง่เขลา” เทียนอี้ว่าเนิบๆ ให้คนฟังได้กัดฟันกรอด
“เจ้า…!”
“หากเจ้าจะมาต่อล้อต่อเถียงกับข้า เจ้าเอาเวลาไปคิดใคร่ครวญจะดีกว่าว่าควรทำอย่างไรกับร่างกายเจ้าดี” เทียนอี้ขัดขึ้นเสียก่อน อีกทั้งยังพูดพลางปรายตาลองไล่ลงต่ำไปยังเนินนูนใต้ร่มผ้าของคนตรงหน้า

ซิ่นเฉิงมองตามก็รู้ดีว่าสายตาของเทียนอี้จับจ้องอยู่ที่ใด เท่านั้นก็พลิกตัวตะแคง หนีบขาแน่นด้วยไม่ต้องการให้อีกฝ่ายจ้องมอง
“ออกไปประเดี๋ยวนี้!”
“ข้าจะออกก็ต่อเมื่อเจ้าปลดเปลื้องตนเองเสร็จสิ้นแล้วครั้งหนึ่ง”

คำพูดนั้นทำเอาซิ่นเฉิงย่นหน้ายู่ทันที ก็ใช่ว่าเทียนอี้อยากจะดูอีกฝ่ายกระทำเรื่องส่วนตัวระบายกำหนดอะไรอย่างนั้นหรอก แต่เพื่อความแน่ใจว่าซิ่นเฉิงทำจริงๆ เขาจะต้องอยู่ดูจนกว่าจะเริ่มและสิ้นสุดลง ก่อนจะให้เหตุผลเพิ่มเติมเมื่อเห็นสายตาทิ่มแทงของซิ่นเฉิงมองมา

“เจ้าจะต้องระบายความร้อนในกายออกมา ไม่เช่นนั้นธาตุหยินหยางของเจ้าจะไม่สมดุล ถึงคราวนั้น เจ้าจะป่วยไข้จริงๆ ได้”
“ถ้าจะป่วยก็ปล่อยให้มันเป็นไป ข้าไม่ทำเรื่องนั้นในจวนของเจ้าเป็นอันขาด”

ก็พอจะรู้ว่าซิ่นเฉิงจะต้องดื้อแพ่ง แต่เทียนอี้มีวิธีรับมือในใจอยู่แล้ว

“หากเจ้าพร้อมจะเสียวรยุทธไปก็ตามแต่ใจเจ้า เพราะเมื่อธาตุหยินหยางของเจ้าไม่สมดุล ร่างกายของเจ้าก็จะเสื่อมถอย สมุนไพรนี้แม้จะเป็นโอสถปลุกกำหนัด แต่ก็มีโทษอยู่ไม่น้อย ข้าคงจะเตือนเจ้าได้เพียงเท่านี้”
โกหก... หากยังเป็นเทพอยู่ เทียนอี้คงได้ถูกเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษในฐานพูดเท็จอย่างแน่นอน แต่มันกลับได้ผลเมื่อคำว่า ‘เสียวรยุทธ’ ดังเข้าหูของซิ่นเฉิง เขาเบิกตากว้างทันใด
“เจ้ามัน...”
“จะทำหรือไม่?”
ก่อนจะถูกบริภาษ เทียนอี้ก็ถามสวนมาแล้ว

ซิ่นเฉิงพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ถึงขั้นนี้แล้ว เขาคงจะต้องยอมเสียศักดิ์ศรีดีกว่าเสียวรยุทธ เพราะถ้าเสียวรยุทธไป เขาคงจะหนีกลับทะเลทรายที่เขารักไม่ได้ ที่ผ่านมาเคยคิดไว้ว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอมทำเรื่องน่าอายอะไรนั่น ตอนนี้ซิ่นเฉิงลืมไปสิ้นแล้ว

“เจ้ามันบัดซบ...”

ก็ยังจะบริภาษอมนุษย์ตรงหน้าอยู่ดี แต่สุดท้ายก็ยอมที่จะทำตามที่เทียนอี้บอก เขาพลิกตัวกลับมานอนหงาย มือข้างหนึ่งเอื้อมไปตรงช่วงล่างของลำตัว หมายจะปลดสายเชือกรัด ทว่าเรี่ยวแรงที่สูญหายไประหว่างวันทำให้มือของเขาสั่นเทาเสียจนแทบควบคุมไม่ได้ ขยับไปทางใดก็ไม่เป็นไปดั่งใจนึก จนซิ่นเฉิงต้องผรุสวาทออกมาอีก

“บัดซบเอ๊ย”
เทียนอี้เห็นความทุลักทุเลนั้นแล้วก็หน่ายใจ ถอนหายใจออกมา ก่อนจะขยับเข้าช่วยเหลือ
“ให้ข้าช่วย”
“ไม่ต้อง...”

ไม่ทันแล้ว... แค่สิ้นเสียงของตนเอง เทียนอี้ก็เอื้อมมือไปกระตุกกางเกงของอีกฝ่ายออกจากลำตัว เมื่ออาภรณ์เผยเรือนกาย ความเป็นบุรุษเพศก็ชูชันให้เห็น

เทพอสูรมองอีกฝ่ายที่หน้าม้านด้วยความอับอายเล็กน้อย เห็นว่ายังไม่ทำอะไรสักทีจึงเอ่ยปากถาม
“จะต้องให้ข้าช่วยเจ้าปลดเปลื้องด้วยไหม”

ถามออกไปอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะพูดเล่นหรอกนะ เขาพูดจริง เพราะอันที่จริง เขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรมนุษย์หนุ่มตรงหน้า แต่ก็หาได้เอ็นดูเป็นพิเศษ เพียงแต่ตั้งใจจะปราบพยศอย่างใจเย็นเท่านั้น

ทว่าซิ่นเฉิงก็ตอบด้วยคำตอบเดิมอีก... “ไม่...”
“ข้าช่วย”

ไม่ได้ฟังกันเลย...

ใช่ว่าเทียนอี้จะไม่รู้ว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ แต่เขาพินิจดูแล้ว ซิ่นเฉิงไม่น่าจะปลดเปลื้องตัวเองด้วยมือไม่ไหว ดังนั้นเทียนอี้จึงไม่รีรอที่จะเอื้อมมือไปกอบกุมท่อนเนื้อแข็งขึงตรงหน้า

ซิ่นเฉิงเบิกตาโตด้วยความตกใจ จะอ้าปากก่นด่าอยู่แล้ว ทว่าความเสียวกระสันก็พร่างพรายไปทั่วร่างเสียก่อนเมื่อไอร้อนจากฝ่ามือของคนตรงหน้าแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

“เจ้าอดกลั้นมาหลายชั่วยาม ข้าคิดว่าคงจะใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา” เทียนอี้ว่าเสียงเรียบให้ซิ่นเฉิงได้ปั้นสีหน้าน่ากลัวใส่

ยังจะมีหน้ามาพูดอีก!

แล้วสีหน้านั้นก็ต้องมลายหายไปเมื่อเทียนอี้เริ่มขยับมือ ความหวามไหวแล่นพล่านไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ซิ่นเฉิงกำผ้าห่มแน่น ปลายเท้าจิกเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่จังหวะการหายใจจะเริ่มแรงขึ้นทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งริมฝีปากหนาก็ยังมีเสียงอือออเล็ดลอดออกมาอย่างสุดจะกลั้น

ช่างเป็นสถานการณ์ที่ชวนให้ซิ่นเฉิงกระอักกระอ่วนเสียจริง...

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ถึงจุดสุขสมเมื่อความอดกลั้นตลอดทั้งวันทะลักออกมาเป็นสาย ซิ่นเฉิงรู้สึกราวกับร่วงหล่นจากผืนฟ้า บั้นเอวกระตุกลอยขึ้นเหนือฟูกนอนเล็กน้อย ก่อนที่จะหายใจหอบโยนเมื่อไอร้อนในร่างกายพอจะทุเลาลงได้บ้าง

เทียนอี้มองคราบแห่งความอภิรมย์ที่เปรอะเปื้อนมือและเส้นขนของเขาเล็กน้อย ก่อนจะกวาดมองหาผ้ามาเช็ด ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อกลิ่นของความสุขสมจากซิ่นเฉิงทำให้ร่างกายของเขาปั่นป่วนขึ้นมาบ้าง อย่างที่รู้กันว่าเขามีประสาทสัมผัสที่ไวทั้งการฟังและการได้กลิ่น เมื่อจมูกสัมผัสกับกลิ่นเย้ายวนทางกามารมณ์ เขาก็ร้อนรุ่มในกายขึ้นมา พลันในหัวก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่เขาเผชิญอยู่นั้น มันคือ... อาการติดสัด

เป็นที่น่าสังเวชนักสำหรับเหล่าเทพอสูรที่มีปฏิกิริยาไวต่อกลิ่นเย้ายวนทางเพศ ต่างจากตอนเป็นเทพที่ไร้ซึ่งความต้องการใดๆ ด้วยมีตบะแก่กล้าจนสามารถละทิ้งเรื่องทางโลกได้ แม้จะไม่ได้ดื่มกินสมุนไพรเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีเข้าไปแท้ๆ แต่พอได้กลิ่นของซิ่นเฉิงแล้วมันก็...

อดใจไม่ไหวจนเผลอแลบลิ้นออกมาเลียปลายนิ้วซึ่งมีของเหลวสีขาวขุ่นเล็กน้อย ซิ่นเฉิงเห็นก็ขมวดคิ้วเป็นปม
“ทำอะไรของเจ้า”
เทียนอี้เหลือบมอง เห็นสายตาข้องใจก็ตอบเสียงเรียบ
“ชิมรสชาติของเจ้า”

เรียวคิ้วของซิ่นเฉิงแทบจะหลอมรวมเป็นแนวเดียวกันอยู่แล้ว
“เจ้า...เจ้าว่าเจ้าทำอะไรนะ”

เทียนอี้หยุดเลียปลายนิ้ว ขยับกายเข้าใกล้และโน้มใบหน้าลงต่ำไปสูดคมซอกคอของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ ไออุ่นจากลมหายใจที่คลอเคลียอยู่ข้างๆ ลำคอชนิดไม่ทันตั้งตัวทำเอาซิ่นเฉิงพรึงเพริดกับสิ่งที่เกิดอยู่มากทีเดียว ก่อนที่จะโวยวายออกมาเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนจมูกเปียกชื้นมาสูดดมที่หูของเขา

“เจ้าทำอะไร!”
“ข้ากำลังครุ่นคิดว่ากลิ่นหอมหวานนี้มาจากส่วนไหนของร่างกายเจ้ากัน”

เป็นการตอบที่ราบเรียบมาก แต่หารู้ไม่ว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเทียนอี้เต้นรัวเร็วเสียเหลือเกิน เขาไม่เคยมีอาการนี้กับสตรีคนใด ไม่เว้นแม้แต่บุรุษใดด้วย แม้จะเคยได้กลิ่นคาวกามาจากมนุษย์เพศชายอยู่บ้าง แต่ก็หาได้มีกำหนัด อยากลิ้มชิมรสอะไรอย่างนี้ ทว่ากับซิ่นเฉิงแล้วช่างน่าแปลกนัก เขาเกิดอยากจะสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้

“จะส่วนไหนก็หาใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องสนใจไม่ ออกไปได้แล้ว อึ้ก...”

ซิ่นเฉิงโวยวาย แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเทียนอี้ไม่ได้ฟัง อีกทั้งยังแลบลิ้นเลียที่ปลายหูของเขาอย่างแผ่วเบา ความกำหนัดที่ทุเลาลงไปเมื่อครู่รวมตัวกันอีกครั้งคล้ายพายุฝนที่กำลังตั้งเค้า อวัยวะความเป็นชายที่อ่อนนุ่มลงไปแล้วแข็งขืนขึ้นมาอีกระลอก คราวนี้เองที่กลิ่นหอมเย้ายวนพวยพุ่งมาแตะจมูกของเทียนอี้

กลิ่นนั้น...มาจากอารมณ์กำหนัดของซิ่นเฉิงนั่นเอง

แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องไม่สมควร อดีตเขาเคยเป็นเทพ ไม่ควรสนใจเรื่องกิเลสตัณหา แต่ด้วยความที่กลายมาเป็นเทพอสูร ถ้าไม่นับเรื่องรูปร่างอัปลักษณ์ เขาก็มีกิเลสเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ ดังนั้นการจะให้อดทนต่อสิ่งยั่วยวนตรงหน้านั้นช่างเป็นไปได้ยาก
สักครั้งคงไม่เป็นไร...

เทียนอี้บอกกับตัวเองที่หน้ามืดเช่นนั้น ก่อนจะตวัดปลายลิ้นลากไล้ไปตามผิวหนังอุ่นร้อนของคนใต้ร่างตั้งแต่ใบหู ซอกคอ และแนวกระดูกไหปลาร้า

ซิ่นเฉิงที่ต่อต้านเมื่อครู่เกร็งตัวแข็ง เขาพยายามที่จะเอ่ยห้าม
“ยะ...หยุด...”

แต่เมื่อเทียนอี้เลื่อนตัวต่ำลงไปยังแผ่นอก และแลบลิ้นเลียไปยังตุ่มไตเม็ดเล็ก คำพูดที่หลุดออกจากปากเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงครางกระเส่าอย่างพึงใจ

ความเสียวซ่านช่างเป็นน้ำเมาที่ทำให้เขาลุ่มหลงได้ง่ายดายนัก...

ตกเป็นท่อนไม้ให้เทียนอี้ได้ลูบคลำตามใจ เทพอสูรเห็นว่าแค่ชิมรสด้วยปลายลิ้นคงยังไม่พอ เขาจึงขบเม้มยอดอกเข้าไปด้วยอีก เท่านั้นร่างของซิ่นเฉิงก็กระตุกเฮือก เมล็ดพันธุ์เล็กๆ สีชมพูอมน้ำตาลตามสีผิวก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ดูเหมือนเทียนอี้จะชื่นชอบส่วนนี้มากเป็นพิเศษ วุ่นวายชิมรสอยู่พักใหญ่เลยทีเดียวกว่าจะเคลื่อนกายลงต่ำ จูบไล่ไปตามหน้าท้องแกร่งกระทั่งถึงยังส่วนกลางของลำตัว

บัดนี้มันแข็งขึงเต็มที่... เทียนอี้ใช้มือรูดรั้ง หยาดน้ำสีขาวใสเอ่อปริ่มยังส่วนยอด ก่อนปลายลิ้นอุ่นร้อนจะตวัดเลีย ไอร้อนจากลมหายใจและปากของเทพอสูรทำเอาซิ่นเฉิงปั่นป่วนสับสนไปหมด ในหัวของเขามีแต่การต่อต้าน ในขณะที่ร่างกายกลับตอบรับสัมผัสนั้นอย่างยินดี ครั้นถูกเทียนอี้ขบเม้ม เขาก็แอ่นสะโพกรับเสียอย่างนั้น

ทุกอย่างช่างไม่เป็นไปอย่างที่เขานึกคิดไว้เสียเลย...

เทียนอี้เองก็เช่นกัน หลายครั้งหลายคราทีเดียวที่สมองสั่งการให้เขาหยุดด้วยคำนึงได้ถึงความผิดชอบชั่วดี กระนั้นก็ไม่อาจละใบหน้าออกจากการชิมรสโอชาของมนุษย์หนุ่มได้ ยังคงเลียไล้จนแก่นกายของซิ่นเฉิงชุ่มฉ่ำ มอบความหวามไหวชวนอภิรมย์ให้อีกฝ่ายราวกับรักใคร่เสียเต็มประดา ทั้งที่จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากอารมณ์กำหนัดอย่างเดียวเท่านั้น

ถูกปรนเปรอไม่หยุดยั้ง ซิ่นเฉิงก็ถึงฝั่งฝันอีกระลอก ธาราแห่งความสุขสมไหลทะลัก เทียนอี้กลืนกินเสียสิ้น ในใจก็คิดไปว่ารสชาติของคนทะเลทรายผู้นี้ช่างหวานหอมเสียจริง ก่อนจะผละออกมามองหน้าของซิ่นเฉิงที่แดงก่ำ หายใจกระหืดหอบ มองเขาด้วยสายตายั่วยวนอยู่

สายตายั่วยวน... จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดนัก ดวงตาสีนิลดูลึกลับนั่นช่างฉ่ำหวาน ยิ่งอีกฝ่ายปรือตาด้วยแล้ว ก็ทำให้คนมองหลงเอ็นดูไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็ได้สติเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะได้กระทำการไม่คาดฝันอีกครั้งเป็นแน่

“พักผ่อนเสีย ได้ปลดเปลื้องถึงสองครั้ง ราตรีนี้เจ้าคงจะหลับสบายขึ้น” เทียนอี้ว่า ผุดลุกขึ้นจากเตียง ตรงไปยังประตู ก่อนจะชะงักฝีเท้า หันมามองเล็กน้อย “พรุ่งนี้เจ้าก็ไม่ต้องไปช่วยงานใดๆ พักผ่อนจนกว่าจะครบเจ็ดราตรี ฤทธิ์ของสมุนไพรจางหายไปเมื่อไร เจ้าค่อยออกจากห้องนี้ ข้าจะให้พ่อบ้านเหลียงส่งคนมาดูแล”

พูดเสร็จก็ผลักบานประตูออกไป ปล่อยให้ซิ่นเฉิงมองด้วยความเจ็บแค้นแทบสิ้นสติเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตนหลงเผลอไผลไปกับสิ่งใด

เจ้าอมนุษย์! หยามเกียรติข้าเช่นนี้ เห็นทีเจ้ากับข้าจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เสียแล้ว!
*******************
ท่านเทพนี่เนียนเชียวนะเจ้าคะ
ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นไซบีเรียนฮัสกี้มั้ยเนี่ย 55
ตอนนี้ว่าเด็ดแล้ว ตอนหน้ายิ่งเด็ดค่ะ
ขอกำลังใจให้นายน์ด้วยนะ ไปกดไลก์ที่เพจได้
ไว้ไปพูดคุยกันค่ะ
https://goo.gl/GAWFoz
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 29-08-2017 21:47:46
รอตอนต่อไปจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ice.sp0211 ที่ 30-08-2017 01:25:10
นึกว่าได้กัน 7 วัน 7 คืน -,,-
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 30-08-2017 01:44:12
ปูเสื่อรอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 30-08-2017 07:54:24
 :L1:อร๊ายตอนหน้าคง.. .
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 30-08-2017 11:51:03
ความดื้อด้านนี้ซิ่นเฉิงได้แต่ใดมา หนักใจแทนเทียนอี้เลยหรือจะเคยเจอเทพอสูรข่มเหงมาก่อน เลยเกลียดเทพอสูรทุกตัว
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 30-08-2017 14:55:18
โทษใครไม่ได้เลยนะนั่น ต้องโทษตัวเองล้วนๆ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-08-2017 18:40:02
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 30-08-2017 20:36:03
สนุกดี จะคอยดูว่าเทียนอี้จะปราบแมวป่าจอมพยศนี่ได้ยังไง
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-08-2017 02:14:35
ดื้อหยิบกินเอง โทษใครไม่ได้จ้าาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี[29/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 31-08-2017 10:56:12
บทที่ 6: ศิโรราบ

ถึงจะคิดว่าไม่ยอมให้แม่ทัพเทพอสูรผู้นั้นข่มเหงอีกต่อไป ทว่าเมื่อราตรีใหม่มาถึง ซิ่นเฉิงก็จำต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเจ้าของจวนอย่างไม่อาจเลี่ยง อาการที่บังเกิดจากฤทธิ์ของสมุนไพรปลุกกำหนัดสร้างความทรมานให้เขาตั้งแต่เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา ครั้งนั้นเขาได้ปลดเปลื้องความอัดอั้นออกไปด้วยตนเองแล้ว ทว่า...ดูเหมือนจะยังไม่พอ ผ่านไปไม่ถึงชั่วยาม เขาก็เกิดร้อนรุ่มไปทั่วร่างอีก ครั้งนี้เหมือนจะไม่พอหากกระทำด้วยฝ่ามือตนเอง

เขาต้องการมากกว่านี้...
ต้องการถูกกระทำให้มากกว่านี้...

แท้จริงแล้ว ร่างกายของเขากำลังเรียกร้องไออุ่นจากสิ่งมีชีวิตต่างหาก ความทรมานส่งผลให้ซิ่นเฉิงครวญครางไม่หยุด เสียงที่ดังอึดอือลอยมาตามลมสร้างความรำคาญใจให้กับเทียนอี้ซึ่งนั่งประจำอยู่ในห้องหนังสืออีกเช่นเคย สุดท้ายเขาก็ต้องมาปรากฏกายที่ห้องพักส่วนตัวของมนุษย์หนุ่ม จัดการปรนเปรอด้วยมือ ปลายลิ้น และปากอย่างที่กระทำในราตรีแรก พลางถือโอกาสนี้สั่งสอนเจ้าแมวป่าดื้อด้านตัวนี้ไปด้วย

“สิ่งใดที่ข้าห้าม นั่นหมายถึงข้าได้ไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่แล้วว่าไม่เป็นผลดี เจ้าเป็นคนในจวนของข้า ข้าย่อมไม่ทำร้ายเจ้า ดังนั้นต่อจากนี้ขอให้เชื่อฟัง”
“มะ...ไม่มีวัน อา...”

แม้จะหอบหายใจกระเส่า ทว่าริมฝีปากหนานั้นก็ยังเปล่งประโยคต่อต้านออกมา

เทียนอี้ซึ่งกำลังเลียไล้ไปตามแผ่นอกเหลือบมองเล็กน้อย ครั้นเห็นใบหน้าของซิ่นเฉิงแดงก่ำด้วยไอร้อนที่พร่างพราวไปทั่วทั้งกาย เขาก็นึกอยากจะรังแกเจ้าคนดื้อด้านผู้นี้ขึ้นมา ตวัดปลายลิ้นดุนดันยอดอกสีเข้มอย่างรุนแรง มือข้างที่กอบกุมแก่นกายความเป็นชายของซิ่นเฉิงอยู่รูดรั้งด้วยจังหวะที่กระชั้นมากขึ้น เมื่อได้ยินซิ่นเฉิงหอบถี่ เขาก็ชะลอความเร็ว ทำเอาซิ่นเฉิงหรี่ตามองอย่างไม่พอใจ

“เจ้า...!”
ที่ไม่พอใจนั้นเป็นเพราะอีกเพียงหนึ่งถ้วยชา เขาก็จะสุขสมแล้ว หากแต่เทียนอี้กลับยับยั้งไว้คล้ายกลั่นแกล้งให้เขาได้ทรมาน ซึ่งก็จริงอย่างที่คาดคิด เพราะเมื่อเอ่ยประท้วง เทียนอี้ก็ถามกลับ
“จะเชื่อฟังข้าหรือไม่?”
“ข้าไม่...อือ...”

พูดยังไม่ทันจบ เทียนอี้ก็เร่งจังหวะขึ้นอีก ความหวามไหวที่พวยพุ่งขึ้นมาอีกคราทำเอาซิ่นเฉิงพูดต่อไม่ออก ครั้นเทียนอี้หยุดมือก็ถูกถามอีกครั้ง

“ว่าเช่นไร ต่อจากนี้เจ้าจะเชื่อฟังที่ข้าพูดหรือเปล่า ซิ่นเฉิง”
เป็นการถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทว่าแฝงไปด้วยการแสดงอำนาจ

ซิ่นเฉิงอยากจะปฏิเสธนัก หากแต่เขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นต่อ จึงจำต้องตอบรับไป
“ข้า...ข้าจะเชื่อฟัง ได้โปรด...” ตบท้ายด้วยการขอร้องเพราะทนกับความอึดอัดนี้ไม่ไหว

มุมปากสุนัขป่าของเทียนอี้ยิ้มยกขึ้นคล้ายพอใจ จากนั้นก็มอบรางวัลของการเชื่อฟังให้มนุษย์ตรงหน้าด้วยการปล่อยให้เขาไปถึงจุดสุขสม

ซิ่นเฉิงแอ่นกายสะท้าน บั้นเอวยกสูงเมื่อตัวกระตุกเกร็ง ของเหลวอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความอภิรมย์สาดกระเซ็น และเป็นเทียนอี้ที่เป็นผู้เก็บกวาดคราบนั้นด้วยปลายลิ้น

ดูเหมือนว่าเขาจะติดใจรสชาติโอชาจากร่างกายของซิ่นเฉิงเสียแล้ว...

และไม่ใช่เพียงราตรีที่สอง ราตรีที่สาม สี่ ห้า และราตรีถัดไปก็เป็นเทียนอี้ที่ให้การดูแลมนุษย์หนุ่มจอมเกเรผู้นี้เป็นอย่างดี หากแต่คราวนี้หาใช่แค่การใช้มือและปากที่ปรนเปรอเพียงอวัยวะความเป็นชายให้ซิ่นเฉิงได้บรรเทากำหนัดอย่างเดียว เทียนอี้เกิดละโมบอย่างไม่สมควร สบโอกาสก็ยกขาทั้งสองข้างของซิ่นเฉิงขึ้นสูง ตวัดปลายลิ้นชำแรกสำรวจไปตามรอยจีบเล็กๆ ที่อยู่ทางด้านหลังของชายหนุ่ม

ในคราแรก ซิ่นเฉิงเองก็ป่ายปัดอยู่เหมือนกัน ทว่าฤทธิ์ของสมุนไพรเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีนั้นร้ายแรงตรงที่มันจะปลุกกำหนัดให้ทวีมากขึ้นในแต่ละวัน ถึงจะได้รับการปลดปล่อย กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าอาการจะทุเลาลงและดีขึ้น มันเป็นเพียงอาการบรรเทาชั่วครั้งคราวเท่านั้น อย่างที่เทียนอี้บอก... จนกว่าจะครบเจ็ดทิวา เจ็ดราตรี อาการนั้นจะไม่หายไป

เป็นดั่งการลงโทษจากสวรรค์ ซิ่นเฉิงโทษใครไม่ได้นอกจากตนเอง เขาจำต้องยอมรับความอับอายที่เกิดขึ้น

สองมือกำผ้าห่มแน่น ฟันบนและล่างขบเข้าหากันกรอด พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เมื่อถูกเทียนอี้ปลุกเร้าขึ้น แต่ก็ไม่อาจทนไหว เพียงแค่ปลายลิ้นและฝ่ามือหาได้ทำให้เขาเพียงพอเลยแม้แต่น้อย เมื่อเทียนอี้ละใบหน้าออกจากรอยแยกที่บั้นท้าย ซิ่นเฉิงก็ส่งเสียงกระเส่า
“อีก... มากกว่านี้อีก...”
“เจ้าหมายถึงสิ่งใด” คนฟังเอ่ยถาม ขณะที่ซิ่นเฉิงปรือดวงตาฉ่ำมอง
“สัมผัสข้าให้มากกว่านี้...”

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์สมุนไพรหรือเปล่าที่ทำให้ซิ่นเฉิงเอ่ยประโยคนี้ออกมา แต่ก็ทำให้เทียนอี้รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เขาปรนเปรอให้อยู่นั้นหาได้เพียงพอ

แล้วเช่นนั้นเขาจะทำอย่างไรงั้นหรือ?

เทพอสูรจ้องมองบุปผชาติที่แย้มออกเล็กน้อยคล้ายเชิญชวนให้เขาสัมผัส ก่อนจะมองสลับมาที่นิ้วมือของตนเอง

หรือจะต้องการให้เขาสำรวจลึกยังด้านใน?

ไม่ผิดแน่ ถึงจะเป็นเทพ ไม่เคยร่วมอภิรมย์ทางกายเฉกเช่นมนุษย์ แต่ก็หาใช่ว่าจะไม่รู้วิธีการ ก่อนเขาจะจับขาทั้งสองข้างของซิ่นเฉิงวางราบ ลุกขึ้นจากเตียงไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบเอาของบางอย่างออกจากลิ้นชักเล็กๆ

“เจ้าทำอะไร” ซิ่นเฉิงถามด้วยอารามสงสัย
เทียนอี้ถืออะไรบางอย่างในมือ ก่อนที่จะมีเสียงดังแกรบๆ ตามมา
“ตัดเล็บ”

ใช่... ตัดเล็บ ในมือของเขาถือมีดไขว้อันเล็กอยู่ และบรรจงตัดปลายเล็บแหลมคมที่งอกยาวจากปลายนิ้วทีละนิ้ว ยกขึ้นสำรวจดูว่าไม่มีร่องรอยความคมเป็นที่เรียบร้อยจึงค่อยกลับมานั่งลงที่เดิม

“เจ้าเป็นเทพอย่างไรกัน กิเลสช่างหนานัก” ซิ่นเฉิงอดไม่ได้ที่จะบริภาษ
อีกฝ่ายแสร้งทำหูทวนลม คว้าขาทั้งสองข้างของคนตรงหน้ารั้งขึ้นสูงดังเดิม
“ข้าเป็นเทพอสูร หาใช่เทพบนสวรรค์ดังเก่า ไม่จำเป็นต้องละกิเลสใดๆ ทั้งสิ้น”

จากนั้นก็ใช้ลิ้นเลียลงไปยังรอยแยกอีกครั้ง ดอกบุปผชาติตูมหุบเข้าหากันด้วยหวามไหว ซิ่นเฉิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วสรรพางก์กาย แก่นกายที่ได้รับการปลดปล่อยไปก่อนหน้าหลายครั้งหลายคราแข็งขืนขึ้นมาอีกระลอก ครั้นถูกปลายนิ้วสอดเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มก็บิดเร่าด้วยไม่คุ้นกับสัมผัสแปลกใหม่นี้

เทียนอี้ชะงักเล็กน้อย ลอบสังเกตอาการของซิ่นเฉิงว่าเป็นอย่างไร เมื่อไม่เห็นว่าแสดงอาการเจ็บปวดออกมา นอกจากสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยเพลิดเพลินกับความหฤหรรษ์ เขาจึงค่อยๆ ดุนดันปลายนิ้วนั้นเข้าไป

จากหนึ่ง...เป็นสอง

ช่องท้องของบุรุษทะเลทรายมวนไปหมดด้วยรู้สึกอึดอัด ฉับพลันก็กลายเป็นความยินดีเมื่อความเสียวซ่านแผ่กำจายไปทั่วเรือนร่าง เทียนอี้ขยับนิ้วทีละน้อย ก่อนจะสัมผัสถูกเข้ากับจุดชีพจรภายใน ขยับแรงกว่านี้อีกเล็กน้อย เสียงครางกระเส่าก็ดังลอดออกจากไรฟันของซิ่นเฉิง บริเวณนั้นช่างอ่อนไหวและไวต่อการสัมผัสเสียจนน่ารำคาญ ขณะเดียวกันก็เติมเต็มให้เขาได้มากกว่าเดิม
ซิ่นเฉิงแหงนหน้าขึ้นเมื่อถูกรุกเร้าเสียจนประคองสติไม่อยู่ เส้นผมสีนิลกระจายเต็มหมอน เหงื่อเม็ดโตผุดพรายทั่วกรอบหน้า อีกทั้งเรียวคิ้วกระบี่ก็ยังขมวดมุ่น สีหน้าและท่าทางดูทรมานนั้นก่อเกิดเป็นภาพงดงามในสายตาของเทียนอี้ เขาเองก็แทบไม่อาจทนต่อการยั่วเย้าของมนุษย์ผู้นี้ได้ไหว เกือบจะหลงมัวเมาไปด้วยอยู่แล้วเพราะร่างกายของเขาก็ร้อนรุ่มไม่ต่างกัน ธาตุหยินและหยางดูจะแปรปรวนน่าดู อวัยวะแห่งความเป็นชายถึงได้ดุนดันใต้ร่มผ้าถึงเพียงนี้ ทว่าก็ระงับความปรารถนานั้นได้ทันเมื่อซิ่นเฉิงถึงฝั่งฝันอีกระลอก คราวนี้เหมือนจะเร็วกว่าการถูกโลมเลียด้วยลิ้นและขบกัดด้วยปากเสียอีก

เป็นเทียนอี้ที่จัดการกลืนกินทุกหยาดหยด เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขาพึงพอใจได้...แม้ว่าครั้งนี้จะไม่ได้พึงใจอย่างเต็มที่นัก ด้วยเขาประสงค์จะสัมผัสร่างกายของซิ่นเฉิงมากกว่าที่เป็นอยู่

แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับราตรีนี้...

เทียนอี้ถอนนิ้วออกมา จัดระเบียบร่างกายของซิ่นเฉิงให้เข้าที่ ก่อนจะคว้าเอาผ้าสะอาดที่เตรียมไว้มาชุบน้ำในอ่างและบิดหมาด จากนั้นจึงนำมาเช็ดทำความสะอาดอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำให้ในราตรีก่อนๆ

ซิ่นเฉิงที่หายใจหอบเบาๆ ชำเลืองมอง เขาไม่อยากจะใส่ใจนักด้วยเริ่มคุ้นชินกับสิ่งที่เทียนอี้ทำให้แล้ว ปิดเปลือกตาลง หมายจะพักผ่อน กระนั้นก็ต้องหัวเสียเมื่อเทียนอี้ว่าขึ้น

“เหลือพรุ่งนี้อีกวัน เจ้าก็จะกลับสู่ปกติ”
“ข้าก็จะรอดพ้นจากการหยามเกียรติของเจ้า”

ซิ่งเฉิงจงใจพูดให้รู้ว่าความจริงคือสิ่งนี้ต่างหาก
เทียนอี้พ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย

“ข้าหาได้หยามเกียรติเจ้า”
“สิ่งที่เจ้าทำอยู่มันคือการหยามเกียรติ”
“ข้าก็แค่ทำความสะอาดให้ ดูแลเจ้าเฉกเช่นคนรับใช้อื่นๆ ในจวน ส่วนก่อนหน้านั้น เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่เรียกร้องให้ข้าทำเอง?”

ถูกยอกย้อนมาอย่างนี้ ซิ่นเฉิงก็พูดต่อไม่ออก

ก็จริงอยู่ที่เขาเรียกร้องให้เทียนอี้กระทำกับเขาให้มากกว่าที่เป็นอยู่ แต่เดิมทีแล้ว มันใช่เขาหรือที่เริ่ม เป็นเทียนอี้ผู้นี้ต่างหากเล่า! หากราตรีแรกเขาไม่โผล่เข้ามา ไม่สัมผัสร่างกายเขาอย่างถือวิสาสะ มีหรือจะเลยเถิดมาถึงเพียงนี้!?

“เจ้ามัน...น่าไม่อาย”
“ส่วนเจ้าก็ดื้อด้าน”

ปกติแล้ว เทียนอี้ไม่ชื่นชอบการถกเถียงเท่าไรนัก แต่กับซิ่นเฉิงมันจำเป็นเพราะต้องสั่งสอน

“เจ้าจะข่มเหงข้าไปถึงเมื่อไรกัน”
“แล้วเจ้าล่ะ คิดจะพยศไปถึงเมื่อไร ไม่เหนื่อยบ้างหรือ?”

ซิ่นเฉิงกลอกตา เหตุใดถึงมายอกย้อนเขาทุกคำพูดเยี่ยงนี้เล่า!?

“จะพยศหรือไม่ก็เป็นเรื่องของข้า หาได้เกี่ยวกับเจ้าไม่”
“พูดว่าไม่เกี่ยวกับข้าไม่ได้ เจ้าเป็นคนของจวนข้า ข้าคือผู้ปกครอง เรื่องของคนในจวนล้วนเป็นเรื่องของข้าทั้งสิ้น”

ได้ฟังดังนั้น ซิ่นเฉิงก็แค่นหัวเราะเย้ยออกมา
“คนของเจ้า... หึ ก็เพียงแค่ร่างกายของข้าเท่านั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นคนของเจ้า แต่หัวใจของข้าหาได้ยอมศิโรราบไม่”

เทียนอี้ถึงกับชะงักมือ เหลือบมองใบหน้าหยิ่งทระนงของอีกฝ่าย ก่อนจะส่งเสียงถอนหายใจออกมาให้ได้ยิน
“ข้าได้พูดไปแล้ว สิ่งใดที่ข้าเตือนหรือสั่งห้าม มันหมายถึงข้าได้พิจารณาแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดี เจ้าอยู่ใต้อาณัติข้า ก็ขอให้จงเชื่อฟังเถิด อย่าทำให้พ่อบ้านเหลียงหรือผู้อื่นในจวนต้องหนักใจไปมากกว่านี้”

หาได้ห่วงตนเองเลยแม้แต่น้อย หวั่นแต่เพียงว่าคนอื่นๆ จะพากันโลหิตในสมองแตกตายเพราะความดื้อรั้นของซิ่นเฉิงเสียมากกว่า

ซิ่นเฉิงก็ย่อมต้องเถียงกลับอยู่แล้ว ทว่าครานี้กลับชะงักเมื่อเทียนอี้พูดออกมาอีก
“หากเจ้าเชื่อฟังข้า ไม่แน่ภายภาคหน้าข้าอาจจะเอ็นดูเจ้ากว่านี้ก็เป็นได้ เจ้าอาจจะได้กลับไปยังทะเลทรายที่เจ้าจากมา”
เท่านั้นซิ่นเฉิงก็ลุกพรวด มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู

“กลับ? เจ้าหมายถึง...จะปล่อยข้า?”
“หากเจ้าเชื่อฟัง” เทียนอี้จ้องใบหน้าคร้ามของมนุษย์หนุ่ม พูดออกมาช้าๆ

เข้าใจแล้ว... แค่เชื่อฟังเท่านั้นใช่ไหม

ซิ่นเฉิงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง น่าอึดอัดใจเสียหน่อยที่จะต้องยอมสิ้นพยศให้เพียงเพราะอยากกลับไปยังทะเลทราย แต่เขาก็ยอมทำตาม... แค่ในตอนนี้

“ได้ ข้าจะยอมเชื่อฟังเจ้า”

เทียนอี้ไม่เชื่อนักหรอกว่าคนตรงหน้าจะทำได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากแบมือไปตรงหน้า เมื่อซิ่นเฉิงมองมือนั้นอย่างสงสัย เขาถึงได้พูดออกมา

“ส่งแขนของเจ้ามา ข้าจะทำแผลให้ใหม่”

บาดแผลที่ถูกคมดาบบาดยังคงไม่หายดี นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ได้รับการดูแลจากเทียนอี้เป็นอย่างดีทุกวัน

ซิ่นเฉิงส่งแขนข้างที่มีผ้าพันแผลให้ ปล่อยให้เทียนอี้ได้ทำแผลให้ใหม่ ขณะที่ในใจก็คิดไปด้วย

ศิโรราบเช่นนั้นหรือ? หากเจ้าอยากได้ความภักดีจากข้ามากนัก ข้าก็จะมอบให้ เจ้าสุนัขป่า...



 
ราตรีที่เจ็ดเยื้องย่าง ซิ่นเฉิงได้รับการปรนเปรอจากเทียนอี้อีกเช่นเคย อาการในค่ำคืนนี้แลดูจะรุนแรงกว่าทุกวัน เทียนอี้ต้องใช้เวลาหลายชั่วยามทีเดียวในการหยอกเย้าทุกจุดชีพจรของอีกฝ่าย การสอดใส่ปลายนิ้วเกิดขึ้นอีกครั้ง ซิ่นเฉิงหาได้รังเกียจ แต่ก็ไม่ได้ยินดี ขณะเดียวกันก็ช่างสร้างความรื่นรมย์ให้เขาไม่ใช่น้อย

กว่าการเยียวยาอาการกำหนัดจากสมุนไพรเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีจะเสร็จสิ้นก็ย่ำรุ่งสาง เทียนอี้เป็นฝ่ายที่ออกมาจากห้องก่อนเช่นทุกครา ปล่อยให้ซิ่นเฉิงซึ่งเสียพลังกายไปกับการปลดเปลื้องพายุอารมณ์ได้พักผ่อน หากแต่การกลับออกมาในเกือบอรุณรุ่ง ทำให้เขาได้พบกับพ่อบ้านเหลียงซึ่งตื่นมาทำหน้าที่อย่างทุกวันโดยไม่ได้ตั้งใจ ครั้นจะเดินผ่านหน้าไปไม่ทักทายก็ดูจะเป็นพิรุธ

แต่ต่อให้เขาเอ่ยทัก... ก็เป็นพิรุธเช่นกันด้วยเทียนอี้แลดูจะนิ่งขรึมมากเป็นพิเศษ
“ท่านแม่ทัพมีเรื่องใดไม่สบายใจหรือไม่ สีหน้าของท่านแลดูตึงเครียด”

ด้วยใบหน้าสุนัขป่านี้ ยังจะดูออกอีกหรือ?

เทียนอี้ถึงกับขมวดคิ้ว พลันก็สำนึกขึ้นได้ว่าเขาอยู่กับพ่อบ้านเหลียงมานานนับหลายร้อยปี ไม่แปลกนักถ้าหากจะดูออกว่าเทียนอี้มีความผิดปกติไปจากเดิม

“ไม่ได้มีเรื่องใดไม่สบายใจหรอก”
“ถ้าเช่นนั้นก็คงเป็นเพราะเจ้ามนุษย์นั่นกระมังที่ทำให้ท่านดูเหนื่อยอ่อนเช่นนี้”

พ่อบ้านเหลียงจับผิดในทันที ดวงตาสีเหลืองเข้มจ้องมองผู้เป็นนายอย่างขอคำตอบ ส่วนเทียนอี้ก็เหลือบมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนหลบสายตา

...ท่าทางค่อนข้างเป็นธรรมชาติ กระนั้นก็ยังออกพิรุธอยู่ดี

“ข้าเพียงแต่อ่านตำราจนไม่ได้นอน”
“แต่ข้าเห็นท่านออกมาจากห้องของซิ่นเฉิง หาได้ออกมาจากห้องหนังสือ” จับผิดไปอีกแล้ว

เทียนอี้ถึงกับย่นจมูก “เจ้าอยากจะถามสิ่งใดกับข้าก็ถามมาตรงๆ เถิด ไม่ต้องอ้อมค้อม”

โดนไล่ต้อนจนมุมแล้ว เทียนอี้จึงใช้การกล่าวตามตรงตามอุปนิสัยของตน ทำให้พ่อบ้านเหลียงได้เปิดปากถามไขข้อข้องใจ

“ท่านแม่ทัพบอกว่าจะเป็นผู้ดูแลซิ่นเฉิงเอง การที่ท่านเข้าไปในห้องของมนุษย์ผู้นั้นทุกวัน ท่านเข้าไปทำสิ่งใดหรือขอรับ?”

แสร้งถามไปเช่นนั้นแหละ มีหรือที่พ่อบ้านเหลียงจะไม่รู้ว่าเทียนอี้ไปกระทำสิ่งใด ถึงเขาจะเป็นเทพอสูรที่มีเรือนกายครึ่งหนึ่งเป็นจระเข้ แต่จมูกก็มีสัมผัสที่ไวเฉกเช่นกับเทียนอี้ ไยเลยเขาจะไม่ได้กลิ่นน้ำกามที่ติดตัวของผู้เป็นนายออกมา

“เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ไยถึงต้องถาม” เทียนอี้เลี่ยงที่จะไม่ตอบไปตามตรง เอ่ยถามกลับ
เท่านั้น พ่อบ้านเหลียงก็ทอดถอนหายใจ
“ท่านแม่ทัพ... ท่านจะเลยเถิดมากไปหน่อยกระมัง”

เทียนอี้ไม่เถียง สิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง

“แม้ท่านจะกลายเป็นเทพอสูร มีกิเลสตัณหาไม่ต่างจากมนุษย์ นับว่าเป็นเรื่องไม่ผิดแผก แต่หากท่านจะมีปฏิพัทธ์ทากายกับผู้ใด ขอให้ผู้นั้นเป็นสตรีจะได้หรือไม่ ท่านก็รู้ว่ากองทัพต้องการทหาร...”

“พ่อบ้านเหลียง” ก่อนที่พ่อบ้านเหลียงจะได้บ่นไปมากกว่านี้ เทียนอี้ก็ขัดขึ้นเสียก่อน เมื่ออีกฝ่ายหยุดพูด เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาอีกครา “ข้ารู้ เรื่องนั้นข้าเข้าใจดี เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว”

“เข้าใจดี แต่ท่านก็ยังไม่สนใจตบแต่งฮูหยินเข้าจวน กลับไปร่วมอภิรมย์กับเจ้ามนุษย์นิสัยน่ารังเกียจผู้นั้นเสียได้” พ่อบ้านเหลียงคล้ายจะยอม แต่สุดท้ายก็อดค่อนแคะไม่ได้
“ข้าไม่ได้ร่วมอภิรมย์ ข้าเพียงให้ความช่วยเหลือเท่านั้น” เทียนอี้แก้ต่าง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่กระทำ “และข้าก็ถือโอกาสสั่งสอนชายผู้นั้นด้วย ต่อจากนี้คงจะยอมศิโรราบให้กับข้าและเจ้ามากขึ้น”

ได้ยินเช่นนั้น พ่อบ้านเหลียงก็ไม่เชื่อหู นึกว่าเป็นเรื่องขบขันไปเสียด้วย
“คนอย่างนั้นน่ะหรือจะยอมศิโรราบให้ท่านโดยง่าย ให้ดอกท้อผลิบานในฤดูเหมันต์[1]ยังจะเชื่อง่ายกว่าอีกขอรับ”

ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แม้แต่เทียนอี้ยังไม่เชื่อเลย

“คงต้องรอดู” แม่ทัพเทพอสูรว่าเสียงเรียบ ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้ามีอะไรจะพูดคุยอีกหรือไม่ หากไม่มี ข้าก็อยากจะกลับไปพักผ่อน”
“เชิญท่านแม่ทัพเถิด”

เห็นผู้เป็นนายแสดงท่าทีเหนื่อยอ่อน พ่อบ้านเหลียงก็ไม่อยากรั้งไว้ ก่อนที่เทียนอี้จะพาร่างใหญ่ผละจากไป ปล่อยให้อีกฝ่ายมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วได้แต่ทอดถอนหายใจ

ศิโรราบเช่นนั้นหรือ? ไม่อาจนึกภาพมนุษย์กระด้างผู้นั้นออกเลย...



 
เมื่อหายจากอาการกำหนัดเป็นปลิดทิ้ง ซิ่นเฉิงก็กลับมานอนยังเรือนนอนของคนรับใช้ดังเดิม ครั้นครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเทียนอี้ก็พลันให้เจ็บใจ อีกทั้งยังอยากจะมุดแผ่นดินหนี หรือทำอะไรสักอย่างเพื่อล้างอายเสียเหลือเกิน

เจ้าสุนัขป่านั่น... กล้าดีเช่นไรถึงได้ลิ้มรสข้าไปทั่วทุกอณูอย่างนั้น!

ได้แต่เค้นถามคำถามนี้ในใจไปมา ความคิดที่ผุดพรายขึ้นมาในหัวมีแต่อยากจะสังหารเทพอสูรผู้นั้นให้สิ้นซากอย่างเดียวเท่านั้น ทว่าก็ตระหนักได้ว่าเทียนอี้ได้พูดเอาไว้ว่าเช่นไร

‘หากเจ้าเชื่อฟังข้า ไม่แน่ภายภาคหน้าข้าอาจจะเอ็นดูเจ้ากว่านี้ก็เป็นได้ เจ้าอาจจะได้กลับไปยังทะเลทรายที่เจ้าจากมา’

เป็นความปรารถนาหนึ่งเดียวของเขาในยามนี้ ดังนั้น ซิ่นเฉิงจึงวางตัวดีเป็นพิเศษ การเชื่อฟังคำสั่งของพ่อบ้านเหลียง ให้ความร่วมมือกับทุกภาระหน้าที่ผิดหูผิดตาช่างสร้างความประหลาดให้ให้กับคนในจวนแม่ทัพเทียนอี้ไม่น้อย แต่ก็หาได้มีผู้ใดทักท้วงใดๆ ด้วยต่างเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า...นั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้ว

ไม่มีผู้ใดอยากจะตกแต่งสวนของท่านแม่ทัพใหม่เป็นครั้งที่สองหรอก การที่ซิ่นเฉิงไม่อาละวาด ถือเป็นวาสนาอันประเสริฐของพวกเขา

แต่...หารู้ไม่ว่าที่ซิ่นเฉิงแกล้งทำตัวดีนั้นเป็นเพราะเขามีแผนการในใจ

ชายหนุ่มที่แบกถังน้ำไปรดน้ำในสวนคอยลอบมองขอบกำแพงรั้วจวนทุกคราที่เดินผ่าน สายตากวาดมองหาช่องทางหลบหนีในยามวิกาล บริเวณนี้มีแมกไม้สูงอยู่มาก หากใช้ในการหลบหนีออกไปก็คงไม่ยากนัก เหลือก็เพียงหาโอกาสเหมาะๆ เพื่อหลบหนีเท่านั้น

คิดแล้วก็กระหยิ่มยิ้มในใจ เทพอสูรตนนั้นคิดหรือว่าจะเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้ อย่าลืมสิว่าเขาเองก็มีวรยุทธ การให้เขาได้เดินเหินอย่างอิสระในจวนแห่งนี้ นับว่าเป็นความประมาทเลินเล่อโดยแท้

ส่วนพวกเครื่องประดับของเขาที่เทียนอี้เก็บไว้น่ะหรือ?

ช่างมันเถิด การเอาชีวิตออกจากแคว้นเฟิงฝูสำคัญกว่าเป็นไหนๆ!

แสร้งทำตัวดีจนถึงเวลาอันเหมาะสม ซิ่นเฉิงที่วางแผนมาเป็นอย่างดีลอบออกจากเรือนนอนในยามดึก ราตรีนี้เทียนอี้ไม่อยู่จวน ได้ยินคนรับใช้คนอื่นพูดกันว่าเขามีเรื่องให้ต้องไปหารือกับเหล่าเทพอสูรชั้นสูงตนอื่นที่จวนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับใช้ในการประชุมของเทพอสูร หากเปรียบเทียบกับศักดินามนุษย์ จวนศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เปรียบเสมือนราชสำนัก หากแต่ไร้ซึ่งจักรพรรดิ มีเพียงผู้นำทัพทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋นเท่านั้นเป็นผู้ปกครองแคว้น และเทียนอี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้น  ซิ่นเฉิงเองก็เพิ่งรู้ในคราวนี้ว่าตำแหน่งแม่ทัพสวรรค์นั้นต่างจากตำแหน่งแม่ทัพของมนุษย์เพียงใด

หากแต่นั่นหาใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ ทางสะดวกแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่รีบทำตามแผน

ซิ่นเฉิงวิ่งด้วยฝีเท้าแผ่วเบาราวแมวย่องไปยังขอบกำแพงที่มีแมกไม้สูงซึ่งได้มาดหมายให้เป็นช่องทางหนีเมื่อครั้งก่อน พลันดีดตัวขึ้นลอยในอากาศ คว้าเอาขอบกำแพงแล้วโจนทะยานข้ามฝั่งไป

ทางสะดวกยิ่งนัก... การที่เทียนอี้ออกไปเสวนาเช่นนี้ ย่อมนำทหารในจวนไปด้วยส่วนหนึ่ง หูตาในจวนแห่งนี้จึงลดน้อยลงเป็นเท่าตัว ท้องฟ้าไร้แสงจันทร์ เมฆปกคลุมจนค่ำคืนนี้มืดมิดกว่าทุกวัน สวรรค์ช่างเป็นใจให้กับเจ้าแมวป่าหลบหนีเสียเหลือเกิน

“คิดหรือว่าข้าจะยอมศิโรราบให้เจ้าจริงๆ เจ้าหมาโง่”

ซิ่นเฉิงพึมพำ ทันทีที่เท้าเหยียบย่างอยู่พื้นเบื้องล่าง เขาก็ไม่รอช้า ใช้วรยุทธที่มีเหาะเหินเดินอากาศ มุ่งหน้าไปยังประตูแคว้น
คืนนี้ทางสะดวกจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่ในจวน ภายนอกก็มีทหารเฝ้าประจำการบางตา เห็นทีเขาคงจะหนีกลับไปยังผืนทรายบ้านเกิดได้ไม่ยาก

ทว่า...ขณะที่กำลังจะเคลื่อนตัวไปถึงประตูแคว้นนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างจากทางด้านหลัง ซิ่นเฉิงกระโดดหลบหลีกทันที ก่อนจะเห็นคมมีดสั้นที่ถูกปามาโดยใครบางคนที่ไม่รู้ว่ามาจากทิศทางใด

“เจ้าคิดจะออกนอกแคว้นโดยไม่บอกกล่าวผู้ใดเช่นนั้นหรือ?”
ฉับพลันเสียงแหบห้าวก็ดังขึ้น ซิ่นเฉิงทิ้งตัวลงสู่พื้นเบื้องล่างเพื่อตั้งหลัก กดเสียงต่ำถาม
“เจ้าเป็นใคร”
“ข้าสิต้องถามเจ้าว่าเป็นใคร เหตุใดจึงได้ร้อนรน ท่าทางส่อพิรุธเช่นนี้ คงจะหนีผู้ใดมากระมัง”

ถูกต้องอย่างที่อีกฝ่ายพูด ทว่าก็หาใช่เรื่องที่ซิ่นเฉิงจะมาตอบ เขาต้องหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดต่างหาก

คิดได้ดังนั้นก็ตั้งท่าจะหนีอีก ให้สู้คงเป็นเรื่องยากด้วยเรื่องพละกำลัง อีกทั้งยังไร้ซึ่งอาวุธ เขาไม่มีทางสู้เทพอสูรได้อยู่แล้ว

หากแต่เมื่อหันหลังหนี มีดสั้นก็ถูกขว้างเข้าใส่ ถากไปที่ต้นแขนจนเลือดไหลนอง ซิ่นเฉิงเบ้หน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด และเมื่อทำท่าจะหลบหนีอีกครั้ง มีดสั้นอีกอันก็ถูกขว้างใส่ยังต้นขา แม้จะเพียงเฉียดๆ แต่ก็สร้างความปวดแปลบให้ชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี อะไรไม่ว่า เขากำลังรู้สึกว่า...มันชา

ชาจนขยับเขยื้อนไม่ได้ ทรุดฮวบลงกับพื้น ใจเต้นระส่ำด้วยตระหนก สัญชาตญาณรับรู้ได้โดยพลันว่ามีดเล่มนั้น..อาบยาพิษ!

“เพียงยาทำให้เป็นเหน็บชาเท่านั้น หาใช่ยาพิษร้ายแรง” อีกฝ่ายราวกับรับรู้ได้ว่าซิ่นเฉิงตระหนกด้วยเรื่องอะไร

ได้ยินดังนั้นก็พอจะเบาใจได้บ้าง ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะถามเสียงแข็งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ปรากฏตัวให้เห็นเสียที
“แล้วเจ้าเป็นใคร ไยถึงได้ยื่นมือเข้ามาสอดเรื่องของข้า!”

“ข้าน่ะหรือ?” น้ำเสียงห้าวถาม ก่อนที่จะค่อยๆ ปรากฏเงาตะคุ่มในความมืดตรงหน้า ไม่นานนัก ร่างสูงก็เผยให้เห็นอย่างชัดเจน
เขาเป็นเทพอสูรที่มีรูปร่างสูงใหญ่ไม่ต่างจากเทียนอี้ สวมชุดเกราะอ่อนบ่งบอกถึงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ หากทว่าสิ่งใดก็ไม่ทำให้ซิ่นเฉิงตระหนกได้เท่ากับการเห็นหน้าของเทพอสูรผู้นั้น

...เกล็ดสีดำสลับเหลืองขึ้นเต็มตามเนื้อตัว ดวงตาสีเหลืองเข้ม กลางหน้าผากสีสัญลักษณ์รูปร่างแปลกตาประดับอยู่ เมื่ออ้าปากก็ปรากฏเขี้ยวยาวงองุ้มให้เห็นเด่นชัด อีกทั้งยังมีลิ้นสองแฉกสีนิลกาฬอีก

นั่นมัน...งูจงอาง!?

จากที่ตระหนกอยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายถึงกับสั่นเทา เทพอสูรผู้นี้เป็นมนุษย์ครึ่งสัตว์เลือดเย็นเช่นเดียวกับพ่อบ้านเหลียง แต่ความน่าเกรงขามช่างต่างกันยิ่งนัก เขามีรัศมีชวนให้ยำเกรงไม่ต่างอะไรจากเทียนอี้เลยแม้แต่น้อย

ขณะที่อีกฝ่ายแค่นหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นสีหน้าพรึงเพริดของมนุษย์หนุ่ม ก่อนจะเอ่ยนามตนเองออกมา

“ข้าคือเจี้ยนสือ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฟิงฝู”




5 เหมันต์ คือ ฤดูหนาว

***************************

นายน์มาแล้วค่ะ มาพร้อมกับความวีดวิ้วของท่านแม่ทัพ

เสี่ยวเฉิงยังคงดื้อเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโดนจัดไปหลายดอก (แต่ยังไม่ได้กัน 555)

ตัวละครใหม่เริ่มโผล่มาแล้วค่ะ ตอนหน้าคงจะมีมาเพิ่มอีก

ขอกำลังใจให้นายน์ด้วยนะคะ แล้วรออ่านกันนะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 6: ศิโรราบ[31/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 31-08-2017 11:11:31
โอ๊ยๆโผล่มาอีกคน อร๊ายเลือกใครดี แต่ท่านแม่ทัพเทียนอี้ดีแล้วนะว่า
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 6: ศิโรราบ[31/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 31-08-2017 11:19:56
รอตอนต่อไปจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 6: ศิโรราบ[31/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 31-08-2017 13:34:05
แม่ทัพใหญ่ น่ากลัวไปอีก

แหม นึกว่าจะไม่รอดจาก7วัน7คืนซะอีก
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 6: ศิโรราบ[31/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 31-08-2017 19:18:28
7วัน 7คืน นังจะมีแรงหนีอีกน่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 6: ศิโรราบ[31/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-08-2017 19:53:57
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 6: ศิโรราบ[31/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 31-08-2017 20:39:50
พยายามนึกถึงหน้าแม่ทัพจงอางให้ดูน่าเกรงขามอยู่ค่ะ :hao5:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 6: ศิโรราบ[31/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 31-08-2017 20:51:55
ขนลุกอ่ะ  อยู่กับแม่ทัพหมาออกจะน่ารักกว่า  ทำไมต้องหาเรื่องใส่ด้วยนะเฉิงเฉิง
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 6: ศิโรราบ[31/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-09-2017 08:05:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 6: ศิโรราบ[31/6/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 01-09-2017 12:09:08
บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง

ความรีบร้อนของพ่อบ้านเหลียงที่มุ่งตรงมายังจวนศักดิ์สิทธิ์  อีกทั้งยังขอเข้าพบแม่ทัพใหญ่เทียนอี้เป็นการเร่งด่วน ทำให้เทียนอี้สังหรณ์ใจขึ้นมาไม่ได้ว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงเข้า และเรื่องนั้นคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของซิ่นเฉิง ซึ่งก็จริงอย่างที่คาดการณ์ไว้ เมื่อเขารับรู้ว่ามนุษย์หนุ่มผู้นั้นหลบหนีออกจากจวน แม้มันจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ก็ทำให้เทียนอี้ขุ่นใจอยู่พอควร
ช่างเลี้ยงไม่เชื่อง จะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็ล้วนแต่ไม่ทำให้เจ้าแมวป่าตัวนั้นเลิกพยศได้ทั้งนั้น

เป็นความจริงที่เทียนอี้ประจักษ์อย่างลึกซึ้ง ก่อนที่เขาจะขอตัวปลีกการประชุมเพื่อกลับจวนก่อน ด้วยเกรงว่าซิ่นเฉิงที่หนีไปจะไปก่อเรื่องวุ่นวายใดๆ ให้กับผู้อื่นแคว้นเฟิงฝู

แต่นั่น...ก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้าง แท้จริงแล้ว การหายตัวไปของบุรุษทะเลทรายผู้นั้นสร้างความวิตกให้กับเทียนอี้อยู่ไม่น้อย หากจะปฏิเสธว่าไม่เป็นห่วงก็คงเป็นการโกหก เทียนอี้เป็นห่วง แต่เขาเป็นห่วงเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นคนของจวนเขา

ซึ่ง...ก็เป็นข้ออ้างเช่นกัน

เทพอสูรเป็นห่วงเจ้าคนดื้อด้านนั่นเสียจนออกอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด แม้จะหงุดหงิดใจไม่น้อยที่มีอาการนี้ กระนั้นก็หาได้สนใจเค้นเอาคำตอบว่าเพราะเหตุใดถึงได้เป็นห่วงซิ่นเฉิงเสียขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเขายังคงหลงใหลในรสสัมผัสของร่างกายนั้นก็เป็นได้ ถึงทำให้ไม่อยากให้ซิ่นเฉิงจากไปถึงเพียงนี้

เทียนอี้เกณฑ์ไพร่พลและทหารสังกัดจวนของเขาออกตามหา ขณะที่เขาก็เตรียมพร้อมที่จะมุ่งหน้าสู่ทะเลทรายเพื่อไปตามตัวชายผู้นั้นกลับมาเช่นกัน หากทว่ายังไม่ทันจะได้ขึ้นหลังม้า พ่อบ้านเหลียงที่ได้รับคำสั่งให้กลับไปดูแลความเรียบร้อยที่จวนก็ส่งคนรับใช้มาแจ้งข่าวเสียก่อน

“ท่านแม่ทัพขอรับ พ่อบ้านเหลียงขอให้ท่านกลับจวนเร่งด่วน”
“มีเรื่องอันใด” เทพอสูรหันไปถาม ก่อนคนรับใช้มนุษย์คนนั้นจะตอบเร็วๆ
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือมาขอพบขอรับ”
“เจี้ยนสือหรือ?”

เทียนอี้อดสงสัยไม่ได้ ร้อยวันพันปี เจี้ยนสือหาได้มาเหยียบย่างจวนของเขาหลายปีแล้ว จะเจอหน้าและเสวนากันก็ต่อเมื่อได้พบพานกันภายนอกจวนเท่านั้น การที่อีกฝ่ายมาเยือนถึงที่ คงจะมีเรื่องสำคัญ

“พวกเจ้ารอข้าก่อน ข้าจะกลับจวนสักครู่” เทียนอี้หันไปสั่งทหาร ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้า ควบกลับไปยังจวนของตน
ไม่นานนักก็มาถึง ครั้นเห็นแม่ทัพใหญ่กลับมา พ่อบ้านเหลียงก็รีบเดินลงจากเรือนใหญ่ตรงไปหาทันที

“เจี้ยนสือมีธุระอันใด” เห็นหน้าพ่อบ้านเหลียงก็เอ่ยปากถามทันที
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือพาเจ้าคนทะเลทรายกลับมาส่งขอรับ”

เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เทียนอี้ก็ชะงักขากึก
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือพาซิ่นเฉิงกลับมาส่ง เขาบอกว่าเขาเจอ...”
“ราตรีนี้ ทหารสังกัดจวนของข้ารับหน้าที่ประจำเวรยาม เมื่อชั่วยามก่อน ข้าไปตรวจดูความเรียบร้อย แล้วก็เจอเจ้านี่กำลังจะหนีออกนอกแคว้นเข้า ท่าทางส่อพิรุธ ข้าเลยจับตัวไว้ เคยได้ยินคนรับใช้ของเจ้าพูดว่าที่จวนมีแมวป่าไม่เชื่องอยู่ตัวหนึ่ง จึงลองเอามาให้ดูว่าใช่แมวของเจ้าที่หนีหายไปหรือไม่”

พูดยังไม่ทันจบ เจี้ยนสือที่รออยู่ในห้องรับรองเมื่อครู่ก็โผล่หน้าออกมาตรงระเบียง เทียนอี้ปรายตามองแม่ทัพงูจงอางแล้วก็เดินตรงเข้าไปมา ทันทีที่เข้ามายังห้องรับรอง ก็เห็นซิ่นเฉิงในสภาพเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผงถูกมัดและนั่งคุกเข่าอยู่ตรงพื้นเบื้องหน้า สีหน้าของชายหนุ่มดูกราดเกรี้ยวสุดทน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะได้เห็นสีหน้านี้จากเขา แต่ที่ทำให้เทียนอี้ย่นจมูกด้วยไม่พอใจ เป็นเพราะคราบโลหิตที่ไหลซึมออกมาจากต้นแขนและขาของซิ่นเฉิง

“บาดเจ็บรึ?” พูดพลางหันไปมองยังเจี้ยนสือ
คำถามนี้เหมือนจะถามกับซิ่นเฉิง แต่เปล่าเลย เขากำลังถามเจี้ยนสือต่างหากว่าเป็นฝีมือของอีกฝ่ายใช่หรือไม่

เจี้ยนสืออ่านแววตาของสหายออก
“ก็แค่สกัดไว้ ไม่ให้หนีไปได้”
“มันอาบยาพิษ” จมูกสุนัขป่าได้กลิ่นชวนผิดแผกทันควัน

เจี้ยนสือส่งเสียงดังฟ่อออกมาเล็กน้อย มันเป็นเสียงระบายลมหายใจ
“ยาชาน่ะ ไม่ถึงแก่ชีวิต”

เท่านั้น เทียนอี้ก็คลายความกังวลลง ก่อนจะสั่งกับพ่อบ้านเหลียง
“พาซิ่นเฉิงไปทำแผลที่ห้องโอสถก่อน”

พ่อบ้านเหลียงรับคำสั่ง ก่อนพยักหน้าเรียกคนรับใช้พยุงซิ่นเฉิงไป ขณะที่ซิ่นเฉิงเอาแต่ออกอาการกระฟัดกระเฟียด ไม่ยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องเนื้อตัว อีกทั้งยังโวยวายด่าทอบรรดาเทพอสูรที่อยู่ตรงนั้นโดยไม่สนใจว่าจะเป็นผู้ใด

การกระทำของเขาทำเอาเจี้ยนสือมองตามด้วยขัดใจ เหตุใดมนุษย์ถึงได้กล้ากระด้างกระเดื่องกับพวกเขาซึ่งเป็นเทพอสูรถึงเพียงนี้?

“แมวของเจ้าช่างไม่น่าเอ็นดูเอาเสียเลย ดูท่าทางเจ้านั่นจะไม่ชื่นชอบเทพอสูรสักเท่าไร”
“หมดธุระของเจ้าแล้วก็กลับไปเถิด นำตัวซิ่นเฉิงมาส่งคืน ข้าจะถือเอาว่าเป็นบุญคุณ มีโอกาสเมื่อใด ข้าจะตอบแทน ขอบใจเจ้ามาก”

ได้ยินเจี้ยนสือพูด เทียนอี้ก็ตัดบททันควัน ทำเอาอีกฝ่ายหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เจ้าไม่คิดจะชวนข้าดื่มชาก่อนหน่อยหรือ?”
“พ่อบ้านเหลียง... ฝากส่งแขกด้วย”

เทียนอี้ตัดบทอีกครา ท่าทางนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยากจะเสวนากับเจี้ยนสือสักนิด ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่ที่เรื่องนั้นเกิดขึ้น จนถึงวันนี้ก็หลายร้อยปีแล้ว หากไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ ดูท่าแม่ทัพใหญ่ทั้งสองคงจะไม่มีบทสนทนาดีๆ แม้แต่น้อย
พ่อบ้านเหลียงเข้าใจดี จึงไม่อยากจะคะยั้นคะยอใดๆ เมื่อได้รับคำสั่งก็ทำตามอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

“เชิญท่านแม่ทัพเจี้ยนสือขอรับ...”
เจี้ยนสือเองก็ใช่จะเป็นพวกพูดไม่รู้เรื่อง เมื่อเจ้าของจวนไม่ต้อนรับอีกต่อไป เขาก็ก้าวออกจากจวนและหายออกไปในความมืด ปล่อยให้เทียนอี้ได้ระบายลมหายใจแล้วเดินตรงไปยังห้องโอสถ




 
เรื่องที่ซิ่นเฉิงไม่ชอบเทพอสูรนั้น แม้แต่เทียนอี้เองก็รับรู้ได้ ทั้งกิริยาและท่าทาง ซิ่นเฉิงล้วนแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารังเกียจเดียดฉันท์เพียงใด อีกทั้งยังพานมารังเกียจเหล่ามนุษย์ที่ทำงานรับใช้เทพอสูรเสียอีกด้วย คราแรกก็ว่าจะไม่คิดสนใจ ทว่าเมื่อเจี้ยนสือพูด เขาก็อดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงมีเหตุผลอะไร แต่ก็ไม่คิดจะถาม นอกจากไล่คนรับใช้คนอื่นออกไป แล้วลงมือทำแผลให้อีกฝ่ายด้วยตนเอง

“ต้องมีบาดแผลบนตัวมากอีกเท่าใด เจ้าถึงจะยอมเชื่อฟังข้ากัน”
ทำไปก็บ่นไป ซิ่นเฉิงที่นั่งนิ่งๆ ให้เทพอสูรสุนัขป่าชำระล้างบาดแผลให้ขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“เรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า เจ้าเป็นคนของจวนข้า จำไม่ได้หรือ?”
“เหอะ!”
ถูกย้อนกลับอย่างนั้น ซิ่นเฉิงก็ส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ

คนของจวนเจ้างั้นหรือ? ได้ยินแล้วช่างแสลงหูยิ่งนัก!

เทียนอี้ชำเลืองมอง เห็นซิ่นเฉิงทำหน้าเหมือนท้องผูกก็พอจะเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่ จึงสบโอกาสถามเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจออกมา
“เจ้ามีอะไรไม่ชอบใจเทพอสูรหรือไร ไยถึงได้ไม่อยากเป็นมิตรกับพวกข้านัก?”
ซิ่นเฉิงจ้องหน้าคนพูดทันควัน “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”

พูดประโยคเดิมอีกแล้ว เทียนอี้เหนื่อยหน่ายขึ้นมา ก่อนจะแกล้งออกแรงบีบแผลที่ต้นแขนอีกฝ่ายเล็กน้อย ทำเอาซิ่นเฉิงถึงกับสะดุ้ง แผดเสียงใส่ตัวการทันควัน
“เจ้า! มันเจ็บนะ!”
“เจ้าก็หยุดดื้อด้านเสียที ข้าถามเจ้าดีๆ ก็จงตอบดีๆ”

เทียนอี้ดุขึ้นมาแล้ว แต่ก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงยอมเพลาความพยศได้เลย
“ข้าไม่มีเหตุผลใดจะต้องเสวนาดีๆ กับอมนุษย์ที่สังหารมารดาข้าอย่างเจ้า!”

อา... เข้าใจแล้วว่าทำไมซิ่นเฉิงถึงได้นึกรังเกียจเทพอสูรนัก ที่แท้ก็เคยมีความหลังกันมาก่อน

แต่กระนั้น เทียนอี้ก็หาได้เชื่อว่ามารดาของซิ่นเฉิงจะถูกสังหารโดยเทพอสูร ถึงจะไม่ได้เป็นเทพแล้ว แต่ในเหล่าเทพอสูรด้วยกันก็มีกฎเกณฑ์ที่ต่างต้องปฏิบัติตาม การสังหารมนุษย์ถือเป็นเรื่องต้องห้ามที่ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง และตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเทพอสูรตนใดทำร้ายมนุษย์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ต่อให้มนุษย์มอบกายและใจเป็นทาส ทว่าพวกเขาก็ปกครองโดยชอบธรรมมาตลอด หาได้ข่มเหงรังแก นอกเสียจากมีการลงโทษบ้างเมื่อมนุษย์ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของแคว้นเฟิงฝู ส่วนเรื่องโทษถึงแก่ชีวิตนั้น...ก็แค่คำขู่ที่หาได้เคยเกิดขึ้นไม่

เพราะคิดอย่างนั้น จึงได้ถามออกไป
“แม่ของเจ้า... ถูกสังหารเช่นไร”

ซิ่นเฉิงมองหน้าคนถาม ดวงตาสีนิลประกายวาวด้วยความโกรธแค้น เขาไม่จำเป็นที่จะต้องเล่าใดๆ ให้คนตรงหน้าฟังสักนิด
“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรแส่”

ช่างหยาบคายนัก... เทียนอี้จ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง

“ซิ่นเฉิง... บอกข้า”
เพียงประโยคสั้นๆ ก็ทำให้คู่สนทนาชะงักงัน เทียนอี้ไม่ได้ดุด่า ไม่ได้ออกคำสั่ง แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นทรงไปด้วยอำนาจ ทำเอาคนฟังถึงกับชั่งใจไปครู่ว่าจะพูดดีหรือไม่ หากทว่าสุดท้ายแล้วก็ทำในสิ่งตรงกันข้าม

“ข้าไม่เห็นว่ามีประโยชน์อันใดที่จะต้องเล่าให้อมนุษย์เช่นเจ้าฟัง!”
“เผื่อว่าข้าจะช่วยเยียวยาเจ้าได้”

น้ำเสียงทุ้มที่เปล่งออกไปนั้นแฝงไปด้วยความห่วงใย เทียนอี้ก็ไม่เข้าใจตัวเองนักหรอกว่าเหตุใดถึงได้เอ่ยไปเช่นนี้ ขณะเดียวกัน ซิ่นเฉิงก็รู้สึกอุ่นวาบในใจขึ้นมาอย่างประหลาด เป็นความรู้สึกที่หาได้เคยเกิดขึ้นกับผู้ใดมาก่อน นอกเสียจากยามได้ยินซิ่นจินพูดปลอบประโลม

หรือสิ่งที่คนตรงหน้าทำอยู่คือการปลอบประโลมเขากัน?

แต่...อีกฝ่ายเป็นอมนุษย์ซึ่งพรากชีวิตมารดาของเขาไป มีเหตุผลใดกันเล่าที่จะต้องเชื่อฟัง ความผิดพลาดจากการเชื่อฟังมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วไม่ใช่หรือ!?

ย้อนนึกถึงอดีต ซิ่นเฉิงก็กำมือแน่น ความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจทำให้เขาแค้นเคืองเทียนอี้จนร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมาน้อยๆ

ภาพของมารดาที่สิ้นลมหายใจไปต่อหน้า...

เสียงร้องไห้ระงมของซิ่นจิน...

สีหน้าเศร้าสลดเมื่อสิ้นฮูหยินอันเป็นที่รักของบิดา...

ล้วนแล้วทำให้ซิ่นเฉิงแค้นใจเทพอสูรทั้งสิ้น!

“ไม่ต้องคิดมาปลอบประโลมข้า เจ้าไม่เคยต้องสูญเสียสิ่งล้ำค่า เจ้าจะไปเข้าใจสิ่งใด!”
ชายหนุ่มตะคอกใส่สุดเสียง เทียนอี้ถึงกับย่นคิ้ว
“ข้าไม่เคยสูญเสียเช่นนั้นหรือ?”

เมื่อถูกถามกลับ ซิ่นเฉิงก็ไม่ปริปากพูดใดๆ จ้องมองดวงตาของเทพอสูรตรงหน้านิ่ง ในแววตานั้นปรากฎความเจ็บปวดให้เห็นอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะมลายหายไปเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากพูด

“ซิ่นเฉิง... ข้ามีบางอย่างจะให้เจ้าดู”
พูดจบ เทียนอี้ก็เดินออกไปยังนอกระเบียง ซิ่นเฉิงเดินตามไปโดยดุษณี ทั้งที่จริงแล้ว เขาควรจะพยศมากกว่า ทว่าก็มีบางสิ่งดลใจให้เขาต้องตามไป อาจเป็นเพราะใคร่รู้ก็เป็นได้

เทียนอี้มาหยุดตรงหน้าสวนบุปผชาติ ก่อนเขาจะก้าวลงจากเรือนใหญ่ ตรงไปยังพื้นที่ปูด้วยแผ่นหินทีละก้าว

ครั้นฝ่าเท้าสัมผัสยังพื้นเย็นเยียบ รอบข้างก็เงียบงัน ซิ่นเฉิงได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองอย่างชัดเจน อีกทั้งเสียงหัวใจเต้นเมื่อเห็นว่าภาพร่างใหญ่เบื้องหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อต้องแสงสว่างของจันทราที่สาดส่องลงมาอาบร่างนั้น

ร่างกายครึ่งมนุษย์ ครึ่งสุนัขป่าเปลี่ยนผัน ความสูงใหญ่ดั่งอสุรกายหดย่อเหลือเพียงความสูงเทียบเท่ามนุษย์ กระนั้นก็ยังสูงอยู่ดีถ้าหากเทียบกับซิ่นเฉิงแล้ว แต่นั่นก็หาใช่สิ่งที่ทำให้ซิ่นเฉิงตกตะลึงไปมากกว่าภาพใบหน้าของชายหนุ่มที่มองปราดเดียวก็รับรู้ได้ว่างามงดปานล่มเมือง เส้นผมสีเงินยวงปลิวไสวเมื่อต้องลมเอื่อยๆ ที่พัดผ่าน ดวงตาสีทองอำพันคู่นั้น... ซิ่นเฉิงจำได้ดีว่ามันเป็นของผู้ใด

ทะ...เทียนอี้...คืนร่างเป็นมนุษย์!?

ไม่สิ ไม่ใช่ เป็นเทพต่างหาก นั่นคือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา!

ซิ่นเฉิงหยุดหายใจไปแล้ว ทั้งตะลึงงันกับอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ทั้งตกอยู่ในภวังค์มนตราเมื่อได้เห็นความงดงามองอาจของกายแท้เทพอสูร

“ภาพที่เจ้าเห็นตรงหน้า พอจะเรียกว่าเป็นสิ่งล้ำค่าของข้าได้ไหม”

ไร้ซึ่งคำตอบจากซิ่นเฉิง เขายังคงตะลึงงัน ยืนนิ่งราวกับหิน จนเทียนอี้ก้าวเข้ามาใกล้

“ว่าอย่างไร สิ่งที่เจ้าเห็น เข้าว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่าของข้าหรือเปล่า?”
“เจ้า...” เป็นคำแรกที่ซิ่นเฉิงเอ่ยออกมา สายตายังจับจ้องไปยังใบหน้าคร้ามได้รูป

เทียนอี้... อมนุษย์ที่มีรูปโฉมเป็นสุนัขป่าผู้นั้น เมื่อครั้งยังเป็นเทพ เหตุใดถึงได้งดงามปานล่มเมืองถึงเพียงนี้?

เผลอคิดไปอย่างนี้จนได้ ตั้งแต่เกิดมา ซิ่นเฉิงหาได้เคยประสบกับบุรุษใดที่งามสง่าเช่นนี้มาก่อน จะว่างามอย่างสตรีก็ไม่เชิงนัก ...งามองอาจ ...งามสมเป็นบุรุษ ...งามสะท้านแผ่นดิน ..งาม...

ช่างยากจะพรรณนานัก!

“นี่ร่างที่แท้จริงของเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ซิ่นเฉิงยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ยามร่างกายต้องแสงจันทร์ ร่างของข้าจะเปลี่ยนผัน ...ลองสัมผัสข้าดูสิ”

ไม่เพียงแค่พูด เทียนอี้ยังเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของชายหนุ่มตรงหน้าให้มาสัมผัสกับซีกหน้าข้างหนึ่งของตน ผิวกายอุ่นร้อนที่แล่นผ่านปลายนิ้วทำให้ซิ่นเฉิงตระหนักได้ว่าสิ่งที่เห็นคือของจริง เขาไล้ปลายนิ้วไปตามแนวสันกรามได้รูปของเทียนอี้ จากนั้นก็ลากแตะไปยังโหนกแก้ม สันจมูก ไล่ต่ำลงมายังริมฝีปาก

ทุกสิ่ง...ล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น…

“เจ้า...งดงามมาก”
ตกอยู่ในภวังค์ดิ่งลึก ซิ่นเฉิงครางออกมาราวกับต้องมนตร์สะกด เทียนอี้ยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะดึงมือของอีกฝ่ายที่คลอเคลียอยู่บนใบหน้าตนเองออก

“ใช่ งดงาม แต่มันหาใช่รูปกายที่แท้จริงของข้าอีกต่อไป”

สิ้นเสียง เทียนอี้ก็เดินกลับเข้ามาที่ระเบียงของเรือนใหญ่ แสงจันทราสาดส่องไปไม่ถึง ฉับพลันเรือนร่างงามนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นอมนุษย์ดังเดิม

“นี่สิคือกายแท้ของข้า”

ซิ่นเฉิงมองอีกฝ่ายที่กลับคืนสู่ร่างของเทพอสูรด้วยความรู้สึกเบาโหวงในใจ ความเจ็บปวดของเทียนอี้นั้น แม้จะเป็นคนละอย่างกับเขา แต่ซิ่นเฉิงก็พอจะเดาได้ว่าสิ่งนั้นมันก็กัดกินจิตใจของเทียนอี้มาตลอดเช่นกัน

...นานนับหลายร้อยปี

“ข้ายังทำแผลให้เจ้าไม่เสร็จ กลับเข้าห้องโอสถเถิด”

ครั้งนี้ซิ่นเฉิงยอมเดินตามไปอย่างว่าง่าย สายตาจับจ้องยังแผ่นหลังกว้าง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงคล้ายขบคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่มือจะเอื้อมออกไปคว้าเอาปลายหางของคนตรงหน้าไว้โดยไม่ตั้งใจ ครั้นเทียนอี้หันกลับมามอง ซิ่นเฉิงก็รีบปล่อยมือออกด้วยอารามตกใจ

เขาเผลอไปจับหางของเทียนอี้ตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลยสักนิด!

แต่พอถูกสายตาของอีกฝ่ายคาดคั้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไรแล้ว ซิ่นเฉิงก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ขะ...ข้าแค่จะบอกว่ารูปกายเช่นนี้ก็หาได้เลวร้าย”

ได้ยินแล้ว เทียนอี้ก็เลิกคิ้วสูง ให้ซิ่นเฉิงได้พูดออกมาอีก

“มันก็...ปุกปุยดี”

ปุกปุย?

นี่เป็นการปลอบประโลมหลังจากที่ดื้อด้านใส่จนเขาระอาอย่างนั้นหรือ?

เทียนอี้หัวเราะในลำคอ นึกขันกับการกระทำของซิ่นเฉิงนัก ยิ่งในตอนนี้แสดงท่าทางประดักประเดิด หน้านิ่วคิ้วขมวด อีกทั้งเบนสายตาหนีแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ก็ยิ่งน่าขันเข้าไปใหญ่ จนซิ่นเฉิงที่ถูกจับจ้องอยู่นานชักอึดอัด เสียงดังใส่อีกจนได้

“มัวมองสิ่งใดอยู่ รีบพาข้าเข้าห้องโอสถเสียสิ!”

เทียนอี้พยักหน้า “เช่นนั้นก็ตามข้ามา...เฉิงเฉิง”

เฉิงเฉิง?

ซิ่นเฉิงขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ตามกลับเข้าไปในห้องโอสถแต่โดยดี
***************
เฉิงเฉิงงงง ตั้งชื่อให้เจ้าเหมียวแล้วสินะ 555
ตอนนี้ก็จะมุ้งมิ้งนิดนึงค่ะ น่ารักกุ๊กกิ๊ก
เผลอไปจับหางท่านเทพเข้าแบบนี้แล้ว อีกหน่อยคงเผลอไปจับตรงอื่น //ยิ้มหื่น
ฝากกำลังใจให้นายน์ด้วยนะคะ มืดๆ อาจจะเอาตัวอย่างตอนหน้ามาให้อ่านกันค่ะ

หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 01-09-2017 16:05:29
โอ้อยากปลอบจนเข้าไปจับหาง?  แมวน้อยเอ้ยยยยย
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 01-09-2017 17:31:26
รอตอนต่อไปจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 01-09-2017 17:33:48
จับไรน้อออ  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 01-09-2017 19:06:49
ปุกปุย น่ารักดี ตกลงเทพอสูรฆ่ามารดของฉิงเฉิงจริง ๆ 55%
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-09-2017 19:43:21
หมดกันความน่าเกรงขาม เป็นปุกปุย  :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 01-09-2017 19:48:08
ปุกปุย กับ เฉิงเฉิง  ฮ่าๆๆๆๆๆ น่ารักดี
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: someone0243 ที่ 01-09-2017 19:55:36
ชอบมากก น่ารักตรงใจเว่อๆค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: junpa ที่ 01-09-2017 20:18:59
 :pig4:ชอบอะ พึ่งเข้ามาอ่าน สนุกมาก  :mew1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lucifermafis ที่ 01-09-2017 22:32:52
โอ๊ยยยยยยยย ทำไมเอ็นดูน้องหนูเฉิงเฉิงยังไงไม่รู้  :hao5:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ice.sp0211 ที่ 01-09-2017 22:52:01
มีลูบคลำ อีกหน่อยคง..  .   
-.,-
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-09-2017 23:13:50
เอ... เรื่องท่านแม่ของซิ่นเฉิงนี่ยังไงหนอ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-09-2017 23:29:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wikawee ที่ 01-09-2017 23:58:33
เมื่อไหร่เฉิงเฉิงจะเป็นเด็กดี ดื้อมากๆก็ไม่ดีนะจ๊ะ สงสารแม่ทัพ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 02-09-2017 08:33:08
เฉิงเฉิงเด็กดี ทำไมน่ารักอย่างนี้นะ!! ชอบละสิปุกปุยน่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 02-09-2017 14:16:43
น่ารักอะไรแบบนี้นะ แมวป่าจะเชื่องขึ้นไหมน้ออ  :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 02-09-2017 14:19:05
 :hao7: :hao7: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 02-09-2017 23:36:25
ชอบนิยายแนวนี้มาก
เฉิงเฉิงพยศมากเลย
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 03-09-2017 07:27:42
เฉิงเฉิง ดื้อด้านจริงๆ 5555
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-09-2017 23:23:40
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง[1/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 04-09-2017 09:49:12
บทที่ 8: เทพอสูร

การได้รับรู้ความเจ็บปวดของเทียนอี้ แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ปริปากพูด แต่ก็ทำให้ซิ่นเฉิงลดความพยศลงมาได้บ้าง ไม่ใช่ว่าอยากจะญาติดีกับเจ้าของจวนที่อ้างตนว่าเป็นผู้ปกครองของตนนักหรอก เพียงแค่ไม่อยากจะตอกย้ำความเจ็บปวดของเจ้าสุนัขป่าตัวนั้นก็เท่านั้น ถึงเขาจะเป็นตัวร้ายกาจเพียงใด ทว่าก็หาได้ใจไม้ไส้ระกำ รังแกแม้กระทั่งคนมีปูมหลังหรอก

เป็นความคิดออกจะเข้าข้างตัวเองว่าตนเป็นคนดีของซิ่นเฉิง ถึงจะชวนให้ดูโง่งมอยู่บ้าง แต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิตอื่นๆ ในจวนของแม่ทัพใหญ่เทียนอี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพ่อบ้านเหลียง เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขาจะต้องเตรียมการงานใหญ่ที่กำลังจะมาถึง

มันคือเทศกาลไหว้พระจันทร์…

ทุกหนึ่งปีจะมาบรรจบหนึ่งครั้ง นับว่าเป็นวันสำคัญอย่างยิ่งของเหล่าเทพอสูรที่พากันตั้งตารอคอยเพื่อที่จะได้สัมผัสกับความเป็นเทพดังเดิม เหล่ามนุษย์ในแคว้นเฟิงฝูเองก็รู้ดีว่าวันนั้นเป็นที่น่าเริงใจเพียงใด เว้นก็แต่ซิ่นเฉิงที่ไม่เคยรู้มาก่อน และก็หาได้สนใจด้วย เขารู้เพียงแค่ว่าพ่อบ้านเหลียงหัวหมุนมากกว่าปกติเป็นพิเศษ กระนั้นสิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นการเฝ้าดูบรรดาเทพอสูรในจวนเดินไปมาในยามวิกาล

เพื่อที่จะดูร่างที่แท้จริงยามต้องแสงจันทร์... ซิ่นเฉิงจึงลักลอบออกจากเรือนนอนคนรับใช้มาเฝ้าดูเหล่าเทพอสูรอยู่เป็นนิจ

ทว่า... ไม่มีเทพอสูรตนใดเลยที่สัมผัสกับแสงจันทร์สาดส่องแล้วจะคืนร่างเป็นเทพดังเดิมนอกจากเทียนอี้ คืนนี้ก็เช่นกัน เขาเฝ้าดูทหารยามที่ผลัดเปลี่ยนเวรบนกิ่งต้นท้อแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

ไม่เปลี่ยนร่าง... เพราะอะไรกัน?

ความสงสัยเกาะกุมจิตใจ ก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงแหบห้าวดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ทำอะไรของเจ้าอยู่”

ซิ่นเฉิงหันไปมองยังต้นเสียงที่แหงนหน้ามองอยู่ทางโคนต้นท้อด้วยอารามตกใจ พอเห็นว่าเป็นพ่อบ้านเหลียง เขาก็มุ่ยหน้า

“เจ้าก็ไม่เปลี่ยน”

“ไม่เปลี่ยนอันใด” หากไม่เคยเห็นจระเข้เลิกคิ้วสูงมาก่อน คงจะได้เห็นในครานี้

“ไม่มีอะไร” ซิ่นเฉิงปฏิเสธ

“ถ้าไม่มีอะไรก็กลับเรือนนอนของเจ้าไปเสีย ประเดี๋ยวแขกของท่านแม่ทัพมาเห็นเข้าจะไม่เจริญตา”

พ่อบ้านเหลียงว่าเสียงเรียบ เขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ ด้วยสารรูปของซิ่นเฉิงที่ดูไร้อารยะแล้ว บรรดาอดีตเทพคงจะไม่ปลาบปลื้มสักเท่าไรนัก ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว ซิ่นเฉิงก็หาได้ยอมแต่งกายเฉกเช่นมนุษย์คนอื่นๆ ในจวน ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าชนเผ่า และสวมเครื่องประดับเงินพระจันทร์เสี้ยวดังเดิม มันสร้างความรำคาญใจให้กับพ่อบ้านเหลียงพอสมควร ไหนจะเสียงดังกรุ๋งกริ๋งที่ดังเวลาซิ่นเฉิงเคลื่อนไหว ไหนจะลักษณะนิสัยประดุจแมวป่าที่ซุกซนและชอบสงสัยไปเรื่อย เขาล่ะอยากจะจับมนุษย์หนุ่มผู้นี้มาอบรมบ่มนิสัยใหม่เสียจริงๆ

ขณะเดียวกัน ซิ่นเฉิงก็ไม่ชอบใจคำพูดของพ่อบ้านจระเข้ผู้นี้เท่าไร

“ไม่เจริญตาเช่นนั้นหรือ? เจ้าต่างหากที่ไม่เจริญตา เจ้าจระเข้เฒ่า”

พ่อบ้านเหลียงแทบจะอ้าปากงับเจ้าคนหัวดื้อ แต่ก็ต้องระงับอารมณ์ของตนไว้ด้วยพึงคิดได้ว่าอีกประเดี๋ยว แขกของท่านแม่ทัพจะออกมาแล้ว

“กลับไปเสีย ข้าไม่อยากเสียเวลากับเจ้า ยังมีเรื่องที่จะต้องทำอีกมาก”

พูดจบก็เดินจากไป ปล่อยให้ซิ่นเฉิงเกาะต้นท้อมองตามอยู่อย่างนั้น

สักวันข้าจะถลกหนังเจ้ามาสวม เจ้าจระเข้...

ได้แต่ค่อนขอดอยู่ในใจ สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังของพ่อบ้านเหลียงที่เดินตรงไปยังห้องรับรองของจวนใหญ่ ขณะที่แขกคนสำคัญก้าวออกมาจากห้องนั้นพร้อมกับเทียนอี้

แขก...เป็นหมาจิ้งจอกขนสีน้ำตาลแดง

ซิ่นเฉิงเกือบจะไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เพราะเขาเองก็เห็นแขกของเทียนอี้แวะเวียนมาหาบ่อยๆ ยิ่งในช่วงใกล้เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ก็ยิ่งมีใครต่อใครแวะเวียนมาหาไม่ขาดสายทั้งกลางวันและกลางคืน ได้ยินมาว่าเทพอสูรพวกนั้นมาหารือเรื่องการจัดงานเทศกาล

เรื่องเทศกาลอะไรนั่น ซิ่นเฉิงหาได้สนใจเพราะเผ่าของเขาหาได้มีการเฉลิมฉลองเช่นนี้ แต่เมื่อตัดสินใจจะกลับไปยังเรือนนอน เขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเทียนอี้ที่เดินลงมายังทางเดินปูแผ่นหิน ร่างกายใหญ่โตของสุนัขป่าครึ่งมนุษย์ก็แปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มซึ่งเป็นร่างที่แท้จริงของเขายามเป็นเทพ ภาพนั้นช่างชวนให้ซิ่นเฉิงตกอยู่ในภวังค์นัก

เขายังรูปงามปานล่มเมืองไม่เสื่อมคลาย... เป็นภาพที่ซิ่นเฉิงปรารถนาจะยลเสียเหลือเกิน

แต่แล้วก็ต้องหลุดออกจากภวังค์นั้นเมื่อเห็นว่าเทพอสูรในร่างของสุนัขจิ้งจอกที่เดินตามหลังมาก็แปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มเช่นกันยามต้องแสงจันทร์

ชายหนุ่มผู้นั้น...มีเรือนผมหยักศกสีน้ำตาลแดง ดวงหน้าคร้ามได้รูป ค่อนไปทางเจ้าสำอาง รูปร่างสูงโปร่งแต่เล็กกว่าเทียนอี้อยู่สักนิด กระนั้นก็มีรูปโฉมที่งดงามไม่ต่างกัน

ขณะที่พ่อบ้านเหลียง...ต้องแสงจันทร์แล้วไม่กลับคืนร่างเดิม

ทำไมกัน?

ซิ่นเฉิงย่นคิ้วยู่ด้วยประหลาดใจ เทียนอี้จัดการส่งต่อแขกให้พ่อบ้านเหลียงล่ำลา ส่วนตนก็กลับเข้ามายังจวนใหญ่ดังเดิม หมายจะตรงไปยังห้องหนังสือ อ่านตำราอย่างเช่นทุกที ทว่าก็ต้องชะงักเสียก่อนเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มบนต้นท้อในสวน เขาเห็นไม่ชัดหรอกว่าเป็นผู้ใด แต่กลิ่นทะเลทรายอันเป็นเอกลักษณ์นั้นก็บ่งบอกให้รู้ว่านั่นคือเจ้าแมวป่าแสนไม่เชื่องของเขา

“จะนั่งอยู่บนนั้นอีกนานไหม น้ำค้างลงแล้วนะเฉิงเฉิง”

เฉิงเฉิง...

ซิ่นเฉิงมุ่ยหน้า อย่ามาเรียกเขาประหนึ่งสัตว์เลี้ยงนะ!

“มันเรื่องของข้า” แล้วก็ยอกย้อนกลับไป

เทียนอี้มองนิ่งๆ แล้วก็เอ่ยออกมา “เจ้ามีสิ่งใดข้องใจอยู่หรือไร?”

ที่ถามแบบนี้เป็นเพราะอ่านสีหน้าของซิ่นเฉิงออก ส่วนอีกฝ่าย เมื่อถูกอ่านใจได้ก็ปฏิเสธ

“บอกแล้วอย่างไรว่าเรื่องของข้า!”

ได้ยินอย่างนั้น เทียนอี้ก็ไม่ใคร่ตอแย แม้ว่าเขาจะพอดูออกว่าซิ่นเฉิงข้องใจสิ่งใดอยู่ก็ตาม

“ข้าก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของเจ้านักหรอก แต่เจ้าควรลงจากต้นท้อของข้าแล้วกลับเข้าเรือนนอนเสียที”

ออกปากสั่งไปอย่างนั้น ซิ่นเฉิงก็พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง จากนั้นก็ดื้อแพ่งด้วยการนั่งยองๆ นิ่งอยู่อย่างนั้น ทำเอาเทียนอี้ที่ก้าวขึ้นไปบนเรือน คืนร่างเป็นเทพอสูรดังเดิมแล้วต้องเดินลงมาจากเรือนใหญ่อีกครั้ง แสงจันทร์สาดกระทบ แปรเปลี่ยนร่างสูงใหญ่ให้กลับกลายเป็นร่างของเทพหนุ่ม ครั้นเดินเข้ามาใกล้ซิ่นเฉิงด้วยรูปลักษณ์นั้น ก็ทำเอาคนบนต้นท้อหยุดหายใจไปชั่วขณะ

ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้ง ความงามของเทพก็สร้างความตกตะลึงให้ซิ่นเฉิงทุกครั้งไป...

“จะต้องให้ข้าเอาเจ้าลงมาหรือไม่?”

เมื่อไปหยุดยืนอยู่ใต้ต้นท้อ เทียนอี้ก็ร้องถาม ภาพใบหน้าสมมาตรที่เงยมองอีกฝ่ายอยู่นั้น ทำให้ซิ่นเฉิงต้องกลืนน้ำลายเอื้อก

ดั่งกับต้องมนตร์สะกด... นึกย้อนถึงวันวานที่ได้สัมผัสใบหน้านั้นขึ้นมาอย่างเสียมิได้

ถ้าเป็นไปได้... เขาก็อยากจะสัมผัสอีกครั้ง

แต่ใครกันจะไปร้องขอเช่นนั้น หากได้สัมผัสอีก มีหวังเขาต้องตกอยู่ใต้อำนาจของเทียนอี้จริงๆ แน่ ด้วยรูปลักษณ์เช่นนั้น ไม่ยากนักหรอกที่จะสะกดมนุษย์ปุถุชนให้หลงใหล

ซิ่นเฉิงจึงตัดสินใจที่จะผละจากไป ทิ้งตัวลงมายืนบนพื้น เกือบจะใช้วิชาตัวเบาพุ่งหนีเข้าเรือนนอนอยู่แล้ว ทว่าในจังหวะที่ทิ้งตัวลงมา เครื่องประดับผมของซิ่นจินที่ประดับอยู่บนเปียก็ร่วงลงพื้นเสียก่อน ครั้นจะหันมาเก็บ เทียนอี้ก็ก้มลงเก็บให้แล้ว

“จะทิ้งไว้รึ?”

เห็นซิ่นเฉิงยึกยัก ไม่ยอมเดินเข้ามาเอาเครื่องประดับที่เขายื่นให้ตรงหน้า เทียนอี้ก็ร้องถาม

“ไม่ได้ทิ้ง” ซิ่นเฉิงว่าเสียงแข็ง

“หากไม่ได้ทิ้ง ก็เอาคืนไป” เทียนอี้ว่าพลางยกยิ้ม ดวงหน้าหล่อเหลานั้นยามมีรอยยิ้มประดับก็แทบทำให้ลืมหายใจไปเลยทีเดียว

กระนั้นซิ่นเฉิงก็ประคองสติได้ ก้าวเข้าหา หมายจะไปรับเครื่องประดับผมจากมืออีกฝ่าย ทว่าพอเข้าไปใกล้ ก็เป็นเทียนอี้ที่คว้าปอยผมเปียของซิ่นเฉิงไว้เสียอย่างนั้น

“ข้าติดให้ เจ้าติดเองคงจะไม่ถนัด มันถึงหลุดง่ายเช่นนี้”

จัดการประดับเครื่องประดับผมให้เป็นที่เรียบร้อยโดยหาได้ถามความสมัครใจของซิ่นเฉิงแต่อย่างใด ซิ่นเฉิงอ้าปากเตรียมจะบริภาษ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อสายตามองเห็นใบหน้าของเทียนอี้ใกล้เพียงคืบ ลมหายใจอุ่นร้อนลอยปะทะใบหน้าเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ซิ่นเฉิงหยุดเคลื่อนไหวไปได้ทันที

ไม่ว่าจะมองอย่างไร เทียนอี้ก็ช่างงามนัก...

เจ้าแมวป่านึกถึงเมื่อครั้งที่เขากินสมุนไพรเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีเข้าไป หากเขาได้ร่วมอภิรมย์กับเทียนอี้ในร่างนี้ มันจะดีขนาดไหนกัน เขาอยากรู้นัก

แต่แล้วก็ต้องเรียกสติให้กลับคืนเมื่อตระหนักได้ว่าเขาเป็นบุรุษเพศ ไม่ควรชมชอบกับการสัมผัสกับบุรุษด้วยกัน ต่อให้อีกฝ่ายมีรูปงามดั่งเทพเซียน เขาก็ไม่ควรจะหลงใหลไปเพราะสิ่งนี้

เมื่อรู้สึกว่าเทียนอี้เกี่ยวเครื่องประดับกับปอยผมเปียให้เสร็จสิ้นแล้ว ซิ่นเฉิงก็รีบผละออก ส่งสายตาขุ่นๆ ให้ทันทีทั้งที่ก่อนหน้ามีแววตาอ่อนลงแล้วแท้ๆ

“กลับเรือนนอนไปเสีย หมดเวลาซุกซนของเจ้าแล้ว” เทียนอี้ย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นซิ่นเฉิงทำท่าพยศ

“ไม่ต้องให้เจ้าบอก ข้าก็ไม่อยู่ต่อ”

ซิ่นเฉิงขู่ฟ่อ ก่อนจะหายจากบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เทียนอี้มองตาม ยิ้มน้อยๆ ครู่หนึ่งและผละกลับไปยังเรือนใหญ่ ครั้นก้าวขึ้นไปยังระเบียงเรือน ร่างสง่างามก็แปรเปลี่ยนเป็นเทพอสูรดังเดิม ซิ่นเฉิงที่ทำท่าเหมือนจะหนีเข้าเรือนนอนคนรับใช้ในตอนแรกยังคงลอบมองอีกฝ่ายอยู่

กลับมาเป็นสัตว์หน้าขนเหมือนเดิมแล้ว...

เสียงระบายลมหายใจดังออกมาให้ได้ยินเล็กน้อย ออกจะเสียดายสักหน่อยที่ไม่ได้เห็นรูปโฉมนั้นอีก แต่ก็เอาเถิด เขาเคยลั่นวาจาไปแล้วนี่ว่าการมีขนปุกปุยนั่นก็ไม่ได้แย่ อย่างน้อย...มันก็นุ่มมือดียามเขาสัมผัสมัน ยิ่งในยามอย่างนั้น ขนของเทียนอี้ก็สร้างความรู้สึกดีเมื่อแนวขนลากผ่านผิวกาย...

ภาพของค่ำคืนที่เขาต้องสรรพคุณของยาปลุกกำหนัดฉายวาบขึ้นมาอีก ซิ่นเฉิงรู้สึกอุ่นร้อนที่ใบหน้าอย่างประหลาด ก่อนจะส่ายศีรษะ ก่นด่าตนเองที่คิดครุ่นไปเรื่องนั้น พลันรีบพาตัวเองกลับเข้าไปในเรือนนอน ขณะที่เทียนอี้ซึ่งเพิ่งเดินเข้าห้องหนังสือเมื่อครู่ลอบยิ้มออกมา

สนใจใคร่รู้ทุกวี่วันเช่นนี้ สักวันคงจะต้องมานั่งเล่าเรื่องที่ข้องใจให้ฟังเสียแล้วกระมัง...

เทียนอี้ตั้งตารอวันนั้นมาถึงเลยทีเดียว

 




เรื่องการต้องแสงจันทร์แล้วคืนร่างสู่ร่างเดิมของเทียนอี้และเทพอสูรสุนัขจิ้งจอกตนนั้นยังคงค้างคาใจของซิ่นเฉิง และเขาก็ไม่อาจทนเก็บความสงสัยได้ไหว จำต้องไปถามพ่อบ้านเหลียงขณะที่อีกฝ่ายกำลังยืนคุมคนรับใช้ให้ตกแต่งสวนอยู่

“มีเหตุอันใดจะพูดก็จงพูด มายืนจดๆ จ้องๆ ข้าก็ไม่ได้ประโยชน์อันใดขึ้นมา” พ่อบ้านเหลียงเป็นฝ่ายเปิดฉาก

ใช่... ซิ่นเฉิงตั้งใจจะถาม แต่ก็ไม่พูด กลับมายืนจ้องกดดันอีกฝ่ายจากทางด้านหลังอยู่นานสองนาน แม้พ่อบ้านเหลียงจะไม่ได้มีวิทยายุทธแก่กล้าเท่าบรรดาแม่ทัพ แต่ก็หาใช่ว่าจะไม่รับรู้ถึงรัศมีของซิ่นเฉิง

“ข้าสงสัยเรื่องของพวกเจ้า” เมื่ออีกฝ่ายเปิดโอกาส ซิ่นเฉิงก็ถามออกไป

“เรื่องของพวกข้า?” พ่อบ้านเหลียงหันมามอง สีหน้าจระเข้นั้นมีความสงสัย

“ข้าหมายถึงเทพอสูร” ซิ่นเฉิงขยายความ จากนั้นก็ถามต่อ “เหตุใดเจ้าถึงไม่กลับคืนร่างเดิมยามต้องแสงจันทร์ ไยมีเพียงเจ้าสุนัขป่ากับสุนัขจิ้งจอกนั่นที่แปรเปลี่ยน?”

พ่อบ้านเหลียงเข้าใจได้ทันทีว่าชายหนุ่มตรงหน้าหมายถึงผู้ใด ก่อนว่าเสียงขุ่น

“เจ้าสุนัขป่าที่เจ้าพูดถึงคือท่านแม่ทัพเทียนอี้ และเจ้าสุนัขจิ้งจอกก็คือรองแม่ทัพหมิงจู เจ้าควรเรียกให้ถูก”

จะแม่ทัพหรือรองแม่ทัพอะไร ซิ่นเฉิงก็ไม่สนหรอก เขาจะเรียกสุนัขเพราะทั้งคู่เป็นสุนัข แต่ก็ไม่เถียงอะไรด้วยต้องการคำตอบจากพ่อบ้านเหลียงมากกว่าจะมายืนต่อล้อต่อเถียงด้วย

“นั่นแหละ เหตุใดทั้งสองถึงเปลี่ยนร่าง แต่เจ้าไม่?”

“เพราะข้าเป็นเพียงเทพชั้นผู้น้อย” พ่อบ้านเหลียงไม่เห็นว่าจะต้องปิดบังถึงได้บอกไป แต่ดูเหมือนจะไม่ทำให้ซิ่นเฉิงเข้าใจเท่าไรนักด้วยใบหน้าของเขามีความไม่เข้าใจผุดพราย

“เทพชั้นผู้น้อย?”

“ใช่ เทพชั้นผู้น้อย จะมีเพียงเทพชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถกลับคืนร่างเดิมได้ยามต้องแสงจันทร์ เจ้าเคยได้ยินเรื่องพลังหยินหยางหรือไม่?”

ซิ่นเฉิงยืนนิ่ง ทำเอาพ่อบ้านเหลียงถอนหายใจออกมาอย่างระอา

คงจะไม่รู้สินะ...

“พลังหยินเปรียบเสมือนกับดวงอาทิตย์ มีฤทธิ์ทำให้คำสาปจากองค์เง็กเซียนอุบัติโชติช่วงดั่งแสงไฟ ยามแสงอาทิตย์สาดส่อง พวกข้าจะถูกสะกดเอาไว้ เมื่อราตรีกาลมาถึง พลังหยางซึ่งเป็นพลังจากดวงจันทร์จะช่วยบรรเทาคำสาปลง มันก็เหมือนกับที่เผ่าของเจ้าศรัทธาในพระจันทร์ว่ามีพลังช่วยบรรเทาความร้อนรุ่มในทะเลทราย และคงความร่มเย็นไว้เมื่อราตรีมาถึงนั่นล่ะ”

ซิ่นเฉิงพอจะเข้าใจแล้วว่าพ่อบ้านเหลียงต้องการจะหมายถึงอะไร เผ่าของเขาบูชาดวงจันทร์เปรียบดั่งเทพองค์หนึ่ง ดังนั้นเขาถึงได้มีเครื่องประดับเป็นรูปทรงพระจันทร์เสี้ยวอยู่มาก ไม่เว้นแม้แต่อาวุธที่เป็นดาบวงพระจันทร์เช่นกันด้วยเชื่อกันว่าอำนาจของดวงจันทร์จะนำพาชัยชนะมาสู่เหล่านักรบ

“สำหรับเหล่าเทพอสูรชั้นสูงที่มีตบะแก่กล้า แม้จะถูกสาปก็สามารถคืนสู่ร่างเดิมได้เมื่อแสงจันทร์สาดส่องช่วยลดทอนอิทธิฤทของคำสาป กระนั้นก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ส่วนตัวข้าเป็นเพียงเทพชั้นผู้น้อย หาได้มีตบะแก่กล้า ไม่แปลกหากจะคงร่างนี้ไว้ชั่วนิรันดร์ เทพอสูรตนอื่นๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพหรือกุนซือก็ล้วนคืนร่างเดิมได้ยามต้องแสงจันทร์เช่นกัน เจ้าคงได้เห็นแล้วกระมังแล้วว่าร่างเดิมของท่านแม่ทัพและรองแม่ทัพเป็นเช่นไร?”

ซิ่นเฉิงพยักหน้า ถ้าหากเขาไม่เห็น เขาจะมาถามให้มากความทำไมกัน

“แล้วเหตุใดตอนที่พวกเจ้ากลายเป็นเทพอสูร พวกเจ้าแต่ละคนถึงได้แปรเปลี่ยนเป็นสัตว์คนละชนิดกัน?”

สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่สงสัย ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในแคว้นเฟิงฝู แม้จะไม่ได้ออกไปเที่ยวเตร่ภายนอกจวน แต่ซิ่นเฉิงก็มั่นใจว่าเขาไม่เคยเห็นผู้ใดมีรูปลักษณ์เป็นสุนัขป่าเช่นเดียวกับเทียนอี้แม้แต่น้อย อย่างดีก็เป็นสุนัขจิ้งจอกอย่างที่เห็น

“นั่นก็เพราะอุปนิสัยสำคัญของเทพแต่ละองค์” พ่อบ้านเหลียงตอบ มองหน้าของซิ่นเฉิงที่รอคำอธิบายเพิ่มเติมนิ่ง ก่อนจะว่าออกมา “ท่านแม่ทัพเทียนอี้ เมื่อครั้งที่ยังเป็นเทพสวรรค์ เขาเป็นคนเด็ดเดี่ยวและซื่อสัตย์ อีกทั้งยังมีความเป็นผู้นำ เรียกได้ว่าเป็นที่โจษจันว่าเป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกร รักพวกพ้อง ไม่เคยละเลยเหล่าเทพชั้นผู้น้อยแม้แต่ผู้เดียว เขาจึงกลายมาเป็นสุนัขป่าที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกัน ส่วนท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ... เจ้าน่าจะรู้จัก เขาเป็นคนนำเจ้ากลับมาส่งคืน”

พูดถึงตรงนี้แล้วก็หยุดไป ซิ่นเฉิงย่นคิ้ว นึกถึงเทพอสูรที่มีสรีระผสมกับงูจงอางขึ้นมา

“...เขาเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ของสวรรค์เช่นกัน เขาร้ายกาจ พิษสงมากมี และเด็ดขาด เมื่อเทพองค์ใดต้องโทษ เขาไม่เคยละเว้นใดๆ ให้ทั้งนั้น ไม่มีการอะลุ่มอล่วย อุปนิสัยต่างจากท่านแม่ทัพเทียนอี้โดยสิ้นเชิง นั่นจึงเป็นที่มา เขาถึงได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพดำคู่กับแม่ทัพขาวอย่างท่านแม่ทัพเทียนอี้”

ซิ่นเฉิงสรุปเอาเองได้ทันทีเลยว่าเจี้ยนสือผู้นั้นหาใช่คนที่น่าคบหาด้วยไม่ หากเป็นดั่งคำที่พ่อบ้านเหลียงพูด เจี้ยนสือก็คงเป็นอสรพิษร้าย

“แล้วเจ้าสุนัขจิ้งจอก...”

“รองแม่ทัพหมิงจู” พ่อบ้านเหลียงแก้คำพูดให้ถูกต้อง

“เออ นั่นแหละ แล้วเจ้านั่นไยถึงเป็นสุนัขจิ้งจอก” ซิ่นเฉิงว่าด้วยรำคาญ

พ่อบ้านเหลียงเองก็รำคาญ อีกทั้งยังระคายหู แต่ก็ยอมตอบออกไป

“เจ้าเล่ห์ มากเพทุบาย”

ซิ่นเฉิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ พลันจับจ้องยังคนตรงหน้า “แล้วเจ้าล่ะ เหตุใดจึงเป็นจระเข้ เลือดเย็น?”

พ่อบ้านเหลียงก็อยากจะตอบเช่นนี้เหมือนกัน ทว่าเขาไม่ได้เลือดเย็น แต่เป็นเพราะ...

“บ้องตันรสโอชากระมัง”

ซิ่นเฉิงถึงกับมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ความเงียบเข้าเกาะกุมบรรยากาศรอบข้างของคนทั้งสองทันที ขณะที่ซิ่นเฉิงคิดในใจ

พูดบ้าอันใดของเจ้ากัน เจ้าจระเข้เฒ่า!

พ่อบ้านเหลียงนึกขันกับสีหน้าของซิ่นเฉิงอยู่ในใจ ก่อนจะยุติบทสนทนา

“หมดเรื่องจะถามข้าแล้ว ข้าคงต้องขอตัว ส่วนเจ้าก็ไปช่วยคนอื่นทำงานเสีย อย่ามัวเล่นซุกซน”

สิ้นเสียงก็ผละจากไป ทิ้งให้ซิ่นเฉิงบ่นพึมพำกับคำตอบสุดท้ายที่ค่อนข้างจะไร้ประโยชน์

บ้องตันรสโอชาเช่นนั้นหรือ? น่าขันตาย!

สำหรับซิ่นเฉิงแล้วอาจจะไม่น่าขบขัน แต่สำหรับคนที่แอบฟังทั้งคู่คุยกันอยู่นานอย่างเทียนอี้ มันช่างเป็นเรื่องชวนหัวมากทีเดียว ก่อนที่เขาจะก้าวเข้ามาเมื่อพ่อบ้านเหลียงจากไปแล้ว

“ข้าเองก็อยากจะลิ้มรสเช่นกันว่ามันโอชาเพียงใด บ้องตันของพ่อบ้านเหลียงน่ะ”

ซิ่นเฉิงหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเทพอสูรในร่างครึ่งสุนัขป่า วันนี้ดูเทียนอี้จะร่าเริงเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่นี้

“แท้จริงแล้ว ที่พ่อบ้านเหลียงมีร่างเทพอสูรเป็นจระเข้นั้นเป็นเพราะเมื่อครั้งยังเป็นเทพ พ่อบ้านเหลียงมีประสาทสัมผัสดี หยั่งรู้ความเป็นไปของดินฟ้าราวกับจระเข้”

“ลอบฟังเช่นนี้ ช่างไร้มารยาทนัก” ซิ่นเฉิงแค่นเสียงต่ำ อันที่จริงแล้ว เขาเสียหน้าที่เทียนอี้มาได้ยินเขาพูดคุยกับพ่อบ้านเหลียงแล้วมายืนอธิบายปาวๆ ทั้งที่เขาไม่ได้ขอมากกว่า

“ข้าแค่บังเอิญผ่านมาได้ยินเท่านั้น” เทียนอี้แก้ตัวอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะพูดขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงทำท่าจะเดินจากไป “ข้าเอาของมาให้เจ้า”

 ซิ่นเฉิงถึงกับชะงัก หันมามองทันควัน “อะไร”

เทียนอี้ให้คำตอบด้วยการล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อแล้วหยิบเอาของบางอย่างออกมา มันเป็นเครื่องประดับเงินสำหรับประดับผม ซิ่นเฉิงเห็นก็รีบเอื้อมมือไปจับยังผมเปียของตนเองด้วยคิดว่าทำหล่นหายอีก ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อสัมผัสได้ว่ามันไม่ได้หายไปไหน ในเมื่อของเทียนอี้นั้นเป็นเครื่องประดับอีกชิ้นที่มีลักษณะเหมือนกันต่างหาก

“ข้าเห็นว่าเครื่องประดับผมของเจ้าเก่ามากแล้ว คงจะประดับผมได้ไม่ดีเท่าไรนัก จึงได้ไปเสาะหาชิ้นใหม่มาให้ ลวดลายไม่ต่างจากของเดิมของเจ้ามากนัก”

ใช่ ไม่ต่าง... มีลวดลาดพระจันทร์เสี้ยวเช่นเดียวกัน มองก็รู้ว่าเป็นเครื่องประดับจากเผ่าของซิ่นเฉิง จะต่างก็ตรงที่บริเวณส่วนปลาย...มีเขี้ยวของสุนัขป่าห้อยระย้าอยู่

“ไม่ใช่ของข้าหรอก ไม่ต้องห่วง” เทียนอี้ดักทางไว้อย่างรู้ทันว่าซิ่นเฉิงคิดอะไร

“ต่อให้ไม่ใช่ของเจ้า ข้าก็ไม่ยินดีรับ” ซิ่นเฉิงตอกกลับ ท่าทางขู่ฟ่อขนพองประหนึ่งแมวไม่มีผิด

“แต่ข้าจะให้” เทียนอี้แสดงอำนาจออกมา แม้จะเป็นน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ แต่ก็ทำให้ซิ่นเฉิงขัดใจอยู่ไม่น้อย

“ถ้าคิดว่าจะเอามันมาประดับผมข้าได้ง่ายๆ ก็อย่าหวัง”

จากนั้นก็รีบกระโดดหนีไปด้วยความรวดเร็ว เทียนอี้รีบพุ่งไปคว้าเอาไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ ซิ่นเฉิงหันมาปัดมือใหญ่ทิ้ง ทว่าก็ถูกเทียนอี้คว้าไว้ได้อีก คราวนี้ไม่คว้าเปล่า ยังจะแย่งชิงเครื่องประดับชิ้นเดิมออกจากศีรษะของซิ่นเฉิงด้วย

มนุษย์หนุ่มเบิกตาโต ครั้นอ้าปากร้อง...

“เจ้า!”

...เครื่องประดับชิ้นใหม่ก็เกี่ยวลงมาบนเส้นผมแล้ว

“ของต่างหน้าของน้องสาวเจ้า ข้าจะเก็บเอาไว้ให้ก่อน อยู่ที่จวนของข้าก็จงใช้เครื่องประดับชิ้นนี้ ยามเจ้าหายออกจากจวนไป ผู้อื่นจะได้รับรู้ว่าเจ้าหลุดมาจากที่ใด”

มองเห็นว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงจริงๆ ล่ะสินะ!

ซิ่นเฉิงข่มเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขัดใจกับเจ้าเครื่องประดับชิ้นใหม่นี่เหลือทน มือจะคว้าไปกระชากออกแล้วโยนทิ้งอยู่แล้วเชียว ถ้าหากเทียนอี้ไม่ขู่ออกมาเสียก่อน

“หากเจ้าโยนทิ้ง ของต่างหน้าของน้องสาวเจ้าก็จะหายไปด้วยเช่นกัน”

มือถึงกับหยุดพลัน ได้แต่ส่งเสียงจึ๊ออกมา

“เจ้านี่มัน...”

“การเชื่อฟังคือบทเรียนแรกของเจ้า เจ้าเหมียว...”

ประเดี๋ยวเฉิงเฉิง ประเดี๋ยวเจ้าเหมียว มันจะกำแหงมากเกินไปแล้ว!

ซิ่นเฉิงจ้องเทียนอี้ตาไม่กะพริบ ทำอะไรไม่ได้นอกจากแค่นเสียงออกมาเท่านั้น

“เจ้าหมา!”

เทียนอี้กลับหัวเราะน้อยๆ ให้กับคำเรียกนั้น

“นานวันไป สุนัขกับแมวก็ย่อมเป็นมิตรกันได้”

ได้ยินประโยคนี้ ซิ่นเฉิงก็ถึงกับกลอกตา

ให้ข้าตายแล้วเกิดอีกสิบชาติ ข้าก็ไม่อยากเป็นมิตรกับเจ้า!

แต่เมื่อเทียนอี้เอ่ยชวนขึ้นมา

“ข้าว่าจะไปพบสหายเสียหน่อย เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ เผื่อเจ้าอยากจะออกไปเที่ยวนอกจวน ตั้งแต่มาเยือนแคว้นเฟิงฝู นอกจากที่หนีไปคราวนั้น เจ้าก็ยังไม่เคยไปชมเมืองเลยมิใช่หรือ?”

เท่านั้นแหละ ซิ่นเฉิงก็จำต้องเป็นมิตรกับสุนัขป่าอย่างไร้ทางเลือก

“หากเจ้าขอร้องถึงเพียงนี้ ข้าก็จะไม่ขัด”

เป็นเทียนอี้ที่หัวเราะในลำคอขึ้นมาอีก

ก็ได้...เป็นเขาที่ขอร้องให้อีกฝ่ายออกไปนอกจวนด้วยก็ได้

“เช่นนั้นก็ไปแจ้งแก่พ่อบ้านเหลียงว่าจะไปกับข้า ข้าจะรออยู่ที่นี่”

ไม่อยากจะทำตามคำสั่งหรอก แต่ซิ่นเฉิงก็ยอมเดินไปหาพ่อบ้านเหลียงอีกมุมหนึ่งของสวนแต่โดยดี ขณะที่เทียนอี้มองตามหลังอย่างพึงใจ

เริ่มเชื่องขึ้นมาบ้างแล้วสินะ...

---------------------------------

มาแล้ววว ว่างมาเขียนแล้ว

ท่านแม่ทัพหมาใจดีกับเจ้าเหมียวมาก แต่โดนเจ้าเหมียวตะปบรัวๆ เลยนะ 555

เดี๋ยวตอนเย็นจะมาอัปตัวอย่างตอนหน้าให้ค่ะ บอกเลยว่าตอนหน้ากิ๊บก๊าวมาก

ถ้าชอบก็ฝากฟีดแบ็กไว้ให้กันหน่อยนะคะ ^^



ป.ล.สารภาพบาปนิดนึง บางคนอาจจะรู้แล้ว บางคนอาจจะยังไม่รู้

จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นงานเขียนของหนูแดงเองค่ะ อวตารนามปากกามา แล้วก็แผนแตกโป๊ะ คนจับได้หลายคน แล้วก็อึดอัดด้วยที่ต้องแทนตัวเองว่านายน์ๆ (คือจริงๆ นามปากกา Nov9th คือวันเกิดของหนูแดงค่ะ ฮา)

ก็เอาเป็นว่าหลังจากนี้จะเรียกแทนตัวเองว่าหนูแดงเหมือนเดิมแล้วกันนะคะ ส่วนนิยายก็จะอัปในบ้านนี้นี่แหละ ขี้เกียจย้ายแล้ว ฝากติดตามด้วยเน้อ อันนี้เพจหนูแดงนะคะ เผื่อบางคนจะยังไม่รู้จักกันค่า ถือโอกาสฝากเนื้อฝากตัวด้วยเลยแล้วกันนะ https://www.facebook.com/NooDangzzz/

ส่วนแท็กในทวิตก็ติด #เสี้ยวอสูร นะคะ อันนี้เอาทวิตแอคเดิมไปส่องได้ละ เลิกอวตาร 555
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 04-09-2017 14:04:21
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 04-09-2017 14:35:58
หมากับแมว คู่นี้คงดีกันยาก แต่แบบนี้ก็น่ารักดี
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-09-2017 14:36:20
เจ้าแมวน่าโดนอีกเจ็ดคืนมากค่ะ แบบนี้เวลาอยากรวมร่างกับพระเอกแบบรูปงามต้องทำกันกลางแจ้งอาบแสงจันทร์เหรอคะ โอ้ยยย  :hao6:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 04-09-2017 14:43:15
น้องเหมียวค่อยๆเชื่องแล้ว
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 04-09-2017 16:47:01
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 04-09-2017 19:40:38
หมาแมวเป็นคู่กันที่น่ารัก อิอิ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 04-09-2017 20:59:16
น่าร้ากกกก ชอบความขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้
55555555
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-09-2017 21:03:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 04-09-2017 22:30:07
คุณหนูแดงเองหรอคะ เปลี่ยนแนวมาแบบนี้เราจำไม่ได้เลยค่ะ  :a5:
แต่เฉิงเฉิงก็เริ่มเชื่องขึ้นเรื่อยๆแล้วนี่นาา
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-09-2017 23:12:40
แน่ใจเหรอท่านเทพอสูรว่าจะทำให้เจ้าเหมียวตัวนี้เชื่องได้น่ะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 05-09-2017 01:24:18
คุณหนูแดงเองหรอคะ เปลี่ยนแนวมาแบบนี้เราจำไม่ได้เลยค่ะ  :a5:
แต่เฉิงเฉิงก็เริ่มเชื่องขึ้นเรื่อยๆแล้วนี่นาา


555 หนูแดงเองค่า XD
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 06-09-2017 00:08:47
แมวป่าเชื่องเป็นบางเวลา
ต้องมีวิธีแก้คำสาปดิ?
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 06-09-2017 07:59:54
บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[1]

ถึงจะไม่ได้กลับออกไปสู่ดินแดนทะเลทราย แต่การได้ออกนอกจวนอันแสนอุดอู้นั่นก็เป็นสิ่งชวนบันเทิงเริงใจให้กับซิ่นเฉิงเป็นอย่างดี เขาชะเง้อชะแง้มองร้านรวงข้างทางตามแนวตลาดอย่างสนใจ ไม่ใช่ว่าเพราะอยากจะอยากได้สินค้าเหล่านั้น ทว่าเขาแค่รู้สึกว่ารอบข้างมีสิ่งแปลกใหม่ให้สนใจเฉยๆ

เทียนอี้ก็ราวกับรู้ดีว่าซิ่นเฉิงคิดอะไรอยู่จึงไม่ให้ทหารนายใดติดตามไปด้วย การไปกับซิ่นเฉิงเพียงสองคนสร้างความกังวลใจให้กับพ่อบ้านเหลียงอยู่ไม่น้อย ทว่าเพราะรู้ว่าไม่ว่าอย่างไร มนุษย์แสนพยศคนนั้นก็ไม่อาจสู้พละกำลังและไหวพริบของผู้เป็นนายได้ เขาจึงเก็บความกังวลใจลงไปและปล่อยให้แม่ทัพใหญ่ได้ทำตามประสงค์

ที่หมายของเทียนอี้คือจวนของรองแม่ทัพหมิงจู ห่างจากตลาดไปไม่ไกลนักก็จะถึงยังที่หมาย เทียนอี้ก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ครั้นมาถึงหน้าจวนของสหาย ซิ่นเฉิงที่ดูเหมือนจะสนใจสิ่งรอบข้างในตอนแรกก็มีอาการสงบลง เพ่งมองไปตรงหน้าแล้วย่นคิ้วยู่เมื่อเห็นว่าหน้าจวนนั้นมีเหล่าทหารเทพอสูรยืนรายล้อมอยู่

“มากับข้า เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ ข้าคุยธุระไม่นาน ประเดี๋ยวก็กลับ”
เทียนอี้พูดราวกับจะปลอบโยน ทำเอาคนที่ยืนอยู่เยื้องๆ ถึงกับนิ่วหน้า
“ข้ารึจะเป็นกังวลเพราะอมนุษย์เช่นเจ้า อย่ามาทำประหนึ่งว่าข้าเป็นเด็กเล็กๆ!”

ซิ่นเฉิงขึ้นเสียง ใช่ว่าเขาจะไม่เป็นกังวลอย่างที่ปากว่าหรอก นอกจากเหล่าเทพอสูรในจวนของเทียนอี้แล้ว เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับเทพอสูรอื่นเสียที ด้วยรูปลักษณ์อันน่าเกรงขาม ชวนให้หวาดกลัวนั่นแหละที่ทำให้ซิ่นเฉิงทำใจให้มองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ยามนึกถึงแม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือที่มีรูปโฉมเป็นงูจงอาง แค่นึกถึงก็ทำเขาขนลุกชันไปทั้งร่างแล้ว

เทียนอี้กลับหัวเราะออกมา ทำไมเขาจะดูอีกฝ่ายไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากจะก้าวเข้าไปในจวนของสหายเท่านั้น

พ่อบ้านของจวนรองแม่ทัพเป็นผู้นำทางทั้งสองมายังห้องรับรองที่เรือนใหญ่ เทียนอี้เป็นผู้เดียวที่เข้าไปนั่งรอสหายทางด้านใน ขณะที่ซิ่นเฉิงได้รับอนุญาตให้ยืนรออยู่ภายนอกเท่านั้น น่ารำคาญใจเสียหน่อย แต่ก็ดีแล้วที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสหายอมนุษย์ของเทียนอี้ เขาไม่อยากจะขนลุกขนชันเพราะเกล็ดสีดำมะเมื่อมนั่นอีกระลอกหรอก

ทว่า...สิ่งที่ซิ่นเฉิงคิดนั้นออกจะผิดไปจากที่คาดหมายเสียหน่อยด้วยสหายที่เทียนอี้มาเยือนหาใช่เจี้ยนสือ แต่กลับเป็นเจ้าสุนัขจิ้งจอกขนสีน้ำตาลแดงตัวนั้น

รูปร่างหน้าตาของเจ้าสุนัขจิ้งจอกค่อนจะออกไปทางน่าเอ็นดู เทียบกับสุนัขป่าอย่างเทียนอี้แล้ว ดูน่าทะนุถนอมกว่ากันมากโข แต่ด้วยตำแหน่งรองแม่ทัพที่รั้งชื่อไว้ ดูแล้วคงจะร้ายกาจอยู่ไม่ใช่น้อยถึงได้รับแต่งตั้งตำแหน่งใหญ่โตถึงเพียงนี้
กระนั้นก็หาใช่สิ่งที่ซิ่นเฉิงจะสนใจ ในยามนี้เขาอยากกลับจวนของเทียนอี้มากกว่า แม้จวนนั้นจะไม่ได้น่าอยู่ แต่ก็ดีกว่าการมายืนอยู่ในจวนของเทพอสูรตนอื่นที่เขาไม่คุ้นเคยนัก

“ขอบน้ำใจเจ้ามากสำหรับคำแนะนำ ปีนี้เพิ่งจะเป็นปีแรกของข้าที่ได้รับมอบหมายให้จัดงานพิธีไหว้พระจันทร์ หากไม่ได้คำชี้แนะจากเจ้า ข้าคงแย่”

น้ำเสียงนุ่มทุ้มดังมาเข้าหูของซิ่นเฉิง หันไปมองก็พบว่ามันเป็นเสียงของเจ้าจิ้งจอกตัวนั้น

“หามิได้ ข้าก็ว่าไปตามที่เคยทำมาก่อน เรื่องงานพิธีคงได้เหนือบ่ากว่าแรงของเจ้าหรอก” เทียนอี้ตอบรับ ในน้ำเสียงผ่อนคลายนั้นเคลือบแฝงไปด้วยความอ่อนน้อม ทำเอาคนฟังยิ้มสัพยอกออกมา

“ข้าเป็นสหายของเจ้าแท้ๆ อยู่ข้างเจ้ามาก็จนป่านนี้ ไยเจ้าถึงได้พินอบพิเทานัก ข้าเป็นเพียงเทพชั้นผู้น้อย...”
“จะเป็นเทพชั้นสูงหรือชั้นผู้น้อย ข้าก็ให้เกียรติทั้งสิ้น รวมถึงเจ้าด้วยหมิงจู”

ได้ยินอย่างนั้น เทพอสูรผู้มีเรือนกายครึ่งหนึ่งเป็นสุนัขจิ้งจอกก็แย้มยิ้มพึงใจ พลันสายตาก็เหลือบมาเห็น ‘สิ่งมีชีวิตแปลกปลอม’ ยืนอยู่ตรงหน้า แม้จะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่กลิ่นสาบทะเลทรายที่คุ้นจมูกด้วยเคยได้กลิ่นมาก่อนในจวนของเทียนอี้ก็ทำให้เขารู้ว่าบุรุษในชุดชนเผ่าเร่ร่อนผู้นี้คือใคร

“นี่น่ะหรือสัตว์เลี้ยงของเจ้า ต่างจากที่ข้าคาดการณ์ไว้นัก”

คำถามของหมิงจูทำเอาซิ่นเฉิงหันขวับไปมองอย่างไม่พอใจ ครั้นเห็นสายตาเยาะเย้ยของเทพอสูรสุนัขจิ้งจอก ใจของชายหนุ่มก็นึกอยากจะถลกหนังอีกฝ่ายมาทำเสื้อคลุมนัก

สัตว์เลี้ยงหรือ? เจ้าต่างหากที่เหมาะจะเป็นสัตว์เลี้ยง เจ้าพวกหน้าขน!

บริภาษในใจเป็นที่เรียบร้อย ไม่อยากจะเสวนาด้วยจึงแสร้งทำเป็นหูทวนลม หากแต่หมิงจูรู้ดีว่าซิ่นเฉิงได้ยินเต็มสองหู พลันพูดขึ้นมาอีก

“แล้วเมื่อไรเจ้าถึงจะฝึกให้เชื่องได้กัน ได้ยินพ่อบ้านเหลียงบอกว่าเขาหนักใจกับความพยศของเจ้านี่มากเลยไม่ใช่หรือ?”

เลิกพูดอย่างกับว่าเขาเป็นสัตว์หน้าขนเสียทีเถอะ!

ซิ่นเฉิงเกือบทนไม่ได้อยู่แล้ว ดีที่เทียนอี้ซึ่งยืนฟังอยู่นานแทรกขึ้นมาก่อน
“ธรรมชาติเป็นมาอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต่อให้ข้าโบยตีก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงถอดเขี้ยวเล็บได้หรอก นอกจากจะเป็นฝ่ายอ่อนข้อให้ข้าเอง”

พูดถูกต้อง ต่อให้ข่มเหงรังแกเพียงใด เขาก็จะไม่มีวันยอมศิโรราบโดยง่ายอย่างเด็ดขาด!

นึกชมเทียนอี้ขึ้นมาในตอนนี้ที่รู้จักพูด ขณะเดียวกัน ซิ่นเฉิงก็ไม่ชอบหน้าหมิงจูขึ้นมาในทันควัน

คำก็สัตว์เลี้ยง สองคำก็สัตว์เลี้ยง มันน่าโมโหนัก!

เทียนอี้รับรู้ได้ถึงความคิดของซิ่นเฉิง อันที่จริงแค่เห็นสีหน้าก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเดือดดาลเพียงใด ก่อนจะหันไปบอกลาหมิงจูอีกครั้งด้วยคิดว่าหากอยู่ที่นี่นานกว่านี้ มีหวังอารมณ์ดีๆ ของซิ่นเฉิงคงจะได้พังทลายไปแน่

“หมดธุระแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน” บอกลาสหายเสร็จก็หันไปมองยังคนที่ติดตามตนมา “กลับกันเถิด”

ไม่ต้องบอก ซิ่นเฉิงก็ไม่ทนอยู่ต่อหรอก ทว่าในจังหวะที่ชายหนุ่มหันหลังกลับไปยังประตูทางเข้าจวน สายตาคมของหมิงจูก็เหลือบไปเห็นเครื่องประดับที่ติดอยู่บนผมเปียของคนตรงหน้า หากเป็นเครื่องประดับชนเผ่าธรรมดา เขาคงจะไม่ได้สนใจ แต่การที่ส่วนปลายของเครื่องประดับมีเขี้ยวของสุนัขป่าห้อยระย้าอยู่นั่น มันทำให้เขาชะงักงันไปครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“นั่นมัน... เจ้าเป็นผู้มอบให้เช่นนั้นหรือ?”
ประโยคแรกคือการอุทาน ประโยคต่อมาคือคำถามที่ถามกับเทียนอี้

แม่ทัพใหญ่ที่เกือบจะเดินจากไปอยู่แล้วเหลือบมามอง พอเห็นสายตาคาดคั้นขอคำตอบจากสหายเก่า เขาก็พยักหน้า
“ใช่ ข้าเป็นผู้มอบให้”

ได้ยินดังนั้น ดวงตาของหมิงจูก็หรี่เล็กลงฉับพลัน พร้อมกันนั้นก็ปรากฏรอยย่นเล็กน้อยระหว่างคิ้ว
“เจ้ายังไม่เข็ดอีกหรือไร”

ไม่เข็ดเรื่องอะไรนั้น มีเพียงแค่หมิงจูกับเทียนอี้ที่รู้ เว้นเสียแต่ซิ่นเฉิงที่หาได้เข้าใจไม่ กระนั้นก็ไม่คิดจะถาม เทียนอี้เองก็ไม่ใคร่จะตอบหรืออธิบายใดๆ เช่นกัน มีก็แต่หมิงจูเท่านั้นที่ว่าเสียงเครียดออกมา

“ข้าว่าข้าเตือนเจ้าแล้วนะว่าอย่า...”
“หมิงจู”
ยังพูดไม่ทันจบ เทียนอี้ก็แทรกขึ้นมาเสียแล้ว ท่าทางนั้นดูก็รู้ว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายพูดถึง หมิงจูจึงเงียบปากทันควัน
“วันนี้ข้าอยู่ที่จวนเจ้านานแล้ว มีธุระอื่นที่ต้องทำที่จวนของข้า ข้าคงต้องไปก่อน”

แล้วเทียนอี้ก็ตัดบท พยักหน้าเรียกให้ซิ่นเฉิงเดินตามมา แต่หมิงจูก็ไม่วายปริปากเอ่ยตบท้ายจนได้

“ไม่ว่าเมื่อไร เจ้าก็ใจดีกับ ‘เจ้านั่น’ เสมอ”

เป็นซิ่นเฉิงบ้างแล้วที่ย่นหัวคิ้ว หมิงจูกำลังพูดถึงบุคคลที่เขาไม่รู้จักอยู่เป็นแน่ คำว่า ‘เจ้านั่น’ คงไม่ได้หมายถึงเขาหรอก ครั้นพอหันไปหาเทียนอี้ เขาก็ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ อีกเช่นเคย นอกจากจะเอ่ยปากเรียก

“กลับกันเถิดซิ่นเฉิง ส่วนเจ้า... ทำหน้าที่ของตนให้ดี ข้าจะเฝ้ารอดูผลงาน”

สิ้นเสียงก็เดินจากไปทันที โดยมีซิ่นเฉิงเดินตามหลังไปติดๆ แม้จะอยากรู้เพียงใด แต่ก็ต้องสะกดกลั้นเอาไว้ ถึงจวนเมื่อไรค่อยถามก็ยังไม่สาย

หมิงจูทอดสายตามองร่างใหญ่กับมนุษย์หนุ่มเดินจากไปด้วยความรู้สึกยากจะพรรณนา

เจ้านั่นหรือ? ไม่หรอก มนุษย์ผู้นั้นหาได้มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับเจ้านั่นเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพียงความเอ็นดูที่เทียนอี้มีให้กับสัตว์เลี้ยงก็ได้

แต่ว่า... การมอบเขี้ยวสุนัขป่าให้นั้นมัน...

หมิงจูไม่อยากจะคิดต่อด้วยมันทำให้เขาว้าวุ่น พลันส่ายศีรษะ สลัดความคิดนั้นออกไปแล้วเดินกลับเข้าจวน ครุ่นคิดถึงเรื่องภาระหน้าที่ในฐานะเทพอสูรผู้จัดงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ประจำปีนี้แทน




 
หลังจากกลับออกจากจวนของรองแม่ทัพสุนัขจิ้งจอก เทียนอี้ก็ไม่ปริปากพูดถึงเรื่องคำพูดของหมิงจูอีกเลย แม้ซิ่นเฉิงจะเอ่ยปากถาม แต่ก็ได้ยินแค่ว่า ‘หาใช่เรื่องสำคัญอันใด เจ้าไปพักผ่อนเถิด’ นับครั้งไม่ถ้วนแทน

น่ารำคาญ!

แต่มันก็หาได้สลักสำคัญกับเขาจริงๆ ด้วยเรื่องนั้นหาใช่เรื่องของเขา ต่อให้เทียนอี้บอกแต่โดยดีว่า ‘เจ้านั่น’ ที่หมิงจูว่าคือใคร ก็ใช่ว่าเขาจะรู้จักคนผู้นั้นเสียหน่อย ดังนั้นการที่ไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

นับจากวันที่ไปเยือนจวนของหมิงจู ยามที่รองแม่ทัพสุนัขจิ้งจอกมาเยี่ยมเยือนยังจวนของเทียนอี้ เขาก็มักจะส่งสายตาขุ่นข้องหมองใจให้ซิ่นเฉิงตลอด แม้จะไม่เอื้อนเอ่ยสนทนากันแม้แต่คำเดียวก็ทำให้ซิ่นเฉิงทวีความไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายมากกว่าเดิมได้อีกเป็นเท่าตัว

อย่างกับว่ากำลังจับผิดเขาอย่างไรอย่างนั้นแหละ!

เป็นสิ่งที่ซิ่นเฉิงเกลียดที่สุด แค่ถูกลิดรอนอิสระไปโดยเทียนอี้ก็ว่าแย่แล้ว ยังจะถูกสายตาจ้องจับผิดของหมิงจูจ้องมองอีก มันชวนให้หัวเสียอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ทว่าความหัวเสียนั้นก็ทุเลาลงเมื่อวันกำหนดจัดเทศกาลไหว้พระจันทร์มาถึง เหล่าเทพอสูรในจวนของแม่ทัพเทียนอี้ดูจะคึกคักกันมากเป็นพิเศษ พานให้บรรดาคนรับใช้มนุยษย์ครึกครื้นตามไปด้วย จะมีก็แต่ซิ่นเฉิงที่ปีนขึ้นไปนั่งจับจองบนกิ่งท้อเท่านั้นที่ไม่หือไม่อือกับผู้ใด เอาแต่เอนกายพิงลำต้น มองดูคนในจวนที่พากันไปไหว้เจ้าในช่วงเช้า จากนั้นก็มีการไหว้บรรพบุรุษ แล้วก็รอเวลาให้ล่วงเลยไปจนถึงช่วงหัวค่ำซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะต้องทำพิธีไหว้เทพธิดาฉางเอ๋อ[1] ผู้ดูแลดวงจันทร์ เพื่อให้นางได้มีอิทธิฤทธ์ในการทอแสงจันทร์ลงมายังพื้นโลกมนุษย์

การที่ซิ่นเฉิงไม่เข้าร่วมพิธีกรรมใดๆ เลยนั้น ทำให้พ่อบ้านเหลียงต้องมาตามตัวด้วยแม่ทัพเทียนอี้มีคำสั่งว่าทุกคนในจวนของเขาจะต้องมากินขนมไหว้พระจันทร์ร่วมกันตามธรรมเนียม จึงไม่แปลกเมื่อทุกคนจะเห็นพ่อบ้านผู้นี้เดินตามหาตัวเจ้าแมวป่าไปทั่วทั้งจวน

ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนมืดมิด เมื่อนั้น...แสงจันทร์เริ่มทอนภา เกิดประกายลำแสงสีขาวนวลสาดส่องลงมาบนผืนดิน ครั้นยามแสงจันทร์อาบไล้ไปยังร่างของเทพอสูร เรือนร่างอัปลักษณ์ก็แปรเปลี่ยนให้เทพอสูรเหล่านั้นกลับกลายเป็นมนุษย์

ไม่สิ...ไม่ใช่ เป็นร่างเดิมของตนเมื่อครั้งที่ยามเป็นเทพสวรรค์ต่างหาก

หากนั่นเป็นการกลายร่างของเทพอสูรชั้นสูงอย่างเทียนอี้หรือบรรดาแม่ทัพกุนซืออย่างที่ซิ่นเฉิงเคยเห็น เขาก็คงจะไม่ประหลาดใจอะไรนัก แต่นี่กลับเป็นเทพอสูรทั้งแคว้นเฟิงฝู

หรือว่าที่พวกเทพอสูรคึกคักกันนักเป็นเพราะราตรีนี้คือราตรีเดียวในหนึ่งปีที่จะได้กลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงของตนเองกัน?

เป็นอย่างที่ซิ่นเฉิงคิดไว้ จากที่นั่งทอดถอนหายใจอยู่บนกิ่งต้นท้อ บัดนี้เขาทิ้งตัวลงมายืนบนพื้น จ้องมองใบหน้าของนายทหารเวรยามของจวนนายหนึ่งซึ่งบัดนี้มีใบหน้าเสมือนมนุษย์ด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย เขาควรรู้สึกอย่างไรกับปรากฎการณ์ที่ได้เห็นโดยคาดไม่ถึงนี้ดี?

แต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบ เสียงคุ้นหูของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ข้าตามหาตัวเจ้าทั้งวัน ไปหลบอยู่ที่ใดมาเจ้าคนเลี้ยงไม่เชื่อง”

ใคร?

หัวคิ้วของซิ่นเฉิงขมวดมุ่นทันทีที่เห็นชายหนุ่มในชุดเรียบง่าย ใบหน้าคร้ามคม ทว่าเรียบเฉยสร้างความคุ้นเคยให้เขาอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งรูปหน้าสมมาตรนั่นยังทำให้ซิ่นเฉิงอดคิดไปไม่ได้อีกว่าคนตรงหน้าช่างหล่อเหลานัก แม้จะไม่อาจเทียบเท่าได้กับเทียนอี้ แต่ก็นับว่าเป็นบุรุษที่เป็นที่หมายปองของสตรีอยู่ไม่น้อย

เห็นสายตาสงสัยของคนทะเลทราย อีกฝ่ายก็ถอนหายใจออกมา พลางว่าเสียงเรียบ
“ข้าคือพ่อบ้านเหลียง เลิกทำหน้าเหมือนเห็นผีเสียที”
“เจ้า...จระเข้เฒ่า!?”

ตกใจของจริงก็คราวนี้ ซิ่นเฉิงคิดมาโดยตลอดว่าเทพอสูรที่มีศีรษะเป็นจระเข้ผู้นั้นคือชายชรา ไม่คิดว่าจะยังหนุ่มแน่น อายุอานามดูห่างจากเขาไม่ถึงสิบปีขนาดนี้

“ใช่ ข้าเอง ต้องขออภัยที่ทำให้เจ้าผิดหวัง ข้าหาได้มีรูปลักษณ์แก่เฒ่าดั่งที่เจ้าเคยปรามาสไว้”

ฟังดูก็รู้ว่าพ่อบ้านเหลียงเหน็บแนม ซิ่นเฉิงมุ่ยหน้าทันควัน

“ผู้ใดจะไปรู้ เจ้าขี้บ่น จู้จี้เฉกเช่นคนแก่ ข้าก็คิดว่าเจ้าแก่น่ะสิ”

“หากนับอายุก็อาจจะเรียกเช่นนั้นได้ ข้ามีอายุมากกว่าเจ้าเป็นร้อยปี” พ่อบ้านเหลียงว่าด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะพูดต่อ “มาเถิด ท่านแม่ทัพให้ข้ามาตามเจ้าเข้าร่วมพิธีไหว้เทพธิดาฉางเอ๋อ อย่ามัวชักช้า”

สิ้นเสียงก็หมุนตัวเดินไปยังหน้าเรือนใหญ่ ซิ่นเฉิงที่พอจะได้สติขึ้นมาเดินตามไปอย่างว่าง่าย เมื่อถึงหน้าเรือนใหญ่ก็เห็นว่าคนรับใช้และทหารในสังกัดจวนของเทียนอี้มายืนรอพิธีเริ่มกันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว จะมีก็แต่เทียนอี้เท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ในที่นี้ด้วย ครั้นจะถามว่าเขาไปไหน พ่อบ้านเหลียงก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

“เริ่มพิธีได้เลย”

หลังจากนั้นก็มีหญิงรับใช้มนุษย์ของจวนมาเป็นผู้ทำพิธีไหว้พระจันทร์ ซิ่นเฉิงไม่ถามว่าเพราะเหตุใดพ่อบ้านเหลียงถึงไม่ใช่ผู้ไหว้ ด้วยรู้ว่าพระจันทร์มีธาตุเป็นหยินเช่นเดียวกันกับสตรีเพศ ในขณะที่พระอาทิตย์มีธาตุเป็นหยางเฉกเช่นกับบุรุษเพศ ดังนั้นการไหว้พระจันทร์นั้น ผู้หญิงจึงต้องเป็นคนไหว้

พิธีดำเนินไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจนย่างเข้าสู่กลางดึก มันออกจะเป็นงานพิธีที่น่าเบื่อสักหน่อยสำหรับซิ่นเฉิง คนทะเลทรายอย่างเขาไม่เคยมีพิธีรีตองใดๆ ถึงจะมีก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น อันที่จริงแล้ว พิธีนี้ก็หาได้บังคับให้ผู้ใดเข้าร่วมพิธีตลอดเวลา เมื่อไหว้เป็นที่เรียบร้อยในเบื้องต้น และแบ่งขนมไหว้พระจันทร์ก้อนใหญ่กินกันถ้วนหน้า พ่อบ้านเหลียงก็อนุญาตให้คนรับใช้ไปเที่ยวในเมืองกันได้ตามคำสั่งของเทียนอี้ ด้วยในเมืองนั้นมีการละเล่นมากมายให้เลือกชม นับว่านี่เป็นเทศกาลที่สร้างความรื่นเริงให้กับทุกชีวิตในแคว้นเฟิงฝูอย่างแท้จริง

คนรับใช้และทหารในจวนเทียนอี้ไปดูการละเล่น บ้างก็พากันจับกลุ่มกันร้องรำร่ำสุราตามร้านรวงด้วยความยินดีที่ได้หวนกลับคืนร่างเดิมแม้จะเป็นเพียงราตรีเดียวก็ตาม จะมีก็แต่ซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ไม่ได้ไปไหน เพราะเขารู้ดีว่าต่อให้ออกไป เขาก็มีสิทธิเดินเหินไปมาได้แค่ในแคว้นเท่านั้น หาได้มีสิทธิออกนอกแคว้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับเรื่องไร้สาระเช่นนั้น

ชายหนุ่มกลับขึ้นไปนั่งบนต้นท้ออีกครา ดูเหมือนเขาจะชื่นชอบต้นท้อนี้ แต่เปล่าหรอก เขาแค่อยากหามุมสงบที่ไม่มีพ่อบ้านเหลียงมาคอยคะยั้นคะยอให้กินขนมไหว้พระจันทร์ต่างหาก

เจ้าจระเข้เฒ่านั่นก็ไม่รู้เป็นอะไร บังคับให้กินขนมอยู่ได้ คิดจะวางยาข้าล่ะสิ

คิดในแง่ร้ายเป็นที่เรียบร้อย พลางทอดสายตามองไปยังดวงจันทร์เหลืองอร่ามบนท้องฟ้ามืด ดวงจันทร์ในคืนนี้สว่างไสวมากกว่าทุกคืน มองแล้วก็พานให้คิดถึงครอบครัวที่อยู่ด้านนอกกำแพงแคว้นนั่น

ป่านนี้แล้วซิ่นจินจะเป็นเช่นไร แล้วท่านพ่อกับคนอื่นๆ จะสุขสบายดีหรือไม่?

ฉับพลันในใจของซิ่นเฉิงก็รู้สึกอ้างว้าง ความจริงแล้วในคืนที่ดวงจันทร์สว่างสดใสที่สุด เผ่าของเขาก็มีการเฉลิมฉลองเช่นกัน แต่ไม่ได้มีพิธีเช่นนี้ เป็นเพียงการจับกลุ่มร้องระบำกันตามประสาคนเผ่าทะเลทรายเท่านั้น

หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 8: เทพอสูร[4/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 06-09-2017 08:00:25
บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[2]

เหม่อลอยได้ไม่นานนัก ซิ่นเฉิงก็ต้องเรียกสติและดึงสายตาของตนกลับมามองยังพื้นเบื้องล่างเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนร้องเรียก

“มาหลบอยู่ที่นี่เองหรือเฉิงเฉิง”
เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ซิ่นเฉิงปรายตามองเทียนอี้ในร่างของเทพสวรรค์นิ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้าเรียก
“ลงมาสิ” ซิ่นเฉิงนิ่งไปครู่ แต่ก็ยอมทิ้งตัวลงจากต้นท้อโดยดี “เจ้าไปไหนมา” จากนั้นก็ถามทันควัน

ที่ถาม ก็หาใช่ว่าเป็นห่วง ทว่าเพียงสงสัยว่าเทียนอี้หายไปไหนมาทั้งวันต่างหาก

“ที่จวนศักดิ์สิทธิ์มีพิธีกรรม ข้าในฐานะหนึ่งในแม่ทัพใหญ่จึงต้องไปเข้าร่วม เพิ่งจะเสร็จสิ้นเมื่อครู่ พิธีกรรมเป็นไปอย่างราบรื่น ต้องยกความดีความชอบให้หมิงจูเลยทีเดียวที่ข้ากลับจวนได้เร็วกว่าปกติ”

ซิ่นเฉิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาได้ยินพ่อบ้านเหลียงพูดไว้เหมือนกันว่าที่จวนศักดิ์สิทธิ์นั้นจะมีเฉพาะเทพอสูรชั้นสูงเท่านั้นที่เข้าร่วมพิธีกรรมได้ จึงไม่แปลกหากจะเห็นเทียนอี้หายหน้าหายตาไปทั้งวัน

“แล้วเจ้ามีธุระใดกับข้า”
เมื่อได้รับคำตอบของการหายตัวไปของคนตรงหน้า ซิ่นเฉิงก็ถามเสียงแข็งทั้งๆ ที่สายตาจับจ้องยังดวงหน้าผุดผาดของเทียนอี้ไม่หยุด

ไม่ว่าจะเห็นคราใด ก็งดงามจนน่าหลงใหลเสียจริง...

จิตใต้สำนึกบอกอย่างนั้น แต่การแสดงออกช่างสวนทางยิ่งนัก

เทียนอี้ยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยกจานเล็กๆ ที่ถืออยู่ในมือยื่นออกไปตรงหน้า
“ข้าได้ยินพ่อบ้านเหลียงบอกว่าเจ้าไม่ยอมกินขนมไหว้พระจันทร์ ข้าจึงนำมาให้”

ซิ่นเฉิงปรายตามองเสี้ยวขนมในจานแล้วก็ย่นจมูก

เจ้าจระเข้ขี้ฟ้อง!

“กินเสียสิ” เทียนอี้ว่าพลางใช้มือข้างหนึ่งหยิบขนมไหว้พระจันทร์ส่งให้
ซิ่นเฉิงมองของในมืออีกฝ่ายนิ่ง ไม่ตอบอะไร จนเทียนอี้ต้องย้ำคำอีกครั้ง

“คนในครอบครัวล้วนต้องร่วมกินขนมไหว้พระจันทร์กันหลังเสร็จพิธี มันเป็นการร่วมสัตย์ว่าจะสามัคคี รักใคร่กลมเกลียวกัน เจ้าเป็นคนในจวนของข้า ก็นับว่าเป็นครอบครัวข้า เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องกิน”
“นี่เจ้าบังคับข้าหรือ?” ซิ่นเฉิงถามด้วยน้ำเสียงระคนไม่พอใจ

เทียนอี้ยิ้มรับเล็กน้อย “เปล่า ข้าเพียงอยากให้เจ้าได้ลิ้มลองรสชาติของขนมนี้ดู เจ้าอยู่แต่ในทะเลทราย คงจะหาได้เคยลิ้มรสขนมไหว้พระจันทร์มาก่อนใช่หรือไม่?”

จริงอย่างที่เทียนอี้ถาม ตั้งแต่เกิดมา ซิ่นเฉิงหาได้เคยกินขนมไหว้พระจันทร์มาก่อน อย่าว่าแต่ขนมไหว้พระจันทร์ที่อยู่ในมือของคนตรงหน้าเลย แค่อาหารที่จะกินประทังชีวิตในแต่ละวันยังหาได้ยากยิ่ง นับประสาอะไรกับของกินเล่นเช่นนี้

“ลองกินดูสิ ข้ารับรองว่าไม่ได้วางยาพิษเจ้า สมุนไพรปลุกกำหนัดใดๆ ก็หาได้ใส่เป็นส่วนผสม” แม่ทัพเทพอสูรว่าสัพยอก
ซิ่นเฉิงมุ่ยหน้าใส่ทันควัน “หากเจ้าทำเช่นนั้น ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งซะ” แต่ก็ยอมหยิบชิ้นขนมจากมือของเทียนอี้มาโดยดี

ชายหนุ่มดมกลิ่นหอมของขนมนั้นเล็กน้อย ก่อนจะอ้าปากกัดด้วยท่าทางหวาดระแวง ดูแล้วก็คล้ายกับแมวไม่มีผิดในสายตาของเทียนอี้ จากนั้นเขาก็ทำตาโตเมื่อรสหวานละมุนพร่างพรายไปทั่วลิ้น

ตั้งแต่เกิดมาหาได้เคยกินของอร่อยเช่นนี้มาก่อน!

“อร่อยหรือไม่?” เทียนอี้ถามเมื่อเห็นซิ่นเฉิงมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป
คนถูกถามรีบเก็บอาการปลื้มปีติในรสชาติขนม ก่อนกระแอมไอสองสามครั้ง
“ก็...ไม่เลว”

ดูก็รู้ว่าซิ่นเฉิงประทับใจกับรสชาติของขนมไหว้พระจันทร์เพียงใด ก่อนเทียนอี้จะว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ในโรงครัวยังมีขนมอื่นๆ อีกมาก ข้าได้สั่งพ่อบ้านเหลียงให้จัดสรรแบ่งส่วนเผื่อแผ่ทุกคนในจวนอย่างถ้วนหน้าแล้ว หากเจ้าต้องการลิ้มรสขนมอื่น ก็จงไปแจ้งแก่พ่อบ้านเหลียงได้”

เห็นเขาเป็นคนเห็นแก่กินหรือไร!

...ใช่ คิดถูกต้อง ตอนนี้ซิ่นเฉิงอยากจะกระโจนเข้าโรงครัวไปดูว่ามีสิ่งใดให้เขาได้กินบ้างเสียเหลือเกิน หากแต่ก็ต้องระงับความตะกละนั้นไปเมื่อเทียนอี้ซึ่งมองอีกฝ่ายเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่หัวเราะในลำคอขึ้นมา

“มีอะไรให้น่าขันนัก” ซิ่นเฉิงถามเสียงเขียว เรียวคิ้วกระบี่ย่นยู่เป็นแนวเดียวกัน
เทียนอี้ไม่ได้ตอบในทันที ยื่นมือมาตรงหน้าแล้วถือวิสาสะใช้ปลายนิ้วแม่มือแตะลงไปที่มุมปากของซิ่นเฉิง

“ปากของเจ้าเลอะ”
จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วนั้นเช็ดเศษขนมออกให้

ซิ่นเฉิงนิ่งแข็งเป็นหิน ตกใจกับการกระทำของเทียนอี้ก็เรื่องหนึ่ง อีกหนึ่งคือการที่เขาเห็นใบหน้าของเทียนอี้ใกล้เพียงฝ่ามือนั้น มันทำให้เขาลืมหายใจไปชั่วขณะ

ไม่ว่ายามใด ใบหน้าของเทียนอี้ยามเป็นเทพนั้นก็ช่างงดงาม...

เพ้อพกตกในภวังค์ขึ้นมาอีกครา จะว่าหลงใหลรูปโฉมนั้นเป็นอย่างมาก ซิ่นเฉิงก็ไม่ปฏิเสธ ยิ่งได้สัมผัสกับลมหายใจอุ่นๆ ที่โลมเลียผิวหน้าด้วยแล้ว เขาก็แทบจะหลอมเป็นขี้ผึ้งต้องเปลวไฟเลยทีเดียว

“มองข้าเช่นนี้ เจ้าปรารถนาสิ่งใด”
เห็นมนุษย์หนุ่มจ้องตาไม่กะพริบ เทียนอี้ก็หยอกถาม

ซิ่นเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น สายตาหลุบลงต่ำเล็กน้อยเมื่อถูกนัยน์ตาสีทองอำพันจับจ้อง ขณะเดียวกัน ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นระส่ำขึ้นมา

ริมฝีปากหนาที่เอื้อนเอ่ยนั้น...เขาอยากจะลองลิ้มรสมันดูสักครั้ง

ซิ่นเฉิงรู้สึกเช่นนี้แต่ไม่พูดออกไป กระทั่งเทียนอี้ถามขึ้นมาอีก
“ว่าอย่างไร เจ้าต้องการสิ่งใด เฉิงเฉิง”

คนถูกเรียกว่า ‘เฉิงเฉิง’ เบนสายตากลับมาจับจ้องดวงหน้างามอีกรอบ ยิ่งพินิจก็ยิ่งหลงใหลรูปโฉมนี้ จนสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะปริปากออกไป

“ข้า...ใคร่อยากจะจุมพิตเจ้า”

เป็นเทียนอี้บ้างแล้วที่ชะงัก เขาว่าเมื่อครู่นี้ตนได้ยินไม่ผิดหรือหูฝาดไปชั่วขณะอย่างแน่นอน กระนั้นก็ทวนคำพูดด้วยไม่มั่นใจนัก

“จุมพิตข้า?”

ซิ่นเฉิงเม้มริมฝีปากอีกครั้งเป็นคำตอบ เท่านั้นเทพอสูรก็ประจักษ์ทันใด

มนุษย์ผู้นี้ลุ่มหลงในรูปกายเดิมของเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว...

เป็นเรื่องที่น่าอดสูอยู่สักหน่อย แต่นั่นก็คือธรรมชาติของมนุษย์ที่นิยมชมชอบในรูปกาย และเทียนอี้ก็ไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าตัดพ้อใดๆ ด้วย คิดเสียอีกว่านี่เป็นโอกาสทองที่จะได้รำลึกถึงสัมผัสของเรือนร่างคนตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ทีละน้อย จนปลายจมูกของเขาแตะเข้ากับปลายจมูกของซิ่นเฉิงแผ่วเบา

“ถ้าเจ้าปรารถนาเช่นนั้น... ข้าก็จะให้เจ้าสมประสงค์”

สิ้นเสียงก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ซิ่นเฉิงตอบรับอย่างไม่รังเกียจ ออกจะหงุดหงิดเสียด้วยซ้ำที่เทียนอี้แค่ประทับริมฝีปากลงมาแล้วก็ถอนออกไป

“เท่านี้?”
เมื่อเสียงดุดันคล้ายจะต่อว่าหลุดออกจากปากของเจ้าแมว เทียนอี้ก็ยิ้มขึ้น
“เจ้าต้องการอีกเท่าใด”
“จนกว่าข้าจะพอใจ”

แม้ว่าซิ่นเฉิงจะเป็นคนดื้อด้าน แต่ก็หาใช่คนที่จะโกหกความรู้สึกตนเอง และนั่นทำให้เทียนอี้พอใจเป็นอย่างมาก วันนี้เขาออกไปทำธุระมาทั้งวัน ได้ผ่อนคลายด้วยการหยอกล้อกับเจ้าเหมียวของจวนหน่อยก็คงดี

“ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้น ข้าก็คงจะปฏิเสธไม่ได้”

เทียนอี้เข้าครอบครองริมฝีปากของซิ่นเฉิงอีกครั้ง ดูดกลืนความหอมหวานกรุ่นกลิ่นขนมในโพรงปากของอีกฝ่ายทีละน้อย เมื่อซิ่นเฉิงเผยอริมฝีปากตอบรับ ปลายลิ้นอุ่นร้อนก็แทรกเข้ามาด้านใน เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นนุ่มๆ ของซิ่นเฉิง จากจุมพิตแผ่วเบาก็เริ่มดุดันมากขึ้น สัญชาตญาณพุ่งพล่านภายในก่อเกิดความโหยหา ต่างฝ่ายต่างตักตวงความหวานล้ำของกันและกันราวกับผึ้งภมรแย่งน้ำหวาน

ซิ่นเฉิงคงจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้เมื่อเขาเริ่มหายใจถี่กระชั้นเพราะถูกรุกรานหนักจนเกินไป เทียนอี้ละริมฝีปากออกมาเล็กน้อย ถามเสียงแผ่ว

“พอใจหรือไม่?”

ยัง...

ซิ่นเฉิงอยากจะตอบเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นดวงตาประกายระยับคู่นั้นของคนตรงหน้าแล้ว เขาก็เริ่มร้อนวูบวาบที่ใบหน้าขึ้นมา
“พอแล้ว”

ถึงตอนนี้ เทียนอี้หลุดหัวเราะในลำคอเบาๆ

“เจ้าช่างปากไม่ตรงกับใจ” ก่อนจะยื่นมือไปแตะเข้าที่กลางลำตัวของอีกฝ่าย สัมผัสส่วนแข็งขืนที่เป็นเนินนูนออกมาจากเนื้อผ้าอย่างเบามือ “แต่ร่างกายของเจ้าช่างสัตย์ซื่อยิ่งนัก”

เจ้าหมานี่... เจ้าเล่ห์นักนะ!

นึกขุ่นใจขึ้นมา แต่ซิ่นเฉิงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้สัมผัสเรือนร่างของเทียนอี้ในยามที่เขาคงร่างเทพเช่นนี้ มันทำให้เขาไม่อาจควบคุมความต้องการของตนเองได้ดีนัก อีกทั้งยังประคองสติสัมปชัญญะได้ไม่ดีเท่าที่ควรอีกด้วย เพราะเมื่อเทียนอี้พูดจบ เขาก็ถูกอีกฝ่ายดึงเข้าไปนั่งลงบนพื้นหญ้าหลังพุ่มไม้ในสวน

“หากเจ้าอยากจะร่วมอภิรมย์กับร่างนี้ของข้า ข้าก็จะไม่ขัด”

ได้ยินเช่นนี้ แล้วซิ่นเฉิงจะขัดหรือ? เทียนอี้ก็น่ารำคาญใจนัก เป็นเพียงแค่เทพอสูรแท้ๆ แต่กลับอ่านใจเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
ทว่าซิ่นเฉิงก็หาได้มีโอกาสบริภาษใดๆ เมื่ออีกฝ่ายประทับจูบลงมาอีกครา ขณะที่มือข้างหนึ่งคลายเชือกรัดกางเกงของซิ่นเฉิงออก สอดมือเข้าไปกอบกุมแก่นกาย รูดรั้งจนส่วนปลายมีของเหลวเอ่อปริ่ม

มนุษย์หนุ่มหายใจกระหืดหอบในทันใด พลันแอ่นสะท้านเมื่อถูกเทียนอี้ที่ละจุมพิตจากริมฝีปากไล้เลียไปตามลำคอและใบหู ความวาบหวามอันน่าอภิรมย์ทำให้ซิ่นเฉิงหลงมัวเมา ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเทียนอี้ด้วยแล้ว ความกำหนัดก็เหมือนจะพวยพุ่งไปทั่วร่างมากกว่าเดิม

เมื่อครั้งที่ถูกเทียนอี้ในร่างเทพอสูรกระทำเช่นนี้ เขาหาได้ยินดีแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นก็ไม่ได้รังเกียจใดๆ ทว่าในตอนนี้ กลับเป็นเขาที่ยินดีกับการสัมผัส อีกทั้งยังตอบสนองได้รวดเร็ว เพราะไม่นานนัก ความอัดอั้นที่กักเก็บไว้ชั่วครู่ก็ปะทุออกมาสาดกระเซ็นเป็นสาย

เป็นเทียนอี้ที่เก็บกวาดความเปรอะเปื้อนนั้นให้ด้วยปลายลิ้นที่ปราดเลียไปทั่วส่วนกลางของร่างกายคนตรงหน้า รสชาติของซิ่นเฉิงช่างรัญจวนใจ อุปนิสัยนี้เขาไม่เคยทำให้แก่ผู้ใดมาก่อน นอกเสียจาก...

“ให้ข้าแตะต้องเจ้า”

ทันทีที่เทียนอี้เงยหน้าขึ้นมา เสียงของซิ่นเฉิงก็ดังขึ้นทันที ก่อนความประหลาดใจจะผุดพรายขึ้นยังใบหน้าคร้ามของท่านแม่ทัพใหญ่

“เจ้าหมายถึง...”
“หมายถึงสิ่งใด เจ้าเป็นบุรุษก็น่าจะรู้ ตัวเจ้าเองก็เป็นเสียขนาดนั้น จะทนให้ได้อะไรขึ้นมา”

ไม่ว่าอย่างไร ซิ่นเฉิงก็เป็นคนซื่อตรง

เทียนอี้ถึงกับหัวเราะในลำคอ จริงอย่างที่เจ้าแมวป่านี่ว่า เขาเองก็เกิดกำหนัด อวัยวะความเป็นชายดุนดันเนื้อผ้าเสียจนอึดอัดไปหมดแล้วเช่นกัน แต่ที่ไม่ทำอะไรเกินเลยนอกจากการปรนเปรอให้ฝ่ายเดียวก็เป็นเพราะเขาไม่ต้องการข่มเหงน้ำใจของซิ่นเฉิง ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายเสนอมาเช่นนี้ มีหรือที่เขาจะปฏิเสธ

“ทำตามที่เจ้าประสงค์เถิด”

เมื่อได้รับอนุญาต ซิ่นเฉิงก็ไม่รอช้า เป็นฝ่ายดันตัวขึ้นนั่งคุกเข่า แล้วบรรจงจูบริมฝีปากของคนตรงหน้าที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการกลืนกินทุกหยาดหยดของเขาไปเมื่อครู่

จุมพิตนั้น...เนิ่นนาน แม้จะบรรจงเพียงใด แต่ก็เต็มไปด้วยความดุดันและจาบจ้วงหยาบโลน ...ตามประสาคนทะเลทราย

เทียนอี้ตอบรับอย่างยินดี ขณะที่ซิ่นเฉิงซุกซนอยู่ไม่สุข สอดมือเข้าไปในกางเกงของคนที่ปรนเปรอให้ตนก่อนหน้าบ้าง ฝ่ามือสัมผัสเข้ากับความแข็งขืนอุ่นร้อนของแก่นกาย เขาไม่ควรหลงใหลในตัวบุรุษ แต่กับเทียนอี้แล้วก็เหมือนจะยับยั้งตนเองไว้ไม่ได้
มือรูดรั้งเป็นจังหวะ เสียงหายใจหอบน้อยๆ หลุดออกมาจากเทียนอี้ เมื่อซิ่นเฉิงถอนริมฝีปากออกมาก็พบว่าเทพอสูรตนนั้นหยักยิ้มให้อยู่

ยิ่งมองก็ยิ่งลุ่มหลง จนชวนให้ซิ่นเฉิงทำสิ่งที่ไม่คิดมาก่อนว่าในชีวิตนี้จะกระทำ...

เขาเลื่อนตัวลงต่ำ อ้าปากเข้าครอบครองความเป็นบุรุษเพศของเทียนอี้ ปรนเปรอด้วยปากและลิ้นอย่างที่อีกฝ่ายได้กระทำให้เขา เทียนอี้เองก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าเจ้าเหมียวแสนร้ายกาจตัวนี้จะต้องการทำอะไรที่คาดไม่ถึง แต่นั่นแหละคือนิสัยของแมว... คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ บางครั้งก็โมโหฉุนเฉียว บางครั้งก็ออดอ้อนเสียจนน่าเอ็นดู

ปลายลิ้นตวัดไล้กลืนกินแก่นกายอย่างไม่ประสา บ่งบอกให้รู้ว่าซิ่นเฉิงหาได้เชี่ยวชาญเรื่องอย่างนี้นัก ก็อย่างว่า เขาหาได้เคยร่วมรักกับบุรุษใดมาก่อน ถ้าจะไม่ชำนาญก็ไม่แปลก จึงได้แต่เลียนแบบที่เทียนอี้เคยกระทำให้เท่านั้น และนั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งของเทียนอี้ เพราะมันหมายความว่า...เขาเป็นบุรุษคนแรกที่ได้แตะต้องเรือนกายของซิ่นเฉิง

แค่คิด... ความยินดีก็ยุ่งทวีมากขึ้น พร้อมๆ กับความอัดอั้นที่ดูเหมือนอีกไม่นานก็จะสิ้นสุดลง

ปลายลิ้นของซิ่นเฉิงสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่พวยพุ่งอบอวลไปทั่วโพรงปาก เขาออกจะตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ยอมถอนริมฝีปากออกมา กลืนกินน้ำมธุรสจากบุรุษตรงหน้าทุกหยาดหยด ทำเอาเทียนอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออก ก่อนวางฝ่ามือใหญ่ลงบนกระหม่อมของซิ่นเฉิงแล้วลูบเบาๆ

“เด็กดี...”

ซิ่นเฉิงที่ได้รับคำชมเช่นนี้เหลือบตาขึ้นมอง พอเห็นสีหน้าพึงพอใจของเทียนอี้แล้ว ในใจก็อุ่นวาบขึ้นมาเช่นกัน

“ที่ข้าทำให้เจ้า หาใช่ว่าข้าเอ็นดูเจ้า แต่เป็นการตอบแทนที่เจ้าดูแลข้าเป็นอย่างดี”
พอกลับสู่ปกติ ฝีปากก็เริ่มทำงาน

เทียนอี้ไม่เถียงใดๆ พยักหน้ารับ ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงอีกฝ่ายให้เข้าหา จับพลิกตัวให้นั่งพิงกับแผ่นอกของตนแล้วสวมกอดเอวสอบเอาไว้หลวมๆ

ซิ่นเฉิงที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่โวยวาย
“เจ้า!”

จากนั้นก็ชะงักไปเมื่อเทียนอี้เกยปลายคางไว้บนไหล่แกร่งของตน

“น่ายินดียิ่งนักที่ราตรีนี้ได้ชมจันทร์ร่วมกับเจ้า”

น่ายินดีหรือ? ซิ่นเฉิงก็ไม่แน่ใจตัวเองนักว่ายินดีหรือไม่ แต่ก็ยอมรับว่ารู้สึกดีอยู่ไม่น้อย จึงนั่งเฉยๆ ให้เทียนอี้ได้สวมกอดอย่างเงียบงัน ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะที่เทียนอี้ฝังปลายจมูกลงบนซอกคอของคนในอ้อมแขน สูดกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ของซิ่นเฉิงเข้าปอด พลันคิดคะนึงถึงใครบางคนขึ้นมา

...ยอดดวงใจของข้า





[1] เทพธิดาฉางเอ๋อ เป็นเทพธิดาที่ดูแลดวงจันทร์ มีตำนานเล่าว่าฉางเอ๋อเป็นหญิงคนรักของโฮวอี้ นักยิงธนูแห่งสวรรค์ เมื่อเขากระทำผิด ใช้ธนูยิงดวงอาทิตย์ที่เผาผลาญโลกมนุษย์ตกลงไปถึงเก้าดวงจากสิบดวง เขาจึงถูกลงทัณฑ์ด้วยการให้ลงไปใช้ชีวิตธรรมดาเช่นมนุษย์เนื่องจากละเมิดบัญชาสวรรค์ ฉางเอ๋อจึงตามเขาไปด้วย แต่แล้วโฮวอี้ก็ถูกคนสนิทสังหาร ส่วนฉางเอ๋อก็ดื่มน้ำอมฤตเพื่อที่จะมีชีวิตเป็นอมตะ แล้วเหาะกลับไปที่ดวงจันทร์เพียงลำพังด้วยความเศร้าสร้อย





เจ้าเหมียวววว ร้ายกาจไม่เบาเหมือนกันนะ เริ่มมีใจให้แม่ทัพหมาแล้วล่ะสิ 555

ฝากกำลังใจไว้ให้ด้วยนะคะ เดี๋ยวไว้หนูแดงมาต่อให้ค่า

หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-09-2017 08:28:53
นึกถึงใครกันนะ ยอดดวงใจที่ว่านั่น
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 06-09-2017 08:59:17
ถถถ ท่านเทพมีคนรักอยู่แล้วนี่เอง สงสัยจะอยู่บนสวรรค์แบบนี้ก็รักสามเศร้าหน่ะซิ เฉิงเฉิงจะถอนตัวทันไหมหว่า 555+ แต่เจ้าแมวจอมดื้อปากไม่ตรงกับใจต่อให้รักก็คงไม่มีทางพูดออกมา ปากแข็งซะขนาดนี้
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 06-09-2017 10:29:11
ทั่นเทพ! ถ้าทำให้เฉิงเฉิงเสียใจล่ะก็น่าดู!
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 06-09-2017 10:29:22
ท่านแม่ทัพมีใคร?ในใจแล้วอ่าาา
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 06-09-2017 13:16:17
เฉิงเฉิง น่ารักขึ้นทุกวันเนอะท่านแม่ทัพ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-09-2017 18:28:58
ไม่คิดว่าเฉิงเฉิงจะกระโจนใส่ขนาดนี้ โอ้ยย  :hao5:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 06-09-2017 18:33:03
[ตัวอย่าง] บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่

 เอาตัวอย่างมาก่อน ถามว่าดราม่ามั้ย มันก็ไม่นะคะ (หัวเราะแบบเชื่อไม่ได้)
เออ ไม่ดราม่าจริงๆ ใจร่มๆ รออ่านก่อนนะจ๊ะ
--------------------------------

“นางมาจากสกุลหลิว มีนามว่าหลิวซู”
ได้ยินพ่อบ้านเหลียงพูดเช่นนั้น จากที่แสร้งไม่สนใจอยู่ เทียนอี้ก็วางตำราในมือลงทันควัน หันไปมองหน้าคนสนิทอย่างไม่เชื่อหู
“เมื่อครู่นี้ เจ้าว่านางมีชื่อว่าอะไรนะ”
“หลิวซู” พ่อบ้านเหลียงย้ำคำอีกครั้งช้าๆ และชัดเจน

พลันเทียนอี้ก็นิ่งอึ้งไปอีกครา เมื่อได้สติก็ออกคำสั่ง
“ข้าอยากพบนาง”
“นางเพิ่งมาถึง ยังอยู่ที่หน้าจวนขอรับ”

ได้ยินเช่นนั้น เทียนอี้ก็ไม่รีรออีกต่อไป ตรงออกจากห้องหนังสือ มุ่งหน้าไปยังที่หมายที่พ่อบ้านเหลียงบอกทันที

ร่างใหญ่ก้าวผ่านสวน ซิ่นเฉิงที่นอนเอกเขนกอยู่บนกิ่งท้อมองเห็นก็ปรายตามอง พอเห็นว่าท่าทางของเทียนอี้ช่างดูรีบร้อนนัก เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเหตุอันใดกัน อมนุษย์ตรงหน้าถึงได้ร้อนรนเช่นนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องของตนก็แอบลอบตามไปดู กระทั่งมาถึงยังหน้าจวนก็พบว่าบริเวณนั้นมีขบวนเกี้ยวของสกุลใดสักสกุลมาตั้งขบวนอยู่

ส่วนเทียนอี้ ครั้นไปถึงก็หยุดยืนนิ่ง ขณะที่พ่อบ้านเหลียงบอกจุดประสงค์กับคนรับใช้ของเจ้าของขบวนเกี้ยวนั้น
“ท่านแม่ทัพอยากพบนาง”

หญิงรับใช้พยักหน้ารับ เดินไปเปิดม่านที่เกี้ยวแล้วกระซิบบอกผู้เป็นนาย อึดใจเดียว ม่านที่บดบังเกี้ยวอยู่ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างแน่งน้อยของสตรีนางหนึ่งที่ก้าวลงมา

ทันทีที่สายตาของเทียนอี้ประสบกับดวงหน้านวล เขาก็นิ่งค้างไปราวกับเห็นผี ฉับพลันความตะลึงงันก็ปรากฏอยู่บนสีหน้า ก่อนที่ปากจะเอื้อนเอ่ย
“ซูซู...”
ในใจก็พลันคิด... เหมือนมาก...เหมือนจริงๆ

ซิ่นเฉิงที่แอบดูอยู่จากหลังเสาไม่ไกลนักถึงกับย่นคิ้วยู่ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น

ใครกัน?

จากนั้นก็ต้องหยุดคิดสงสัยเมื่อเสียงหวานของสตรีนางนั้นดังขึ้น
“ข้าน้อยหลิวซู ขอคำนับท่านแม่ทัพเทียนอี้เจ้าค่ะ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าสุนัขป่าเล็กน้อย ก่อนเทียนอี้จะตอบรับ
“แค่ได้เห็นเจ้าอีกครั้ง ข้าก็ยินดียิ่งแล้ว”
“หามิได้เจ้าค่ะ ข้าต่างหากที่ยินดี ท่านแม่ทัพเมตตาให้ข้าได้เข้าพบเช่นนี้ ถือเป็นวาสนาของหลิวซูแล้ว”
“นั่นก็เพราะข้าอยากพบเจ้า”

สิ้นเสียงก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ซิ่นเฉิงเห็นเป็นประจำ ทว่าดวงตาที่กำลังทอประกายราวกับจะบอกอีกฝ่ายว่ารักใคร่ยิ่งนักนั้น ซิ่นเฉิงหาได้เคยเห็นมาก่อน ถึงตอนนี้ ซิ่นเฉิงก็ขมวดคิ้วหนัก อะไรไม่ว่า เขายังหายใจได้ยากลำบากเมื่อหน้าอกข้างซ้ายจุกเสียดขึ้นมากะทันหันอีก

อาการนี้มัน...

คิดพลางยกมือขึ้นทาบหน้าอก มันปวดอยู่ข้างในลึกๆ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นถี่ ทำให้ปวดแปลบมากขึ้นไปอีก

หรือว่าข้าจะป่วยกัน?
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 06-09-2017 18:39:34
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 06-09-2017 18:45:46
ตัวกระตุ้นนั่นเอง
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 06-09-2017 18:46:16
งานมาม่ากำลังจะมา ขอแค่รสหมูสับพอนะค๊ะ อ่อนๆ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 06-09-2017 19:34:39
มาม่าชามใหญ่
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ice.sp0211 ที่ 06-09-2017 19:45:09
แมวน้อยยย :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 06-09-2017 22:38:34
มาม่าครั้งนี้ซดทีเดียวหมด หรือค่อยๆซดยาวไปคะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-09-2017 23:37:05
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 07-09-2017 00:49:18
เทียนอี้สุดยอดมาก โดนน้องแมว เอ๊ย ซิ่นเฉิงพยศขนาดนั้นยังทนได้แล้วไหนจะใจดีทำแผลนู่นนี่นั่นให้ตลอดอีก เฉิงเฉิงก็เชื่อฟังท่านแม่ทัพกับพ่อบ้านเหลียงบ้างซี ตอนหน้าคงมีแมวได้เรียนรู้ใจตัวเองกันบ้างล่ะ แต่ท่านแม่ทัพก็ห้ามเอาซิ่นเฉิงเป็นตัวแทนใครนะ ปล.หลิวซูจะใช่ซูซูคนรักของเทียนอี้จริงๆเหรอ ไม่ได้ปลอมตัวหรือหลอกอะไรใช่มั้ยคะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 07-09-2017 13:07:02
แมวน้อยเอ้ยยย
รู้ใจตัวเองสักที
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 07-09-2017 16:32:12
มาม่าครั้งนี้ซดทีเดียวหมด หรือค่อยๆซดยาวไปคะ  :sad4:

ม่าเบาๆ ค่อยๆ ซดไปค่า
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 07-09-2017 16:32:41
เทียนอี้สุดยอดมาก โดนน้องแมว เอ๊ย ซิ่นเฉิงพยศขนาดนั้นยังทนได้แล้วไหนจะใจดีทำแผลนู่นนี่นั่นให้ตลอดอีก เฉิงเฉิงก็เชื่อฟังท่านแม่ทัพกับพ่อบ้านเหลียงบ้างซี ตอนหน้าคงมีแมวได้เรียนรู้ใจตัวเองกันบ้างล่ะ แต่ท่านแม่ทัพก็ห้ามเอาซิ่นเฉิงเป็นตัวแทนใครนะ ปล.หลิวซูจะใช่ซูซูคนรักของเทียนอี้จริงๆเหรอ ไม่ได้ปลอมตัวหรือหลอกอะไรใช่มั้ยคะ

เดี๋ยวรออ่านน้า จะค่อยๆ เฉลยมาค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-09-2017 18:44:40
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 07-09-2017 19:08:29
บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[1]

จากการได้มีปฏิสัมพันธ์ทางกายกับเทียนอี้ในร่างเดิมเมื่อครั้งยังเป็นเทพ ทำให้ซิ่นเฉิงอ่อนพยศลงอย่างเห็นได้ชัด ใช่ว่าเขาจะยอมศิโรราบแต่โดยดี หากแต่เป็นเพราะยามได้เห็นหน้าของเทียนอี้ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้ายามเป็นเทพอสูรหรืออดีตเทพสวรรค์ ก็ล้วนแล้วแต่สร้างความร้อนรุ่มไปทั้งกายให้กับชายหนุ่มจากทะเลทรายผู้นี้ได้ชะงัด เมื่อทุกครั้งที่เห็นหน้าของแม่ทัพใหญ่ เขาก็เอาแต่คิดถึงภาพในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์

มันช่างสุขล้ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนนับตั้งแต่ที่มาอยู่ที่จวนแห่งนี้...

ซึ่งนั่นก็ดีกับพ่อบ้านเหลียงที่ไม่ต้องปวดหัวกับความดื้อรั้นของชายหนุ่มคนนี้ ขณะเดียวกันก็ไม่เป็นการดีสักนิดเดียวหากเทียนอี้ถลำลึกลงไปมากกว่าเดิม ตั้งแต่คืนนั้นแล้วที่เขาได้กลิ่นสาบทะเลทรายจากผู้เป็นนายอย่างชัดเจน ยิ่งวันใหม่มาถึง เขาได้กลิ่นของเทียนอี้จากกายของซิ่นเฉิงด้วย มันจึงทำให้เขาอดพูดไม่ได้

“ท่านแม่ทัพ ข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับท่านเป็นการส่วนตัว”

เปิดฉากมาเช่นนี้ เทียนอี้ที่นั่งจิบชาอยู่ในศาลากลางสวนก็เหลือบมองคนสนิทอย่างรู้ทัน กระนั้นก็ยอมให้อีกฝ่ายได้พูด
“ว่ามาสิ”
“เรื่องของซิ่นเฉิง ข้าว่าท่านจะถลำตัวมากเกินไปแล้ว”

คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้ ครั้นเทียนอี้จับจ้องไปยังใบหน้าจระเข้ของพ่อบ้านเหลียง อีกฝ่ายก็ว่าต่อ
“ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของท่านแม่ทัพ แต่การที่ท่านเอ็นดูชายผู้นั้นมากเกินไป อีกไม่นานก็จะถลำลึก”
“ข้าไม่ถลำลึกหรอกพ่อบ้านเหลียง”
“การที่ท่านร่วมอภิรมย์กับซิ่นเฉิง นั่นเรียกว่าถลำลึก” พ่อบ้านเหลียงเถียง

เทียนอี้ได้แต่ถอนหายใจ “ข้าไม่ได้ร่วมอภิรมย์ นั่นก็แค่ภายนอก”
“จะภายนอกหรือลึกซึ้งเพียงใด ข้าก็เห็นว่าเป็นการถลำลึกทั้งสิ้น ในฐานะที่ข้ารับใช้ท่านแม่ทัพมานาน ข้าขอเตือนว่าท่านต้องหยุดเล่นสนุกได้แล้ว”

เทียนอี้วางถ้วยชาลง ตอบอีกฝ่ายช้าๆ “ข้าไม่ได้เล่นสนุก”
“ถ้าหากท่านแม่ทัพจริงจัง ข้าก็จะขอเตือนให้ท่านหยุดเช่นกัน ท่านจำได้ใช่หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว เราต้องการกองทัพ ท่านจึงจำเป็นต้องมีฮูหยิน หาใช่ชายชู้ที่ทำได้เพียงปรนเปรอเท่านั้น”
“พ่อบ้านเหลียง”

เห็นว่าคนสนิทพูดเกินไป เทียนอี้ก็เรียกเสียงดุเล็กน้อยเป็นการเตือน พ่อบ้านเหลียงชะงัก ยกมือขึ้นคำนับเมื่อตระหนักได้ว่าลืมตัว
“ข้าขออภัยที่ล่วงเกิน”

เทียนอี้พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ถือสา แต่นั่นกลับเป็นการทำให้พ่อบ้านเหลียงได้พูดขึ้นมาอีก

“แต่ถึงจะล่วงเกิน ข้าก็ต้องขอเตือนท่านแม่ทัพไว้ว่าอย่าเอ็นดูเจ้าคนดื้อด้านนั่นให้มากไปกว่านี้ ท่านก็รู้ใช่ไหมว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมีใจปฏิพัทธ์กับมนุษย์ ข้าหวังว่าท่านคงจะจดจำได้ดีว่าเคยพลาดพลั้งเพียงใด”

ได้ยินดังนี้ เทียนอี้ก็ปรายตามองไปยังคนพูด ความเงียบงันครอบงำบรรยากาศรอบข้างเพียงครู่ ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมา
“หากเจ้าหมดธุระแล้วก็ไปจัดการงานอื่นเถิด ข้าอยากอยู่เงียบๆ ตามลำพัง”
ฟังดูก็รู้ว่ากำลังถูกไล่ ขณะเดียวกันก็เป็นการบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึงเรื่อง ‘ในอดีต’ เช่นกัน

พ่อบ้านเหลียงได้แต่ถอนหายใจ ในเมื่อผู้เป็นนายไม่อยากพูดถึง เขาก็คงจะทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้
“ข้าหวังว่าอดีตจะเป็นบทเรียนให้กับท่าน”

สิ้นเสียงก็จากไป ปล่อยให้เทียนอี้ได้ทอดสายตาเหม่อมองไปยังสระบัวเบื้องหน้า

ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมีใจปฏิพัทธ์กับมนุษย์เช่นนั้นหรือ? แต่เจ้าก็คะยั้นคะยอให้ข้าตบแต่งฮูหยินซึ่งเป็นมนุษย์เข้าจวนอยู่ไม่ใช่หรือไร?

ถึงจะรู้ว่าการตบแต่งฮูหยินเข้าจวนจะเป็นไปเพื่อการสร้างทายาทของเหล่าเทพอสูรก็เถอะ แต่การกระทำและคำพูดของพ่อบ้านเหลียงก็ช่างย้อนแย้งนัก

เทียนอี้ถอนหายใจออกมา ครุ่นคิดไปเล็กน้อย

กับซิ่นเฉิง... เขาก็ไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์เสียหน่อย เพียงแค่เอ็นดูก็เท่านั้น

เอ็นดู...มาก

คิดถึงใบหน้าดื้อดึงของมนุษย์หนุ่มขึ้นมา รอยยิ้มก็ผุดพรายที่มุมปาก นึกในใจว่าวันนี้ยังไม่ได้พบหน้าอีกฝ่ายเลย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อซิ่นเฉิงเป็นแมว... แมวย่อมรักสันโดษ หาตัวได้ยากยิ่ง จะมาหาก็ต่อเมื่ออยากมาเท่านั้น กระนั้นก็อดคิดไม่ได้...

เฉิงเฉิง... หากเจ้าเป็นคนเดียวกับยอดดวงใจของข้า ข้าคงยินดียิ่ง...

 




ไม่เพียงแต่เตือนท่านแม่ทัพเรื่องการเอ็นดูเจ้าคนทะเลทรายนั่น พ่อบ้านเหลียงยังรีบร้อนหาฮูหยินให้ตบแต่งกับเทียนอี้อีก ด้วยแลเห็นว่าการเตือนของเขาเป็นเพียงเศษฝุ่นธุลีที่ปลิวผ่านหน้าและหายไปกับสายลมสำหรับผู้เป็นนาย ดังนั้นเขาซึ่งรอคอยให้อีกฝ่ายได้ทำตามหน้าที่ซึ่งได้ตกลงกันไว้กับบรรดาแม่ทัพและกุนซือเทพอสูรเมื่อครั้งมาเยือนดินแดนมนุษย์เมื่อหลายร้อยปีก่อนไม่ไหว จำต้องจัดการธุระให้โดยไม่ถามความเห็นชอบของผู้เป็นนายเลยแม้แต่น้อย

ในใจของเทียนอี้นั้นยังคงมี ‘ใครบางคน’ ฝังลึกอยู่ สิ่งนั้นพ่อบ้านเหลียงรู้ดี และก็รู้อีกด้วยว่าที่เทียนอี้ไม่ยอมตบแต่งกับสตรีมนุษย์นางใดก็เป็นเพราะกำลังรอให้ใครคนนั้นกลับมา ซึ่งเขาเป็นห่วงเหลือเกินว่าคนผู้นั้นจะเป็นซิ่นเฉิง แต่เมื่อพินิจใบหน้าแล้วไร้ซึ่งเค้าโครงเดิม ก็ชักมั่นใจได้ว่าซิ่นเฉิงคงจะไม่มีส่วนเกี่ยวพันใดกับคนผู้นั้นเป็นแน่ น่าเสียดายอยู่สักหน่อยที่ซิ่นเฉิงเป็นบุรุษ หากเป็นสตรีแล้วล่ะก็ พ่อบ้านเหลียงคงจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และเห็นดีด้วยแน่ถ้าหากเทียนอี้ใคร่จะตบแต่งมนุษย์ผู้นั้นเข้าจวนเป็นฮูหยิน

แต่ซิ่นเฉิงดันเป็นบุรุษ...

เพราะอย่างนั้น การส่งสาส์นไปยังสกุลหลิวจึงต้องรีบเร่งดำเนินการ ผ่านไปไม่กี่ชั่ววันก็ได้รับสาส์นตอบกลับมาว่าจะส่งตัวบุตรสาวหนึ่งเดียวมาเยี่ยมเยือนถึงจวนแม่ทัพใหญ่ พ่อบ้านเหลียงเก็บงำเรื่องนี้ไว้กระทั่งถึงวันที่ธิดาจากสกุลหลิวเดินทางข้ามทะเลทรายมาถึงแคว้นเฟิงฝู ตอนนั้นเองที่เขามุ่งหน้าไปรายงานเทียนอี้ที่พักผ่อนอยู่ในห้องหนังสือ

ครั้นเข้าไปถึงก็รายงานทันควัน

“ท่านแม่ทัพขอรับ วันนี้จะมีการดูตัวว่าที่ฮูหยิน”

เทียนอี้ไม่ประหลาดใจนักเมื่อได้ยินคนสนิทพูดเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาได้กลิ่นผิดแผกลอยโชยมาจากทางด้านหน้าของจวน ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าการที่คนแปลกหน้ามาเยือนยังจวนนั้นเป็นเพราะสาเหตุอันใด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อบ้านเหลียงกระทำการโดยไม่ปรึกษาหารือ จนตอนนี้น่ะหรือ... เขาชินแล้วล่ะ

“ข้าไม่ว่าง” เทียนอี้ตอบรับเช่นนั้น สายตาจับจ้องยังตัวอักษรบนหน้ากระดาษดังเดิม

พ่อบ้านเหลียงกะอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ จึงเอ่ยชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ

“นางเป็นธิดาคนเดียวของสกุลหลิว”

สกุลหลิว...

ได้ยินชื่อคุ้นหู เทียนอี้ก็รู้สึกวูบวาบในใจ กระนั้นก็ยังทำนิ่งเฉย จนกระทั่งพ่อบ้านเหลียงพูดออกมาอีก
“...มีนามว่าหลิวซู”

จากที่แสร้งไม่สนใจอยู่ เทียนอี้ก็วางตำราในมือลงทันควัน หันไปมองหน้าคนสนิทอย่างไม่เชื่อหู

“เมื่อครู่นี้ เจ้าว่านางมีชื่อว่าอะไรนะ”
“หลิวซู” พ่อบ้านเหลียงย้ำคำอีกครั้งช้าๆ และชัดเจน
พลันเทียนอี้ก็นิ่งอึ้งไปอีกครา

หรือว่า...จะเป็นคนผู้นั้น?

ยิ่งคิด ความยินดีก็พร่างพราย เขาเฝ้ารอที่จะได้พบเจอ ‘หลิวซู’ มานานแล้ว นานมาก นานจนเขาลืมเลือนไปแล้วด้วยซ้ำว่าตั้งแต่ที่พลัดพรากจากกันคราวนั้น เวลาผันผ่านมากี่ปีแล้ว

“ข้าอยากพบนาง” เมื่อได้สติก็ออกคำสั่ง
“นางเพิ่งมาถึง ยังอยู่ที่หน้าจวนขอรับ”

เทียนอี้ไม่รีรออีกต่อไป ตรงออกจากห้องหนังสือ มุ่งหน้าไปยังที่หมายที่พ่อบ้านเหลียงบอกทันที

ร่างใหญ่ก้าวผ่านสวน ซิ่นเฉิงที่นอนเอกเขนกอยู่บนกิ่งท้อมองเห็นก็ปรายตามอง พอเห็นว่าท่าทางของเทียนอี้ช่างดูรีบร้อนนัก เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเหตุอันใดกัน อมนุษย์ตรงหน้าถึงได้ร้อนรนเช่นนี้ วันนี้ยังไม่ได้พบหน้าอีกฝ่ายด้วยไม่มีเรื่องสลักสำคัญใด แต่เมื่อเห็นท่าทางนั้นก็อดใคร่รู้ไม่ได้ แม้จะไม่ใช่เรื่องของตนก็แอบลอบตามไปดู กระทั่งมาถึงยังหน้าจวนก็พบว่าบริเวณนั้นมีขบวนเกี้ยวของสกุลใดสักสกุลมาตั้งขบวนอยู่

ส่วนเทียนอี้ ครั้นไปถึงก็หยุดยืนนิ่ง ขณะที่พ่อบ้านเหลียงบอกจุดประสงค์กับคนรับใช้ของเจ้าของขบวนเกี้ยวนั้น

“ท่านแม่ทัพอยากพบนาง”
หญิงรับใช้พยักหน้ารับ เดินไปเปิดม่านที่เกี้ยวแล้วกระซิบบอกผู้เป็นนาย อึดใจเดียว ม่านที่บดบังเกี้ยวอยู่ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างแน่งน้อยของสตรีนางหนึ่งที่ก้าวลงมา

ทันทีที่สายตาของเทียนอี้ประสบกับดวงหน้านวล เขาก็นิ่งค้างไปราวกับเห็นผี ฉับพลันความตะลึงงันก็ปรากฏอยู่บนสีหน้า ก่อนที่ปากจะเอื้อนเอ่ย
“ซูซู...”

ในใจก็พลันคิด... เหมือนมาก...เหมือนจริงๆ

เหมือนกับหลิวซูไม่มีผิด!

ทั้งดวงหน้า ทั้งชื่อแซ่ ล้วนแล้วแต่เป็นคนผู้นั้น ทำเอาเทียนอี้ยืนนิ่งค้างไปนานทีเดียว ส่วนซิ่นเฉิงที่แอบดูอยู่จากหลังเสาไม่ไกลนักถึงกับย่นคิ้วยู่ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น

ใครกัน?

จากนั้นก็ต้องหยุดคิดสงสัยเมื่อเสียงหวานของสตรีนางนั้นดังขึ้น
“ข้าน้อยหลิวซู ขอคำนับท่านแม่ทัพเทียนอี้เจ้าค่ะ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าสุนัขป่าเล็กน้อย ก่อนเทียนอี้จะตอบรับ
“แค่ได้เห็นเจ้าอีกครั้ง ข้าก็ยินดียิ่งแล้ว”

หลิวซูชะงักงันไปเล็กน้อย นางมั่นใจว่าตั้งแต่เกิดมาหาได้เคยเจอหน้าแม่ทัพเทพอสูรตนนี้มาก่อน แต่ก็ได้ยินความจากพ่อบ้านเหลียงแล้วว่าหากเทียนอี้จะทักเช่นนี้ก็อย่าได้แปลกใจ เพราะสาเหตุนั้นเนื่องมาจากนางมีใบหน้าคล้ายคลึงกับใครบางคนราวกับถอดแบบกันมา ครั้นได้สติ ก็ตอบรับอย่างนอบน้อม

“หามิได้เจ้าค่ะ ข้าต่างหากที่ยินดี ท่านแม่ทัพเมตตาให้ข้าได้เข้าพบเช่นนี้ ถือเป็นวาสนาของหลิวซูแล้ว”
“นั่นก็เพราะข้าอยากพบเจ้า”

สิ้นเสียงก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ซิ่นเฉิงเห็นเป็นประจำ ทว่าดวงตาที่กำลังทอประกายราวกับจะบอกอีกฝ่ายว่ารักใคร่ยิ่งนักนั้น ซิ่นเฉิงหาได้เคยเห็นมาก่อน ถึงตอนนี้ ซิ่นเฉิงก็ขมวดคิ้วหนัก อะไรไม่ว่า เขายังหายใจได้ยากลำบากเมื่อหน้าอกข้างซ้ายจุกเสียดขึ้นมากะทันหันอีก

อาการนี้มัน...

คิดพลางยกมือขึ้นทาบหน้าอก มันปวดอยู่ข้างในลึกๆ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นถี่ ทำให้ปวดแปลบมากขึ้นไปอีก
หรือว่าข้าจะป่วยกัน?

ไม่ใช่อาการป่วยอย่างแน่นอน ซิ่นเฉิงรู้ตัวดี หากแต่นั่นเป็นความไม่พอใจที่เห็นเทียนอี้มีไมตรีกับสตรีนางนั้น มันเป็นความรู้สึกชวนให้หัวเสียอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดความรู้สึกนั้นได้เลย กระทั่งได้ยินเสียงเทียนอี้ขึ้นอีกครา

“เชิญเจ้าเข้าไปที่ห้องรับรองก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้าสักหน่อย”

พูดเพียงเท่านี้ ก็เดินนำอีกฝ่ายเข้าไปในเรือนใหญ่ โดยมีพ่อบ้านเหลียงคอยดูแลความเรียบร้อยต่างๆ อยู่ด้านนอก เทียนอี้คงต้องการความเป็นส่วนตัว พ่อบ้านเหลียงจึงสั่งห้ามผู้ใดเข้าไป ก่อนจะรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง พลันรีบปราดสายตามองไปยังบริเวณเสาหน้าเรือนใหญ่ เท่านั้นก็เห็นร่างของใครบางคนที่กำลังจะเคลื่อนไหวไปจากจุดเดิม

คงจะเป็นซิ่นเฉิงที่มาลอบแอบฟัง...

แม้จะรู้เช่นนั้น แต่พ่อบ้านเหลียงก็หาได้สนใจอะไร แสร้งเมินเฉยราวกับจงใจให้อีกฝ่ายรับรู้ เพราะนั่นจะเป็นการทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเลือนรางลงทีละน้อย

เป็นสิ่งที่พ่อบ้านเหลียงวางแผนมาอย่างแยบยลแล้ว...



 
สตรีนางนั้นมีชื่อว่าหลิวซู เป็นหญิงสาวที่พ่อบ้านเหลียงหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เทียนอี้ได้ตบแต่งเป็นฮูหยินเข้าจวน...
ซิ่นเฉิงได้รับรู้ความมาเช่นนี้ เขาไม่เข้าใจตัวเองเท่าไร เหตุใดต้องร้อนใจเมื่อเห็นแม่ทัพเทพอสูรสนใจสตรีนางนั้นนัก ร้อนใจไม่พอ ยังจะหงุดหงิดงุ่นง่านอีกด้วย

รู้สึกราวกับถูกแย่งของรักไป...

ความรู้สึกนั้นประกายวาบขึ้นมาในใจ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นเมื่อเขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าที่เทียนอี้เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ? การที่แม่ทัพผู้นั้นลดความสนใจจากตนลง มันเป็นโอกาสที่ทำให้เขาหนีออกจากจวนได้นี่ ต้องเรียกว่าเป็นโอกาสทองที่น่าพิสมัยจะดีกว่า

ดังนั้นซิ่นเฉิงจึงไม่ใคร่จะสนใจว่าเทียนอี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จะตบแต่งนางผู้นั้นเข้าจวนหรือไม่ก็หาใช่เรื่องของเขา หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ซิ่นเฉิงแสร้งทำเป็นไม่สนใจจะดีกว่า ทั้งที่ในใจนั้นอยากจะเอากระบี่บั่นคอเทพอสูรตนนั้นให้รู้แล้วรู้รอด

เจ้าคนมักมาก!

เผลอบริภาษในใจไปแล้วด้วย จะว่าซิ่นเฉิงไม่รู้คำตอบของความข้องใจนั้นก็ไม่ถูก เขารู้ เพียงแต่ไม่อยากจะยอมรับ อีกทั้งยังไม่ทำการใดนอกจากคิดจะหลบหนีออกจากจวนเท่านั้น

เป็นโอกาสงามที่จะได้พบบิดา ซิ่นจิน และพี่น้องร่วมสาบานอีกครา...

ดังนั้นซิ่นเฉิงจึงสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป หมายใจแต่จะหลบหนีเท่านั้น ขอบรั้วจวนตำแหน่งเดิมที่เคยใช้หลบหนีถูกใช้อีกครา ทว่ายังไม่ทันจะได้ปีนป่ายไปไหน สายตาของพ่อบ้านเหลียงก็ดันเห็นเสียก่อน ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังจะปีนออกจากรั้วชะงักงัน

“คิดว่าเจ้าจะไปไหนกัน เจ้าคนดื้อด้าน”
ซิ่นเฉิงหันไปมองก็เห็นว่าพ่อบ้านเหลียงยืนกอดอกทอดสายตามองอย่างดุดันอยู่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกคำสั่ง
“ลงมา”
ก็จำต้องลงแหละนะ ชายหนุ่มปล่อยร่างลงสู่พื้น สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจ ปากพึมพำออกมา
“ยุ่งนักนะ เจ้าจระเข้”

พ่อบ้านเหลียงไม่ชอบถูกเรียกเช่นนี้เท่าไร แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับพฤติกรรมของอีกฝ่าย เห็นแล้วก็จำต้องตำหนิออกมา

“เจ้านี่มันช่างได้ใจนัก การที่ท่านแม่ทัพเมตตาเจ้า ก็หาใช่ว่าเจ้าจะกระทำการใดๆ ตามใจโดยง่าย อย่าประมาณตัวว่าสำคัญนัก”

ช่างไม่เข้าหูซิ่นเฉิงเอาเสียเลย อย่าประมาณตัวว่าสำคัญเช่นนั้นหรือ? เขาก็หาได้คิดอย่างนั้นเสียหน่อย หากสำคัญจริง แล้วไยเทียนอี้ถึง...

ช่างเถิด! การที่เทพอสูรตนนั้นจะใส่ใจผู้ใดก็หาใช่เรื่องของเขา พลันซิ่นเฉิงก็สลัดความคิดประชดประชันนั้นทิ้งแล้วเถียงคนตรงหน้า

“เจ้ายุ่งอันใดด้วย”
“เหตุใดจะยุ่งไม่ได้ ในเมื่อเจ้าอยู่ใต้การดูแลของข้าซึ่งได้รับมอบหมายคำสั่งจากท่านแม่ทัพ เห็นเจ้าจะออกจากจวนโดยไม่ได้รับอนุญาต ไยข้าไม่มีสิทธิห้ามปราม”

นี่ก็ไม่เข้าหูเช่นกัน คิดว่าตนเองเป็นเจ้าชีวิตเขาหรือไร!?

“แล้วเจ้าจะให้ข้าอุดอู้อยู่แต่ในจวนอย่างนี้หรือไร!” ซิ่นเฉิงตะคอกออกมา
การกระทำนั้นช่างชวนให้น่าโมโหเสียจริง ทว่าพ่อบ้านเหลียงก็เก็บอารมณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี ก่อนจะว่าเสียงเรียบ
“เมื่อคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ท่านแม่ทัพได้อนุญาตให้ออกไปเที่ยวชมในเมืองแล้ว เจ้าไม่ไปเอง ที่ไม่ไป...เป็นเพราะทำอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ?”

ถูกยอกย้อนเช่น ซิ่นเฉิงก็พูดต่อไม่ออก ทำอะไรในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ เขารู้ดีอยู่แก่ใจ พ่อบ้านเหลียงเองก็ด้วย ก่อนที่จะหรี่ตาลง ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อย่าคิดว่าการที่เจ้าเป็นคนโปรดของท่านแม่ทัพ เจ้าจะทำสิ่งใดก็ได้ แค่การที่เจ้ากับท่านแม่ทัพมีสัมพันธ์กันก็เป็นเรื่องที่แย่พออยู่แล้ว อย่าทำให้ข้าต้องปวดหัวไปมากกว่านี้”

คนฟังสะดุดกึกด้วยไม่คิดว่าพ่อบ้านเหลียงจะรับรู้เรื่องนี้ด้วย แต่ที่ทำให้สะดุดใจยิ่งกว่ากลับเป็นประโยคที่พรั่งพรูออกมาในตอนท้าย

...เป็นเรื่องที่แย่อย่างนั้นหรือ? เจ้าจระเข้นี่จะปากมากเกินไปเสียแล้ว!

“ข้าหาได้มีสัมพันธ์ใดกับเจ้าหมานั่น!” คนถูกต่อว่าขึ้นเสียงใส่ ปฏิเสธความจริงราวกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาเป็นเพียงการผายลม
 “เจ้าแน่ใจเช่นนั้นหรือ?” พ่อบ้านเหลียงจ้องอีกฝ่ายนิ่ง
ซิ่นเฉิงไม่ตอบ
“ถึงข้าจะมีกายครึ่งหนึ่งเป็นจระเข้ แต่จมูกข้าก็รับกลิ่นได้รวดเร็วไม่แพ้ท่านแม่ทัพ เหตุใดจะไม่รู้ว่ากลิ่นกายของเจ้าติดตัวนายของข้ามา แม้แต่ตัวของเจ้าเอง...ก็มีกลิ่นกายของนายข้า”

คราวนี้มนุษย์หนุ่มหน้าม้าน คงเป็นเพราะกลืนกินหยาดหยดแห่งความอภิรมย์ของกันและกันไปนั่นแหละถึงได้มีกลิ่นติดตัวเช่นนี้ พลันก็ตอกกลับเสียงแข็งไป

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“ไม่ใช่เรื่องของข้า?” พ่อบ้านเหลียงดูจะไม่พอใจเท่าไรที่เห็นอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เมื่อสบตาของซิ่นเฉิงแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะพูดต่อ หากไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย เห็นทีคนตรงหน้าคงจะได้ใจเป็นแน่ “ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงต้องเตือนให้เจ้าตระหนักรู้ในฐานะตนเองเสียหน่อยว่าเป็นผู้ใด เจ้าเข้ามาที่จวนแห่งนี้ในฐานะทาส ท่านแม่ทัพเมตตาเจ้าก็นับว่าเป็นโชคดี แต่เจ้าก็เห็นมิใช่หรือว่าตั้งแต่นี้ต่อไป คนที่ท่านแม่ทัพจะเอ็นดูหาใช่เจ้าอีก แต่เป็น ‘นาง’ ซึ่งจะเป็นฮูหยินของจวน จงเจียมตัวเอาไว้ ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

‘นาง’ ที่พ่อบ้านเหลียงพูดถึงคือหญิงสาวคนที่เห็นเมื่อตอนช่วงเช้า ใบหน้าของดรุณีน้อยนางนั้นผุดพรายขึ้นมา พลันก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของซิ่นเฉิงก็ปวดแปลบ ก่อนที่มันจะหายไปในพริบตาเมื่อพ่อบ้านเหลียงพูดขึ้นมาอีก

“เจ้าเป็นบุรุษ การที่ท่านแม่ทัพเอ็นดูก็เป็นเพียงการเล่นสนุกชั่วครั้งชั่วคราว หากเจ้าเป็นหญิง ข้าจะไม่ขัดเลยถ้าท่านแม่ทัพจะดูแลเจ้าดีถึงเพียงนี้ แต่นี้เจ้าเป็นชาย ให้กำเนิดบุตรหรือธิดาไม่ได้ ไม่มีประโยชน์อันใดที่ท่านแม่ทัพจะต้องเอาใจเจ้า”

“ข้าไม่ได้สนใจว่านายของเจ้าจะเอ็นดูข้าหรือผู้ใด มันไม่เกี่ยวกับข้า”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้เบาใจว่างานมงคลสมรสของท่านแม่ทัพจะเป็นไปอย่างราบรื่น”

ยิ่งฟังเจ้าจระเข้พูดลอยหน้าลอยตา ซิ่นเฉิงก็ยิ่งหงุดหงิดเป็นทบทวี เขาหัวเสียอย่างสุดจะกลั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกำมือแน่น ขณะที่พ่อบ้านเหลียงมองท่าทางนั้นแล้วก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมา

เขาเกลียดชังการทำตัวร้ายกาจเช่นนี้ แต่มันจำเป็น ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องซ้ำรอย...

“หมดธุระกับเจ้าแล้ว ข้าจะไปจัดการงานในโรงครัวต่อ ส่วนเจ้า... หากว่างมากนักก็ไปช่วยงานคนรับใช้คนอื่นเสีย ไม่ใช่มานอนเอกเขนกเป็นแมวเซา”

สิ้นเสียงก็ผละจากไป ทิ้งให้ซิ่นเฉิงจมอยู่กับความขุ่นใจ

ไม่ใช่ขุ่นใจเพราะถูกพ่อบ้านเหลียงต่อว่า แต่ขุ่นใจใครอีกคนที่ยังคงอยู่ในห้องรับรอง พูดคุยกับว่าที่ฮูหยินอย่างออกรสต่างหาก

เห็นสตรีแล้วก็เกิดกำหนัดหรือไร เจ้าหมาน่าสังเวช...
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง]บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[6/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 07-09-2017 19:10:20
บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[2]
 
คำสั่งห้ามใดๆ ไม่อาจใช้ได้ผลกับซิ่นเฉิง เมื่อถูกสั่งห้ามออกนอกจวนในช่วงสาย เขาก็หลบหนีออกไปในช่วงกลางดึก ราตรีนี้เทียนอี้มีแขกมาหา คนผู้นั้นก็คือหมิงจูที่ได้ยินข่าวว่าสหายตนมีการดูตัวฮูหยิน จึงรีบมายลโฉมหน้านางด้วยตนเองเพราะใคร่อยากจะรู้นักว่าใบหน้าของนางคล้ายคลึงกับใครคนนั้นเพียงใด

ใครคนนั้น... เป็นปริศนาที่คั่งค้างในใจของซิ่นเฉิงอย่างยิ่ง เขาอยากรู้เสียจนแทบทนไม่ไหวว่าคือผู้ใดกันแน่ ทว่า...กลับเลือกที่จะหลบหนีออกจากจวนมากกว่าการไต่ถาม

ชายหนุ่มใช้วิชาเหาะเหินเดินอากาศไต่ไปตามหลังคาบ้าน ครั้นเมื่อเกือบถึงยังประตูแคว้นก็ชะงักไม่ไปต่อ เกิดลังเลใจขึ้นมาว่าจะหนีออกไปดีหรือไม่

หากหนีออกไปและทำได้สำเร็จ... เขาก็อาจจะไม่ได้พบเทียนอี้อีก
แต่ถ้าหากไม่ไป... ก็อาจจะไม่ได้กลับออกไปสู่ทะเลทรายเช่นกัน

ความลังเลนั้นตีกันมั่วไปหมดจนซิ่นเฉิงหงุดหงิดตนเอง ทว่าความหงุดหงิดนั้นก็มลายสิ้นเมื่อหูได้ยินเสียงของใครบางคน

“เจ้าอีกแล้วรึ?”

มองลงต่ำไปยังพื้นเบื้องล่างก็เห็นว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ในคราบของงูจงอางที่มีนามว่าเจี้ยนสือ แม้จะได้พบเจอเป็นครั้งที่สอง แต่รูปโฉมนั้นก็สร้างความสะพรึงให้กับคนมองได้เป็นอย่างดี

“หนีออกมาจากจวนเช่นนี้ คงจะคิดกลับไปที่ทะเลทรายอีกล่ะสิ” เจี้ยนสือว่าอย่างรู้ทัน กอดอกมองอีกฝ่ายที่หันมามองตนด้วยสายตาตื่นๆ อย่างขบขัน
“เจ้าอย่ามารู้ดี!” ซิ่นเฉิงได้สติก็แผดเสียงใส่คนที่ยืนหลบอยู่ใต้เงาหลังคาบ้านหลังหนึ่ง

“ที่ว่ากันว่าเจ้าเป็นแมวเลี้ยงไม่เชื่อง ดูท่าทางคงจะจริงเสียกระมัง” เจี้ยนสือหัวเราะในลำคอ ไม่ใคร่สนใจการขู่ฟ่อของซิ่นเฉิงเลยแม้แต่น้อย “แล้วนี่...หนีออกมาเพราะอยากกลับไปทะเลทรายหรือเป็นเพราะเจ้าของเจ้าปล่อยปละละเลยกันล่ะ ข้าได้ยินว่าเทียนอี้ดูตัวฮูหยินไม่ใช่หรือ?”

พูดแทงใจดำออกมาหน้าตาเฉยเสียอย่างนั้น ทำเอาซิ่นเฉิงที่นั่งอยู่บนหลังคาเหยียดตัวขึ้นยืนแล้วว่าเสียงแข็ง

“ย่อมแน่อยู่แล้วว่าข้าต้องการกลับไปที่ทะเลทราย หาใช่เป็นเพราะเจ้าหมานั่นปล่อยปละละเลยข้า”

เจี้ยนสือพยักหน้า เขาไม่ใคร่ถามเซ้าซี้ต่อหรอกว่าจริงหรือไม่ เพราะนั่นมันไม่เกี่ยวกับเขา อีกอย่าง เขามีภาระหน้าที่ที่ต้องจัดการ ทว่าขณะเดียวกันก็อดนึกสนุกไม่ได้

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ ข้าต้องออกไปตรวจตราเวรยามของทหารในสังกัดจวนข้าทางด้านนอกพอดี เผื่อการไปเยือนทะเลทรายจะทำให้เจ้าหายหัวเสียขึ้น”

ซิ่นเฉิงถึงกับย่นคิ้วยู่ มองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ
“ไปกับเจ้าเนี่ยนะ?”
“ใช่ ไปกับข้า...”

เจี้ยนสือว่า ก่อนก้าวออกจากใต้ร่มเงาหลังคา พลันแสงจันทร์ก็สาดส่องปะทะเรือนร่าง ร่างกายอัปลักษณ์ของงูจงอางก็แปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าคร้ามคมที่รับกับเส้นผมสีดำสนิทที่รวบสูงส่องสะท้อนเข้ามาที่นัยน์ตาของซิ่นเฉิง ก่อนที่จะทำให้มนุษย์หนุ่มตะลึงงันไป

เจี้ยนสือหาได้มีรูปโฉมงดงามน้อยไปกว่าเทียนอี้เลย...

จะต่างก็ตรงที่เจี้ยนสือนั้นดูเจ้าเล่ห์กว่าเทียนอี้อยู่มากโข ทั้งดวงตาสีดำสนิทที่ประกายวาวราวกับเห็นเหยื่อ ทั้งรอยยิ้มร้ายกาจที่ผุดขึ้นยังมุมปากนั่น มองอย่างไรก็ไม่น่าไว้วางใจสักนิด ขณะเดียวกันก็ช่างทรงเสน่ห์เสียจนซิ่นเฉิงอดชื่นชมไม่ได้
“แต่ข้าไม่ปล่อยให้เจ้ากลับไปยังที่ซึ่งจากมาหรอกนะ แค่จะพาเจ้าไปเหยียบย่างทะเลทรายบ้างก็เท่านั้น”

เจี้ยนสือว่าขึ้นมาอีก ซึ่งนั่นเป็นความรู้สึกในใจอีกเสี้ยวหนึ่งของซิ่นเฉิง ทำให้คนฟังจำต้องทิ้งตัวลงมาจากหลังคา ยืนประจันหน้ากับอีกฝ่าย

“หากเจ้าเสนอมาเช่นนั้น ข้าก็จะยอมรับคำของเจ้าแต่โดยดี”
เจี้ยนสือหัวเราะหึ หันหลังกลับไปปีนขึ้นยังหลังม้า ก่อนจะร้องเรียก
“ดี! เช่นนั้นก็ขึ้นมา ข้าจะพาเจ้าไป”

ก็น่าจะตามไปอยู่หรอก แต่ฉับพลันซิ่นเฉิงก็อดฉุกใจคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งพ่อบ้านเหลียงเคยบอกไว้ว่าเจี้ยนสือเป็นคนร้ายกาจ

“แต่ว่า...เจ้าพาข้าไป จะได้ประโยชน์อันใด”
เจี้ยนสือหันมามอง มือจับบังเหียนมั่น ก่อนจะยกยิ้มแล้วว่าออกมา

“เจ้าได้คลายคิดถึงบ้าน ส่วนข้า...ก็ได้มีเพื่อนตรวจตราเวรยาม นี่กระมังประโยชน์ที่เจ้าถามหา”
ภาพเบื้องหน้าที่ซิ่นเฉิงเห็นนั้นช่างงดงาม นี่น่ะหรืออสรพิษร้ายที่ใครต่อใครพูดถึงกัน
“มาสิ”

เมื่อถูกเรียกอีกครา ซิ่นเฉิงก็เดินตรงไปหา ทว่าพอจะปีนขึ้นหลังม้าซ้อนท้าย ก็กลับถูกเจี้ยนสือดึงให้ขึ้นมานั่งทางด้านหน้า ส่วนตัวเขาคร่อมเอาไว้ ครั้นซิ่นเฉิงหันไปด้วยหมายจะโวยวาย เจี้ยนสือก็พูดออกมาก่อน

“หากเจ้านั่งข้างหลังข้า เจ้าก็สบโอกาสหนีไปได้น่ะสิ นั่งข้างหน้านี่ล่ะ ข้าจะได้จับตามองเจ้าไว้ หากเจ้าหนีไป ตามตัวกลับมาไม่ได้ เทียนอี้จะได้วิวาทกับข้าเอา”

พอจะเข้าใจความหมายของเจี้ยนสืออยู่ ทำให้ซิ่นเฉิงต้องนั่งนิ่ง ยอมให้อีกฝ่ายควบม้าออกไปแต่โดยดี

เมื่อผ่านพ้นประตูแคว้น ลมเย็นเยียบจากทะเลทรายอันคุ้นเคยก็พัดผ่านมาต้องผิวกาย ซิ่นเฉิงทิ้งตัวลงจากหลังม้าเมื่อเจี้ยนอี้อนุญาต ทันทีที่ฝ่าเท้าสัมผัสได้ถึงเม็ดทรายละเอียด ความคิดถึงบ้านเกิดก็แล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง เขาสูดหายใจเข้าปอด ดื่มด่ำกับกลิ่นทะเลทรายที่โหยหา ลืมสิ้นเรื่องราวของเทียนอี้เป็นปลิดทิ้ง

นี่ต่างหากคือความสุขที่แท้จริงของเขา...

เจี้ยนสือเห็นดังนั้นก็ยกยิ้ม ทิ้งตัวจากหลังม้า ก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอื้อเอ่ยออกมา
“แม้แมวจะรักสันโดษ แต่เมื่อเจ้าของหาได้ใส่ใจก็คงจะเหงาอยู่ไม่น้อย”

ซิ่นเฉิงย่นคิ้วยู่ อยากจะตอกกลับไปนักว่าหาได้เป็นเช่นนั้น ทว่าก็ต้องสงบปากสงบคำเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นอีก
“อุดอู้อยู่ในจวนเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากถูกกักขัง เจ้าคงจะโหยหาอิสรเสรีอยู่ไม่น้อย ทะเลทรายนี่คงเหมาะกับเจ้ามากกว่าสวนบุปผชาติ”

ซิ่นเฉิงหันไปมอง เจี้ยนสือในตอนนี้ยังคงอยู่ในร่างอดีตเทพ เขาก้มลงกอบเม็ดทรายเอาไว้ในมือ ก่อนจะยื่นออกไป แล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้ซิ่นเฉิงแบมือ ครั้นอีกฝ่ายทำตาม เจี้ยนสือก็ค่อยๆ ปล่อยเม็ดทรายให้ร่วงหล่นสู่ฝ่ามือหยาบกร้านของคนตรงหน้า

“ทะเลทราย...มันเป็นของเจ้า เช่นเดียวกับสวรรค์ที่เป็นบ้านของข้า หาใช่ดินแดนมนุษย์นี้”

น้ำเสียงของเจี้ยนสือบ่งบอกเป็นนัยว่าเขาเองก็ไม่ได้พิสมัยที่จะอยู่ในแคว้นเฟิงฝูนี้เช่นกัน ถึงซิ่นเฉิงจะไม่รู้เรื่องราวอันใด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าเจี้ยนสือก็อยากไปจากที่นี่... แต่ทำไม่ได้

ปล่อยให้เม็ดทรายร่วงหล่นกระทั่งหมดกำมือ ซิ่นเฉิงเงียบงันไปครู่ เจี้ยนสือก็เช่นกัน ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลง

“ตลอดเจ็ดวันนี้เป็นเวรยามของทหารสังกัดจวนข้าดูแลความเรียบร้อย หากเจ้าเบื่อนักก็มาหาข้าที่บ้านหลังนั้น ข้าจะพาเจ้าออกมาหาทะเลทรายเอง ข้าก็เบื่อสวนบุปผชาติในจวนเช่นกัน”

ไม่รู้หรอกว่าเหตุใดเจี้ยนสือถึงได้เชื้อเชิญเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายแล้ว ซิ่นเฉิงก็สงบใจอย่างไม่อาจพรรณนา แม้จะเป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ หากแต่ก็ไม่ได้อาบแฝงพิษร้ายใดๆ ไว้ รูปโฉมยามเป็นเทพอสูรอาจจะเป็นอสรพิษ แต่ในยามนี้ไม่ใช่แม้แต่น้อย

ไร้คำตอบจากซิ่นเฉิง แต่ความเงียบนั้นคือคำตอบแล้วว่าเขาตกลงกับข้อเสนอของงูจงอางผู้นี้

ลมเย็นพัดผ่าน เส้นผมของชายหนุ่มผู้มาจากทะเลทรายปลิวไสว

ทะเลทราย... ไม่ว่าอย่างไรก็เหมาะสมกับเขามากกว่าจวนของเทียนอี้จริงๆ
------------------------
ไม่ม่าาา เห็นมั้ย บอกแล้ว เพราะมันจะไม่ม่าตอนนี้ แต่ม่ายาวๆ ไปทีละนิด //โดนตบ
ไม่ค่อยม่าจริงๆ ค่ะ อันนี้แค่เปิดปมนิดๆ เฉยๆ  555
เปิดปมแล้ว แม่ทัพงูก็เริ่มเข้ามามีบทบาทแล้ว
คราวนี้แหละแม่ทัพหมาจะเริ่มอยู่ไม่สุขละ
ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยนะคะ เจอกันอีกทีมะรืนนี้ค่า
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 07-09-2017 19:41:13
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 07-09-2017 19:45:06
ตอนนี้ไม่ได้หมั่นไส้แม่ทัพหมาหรอกค่ะ แต่ดันไปหมั่นไส้พ่อบ้านเข้มากกว่า จุ้นจริงๆ อยากให้พ่อบ้านเข้มีคู่บ้าง เอาเป็นชายนะ จะได้รู้สึกถึงความอัดอั้นเสียบ้าง
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 07-09-2017 19:49:10
ชอบเเม่ทัพงูจังเลยค่ะ  อิอิ  ถึงจะนึกร่างเทพอสูรที่เป็นงูจงอางไม่ค่อยออกก็เถอะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 07-09-2017 19:52:55
เหอะ เห็นผู้หญิงดีกว่าแมวน้อยได้ไง
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 07-09-2017 19:55:51
กลัวมาม่ามาเต็มหม้อมาก ค่อยๆเอาออกมาที่น้อยนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 07-09-2017 19:56:14
ตอนนี้เทคะแนนให้แม่ทัพงู อิอิ  :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 07-09-2017 21:04:36
ขอเพลงที่มีงูออกม------ผัวะ โดนตบ #fcคุณงู
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 07-09-2017 21:09:44
อีเข้ปากดีมาก ทำตัวร้ายกาจจริง ๆ แต่ว่าไม่ได้แมวของเราก็ปากใช่ย่อย พอกัน แม่ทัพเจี้ยนสือหล่อมากตอนนี้ แม่ทัพหมายังไม่รู้ตัว อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว สนุกมาก ๆๆ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 07-09-2017 21:15:53
อืม ท่าทางน้องหมาจะไม่น่าอยู่สุขหลังจากนี้
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-09-2017 21:22:21
ไม่อยู่ทีมแม่ทัพอีกต่อไปค่ะ มาอยู่กับเฉิงเฉิงดีกว่า ถ้าจะมาเอ็นดูแล้วไม่รัก คราวหลังก็ไม่ต้อง หึ โกรธ !  :serius2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 07-09-2017 22:10:23
เฉิงเฉิง ขอให้เมินเจ้าหมาไปเลยนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-09-2017 23:00:52
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 07-09-2017 23:17:04
เคืองแม่ทัพหมาแรงมากกกก เชียร์แม่ทัพงู!!
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-09-2017 00:19:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 08-09-2017 00:31:04
อ่าววว แม่ทัพงูมีแผนไรป่าว หลอกเจ้าเหมียวออกมาด้วยเนี่ย
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nokkkey ที่ 08-09-2017 02:21:16
คุณพี่เข้ก็ใจร้ายดุน้องเกินไปแล้วค่ะ!! โกรธคุณหมาดูแลน้องแมวดีๆหน่อยสิคะ น้องหนีไปเที่ยวกับพี่งูแล้ว :hao5:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 08-09-2017 09:23:50
นี้พี่หมา เจ้าแมวหนีไปเที่ยวกับพี่งูแล้ว(และมีแววว่าจะไปด้วยอีก)พี่จะเอาไง? ระวังแมวโดนงูรัดนะ :katai3:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[7/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 08-09-2017 10:45:36
[ตัวอย่าง] บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ

วันนี้ไม่ได้อัปนะคะ แปะตัวอย่างไว้ก่อน ตัวเต็มมาพรุ่งนี้
เจิมรอกันไปก่อนนะคะ
-------------------

“พ่อบ้านเหลียงหรือ?” เบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมา “ก็ปากมากมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนยังอยู่บนสวรรค์ก็เป็นเทพที่จู้จี้เช่นนี้แหละ”
เจี้ยนสือดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร แต่ซิ่นเฉิงนั้นเบ้หน้าออกมาเมื่อนึกถึงเจ้าจระเข้ที่เอาแต่พูดจาตำหนิใส่เขา

“แล้วเจ้าล่ะ ไม่มีพ่อบ้านคอยดูแลจัดหาฮูหยินให้บ้างหรือ?”

เจี้ยนสือเหลือบมองหน้าคนถามเล็กน้อย
“ข้ามีแต่พ่อบ้านคอยดูแลความเรียบร้อยในจวนเท่านั้น หาได้มาจุกจิกเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้”
“เพราะเจ้าไม่ชอบ?”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง ข้ารักสันโดษ อีกส่วนหนึ่งคือไม่มีสตรีนางใดกล้าเผชิญหน้ากับข้า”

จบประโยคนี้ ซิ่นเฉิงก็นิ่งงัน เขาพอจะเข้าใจสิ่งที่เจี้ยนสือพูด ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นงูจงอางดำมะเมื่อม นอกจากจะอัปลักษณ์แล้ว ยังน่าหวาดกลัวเสียจนไม่อาจกล้ามองหน้า แต่หารู้ไม่ว่าเจี้ยนสือในร่างของอดีตเทพที่นั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ตรงหน้าเขานั้นช่างเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ เขามั่นใจมากทีเดียวว่าหากสตรีนางใดเห็นเจี้ยนสือในแบบที่เขาเห็น ไม่แคล้วจะต้องยอมพลีเรือนร่างเป็นฮูหยินให้อย่างแน่นอน

“เจ้าก็ไม่คิดจะหาเช่นนั้นสิ?”
“ข้าไม่เห็นประโยชน์อันใดในการตบแต่งฮูหยินเข้าจวนเพื่อสร้างทายาทเข้ากองทัพเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ทำกันอยู่มันเป็นเพียงความขลาดกลัวของพวกเบาปัญญาก็เท่านั้น”

ซิ่นเฉิงอยากจะถามว่าขลาดกลัวเรื่องใดกัน ทว่าก็ไม่ได้พูดไปเมื่อเจี้ยนสือเอ่ยขึ้นมาอีก
“ที่สำคัญ ข้าไม่คิดที่จะปักหลักอยู่ที่นี่ เหตุใดจึงต้องเอาบ่วงมาคล้องคอ”
“เจ้าพูดราวกับว่าไม่อยากอยู่ที่แคว้นเฟิงฝูอย่างไรอย่างนั้น” ซิ่นเฉิงเอ่ยสวน

เจี้ยนสือเหลือบมอง ใบหน้าคร้ามคมมีรอยยิ้มประดับบางๆ
“ใช่ ไม่อยากอยู่”
“เพราะเหตุใด”

จังหวะที่สิ้นเสียง ก้อนเมฆก็เคลื่อนคล้อยมาบดบังแสงจันทรา ส่งผลให้ท้องฟ้ามืดมิดฉับพลัน มีเพียงแสงไฟจากคบเพลิงที่ปักอยู่บนผืนทรายเท่านั้นที่ส่องสว่าง ใบหน้าหล่อเหลาของเจี้ยนสือแปรเปลี่ยนเป็นดำทะมึน ศีรษะมนุษย์กลายเป็นศีรษะของงูจงอาง ไม่ว่าเห็นครั้งใด ก็ทำซิ่นเฉิงขนลุกได้ทุกคราจนต้องขยับถอยหลังไปด้วยตกใจ ซึ่งนั่นเป็นที่น่าอดสูสำหรับเจี้ยนสือเหลือเกิน

“อยู่ที่แดนมนุษย์ ข้าจะมีรูปลักษณ์เช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะอยากอยู่อย่างนั้นหรือ? อยู่กึ่งกลางระหว่างเทพและปีศาจ เจ้าคิดว่าข้าทรมานเพียงใด”

ซิ่นเฉิงได้สติกลับคืนมาในตอนนี้ พลันตระหนักได้ว่าอากัปกิริยาของตนช่างหยาบคายนัก ถึงใครต่อใครจะกล่าวว่าเจี้ยนสือเป็นอสรพิษร้าย แต่ในสายตาของเขา เจี้ยนสือกลับดูน่าสงสาร

เท่านั้น ซิ่นเฉิงก็รีบเก็บอาการให้เป็นปกติ ขยับเข้ามาใกล้ดังเดิม แล้วว่าออกมา
“เจ้าก็ไม่ได้อัปลักษณ์สักเท่าไร”
“แล้วเจ้าตกใจด้วยเหตุใด” เจี้ยนสือถามด้วยอารามขบขัน แต่ในดวงตาสีเหลืองอำพันกลับทอประกายความเจ็บปวด

ซิ่นเฉิงขมวดคิ้ว พลันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าเพียงแค่ตกใจที่จู่ๆ เจ้าก็เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ แต่ข้ายังคงยืนยันว่าเจ้าไม่ได้อัปลักษณ์”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้ากล้าสัมผัสข้าหรือไม่?”

คล้ายกับเป็นการท้าทาย ซึ่งแท้จริงแล้ว เจี้ยนสือก็แค่พูดออกไปเท่านั้น ขณะที่ซิ่นเฉิงสูดหายใจเข้าปอด แล้วยื่นมือออกไปสัมผัสที่ข้างซีกหน้าของเจี้ยนสือโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว

ฝ่ามือหยาบกร้านแตะลงบนเกล็ดสีดำ สัมผัสลื่นๆ นั้นทำเอาซิ่นเฉิงกลั้นหายใจไปเล็กน้อย กระนั้นก็ไม่ละมือออก ครั้นเจี้ยนสือเหลือบมอง เขาก็พูดออกมา

“เหตุใดข้าจึงไม่กล้าสัมผัสเจ้ากัน”
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 08-09-2017 11:00:19
โอ๊ะ ซิ่นเฉิงอ่อยท่านแม่ทัพจงอางซะแล้ว แถมยังคุยกันถูกคออีก งานนี้แม่ทัพหมาจะถูกลืมแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 08-09-2017 11:11:54
อร๊ายคุณงูจะหลงแมวน้อยอีกตัวหรือเปล่าาาา
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 08-09-2017 11:41:35
ตายๆ เจ้างูหลงแมวแน่นอน
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 08-09-2017 11:47:44
รอจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 08-09-2017 12:05:08
อย่ามาแย่งเจ้าเหมียวกับท่านหมานะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 08-09-2017 17:06:00
โถ่ พระเอกออกมาตอนที่11ก็ไม่บอก กร๊ากกกกก  //เราจะแปรพัก
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 08-09-2017 18:38:28
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ice.sp0211 ที่ 08-09-2017 21:15:06
เชียรท่านงูแทนได้ไหม 5555 #เรือเริ่มเอียง
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kawaiichibi ที่ 08-09-2017 21:18:21
ย้ายฝั่งมาหาแม่ทัพงู :oo1: :oo1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 08-09-2017 21:25:00
บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ

รู้ว่าการลอบออกจากจวนเป็นการละเมิดคำสั่ง เมื่อคืนนี้ที่เขาหนีออกไปก็ถูกพ่อบ้านเหลียงจับได้และถูกตำหนิเสียจนหูชาเพราะเขี้ยนสือเป็นผู้พาเขามาส่งถึงจวน แต่กระนั้นซิ่นเฉิงก็ยังทำในราตรีถัดมาตามคำชวนของเจี้ยนสือด้วยเห็นว่าเทียนอี้หาได้สนใจผู้ใดนอกเสียจากแม่นางผู้นั้นที่มาพำนักอยู่ที่จวนตั้งแต่เมื่อคืน และดูท่านางคงจะอยู่อีกหลายวันทีเดียวหากเทียนอี้ยังคงให้ความสนใจอยู่เช่นนี้

ไม่ใช่เพราะความน้อยใจหรอกที่ทำให้ต้องลอบหนีออกมายามวิกาล ออกมาเพราะเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ไร้ซึ่งอิสรภาพต่างหาก... ซิ่นเฉิงบอกกับตัวเองเช่นนั้นแม้ว่าในใจจะปวดหนึบทุกคราเมื่อเห็นว่าเทียนอี้ยังคงหมกตัวอยู่แต่ในห้องรับรอง สนทนาพาทีกับหญิงสาวในเรื่องที่เขาไม่รู้

น่ารำคาญใจนัก!

คิดแล้วก็ยิ่งหัวเสีย เมื่อหัวเสียก็ยิ่งทวีความเร็วในการเหาะเหินเดินอากาศมากขึ้น ก่อนจะต้องชะงักงันเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบดังกุบกับไล่ตามมา ครั้นหันไปมองก็พบว่าคนที่นั่งอยู่บนนั้นคือแม่ทัพผู้มีศีรษะเป็นงูจงอาง
“เจ้าจะหนีออกไปโดยไม่มีข้าตามไปด้วยอย่างนั้นหรือเจ้าเหมียว!”

ซิ่นเฉิงชะงักฝีเท้าบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งทันที หายใจหอบโยนเล็กน้อย ขณะที่เจี้ยนสือเองก็ดึงบังเหียนให้ม้าหยุดวิ่งเช่นกัน
“ลงมาสิ ออกไปด้วยกัน”

ไม่ปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้น ซิ่นเฉิงทิ้งตัวลงสู่เบื้องล่าง ตรงเข้าไปหาเจี้ยนสือ ก่อนจะถูกอีกฝ่ายดึงขึ้นมานั่งบนหลังอาชาตัวเขื่อง และแน่นอนว่าเป็นอีกครั้งที่ถูกบังคับให้นั่งหน้าโดยมีเจี้ยนสือประกบข้างหลัง ก็พอเข้าใจเหตุผลของแม่ทัพผู้นี้อยู่หรอกถึงได้ไม่เอ่ยทักท้วงใดๆ ปล่อยให้เจี้ยนสือได้ควบม้าออกไปยังนอกประตูแคว้น

ไม่นานนักก็เข้าสู่ทะเลทราย เจี้ยนสือจำต้องตรวจตราความเรียบร้อยของทหารเวรยามในสังกัดจวนของตนก่อน เมื่อเป็นที่เรียบร้อยถึงได้พาซิ่นเฉิงมานั่งเล่นยังผืนทราย มือที่ถือคบเพลิงปักมันลงสู่พื้น แสงสว่างสีส้มพอจะทำให้มองเห็นรอบข้างได้บ้าง ดวงจันทร์ไม่ได้เต็มดวงดั่งเช่นคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ แต่ก็ยังสว่างไสว ส่งผลให้ร่างกายของเจี้ยนสือแปรเปลี่ยนเป็นอดีตเทพ
ซิ่นเฉิงหาได้สนใจเท่าไรนัก แม้ว่าจะตะลึงงันทุกคราที่ได้เห็นร่างจริง แต่ก็หาได้แสดงออกใดๆ ด้วยในใจเขาว้าวุ่นเกินกว่าจะสนใจภาพงดงามเบื้องหน้า

ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น สายตาทอดมองไปยังทะเลทราย น่าเสียดายนักที่ความมืดบดบังความสวยงามของบ้านเกิด ทำให้ซิ่นเฉิงไม่อาจมองเห็นสิ่งใดในทะเลทรายเวิ้งว้างนอกจากความมืดมิด สิ่งที่พอจะดึงดูดสายตาของเขาได้มีเพียงผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวพราวระยับ และ...ใบหน้าของคนข้างกายที่เพิ่งจะทรุดตัวลงนั่งเมื่อครู่

“วันนี้เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือไร สีหน้าดูไม่ดีนัก”

ซิ่นเฉิงหันไปมองก็เห็นสีหน้าร่าเริงของอีกฝ่าย ราวกับว่าเจี้ยนสือกำลังจะได้ฟังเรื่องสนุกอย่างไรอย่างนั้น
“พ่อบ้านเหลียง... จับได้ว่าข้าหนีออกจากจวน” กระนั้นซิ่นเฉิงก็พูดออกไป

ซึ่งใช่... มันเป็นสิ่งที่ทำให้ซิ่นเฉิงหัวเสีย ทว่าหาได้หัวเสียเพราะถูกพ่อบ้านเหลียงตำหนิ แต่เป็นเพราะการที่เทียนอี้ไม่มีปฏิกิริยาใดกับการหนีหายออกไปของเขาต่างหาก ถ้าพ่อบ้านเหลียงรู้ มีหรือที่จะไม่บอกแก่ผู้เป็นนาย แล้วการที่เทียนอี้ทำเมินเฉยเช่นนั้นก็หมายความว่าเขาหาได้สำคัญอีกต่อไป

สำคัญ... ปกติก็ไม่ได้สำคัญอยู่แล้ว แค่ทาสหายไปเพียงคนเดียว มันจะไปสำคัญอันใดกัน!

ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ก่อนจะพูดต่อไม่หยุด
“ตำหนิติเตียนข้าราวกับว่าไปสร้างเรื่องร้ายแรงเอาไว้ น่ารำคาญนัก!”
“พ่อบ้านเหลียงหรือ?” เจี้ยนสือเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยรู้ดีว่าคนที่ถูกพูดถึงนั้นมีอุปนิสัยเป็นอย่างไร “ก็ปากร้ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนยังอยู่บนสวรรค์ก็เป็นเทพที่จู้จี้เช่นนี้แหละ”

เจี้ยนสือดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร แต่ซิ่นเฉิงนั้นเบ้หน้าออกมาเมื่อนึกถึงเจ้าจระเข้ที่เอาแต่พูดจาตำหนิใส่เขา
“ข้าล่ะอยากจับมาแล่หนังเสียให้รู้แล้วรู้รอด เจ้ากี้เจ้าการ ล่วงเกินแม้กระทั่งนายตนเอง”

ประโยคนี้กล่าวถึงเทียนอี้ด้วย คนฟังพอจะเข้าใจความหมายเพราะตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา เขาได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่าพ่อบ้านเหลียงพยายามจะหาฮูหยินให้เทียนอี้มากเพียงใด

เสียงหัวเราะที่ดังเบาๆ เป็นคำตอบ ทำเอาซิ่นเฉิงที่มุ่ยหน้าอยู่หันไปถาม
“แล้วเจ้าล่ะ ไม่มีพ่อบ้านคอยดูแลจัดหาฮูหยินให้บ้างหรือ?”

จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ทำให้คนถูกถามมองอีกฝ่ายนิ่งไปครู่ก่อนจะตอบ
“ข้ามีแต่พ่อบ้านคอยดูแลความเรียบร้อยในจวนเท่านั้น หาได้มาจุกจิกเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้”
“เพราะเจ้าไม่ชอบ?”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง ข้ารักสันโดษ อีกส่วนหนึ่งคือไม่มีสตรีนางใดกล้าเผชิญหน้ากับข้า”

จบประโยคนี้ ซิ่นเฉิงก็นิ่งงัน เรื่องรักสันโดษก็พอจะเดาออก เพราะเจี้ยนสือดูไม่ไปมาหาสู่ผู้ใดสักเท่าไร ต่างจากหมิงจูและเทพอสูรชั้นสูงตนอื่นๆ ที่แวะเวียนมาหาเทียนอี้ทุกวี่วัน แต่เขาหาได้เคยเห็นเจี้ยนสือเลยหลังจากที่พาเขากลับไปส่งยังจวนในคืนนั้น และก็พอจะเข้าใจสิ่งที่เจี้ยนสือพูดอีกด้วย ...เพราะรูปลักษณ์ที่เป็นงูจงอางดำมะเมื่อม นอกจากจะอัปลักษณ์แล้ว ยังน่าหวาดกลัวเสียจนไม่อาจกล้ามองหน้า แต่หารู้ไม่ว่าเจี้ยนสือในร่างของอดีตเทพที่นั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ตรงหน้าเขานั้นช่างเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ เขามั่นใจมากทีเดียวว่าหากสตรีนางใดเห็นเจี้ยนสือในแบบที่เขาเห็น ไม่แคล้วจะต้องยอมพลีเรือนร่างเป็นฮูหยินให้อย่างแน่นอน

“เจ้าก็ไม่คิดจะหาเช่นนั้นสิ?”
“ข้าไม่เห็นประโยชน์อันใดในการตบแต่งฮูหยินเข้าจวนเพื่อให้กำเนิดทายาทเข้ากองทัพเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ทำกันอยู่มันเป็นเพียงความขลาดกลัวของพวกเบาปัญญาก็เท่านั้น”

เรื่องให้กำเนิดทายาท ซิ่นเฉิงก็พอจะเข้าใจเช่นกันด้วยรู้ว่าเทพอสูรมีแต่บุรุษ บางส่วนที่ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ในครั้งนั้นก็สูญสลายไปบ้างแล้ว เหลืออยู่เพียงกระหย่อมหนึ่ง แต่เรื่องความขลาดกลัวนั้น เขาหาได้รู้เลยแม้แต่น้อย อยากจะถามเหมือนกันว่าขลาดกลัวเรื่องใด ทว่าก็ไม่ได้พูดไปเมื่อเจี้ยนสือเอ่ยขึ้นมาอีก

“ที่สำคัญ ข้าไม่คิดที่จะปักหลักอยู่ที่นี่ เหตุใดจึงต้องเอาบ่วงมาคล้องคอ ต่อให้อยู่มาแล้วหลายร้อยปี แต่ไม่ว่าอย่างไร แดนมนุษย์ก็หาใช่ที่ของข้า”
“เจ้าพูดราวกับว่าไม่อยากอยู่ที่แคว้นเฟิงฝูอย่างไรอย่างนั้น” ซิ่นเฉิงเอ่ยสวน

เจี้ยนสือเหลือบมอง ใบหน้าคร้ามคมมีรอยยิ้มประดับบางๆ
“ใช่ ไม่อยากอยู่”
“เพราะเหตุใด”

จังหวะที่สิ้นเสียง ก้อนเมฆก็เคลื่อนคล้อยมาบดบังแสงจันทรา ส่งผลให้ท้องฟ้ามืดมิดฉับพลัน มีเพียงแสงไฟจากคบเพลิงที่ปักอยู่บนผืนทรายเท่านั้นที่ส่องสว่าง ใบหน้าหล่อเหลาของเจี้ยนสือแปรเปลี่ยนเป็นดำทะมึน ศีรษะมนุษย์กลายเป็นศีรษะของงูจงอาง ไม่ว่าเห็นครั้งใด ก็ทำซิ่นเฉิงขนลุกได้ทุกคราจนต้องขยับถอยหลังไปด้วยตกใจ ซึ่งนั่นเป็นที่น่าอดสูสำหรับเจี้ยนสือเหลือเกิน

“อยู่ที่แดนมนุษย์ ข้าจะมีรูปลักษณ์เช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะอยากอยู่อย่างนั้นหรือ? อยู่กึ่งกลางระหว่างเทพและปีศาจ เจ้าคิดว่าข้าทุกข์ทรมานเพียงใดกัน”

ซิ่นเฉิงได้สติกลับคืนมาในตอนนี้ พลันตระหนักได้ว่าอากัปกิริยาของตนช่างหยาบคายนัก ถึงพ่อบ้านเหลียงจะเคยกล่าวว่าเจี้ยนสือเป็นอสรพิษร้าย แต่ในสายตาของเขา เจี้ยนสือกลับดูน่าสงสารนัก

เท่านั้น ซิ่นเฉิงก็รีบเก็บอาการให้เป็นปกติ ขยับเข้ามาใกล้ดังเดิม แล้วว่าออกมา
“เจ้าก็ไม่ได้อัปลักษณ์สักเท่าไร”
“แล้วเจ้าตกใจด้วยเหตุใด” เจี้ยนสือถามด้วยอารามขบขัน แต่ในดวงตาสีเหลืองอำพันกลับทอประกายความเจ็บปวด
ซิ่นเฉิงขมวดคิ้ว พลันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ข้าเพียงแค่ตกใจที่จู่ๆ เจ้าก็เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ แต่ข้ายังคงยืนกรานว่าเจ้าไม่ได้อัปลักษณ์”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้ากล้าสัมผัสข้าหรือไม่?”

คล้ายกับเป็นการท้าทาย ซึ่งแท้จริงแล้ว เจี้ยนสือก็แค่พูดออกไปเท่านั้น ขณะที่ซิ่นเฉิงสูดหายใจเข้าปอด แล้วยื่นมือออกไปสัมผัสที่ข้างซีกหน้าของเจี้ยนสือโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว

ฝ่ามือหยาบกร้านแตะลงบนเกล็ดสีดำ สัมผัสลื่นๆ นั้นทำเอาซิ่นเฉิงกลั้นหายใจไปเล็กน้อย กระนั้นก็ไม่ละมือออก ครั้นเจี้ยนสือเหลือบมอง เขาก็พูดออกมา

“เหตุใดข้าจึงไม่กล้าสัมผัสเจ้ากัน”

ดวงตาของทั้งคู่สบประสานนิ่ง ชั่วขณะหนึ่ง ความอบอุ่นก็พร่างพรายในอกของเทพอสูรราวกับสุริยันสาดแสงยามเช้า นานเท่าไรแล้วนะที่เขาไม่ได้ถูกผู้อื่นสัมผัสเช่นนี้

สิบปี... ห้าสิบปี... หรือร้อยปี...

เขายังคงคิดถึงฝ่ามืออันอบอุ่นของคนผู้นั้นที่อิงแอบซีกหน้าทุกครั้งที่ปลอบประโลมเขาได้เสมอ ก่อนที่ใบหน้าอสรพิษร้ายนั้นจะแปรเปลี่ยนกลับคืนสู่ใบหน้าของอดีตเทพเมื่อแสงจันทร์ทอประกายลงมาอาบร่างอีกครั้ง กลายเป็นว่าในยามนี้ ซิ่นเฉิงกำลังสัมผัสใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มอีกคนอยู่ ขณะที่เจี้ยนสือยกยิ้มออกมา

“ความอ่อนโยนของเจ้า...ช่างเหมือนกับคนผู้นั้นนัก ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าเคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากผู้อื่น” จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปสัมผัสยังปลายเครื่องประดับผมของซิ่นเฉิงที่มีเขี้ยวของสุนัขป่าห้อยอยู่ “ไม่แปลกใจเลยหากเทียนอี้จะเอ็นดูเจ้าถึงเพียงนี้”

ซิ่นเฉิงไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ก็ไม่ใคร่คิดจะถามเพราะพอจะเดาได้ว่าเจี้ยนสือหมายถึงผู้ใด

ก็คงจะเป็น ‘ใครคนนั้น’ ที่ใครต่อใครพากันพูดถึงอย่างไรล่ะ บัดนี้คงจะเป็นสตรีที่ชื่อว่าหลิวซูกระมัง

“ข้าก็คือข้า ไม่ใช่ผู้อื่น” ซิ่นเฉิงดึงฝ่ามือกลับมา น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิด ไม่พอใจกับการถูกเปรียบเทียบสักเท่าไร

ทว่า...ดึงมือออกห่างได้เล็กน้อย เจี้ยนสือก็คว้ามือนั้นไปจับมั่น ครั้นซิ่นเฉิงขมวดคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร คนตัวการก็เอ่ยออกมา

“เจ้าอยากได้เขี้ยวของข้าไว้ประดับผมบ้างหรือไม่”

เขี้ยวของงูจงอาง...

ซิ่นเฉิงไม่เอาด้วยอย่างแน่นอน ทว่าพอจะปฏิเสธด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน เจี้ยนสือก็กลั้วหัวเราะออกมา

“ข้าก็หยอกเจ้าเล่นไป มีใครกันบ้างเอาเขี้ยวของงูจงอางมาประดับผม”

คล้ายกับว่าคนข้างกายของเจี้ยนสือจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก กระนั้นก็ต้องหันไปมองอีกฝ่ายนิ่งเมื่อเจี้ยนสือยังไม่หยุด

“แต่ข้าก็มีของจะให้เจ้า ไปที่จวนข้าสิ แล้วข้าจะบอกเจ้าว่าจะมอบสิ่งใด”

ไม่ควรไป... ต่อให้เจี้ยนสือน่าสงสารเพียงใด แต่ก็หาได้สนิทสนมกันถึงขนาดไปเยือนถิ่นอย่างนั้น ทว่า...ต่อให้เขาไป แล้วผู้ใดจะสนใจกันล่ะ ความสนใจทั้งหมดทั้งมวลนั้นตกไปอยู่ที่หลิวซูแล้ว

“ไปสิ ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเจ้ามีสิ่งใดจะให้” ตอบรับไปโดยไม่ครุ่นคิดในเสียเวลานานนัก

เทพอสูรงูจงอางหัวเราะในลำคอ เผยอยิ้มออกมา มองผ่านๆ ช่างดูเป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์นัก แต่ซิ่นเฉิงก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าหากถูกกลั่นแกล้งก็จะสู้จนตัวตาย โดยหารู้ไม่ว่ารอยยิ้มนั้น...เป็นธรรมชาติของเจี้ยนสือ เขามักมีรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจอย่างนี้เสมอ
เมื่อชายหนุ่มทะเลทรายตอบรับ เจี้ยนสือก็เดินนำไปยังอาชาซึ่งผูกอยู่กับเสาโดยมีทหารเทพอสูรตนหนึ่งดูแล ครั้นขึ้นไปนั่งกุมบังเหียนได้ ก็ร้องเรียกให้ซิ่นเฉิงเข้ามาใกล้ ฉุดอีกฝ่ายขึ้นนั่งแล้วควบกลับเข้าไปในแคว้นเฟิงฝู มุ่งหน้าสู่จวนของตนทันใด




 
ไม่นานนักก็มาถึงยังที่หมาย จวนของแม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือหาได้แตกต่างจากจวนของเทียนอี้แม้แต่น้อย เพียงแต่แลดูเงียบสงบกว่า อีกทั้งบรรดาคนรับใช้ในจวนก็ดูจะนอบน้อมกว่าเสียด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...พ่อบ้านที่ดูจะไม่จุกจิกจู้จี้ดังเช่นพ่อบ้านเหลียง แลยำเกรงผู้เป็นนายกว่าเทพอสูรผู้มีใบหน้าเป็นจระเข้อยู่โข

เจี้ยนสือเชื้อเชิญแขกยามวิกาลของจวนเข้าสู่ห้องรับรอง คนรับใช้ยกน้ำชาและขนมจำนวนหนึ่งมาต้อนรับ ก่อนจะถูกผู้เป็นนายไล่ออกไปด้วยเขาต้องการจะพูดคุยกับซิ่นเฉิงตามลำพัง

“หากข้าต้อนรับเจ้าได้ไม่ดีนักก็ต้องขออภัยด้วย ข้าเชิญเจ้ามากะทันหันเกินไป”
“ไม่ต้องมากความ เจ้ามีสิ่งใดจะให้ข้าก็จงรีบนำมา”

ซิ่นเฉิงไม่ชอบพิธีรีตอง อีกอย่าง เขาไม่ค่อยสนิทใจเท่าไรนักกับการมาอยู่ที่นี่ ก้าวเข้าจวนของเจี้ยนสือก็เหมือนเหยียบย่างรังงูพิษ จะทำใจให้สบายได้อย่างนั้นหรือ? ยิ่งในตอนนี้ เจี้ยนสืออยู่ในร่างของเทพอสูรด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่ไว้ใจมากขึ้นไปใหญ่

เจ้าของจวนเห็นแววตระหนกในดวงตาสีนิลก็พอจะรับรู้ได้ว่าซิ่นเฉิงวิตกเพียงใด แม้จะแสร้งทำเป็นปกติ แต่ก็ไม่อาจตบตา เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายหวาดกลัวตนนักหรอก จึงเอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นเจ้าจงรอที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”

จากนั้นก็หายออกไปจากห้องรับรอง อึดใจหนึ่งก็กลับมาพร้อมกับกล่องไม้ไม่ใหญ่นักในมือ ซิ่นเฉิงมองตามกล่องไม้ที่ถูกมาวางไว้ตรงหน้า พลันขมวดคิ้วมุ่น
“สิ่งนั้นคือ...”
“เปิดดูสิ”

ถามยังไม่ทันจบ เจี้ยนสือก็เอ่ยสวนมาแล้ว ซิ่นเฉิงจึงจำใจต้องเปิดกล่องไม้นั้นดู เมื่อเห็นของที่อยู่ภายใน เรียวคิ้วก็ขมวดมุ่นมากกว่าเดิมด้วยไม่เข้าใจนัก

“นี่มัน...”
“มีด”

ซิ่นเฉิงรู้ ตามีก็เห็นอยู่ว่ามันคือมีดสั้นที่บริเวณด้ามถูกสลักด้วยลวดลายวิจิตร พินิจมองดีๆ ก็จะเห็นว่ามันเป็นลวดลายของงูเลื้อยพันโดยรอบด้ามมีด

“แล้วเจ้าจะมอบสิ่งนี้ให้ข้าด้วยเหตุใด” ซิ่นเฉิงถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากสิ่งที่อยู่ในกล่องไม้
“เพราะมันเป็นของเจ้า”
เมื่อได้ยินเจี้ยนสือตอบ ซิ่นเฉิงก็หันไปมองด้วยไม่เข้าใจ
“เป็นของข้า?”
“อันที่จริงก็ไม่ใช่ของเจ้า แต่ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าควรได้ครอบครองมัน”

พูดบ้าอะไรของเจ้ากัน...

ซิ่นเฉิงย่นคิ้วยู่ ไม่เข้าใจความคิดอ่านของเทพอสูรผู้นี้เท่าไร เจี้ยนสือเห็นความฉงนในสีหน้าอีกฝ่ายก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะไขข้อสงสัยให้

“มันเป็นของคนรักของข้า”
“เช่นนั้นจะเอามาให้ข้าทำไมกัน”
“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก”

เจี้ยนสือหมายความดังที่พูด เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามีดเล่มนี้ควรให้ซิ่นเฉิงเป็นผู้ครอบครองหลังจากที่เจ้าของเดิมลาลับไปนานหลายปี อาจเป็นเพราะถูกชะตาหรือมีวาสนาต่อกันก็ได้ เขาถึงได้สนใจซิ่นเฉิงมากเป็นพิเศษ

คำพูดกำกวมทำให้คนฟังยู่หน้า ก่อนเอ่ยสวนออกมา
“หากเจ้าไม่มีเหตุผลใดที่จะมอบมีดเล่มนี้ให้ข้า ข้าก็จะไม่ขอรับไว้ ในเมื่อมันเป็นของคนรักของเจ้า ไยถึงไม่เอาไปให้คนผู้นั้นกันเล่า มาให้ข้าทำไม”

ได้ยินคำถาม เจี้ยนสือก็นิ่งไปครู่
“คนรักของข้า... ตายไปแล้ว” จากนั้นก็พูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของซิ่นเฉิง “ข้าเป็นผู้สังหาร”
“เจ้า...”

ใคร่จะถาม แต่เมื่อเห็นแววตาของเจี้ยนสือแล้วก็เปล่งเสียงไม่ออก นัยน์ตาคู่นั้นประกายความเจ็บปวดออกมาจนซิ่นเฉิงที่มองอยู่สัมผัสได้อย่างชัดเจน ยิ่งเจี้ยนสือเอ่ยปากออกมาด้วยแล้ว อีกฝ่ายก็ยิ่งรับรู้ได้ว่าเขาเจ็บปวดเพียงใด

“ข้าสังหารคนรักถึงสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อครายังเป็นเทพบนสวรรค์ ครั้งที่สองเมื่อจุติยังโลกมนุษย์”
“คนรักของเจ้า...เป็นเทพอสูรเหมือนกันอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่... เป็นเพียงเทพชั้นผู้น้อย เมื่อลงมายังแดนมนุษย์ก็กลายเป็นมนุษย์เพราะความเป็นเทพดับสูญ”

ซิ่นเฉิงไม่เข้าใจเลย ยิ่งได้ยินเจี้ยนสือถามก็ยิ่งอยากรู้ แต่การถามออกไปก็ใช่จะเป็นมารยาทที่ดี แม้เขาจะเกิดและเติบโตที่ทะเลทราย ทว่าก็หาได้ไร้ซึ่งกาลเทศะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดถึงคนรักที่จากไป ก็เหมือนกับการที่มีใครถามถึงมารดาเขานั่นแหละ หากเขาไม่อยากเล่า แต่ถูกเค้นถาม มันก็สร้างความรำคาญใจอยู่ไม่น้อย

แต่สำหรับเจี้ยนสือ เขาหาได้คิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้น เห็นสีหน้าใคร่รู้ของซิ่นเฉิง ก็ยอมเปิดปากเล่าออกมาทั้งที่ไม่ได้พูดถึงมานานนับแรมปีแล้ว

“เจ้าคงพอได้ยินมาใช่หรือไม่ว่าเหตุใดเทพอสูรถึงมาอยู่ที่แดนมนุษย์”
คนถูกถามพยักหน้ารับน้อยๆ “แต่ก็หาได้รู้ลึกซึ้งนัก ข้ามีชีวิตอยู่ในทะเลทราย แค่เรื่องของตนกับคนในเผ่าก็มากมายพออยู่แล้ว หาได้ใส่ใจเรื่องของพวกเจ้า”

พูดมาเช่นนี้ เจี้ยนสือก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นสัญญาณบอกให้เขาเล่าออกมา ดังนั้นเขาจึงเปิดปากอย่างไม่รีรอ

“เมื่อครั้งยังเป็นเทพ ข้ากับเทียนอี้ได้รับคำสั่งจากองค์เง็กเซียนให้นำทัพไปปราบกบฏที่เมืองบาดาล ด้วยเทพมังกรวารีได้ให้ที่พักพิงแก่ปีศาจที่สังหารมนุษย์ หากแต่ข้ากับเทียนอี้ได้ตบตาองค์เง็กเซียนด้วยการแสร้งทำลายเมืองบาดาลแล้วทูลความเท็จ เมื่อถูกจับได้จึงถูกลงโทษด้วยการจองจำชั่วกัปชั่วกัลป์ ส่วนคนอื่นๆ ในกองทัพถูกเนรเทศลงมายังเมืองมนุษย์และจุติเป็นเทพอสูร แต่คนรักของข้า...ได้ช่วยข้ากับเทียนอี้ออกมา”

“เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้ากับเจ้าหมานั่นลงมาที่แดนมนุษย์ภายหลัง?”
“ใช่ แต่การที่ข้ากับเทียนอี้รอดพ้นการดับสูญมานั้น มันต้องแลกด้วยชีวิตของคนรักข้า”

ถึงตรงนี้ ซิ่นเฉิงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจี้ยนสือถึงได้บอกว่าตนเป็นผู้สังหารคนรักของตนเอง

“มีดเล่มนี้เป็นของกำนัลที่คนรักมอบให้ข้าเมื่อครั้งที่เขามาจุติเป็นมนุษย์ ซึ่งในครั้งนั้น...ข้าก็เป็นผู้สังหารเขาเช่นกัน... ด้วยพิษของข้า”
“เขา... เจ้าหมายถึงบุรุษ?”

ซิ่นเฉิงเอะใจ ไม่ได้สนใจเลยว่าเทพชั้นผู้น้อยผู้นั้นมาเกิดในเมืองมนุษย์แล้วมีจุดจบอย่างนั้นได้อย่างไร จะสนก็แต่คำแทนตัวที่หลุดออกจากปากของเจี้ยนสือเท่านั้น

“ใช่ บุรุษ”

เมื่อถูกถาม ก็ยอมรับตามตรง ทำเอาซิ่นเฉิงถึงกับอดบริภาษในใจไม่ได้

เจ้าอมนุษย์พวกนี้วิปลาสกันไปแล้วหรือไร ถึงได้เสพสมกับบุรุษด้วยกันอย่างนั้น...

แต่จะก่นด่ามากก็ไม่ได้ เพราะคิดดูดีๆ แล้ว เขาเองก็ไม่ต่างอะไรจากพวกเทพอสูรวิปลาสเหล่านี้แม้แต่น้อย เพราะเขาเองก็เคยเผลอไผลให้กับเทียนอี้...ซึ่งเป็นบุรุษเช่นกัน

“ข้าอยากให้เจ้าเก็บมีดเล่มนี้ไว้ จงใช้มันป้องกันตนเองเมื่อถึงคราวมีภัย มันควรอยู่กับเจ้ามากกว่าอยู่กับข้า เจ้าจะได้ไม่ต้องตายเพราะข้าอีกเพราะมันจะช่วยเจ้าปลิดชีวิตข้าก่อนจะถูกข้าสังหาร”

ความคิดนั้นมลายหายไปเมื่อเจี้ยนสือพูดขึ้น ก่อนจะถูกซิ่นเฉิงสวนกลับ
“ข้าหาได้เคยตายเพราะเจ้า”
“คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะข้าเองก็หาได้เคยรู้จักเจ้ามาก่อน มาพบพานก็ตอนที่เห็นเจ้าหนีออกจากจวนของเทียนอี้ครานั้น” เจี้ยนสือหัวเราะในลำคอ “แต่กระนั้นเจ้าก็จงเก็บมันไว้เถิด ถือเสียว่าเป็นของกำนัลจากข้า”

ซิ่นเฉิงอยากจะปฏิเสธ ทว่าเจี้ยนสือรู้ทัน จึงนำมีดด้ามนั้นยัดใส่มือของอีกฝ่ายเสียก่อน เขาเองก็ไม่เข้าใจตนเองนักว่าเหตุใดถึงยกของต่างหน้าของคนรักให้กับชายที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าอย่างซิ่นเฉิง รู้สึกแต่เพียงว่าชั่ววูบหนึ่งเขากลับคุ้นเคยกับชายหนุ่มผู้นี้อย่างไร้เหตุผล

“หากเจ้าคะยั้นคะยอถึงเพียงนี้ ข้าก็จะรับไว้” ซิ่นเฉิงว่าพลางเหน็บมีดนั้นไว้ที่ข้างเอว เมื่อเสร็จสิ้นก็มองหน้าอีกฝ่าย ครานี้ไร้ซึ่งความกลัวเกรงแล้ว อาจจะเป็นเพราะเริ่มคุ้นเคยก็เป็นได้ “ขอบน้ำใจเจ้ามาก”

เจี้ยนสือยิ้มรับ เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าพิสมัยเท่าไรในรูปลักษณ์เทพอสูร แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมอบรอยยิ้มให้มนุษย์หนุ่มผู้นี้
“เสร็จสิ้นธุระแล้วก็กลับเถิด ข้าจะพาเจ้าไปส่งที่จวนเทียนอี้ คราวนี้ข้าจะส่งที่กำแพงจวนแล้วเจ้าก็ปีนกลับเข้าไปเอง ระวังอย่าให้ผู้ใดเห็นล่ะ จะได้ไม่ถูกพ่อบ้านเหลียงตำหนิอีก”

ตระหนักได้ในตอนนี้ว่าการนำซิ่นเฉิงไปส่งถึงหน้าประตูจวนมันสร้างความเดือดร้อนเพียงใด ซึ่งซิ่นเฉิงก็เห็นดีด้วยกับคำพูดนั้น ก่อนจะก้าวออกจากห้องรับรอง ตรงไปยังหน้าจวนโดยมีแม่ทัพงูจงอางก้าวตามหลัง ครั้นจะขึ้นหลังม้า ซิ่นเฉิงก็หันมาเสียก่อน

“เจ้างู”

เจี้ยนสือซึ่งบัดนี้กลายร่างเป็นเทพสวรรค์เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ

“ขอบน้ำใจเจ้าที่พาข้ากลับสู่ทะเลทราย แม้จะเป็นเพียงเวลาเสี้ยวถ้วยชา แต่ก็ทำให้ข้าคลายคิดถึงบ้านได้ดีทีเดียว”

เป็นอีกครั้งที่ซิ่นเฉิงเอ่ยขอบคุณ ทำเอาคนฟังยิ้มออกมา

“ข้าบอกเจ้าแล้ว สวนสวยในจวนหาได้เหมาะกับเจ้า ทะเลทรายต่างหากที่เป็นที่ของเจ้า”

ซิ่นเฉิงเองก็ยิ้มรับกับคำพูดนั้นเช่นกัน ก่อนที่จะเป็นคนแรกที่ปีนขึ้นหลังม้า พลางออกปากเรียก
“ขึ้นมาสิ ข้าจะขี่ม้าให้เจ้าเอง”

สนิทกันถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรนะ...

เจี้ยนสืออดคิดไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดสิ่งใด นอกจากจะปีนขึ้นไปนั่งซ้อนแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายควบม้าออกไปเท่านั้น

สายลมพัดผ่าน เส้นผมไร้ซึ่งการรวบของซิ่นเฉิงปลิวไสว เจี้ยนสือคว้าเอาปลายผมนุ่มมาไว้ในมือ สูดดมด้วยพลั้งเผลอ เมื่อได้กลิ่นทะเลทรายก็พลันคิดถึงอดีตคนรักขึ้นมา

ไยเจ้าช่างอุปนิสัยเหมือนกันนัก นอกจากคนผู้นั้นแล้ว ก็มีเจ้านี่แหละที่ไม่หวาดกลัวข้า
หรือว่าเจ้า... จะเป็นคนผู้นั้นกัน?

ไร้ซึ่งคำตอบ เจี้ยนสือก็ไม่คิดจะเอ่ยถาม รูปลักษณ์ไม่ใช่ เพียงนิสัยคล้ายคลึง แต่ในใจลึกๆ เขากลับภาวนา

ขอให้ได้พบพานอีกสักครา ข้ารับรองว่าจะไม่ทำร้ายเจ้าอีก... ข้าสัญญา

ซูซู...
-----------------------------
ตอนนี้ให้พระเอกของเรื่องออกโรงเต็มๆ เลยค่ะ #ผิด
ไหนๆ ขอเมนต์ที่มีงูออกมาหน่อยค่า //สแครชแผ่น 555
ปมซับซ้อนมาก แต่เรายังไม่บอกว่าซับซ้อนยังไง เดี๋ยวจะค่อยๆ มาเฉลย
ส่วนตอนหน้า...ถ้ายังไม่รีบตีตื้น พี่หมาได้หัวเหม็นเน่ากว่าเดิมแน่ๆ
 
ใครทีมใครบ้างคะ บอกหน่อย
#ทีมแม่ทัพหมา
#ทีมแม่ทัพงู

เพิ่มตัวเลือกให้อีกช้อย
#ทีมวิ่งบนน้ำไปได้ทุกเรือ 555

พรุ่งนี้อัปตัวอย่างตอนหน้าให้นะคะ ^^



หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 08-09-2017 21:43:35
#ทีมแม่ทัพงู ค่าาา อบอุ่นซะลืมไปเลยว่าหัวงู
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 08-09-2017 21:50:55
โอ้ยยย ย้ายทีมด่วนๆค่าาา555
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 08-09-2017 21:57:03
เดี๋ยวๆ เจ้างูก็เพ้อถึงซูซูหรอ ซูซู นี่ใคร แล้วน้องแมวไม่ใช่ตัวแทนใครนะ :katai4:

มาม่ามาที่ละน้อยสินะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 08-09-2017 22:36:46
ทีมแม่ทัพงูจ้าาาา   พี่งูของเราคูลเหลือเกิน  ช่างเป็นคาเเร็คเตอร์ที่ดูเหมือนพระรองซีรี่ย์เกาหลีซะจริง   แต่ทางนี้ก็บังเอิญเป็นคนที่เททั้งใจให้พระรองตลอดอยู่แล้ว   พี่งูอ๊ปป้า <3
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 08-09-2017 22:45:28
ซูซูอีกแล้ววว ใครกันเนี่ยยย
ทีมงูเลยได้ไหม 5555
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-09-2017 22:51:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 08-09-2017 23:04:38
ทีมงูแม้จะรู้พี่งูเป็นแค่พระรอง หุหุ เจ้าหมาต้องโดนซะบ้างเจอสาวแล้วลืมแมวเลย
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 08-09-2017 23:18:22
น้องเหมียวเข้าตาท่านงูซะแล้ว
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: junpa ที่ 09-09-2017 00:21:32
ท่านงู อบอุ้น อบอุ่น ย้ายเรือด่วน :L1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 09-09-2017 00:33:01
ทีมพี่งู แก่ ใจดี สปอร์ต กทม 5555+
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-09-2017 01:18:56
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: G_G ที่ 09-09-2017 01:24:56
#ทีมแม่ทักงูค้าาาาาาาาาา
ถึงไม่ได้เป็นพระเอกในเรื่องแต่ก็เป็นในใจเรา
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Dangdang ที่ 09-09-2017 03:16:50
 o13 o13 o13
ทีมแม่ทัพงู + น้อง เหมียว  :mc4:
 :mc4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 09-09-2017 04:08:14
แหม ทีมพี่งูก็ดีนะครัช ถึงพี่จะเลือดเย็นแต่จิตใจพี่อบอุ่นนะเออ ฮ่าๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 09-09-2017 06:06:54
ทีมพี่งูค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kawaiichibi ที่ 09-09-2017 06:55:26
รอดูงูใหญ่ของแม่ทัพงู เตรียมตัวเลยแมวน้อย :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 09-09-2017 07:36:11
ทีมงูค่า ไม่เคยอยู่ทีมหมาตั้งแต่แรกแล้ว
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ม่านหมอก ณ ปลายฝัน ที่ 09-09-2017 13:00:36
แหม่ เผื่อคุณคนเขียนจะปฎิวัติวงวารพระรองไทย
ให้ไกลสู่สากลมากยิ่งจึ้น
หักมุมเลี้ยวให้พี่งูเป็นพระเอกเลยจ่ะ
เรือของเราจะต้องไม่ล่ม
ฮริ้ววววววววววววว  :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ice.sp0211 ที่ 09-09-2017 13:08:29
เอาสองลำได้ไหม 5555
นี่ให้ของรักเลย เาแล้วสิ อี้จะเอาไรสู้
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 09-09-2017 15:23:51
พระรองมันมีเสน่ห์แบบนี้แระ อิอิ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Realy ที่ 09-09-2017 15:36:42
#ทีมพี่งู ได้ไหมคึคึ แต่ไม่อยากให้พี่แกมองเจ้าแมวเป็นตัวแทนใครอ่ะ :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ryokijung ที่ 09-09-2017 18:16:08
ทีม3p เลยได้ไหมพี่งูเค้ามีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่าแต่ก็เสียดายพี่หมาผู้อบอุ่น ปล.งูมีกระบอง2อันเค้าชอบ โอ้ยหื่นอ่ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ[8/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 09-09-2017 20:06:58
[ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย
ขอตอนที่มีหมาออกมาหน่อยค่าาา ตอนหน้านี่แหละ 555
พี่หมาจะมาตีตื้นนะคะ ตีไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ เคว้งคว้างกลางมหาสมุทร
เรือพี่งูโน่นนนน ไปลิ่วโน่นแล้ว ไกลลิบๆ นั่นมีคนวิ่งบนน้ำ 555
ตอนเต็มมาพรุ่งนี้นะคะ คืนนี้หนูแดงเขียนต่อไม่ไหว ง่วงมาก
ทีมพี่หมารอก่อยยย จะเอาความปุกปุยเข้าสู้ อิอิ
----------------------------

“ข้าน่ะหรือที่ดื้อดึง ฮึ! แล้วเจ้าล่ะ เจ้าเคยย้อนมองดูตนหรือไม่ว่าที่ข้าเป็นเช่นนี้นั้นสาเหตุมาจากผู้ใด หากไม่เป็นเพราะเจ้าที่กักขังข้าไว้โดยไม่ยินยอม มีหรือที่ข้าจะไปข้องเกี่ยวกับเจ้างูนั่น!”

ซิ่นเฉิงตะเบ็งเสียงออกมาด้วยสุดจะกลั้น การที่เขาไม่เชื่อฟังเทียนอี้ก็เป็นความผิดของเขา การที่เขาหนีออกจากจวนไปพบเจี้ยนสือที่เป็นผู้พาเขากลับทะเลทราย นั่นก็เป็นความผิดของเขาอีก แล้วเทียนอี้ล่ะ ความผิดของเขาคือสิ่งใด

มนุษย์หนุ่มจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความแค้นใจ เนื้อตัวเปียกม่อล่อม่อแล่กนั่นสั่นเทาเล็กน้อยด้วยเหน็บหนาว เทียนอี้มองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามาใกล้ด้วยเกรงว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายแช่น้ำในอ่างอยู่เช่นนี้ ประเดี๋ยวจะป่วยไข้เอา ทว่าเมื่อยื่นมือไป ซิ่นเฉิงก็ปัดมือออกเต็มแรง

“อย่าแตะต้องข้า!”

กลายร่างเป็นเจ้าแมวป่าแสนร้ายกาจ พองขนขู่ฟ่อ พร้อมจะวาดกรงเล็บใส่คนตรงหน้าได้ทุกเสี้ยวนาทีไปเสียแล้ว

เทียนอี้ตระหนักได้ว่าเขาต้องสงบใจให้เย็นลง การใช้อารมณ์กับคนที่เดือดดาลกว่าไม่ใช่ผลดีนัก ดังนั้นจึงระบายลมหายใจออกมา จ้องมองอีกฝ่ายนิ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“เฉิงเฉิง... เจ้าจะก่นด่าข้าเช่นใดก็ได้ แต่เจ้าขึ้นจากน้ำก่อนเถิด สายลมในราตรีนี้เย็นเยียบนัก ประเดี๋ยวธาตุในร่างกายของเจ้าจะไม่สมดุล”

ไม่ใช่แค่ใจเย็นลงเท่านั้น น้ำเสียงก็เย็นลงอีกด้วย เขาหาได้เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับซิ่นเฉิงมาก่อน ทว่ามนุษย์หนุ่มหาได้ตระหนักเรื่องนี้ไม่ แค่นเสียงหัวเราะดังหึออกมา มองอีกฝ่ายตาเขียว พลันยกมือขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำปรกหน้าขึ้น

“เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่จับข้าโยนลงมาเช่นนี้!”
สิ้นเสียงก็ใช้มือตีลงไปยังผิวน้ำ หยดน้ำสาดกระเซ็นใส่ใบหน้าของเทียนอี้จนขนเปียก หากแต่ก็ไม่หลบหนี

“นั่น...เป็นความผิดของข้า ข้าจะชดใช้ให้ แต่ตอนนี้เจ้าขึ้นมาก่อน”
คล้ายกับจะแฝงไปด้วยคำสั่งกลายๆ ทำเอาซิ่นเฉิงที่ไม่ได้ใจเย็นลงเลยกดเสียงต่ำ

“ข้าอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปต่อหน้าเจ้านัก”

แค้นใจ...แค้นจนไม่รู้จะหาหนทางใดมาบรรเทาความขุ่นเคืองในใจนี้ ขณะที่เทียนอี้ได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดแล้วก็ไม่สบอารมณ์สักเท่าไร

ตายไปต่อหน้าเขาอย่างนั้นหรือ? กล้ามาทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบได้อย่างไรกัน!

แม้จะไม่พอใจ หากแต่เทียนอี้ก็หาได้แสดงท่าทีรุ่มร้อนใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะมองซิ่นเฉิงที่ยังหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ แล้วจึงเอ่ยออกมา

“เจ้าตายไม่ได้หรอก เพราะเจ้าจะต้องอยู่กับข้า”
“ข้าไม่อยู่กับเจ้า!” อีกฝ่ายตะเบ็งเสียงสวนทันใด
“อยู่กับข้า”
“ข้าไม่!”

หากยังต่อล้อต่อเถียงกันเช่นนี้ มีหวังคงได้เถียงกันจนถึงรุ่งสางแน่ และเทียนอี้ก็หาใช่คนชอบต่อปากต่อคำกับผู้ใดด้วย แต่สำหรับซิ่นเฉิงในยามนี้ที่แสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจเดียดฉันท์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้เทียนอี้ต้องฝืนอุปนิสัยตน แสร้งดื้อด้านเพื่อให้อีกฝ่ายยอมจำนนให้

“เจ้าต้องอยู่กับข้า”
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่!”
“ได้โปรด...อยู่กับข้า”

ในเมื่อสั่งแล้วไม่ได้ผลจึงกลายเป็นคำขอร้อง

ซิ่นเฉิงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาสีทองอำพันประกายเว้าวอน คราแรกก็คิดว่าตาฝาด หากแต่เมื่อตะคอกกลับไปอีกคราก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความเข้าใจผิด

“ข้าไม่ใคร่อยู่กับเจ้า!”

“เฉิงเฉิง...” ไม่เพียงแววตาเว้าวอน หากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าใบหูที่ตั้งชันของเทียนอี้ลู่ลงไปทางด้านหลังเล็กน้อย “เจ้าจะก่นด่า จะทุบตีข้าเช่นไรก็ได้ แต่จงอยู่กับข้า”

ซิ่นเฉิงนิ่งชะงัก... ท่าทางนั้น... เสมือนดั่งสุนัขอ้อนผู้เป็นนาย

เมื่อเงียบไป เอาแต่จ้องเทียนอี้ ใบหูของอีกฝ่ายก็ราวกับว่าจะลู่ลงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย สีหน้าของเทียนอี้ในยามนี้ยังคงนิ่งเรียบ ทว่า...ซิ่นเฉิงกลับรู้สึกประหนึ่งคนตรงหน้ากำลังส่งเสียง ‘หงิงๆ’ ออกมาให้ได้ยิน

นี่เจ้าหมาคิดจะใช้ใบหน้าเต็มไปด้วยขนปุกปุยนั่นช่วยให้ข้าใจอ่อนอย่างนั้นหรือ!?
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ice.sp0211 ที่ 09-09-2017 20:19:01
อย่าไปยอม เจ้าหมาต้องเจอหนักกว่านี้
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 09-09-2017 20:23:24
พี่หมาเริ่มกลับมาทำคะแนนเอาความน่ารักเข้าสู้
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 09-09-2017 20:36:05
อ้อนวอนให้อยู่แต่ก็ทิ้งๆขว้างๆเนี่ยนะ //รอฟังเหตุผลเจ้าหมา  :serius2: :m16:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 09-09-2017 20:37:35
พี่หมาก็เห็นผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวแทนคนรักเก่า เลยไปติดสัตว์อยู่พักนึง ส่วนพี่งูก็เห็นน้องแมวเป็นตัวแทนคนรักเก่าเหมือนกัน (เพราะนิสัยคล้ายๆกัน) แหมะ แต่ละตัว เอ้ย! แต่ละคน ตื่นขึ้นมาเจอกับปัจจุบันได้ล้าววว โดยเฉพาะพี่หมา พี่งูจะฉกน้องแมวไปอยู่แล้วนะแกกกกกกก  :beat: :beat:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wiwari ที่ 09-09-2017 20:39:52
น่าติดตามมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-09-2017 21:00:09
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-09-2017 21:01:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: @Sister ที่ 09-09-2017 21:27:00
 :pig4:
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 09-09-2017 23:06:54
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 09-09-2017 23:35:58
ปุกปุยมาอ้อนแล้ว //คาดว่าเรือปุกปุยจะแซงเรือพี่งูแน่นอน
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 10-09-2017 00:35:16
ตราบใดที่ยังไม่เคลียร์เรื่องผู้หญิงก็ไม่ย้ายเรือหรอกค่ะ ปักหลังอยู่ทีมงูต่อ อย่างน้อยพี่งูก็ไม่เลี้ยงทิ้งเลี้ยงขว้างแบบใครบางคน
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-09-2017 00:42:44
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: howru ที่ 10-09-2017 07:20:25
อ่านตามทันแล้ว ชอบนิยายแนวนี้จัง

//เอ็นดูเจ้างูอย่างแรง  :o8:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kawaiichibi ที่ 10-09-2017 09:05:57
อย่ามาใช้ความน่ารักนะ ฮือวววววว จะมาทำให้เราเหยียบเรือสองแคมไปถึงปลายทางตลอดแบบนี้ไม่ได้ :mew6: :mew6: เดี๋ยวงูใหญ่เดี๋ยวหมาน้อย เราเชียร์ไม่ถูกกกก :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 10-09-2017 11:31:04
มายา การแสดงงงงงง อย่ามาหงิงๆ :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 10-09-2017 14:40:54
55555 ใช้การอ้อนเข้าแทนเลยหรอเทียนอี้ รอติดตามค่า
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mengjie_JJ ที่ 10-09-2017 17:50:26
เชียร์พี่งู  :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 10-09-2017 18:55:59
บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[1]

ความผิดหวังถาโถมกัดกินใจของเทพอสูรหนุ่ม ตลอดหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่พลัดพราก เทียนอี้หวังมาโดยตลอดว่าจะได้พบยอดดวงใจอีกครั้งไม่ว่าจะผ่านพ้นไปนานเท่าไร หากแต่เมื่อได้พบพานหญิงสาวผู้มีนามว่า ‘หลิวซู’ ความปรารถนาของเขาก็เป็นอันต้องพังทลายเมื่อเขารู้สึกได้ว่านางหาใช่หลิวซูคนเดียวกับคนรักในอดีตของตน

นางเพียงแค่มีชื่อเดียวกัน มีใบหน้าคล้ายคลึง และเกิดในตระกูลหลิวอันเป็นตระกูลเดิมของยอดดวงใจเขาก็เท่านั้น

นางเป็นเพียงลูกหลานซึ่งมีสายกำเนิดจากน้องชายของหลิวซูผู้นั้น

หลิวซู...ไม่ได้มาเกิดใหม่

แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่าสตรีนางนั้นไม่ใช่หลิวซูของเขาอย่างแน่แท้ เพราะเพียงพูดคุยด้วยไม่มีวันนั้นไม่อาจชี้ชัดได้ว่านางไม่ใช่ ด้วยการกำเนิดในชาติใหม่ วิญญาณของหลิวซูจำต้องดื่มน้ำแกงของยายเมิ่ง[1]เพื่อลบเลือนความทรงจำในอดีตชาติ การที่นางจะแสดงท่าทางว่าไม่เคยเห็นหน้าค่าตาหรือรู้จักเทียนอี้มาก่อน ย่อมเป็นเรื่องปกติ ทว่าต่อให้มีใบหน้าไม่เหมือนอดีตชาติ หรืออุปนิสัยเปลี่ยนไปเพียงใด แต่ก็ต้องมีความรู้สึกต้องชะตากัน ทว่า...กับนางแล้ว เขาไร้ซึ่งความรู้สึกนั้น

คราแรกเขานึกว่าอาจเป็นเพราะไม่ได้พบพานกันหลายเป็นร้อยปี ความรู้สึกนั้นถึงได้จางหายไป หากแต่เมื่อได้เสวนาใกล้ชิดกันอยู่หลายวัน เขาก็มั่นใจขึ้นมาว่านางไม่ใช่

เมื่อไร้ซึ่งความรู้สึกต้องชะตา เทียนอี้ก็หาได้สนในนางอีกต่อไป ปล่อยให้พ่อบ้านเหลียงคอยดูแลหญิงสาวแทน ขณะที่เขาออกมานั่งรับลมที่ศาลาในสวนยามวิกาลด้วยนอนไม่หลับ สายตาเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย เขาเกือบจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ากี่ปีที่ไม่ได้พบหน้าคนรัก แต่กระนั้นในใจของเขาก็ยังจดจำเรื่องราวทุกข์และสุข อีกทั้งใบหน้าของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี รวมถึง...คำรักมั่นที่เขาได้เอ่ยไว้ว่าจะรักอีกฝ่ายตราบนิจนิรันดร์ ...แต่หลิวซูของเขาก็ยังไม่กลับมา

เขาต้องทุกข์ทนกับการรอคอยเช่นนี้อีกนานเท่าไรกัน สวรรค์ถึงจะเมตตาเสียที

ความทุกข์ทรมานในการเป็นเทพอสูรหาได้ทุกข์ทนเท่ากับการถูกพรากจากคนรักแม้แต่น้อย ก่อนที่เทียนอี้จะบอกกับตนเอง
ในเมื่อสตรีนางนั้นไม่ใช่ซูซู ก็คงจะต้องส่งนางกลับไป

เขากลับมาสู่ความจริงอย่างจำนนต่อลิขิตสวรรค์ พลางทอดถอนลมหายใจ มองไปยังสวนบุปผชาติ พลันนึกขึ้นมาได้ว่าตลอดหลายวันมานี้ที่สตรีนางนั้นมาเยือนจวน เขาก็หาได้เห็นเจ้าแมวป่าเลยแม้แต่วันเดียว พลันรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาด

โดยปกติแล้ว หากซิ่นเฉิงทำการใด ก็ย่อมต้องเป็นปัญหาให้พ่อบ้านเหลียงมาฟ้องเขาทุกครั้งไปไม่ใช่หรือ? แล้วนี่หายเงียบไป เกิดเหตุอันใดขึ้นกัน?

ความฉงนทำให้แม่ทัพใหญ่หมายจะไปตามตัวพ่อบ้านเหลียงมาสอบถามให้รู้แจ้ง ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ขยับตัวไปไหน ใบหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าเดินย่องเข้ามาใกล้จวน คราแรกคิดว่าเป็นเสียงฝีเท้าอาชาของทหารเวรยามที่มีหน้าที่ตรวจตราความเรียบร้อยในคืนนี้ หากแต่กลิ่นสาบสางคุ้นจมูกลอยโชยเข้ามา เขาก็ขมวดคิ้วเสียจนใบหน้าย่นยู่

กลิ่นสาบงู... และกลิ่นทะเลทราย...

เจี้ยนสือ!

ใบหน้าหันขวับไปยังที่มาของกลิ่นนั้น ก่อนสายตาจะปราดไปเห็นเงาดำตะคุ่มของใครบางคนปีนป่ายลงมาจากรั้วกำแพงจวน จากนั้นก็กระโดดลงมาแอบหลังพุ่มไม้ ทำท่าทีลับๆ ล่อๆ ก่อนจะรีบมุ่งตรงไปยังเรือนนอนของคนรับใช้

เทียนอี้ได้กลิ่นของอีกฝ่ายชัดเจน พลันก็รับรู้ได้ว่าเจ้าของกลิ่นนั้นคือซิ่นเฉิง แต่การที่มีกลิ่นของเจี้ยนสือปะปนมาด้วย ย่อมต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ ทำให้เขารีบสาวเท้าไปยังจุดหมายเดียวกับที่ซิ่นเฉิงมุ่งหน้าไป ครั้นไปถึงเรือนนอนของคนรับใช้ที่ซิ่นเฉิงเพิ่งจะแอบย่องเข้าไปเมื่อครู่ เขาก็เดือดดาลขึ้นมาเมื่อมั่นใจว่าซิ่นเฉิงลอบออกไปพบกับเจี้ยนสือโดยที่เขาไม่รู้เพราะกลิ่นสาบงูนั้นคละคลุ้งชัดเจน

“ซิ่นเฉิง!”

น้ำเสียงดุดันร้องเรียกชายหนุ่มที่เพิ่งจะทิ้งตัวลงนอนบนฟูกนุ่มข้างคนรับใช้คนหนึ่ง ทำเอาทุกชีวิตในเรือนนอนนั้นสะดุ้งตื่นกันเป็นทิวแถว ครั้นมองมายังประตูก็เห็นเงาดำของเจ้าของจวนยืนจังก้าอยู่ คนรับใช้คนหนึ่งก็รีบกุลีกุจอมาจุดเทียน ครั้นมีแสงไฟสว่างขึ้นพอให้มองเห็นด้านใน คนรับใช้ทั้งหมดก็ต้องหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อเห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดของผู้เป็นนาย

เทียนอี้กรุ่นโกรธเสียจนขนตั้งชัน...

จะด้วยเหตุผลใดก็ไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงแต่ว่าเขาก้าวเท้าเข้ามาหายังซิ่นเฉิงที่ผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะคว้าต้นแขนของอีกฝ่ายไป

“เจ้าออกไปไหนกับเจี้ยนสือมา”

คราวนี้หาได้เสียงดัง แต่น้ำเสียงที่หลุดออกมานั้นกลับชวนให้น่าเกรงขามไม่น้อย หากเป็นคนรับใช้คนอื่นคงได้ขวัญหนีดีฝ่อกันไปแล้ว ทว่านี่คือซิ่นเฉิง เมื่อถูกจับได้ก็หาได้สำนึก เชิดใบหน้าขึ้น ถามยอกย้อนกลับ

“เจ้าจระเข้นำความไปฟ้องเจ้าแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร ไยถึงเพิ่งมาหัวเสียในตอนนี้”

ฟ้องผายลมอันใดกัน! แสดงว่าคงจะทำเช่นนี้หลายครั้งแล้วสินะถึงได้พูดออกมาอย่างนี้!

เทียนอี้กัดฟันกรอด คาดเดาได้ตรงเผงทุกประการ พลันคาดโทษพ่อบ้านเหลียงที่รู้เรื่องนี้แต่ไม่มารายงานต่อเขา จนเขามาจับได้เองอย่างนี้

“ข้าถามเจ้าว่าเจ้าออกไปไหนกับเจี้ยนสือมา”
เทียนอี้ไม่ตอบคำถาม ทว่าถามกลับแทน

ซิ่นเฉิงแสยะยิ้มออกมา ว่าด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ
“ไปเที่ยวทะเลทราย ข้าอยากกลับไป เจ้างูนั่นเลยอาสาพาข้าไปเยือน”

ได้ยินแค่กลับไปยังทะเลทราย หัวใจของเทียนอี้ก็วูบไหวแล้ว ยิ่งได้ยินว่าเจี้ยนสือเป็นผู้พาไป เขาก็ยิ่งกรุ่นโกรธมากขึ้นไปอีกจนเผลอออกแรงบีบต้นแขนแกร่งของซิ่นเฉิงโดยไม่รู้ตัว

“เจ้ามันช่าง...”
“ข้าทำไม”

แม้จะเจ็บแปลบบริเวณที่ถูกบีบรัด ทว่าซิ่นเฉิงก็ไม่แสดงอาการใด นอกเสียจากท้าทาย หากเป็นช่วงเวลาปกติ เทียนอี้คงหาได้ใส่ใจ แต่ในยามนี้มันเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่กระตุ้นให้เขาเดือดดาลมากกว่าเดิม

“ตอบคำถามข้า ไยเจ้าถึงไปกับเจี้ยนสือได้”
“แล้วเจ้าจะใส่ใจทำไม ไปสนใจว่าที่ฮูหยินของเจ้าสิ!”

ซิ่นเฉิงเผลอประชดประชันออกมาโดยไม่รู้ตัว นั่นเป็นเพราะความน้อยใจที่กักเก็บไว้ ตอนเขาหลบหนีออกไปราตรีแรกไม่เห็นจะมาสน แล้วไยคราวนี้ถึงมาเดือดดาลกัน?

เป็นการจุดไฟโทสะให้เทียนอี้มากขึ้นไปอีก เขากัดฟันกรอด แยกเขี้ยวขู่คำรามเมื่อกลิ่นสาบสางของเจี้ยนสือที่ติดตัวคนตรงหน้าลอยเข้าจมูกอีกครา

“ช่างน่ารำคาญใจนัก”
หาได้หมายถึงซิ่นเฉิงแต่อย่างใด แต่หมายถึงกลิ่นของสหายเก่าต่างหาก หากแต่ซิ่นเฉิงเข้าใจเป็นอีกอย่าง

“หากข้าน่ารำคาญนักก็ปล่อยข้าไปเสีย จะกักขังข้าให้ได้อะไรขึ้นมา!”

คำแรกก็อยากกลับทะเลทราย คำต่อมาก็บอกให้ปล่อยไป จวนของเขามันไม่น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?

หงุดหงิดเสียจนปั้นสีหน้าไม่ถูก เทียนอี้จึงตอบสนองด้วยการฉุดกระชากชายหนุ่มลงจากฟูกนอน แม้ซิ่นเฉิงจะมีรูปร่างสูงโปร่งไม่แพ้ชายหนุ่มฉกรรจ์ทั่วไป ออกจะร่างใหญ่กว่าด้วยซ้ำด้วยเขาเป็นถึงนักรบแห่งชนเผ่าทะเลทราย แต่การถูกเทพอสูรซึ่งมีรูปร่างใหญ่กว่าออกแรงดึงนั้น ร่างที่หนาก็ดูจะปลิวไปง่ายๆ ดุจกลีบดอกไม้ต้องพายุ

เมื่อได้ซิ่นเฉิงมาไว้ในมือ เทียนอี้ก็คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะต้องชำระล้างร่างกายอีกฝ่ายให้กลิ่นสาบงูออกไปจนหมดสิ้น ในใจของเขาร้อนรุ่มอย่างไม่อาจพรรณา ไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเหตุใดถึงได้หัวเสียถึงเพียงนี้ ขณะที่ซิ่นเฉิงเองก็ไม่ยอมให้ตนถูกนำตัวไปโดยง่าย ร้องโวยวายเสียงดัง ปลุกทุกชีวิตในจวนให้ตื่นจากหลับใหล

“ปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้! เจ้าหมา! ข้าบอกให้ปล่อย!”

ไม่ได้ทำให้เทียนอี้หยุดได้เลย เมื่อดิ้นมากๆ เข้า แม่ทัพใหญ่ก็อุ้มอีกฝ่ายขึ้นพาดบ่าแล้วเดินดุ่มๆ กลับเรือนใหญ่โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ ในจวนที่มองมาอย่างเป็นห่วงระคนหวาดเกรงแม้แต่น้อย

พ่อบ้านเหลียงที่สะดุ้งตื่นจากนิทราเพราะคนรับใช้คนหนึ่งไปปลุกกึ่งวิ่งกึ่งเดินมายังที่เกิดเหตุ เมื่อเห็นผู้เป็นนายแบกมนุษย์หนุ่มไว้บนบ่าเดินมายังเรือนใหญ่ด้วยสีหน้าโกรธเคือง เขาก็รีบเข้าไปหา
“ท่านแม่ทัพ...”
“ข้าจะสะสางกับเจ้าคราวหลัง โทษฐานที่ละเลยหน้าที่ ไม่แจ้งเรื่องการหลบหนีออกจากจวนของซิ่นเฉิงแก่ข้า”

ยังไม่ทันที่พ่อบ้านเหลียงจะพูดจบด้วยซ้ำ เทียนอี้ก็สวนออกมาแล้ว ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ใช่...เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่แจ้งเรื่องนี้แก่เทียนอี้ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าซิ่นเฉิงแอบลอบไปเที่ยวที่ไหนกับผู้ใด นั่นก็เพราะเขาอยากให้เทียนอี้ได้ตบแต่งฮูหยินเข้าจวนเสียที เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายให้ความสนใจกับดรุณีน้อยผู้นั้น ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นด้วยไม่อยากให้เรื่องของซิ่นเฉิงไปแทรกกลางรบกวนใจของเทียนอี้ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นสร้างความขุ่นใจให้กับเทียนอี้เป็นอย่างมาก

ทั้งที่เขาหาได้เคยขุ่นเคืองพ่อบ้านเหลียงผู้ซึ่งเป็นคนสนิทมาตลอดหลายร้อยปีแม้แต่ครั้งเดียวแท้ๆ แต่เพราะบุรุษทะเลทรายผู้นั้น ถึงกับคาดโทษอีกฝ่ายได้ถึงเพียงนี้...

“ไปจัดเตรียมน้ำอุ่นให้ข้า ข้าให้เวลาเจ้าเพียงถ้วยชาเดียวเท่านั้น”

คาดโทษเสร็จก็ออกคำสั่ง ทำเอาพ่อบ้านเหลียงกุลีกุจอไปสั่งการกับคนรับใช้โดยพลัน

เทียนอี้ยืนรออยู่หน้าห้องนอนตนชั่วครู่หนึ่ง ขณะที่แขนก็ยังอุ้มซิ่นเฉิงพาดบ่า ส่วนอีกฝ่ายก็ร้องโวยวายทุบตีแผ่นหลังกว้างเป็นพัลวัน แต่เหมือนกับว่าความเจ็บปวดนั้นหาได้สะกิดผิวกายของเทพอสูรเลยแม้แต่น้อย

พริบตาเดียว การตระเตรียมของพ่อบ้านเหลียงและคนรับใช้ก็เสร็จสิ้น เทียนอี้ก้าวเข้าไป ก่อนออกคำสั่งอีกครั้ง

“หากข้าไม่เรียก ก็อย่าให้ผู้ใดก้าวเข้ามาเป็นอันขาด”

แม้จะเป็นห่วงเพราะพอจะคาดเดาได้ว่าเทียนอี้ต้องการจะทำสิ่งใด แต่พ่อบ้านเหลียงก็จำใจต้องรับคำสั่ง ก่อนปิดประตูให้
ซิ่นเฉิงรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล มือข้างหนึ่งทุบลงไปที่แผ่นหลัง อีกข้างดึงใบหูที่ตั้งของเทียนอี้เต็มแรง

“ปล่อยข้าลงประเดี๋ยวนี้!”

ออกแรงถีบอีกด้วยเมื่อสบโอกาส แต่ก็ไร้ประโยชน์อีกเช่นเคยเมื่อเทียนอี้ไม่สะทกสะท้าน เดินดุ่มๆ มาหยุดตรงหน้าอ่างไม้ใบใหญ่แล้วจัดการทิ้งร่างของชายหนุ่มบนบ่าลงไปในนั้นทั้งตัว

เสียงดังตูมพร้อมหยดน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นที่โดยรอบ ซิ่นเฉิงที่ถูกจับโยนลงมาโดยไม่ทันตั้งตัวตะเกียกตะกายผุดใบหน้าขึ้นเหนือน้ำ ก่อนไอโขลกด้วยน้ำไหลลงคอจนสำลัก เมื่อพอจะหยุดไอได้ก็อ้าปากบริภาษดังลั่น

“บัดซบนัก! คิดว่าทำอะไรของเจ้าอยู่กัน!”

แต่เทียนอี้หรือจะสน แม้ลำตัวของซิ่นเฉิงจะถูกน้ำจนเปียกปอน แต่กลิ่นสาบงูของเจี้ยนสือก็หาได้หายไป เขาจึงคว้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้และใช้มือถูไปตามท่อนแขนอย่างแรง

ถูเสียจนผิวหนังสีน้ำตาลอ่อนมีรอยแดงเป็นปื้นขึ้นมา ซิ่นเฉิงพยายามที่จะดึงกลับด้วยรู้สึกปวดแปลบเล็กๆ

“ปล่อยข้า!”

ทว่าก็ไม่เป็นผล ขณะที่เทียนอี้ครุ่นคิด

กลิ่นนั้นคงติดเสื้อผ้า...

เท่านั้นก็ละมือออกจากท่อนแขน ไปคว้าคอเสื้อของซิ่นเฉิงแล้วหมายจะถอดออก หากแต่การที่ซิ่นเฉิงดิ้นหนีจนน้ำกระฉอกออกจากอ่าง ทำให้เทียนอี้พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะกระชากเสื้อนั้นขาดวิ่นเป็นเศษซาก

ถอดไม่ได้จึงทำลายอย่างนั้นหรือ!?

ซิ่นเฉิงคิด ยังคงดิ้นพล่านอยู่ ไม่ยอมลงให้เทียนอี้ง่ายๆ เมื่อสบโอกาสก็อ้าปากกัดเข้าที่แขนของแม่ทัพใหญ่ที่พยายามจะขัดเนื้อตัวเขา

เทียนอี้อุทานออกมาเล็กน้อยเมื่อความเจ็บปวดแล่นพล่าน กระนั้นก็ไม่ยอมละฝ่ามือออก ใช้ปลายนิ้วพุ่งเข้าหมายจะสกัดจุดให้ซิ่นเฉิงหยุดดิ้น หากแต่อีกฝ่ายรู้ทันจึงหลบหลีกก่อนที่ปลายนิ้วจะแตะต้องมายังบริเวณจุดชีพจรที่ช่วงไหปลาร้า ก่อนจะถอยกรูดไปจนแผ่นหลังติดกับขอบถังไม้เย็นเยียบ เทียนอี้คว้าข้อมือเอาไว้ได้ กระชากกลับมา คราวนี้เองที่ซิ่นเฉิงหมดความอดทน ตะเบ็งสุดเสียง

“เป็นอันใดของเจ้า มาขัดเนื้อตัวข้าเช่นนี้ เจ้าต้องการสิ่งใด!”

อันที่จริง ซิ่นเฉิงคาดหมายการลงโทษของเทียนอี้เป็นการต่อสู้หรือการกักขังมากกว่า หาใช่การจับมาชำระล้างเนื้อตัวอย่างนี้ ขณะที่เทียนอี้จ้องใบหน้าโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

“กลิ่นของเจี้ยนสือติดกายของเจ้า ข้าจะขจัดมันทิ้ง”

กลิ่นของเจี้ยนสือ?

แล้วมันเป็นอย่างไร กลิ่นของเจ้างูนั่นติดตัวเขามามันเป็นปัญหาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? เทียนอี้ถึงต้องจับเขาโยนลงอ่างน้ำเช่นนี้

“จะกลิ่นผู้ใดติดตัวข้า มันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”

แม้จะสงสัย ทว่าซิ่นเฉิงกลับเลือกที่จะแข็งข้อกลับไป ทำเอาเทียนอี้ต้องสวนกลับ

“เจ้าเป็นคนในจวนข้า ไยจะไม่ใช่เรื่องของข้ากัน”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าเพราะนี่มันเป็นร่างกายของข้า จะกลิ่นผู้ใดติดมาก็หาใช่ปัญหาของเจ้าไม่!”

ดูท่าแล้ว พูดไปก็คงจะเสียแรงเปล่า ซิ่นเฉิงในยามนี้ไม่ฟังแน่ เทียนอี้จึงได้แต่ใช้มือขัดถูไปที่ผิวเนื้อของอีกฝ่ายพลางว่าเสียงเรียบเท่านั้น

“อย่ายุ่งกับเจี้ยนสือ”

มันเป็นคำสั่ง... ซึ่งในยามนี้ เจ้าแมวป่าแสนดื้ออย่างซิ่นเฉิงไม่ใคร่ที่จะเชื่อฟัง เวลาปกติก็หาได้เชื่อฟังอยู่แล้ว ในยามนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ออกแรงดึงแขนที่ถูกเทียนอี้จับอยู่กลับคืน พลางยอกย้อน

“ข้าจะยุ่ง แล้วเจ้าจะทำไม”
“อย่าข้องเกี่ยวกับเจี้ยนสืออีก!”

ฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น เทียนอี้ขึ้นเสียงด้วยลืมตัว ทำเอาซิ่นเฉิงตีหน้าไม่พอใจ มากกว่าเดิม ตะคอกกลับทันควัน

“ชีวิตข้าเป็นของข้า ข้าจะข้องเกี่ยวกับผู้ใด หาใช่เรื่องของเจ้า! อย่ามากำหนดชะตาชีวิตข้า!”

คำพูดนั้นบันดาลโทสะของเทพอสูรสุนัขป่าที่พยายามกักเก็บไว้ให้พลุ่งพล่านมากขึ้นไปอีก แค่รู้ว่าคนตรงหน้าหนีออกจากจวนไปยังทะเลทรายกับเจ้างูจงอางนั่น เขาก็สุดจะทนแล้ว ไหนยังจะกลับมาพร้อมกลิ่นสาบงูอีก แล้วซิ่นเฉิงยังจะดื้อด้านใส่ เป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ชักจะทนไม่ไหว

กลิ่นของเจ้างูนั่น...ช่างน่าคลื่นเหียนนัก!

มือขัดถูไม่หยุดจนผิวหนังของซิ่นเฉิงแทบจะหลุดออกมา ชายหนุ่มหมดความอดทนในคราวนี้เช่นกัน ออกแรงกระชากแขนตนกลับ จังหวะเดียวกับที่เทียนอี้คลายฝ่ามือพอดี การเกาะกุมนั้นจึงหลุดโดยง่าย ครั้นเทียนอี้ขยับเข้าไปหมายจะคว้าแขนของซิ่นเฉิงมาไว้ในมือเพื่อเอากลิ่นสาบน่าสะอิดสะเอียนนั้นออก เขาก็ถูกปัดซิ่นเฉิงปัดมือเข้าเต็มแรง อีกทั้งยังกระโดดหนีขึ้นจากอ่างน้ำ

“ซิ่นเฉิง... อย่าดื้อกับข้า”

เสียงต่ำร้องขู่เมื่อเห็นมนุษย์หนุ่มมีท่าทางดื้อแพ่งประหนึ่งแมวพองขนขู่ฟ่อ กระนั้นก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงเชื่อฟังได้เลยแม้แต่น้อย

“หากคิดว่าข้าจะยอมเจ้าง่ายๆ ล่ะก็ เจ้าคงคิดผิด!”

เทียนอี้เหมือนจะหมดความอดทนจริงๆ แล้ว เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อรู้ว่าซิ่นเฉิงหนีออกไปพบผู้ใดได้ขนาดนี้ รู้เพียงแต่ว่าในใจร้อนรุ่มเสียจนอยากจะมุ่งหน้าไปยังจวนของเจี้ยนสือแล้วสังหารสหายเก่าเสียให้สิ้นซาก แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาต้องจัดการกับเจ้าแมวของเขาเสียก่อน

“หากเจ้าไม่ยอม เห็นทีข้าคงต้องใช้กำลัง”
“ก็ลองดู ข้าจะไม่ยอมเจ้าอีกต่อไป!”

เคยมีครั้งใดที่ยอมด้วยหรือ?

เทียนอี้คิด มองภาพบุรุษตรงหน้าที่พร้อมจะสู้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากใช้กำลังกับมนุษย์ผู้นี้ ถึงจะรู้ว่าซิ่นเฉิงมีวรยุทธเก่งกาจพอตัว แต่เมื่อปะมือกับเทพอสูรอย่างเขาแล้วก็กลับสู้ไม่ได้ หากต้องสู้กัน มีหวังซิ่นเฉิงต้องได้รับบาดเจ็บเป็นแน่

“ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า ซิ่นเฉิง...เลิกดื้อดึงกับข้าเสียที ตลอดมา เจ้าดื้อดึงมามากพอแล้ว”

น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความระอาใจ ซิ่นเฉิงเองก็สัมผัสได้ แต่สาเหตุที่เขาเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเทียนอี้หรอกหรือ?

“ข้าดื้อดึงแล้วอย่างไร หากไม่พอใจ ก็จงปล่อยข้ากลับคืนสู่ทะเลทรายสิ!”
“ซิ่นเฉิง...” เทียนอี้เรียกคล้ายกับจะบอกให้สงบอารมณ์แล้วหยุดพูดไร้สาระเสีย

ทว่าก็ไม่ทำให้ซิ่นเฉิงหยุดได้เลย

“เจ้าต่างหากที่ดื้อดึง เคยย้อนมองดูตนหรือไม่ว่าที่ข้าเป็นเช่นนี้นั้นสาเหตุมาจากผู้ใด หากไม่เป็นเพราะเจ้าที่ฉุดคร่าน้องสาวของข้าไป อีกทั้งกักขังข้าไว้โดยไม่ยินยอม มีหรือที่ข้าจะไปข้องเกี่ยวกับเจ้างูนั่นเพราะต้องการกลับไปที่ทะเลทราย! จวนของเจ้าไม่เหมาะกับข้า สวนบุปผชาติของเจ้าก็ไม่ใช่ที่ของข้า บ้านของข้าคือทะเลทราย!”

ตะเบ็งเสียงออกมาด้วยสุดจะกลั้น การที่เขาไม่เชื่อฟังเทียนอี้ก็เป็นความผิดของเขา การที่เขาหนีออกจากจวนไปพบเจี้ยนสือที่เป็นผู้พาเขากลับทะเลทราย นั่นก็เป็นความผิดของเขาอีก แล้วเทียนอี้ล่ะ ความผิดของเขาคือสิ่งใด ...ริดรอนอิสระของเขาไปเช่นนั้น อีกทั้งยังละเลย ทำราวกับว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงเท่านั้น นั่นหาใช่ความผิดหรือ?

หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[9/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 10-09-2017 18:56:37
บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[2]

ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ อารามน้อยใจยามนึกถึงภาพรอยยิ้มของเทียนอี้ที่มอบให้กับสตรีนางนั้นในวันที่พบพานกันผุดพราย ตอกย้ำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายบีบรัด ซิ่นเฉิงพยายามจะข่มความคิดว่าที่เขาโกรธเคืองเช่นนี้หาใช่เพราะเทียนอี้เบนความสนใจไปยังหลิวซู แต่เป็นเพราะเขาอยากกลับไปยังทะเลทรายมากกว่า

มนุษย์หนุ่มจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ หากแต่เนื้อตัวที่เปียกม่อล่อม่อแล่กนั่นสั่นเทาเล็กน้อยด้วยเหน็บหนาว เทียนอี้มองแล้วก็เป็นฝ่ายยอมพ่ายแพ้ด้วยเกรงว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายยืนหนาวสั่นอยู่เช่นนี้ จะทำให้ป่วยไข้

“หากข้าทำผิดต่อเจ้า ข้าก็ต้องขออภัย แต่ตอนนี้เจ้าซับตัวเสียก่อนเถิด”
ทว่าเมื่อก้าวเข้าหาและยื่นมือออกไป ซิ่นเฉิงก็ปัดมือออกเต็มแรง
“อย่าแตะต้องข้า!”

กลายร่างเป็นเจ้าแมวป่าแสนร้ายกาจ พองขนขู่ฟ่อ พร้อมจะวาดกรงเล็บใส่คนตรงหน้าได้ทุกเสี้ยวนาทีไปเสียแล้ว

เทียนอี้ตระหนักได้ว่าเขาต้องสงบใจให้เย็นลงให้มากกว่านี้ การใช้อารมณ์กับคนที่เดือดดาลกว่าไม่ใช่ผลดีนัก ดังนั้นจึงระบายลมหายใจออกมา จ้องมองอีกฝ่ายนิ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“เฉิงเฉิง... เจ้าจะก่นด่าข้าเช่นใดก็ได้ แต่เจ้าซับหยดน้ำจากตัวก่อนเถิด สายลมในราตรีนี้เย็นเยียบนัก ประเดี๋ยวธาตุในร่างกายของเจ้าจะไม่สมดุล”

ไม่ใช่แค่ใจเย็นลงเท่านั้น ยังเรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม น้ำเสียงก็เย็นลงอีกด้วย เขาหาได้เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับซิ่นเฉิงมาก่อน ทว่ามนุษย์หนุ่มหาได้ตระหนักเรื่องนี้ไม่ แค่นเสียงหัวเราะดังหึออกมา มองอีกฝ่ายตาเขียว พลันยกมือขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำปรกหน้าขึ้น

“เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่จับข้าโยนลงมาจนเปียกปอนเช่นนี้ หากข้าจะป่วยตาย นั่นก็เป็นความผิดของเจ้า!”

สิ้นเสียงก็ถลาเข้าไปเตะถังน้ำเต็มแรง ด้วยเรี่ยวแรงและวรยุทธที่มีทำให้ผิวน้ำกระฉอกสาดกระเซ็นใส่ใบหน้าของเทียนอี้จนขนเปียก หากแต่เขาก็ไม่หลบหนี

“นั่น...เป็นความผิดของข้า ข้าจะชดใช้ให้ แต่ตอนนี้เจ้ามาเช็ดตัวเสียก่อน”
คล้ายกับจะแฝงไปด้วยคำสั่งกลายๆ ทำเอาซิ่นเฉิงที่ไม่ได้ใจเย็นลงเลยกดเสียงต่ำ
“ข้าอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปต่อหน้าเจ้านัก”

แค้นใจ...แค้นจนไม่รู้จะหาหนทางใดมาบรรเทาความขุ่นเคืองในใจนี้ ขณะที่เทียนอี้ได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดแล้วก็ไม่สบอารมณ์สักเท่าไร

ตายไปต่อหน้าเขาอย่างนั้นหรือ? กล้ามาทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบได้อย่างไรกัน!

แม้จะไม่พอใจกว่าเดิมเป็นทบทวีด้วยคำพูดนั้น หากแต่เทียนอี้ก็หาได้แสดงท่าทีรุ่มร้อนใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะมองซิ่นเฉิงที่ยังหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ แล้วจึงเอ่ยออกมา

“เจ้าตายไม่ได้หรอก เพราะเจ้าจะต้องอยู่กับข้า”
“ข้าไม่อยู่กับเจ้า!” อีกฝ่ายตะเบ็งเสียงสวนทันใด
“อยู่กับข้า”
“ข้าไม่!”

หากยังต่อล้อต่อเถียงกันเช่นนี้ มีหวังคงได้เถียงกันจนถึงรุ่งสางแน่ และเทียนอี้ก็หาใช่คนชอบต่อปากต่อคำกับผู้ใดด้วย แต่สำหรับซิ่นเฉิงในยามนี้ที่แสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจเดียดฉันท์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้เทียนอี้ต้องฝืนอุปนิสัยตน แสร้งดื้อด้านเพื่อให้อีกฝ่ายยอมจำนนให้

“เจ้าต้องอยู่กับข้า”
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่!”
“ได้โปรด...อยู่กับข้า”

ในเมื่อสั่งแล้วไม่ได้ผลจึงกลายเป็นคำขอร้อง

ซิ่นเฉิงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาสีทองอำพันประกายเว้าวอน คราแรกก็คิดว่าตาฝาด หากแต่เมื่อตะคอกกลับไปอีกคราก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความเข้าใจผิด

“ข้าไม่ใคร่อยู่กับเจ้า!”
“เฉิงเฉิง...” ไม่เพียงแววตาเว้าวอน หากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าใบหูที่ตั้งชันของเทียนอี้ลู่ลงไปทางด้านหลังเล็กน้อย “เจ้าจะก่นด่า จะทุบตีข้าเช่นไรก็ได้ แต่จงอยู่กับข้า”

ซิ่นเฉิงนิ่งชะงัก... ท่าทางนั้น... เสมือนดั่งสุนัขอ้อนผู้เป็นนาย

เมื่อเงียบไป เอาแต่จ้องเทียนอี้ ใบหูของอีกฝ่ายก็ราวกับว่าจะลู่ลงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย สีหน้าของเทียนอี้ในยามนี้ยังคงนิ่งเรียบ ทว่า...ซิ่นเฉิงกลับรู้สึกประหนึ่งคนตรงหน้ากำลังส่งเสียง ‘หงิงๆ’ ออกมาให้ได้ยิน

นี่เจ้าหมาคิดจะใช้ใบหน้าเต็มไปด้วยขนปุกปุยนั่นช่วยให้ข้าใจอ่อนอย่างนั้นหรือ!?

เป็นอย่างนั้นแน่นอน เมื่อเห็นเขาเงียบไป เทียนอี้ก็เอ่ยออกมาอีก
“เฉิงเฉิง... เจ้าปรารถนาสิ่งใด ข้าจะนำมาให้ เพียงแต่เจ้าต้องอยู่กับข้า”

ใบหูลู่ลงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย ไม่แน่ใจนักว่าสีหน้าของเทียนอี้ในยามนี้เรียกว่าสลดหรือเปล่า แต่นั่นก็ทำให้ในอกของซิ่นเฉิงอุ่นวาบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แต่ซิ่นเฉิงก็คือเจ้าแมวดื้อด้าน ปากไม่ตรงกับใจเพียงใดก็สื่อออกมาเป็นคำพูด

“ข้าไม่อยากอยู่กับเจ้า”
เทียนอี้ไม่พูดพร่ำอีกต่อไป สิ้นเสียงของซิ่นเฉิง ก็ถลาเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนตวัดวงแขนโอบรัดแน่น
“ในเมื่อยืนกรานว่าไม่อยากอยู่ เช่นนั้นข้าก็จะหน่วงเหนี่ยวเจ้าไว้ด้วยอ้อมแขนนี้”

ซิ่นเฉิงชะงักค้าง จากที่ดื้อด้านก็นิ่งดั่งหิน ในอกอุ่นขึ้นมาอีกทบทวี รู้สึกดีกับอ้อมกอดนั้นจนลืมสิ้นว่าก่อนหน้านี้โมโหอีกฝ่ายเพียงใด ขณะที่เทียนอี้เองก็รู้สึกวูบวาบในใจอย่างประหลาด นอกจากยอดดวงใจของเขาแล้ว เขาก็ไม่เคยรู้สึกเหมือนลมหายใจจะขาดห้วงเมื่อคิดว่าจะต้องพรากจากผู้ใดไปเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้

รู้สึกอย่างเดียวกับเมื่อคราวที่สูญเสียหลิวซูไป...

ยิ่งคิดถึงภาพในอดีต อ้อมกอดของเทียนอี้ก็ยิ่งแนบแน่นขึ้น ปลายจมูกซุกลงมาที่ซอกคอ พึมพำออกมาแผ่วเบา
“ได้โปรดอย่าไปจากข้า...”

สูญสิ้นทุกความโกรธา ซิ่นเฉิงสัมผัสได้ถึงปลายจมูกเย็นเยียบ ขณะที่ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นระส่ำ เขากำลังรู้สึกดีกับอ้อมกอดนี้จนปริ่มสุข จนเผลอยกมือขึ้นกำเส้นขนนุ่มที่แผงคอด้านหลังของเทียนอี้ไว้

“เฉิงเฉิง... อยู่กับข้า”
เมื่อได้ยินคำเอ่ยขอร้องอีกครา ซิ่นเฉิงก็ใจอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งต้องไฟ
“ข้าจะยังไม่ไปวันนี้ สบโอกาสอีกเมื่อไร ข้าไปแน่”

กระนั้นก็ยังมีความดื้อด้านเจือปนอยู่เล็กน้อยในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับเทียนอี้ในยามนี้ เขายอมคลายอ้อมกอดเมื่ออีกฝ่ายดิ้นขลุกขลักด้วยอึดอัด ครั้นซิ่นเฉิงเห็นใบหูที่ยังลู่ลงของเทียนอี้ ก็ทุบเข้าไปที่ต้นแขนคนตรงหน้าอย่างจัง

“เลิกทำหูตกเสียที เจ้าเป็นเทพอสูรหรือเป็นหมาจริงๆ กันแน่!”

ไม่เพียงแต่ใบหูตก หางก็ตกเช่นกัน ออกอาการสลดอย่างเห็นได้ชัด แต่คำพูดของซิ่นเฉิงก็ทำให้ใบหูแหลมๆ นั้นกลับมาตั้งชันดังเดิมได้ในคราวนี้

“ในเมื่อเจ้าคลายโทสะแล้ว ก็เช็ดตัวเถิด เปียกปอนนานๆ จะไม่เป็นการดี”

เทียนอี้ทำท่าคล้ายจะออกไปเรียกให้คนรับใช้มาดูแลซิ่นเฉิงต่อ หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงแหบห้าว

“เจ้าใคร่จะกำจัดกลิ่นของเจ้างูนั่นออกจากกายข้ามิใช่หรือ? กลิ่นหมดไปแล้วหรือไรถึงจะให้ข้าเช็ดตัว”

ยังหรอก... กลิ่นยังติดตัวอยู่อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

เทียนอี้ส่ายหน้าเล็กน้อย ทำเอาซิ่นเฉิงส่งเสียงจึ๊ในลำคอ

“เช่นนั้นก็มาปรนนิบัติข้าเสีย! อย่ามัวชักช้า!”

เป็นชายหนุ่มเองที่ทิ้งตัวลงไปในอ่างไม้อีกระลอก เทียนอี้มองตามแล้วก็ได้แต่หัวเราะในใจ

หรือนี่จะเป็นการปลอบโยนที่ทำให้เขาสลดไปเมื่อครู่?

นิสัยช่างคล้ายคลึงกันจริงๆ...

ใบหน้าของยอดดวงใจผุดพรายขึ้นมาในภวังค์ความคิด ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้เขาถูกชะตาซิ่นเฉิงตั้งแต่แรกพบ ถึงได้ออกอุบายให้อีกฝ่ายอยู่ที่นี่ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย บ่อน้ำที่บิดาของซิ่นเฉิงได้บุกรุกเข้ามานั้น เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในการดูแลของเขาก็จริง แต่หากมีมนุษย์คนใดต้องการดื่มดับกระหายโดยไม่ขออนุญาต เขาก็หาได้ถือสาเฉกเช่นพ่อบ้านเหลียงที่ใช้บ่อน้ำนี้เป็นอุบายในการหาฮูหยินให้นายของตน และพร้อมจะยกโทษให้กับมนุษย์เหล่านั้นด้วย

...จะมีก็แต่ซิ่นเฉิงที่เขาไม่อยากยกโทษให้ตั้งแต่เจอหน้า

หาใช่เพราะโกรธเคือง แต่เป็นเพราะต้องชะตาเป็นอย่างมากต่างหาก

เทียนอี้ก้าวมาหยุดที่ข้างอ่าง ชำระล้างร่างกายให้อีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม ขณะที่ซิ่นเฉิงเงียบ ไม่พูดอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ปรนนิบัติรับใช้เสมือนตนเป็นนาย ส่วนเทียนอี้เป็นคนรับใช้ กระทั่งการชำระล้างนั้นเสร็จสิ้น




 
กว่าจะขจัดกลิ่นสาบงูของเจี้ยนสือออกไปได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น เส้นขนของแม่ทัพสุนัขป่าก็เปียกปอนเสียจนชวนให้ไม่สบายตัว เขาจึงต้องไปร้องเรียกพ่อบ้านเหลียงให้มาช่วยซับน้ำออกจากขนให้แห้ง โดยไม่ลืมที่จะสั่งให้ซิ่นเฉิงซึ่งบัดนี้อยู่ในอาภรณ์ของมนุษย์ในแคว้นเฟิงฝูอยู่แต่ในห้อง พูดง่ายๆ ก็คือบังคับให้นอนที่นี่ในราตรีนี้

ซิ่นเฉิงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรแม้ว่าจะบ่นพึมพำไปตามประสา นอนที่ห้องของเทียนอี้ก็ดีเหมือนกัน เป็นส่วนตัว ไม่ต้องฟังเสียงกรนของผู้ใดดั่งเช่นในเรือนนอนของคนรับใช้

นอนเอกเขนกอยู่นานก็นอนไม่หลับ หาใช่เพราะแปลกที่ แต่เป็นเพราะรอการกลับมาของเจ้าของห้อง ผ่านไปเกือบชั่วยาม เทียนอี้ก็กลับมาในอาภรณ์ชุดใหม่และเส้นขนที่ได้รับการซับน้ำจนแห้ง

ซิ่นเฉิงที่นอนตะแคงเท้าศีรษะ ขาข้างหนึ่งตั้งชันขึ้นปราดมองไปยังแม่ทัพสุนัขป่าแล้วก็หัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าขนสีเงินยวงนั้นฟูฟ่องกว่าก่อนหน้านั้นโข

สุนัขที่ขนเพิ่งแห้งมักมีขนฟูเช่นนั้น...

โดยเฉพาะขนที่แผงคอและที่หาง ฟูฟ่องราวกับปุยนุ่นอย่างไรอย่างนั้น พลันชายหนุ่มก็นึกสนุกขึ้นมา
“นี่เจ้าหมา”

ครั้นเทียนอี้หันมอง ซิ่นเฉิงก็กระดิกนิ้วเป็นสัญญาณให้เข้ามาหา

ท่าทางนั้นช่างหยาบคาย แต่เห็นว่าซิ่นเฉิงดูอารมณ์ดี เทียนอี้จึงเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย เมื่อมาหยุดยังเตียงนอนของตนที่บัดนี้ถูกเจ้าแมวยึดไป อีกฝ่ายก็ออกปาก

“นั่งลงแล้วหันหลังให้ข้า”
เทียนอี้ทำตามแต่โดยดี จากนั้นก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าหางถูกฉกฉวยไป เมื่อหันไปมองก็เห็นซิ่นเฉิงกำลังเล่นหางของตนอยู่
“มองอันใด หรือเจ้าจะมีปัญหา”

แค่มองเฉยๆ ยังถูกซิ่นเฉิงแยกเขี้ยวใส่ เทียนอี้จึงไม่ตอบรับใดๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายได้จับหางของเขาเล่นตามใจปรารถนา
และเพราะตามใจไปเช่นนั้น ซิ่นเฉิงจึงได้ใจ เอาขามากอดก่าย มือลูบขนไปมาจนยุ่งเหยิงฟูฟ่องยิ่งกว่าเดิม มันก็น่ารำคาญอยู่หรอก แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆ ดังตามมา เทียนอี้ก็หยุดความคิดนั้นพลัน

“เจ้าปุกปุย”

กลายเป็นเจ้าของหางบ้างแล้วที่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ พลันหันไปมองเจ้าแมวที่เล่นซนอยู่ทางด้านหลัง

“เจ้าจะเล่นหางของข้าอีกเท่าใดก็ได้ ตราบใดที่เจ้าอยู่กับข้า”
“อย่ามาหลอกล่อข้าเสียให้ยาก คิดว่าข้าจะยอมทิ้งอิสระตนเพื่อมานอนเล่นหางของเจ้าอย่างนั้นหรือ? มีโอกาสเมื่อใด ข้าไปและจะไปหันกลับมาอย่างแน่นอน”

อยากจะเถียงอยู่หรอก แต่ไม่พูดอะไรจะเป็นการดีกว่า ทว่าเมื่อเทียนอี้เงียบไม่ตอบโต้ ซิ่นเฉิงก็โพล่งขึ้นมา
“แต่ถ้าเจ้าเล่าให้ข้าฟังว่านางผู้นั้นเป็นใคร ข้าก็อาจจะอยู่รอฟังเรื่องราวของเจ้าต่ออีกสักสองสามราตรี”

สตรีผู้นั้น?

“เจ้าหมายถึงแม่นางหลิวซู?”

พอถูกถาม ซิ่นเฉิงก็ปั้นหน้ายู่
“มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร ข้าจะไปรู้หรือ!? ว่าที่ฮูหยินของเจ้าคือผู้ใดกันล่ะ ข้าหมายถึงนางผู้นั้น”

หมายถึงหลิวซูจริงๆ

“ข้าไม่ได้จะตบแต่งนางเป็นฮูหยินหรอก” เมื่อเข้าใจว่าซิ่นเฉิงหมายถึงผู้ใดก็อธิบายออกมา
“แล้วเจ้า...ให้พ่อบ้านเหลียงดูตัวกับนางทำไม” คนถามมีสีหน้าฉงนขึ้นมาทันใด
“พ่อบ้านเหลียงดำเนินการตามอำเภอใจ” อีกฝ่ายว่าราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
“สู่รู้นัก เจ้าจระเข้นั่น!” เป็นซิ่นเฉิงที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน ทำเอาคนมองถึงกับหัวเราะออกมา จากนั้นก็ถูกซิ่นเฉิงถามอีก “แล้วเจ้าดูตัวกับนางเพื่อการใดในเมื่อไม่คิดจะตบแต่งนางเป็นฮูหยินเข้าจวน”

เทียนอี้นิ่งไปครู่ ก่อนจะยกยิ้มน้อยๆ

“ราตรีนี้ล่วงเลยมามากแล้ว เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด ตื่นเมื่อใด ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”

คล้ายกับว่ายังไม่อยากจะเล่าในตอนนี้ ซิ่นเฉิงเองก็หาใช่คนตอแยเก่งนัก จึงยอมแต่โดยดี

“หากเจ้าบิดพลิ้วล่ะก็ ข้าจะถอนเขี้ยวของเจ้าทิ้ง” ทิ้งท้ายด้วยการขู่ฟ่อ

เทียนอี้ส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะโน้มใบหน้าลงต่ำ แตะปลายจมูกเย็นๆ ลงบนหน้าผากมนของคนข้างกาย

“ข้าไม่บิดพลิ้วกับเจ้าแน่นอน... ข้าสัญญา”

จากนั้นก็ถอยกลับไป ปล่อยให้เทียนอี้ใจเต้นระส่ำด้วยถูกเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัว ครั้นรู้สึกว่าซีกหน้าอุ่นร้อนก็ยกขาขึ้นถีบแผ่นหลังของเจ้าของห้องเสียอย่างนั้น

“ข้านอนเตียง เจ้านอนพื้น ดับเทียนเสีย!”

ได้รับคำสั่ง เทียนอี้ก็เดินดุ่มๆ ไปดับเทียนอย่างว่าง่าย แต่ไม่ได้ทิ้งตัวนอนลงบนพื้น ไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ แล้วทอดสายตามองร่างของซิ่นเฉิงผ่านความมืด เฝ้ารอให้อีกฝ่ายดำดิ่งอยู่นิทรารมย์ตลอดทั้งคืน
 

[1] น้ำแกงยายเมิ่ง เป็นน้ำแกงที่ยายเมิ่งจะมอบให้ดวงวิญญาณของคนตายที่จะไปเกิดใหม่ได้ดื่มเพื่อลบเลือนความทรงจำในอดีตชาติ



พี่หมามาแว้ววว เอาความหูลู่ หางตก ขนฟูฟ่องเข้าสู้ เรือพี่หมาพอจะแล่นเร็วขึ้นมั้ย? 555

เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาอัปตัวอย่างตอนหน้าให้นะคะ ถ้าเขียนทันก็จะมาอัปเต็มตอนให้

ตอนที่แล้วมีงูออกมา ตอนนี้มีหมา ตอนหน้ามีทั้งงู ทั้งหมา

เรือนี่แล่นฉิวจ้ำพรวดๆ อย่างกับแข่งเรือหางยาวประเพณี

จะลงเรือไหนก็ได้ แต่อย่าลงเรือพี่เข้ อันนั้นเรือผีเกิ๊นนน 555

ฝากฟีดแบ็กให้หน่อยนะคะ เดี๋ยวเจอกันค่า
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-09-2017 19:51:21
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 10-09-2017 19:56:54
พอน้องนีหน้าเหมือนเมียเก่ามาหา หูตั้งหางกระดิก พอรู้ว่าไม่ใช่เมียเก่า ก็ถีบน้องนีหัวส่ง หันกลับมาหานายเอกของเรา สำหรับเราติดลบยิ่งไปอีกกก  :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kawaiichibi ที่ 10-09-2017 20:05:05
ระ รุนแรงมาก!! :mew2: :mew2:
อิแมวจะใจง่ายเกินไปแล้วนะ ไม่ต้องมาอยู่กับพี่งูเลย
อย่างนี้ต้องส่งพี่งูไปจัดการพ่อบ้านเข้ อร๊ายยยย
รอค่าาาา :-[ :-[
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 10-09-2017 20:07:13
ยังตามไม่ทัน คะแนนยังไม่ค่อยตีตื้นเท่าไหร่
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-09-2017 20:15:17
ยังคงเป็นแม่ทัพเรืองูอยู่ ถึงเจ้าแมวจะเป็นคนเดียวกับแม่นางนั้นเราก็ยังไม่ยกให้ ต้องรักเฉิงเฉิงเพราะเป็นเฉิงเฉิงนะเจ้าหมา จัมมม !  :katai4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-09-2017 20:54:03
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 10-09-2017 21:07:44
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Zyse ที่ 10-09-2017 21:38:48
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: พี่หมากลับมาได้อย่างสวยงามค่ะ เรีือหมาวิ่งฉิวลำใหญ่มากมาย แต่

เรายังคงยืนบนพี่เข้ค่ะ ไหลไปกับสายน้ำ ไม่ว่าเรือลำใดก็ไม่สามารถแล่นนำ พี่เข้เราไปได้  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 10-09-2017 21:49:28
แมวเอาใหญ่ถือว่าตัวเองเป็นต่อนะ สงสารทั้งงู ทั้งหมา หวังว่าอดีตคนรักของทั้งคู่คงไม่ได้เกิดมาเป็นซิ่นเฉิงนะ  เจ้าแมวคงรู้สึกแย่ เหมือนเป็นตัวแทน

#ไม่ลงเรือใครดีกว่า เพราะดูท่าทั้งงู ทั้งหมา ก็ยังฝังใจกับคนรักเก่าทั้งคู่ แถมยังคอยเปรียบเทียบซิ่นเฉิงกับอดีตคนรักอีก ซิ่นเฉิงควรจะจับกดพ่อบ้านเหลียงซะ 555+ กลั่นแกล้งดีนัก หุหุ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 10-09-2017 22:12:02
รักคนเดียวกันหรอ??
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 10-09-2017 22:39:55
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-09-2017 23:13:17
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: G_G ที่ 11-09-2017 00:38:34
เรืองูยุดี
ยังไงก็เถอะหาคู่ให้งูด้วยพรีสสสสสสสสสสสส :mew2: :ling3:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-09-2017 00:44:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Realy ที่ 11-09-2017 06:38:36
พี่เข้เป็นเรือผีรึ5555555 มีใครจะลงไหมๆ :katai5:  :katai5: ปล.ลงเรือพี่งูไปแล้วอะดิคึคึ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 11-09-2017 16:23:36
ไม่โอเค ชอบพี่งู หึ พอรู้ว่าชะนีไม่ใช่ก็นึกถึงนายเอก
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 11-09-2017 18:25:08
ขอลงเรื่อพี่งู เจ้าหมาใจร้ายอยากให้เจ็บปวดที่เจ้าแมวไปกะพี่งูจริงๆ

 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 11-09-2017 20:29:09
รู้สึกหลงรักพี่งู555
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 11-09-2017 21:34:18
บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[1]

เมื่ออรุณรุ่งมาถึง เทียนอี้รอให้ซิ่นเฉิงได้อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของเผ่าและกินอาหาร ก่อนจะพาออกมาดื่มชายามสายในสวน สิ่งนั้นเป็นงานอดิเรกที่เทียนอี้มักกระทำเป็นประจำยามมีเวลาว่าง หากแต่วันนี้แปลกออกไปเสียหน่อยด้วยเขาหาได้จิบยาเพียงลำพัง แต่มีเจ้าแมวที่นั่งปั้นปึ่งมาร่วมวงด้วย แต่ที่ยอมนั่งนิ่งโดยไม่ขัดใจใดๆ เป็นเพราะเทียนอี้ได้สัญญาไว้ว่าจะเล่าเรื่องของสตรีผู้นั้นให้ฟัง ดังนั้นซิ่นเฉิงจึงนั่งรออย่างอดทน

ครั้นพ่อบ้านเหลียงและคนรับใช้อื่นๆ ทิ้งให้ทั้งคู่ได้อยู่ตามลำพัง ซิ่นเฉิงก็เป็นฝ่ายเปิดปากขึ้น

“เอ้า เจ้าจะเล่าได้หรือยังว่าเจ้าดูตัวกับนางเพราะเหตุใดหากไม่คิดจะตบแต่ง”
เทียนอี้ที่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเมื่อครู่เหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะว่า
“เพราะนางมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับคนรักของข้า”
บอกออกไปอย่างสัตย์ซื่อ ทำให้คนฟังใจกระตุกวูบทันควัน

คนรักอย่างนั้นหรือ?

อีกทั้งในใจยังบีบรัดแน่น พานคิดไปว่าเหล่าเทพอสูรนั้นช่างไร้สาระนัก ทั้งพ่อบ้านเหลียงที่เอาแต่ยุยงให้ผู้เป็นนายตบแต่งฮูหยินเข้าจวนเสียที ทั้งเจี้ยนสือที่เอาแต่คิดคะนึงถึงคนรัก แล้วนี่ยังจะมีเทียนอี้ด้วยอีกหรือ?

กับผู้อื่นนั้น ซิ่นเฉิงหาได้สนใจใดๆ ไม่ ทว่ากับเทียนอี้ เมื่อรู้ว่าเขามีคนรักอยู่แล้วก็พลันหงุดหงิดใจขึ้นมา

หากมีคนรักอยู่แล้วจะมาข้องเกี่ยวกับข้าด้วยเหตุผลกลใด?

คิดอย่างนั้น แต่หาได้ปริปาก ปล่อยให้เทียนอี้ได้พูด

“ไม่เพียงใบหน้า นางยังมีชื่อเดียวกันอีกด้วย แต่นั่นเป็นเพราะนางเป็นธิดาของสกุลหลิว สืบสายโลหิตมาจากน้องชายของหลิวซูซึ่งเป็นคนรักข้า จึงไม่แปลกหากนางจะมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึง อีกทั้งยังชื่อแซ่ เพราะคนสกุลหลิวมักเอาชื่อของบรรพบุรุษมาตั้งให้ลูกหลานเมื่อผ่านไปหลายรุ่น”

เทียนอี้เล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ท่าทีนั้นค่อนไปทางไม่ยี่หระใดๆ ขณะที่ซิ่นเฉิงเอาแต่ขมวดคิ้ว
“เพราะเหตุนั้น เจ้าถึงไม่ตบแต่งนาง?”
“หาใช่เรื่องนั้น หากแต่นางไม่ใช่หลิวซูของข้า” เทพอสูรว่า “คราแรกข้าหลงคิดไปว่านางคือหลิวซูกลับชาติมาเกิด เพราะในอดีต หลิวซูก็เคยกลับชาติมาเกิดแล้วครั้งหนึ่ง หากแต่เมื่อได้เสวนากับนาง จึงรู้ว่าไม่ใช่”
“หากใช่ เจ้าคงจะตบแต่งกับนางสินะ”
“คงเป็นเช่นนั้น”

เมื่อได้ยิน ซิ่นเฉิงก็ส่งเสียงหึออกมาด้วยอารามเย้ยหยัน นึกหัวเสียขึ้นมาในบัดดล ขณะที่เทียนอี้รับรู้ความรู้สึกนั้นได้จากไอความร้อนที่แผ่ขยายออกจากร่างของคนตรงหน้า ก่อนจะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยโดยไม่พูดสิ่งใดด้วยเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายหัวเสียไปมากกว่านี้

“แล้วเจ้ามั่นใจเช่นนั้นหรือว่านางไม่ใช่ ในเมื่อเจ้าบอกว่านางมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึง” เป็นซิ่นเฉิงที่ทำลายความเงียบ
“กับหลิวซูแล้ว หากเป็นคนผู้นั้นกลับมาเกิดจริง ข้าจะต้องสัมผัสได้ตั้งแต่คราแรกที่เจอหน้า ต้องรู้สึกผูกพันหรือไม่ก็ต้องรู้สึกถูกชะตา แต่กับนางแล้ว...ข้าไร้ซึ่งความรู้สึกนั้น”
“ไร้ซึ่งความรู้สึกนั้น แต่เจ้ากลับอยู่พูดคุยกับนางถึงสองสามวันอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าก็แค่อยากให้แน่ใจ”
“เฮอะ” ซิ่นเฉิงยกแขนขึ้นกอดอก ส่งเสียงออกมา “เจ้าคนโลเล”

ฉับพลันเทียนอี้ก็สวนขึ้น
“หากยามข้าเห็นนางแล้วต้องชะตาเป็นอย่างมากเช่นตอนเห็นเจ้าครั้งแรก ข้าคงไม่กลายเป็นคนโลเลอย่างที่เจ้าบริภาษ”

ซิ่นเฉิงถึงกับขมวดคิ้วยู่กว่าเดิม “ต้องชะตาข้า?”

“เมื่อครั้งที่ข้าประสบกับแววตาของเจ้า ทำเอาข้าหลงคิดไปว่าเจ้าเป็นคนรักของข้ามาเกิดเลยทีเดียว”

เทียนอี้ว่าออกมาอีก นั่นเป็นความสัตย์จริงที่เขาหาได้เคยเอ่ยกับผู้ใด ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านเหลียง ด้วยเห็นว่าใบหน้าของซิ่นเฉิงไม่ได้มีความคล้ายคลึงกับหลิวซูสักนิด เว้นก็แต่อุปนิสัยและแววตาคู่นั้น ที่แม้จะเป็นคนละสี อีกทั้งยังคนละรูปทรง แต่เมื่อมองสีหน้าของซิ่นเฉิงแล้ว ทำให้เขาหวนคิดคะนึงถึงยอดดวงใจไม่ได้ จึงเป็นสาเหตุที่เขาเอ็นดูซิ่นเฉิงเป็นอย่างมากแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยศกับเขาเพียงใดก็ตาม... พยศประหนึ่งหลิวซูเมื่อครั้งยังเป็นเทพ

ไม่สิ... พยศกว่าอีกด้วยกระมัง...

“ข้าเนี่ยน่ะหรือเป็นคนรักของเจ้า เจ้าคงละเมอกระมัง” เป็นซิ่นเฉิงอีกที่ยอกย้อน หากแต่ในใจของเขากลับเต้นระส่ำทั้งที่เมื่อคู่บีบรัดแน่น เพียงเพราะได้ยินเทียนอี้กล่าวว่า ‘เจ้าเป็นคนรักของข้า’ เท่านั้น แม้ว่าจะเป็นการหลงคิดไปก็ตาม พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเจี้ยนสือเองก็เคยพูดเช่นนี้ เคยบอกว่าเขามีอุปนิสัยคล้ายกับหลิวซู

ทว่า...นั่นคือหลิวซู เขาก็คือเขา ต่อให้มีอุปนิสัยคล้ายคลึงกันเพียงใด แต่ก็ยังเป็นคนละคนอยู่ดี ที่สำคัญ...เขาหาใช่คนที่เทียนอี้รัก

หงุดหงิดขึ้นมาอีกคราเมื่อตระหนักได้ ก่อนจะระบายลมหายใจเต็มแรง

“เจ้าจะละเมอหรืออะไรก็เอาเถิด แต่เล่าให้ข้าฟังประเดี๋ยวนี้ว่าคนรักเจ้าที่มีนามว่าหลิวซูเป็นผู้ใดกันแน่ ข้าหน่ายเต็มกลืนกับการถูกเปรียบเทียบแล้ว”

เทียนอี้มองนิ่งๆ ซิ่นเฉิงได้พบเจอกับเจี้ยนสือแล้ว อีกฝ่ายคงคิดเหมือนกันว่าเขาคลับคล้ายคลับคลากับหลิวซู แม้แต่หมิงจูเองที่ไม่ค่อยสนิทสนมนักยังรู้สึกได้ และได้เปรยกับเขาไว้แล้วเมื่อครั้งแวะเวียนมาหาตอนได้ยินข่าวเรื่องลูกหลานของหลิวซูมาดูตัวกับเขาเช่นกัน จึงไม่แปลกหากซิ่นเฉิงจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง ขนาดพ่อบ้านเหลียงก็คิดเช่นนั้น...ถึงจะไม่ยอมรับเท่าไรก็ตาม

“หลิวซูเป็นเทพชั้นผู้น้อย เป็นดวงวิญญาณของมนุษย์ที่บำเพ็ญตบะตนได้รับการแต่งตั้งเป็นเทพ”
เทียนอี้เริ่มเล่า พลันซิ่นเฉิงก็ตั้งใจฟังในทันที

“สวรรค์มีสิบสองชั้น ข้า เจี้ยนสือ และหมิงจูเป็นเทพชั้นสูงอยู่ชั้นฟ้าเบื้องบน หลิวซูอยู่ในโรงครัวของสวรรค์ หาได้เคยพบพานกับหลิวซูมาก่อน จะมีก็แต่พ่อบ้านเหลียงเท่านั้นที่เคยพบพานด้วยพ่อบ้านเหลียงมีหน้าที่ดูแลเทพชั้นสูง กระทั่งเมื่อครั้งที่ข้าและสหายได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพสวรรค์ เมื่อนั้นเจ้าแม่ซีหวังหมู่[1] ผู้ดูแลสวนท้อสวรรค์แห่งประจิมได้จัดงานประทานผลท้อให้กับเหล่าเทพ พวกข้าจึงเข้าร่วมเฉลิมฉลอง ครานั้นเองที่ข้าได้พบกับหลิวซู เขาเป็นผู้ยกผลท้อมาให้ข้า”

เขา... เป็นบุรุษ...

เทียนอี้คิดในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา รอให้เทียนอี้ได้เล่าต่อ

“ตั้งแต่พบพานกันครานั้น ข้าก็มิอาจลืมเลือนดวงหน้าพิสุทธิ์ของหลิวซูได้เลย จำต้องแวะเวียนมาหาด้วยหลงใหล หากแต่เทพไม่อาจมีรัก ข้าจึงทำได้เพียงเก็บความเสน่หานั้นไว้ในใจ แต่กระนั้นข้าก็รับรู้ได้ว่าหลิวซูเองก็คิดเช่นเดียวกันกับข้า ยามนั้นเพียงแค่ได้เห็นหน้า จิตใจข้าก็ชุ่มฉ่ำดั่งเม็ดฝนโปรย กระทั่งข้าได้รับพระบัญชาจากองค์เง็กเซียนให้ไปปราบกบฏสวรรค์...” เทียนอี้หยุดเล่าไปชั่วขณะ ดวงตาหม่นแสงลง ท่าทางคล้ายกับว่าไม่อยากพูดต่อ

ซิ่นเฉิงสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกในนัยน์ตาคู่สวยนั้น หากแต่ความใคร่รู้มีมากกว่า จึงจำต้องถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งงัน
“แล้วเป็นเช่นไร?”

“ข้ากับเจี้ยนสือไม่ได้ปราบกบฏสวรรค์ หากแต่วางกลอุบายลวงองค์เง็กเซียนว่าทำลายเมืองบาดาลและสังหารกบฎแล้วสิ้น พวกข้าจึงต้องโทษ แม่ทัพและรองแม่ทัพนายอื่นๆ ทหารในกองทัพ เหล่ากุนซือ รวมถึงพ่อบ้านเหลียงซึ่งมีหน้าที่คุมเสบียงทัพต่างถูกลงทัณฑ์ร้ายแรง ส่วนข้ากับเจี้ยนสือต้องโทษคุมขังตราบนิรันดร์”

ตรงกับที่เจี้ยนสือได้เล่าให้ฟังทุกประการ พลันเอะใจขึ้นมา
“ที่พวกเจ้ารอดจากการจองจำ ลงมาจุติยังแดนมนุษย์ได้เป็นเพราะ...”
“หลิวซูช่วยข้าและเจี้ยนสือออกมา”

ว่าอย่างไรนะ!?

ได้ฟังแล้ว ซิ่นเฉิงก็ฉงน อีกทั้งยังสับสนอย่างรุนแรง ได้ยินว่าเทียนอี้มีคนรักเป็นบุรุษ เขาก็ประหลาดใจแล้ว แต่นี่...อย่าบอกเขานะว่าคนรักของเขาคือคนเดียวกับคนรักของเจี้ยนสือ?

ไม่ต้องถามออกไปก็ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ จะมีผู้ใดกันนอกเหนือจากหลิวซูผู้นี้ช่วยเทพทั้งสองออกมาได้อีกกัน

กระนั้นก็ถามเพื่อให้แน่ใจ...
“นอกจากหลิวซูแล้ว มีผู้ใดช่วยพวกเจ้าอีกหรือไม่?”
“ไม่... เขากระทำโดยผู้เดียว”

ได้ยินคำตอบ ซิ่นเฉิงก็ใจเต้นระรัว นี่เทียนอี้รู้หรือไม่ว่าคนรักของตนก็เป็นคนรักของเจี้ยนสือเช่นกัน หากแต่เขาไม่พูดออกไป ได้แต่แสดงสีหน้าสับสนออกมาอย่างชัดเจน ทำให้เทียนอี้ได้ถามขึ้น

“ทำไมหรือ?”
“ไม่มีสิ่งใด เล่าต่อสิ” ปฏิเสธและเปิดทางให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ

แม้จะสงสัยในสีหน้าของซิ่นเฉิง แต่เทียนอี้ก็ยอมเปิดปากเล่าต่อจนจบด้วยได้ให้สัตย์สัญญาไว้แล้ว

“การช่วยเหลือเป็นผลแค่เพียงครึ่ง ระหว่างหลบหนี พวกข้าถูกทหารกองทัพอื่นจับกุมตัวไว้ได้ หลิวซูสละชีวิตแลกกับการให้พวกข้าไม่ต้องดับสูญ องค์เง็กเซียนจึงทำลายดวงจิตของเขาสิ้น และให้ข้ากับเจี้ยนสือลงมาอยู่ในแดนมนุษย์ นั่นจึงเป็นที่มาที่ข้ากลายเป็นเทพอสูร”
“จากนั้นหลิวซูของเจ้า... ก็มาเกิดใหม่?”

สิ่งนี้หาใช่การเดา ซิ่นเฉิงพอจะผูกเรื่องได้จากคำบอกเล่าคร่าวๆ จากเจี้ยนสือต่างหาก ส่วนเทียนอี้ก็พยักหน้ารับกับคำถามนั้น
“เมื่อร้อยปีก่อน หลิวซูได้ถือกำเนิดเป็นบุตรชายในสกุลหลิวอันเป็นสกุลพ่อค้าจากแคว้นข้างเคียง แคว้นเฟิงฝูได้แลกเปลี่ยนน้ำกับโอสถจากแคว้นนั้น สกุลหลิวเป็นสกุลใหญ่ พวกข้าจึงสมาคมกัน เมื่อนั้นเองที่ข้าได้พบหลิวซูอีกครา หากแต่คราวนี้หาได้เป็นเทพ ดังนั้นการมีรักจึงไม่ผิด”

ยิ่งฟังก็ยิ่งแน่นในอก แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับมีไออุ่นลอบอบอวลอยู่ข้างใน ซิ่นเฉิงหาได้เข้าใจปฏิกิริยานี้ และไม่ใคร่ใส่ใจในยามนี้เช่นกัน ทำเพียงตั้งใจฟังเท่านั้น

“เช่นนั้น... เจ้าก็ได้ครองคู่กับหลิวซู?”
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี” เทียนอี้ว่าเสียงเรียบ มุมปากมีรอยยกยิ้ม แต่นัยน์ตากลับหมองหม่นลงกว่าเดิม “หลิวซูสิ้นใจเพราะถูกเจี้ยนสือสังหาร”

สิ้นประโยคนี้ ความเงียบก็เข้าปกคลุมไปทั่ว อันที่จริง ซิ่นเฉิงยังอยากรู้อีกว่าเพราะเหตุใดหลิวซูถึงถูกเจี้ยนสือสังหาร ทว่าก็ไม่เอ่ยปากถามออกมาด้วยแลเห็นว่าเทียนอี้เริ่มเผยความเจ็บปวดที่กักเก็บอยู่ข้างในออกมาให้ได้รับรู้ แม้ใบหน้าจะประดับด้วยรอยยิ้ม กระนั้นดวงตากลับไร้แสงลงเรื่อยๆ

คนหนึ่งเป็นสหาย คนหนึ่งเป็นคนรัก เทียนอี้คงทำใจได้ยากยิ่ง...

ดังนั้นซิ่นเฉิงจึงยุติการซักถามแต่เพียงเท่านี้ พลางขบคิดไปว่าเรื่องที่ได้ยินเป็นเช่นที่เจี้ยนสือเล่า แต่แทนที่จะคลายข้อข้องใจ กลับกลายเป็นว่าสงสัยกว่าเดิมด้วยพบความจริงว่า...เทียนอี้และเจี้ยนสือมีคนรักคนเดียวกัน

เรื่องมันเป็นอย่างไรกัน?

ครั้นจะให้ไปถามพ่อบ้านเหลียงก็ยาก จะไปถามหมิงจู เจ้านั่นก็ดูจะไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไร มีอีกคนที่ถามได้ นั่นก็คือ...เจี้ยนสือ
คิดได้ดังนั้นจึงทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี้

“ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงได้กระดิกหางยามเห็นหน้าแม่นางผู้นั้น”
ค่อนข้างหยาบคายทีเดียว หากแต่เทียนอี้กลับยิ้มรับโดยไม่ปฏิเสธ พลันว่าสั้นๆ ออกมา
“ข้ายังเฝ้ารอหลิวซูเสมอ”

เป็นคำพูดที่ชวนหัวเสีย ทว่าซิ่นเฉิงกลับไม่รู้สึกหงุดหงิดครั้นได้ยินอีกฝ่ายว่าอย่างหนักแน่น แต่กลับอุ่นวาบในอกขึ้นมาอย่างประหลาด ยิ่งได้สบตาของเทียนอี้ ก็ยิ่งอบอุ่นข้างในใจขึ้นมา

ความรู้สึกนี้...นอกจากซิ่นจินแล้วก็หาได้เคยรู้สึกกับผู้ใด กับเทียนอี้เองก็เคยรู้สึกเช่นนี้อยู่เหมือนกัน แต่หาได้ชัดเจนเท่ากับครั้งนี้

อบอุ่นราวกับเคยรับความรู้สึกนี้มาก่อน...

“หมดข้อสงสัยแล้วก็กินขนมเถิด เย็นชืดหมดแล้วกระมัง” เทพอสูรสุนัขป่าเอ่ยขึ้น หมายจะคลายบรรยากาศให้กลับมาเป็นเช่นเดิม
ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ปฏิเสธ ทว่าครั้นเอื้อมมือไปหมายจะหยิบขนมตรงหน้ามาลิ้มรส เสียงร้องโหวกเหวกของคนรับใช้ก็ดังลอยมาให้ได้ยิน เสียงนั้น...รับรู้ได้ว่าดังมาจากทางเรือนใหญ่ ทำเอาทั้งเขาและเทียนอี้ชะงักงัน หันไปมองตามต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง

“เกิดเรื่องอันใดกัน” ซิ่นเฉิงพึมพำ พยายามจับใจความของเสียงโวยวายที่ฟังไม่ได้ศัพท์

ทว่าหูมนุษย์หรือจะสู้หูสุนัขป่า เมื่อได้ยินเสียงของพ่อบ้านเหลียงร้องเรียกชื่อของใครบางคนเพื่อห้ามปราม เขาก็ลุกพรวดแล้วเดินออกจากศาลาทันใด ทำเอามนุษย์หนุ่มที่เห็นเทียนอี้พรวดพราดเดินไปรีบกระโดดก้าวตามอย่างรวดเร็ว

เดินราวกับเหาะเหิน ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงหน้าจวน พลันความสงสัยในเสียงโหวกเหวกนั้นก็ได้รับการคลี่คลายเมื่อเห็นว่าต้นกำเนิดเสียงมาจากหญิงสาวผู้มีนามว่าหลิวซูที่กรีดร้องเสียงหลงด้วยตกใจสุดกำลัง เบื้องหน้านั้นมีพ่อบ้านเหลียงคั่นกลางระหว่างนางกับเทพอสรูร่างใหญ่ผู้หนึ่ง

นั่นคือ...

“เจี้ยนสือ?” ซิ่นเฉิงเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาเมื่อเห็นว่าเจี้ยนสือพยายามจะเข้าหาสตรีนางนั้นโดยไม่สนใจผู้ใดที่ห้ามปรามอยู่ทั้งสิ้น
แม่ทัพงูจงอางในเวลานี้หูหนวกตาบอดสิ้น ครั้นเขาได้ยินความจากหมิงจูที่แวะเวียนไปหายังจวนเพื่อนำความไปบอกว่าเทียนอี้ดูตัวกับสตรีนางหนึ่งซึ่งมีนามว่าหลิวซู เขาก็รีบเร่งมาดูหน้านางด้วยใจหมายว่าจะเป็นผู้นั้น และทันทีที่ได้เห็นดวงหน้างามพิลาศ เขาก็ใจเต้นระส่ำด้วยคิดไปว่านางคือหลิวซูผู้นั้นกลับมาเกิด

หลิวซู...ผู้เป็นดั่งยอดดวงใจของเขา

“หลิวซู มาหาข้า ให้ข้าได้ยลหน้าเจ้า”
เจี้ยนสือพยายามเข้าหา เอ่ยปากออกมาอีกครั้งหลังจากที่นางวิ่งหนีไปหลบหลังพ่อบ้านเหลียง
“ไม่! ฮือ... ออกไปนะ ข้ากลัวแล้ว!” นางยังคงพร่ำประโยคเดิมไม่หยุด จับมือหญิงรับใช้ที่ตามมาจากสกุลหลิวเพื่อดูแลนางมั่นด้วยอารามตกใจ

“ซูซู... นี่ข้าเอง เจี้ยนสือ... เจ้าคงรอมาเกิดนานไปหน่อยกระมัง ถึงได้จำข้าไม่ได้เช่นนี้” เจี้ยนสือยังทำใจดีด้วยคิดว่าเป็นเพราะน้ำแกงยายเมิ่ง นางถึงได้แสดงออกอย่างนี้

หากแต่พ่อบ้านเหลียงไม่คิดเช่นนั้น ครั้นเห็นเจี้ยนสือเข้ามาใกล้ก็เข้ามาขวางไว้อีกครา
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ นางยังไม่พร้อมจะพบหน้าท่าน ได้โปรด...ท่านกลับไปก่อนเถิด”

คนถูกไล่เพียงเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะแค่นเสียงต่ำออกมา
“ถอยไป ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

ไม่เพียงแต่ไล่เท่านั้น เพียงสะบัดมือเล็กน้อย ร่างของพ่อบ้านจระเข้ก็กระเด็นไปอีกทาง ก่อนเขาจะตรงเข้าไปหาสตรีผู้นั้นที่หวีดร้องเสียงดังโดยไม่สนใจเสียงห้ามของผู้ใด ครั้นเข้าใกล้ได้ก็เอ่ยเรียก

“ซูซู ข้ารอเจ้ามานานเหลือเกิน”
จากนั้นก็ดึงนางมารวบกอดไว้แนบอกอย่างโหยหา ทว่า...หญิงสาวกลับดิ้นหนีสุดแรง กู่ก้องร้องตะโกนลั่น

“ปล่อยข้า! ปล่อย!”
“ซูซู...”
“ข้ากลัวแล้ว ได้โปรด...ปล่อยข้า ฮือ...”

จากตอนแรกที่ร้องสุดเสียงก็กลายเป็นสั่นสะอื้นจนตัวโยน เจี้ยนสือจำต้องคลายอ้อมแขนออกมาด้วยไม่ใคร่ให้นางหวาดกลัวไปมากกว่านี้ เมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของนาง เขาก็เจ็บแปลบในใจขึ้นมา

ไม่เพียงแต่นางจำเขาไม่ได้ นางยังหวาดกลัวเขาจนตัวสั่นเทิ้มอีกด้วย
 “ข้ากลัวแล้ว...ฮือ...”
“ซูซู...”
“ได้โปรด...อย่าสัมผัสข้าอีกเลย...ฮึก...”

ยิ่งเรียกนาง นางก็ยิ่งสะอื้นไห้ เจี้ยนสือหายใจติดขัด

หรือเป็นเพราะเมื่อชาติก่อน เขาพลั้งมือสังหาร หลิวซูจึงปฏิเสธเขาในชาตินี้ด้วยการแสร้งว่าจำไม่ได้?

เจี้ยนสือไม่อาจยอมรับได้เลย หากแต่เมื่อเอื้อมมือไปตรงหน้า นางก็หวีดร้องอีกครา ตอนนั้นเองที่ฝ่ามือใหญ่จำต้องลดลงต่ำ ความผิดหวังถาโถม ความเจ็บปวดท้นทวี เจี้ยนสือไม่อาจพรรณนาความร้าวรานในใจออกมาได้แม้แต่น้อย ได้แต่ยืนยิ่งเช่นนั้นกระทั่งเทียนอี้ซึ่งมองดูเหตุการณ์อยู่นานต้องเอ่ยขึ้น

“ในเมื่อนางไม่ใคร่สนทนากับเจ้า เจ้าก็กลับไปก่อนเถิด”

ครั้นหันไปก็เห็นเจ้าของจวนยืนอยู่กับซิ่นเฉิง ในยามนี้เจี้ยนสือไม่มีอารมณ์จะมาทักทายเจ้าแมวหรอก ได้แต่หันหลังและหมายจะกลับไปยังที่ของตน หากแต่เมื่อเดินผ่านเทียนอี้แล้วก็ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
“เจ้าอย่าหวังจะได้ครอบครองซูซูของข้า มันไม่มีวันเกิดขึ้น”

พูดจบก็จ้ำพรวดออกไปยังหน้าจวน ไม่ใคร่หันกลับมามองอีก

เสียงฝีเท้าม้าควบออกไป เทียนอี้ระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาไม่อยากจะรื้อฟื้นความหลังสักเท่าไร อีกทั้งไม่อยากจะวิวาทกับสหายด้วยเรื่องเดิมๆ อีกด้วย

แต่...ซูซูของเจี้ยนสือเช่นนั้นหรือ? เจ้านั่นกล้าดีอย่างไรถึงพูดเช่นนี้

เทพอสูรสุนัขป่าเผลอขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่รู้ตัว ก่อนเหลือบไปเห็นซิ่นเฉิงที่มองตามเจี้ยนสือไป พลันก็รีบคว้าข้อมือไว้อย่างรวดเร็ว เมื่อซิ่นเฉิงหันไปมองหน้า เขาจึงพูดขึ้น
“อย่าคิดไปข้องเกี่ยวกับเจี้ยนสือเชียว”
“อะไรของเจ้า”
“ให้สัญญากับข้าว่าเจ้าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นั้น”

ไม่ตอบคำถามไม่ว่า ยังมาออกคำสั่ง ซิ่นเฉิงมุ่ยหน้า แต่ดูแล้ว หากไม่รับปาก ข้อมือของเขาคงถูกบีบจนกระดูกแตกละเอียดแน่
“เออๆ ข้ารู้แล้ว ปล่อยเสียที”

ไม่อยากจะปล่อยสักเท่าไร แต่ด้วยเห็นว่าความวุ่นวายในจวนยังหาได้สิ้นสุดด้วยสตรีนางนั้นเสียขวัญเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงต้องจัดการให้เรียบร้อย เตรียมการส่งนางกลับไปยังแคว้นที่จากมา

สุดท้ายก็ยอมปล่อยแต่โดยดี พลันออกคำสั่งอีกครา
“ไปรอข้าที่ห้อง เสร็จธุระแล้ว ข้าจะไปหา”

ซิ่นเฉิงที่จับข้อมือตนถูไปมาเหลือบมอง
“มาสั่งข้าให้ไปที่ห้องของเจ้า คิดการใดอยู่”
เทียนอี้ไปตอบ ทำเพียงย้ำคำ “ไปรอข้า ประเดี๋ยวข้าจะตามไป”

จบประโยคก็เดินไปหาแขกของจวน พร้อมกับออกคำสั่งให้พ่อบ้านเหลียงจัดการตระเตรียมขบวนเกี้ยวส่งหญิงสาวกลับ พลางปลอบใจนางที่เสียขวัญเป็นอย่างยิ่ง ทิ้งให้ซิ่นเฉิงมองตามอย่างหงุดหงิด

“สั่งได้สั่งดีนะเจ้าหมา”

แต่กระนั้นก็ยอมทำตามคำสั่ง กลับไปรอที่ห้องนอนของเทียนอี้แต่โดยดี





 
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[10/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 11-09-2017 21:39:32
บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[2]

การส่งตัวหลิวซูในร่างสตรีชาตินี้กลับสู่แคว้นหาใช่เรื่องที่กระทำได้โดยเร็ว จำต้องตระเตรียมเสบียงและความพร้อมอื่นๆ ด้วยการเดินทางข้ามทะเลทรายนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาหลายวัน การจัดการธุระของเทียนอี้จึงไม่เสร็จสิ้นเสียที ทำเอาซิ่นเฉิงที่รออยู่ในห้องนอนจนเบื่อชักกระสับกระส่าย อีกทั้งยังรำคาญใจที่อีกฝ่ายปล่อยให้ตนรออย่างไร้จุดหมายเช่นนี้

สายตาทอดมองไปยังนอกหน้าต่าง เห็นว่าฟ้ามืดแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดใจ

จะให้ข้ารอไปอีกเมื่อไรกันเจ้าหมา...

รอต่อไปอีกหนึ่งเค่อ[2] ความอดทนก็สิ้นสุดลง ซิ่นเฉิงออกจากห้องนอนของแม่ทัพใหญ่ เห็นด้านหน้าจวนยังคงวุ่นวายกับการเตรียมขบวนเกี้ยว เขาก็ใช้โอกาสนี้ลอบออกจากจวน หากแต่ใช่เพื่อการเล่นสนุกหรือหนีกลับสู่ทะเลทรายแต่อย่างใด ทว่าจุดหมายกลับเป็นจวนของแม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือ

ไม่นานนักก็มาถึงยังที่หมาย ซิ่นเฉิงลอบปีนเข้ากำแพงจวนมาหย่อนตัวลงในสวน จวนของเจี้ยนสือลักลอบเข้ามาได้ง่ายดายนักด้วยเจ้าของจวนไม่ชอบให้ทหารยามรักษาการณ์หนาแน่น เหตุเพราะเขารักสันโดษและอึดอัดทุกครั้งที่เห็นผู้คนมากมาย นับว่าอุปนิสัยนี้เป็นผลดีต่อซิ่นเฉิง ครั้นเท้าเหยียบยังพื้นหญ้า ก็มองซ้ายขวาหมายจะตามหาเจี้ยนสือ ทว่าสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างใหญ่อันคุ้นตานั่งอยู่บนโขดหินในสวนบุปผชาติ

ร่างนั้นเป็นของเจี้ยนสือในร่างเทพอสูร...

เทพอสูรงูจงอางรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของซิ่นเฉิงได้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วจากการสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้น ที่เขานั่งนิ่งอยู่นั้นก็เพราะรอคอย เมื่ออีกฝ่ายก้าวเท้าเข้ามาหา เขาถึงได้หันไป

“หนีออกจากกรงอีกแล้วนะเจ้าเหมียว ไม่กลัวเจ้านายของเจ้าจะทำโทษหรือไร”
“เจ้าหมานั่นหาใช่ผู้กุมชะตาชีวิตข้า” คนมาใหม่ว่า ก่อนจะก้าวขึ้นไปยังโขดหินอีกก้อนข้างๆ กันแล้วนั่งลงยองๆ

ความเงียบลอยเข้ามาปกคลุม ซิ่นเฉิงไม่พูดอะไรหลังจากนั้น หาใช่เพราะไม่อยากพูด แต่เป็นเพราะไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ทำให้เจี้ยนสือแค่นหัวเราะในลำคอแล้วเป็นฝ่ายทำลายความเงียบแทน

“มาหาข้าเช่นนี้ เจ้าต้องการสิ่งใด”
“เจ้า... เป็นอย่างไรบ้าง”
ได้ยินคำถามนั้น เจี้ยนสือถึงกับต้องเบือนหน้ามามอง
“ที่เจ้าลักลอบมาหาข้า เพียงเพราะจะถามแค่นี้น่ะหรือ?”

ซิ่นเฉิงไม่ตอบ ยกมือขึ้นชันเข่าเพื่อเท้าศีรษะ ตะแคงมองอีกฝ่าย ท่าทางประหนึ่งเด็กอยากรู้อยากเห็นเรื่องไม่เป็นเรื่องไม่มีผิด ทำเอาเจี้ยนสือต้องตอบออกมา

“ข้าไม่ถือโทษโกรธนาง กาลเวลาผันผ่านเนิ่นนาน น้ำแกงยายเมิ่งลบเลือนความทรงจำ ไม่แปลกหากนางจะจำข้าไม่ได้”
คนฟังพยักหน้าราวกับตอบรับ ก่อนที่เจี้ยนสือจะเอ่ยอีกครา
“แต่ดูจากท่าทางของนางแล้ว นางคงจะไม่เพียงจำข้าไม่ได้อย่างเดียว ยังชิงชังความอัปลักษณ์ของข้าด้วย”

พูดถึงตอนนี้ ดวงตาก็ประกายความเจ็บปวดออกมา ซิ่นเฉิงรู้ว่าเจี้ยนสือมีใจปฏิพัทธ์ต่อหลิวซูเฉกเช่นเดียวกับเทียนอี้ จึงไม่แปลกหากเขาจะเผยความรู้สึกนี้ออกมา

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าก็ไม่ได้อัปลักษณ์ถึงเพียงนั้น”
“แต่ก็น่ารังเกียจใช่หรือไม่?”
แม่ทัพใหญ่รู้ว่าซิ่นเฉิงพยายามปลอบใจ แต่ความจริงก็คือความจริง เมื่อเจี้ยนสือเอ่ยไปอย่างนั้น ซิ่นเฉิงก็ย่นคิ้ว มองอีกฝ่ายด้วยหงุดหงิดใจ

“เจ้าช่างเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยผิดกับรูปลักษณ์นัก รูปลักษณ์ของเจ้าองอาจน่าเกรงขาม ไยจิตใจถึงได้บอบบางอ่อนไหวเสียจริง”
หูได้ยินเสียงดังฟ่อเบาๆ คล้ายกับเป็นเสียงหัวเราะที่หลุดออกจากปากของเจ้างูตรงหน้า
“หากข้าไม่น่ารังเกียจ แล้วไยแม่นางหลิวซูผู้นั้นถึงได้วิ่งหนีข้า อีกทั้งยังกรีดร้องราวกับเห็นผีเช่นนั้นเล่า ถึงข้าจะรู้ว่าเป็นเพราะนางดื่มน้ำแกงยายเมิ่งจึงจำข้าไม่ได้ แต่เมื่อชาติที่แล้ว นางหาได้แสดงท่าทางชิงชังข้าเช่นนี้”

ว่าพลางคิดถึงความหลัง เมื่อชาติก่อนนั้น ต่อให้เกิดใหม่มาเป็นมนุษย์ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของเขา ยอดดวงใจก็หาได้แสดงท่าทางรังเกียจ อีกทั้งยังมีไมตรีอย่างที่คาดไม่ถึงอีก หากแต่ชาตินี้กลับตรงกันข้าม คิดแล้วก็น่าน้อยใจนัก เขาเฝ้ารออีกฝ่ายมานานกว่าจะได้พบพาน ไยถึงได้รับการตอบแทนเช่นนี้

“เจ้าจะเอาความใดกับสตรีกันสตรีก็คือสตรี ยิ่งเป็นคุณหนูคนสำคัญของตระกูลหลิวเช่นนั้นก็ย่อมได้รับการทนุถนอม จะกลัวงูอย่างเจ้าก็หาใช่เรื่องแปลก” ซิ่นเฉิงว่าหน้ามุ่ย

คำพูดของซิ่นเฉิงมีเหตุผล ชาติก่อนนั้น อีกฝ่ายเป็นบุรุษ ทว่าชาตินี้เป็นสตรี นี่กระมังที่ทำให้นางหวาดกลัวเขานัก

“แล้วเจ้าล่ะ เหตุใดจึงไม่กลัวข้า” เมื่อพอจะสบายใจขึ้นมาบ้าง เจี้ยนสือก็ถามย้อนกลับ
“พ่อบ้านเหลียงน่ากลัวกว่าเจ้าอีก ตั้งแต่เกิดมา ข้าหาได้เคยเห็นจระเข้มาก่อน นอกจากภาพจารึกบนหนังสัตว์ที่พ่อค้าแดนไกลนำติดตัวมา แต่งูเช่นเจ้า ข้าเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน จับด้วยมือก็นับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน บางครั้งก็กินหากเป็นงูไม่มีพิษ จึงไม่จำเป็นต้องกลัวเจ้า”

นั่นก็เรื่องจริงอีกเช่นกัน ซิ่นเฉิงเกิดและเติบโตในทะเลทราย จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเจออสรพิษร้ายซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลทรายได้ ส่วนกินนั้น...บางครั้งก็จำเป็น เพราะในทะเลทรายไม่ได้มีอาหารให้ได้เลือกมากมายนัก แม้คราแรกที่เห็นเจี้ยนสือแล้วจะขนลุกชันบ้างก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชิงชังหรือรังเกียจอย่างใด

“ข้าต้องกลัวเจ้าไหม” เจี้ยนสือสัพยอกเมื่อได้ยินคำว่า ‘กิน’ ทำเอาอีกฝ่ายเหลียวมองหน้าพลางกลั้วหัวเราะ
“เจ้าเป็นงูมีพิษ ข้าไม่กินหรอก”
“รู้ได้เช่นไรว่าข้ามีพิษหรือไม่ ไม่แน่ว่างูจงอางเช่นข้าอาจจะไร้พิษสงก็เป็นได้ จะลองลิ้มรสดูหน่อยไหมเล่า”

พอถูกหยอกเย้าเช่นนี้ ซิ่นเฉิงก็มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนที่เจี้ยนสือจะว่าออกมาอีกครั้ง
“หรือเจ้า...จะไม่กล้าสัมผัสข้า?”
“ข้าสัมผัสเจ้าด้วยมือไปแล้ว เจ้าก็เห็นในราตรีนั้น”
“หากเป็นสิ่งอื่นนอกจากมือล่ะ”

ซิ่นเฉิงนิ่งเงียบ ไม่ใช่ว่าเพราะไม่เข้าใจความหมาย แต่เป็นเพราะเข้าใจดีต่างหากว่าเจี้ยนสือหมายความเช่นไร และไม่ใช่ว่าเขารังเกียจอีกฝ่ายหรอกนะถึงได้ไม่ขยับเขยื้อนเช่นนี้ ทว่าใบหน้าของเทียนอี้ผุดพรายขึ้นมาในภวังค์เมื่อครู่นี้ต่างหากที่ทำให้เขาไม่อาจตอบรับได้

“รังเกียจข้าหรือไม่?”
แต่แล้วก็ต้องมีปฏิกิริยาเมื่อเจี้ยนสือถามและค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้

ใบหน้าของเจี้ยนสือ...ยังคงเป็นงูจงอางในร่างของเทพอสูร แม้จะสร้างความหวาดหวั่นในใจ แต่กระนั้นซิ่นเฉิงก็หาได้หลบหนี เขาสงสารอีกฝ่ายเกินกว่าจะบ่ายเบี่ยงได้ จึงได้แต่นั่งนิ่งกระทั่งเจี้ยนสือเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม

“ว่าอย่างไร รังเกียจข้าหรือไม่?”
“ไม่...”
เพียงคำเดียวที่หลุดออกมา เรียวปากของเขาก็ห่างจากริมฝีปากของเจี้ยนสือเพียงปลายนิ้วสัมผัส
“หากข้าจะจุมพิตเจ้า เจ้าก็คงไม่รังเกียจสินะ”

ไร้สรรพเสียงตอบรับ ซิ่นเฉิงกลั้นหายใจไปชั่วขณะ ก่อนที่ก้อนเมฆจะเคลื่อนคล้อย เปิดฟ้าให้แสงจันทร์สาดส่องลงมา ใบหน้าของเจี้ยนสือก็แปรเปลี่ยนเป็นอดีตเทพที่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ พลันน้ำเสียงแหบห้าวก็ดังเข้ามาในหู

“แต่ข้ามีพิษ เจ้าก็รู้ใช่ไหม”
ซิ่นเฉิงก็ยังไม่ตอบอยู่ดี สายตาจับจ้องยังดวงตาสีเหลืองอำพันนิ่ง ขณะที่เจี้ยนสือหยักยิ้มร้าย
“หากเจ้าไม่ตอบ ข้าจะไม่เกรงใจนะ”

พลันขยับใบหน้าเข้ามาเรื่อยๆ จนริมฝีปากเกือบจะสัมผัสกันอยู่แล้ว ทว่าเจี้ยนสือก็ตัดสินใจผละออกในห้วงสุดท้าย พลันว่าเสียงระรื่น

“แต่ข้าไม่ได้พิศวาสเจ้า จะจุมพิตเจ้าไปเพื่อการใด”

ซิ่นเฉิงถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก กระนั้นก็หงุดหงิดขึ้นมาที่อีกฝ่ายทำให้สับสนไปชั่วครู่
“เจ้าคงอยากถูกข้าถลกหนังมาตากแห้งกระมัง”

เสียงกลั้วหัวเราะของเจี้ยนสือดังตามมา ทำให้ซิ่นเฉิงหยุดหัวเสียไปชั่วครู่

นั่น...คงสบายใจขึ้นแล้วกระมัง?

“หากเจ้าประสงค์ ข้าก็จะยินดี ตอบแทนที่เจ้าอุตส่าห์เวทนาข้า”
“หาได้เวทนาอะไรนัก เพียงแต่ไม่ใคร่เห็นคนไร้สหายคบค้าเช่นเจ้าสลดเท่าไร”

คำพูดเล่นหัวนั้นทำให้เจี้ยนสืออารมณ์ดีทันตาเห็น พลันยื่นมือไปจับปลายคางของอีกฝ่ายมั่น
“ปากคอเจ้าช่างเราะร้ายนัก” จากนั้นก็เลื่อนปลายนิ้วหัวแม่มือไปแตะยังริมฝีปาก “หากเจ้าเป็นซูซูของข้า ข้าจะลงโทษเสียให้สมกับความโอหังของเจ้าเลยทีเดียว”

ซูซูอีกแล้ว...

ซิ่นเฉิงสะบัดหน้าหนี ครั้นหลุดจากการเกาะกุมก็เอ่ยปากถามในสิ่งที่อยากรู้

“ข้าได้ยินพวกเจ้าเอ่ยชื่อนี้มารับครั้งไม่ถ้วน ข้าจึงใคร่จะถาม...ซูซูของเจ้า ใช่ซูซูคนเดียวกับเทียนอี้หรือไม่?”
จากที่ยิ้มระรื่นก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเรียบเฉย เจี้ยนสือไม่อยากตอบ แต่เมื่อเห็นซิ่นเฉิงมองด้วยสายตาคาดคั้นก็จำต้องพยักหน้า

“คนเดียวกัน... แต่ซูซูเป็นของข้า”
ประโยคแรกคือการตอบ ประโยคต่อมาคือการย้ำ

ซิ่นเฉิงไม่เข้าใจหรอกว่าทั้งสามมีความสัมพันธ์กันเช่นไร และไม่ใคร่จะถามในตอนนี้ด้วยเพราะสีหน้าของเจี้ยนสือที่ราบเรียบเมื่อครู่ดูขุ่นแค้นขึ้นมา การสงบปากสงบคำไว้จะเป็นการดีกว่า ท่าทางแล้วอีกฝ่ายกับเทียนอี้คงมีเรื่องบาดหมางให้ไม่ลงรอยกันเท่าไร แม้ว่าถึงตอนนี้จะยังเรียกกันและกันว่าสหายก็ตาม

แต่บรรยากาศนั้นช่างน่าอึดอัด... ซิ่นเฉิงจึงพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ตัดบทเอาเสียดื้อๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นราตรีนี้ข้าไม่กวนเจ้าแล้วก็แล้วกัน รีบกลับก่อนที่เจ้าหมานั่นจะจับได้ว่าข้าลอบหนีออกจากจวนดีกว่า ไว้เจอกัน”

ว่าจบก็ตบบ่าแกร่งของเทพอสูรในร่างเดิมสองสามครั้ง เจี้ยนสือเผยอยิ้มขึ้นมาได้อีกครา เอื้อมือไปกุมมือหยาบกร้านที่แตะอยู่บนบ่าของตนมั่น ครั้นซิ่นเฉิงหันมอง อีกฝ่ายก็เอ่ยปาก

“ขอบน้ำใจเจ้ามากที่เป็นห่วงข้า”
“เพราะเจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า หากไม่ได้เจ้า ข้าก็คงไม่ได้เหยียบย่างทะเลทราย”

สิ้นเสียงก็ดึงมือออกจากฝ่ามือใหญ่ เดินกลับไปยังทางเดิมและปีนป่ายหายออกไปนอกกำแพงจวน ทิ้งให้เจี้ยนสือมองตามเงียบๆ

ผู้มีพระคุณอย่างนั้นหรือ? ซูซูก็เคยพูดไว้เช่นนั้น...

ครู่หนึ่งก็มีภาพใบหน้าของหลิวซูทับซ้อนซิ่นเฉิงขึ้นมา ช่างน่าประหลาดนัก แต่ก็ไม่อาจให้คำตอบตนเองได้ว่าเหตุใดถึงคิดเช่นนั้น ทว่าการได้สัมผัสมือของซิ่นเฉิงเมื่อครู่ มันทำให้เขาอบอุ่นในใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

คิดได้ครู่เดียวก็ต้องชะงักไว้เมื่อเสียงของใครบางคนดังขึ้น
“เจ้านี่ช่างวุ่นวายนัก เจ้ามนุษย์นั่นเป็นของเทียนอี้ ประเดี๋ยวก็ได้วิวาทกันอีก”

หันไปมองก็เห็นว่าเป็นหมิงจูในร่างอดีตเทพยืนกอดอกมองอยู่

“เจ้ามีเรื่องใดกับข้า หมิงจู” เจี้ยนสือไม่ตอบคำถามนั้น แต่ถามออกไปแทน
“เทียนอี้ส่งข้ามาดูว่าเจ้าคิดจะทำการใดกับเจ้าแมวป่านั่น”
“เพราะไม่อยากมาเหยียบย่างจวนของข้า จึงส่งเจ้ามาเช่นนั้นสิ?”
“เป็นเช่นนั้น” หมิงจูไม่ปฏิเสธ ครั้นเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันผุดพรายบนใบหน้าคร้ามของสหาย ก็ถอนหายใจออกมาด้วยระอา “พวกเจ้านี่นะ เมื่อไรถึงจะเลิกคะนึงหาเจ้านั่นกัน ข้าเหนื่อยที่จะเห็นพวกเจ้าต้องแตกหักกันเพราะเทพชั้นผู้น้อยนั่นแล้ว”

“เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่นำความมาบอกข้า ข้าถึงได้หุนหันไปที่จวนของเทียนอี้อย่างนั้น” เจี้ยนสือเหลือมอง ว่าเสียงเรียบ
เป็นความผิดของหมิงจูเอง เขาไม่ปฏิเสธ และก็ยิ่งหน่ายใจหนักมากขึ้นเมื่อเจี้ยนสือว่าออกมา
“และข้าก็จะไม่หยุดตราบใดที่ซูซูยังไม่กลับคืนสู่อ้อมอกข้า ซูซูเป็นของข้า ไม่ใช่ของเทียนอี้”

หมิงจูยักไหล่ เขาไม่พูดเรื่องนี้ต่อไปก็แล้วกัน เพราะไม่ว่าจะพูดกี่ครา คำตอบของสหายทั้งสองก็ไม่เปลี่ยน ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าหลิวซูผู้นั้นเป็นของตน และต่อให้ผ่านไปเนิ่นนานกว่านี้ ทั้งสองก็ยังคงวิวาทกันด้วยเรื่องนี้อยู่ดี ต่อให้หลิวซูกลับมาเกิดหรือไม่ มันก็จะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป

“เรื่องนั้นข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีก แต่เจ้าก็ระวังไว้บ้างแล้วกัน เจ้าอาจจะกล่าว่าหลิวซูเป็นของเจ้า แต่เจ้าแมวนั่นเป็นของเทียนอี้ อย่าเผลอถลำลึกไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นจะหาว่าข้าไม่เตือน”
“เจ้าพูดถึงสิ่งใด”
“อย่าแสร้งเฉไฉ ไยข้าจะไม่เห็นว่าเจ้าคิดจะทำอะไรกับมนุษย์ผู้นั้น”

ปิดบังต่อไปไม่ได้แล้วกระมัง ที่เขาชะงักงัน ไม่ได้จุมพิตซิ่นเฉิงก็เป็นเพราะรับรู้ได้ถึงการมาของหมิงจูนั่นเอง ถึงได้ไม่กระทำเกินกว่านี้ หากหมิงจูไม่มาล่ะก็ คงได้ลิ้มรสริมฝีปากมนุษย์ผู้นั้นเป็นแน่

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” เมื่อถูกจับได้ ก็อ้างไปเช่นนั้น

หมิงจูเห็นแล้วก็แค่นหัวเราะในลำคอ “ไม่ใช่เรื่องของข้า แต่ข้าก็ต้องพูดและย้ำอีกคราว่ามนุษย์นั่นเป็นของเทียนอี้ เจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือว่าเครื่องประดับผมของเจ้านั่นมีสิ่งใดอยู่”

เห็นสิ...เขี้ยวสุนัขป่านั่นน่ะ

“อย่าได้ถลำไปมากกว่านี้”
“เจ้าไปบอกสหายสนิทของเจ้าเถิด เจ้านั่นต่างหากที่ถลำลึก”
 “เพราะเทียนอี้ถลำไปแล้ว ข้าเตือนไม่ทัน จึงมาเตือนเจ้าแทน” หมิงจูถอนหายใจ “ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เกินเลยไปกว่านี้ ข้าไม่ต้องการให้เรื่องอัปมงคลนั่นเกิดขึ้นอีก เข้าใจหรือไม่?”

เรื่องอัปมงคลอย่างนั้นหรือ?

เจี้ยนสือไม่พอใจกับคำพูดนี้ แต่เทพอสูรจิ้งจอกจะไปสนใจสิ่งใด เทียนอี้และเจี้ยนสือเป็นสหายร่วมรบมาตั้งแต่กาลก่อน เขาจึงไม่ต้องการให้ทั้งคู่มาแตกหักกันเพราะผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นหลิวซู หรือแม้แต่ซิ่นเฉิง เขาจึงจำต้องพูดออกไปตามตรง ไม่ใช่แค่กับเจี้ยนสือหรอกที่เขาพูดอย่างนี้ กับเทียนอี้เองก็พูดแล้วเช่นกัน แต่ทว่าเทียนอี้ดูเหมือนจะเตือนช้าไปสักนิดจึงไม่ทันการ จะมีก็แต่เจี้ยนสือนี่แหละที่ยังยับยั้งได้ทัน

“อย่ายุ่งกับเจ้านั่นหากไม่อยากให้พินาศกันไปมากกว่านี้ แค่หลิวซูคนเดียว พวกเจ้าก็ทำข้าปวดหัวมากพอแล้ว อย่าให้ได้มีอีก เจ้ายังอยากกลับสวรรค์อยู่ไม่ใช่หรือ?”

ไร้สรรพเสียงตอบรับจากเทพอสูรงูจงอาง หมิงจูจึงพูดขึ้นอีก
“หากความปรารถนาของเจ้ายังเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ต้องระวัง การข้องเกี่ยวกับมนุษย์ไม่เป็นการดีไม่ว่ากับผู้ใด หากเจ้าอยากข้องเกี่ยวก็ขอให้เป็นไปเพื่อการให้กำเนิดทายาทเท่านั้น”

สิ้นเสียง หมิงจูก็ไร้ธุระจะพูดคุยอีก หน้าที่ของเขาที่เทียนอี้ไหว้วานมาก็สิ้นสุดแล้ว เขาจึงหมุนตัวหมายจะกลับออกไปทางเดิมที่เดินเข้ามา ก่อนจะเปรยขึ้นทิ้งท้ายเป็นคำบอกลา

“ข้าไม่ได้อยากจะล่วงเกินเรื่องของพวกเจ้าหรอก แต่อดีตต้องไม่ซ้ำรอย... ข้าจะไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนั้น”
พูดจบก็หายออกไปนอกจวน เจี้ยนสือมองตามหลังพลางขบคิด

อดีตต้องไม่ซ้ำรอย...

ใช่ จะไม่ซ้ำรอยอย่างแน่นอน เพราะเมื่อหลิวซูกลับมา จะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้ครอบครอง...




[1] เจ้าแม่ซีหวังหมู่ เป็นฮองเฮาสวรรค์ซึ่งประทับอยู่ ณ วังทิศประจิม (ตะวันตก) บนเทือกเขาคุนหลุน ทำหน้าที่ปกครองคณะเทพฝ่ายหญิงทั้งหมด และทรงมีบทบาทในการส่งเทพไปยังโลกมนุษย์เพื่อชี้แนะมนุษย์ให้สั่งสมบุญบารมีให้มากพอที่จะได้เป็นเซียนต่อไป พระนางประสูติในวันที่ 1 เดือน 3 ดังนั้นในวันนี้ของทุกปีจะมีการจัดงานเลี้ยงอย่างใหญ่โต มีการมอบท้อวิเศษให้กับเหล่าทวยเทพในวันนั้น และพระนางเป็นผู้ครอบครองยาทิพย์ที่ทำให้เป็นอมตะไว้มาที่สุดในสามโลก

[2] 1 เค่อ ประมาณ 15 นาที

--------------------------------------

เต็มตอนมาแล้วค่า
ชุ้นรู้นะว่าพวกเธอหวังอะไรอยู่ ว้ายยย นก #โดนตบ
งงเลย เอ๊ะ นี่พี่งูหรือพี่นก 555

ใครที่รอความกิ๊บก๊าว เจอกันตอนหน้าค่า XD
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-09-2017 23:01:00
ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ก็ดี แตะนิดแตะหน่อยเรือก็แล่นแล้ว พี่งูทำไมดีแบบนี้ อยากถูกพิษงูค่าาา  :mew1: :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-09-2017 00:12:57
 :เฮ้อ:


ดื้อจริงๆ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 12-09-2017 00:18:21
อ๊าา ถึงจะชอบน้องหมาแต่น้องงูพี่ก็ชอบเหมือนกัน เลือกใครดีน้า~ :hao6:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ice.sp0211 ที่ 12-09-2017 00:20:41
 :m20: ขอพิษให้เราเถิด 555
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 12-09-2017 00:28:40
กิ๊บกิ้วกับตัวไหนอ่ะคะ เดาทางไม่ออก  :laugh:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-09-2017 00:35:10
โอ้โห ท่านช่างเสน่ห์แรงเหลือเกินนะหลิวซู
ทำไมสองเทพนี่เข้าใจกันไปคนละทาง เข้าใจแบบเข้าข้างตัวเองเช่นนี้ไปได้
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 12-09-2017 06:26:36
ทะเลาะกันแตกหักกันเพราะหลินซู สรุปซูซูของใครกันแน่ ของทั้งคู่ หรือไม่ใช่ของใครเลย
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 12-09-2017 07:33:00
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 12-09-2017 09:42:51
รู้สึกเหมือนจะมีเงื่อนงำ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-09-2017 12:16:32
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 12-09-2017 15:08:56
ซูซูเป็นของใครไม่รู้นะ แต่ชอบพี่งูมากๆเลย

ชอบนิสัยแบบนี้ น่าร้ากกกก แม้จะรู้ว่าเป็นพระรอง
แต่เราดันลงเรือลำนี้ตั้งแต่พวกเขาไปทะเลทรายด้วยกันแล้ว ฮือออออ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 12-09-2017 17:55:08
เรื่องนี้ 3p เหรอ นายเอกแลดูสองใจ ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยคงต้องขอลา  :katai3:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kawaiichibi ที่ 12-09-2017 19:41:59
รักคนเขียนเว่ออออออออ ได้อ่านทุกวันโลยจุ๊บแหม่งสามที :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 12-09-2017 20:24:35
เรื่องนี้ 3p เหรอ นายเอกแลดูสองใจ ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยคงต้องขอลา  :katai3:

พระเอกคนเดียวค่า ไม่ 3P นะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mengjie_JJ ที่ 13-09-2017 00:52:23
พี่งูพระรองแน่นอน เพราะเฉิงเฉิงใจเต้นกับเจ้าหมา

แต่ก็อยากเชียร์พี่งู พี่งูร่างเทพเท่มากแน่ๆ งื้อ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 13-09-2017 01:36:16
 
บทที่ 14: หวงแหน[1]

ใจของเทียนอี้ไม่เป็นสุขเลยแม้แต่น้อย...

ที่เขาสั่งให้ซิ่นเฉิงไปรออยู่ที่ห้องนอนของตน ก็เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไปกับเจี้ยนสือให้เขาได้วูบไหวในใจอีก ทว่าการทำเช่นนั้นก็หาได้ช่วยอะไรเมื่อเขาแวะกลับมาที่ห้อง แล้วพบว่าร่างของชายหนุ่มที่ควรจะอยู่ในห้องของเขาอันตรธานหายไป ก็พอจะเดาได้อยู่หรอกว่าซิ่นเฉิงลอบหนีไปที่ไหนหากไม่ใช่จวนของเจี้ยนสือ แต่จะให้ไปตามตัวกลับมาในตอนนี้ก็ทำได้ยากยิ่งด้วยเขาต้องดูแลความเรียบร้อยในการส่งตัวธิดาสกุลหลิวกลับสู่แคว้น อีกอย่าง...หากให้บุกไปตามตัวซิ่นเฉิงกลับมา ถ้าได้เห็นอีกฝ่ายอยู่กับเจี้ยนสือดั่งการคาดการณ์ เขาคงระงับโทสะตนไม่อยู่แน่ ซึ่งนั่นไม่ส่งผลดีทั้งสิ้น

ประการแรก... เขาคงได้วิวาทกับเจี้ยนสือ
ประการที่สอง... ซิ่นเฉิงคงชิงชังเขาหากไปฉุดกระชากให้กลับจวน
และประการที่สาม... เขาไม่ต้องการให้มนุษย์หนุ่มผู้นั้นตราหน้าเขาว่ากักขังอีกฝ่ายไว้เยี่ยงสัตว์เลี้ยง เพราะเขาหาได้มองว่าซิ่นเฉิงเป็นสัตว์เลี้ยงหรือแม้แต่ทาส เพียงแต่อยากเก็บไว้ใกล้ตัวก็เท่านั้น

ดังนั้นจึงได้ไหว้วานให้หมิงจูซึ่งตามมายังจวนของเขาหลังจากที่รู้ว่าเจี้ยนสือมาก่อเรื่องไว้ ให้ไปตามตัวซิ่นเฉิงกลับแทน
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เทียนอี้ก็กระสับกระส่ายราวกับเวลาผันผ่านเป็นแรมปี สายตาทอดมองไปยังทุกขอบกำแพงรั้วของจวน เฝ้ารอการกลับมาของเจ้าแมวป่าที่หนีออกไปเที่ยวเล่นอย่างใจจดจ่อโดยหาสาเหตุไม่ได้เลยว่าเหตุใดถึงได้ร้อนอกร้อนใจเช่นนี้ ครั้นเห็นเงาดำของบุรุษกระโดดผ่านเข้ามายังสวนด้านใน เทียนอี้ก็หายใจโล่งอกขึ้นมาบ้าง ทว่าก็หาได้สบายใจนักด้วยตระหนักดีว่าเนื้อตัวของซิ่นเฉิงจะต้องมีกลิ่นของเจี้ยนสือติดมา

มันเป็นกลิ่นที่เขารังเกียจยิ่งนัก...

กระนั้นก็หาได้ทำสิ่งใดโฉ่งฉ่าง หมุนตัวกลับเข้าไปรอยังห้องหนังสือ แสร้งทำทีเหมือนยังไม่เสร็จธุระสำคัญ นิ่งฟังเสียงของซิ่นเฉิงที่ปีนหน้าต่างกลับเข้ามายังห้องนอนเป็นที่เสร็จสิ้น ถึงลุกออกจากเก้าอี้ ตรงไปยังห้องนอนด้วยท่าทีสงบนิ่ง

ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ก็เห็นซิ่นเฉิงนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง ก่อนเสียงของเจ้าตัวจะดังขึ้น
“เสร็จสิ้นแล้วหรือเจ้าหมา ข้ารอจนเกือบจะหลับอยู่แล้ว”

สีหน้าของซิ่นเฉิงดูปกติเป็นอย่างยิ่ง ช่างแสร้งทำทีเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้หน้าตายนัก หารู้ไม่ว่าต่อให้เทียนอี้ไม่เข้ามาเห็นว่าซิ่นเฉิงลอบหนีออกไป แต่กลิ่นสาบงูที่ติดตัวมาก็ทำให้เขารู้อยู่ดี

ทว่าเทียนอี้ก็หาได้พูดสิ่งใด นอกจากปิดประตูลงดาลและเดินมาหยุดยังขอบเตียง ซิ่นเฉิงเหลือบมองหน้า ถามเสียงขุ่นเมื่อเห็นว่าเทพอสูรตรงหน้าจ้องมองตนนิ่ง

“มีอะไร ไยมายืนจ้องหน้าข้าเช่นนี้”
“เฉิงเฉิง” แทนที่จะตอบ กลับเรียกชื่อออกมา

ทันทีที่มนุษย์หนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม พลันก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อจู่ๆ เทียนอี้ก็ทิ้งตัวลงมาคร่อมร่างตนเอาไว้
“เป็นบ้าอันใดของเจ้า!”

เสียงโวยวายดังตามมาทันที ทว่าก็หาได้ทำให้เทียนอี้หยุดได้เลยแม้แต่น้อย สองแขนตระกองกอดร่างแกร่งมั่นราวกับเกรงว่าอีกฝ่ายจะมลายหายไป ปลายจมูกซุกไซ้ไปที่ซอกคอ สูดกลิ่นกายของคนตรงหน้า พลันก็ต้องขัดใจเมื่อกลิ่นสาบงูลอยคละคลุ้งเจือปนมาให้ได้สัมผัส

อยากจะจับชำระล้างร่างกายเสียให้กลิ่นสาบนั้นหมดสิ้น...

เป็นความคิดที่ผุดพรายขึ้นมาในหัวของเทียนอี้ แต่เขาก็ไม่ทำเช่นนั้นด้วยตระหนักได้ว่าในราตรีก่อนที่เขาล้างเนื้อตัวของซิ่นเฉิง ผิวกายที่ถูกขัดถูแดงเถือกเพราะเขาหมายจะขจัดกลิ่นสาบนั้นออกเพียงใด เขาไม่ต้องการให้ซิ่นเฉิงเจ็บปวดแม้แต่เพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกัน...เขาก็ไม่ได้ต้องการให้กลิ่นของเจี้ยนสือหายไปเพราะถูกน้ำชำระล้าง หากแต่อยากให้กลิ่นกายของเขากลบทับจนกลิ่นของเจ้างูนั่นหายไปมากกว่า

เมื่อคิดเช่นนั้น ความปรารถนาก็พวยพุ่ง ไม่เพียงกอดรัด ยังใช้จมูกลากลูบไปตามผิวหนังบนลำคอ

ซิ่นเฉิงขนลุกชันเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบของจมูกสุนัขป่า ครั้นเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่น...

“อะไรของเจ้ากัน”
...เทียนอี้ก็พึมพำออกมา
“ข้ารังเกียจกลิ่นนี้นัก”

กลิ่นนี้... กลิ่นตัวข้า?

เรียวคิ้วกระบี่ขมวดมุ่น เข้าใจผิดว่าเทียนอี้หมายถึงกลิ่นกายของตน แต่...เขาก็หาได้มีกลิ่นน่าชิงขังขนาดนั้นเสียหน่อย ราตรีก่อนก็ชำระล้างร่างกายไปแล้ว เมื่อเช้าก็อีกระลอก มีกลิ่นใดกัน

ทว่า... ก็เข้าใจได้ในอีกอึดใจต่อมาว่ากลิ่นที่เทียนอี้ว่านั้นหมายถึงกลิ่นใด

“กลิ่นของเจ้างูนั่น...ข้าไม่อยากให้ติดกายของเจ้า”
เทียนอี้ว่าออกไปอย่างซื่อตรง ในอกอัดแน่นไปด้วยความร้อนรุ่มดั่งธาตุไฟแตกซ่าน นึกหวงแหนคนในอ้อมแขนขึ้นมาเสียจนไม่อาจหักห้าม ขณะที่ซิ่นเฉิงยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เทียนอี้พูด กระนั้นก็รับรู้แล้วว่าเจ้าสุนัขป่าตรงหน้ารู้แล้วว่าเขาหนีออกไปข้างนอกมา

“หากเจ้าไม่อยากให้ตัวข้ามีกลิ่นของเจี้ยนสือ ข้าจะไปล้างออก”

เพราะกระทำความผิดมา จึงไม่ได้แสดงอาการดื้อดึงใดๆ ออกจะว่าง่ายด้วยซ้ำเมื่อได้ยินว่าเทียนอี้ไม่พึงใจกับกลิ่นของสหายเก่า คล้ายกับว่าจะชดเชยความผิดที่ได้ก่อ

หากแต่เมื่อขยับตัว เทียนอี้ก็กอดเอาไว้แน่น
“ไม่ต้อง”
ได้ยินดังนั้น ซิ่นเฉิงก็ชะงัก ถามกลับเสียงขุ่น ในใจก็ฉงนกับท่าทางของเทียนอี้อยู่ไม่น้อย

ราวกับว่าออดอ้อนอย่างไรอย่างนั้น...

“เจ้าไม่ปล่อยข้า แล้วข้าจะล้างตัวได้เช่นไร”
ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น เทียนอี้ก็กระซิบเสียงพร่าข้างใบหูอีกฝ่าย
“เพราะข้าจะล้างกลิ่นนั้นให้เจ้าเอง”
สิ้นเสียงก็จรดริมฝีปากจูบลงบนกกหู ก่อนจะลากไล้ปลายลิ้นไล่ต่ำลงมายังลำคอ สัมผัสเปียกชื้นและอุ่นร้อนทำให้ซิ่นเฉิงรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าการชำระล้างของเทียนอี้หมายถึงสิ่งใด ก่อนที่เขาจะผลักไสอีกฝ่ายออก
“ปล่อยข้า ข้าจะจัดการเอง”

แต่ไร้ประโยชน์เมื่อเทียนอี้ออกแรงกดอีกฝ่ายลงบนฟูก แทรกตัวเข้ามาระหว่างกลางขาทั้งสองข้าง ทั้งที่ซิ่นเฉิงดิ้นรนหนีแล้ว ทว่าก็ไม่อาจต่อกรกับเรี่ยวแรงของเทพอสูรได้ จนสุดท้ายก็ดิ้นขลุกขลักจนแทบหมดแรง จังหวะที่หยุดดิ้นไปนั้น หูก็ได้ยินเสียงของเทียนอี้ดังขึ้น

“ร่างกายของเจ้า...จะอบอวลไปด้วยกลิ่นของข้า”

พูดจบก็ประทับจูบลงบนปลายคาง ไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆ ด้วยปลายจมูกเย็นชื้นราวกับว่าจะตรวตราว่าส่วนใดของซิ่นเฉิงมีกลิ่นของเจี้ยนสือบ้าง

แม้จะไม่ต้องการให้เทียนอี้ได้สัมผัสร่างกายด้วยรู้ดีว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นหลังจากนี้ แต่ซิ่นเฉิงก็ไม่อาจต่อต้านได้เมื่อความวาบหวามแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ธาตุในกายปั่นป่วน สติสัมปชัญญะลดน้อยถอยลงราวกับต้องพิษ ทั้งที่เทียนอี้หาได้กระทำการใดไปนอกเหนือกว่าการดอมดม หากแต่กลับทำให้ซิ่นเฉิงแทบประคองสติตนไว้ไม่อยู่

เขาหลงใหลกับสัมผัสของเทียนอี้นัก...

นั่นเป็นความจริงที่เพิ่งรับรู้ แม้ในคราก่อนๆ จะคิดว่าเป็นการเผลอไผล หากแต่เมื่อถูกสัมผัสในคราวนี้ เขากลับไม่ปัดป้องใดๆ แม้ว่าปากจะเปล่งเสียงแหบแห้งออกมา

“อย่า...”

นั่นเป็นเพียงถ้อยคำ ทว่าทันทีที่ถูกฝ่ามืออุ่นร้อนลากลูบไปยังหน้าท้องแกร่ง ไล่ระดับขึ้นมายังตุ่มไตเล็กๆ หยอกเย้าจนชูชัน ซิ่นเฉิงก็แอ่นอกรับการสัมผัสนั้นอย่างโหยหา

เทียนอี้เองก็หน้ามืดไปชั่วครู่ ปกติแล้วเขาจะครองสติได้ดีกว่านี้นัก กระทำการใดก็ย่อมต้องไตร่ตรองคิดเสียจนรอบครอบ ทว่าพอจิตใต้สำนึกร้องย้ำว่าซิ่นเฉิงไปหาเจี้ยนสือ เขาก็ไม่อาจหักห้ามความหวงแหนที่ผุดพรายขึ้นในใจได้เลยแม้แต่น้อย

มันหาใช่ความหวงแหนประดุจดั่งนายหวงทาส... หากแต่เป็นความหวงแหนของสุนัขหวงนาย

ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่ใคร่ให้เจ้านายของตนมีกลิ่นของสุนัขหรือสัตว์อื่นติดกายมาทั้งนั้น...

ร่างกายของเจ้านาย... สมควรมีแต่กลิ่นของเขา

เทียนอี้หลงลืมไปแล้วว่าตนเป็นเทพอสูรในคราบของสุนัขป่า หาใช่สุนัขเลี้ยงดั่งสัตว์เดรัจฉานแต่อย่างใด ทว่าต่อให้เขาตระหนักได้ เขาก็หาสนใจทั้งสิ้น ด้วยในใจเขาตอนนี้อบอวลไปด้วยความหวาดกลัว

หวาดกลัว...ว่าจะต้องสูญเสียคนรักไปดั่งเช่นในชาติก่อนๆ เพราะเจี้ยนสือ

แม้ว่าซิ่นเฉิงจะไม่ใช่คนเดียวกับหลิวซู แต่ความรู้สึกภายในใจของเทียนอี้นั้นกลับเต็มไปด้วยความห่วงหาอาทร ความหวงแหน ความรักใคร่...

รักใคร่...

คงจะเป็นเช่นนั้น ถึงจะไม่มีคำตอบว่าเหตุใดถึงได้เกิดความรู้สึกนี้กับซิ่นเฉิงทั้งที่ความรักของเขาควรมีต่อหลิวซูผู้จากไปเพียงผู้เดียว แต่เทียนอี้ก็ไม่ใคร่หาคำตอบในเวลานี้ นอกจากจะทำให้ซิ่นเฉิงมีแต่กลิ่นของเขาเท่านั้น

อาภรณ์ซึ่งเป็นปราการขวางกั้นช่างน่ารำคาญใจนัก เทียนอี้กระชากออกจากกันจนขาดวิ่นเป็นเศษซาก ครั้นผิวเนื้อสีน้ำตาลอ่อนปรากฏให้เห็น ก็ไม่รอช้าที่จะประทับปลายจมูกลงไปสูดดมกลิ่น ใช้ปากขบเม้มยอดอกเล็กๆ ที่ตั้งชันยั่วเย้า ใช้ปลายลิ้นไล้ไปตามรูปทรงเมื่อซิ่นเฉิงส่งเสียงคำรามต่ำออกมาจากลำคอ

หยอกเย้าเม็ดบัวสีเข้มจนเป็นที่พอใจ ฝ่ามือก็ลากลูบไปยังแก่นกลางของลำตัว ครั้นรู้สึกถึงเนินนูนภายใต้เนื้อผ้า เทียนอี้ก็ปลดปมเชือกรัดเอวของอีกฝ่ายออก อาภรณ์ชิ้นล่างคลายออกจากกัน มือหนาก็คืบคลานเข้าไปลูบไล้สัมผัสความเป็นบุรุษที่แข็งขืนขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

ส่วนปลายมีของเหลวไหลซึม ผิวเนื้ออุ่นร้อนมากกว่าบริเวณอื่น ซิ่นเฉิงรู้สึกราวกับว่าร่างกายนั้นไม่ใช่ของตนอีกต่อไป ครั้นฝ่ามือของเทียนอี้ที่กอบกุมแก่นกายอยู่เคลื่อนไหว บั้นเอวหนาก็ขยับไปตามการนำพาอย่างไม่อาจควบคุม

ฝ่ามือนั้นเร่งเร้าเร็วขึ้น สะโพกของซิ่นเฉิงก็ขยับมากกว่าเดิมเช่นกัน เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองเสียสิ้น กระนั้นปากก็ยังจะร้องห้าม

“เทียนอี้...อย่า...”

เป็นครั้งแรกที่เทพอสูรได้ยินอีกฝ่ายร้องเรียกชื่อของตน และนั่นเป็นความผิดพลาดของซิ่นเฉิง เพราะนอกจากจะไม่ทำให้เทียนอี้หยุดแล้ว ยังจะทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเทพผู้นี้เต้นระรัวเร็วอีกด้วย ในอกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาด คล้ายกับว่าเขาพึงปรารถนาจะได้ยินการเอ่ยนามของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยกลีบปากนุ่มของมนุษย์หนุ่มตรงหน้า

“เทียนอี้...”

ซิ่นเฉิงหายใจหอบหนัก ปากยังคงเปล่งเสียง การเอ่ยนามนั้นเป็นครั้งที่สอง เทียนอี้ไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป เขาใคร่อยากได้ยินอีก ดังนั้นจึงปราดเลียไปทั่วร่างของซิ่นเฉิงด้วยปลายลิ้นร้อนอย่างกระหาย ลิ้นนั้นลากไล้เข้าสำรวจลงต่ำ ครั้นถึงอวัยวะความเป็นบุรุษเพศกลางลำตัว เทียนอี้ก็เลียไล้อย่างไม่นึกรังเกียจ

ความเสียวซ่านสร้างความกำหนัดทวีคูณ ซิ่นเฉิงหายใจหอบหนัก ก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ เมื่อสะโพกขึ้นยกขึ้นสูง พลันดอกบุปผชาติตูมก็ถูกปลุกเร้าด้วยความอุ่นร้อนจากปลายลิ้น

ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าอภิรมย์ยิ่งนัก...

สองมือของซิ่นเฉิงกำเส้นขนนุ่มบนแผงคอของเทพอสูรมั่น ใบหน้าคร้ามส่ายไปมาด้วยไม่อาจทานทนกับสัมผัสซาบซ่านได้ไหว เส้นผมสีนิลกระจายไปทั่วฟูกนุ่ม ครั้นเทียนอี้เหลือบขึ้นมองก็ส่งผลให้ความร้อนรุ่มในกายของเขาทวีคูณ จนเขาไม่อาจทานทน ผละริมฝีปากออกมาจรดจูบเรียวปากนุ่ม

จากคราแรกที่หมายจะกำจัดกลิ่นสาบของเจี้ยนสือ ครานี้กลายเป็นว่าเขาอยากจะกลืนกินมนุษย์หนุ่มตรงหน้าเสียให้ไม่เหลือแม้แต่ขนสักเส้น ซิ่นเฉิงดันตัวขึ้นนั่งหมายจะหนี ทว่าก็ถูกเทียนอี้คว้ามากอด มือข้างหนึ่งกดท้ายทอยของชายหนุ่ม ริมฝีปากบดจูบราวกับไม่อยากให้อีกฝ่ายห่างกาย

แสงจันทร์สาดส่องผ่านวงกบหน้าต่างที่อยู่ข้างเตียงนอน ร่างอสูรแปรเปลี่ยนเป็นร่างอดีตเทพ จากที่จุมพิตไม่ถนัดด้วยรูปปากของสุนัขป่า ครานี้ประกบจูบเรียวปากของอีกฝ่ายแนบแน่น ดูดกลืนความหอมหวานคล้ายกับจะสูบวิญญาณของซิ่นเฉิงให้ดับสิ้น สอดปลายลิ้นเข้าไปตักตวงความหอมหวานราวกับไม่เคยลิ้มมธุรสแห่งกามารมย์เช่นนี้มาก่อน

มนุษย์หนุ่มหายใจกระหืดหอบ สะดุ้งขึ้นมาอีกคราเมื่อเทียนอี้ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนจนเปลือยเปล่า ผลักให้เขาล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ก่อนจะใช้แก่นกายที่แข็งขืนเข้าถูไถบริเวณรอยจีบทางด้านหลังของเขาคล้ายกับจะหลอมรวมให้เป็นหนึ่งเดียว เมื่อริมฝีปากเป็นอิสระเล็กน้อย มือของซิ่นเฉิงก็ผลักไสคนตรงหน้าให้ออกห่าง ปากเปล่งเสียงแหบแห้ง

"หยุด..."
เทียนอี้ปรายตามอง ใบหน้าคร้ามคมปรากฏรอยย่นที่หว่างคิ้ว
“หยุดได้แล้ว ก่อนที่ข้าจะจับเจ้าถอนขนทีละเส้น”

ซิ่นเฉิงว่าขู่ทั้งที่ลมหายใจยังกระเส่า แต่ก็หาได้ทำให้เทียนอี้หยุดได้เลย โน้มศีรษะลงมาพรมจูบไปทั่วลำคอ ฝ่ามือรูดรั้งแก่นกายของอีกฝ่าย มืออีกข้างชำแรกเข้าไปในปากทางเล็กๆ หมายจะให้ซิ่นเฉิงคุ้นชินก่อนที่จะรับเอาความเป็นบุรุษของเขาเข้าไป จนความสุขล้นทะลักออกมาเป็นสายธารก่อนที่เทียนอี้จะได้กระทำไปถึงขั้นสุดท้าย

เสียงหอบหายใจของซิ่นเฉิงดังขึ้น ครั้นพอจะทุเลาลงก็อ้าปากหมายจะบริภาษ

“เจ้าจะบ้าหรือไร ข้ายอมให้เจ้าแตะต้องกายก็หาใช่ว่าข้าจะยอมให้เจ้าครอบครองเยี่ยงสตรี!”

แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเขาสบตาเข้ากับดวงตาสีอำพันของเทียนอี้ซึ่งในขณะนี้ประกายความเจ็บปวดออกมาอย่างท้วมท้นหลังจากที่เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าคิดจะทำการใด

เขาต้องการจะครอบครองซิ่นเฉิง...เพราะเป็นกังวลว่าจะถูกเจี้ยนสือช่วงชิงไป

จากนั้นก็ระงับความกำหนัดของตนในทันที พลันเอ่ยออกมาราวกับหมดสิ้นหนทางอีกต่อไป
“เจ้า...จะมองแต่ข้าได้หรือไม่...”

แม้ไม่รู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดเช่นนั้นเป็นเพราะสาเหตุใด แต่ก็ทำให้หัวใจของซิ่นเฉิงบีบรัดจนปวดแปลบราวกับว่าเคยได้ยินคำพูดนี้มาก่อน

“เฉิงเฉิง...” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เทียนอี้ก็เอ่ยชื่อคนในอ้อมแขน “ได้โปรดมองแต่ข้า” จากนั้นก็เปล่งเสียงแหบแห้งออกมา
ไม่เพียงแต่ในดวงตาเท่านั้นที่มีร่องรอยของความเจ็บปวด ในน้ำเสียงก็มีความรู้สึกนั้นเจือปน ซิ่นเฉิงสัมผัสได้แต่ก็หาได้เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงสิ่งใด

“ในตอนนี้...สายตาของข้าก็มีแต่เจ้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” แต่กระนั้นก็ตอบออกไปด้วยไม่อยากเห็นเทียนอี้มีสีหน้าเช่นนั้น ความหัวเสียก่อนหน้ามลายหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

คำพูดซื่อตรงเรียกรอยยิ้มมุมปากของเทพอสูรให้เผยออกมา แม้ความหมายของซิ่นเฉิงจะหมายถึงเขามองหน้าเทียนอี้อยู่ ดังนั้นจึงมีภาพของเขาในประกายแววตา แต่นั่นก็ทำให้คนฟังชุ่มฉ่ำขึ้นมาในใจได้ ก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้าลงซุกที่ซอกคอ พึมพำเสียงเบาราวกับพูดคนเดียว

“ขอให้เจ้ามองแต่ข้าผู้เดียวตลอดไป”

ซิ่นเฉิงได้ยินเต็มสองหู ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เข้าใจ แต่การแสดงออกของเทียนอี้นั้นทำให้เขาใจเต้นระส่ำขึ้นมา ขณะเดียวกันก็ขบขันด้วยท่าทางของเทพอสูรผู้นี้ช่างคล้ายคลึงกับสุนัขเหลือเกิน ยิ่งแสงจันทร์ถูกกลุ่มเมฆบดบัง ร่างกายกลับคืนสู่ร่างของเทพอสูรด้วยแล้ว ซิ่นเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะเอ็นดูเจ้าสุนัขป่าขี้อ้อนผู้นี้จนต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปขยำเส้นขนบริเวณแผงคอเล่น

“หากเจ้าเป็นสุนัขจริงๆ ข้าคงคิดว่าเจ้าออดอ้อนข้าไปแล้ว”

ออดอ้อนหรือ? เทียนอี้คิด... ก็ออดอ้อนจริงๆ นั่นล่ะ

“แต่นี่เจ้าคงหมายจะทำการใดอยู่ล่ะสิ ถึงได้เสแสร้งเช่นนี้” ทั้งที่ก่อนหน้านั้นพูดออกมาอย่างสบายๆ แท้ๆ แต่คราวนี้กลับแฝงไปด้วยความหวาดระแวง

เทียนอี้ก็ไม่ได้โต้เถียงใดๆ ทำเพียงกอดก่ายอีกฝ่ายแล้วซุกใบหน้าอยู่อย่างนั้น การไม่ไหวติงของเทียนอี้ทำให้ซิ่นเฉิงทอดถอนหายใจ ยอมแพ้ที่จะต่อกรด้วยเป็นครั้งแรก พลันทุบเข้าที่บ่าแกร่งสองสามครั้งไม่แรงนัก

“หากเจ้าใคร่จะคลุกคลีกับข้ามากถึงเพียงนี้ ข้าจะยอมให้เจ้ากอดก่ายก็ได้ แต่ลงมานอนข้างๆ ทับข้าเช่นนี้ ข้าอึดอัด”

เทียนอี้ยอมขยับตัวมานอนข้างๆ ทว่าแขนก็ยังพาดอยู่บนลำตัวของซิ่นเฉิงไม่ห่าง ปลายจมูกก็ซุกไซ้ซอกคอบ้าง หัวไหล่บ้าง เส้นผมบ้าง อีกทั้งยังจรดจูบส่วนนั้นส่วนนี้ ช่างชวนให้ซิ่นเฉิงรำคาญยิ่งนัก แต่ก็หาได้ปริปากใดๆ ออกไปเมื่อเห็นว่าเทียนอี้ปิดเปลือกตาลง กระทำการเหล่านั้นราวกับละเมอ ทำเอาใบหน้าคร้ามของมนุษย์หนุ่มแต่งแต้มรอยยิ้มขบขันออกมา

เป็นนายของข้าอย่างนั้นหรือ? ดูที่เจ้ากระทำสิ อย่างกับว่าข้าเป็นนาย ส่วนเจ้าเป็นสุนัขเลี้ยงของข้าอย่างนั้นล่ะ

กระทั่งซิ่นเฉิงยังคิดเช่นนั้นเลย แต่เขากลับพึงใจที่ได้เห็นเทียนอี้เป็นเช่นนี้ ดีเสียกว่าตอนที่อีกฝ่ายวางท่าเป็นแม่ทัพใหญ่เสียอีก ราวกับว่าเขาได้ล่วงรู้อีกด้านหนึ่งที่เทียนอี้หาได้เปิดเผยให้ผู้ใดได้เห็น แม้แต่คนสนิทอย่างพ่อบ้านเหลียงก็หาได้เคยพบเจอผู้เป็นนายในด้านนี้

มีเพียงซิ่นเฉิงเท่านั้นที่รับรู้...

ซิ่นเฉิงยิ้มกริ่ม ถึงจะไม่สบายตัวจากคราบของเหลวที่เปรอะเปื้อนบนหน้าท้องตน กระนั้นก็หาได้คิดจะผุดลุกในชำระล้างในยามนี้ เมื่อเห็นเทียนอี้หลับตาพริ้ม มือก็เอื้อมไปขยำเส้นขนสีเงินยวงมั่น หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่นานนักก็เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ สวนทางกับเทียนอี้ที่เปิดเปลือกตาขึ้น ครั้นเห็นอีกฝ่ายหลับใหลก็ดึงมากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ ในใจครุ่นคิดเป็นพัลวันด้วยสับสนยิ่ง

หรือหัวใจของข้าจะถูกเจ้าช่วงชิงไปแล้ว...
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[11/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 13-09-2017 01:37:23
บทที่ 14: หวงแหน[2]
 
ความพิศวาสรักใคร่ในตัวของซิ่นเฉิงไม่ควรเกิดขึ้น เทียนอี้ได้ให้สัตย์สาบานกับหลิวซูไปเมื่อครั้งพลัดพรากจากกันแล้วว่าจะรักและรอคอยอีกฝ่ายหวนคืนกลับมาไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด หากแต่ในยามนี้ เขากลับมีใจปฏิพัทธ์ต่อซิ่นเฉิงเพียงเพราะหวาดเกรงว่าอีกฝ่ายจะไปสนิทสนอมกับเจี้ยนสือ

นั่นหาใช่หวงแหนเพราะอยากแก้แค้นเจี้ยนสือที่พรากคนรักของเขาไป หากแต่หวงแหนเพราะเกรงซิ่นเฉิงจะมอบดวงใจให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่เขามากกว่า การที่เก็บชายหนุ่มไว้กับตัวเช่นนี้เป็นความปรารถนาของเขาตั้งแต่แรกพบอยู่แล้ว หากมีผู้ใดช่วงชิงไป เทียนอี้คงคลั่งตายเป็นแน่ แม้แต่ความเป็นอมตะของเทพอสูรที่ดำรงอยู่นี้ก็คงไม่ช่วยอะไร เขาคงต้องขาดใจตายหากข้างกายไร้ซิ่นเฉิงเคียงข้าง

ช่างน่าอดสูเหลือเกินที่จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว การเก็บซิ่นเฉิงไว้กับตัว กักขังไว้ในจวน ย่อมไม่เป็นผลดีกับเขาเลยแม้แต่น้อยในเมื่ออีกฝ่ายมีเจี้ยนสือเป็นผู้นำพากลับสู่ทะเลทราย แม้จะเป็นเพียงชั่วครั้งคราว แต่นั่นก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นอีก

เหตุการณ์ที่เขาถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย...

หากซิ่นเฉิงจะต้องเป็นของผู้ใด... สู้ปล่อยให้เป็นอิสระและไปจากเขาตลอดกาลเสียจะดีกว่า

ฉะนั้นเมื่ออรุณรุ่งมาถึงและได้ให้มนุษย์หนุ่มไปจัดการชำระล้างคราบไคล อีกทั้งกินอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เทียนอี้ก็เรียกให้อีกฝ่ายไปหายังหน้าเรือนใหญ่โดยไม่บอกว่ามีธุระใด

ออกจะน่าหงุดหงิดเสียหน่อยที่ถามผู้ใดก็หาได้มีใครรู้ว่าเทียนอี้เรียกเขาไปด้วยการใด แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้ขัดคำสั่ง ยอมเดินมาหาแต่โดยดี และก็ต้องขมวดคิ้วจนแทบเป็นเส้นเดียวกันเมื่อเห็นเทียนอี้ยืนสนทนาอยู่กับทหารอีกสองสามนาย เบื้องหน้ามีอาชาตัวเขื่องอยู่สองตัว

ครั้นใบหูได้ยินเสียงฝีเท้าของคนมาใหม่ เทียนอี้ก็หันไป พอเห็นว่าเป็นซิ่นเฉิงก็ออกปากเรียก
“มานี่สิ”

ซิ่นเฉิงก้าวเข้าไปหา ก่อนที่จะถูกถาม
“เจ้าชอบม้าตัวไหน”

ซิ่นเฉิงหันมองหน้าทันควัน “ถามเพื่อการใด ในเมื่อถามไป ข้าก็หาได้ขี่มัน”
“เพราะข้าจะให้เจ้าขี่ ข้าถึงได้ถาม” เทียนอี้ว่าเสียงเรียบ ทำเอาซิ่นเฉิงถึงกับชะงักค้าง
“ประเดี๋ยวก่อนนะ เจ้าว่าเช่นนั้นหมายความอย่างไร”

สีหน้าของคนถามในยามนี้ชวนให้ขบขันนัก หากแต่เทียนอี้เพียงยกยิ้มแล้วตอบเสียงเรียบอีกครา
“ข้าจะให้เจ้าได้ขี่มัน เพราะเจ้าจะออกไปนอกจวนกับข้า”

แทบไม่เชื่อหูตนเลยทีเดียว เพราะเมื่อราตรีที่แล้ว เขายอมให้เทียนอี้กกกอดจนถึงวันใหม่อย่างนั้นหรือ? เทียนอี้ถึงได้ใจดีกับเขานัก?

แต่ก็ไม่ใคร่จะเค้นหาคำตอบ แค่ได้ยินว่าจะได้ออกนอกจวน ซิ่นเฉิงก็ดีใจเสียจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ สายตาปรายมองสำรวจอาชาตรงหน้า เลือกพาหนะคู่ใจทันควัน

“ข้าชอบเจ้านี่ ข้าจะขี่มัน” ปลายนิ้วชี้ไปยังม้าเพศผู้ตัวเขื่องสีดำมะเมื่อม

เทียนอี้ไม่ขัดอันใด ม้าตัวนั้นก็เหมาะสมกับซิ่นเฉิงดี รูปลักษณ์น่าหลงใหล แข็งแกร่ง เรี่ยวแรงมาก บางคราก็พยศเสียจนชวนให้ปวดหัว... เรียกได้ว่าคล้ายกับราวกับแกะ

“ตามที่เจ้าปรารถนา” เทียนอี้ว่า ไม่ขัดใดๆ ก่อนจะหันไปบอกกับทหารที่ดูแลม้าเหล่านั้นอยู่สั้นๆ “ข้าจะออกไปนอกแคว้นกับซิ่นเฉิง พวกเจ้าไม่ต้องตามไป ประเดี๋ยวจะกลับมาอีกไม่กี่ชั่วยาม”

สิ้นเสียงก็เป็นฝ่ายปีนขึ้นนั่งบนหลังม้าเป็นคนแรก ทำเอาซิ่นเฉิงที่มัวแต่ลูบคลำเจ้าม้าเพื่อสร้างความคุ้นเคยต้องปีนขึ้นตาม ก่อนที่จะควบออกไปเมื่อเห็นว่าเจ้าของจวนควบนำออกไปแล้ว

ภาพเทพอสูรผู้เป็นนายและมนุษย์หนุ่มที่เลี้ยงไม่เชื่องควบม้าออกไปนอกจวนอยู่ในสายตาของพ่อบ้านเหลียงตลอด เขาไม่ได้เข้ามาห้ามปรามใดๆ แม้ว่าตอนแรกจะไม่เห็นด้วยเมื่อได้ยินเทียนอี้บอกว่าจะพาซิ่นเฉิงออกนอกจวนในวันนี้ หากแต่เมื่อได้รับรู้ถึงจุดประสงค์ คำทัดทานทุกอย่างก็อันตรธานหายไป เกิดเป็นความหวังขึ้นมาว่าซิ่นเฉิงจะเลือกทำในสิ่งที่เขาคาดหมายไว้

อย่ากลับมา... ขอให้ไปจากจวนแห่งนี้

นั่นเป็นสิ่งที่พ่อบ้านเหลียงคาดหวัง แต่ก็สุดจะคาดการณ์ได้ เขาจึงทำได้เพียงภาวนาต่อสวรรค์ ขอให้เมตตา อย่าได้ชักพาความเจ็บปวดมาให้กับเทียนอี้อีกเลย

ขอให้ความทุกข์ทรมานนั้นสิ้นสุดลงเสียที...



 
“เจ้าจะพาข้าไปไหน”

ซิ่นเฉิงพร่ำถามคำถามนี้ตลอดทางที่ควบม้าขนาบข้างเทียนอี้ แต่ก็หาได้รับคำตอบ นอกจากความเฉยเมยของเทียนอี้เท่านั้น จนความดีใจที่จะได้ออกจากจวนในตอนแรกกลับกลายเป็นความหัวเสียเมื่อเทียนอี้ไม่เอ่ยคำใดๆ

“หากเจ้าไปตอบ ข้าจะไม่กลับไปที่จวนกับเจ้า!”
เมื่อถูกขัดใจก็ร้องขู่ เทียนอี้เหลือบมามองเพียงเล็กน้อย สุดท้ายก็ยอมปริปาก
“เมื่อผ่านพ้นประตูแคว้นเฟิงฝูไป เจ้าก็จะได้รู้”
จากนั้นก็ควบม้านำออกไป ทิ้งให้ซิ่นเฉิงขุ่นข้องใจเล็กน้อย

ผ่านพ้นประตูแคว้นเฟิงฝู... หรือนั่น... จะหมายถึงทะเลทราย?

เป็นจริงดั่งเช่นที่ซิ่นเฉิงคิด ครั้นผ่านพ้นประตูแคว้นไป ภาพทะเลทรายสีเหลืองทองก็ปรากฏสู่สายตา ไอร้อนจากสายลมพัดผ่านปะทะผิวกาย ทะเลทรายในยามดวงอาทิตย์ส่องสว่างนั้นช่างแตกต่างจากยามกลางคืนนัก เมื่อได้เห็น ความโหยหาในดินแดนที่ตนจากมาก็พวยพุ่ง ซิ่นเฉิงควบม้าเหยียบย่ำไปบนผืนทรายอย่างช้าๆ เขามองไปยังผืนทรายสุดลูกหูลูกตาด้วยความคิดถึงอย่างเปี่ยมล้น

“ทะเลทราย... เจ้าคงจะโหยหานัก”

เทียนอี้เปรยออกมา สายตาทอดมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่บนม้าตัวใหญ่ ไม่ตอบรับคำพูดใดๆ ของเขา สังเกตจากสีหน้าของซิ่นเฉิงแล้ว ดูท่าคงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งก็จริงอย่างที่เทียนอี้คิดไว้ บัดนี้ซิ่นเฉิงกำลังพิจารณา... เขามีม้า และเขาก็อยู่นอกแคว้นเฟิงฝู หากสบโอกาสตอนที่เทียนอี้เผลอและควบม้าหนีไป ก็คงจะรอดกลับสู่แผ่นดินเกิดโดยง่าย

แต่ความคิดนั้นก็ต้องมลายไปเมื่อเทียนอี้ว่าออกมาอย่างรู้ทัน
“ส่วนยามนี้ เจ้าก็คงคิดว่าเมื่อไรข้าจะเผลอ เจ้าจะได้ควบม้าหนีไปกระมัง”

ซิ่นเฉิงหันมองทันใด ก่อนจะสบตากับเทียนอี้ซึ่งยกยิ้มน้อยๆ อยู่ ไร้ซึ่งสรรพเสียงไปชั่วครู่ ไม่นาน เทียนอี้ก็เป็นฝ่ายควบม้าเข้ามาใกล้ พลันยื่นห่อผ้าออกไปตรงหน้า

ซิ่นเฉิงจำห่อผ้านี้ได้ดี มันเป็นของที่ซิ่นจินได้ฝากเอาไว้ให้ ครั้นรับมาก็มองหน้าเทียนอี้อย่างไม่เข้าใจนัก
“สิ่งนี้เป็นของเจ้า เครื่องประดับเหล่านั้น เจ้าควรได้รับมันคืน”

ยิ่งไม่เข้าใจมากกว่าเดิม เหตุใดกัน จู่ๆ เทียนอี้ถึงได้มอบพวกมันคืนให้โดยง่ายดายเช่นนี้?
“เจ้าคิดทำการใดอยู่” เพราะสงสัยจึงเอ่ยถาม

เทียนอี้ไม่ตอบ แต่กลับพูดสิ่งที่อยู่ในใจตนออกมา
“ข้าจะให้เจ้าโอกาสเจ้าเพียงหนึ่งถ้วยชา จงควบม้าออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ฝีเท้าของม้าตัวนี้จะทำได้ เมื่อข้าหันกลับมา หากข้าไม่เห็นเจ้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะปล่อยเจ้าไป”

การที่พาเขากลับมายังทะเลทราย หมายถึงจะปล่อยเขาไปหรือ!?

ซิ่นเฉิงแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน แต่คนอย่างเทียนอี้หาใช่คนที่ถนัดพูดเล่นหัวนัก ยิ่งสบสายตาจริงจังคู่นั้นก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่หลุดออกจากปากของเทพอสูรผู้นี้คือเรื่องจริง

“หากทว่า...เมื่อข้าหันกลับมาแล้วเห็นเจ้ายังอยู่ที่เดิม เจ้าจะไม่ได้รับโอกาสนี้อีก”

เทียนอี้ว่าออกมาอีกครั้ง ที่เอ่ยอย่างนั้นเป็นเพราะไม่ต้องการกำหนดชีวิตของคนตรงหน้า แค่สวรรค์ลิขิตชะตาชีวิตเขา มันก็น่าเวทนาพออยู่แล้ว เขาไม่ต้องการให้ซิ่นเฉิงมาหลงวนเวียนอยู่ในวัฏจักรอันน่าอดสูนี้อีกคน

หากแต่เมื่อซิ่นเฉิงได้ยินคำพูดนั้น ฉับพลันใจของเขาสับสนอย่างรุนแรง

ใจปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะได้หวนคืนสู่ทะเลทราย แต่ทว่า...เมื่อมีโอกาส เขากลับลังเล

หากกลับไปก็ต้องพลัดพรากจากคนตรงหน้าตลอดกาล มันควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ซิ่นเฉิงกลับไม่อยากให้มันเกิดขึ้น จะด้วยเพราะเหตุผลใดก็ไม่อาจรู้ได้ ทว่าเมื่อคิดว่าจะไม่ได้พบเจอกันอีก ซิ่นเฉิงก็ไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายแม้แต่น้อย

ไม่ใช่เขาไม่อยากไป เขาอยากกลับคืนทะเลทรายใจจะขาด แต่...จะขาดใจหากพลัดพรากจากเทียนอี้

เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้ว อาจเป็นเพราะหลงใหลในรูปลักษณ์อดีตเทพ หรือเผลอไผลพึงใจไปกับรสกามารมย์ที่อีกฝ่ายมอบให้ หรือจะเป็นสิ่งใดก็ตาม กระนั้นซิ่นเฉิงก็ไม่อยากพลัดพรากจาก จึงได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนหลังม้าเช่นนั้น ขณะที่เทียนอี้พูดส่งท้าย

“เพียงเวลาแค่ถ้วยชาเดียว”
เท่านั้นก็หันหน้าไปอีกทาง รอให้ซิ่นเฉิงได้ควบม้าออกไป

สายลมพัดผ่าน โอบเอาความร้อนมาปะทะร่างของทั้งคู่ แต่สรรพเสียงรอบข้างก็หาได้เกิดขึ้นนอกเสียจากเสียงหวีดหวิวของลมที่ผ่านมาและจากไปเท่านั้น ครั้นเทียนอี้หันกลับมา ก็ยังเห็นซิ่นเฉิงอยู่ที่เดิม ทอดสายตามองเขานิ่ง พลันใจของแม่ทัพใหญ่ก็อุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาด

เหตุใดกัน...เหตุใดถึงไม่ไป?

ครั้นคิดจะเอ่ยปากถาม ซิ่นเฉิงก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“เจ้าเคยขอร้องข้าไว้ไม่ใช่หรือว่าให้อยู่กับเจ้า แล้วไยตอนนี้ถึงให้ข้าไปกัน?”

ไร้ซึ่งคำตอบจากเทียนอี้ มีเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายยากจะพรรณนาเท่านั้น ซิ่นเฉิงเองก็ไม่คิดจะถามด้วย นอกจากถอนหายใจออกมาแล้วว่าด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง

“ข้าก็หาได้เป็นคนโหดร้ายนัก ในเมื่อเจ้าร้องขอ ข้าก็จะอยู่ต่อ จะไปก็ต่อเมื่อต้องการเท่านั้น หาใช่ให้เจ้ามาไล่ข้าไป”
ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเทียนอี้ก็มีรอยยิ้มพราย แม้กระทั่งดวงตาก็ยังมีรอยยิ้ม แต่เหนือสิ่งอื่นใด ในดวงตานั้น...เต็มไปด้วยความรักใคร่

ซิ่นเฉิงคิดว่าตนมองไม่ผิด แต่ก่อนที่จะได้ประจักษ์จนแน่ใจ หูก็ได้ยินเสียงของเทียนอี้ดังขึ้น
“ข้าจะกักขังเจ้าไว้และจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้เป็นอิสระอีก”
เป็นคำพูดที่ชวนให้หงุดหงิดนัก ช่างเจ้าบงการและน่าหมั่นไส้ในครั้งเดียว ทว่าซิ่นเฉิงกลับทำเพียงพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงครั้งหนึ่ง ก่อนจะว่าเสียงแข็ง
“คิดว่าจะสั่งข้าได้ง่ายดายเช่นนั้นหรือเจ้าหมา?”

สั่งได้หรือไม่หาใช่เรื่องสำคัญ สำคัญก็เพียงว่า...เทียนอี้ตั้งใจไว้แล้ว

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่ปล่อยให้ซิ่นเฉิงจากไป

แม้ว่าหลิวซูจะกลับมา เขาก็จะเก็บอีกฝ่ายไว้ข้างกาย... ชั่วนิรันดร์
-------------------------------------
ใจเย็นๆ นะคะซิส ใครไม่ใช่เรือพี่หมาก็ใจร่มๆ ว่า เอ๊ะ ทำไมอีพี่หมาสองใจจัง เดี๋ยวซูซู เดี๋ยวเจ้าแมว มันมีเหตุผลอยู่ แต่ที่รู้ๆ ตอนนี้พี่หมาหลงรักเจ้าแมวหัวปักหัวปำแล้วล่ะค่ะ เผลอใจจนได้ 555

นอกเรื่องนิดนึง คือ...ก็ยังมีนักอ่านหลายคนคิดว่าเรื่องนี้คือ 3P อะ แล้วก็พานจะไม่อ่านอีกเพราะนึกว่ามันเป็นแนวนั้น 555 ยืนยันกันตรงนี้เลยว่าไม่ใช่เด้อ พี่งูมันเป็นพระรองงง (โดนแม่ยกเรือพี่งูตบ!) แต่เป็นพระรองก็ไม่เป็นไร เพราะหนูแดงแพลนไว้แล้วค่ะว่ามีตอนพิเศษของพี่งูที่โคตรจะยาวเสมือนเป็นสปินออฟงอกออกมาอีกเรื่องนึงมาดามใจพี่งู แต่นายเอกของพี่งูไม่ใช่จิ้งจอกนะ ใครหลงคิดว่าเป็นพ่อบ้านเข้ก็ไม่ใช่เหมือนกัน นั่นก็เรือผีเกิ๊นนน 555

เรือพี่หมามาแล้ว ฝากฟีดแบ็กไว้หน่อยนะคะ พรุ่งนี้มาต่อให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 13-09-2017 07:06:41
โอ๊ยๆ แอบเทใจกลับไปให้พี่หมาเลย มีการตามใจจะให้กลับทะเลทรายด้วย
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 13-09-2017 07:37:16
ขออย่างเดียวเลย ไม่อยากให้นายเอกคือซูซูกลับชาติมาเกิด ไม่งั้นสงสารพี่งูตาย อกหักสองรอบ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Realy ที่ 13-09-2017 07:45:07
เหยียบสองเรืออยู่ไปได้เรื่อยๆค่ะ5555555 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 13-09-2017 07:45:15
เรารักพี่หมา แพ้ความปุกปุย แต่ก็อยากให้พี่งูมีคู่ของตัวเอง
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 13-09-2017 10:04:08
ล่าม!!!! พี่หมา แบบนี้ต้องล่ามไว้!!!!!
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 13-09-2017 10:10:32
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 13-09-2017 10:48:35
น่าหมั่นไส้ทั้งหมาทั้งแมว 555+ สามวันดีสี่วันร้ายจริง ๆ คู่นี้ รอขยายปมเชือก
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-09-2017 11:10:40
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kawaiichibi ที่ 13-09-2017 11:17:43
ข้ามไปเรื่องพี่งูเลยได้มั้ยคะ 55555 จิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 13-09-2017 16:51:25
พ่ายแพ้ต่อเจ้าหมาจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ม่านหมอก ณ ปลายฝัน ที่ 13-09-2017 16:58:00
เง้อออ ฟาดไม้พายที่หัวเรือพี่หมา
ก็ว่าทำไมฟาดเท่าไหร่ก็ไม่จม! ฟาดคุณนักเขียนแทนดีมั้ยเนี่ย ฮรืออออ
ง่ะ แต่เรือเราเป็นเจ้าแมวกับพี่งูง่ะ จะพยายามพายต่อสุดแรง
จนกว่าพี่งูจะมีฟามสุขจายยยย

ฮึกฮัก....
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 13-09-2017 19:52:48
อ๊า! พี่หมาตะลั๊กจริงๆ :-[ แต่ว่านะ...ตอนนี้หางพี่งูเกี่ยวเราไว้อยู่อ่ะนะ ขอโทษด้วยจริงๆ (ถ้า)แกะออกแล้วจะไปหานะหมานะ :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 13-09-2017 20:07:20
ทิ้งเรืองูไว้กลางทางแล้วโดดขึ้นเรือหมาก่อนได้มั้ย555555
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Daramin ที่ 13-09-2017 20:13:05
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 13-09-2017 20:26:35
ฟินมว๊ากกกกก ฟินตัวแตก
เขินเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 13-09-2017 20:44:54
ภาวนาให้เฉิงเฉิงไม่ใช่หลิวซูกลับชาติมาเกิดไม่งั้นก็จะเป็นเรื่องอีกกับเจี้ยนสือ
แต่ถ้าเฉิงเฉิงไม่ใช่หลิวซู แล้วหลิวซูดันโผล่มาเทียนอี้จะเกิดสับสนลังเลอีกมั้ยเนี่ย

คุณคนแต่งเคยแต่งเรื่องไหนอีกมั้ยคับ อยากติดตามนิยายเรื่องอื่นๆด้วย
ชอบภาษา และการดำเนินเรื่องมากเลย  :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 13-09-2017 20:53:14
ภาวนาให้เฉิงเฉิงไม่ใช่หลิวซูกลับชาติมาเกิดไม่งั้นก็จะเป็นเรื่องอีกกับเจี้ยนสือ
แต่ถ้าเฉิงเฉิงไม่ใช่หลิวซู แล้วหลิวซูดันโผล่มาเทียนอี้จะเกิดสับสนลังเลอีกมั้ยเนี่ย

คุณคนแต่งเคยแต่งเรื่องไหนอีกมั้ยคับ อยากติดตามนิยายเรื่องอื่นๆด้วย
ชอบภาษา และการดำเนินเรื่องมากเลย  :L2:

แต่งเยอะเลยค่ะ นามปากกา หนูแดงตัวน้อย
ในเล้าเป็ดนี่รวบรวมค่อนข้างยาก ลองไปดูที่นี่นะคะ
สนใจเรื่องไหนแล้วลองเสิร์ชหาอีกทีได้ค่ะ https://writer.dek-d.com/noodang/writer/

ส่วนอันนี้แฟนเพจเอาไว้ติดตามข่าวสารค่า https://www.facebook.com/NooDangzzz/
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 13-09-2017 23:24:50
บทที่ 15: จุมพิษ[1]

ความคาดหวังของพ่อบ้านเหลียงต้องเป็นอันพังทลายทันทีที่เห็นผู้เป็นนายควบม้ากลับมาพร้อมกับมนุษย์หนุ่มที่เขาภาวนาหนักหนาว่าให้ไปจากจวนนี้เสียที

สวรรค์... ทำไมกัน?

สีหน้าไม่แสดงอาการ แต่แววตานั้นส่อชัดเจนว่าผิดหวังเพียงใด อีกทั้งยังมีร่องรอยของการตัดพ้อต่อว่าสวรรค์อีกด้วย ขณะที่หมิงจูซึ่งแวะมาเยี่ยมเยือนเทียนอี้ด้วยได้ข่าวจากคนรับใช้ผู้หนึ่งของจวนนี้ว่าสหายจะปล่อยสัตว์เลี้ยงกลับสู่ทะเลทราย เขาจึงใคร่อยากจะดูให้เห็นกับตาว่ามนุษย์ผู้นั้นถูกปล่อยกลับยังถิ่นที่จากมาจริง เพราะในใจเขานั้นหาได้เชื่อว่าเทียนอี้จะยอมปล่อยให้ซิ่นเฉิงไปโดยง่าย และเมื่อเห็นร่างของสหายกับชายหนุ่มกลับเข้ามาในจวน เสียงกลั้วหัวเราะในลำคอก็ดังขึ้น

“เจ้าแพ้พนันข้าแล้วพ่อบ้านเหลียง จ่ายมา”
มือที่กอดอกอยู่ข้างหนึ่งเอื้อมไปแบอยู่ตรงหน้าพ่อบ้านจระเข้ ทำเอาคนถูกทวงถามค่าพนันมองด้วยสายตาระอา
“ข้าหาได้พนันกับท่านเลยนะขอรับ”

หมิงจูถึงกับหัวเราะร่วน จริงอย่างที่พ่อบ้านเหลียงว่า เขาไม่ได้พนันกันเป็นเรื่องราว แต่ก็เดากันอยู่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร แน่นอนว่าพ่อบ้านเหลียงหวังให้ซิ่นเฉิงจากไป ด้วยท่าทีรักอิสระและดื้อแพ่งไม่ยอมก้มให้ใครของซิ่นเฉิง ทำให้เข้าใจไปว่าเมื่อมีโอกาส ก็คงจะหนีไปโดยไม่สนใจสิ่งใด ทว่าหมิงจูกลับคิดว่าสิ่งนั้นจะตรงกันข้าม

ทำไมถึงคิดเช่นนั้นน่ะหรือ? ...ไม่ได้กลิ่นกายของคนทั้งสองฟุ้งขจายบนร่างกายของกันและกันหรือไร เขาได้กลิ่นนั้นมาตั้งแต่เมื่อคราที่พบกับซิ่นเฉิงครั้งแรก แค่นั้นก็รู้แล้วว่าระหว่างสหายของเขากับชายหนุ่มจากทะเลทรายนั้นเป็นมากกว่านายและทาส หากแต่ไม่คิดว่าเทียนอี้จะถลำลึกถึงเพียงนี้

“เจ้าไปพักผ่อนก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญจะสะสาง”

เมื่อเข้ามาในจวนแล้วสัมผัสได้ถึงสายตากดดันจากพ่อบ้านและสหายที่ลอบมองอยู่ไม่ไกล เทียนอี้ก็หันไปบอกกับซิ่นเฉิงทันทีที่มาถึงยังหน้าเรือนใหญ่ ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ทิ้งตัวลงจากหลังม้า ก่อนจะต้องชะงักขาเมื่อทำท่าจะเดินไปเมื่อเทียนอี้คว้าต้นแขนเอาไว้

“ไปพักที่ห้องข้า ไม่ต้องกลับเรือนนอน ต่อจากนี้ห้องของข้าคือห้องนอนของเจ้า”
ความอุ่นร้อนแผ่ซ่านทั่วใบหน้า ซิ่นเฉิงไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะร่างกายยังคงสั่งสมความร้อนจากแสงอาทิตย์ในทะเลทรายหรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่ของเทียนอี้กันแน่ ทว่าเมื่อจะสวนกลับ เทียนอี้ก็โน้มใบหน้าลงมาใกล้ แตะปลายจมูกเย็นชื้นลงบนปลายหูแผ่วเบา
“แล้วชำระล้างร่างกายให้สะอาดเสีย เนื้อตัวเจ้ามีฝุ่นผงติดมา หากเจ้าไม่ชำระล้างด้วยตนเอง ข้าจัดการธุระเสร็จเมื่อใด จะล้างให้เจ้าไปทุกซอกมุม”
“เจ้ามันช่างเหมือนสุนัขในฤดูผสมพันธุ์” ซิ่นเฉิงค่อนแคะ

ช่างหยาบคายนัก แต่เมื่อเทียนอี้เห็นใบหน้าบึ้งตึงของซิ่นเฉิงที่คล้ายจะกักเก็บความเขินอายไว้ภายใน เขาก็หาได้ต่อว่าใดๆ นอกจากจะยกยิ้มรับและคลายฝ่ามือจากคนตรงหน้า รอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินหายเข้าไปในเรือนใหญ่ถึงได้เดินไปยังห้องรับรอง ทันทีที่เข้ามาถึงก็เห็นหมิงจูนั่งรออยู่ในนั้นแล้ว หมิงจูเหลือบมองขณะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนจะเปรยออกมาหลังจากคนมาใหม่ทรุดตัวนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“พ่อบ้านเหลียงผิดหวังในการตัดสินใจของมนุษย์นั่นน่าดู”
จากนั้นก็ชำเลืองมองไปยังพ่อบ้านเหลียงที่ไม่แสดงท่าทีใดๆ นอกจากจะพูดเสียงเรียบ
“ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้ท่านแม่ทัพเทียนอี้ประสบปัญหาดังเช่นในอดีตอีก”

เทียนอี้รู้ดีว่าพ่อบ้านเหลียงคิดอย่างไร สำหรับข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ผู้นี้ ไม่เคยมีครั้งใดที่การกระทำของเขาไม่เป็นเพราะหวังดี แม้กระทั่งการหาฮูหยินให้ตบแต่ง ถึงจะดูจุ้นจ้านชวนให้น่ารำคาญ แต่นั่นก็เพราะต้องการให้เขาลืมเลือนคนรักในอดีตอย่างหลิวซู หาใช่การมีทายาทเพื่อสืบปณิธานในกองทัพแต่อย่างใด เหตุใดเทียนอี้จึงจะไม่รู้

แต่ชีวิตนี้คือของเขา... เขาจะรักใคร่เอ็นดูผู้ใดคือสิทธิของเขา
“ขอบน้ำใจเจ้าที่เป็นห่วง แต่ข้าไม่เป็นไร”

ได้ยินเช่นนั้น พ่อบ้านเหลียงก็ถอนหายใจออกมายาว

แค่มนุษย์ผู้นั้นคนเดียวยังไม่พออีกหรือ? เหตุใดจึงต้องลิขิตชะตาของเทียนอี้ให้ได้ประสบผูกพันกับซิ่นเฉิงด้วยอีกคนกัน?

หากแต่ก็หาได้พูดอะไร ในเมื่อซิ่นเฉิงเลือกที่จะกลับมา และเทียนอี้ก็มีความยินดียิ่ง พ่อบ้านอย่างเขาก็ได้แต่สงบปากและทำหน้าที่ของตนต่อไปเท่านั้น ขณะที่หมิงจูเหล่มองแล้วเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง
“ดูท่าทางเจ้าจะเอ็นดูเจ้าแมวป่านั่นยิ่งนัก”
เทียนอี้เงียบ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ปล่อยให้สหายพูดต่อ
“รักใคร่ราวกับว่าเจ้านั่นคือหลิวซูกลับมาเกิด”

คราวนี้เทียนอี้ถึงกับมองหน้าคนพูด วางถ้วยน้ำชาลงพลัน
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น”
“ข้าก็สังเกตดูจากท่าทางของเจ้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่หลิวซูจากไป มีครั้งใดบ้างที่เจ้าสนใจมนุษย์ผู้อื่นเยี่ยงนี้”

การสันนิษฐานของหมิงจูช่างเที่ยงตรง เทียนอี้ก็ตระหนักได้ในครานี้ว่าการกระทำของตนนั้นผิดแผกไปจากเดิมมากเพียงใด จากตอนแรกที่เพียงต้องชะตา ตอนนี้กลับกลายเป็นรักใคร่ และอาจจะทบทวีไปมากกว่าเดิมด้วยถ้าเวลาผันผ่าน
เห็นสหายไม่ตอบโต้ใดๆ หมิงจูก็ระบายลมหายใจ

“เจ้านี่น้า ข้าเตือนแล้วไม่ใช่หรือไรว่าอย่ายุ่งกับมนุษย์ การข้องเกี่ยวกับมนุษย์นั้นไม่เป็นผลดี เจ้าจำไม่ได้หรือไรว่าเทพไม่อาจมีรัก”
“แต่ข้าไม่ได้เป็นเทพ” เทียนอี้เถียง แล้วก็ต้องสงบปากสงบคำไปทันทีที่หมิงจูว่าออกมา
“ถึงจะไม่ได้เป็นเทพ แต่การข้องเกี่ยวกับมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องดีใช่หรือไม่ล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้าก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วไม่ใช่หรือ? มีผู้ใดบ้างที่มีความสุขกัน มีแต่ความทุกข์ระทมเนิ่นนานจวบวันนี้” จากนั้นก็พ่นลมหายใจเล็กน้อย “แม้แต่ข้องเกี่ยวกับเทพด้วยกันยังไม่ส่งผลดีเลย”

สิ่งที่หมิงจูพูดทำให้ภาพในอดีตหวนคืนสู่ภวังค์ความทรงจำของคนฟัง การสูญสิ้นของหลิวซูในสองภพชาตินั้นช่างนำพาความเจ็บปวดมากมายนัก หากเป็นไปได้ เทียนอี้ก็ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น แต่จะให้เขาทำอย่างไร ในเมื่อเขาได้เคยให้สัตย์สาบานไว้ อีกทั้งหลิวซูเองก็ได้มอบสัญญาให้เขาเช่นกัน คนที่ผิดนั้นคือเจี้ยนสือต่างหากที่พลัดพรากทุกอย่างจากเขาไป

“ข้าไม่อยากให้สหายของข้าวิวาทกันเพียงเพราะมีรักหรอกนะ ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องปล่อยวางกันได้แล้ว” หมิงจูว่าออกมาอีก เทียนอี้รู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงเจี้ยนสือ
“ข้าจะปล่อยก็ต่อเมื่อได้พบซูซูอีกครั้ง”

หมิงจูหน่ายใจหนัก กลอกตาแล้วว่ากลับทันใด
“ใจเจ้ายังคงมีหลิวซู แต่ในยามนี้ เจ้าก็มีใจปฏิพัทธ์กับเจ้าแมวป่านั่น ข้าไม่คิดเลยว่าแม่ทัพใหญ่ที่เคยเกรียงไกรเช่นเจ้าจะมีใจโลเลได้ถึงเพียงนี้”

นับได้ว่าหมิงจูพูดในสิ่งที่พ่อบ้านเหลียงคิดไว้ในใจออกมาเลยทีเดียว และนั่นก็ทำให้คนถูกตอกกลับเงียบนิ่งไปทันควัน
“ถือเสียว่าเห็นแก่ข้ากับพ่อบ้านเหลียงที่เป็นห่วงเจ้า เจ้าเลือกสักทางเถิดว่าจะปักใจรักมั่นผู้ใดกันแน่ แค่ข้องเกี่ยวกับมนุษย์ก็แย่พออยู่แล้ว ยังจะลากมาถึงสองชีวิต ปัญหาวุ่นวายจะตามมาไม่จบสิ้นนะข้าขอเตือนไว้”

เทียนอี้รู้ว่าครั้งที่หลิวซูยังมีชีวิตอยู่ ระหว่างพวกเขาเกิดเรื่องอลหม่านเพียงใด แต่ว่า...
“เจ้าไม่คิดว่าเฉิงเฉิงจะเป็นซูซูกลับมาเกิดบ้างหรือ?”

พอเทียนอี้ถามไปเช่นนี้ ทั้งหมิงจู ทั้งพ่อบ้านเหลียงก็พากันชะงักงัน
“เจ้าหมายถึง...”
“บางทีเฉิงเฉิงอาจจะเป็นซูซูกลับชาติมาหาข้าก็เป็นได้”

ได้ยินสหายเอ่ย หมิงจูก็ย่นคิ้วหนัก
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?”

ที่ถามเพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะต่อให้มากำเนิดใหม่เป็นมนุษย์หรือปีศาจใด ใบหน้าของหลิวซูย่อมจะต้องเหมือนดังเดิมด้วยรูปวิญญาณเป็นเช่นนั้น ไม่เคยมีครั้งใดที่สวรรค์อนุญาตให้มีรูปลักษณ์อื่นนอกจากรูปวิญญาณเดิมของตน แม้แต่เขาเองที่ถูกลงทัณฑ์ให้กลายเป็นเทพอสูรก็ยังคงรูปลักษณ์เดิมเมื่อครั้งยังเป็นเทพ หากแต่เมื่อได้ยินคำตอบของเทียนอี้แล้ว เขาก็นิ่งงันไป

“ข้าต้องชะตากับเฉิงเฉิงนัก... ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า ความรู้สึกนี้เป็นเช่นเดียวกับยามที่ข้าได้พบเจอหลิวซูในงานประทานผลท้อ”

ภาพความทรงจำไหลเวียนมาสู่หมิงจู เขาจำได้ดีว่าสายตาของเทียนอี้ยามได้ประสบพบหน้ากับหลิวซูในยามนั้นฉายชัดเจนว่าหลงใหลอีกฝ่ายเพียงใด อันที่จริงแล้ว หลิวซูเป็นเพียงเทพชั้นผู้น้อยที่หาได้มีรูปลักษณ์โดดเด่นหรือน่าดึงดูดใดๆ ออกจะค่อนไปทางเลือนรางเสียด้วยซ้ำ เขาต้องใช้เวลานานอยู่ทีเดียวกว่าจะจำใบหน้าของหลิวซูได้ แต่แล้วทำไม...

ไม่อยากจะครุ่นคิดให้ปวดหัวหรอก จึงได้แต่พ่นลมหายใจแรงๆ

“เจ้าก็เลยคิดจะใช้ซิ่นเฉิงเป็นตัวแทนหลิวซูเช่นนั้นสิ?”
เป็นคำถามที่อยู่ในใจของพ่อบ้านเหลียงเช่นนั้น สิ่งนั้นทำให้เทียนอี้ต้องครุ่นคิดไป

เขาคิดว่าซิ่นเฉิงเป็นตัวแทนของหลิวซูหรือ? ...เกิดสับสนในใจไปชั่วครู่ ผ่านไปหนึ่งเค่อก็ได้คำตอบ

“ไม่ หากข้าจะมีใจปฏิพัทธ์ใด นั่นก็เพราะเฉิงเฉิงคือเฉิงเฉิง หาใช่ตัวแทนของซูซู”
“ถ้าเจ้ารักใคร่เจ้านั่น แล้วหลิวซูล่ะ เจ้าจะปล่อยวางเช่นนั้นหรือ?”

ไร้คำตอบจากเทียนอี้ เขาไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ หลิวซูก็ยังรักมั่น ขณะเดียวกัน ซิ่นเฉิงก็แทรกซึมเข้ามาในใจของเขาทีละน้อย ...ไม่อาจตัดสินใจเลือก

“ก็แสดงว่าเจ้าจะรักใคร่ทั้งสองคน” หมิงจูว่าเมื่อไม่ได้รับคำตอบ พลันปวดศีรษะหนึบขึ้นมาด้วยรู้สึกถึงปัญหาที่ก่อเค้ารางๆ ในเบื้องหน้าทีละน้อย และทำได้แค่หัวเสียเท่านั้น “เจ้านี่นะ... เอาเป็นว่าข้าเตือนเจ้าแล้วก็ละกัน อย่าปล่อยใจให้ถลำลึก หากเจ้ามิอาจหักห้ามใจไม่ให้รักใคร่ ก็จงเลือกเอาสักคน คิดถึงเบื้องหน้าด้วยว่าหากหลิวซูกลับมาเกิด แล้วเจ้าจะเอาซิ่นเฉิงไปไว้ที่ไหน ทางที่ดี...อย่าข้องเกี่ยวทั้งสองคน ปล่อยวางเสียบ้าง หมดธุระแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

พูดออกมาเสียยาวแล้วก็ตัดบทเอาดื้อๆ จากตอนแรกที่หมายจะได้พบเจอเรื่องสนุก กลายเป็นว่าหมิงจูต้องกลับจวนด้วยความหัวเสียเล็กน้อยที่สหายดูจะทำสายสัมพันธ์บางๆ ระหว่างพวกเขาให้ยุ่งยากขึ้นไปอีก

คล้อยหลังของหมิงจู เทียนอี้ก็เหม่อมองไปยังพื้นตรงหน้าอย่างไร้จุดหมาย ขบคิดถึงคำพูดที่หมิงจูกล่าวไว้

...เขาไม่ควรรักใคร่ทั้งสองคนในเวลาเดียวกันอย่างที่หมิงจูว่า แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวซูหรือซิ่นเฉิง เขาก็ไม่อาจขาดได้ทั้งนั้น
สีหน้าเคร่งเครียดของแม่ทัพใหญ่ทำให้พ่อบ้านเหลียงไม่รบกวนใดๆ แม้ในใจจะมีเรื่องมากมายอยากพูดก็ตาม ได้แต่ถามไปด้วยหน้าที่

“ท่านแม่ทัพจะให้ข้าน้อยทำสิ่งใดให้หรือไม่ขอรับ”
“ไม่เป็นไร เจ้าไปพักเถิด ข้าจะกลับไปหาเฉิงเฉิงที่ห้อง”

พูดจบก็ลุกออกไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก สายตาของพ่อบ้านจระเข้มองตามอย่างเป็นห่วง

หากท่านคิดจะรักใคร่มนุษย์น่ารำคาญผู้นั้นจริง ก็ขอให้คราวนี้อย่าได้มีเหตุใดมาทำให้ท่านเป็นทุกข์อีกเลย...



 
ครั้นกลับมาถึงห้องนอน เทียนอี้ก็เห็นซิ่นเฉิงแช่ตัวอยู่ในอ่างไม้ซึ่งมีน้ำอุ่นอยู่เต็มอ่างในมุมหนึ่งของห้อง การเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ส่งเสียงใดๆ เพื่อบอกให้รับรู้ล่วงหน้าทำเอาคนที่แช่น้ำอยู่นั้นสะดุ้งเฮือก พอหันไปเห็นว่าเป็นเจ้าของห้องก็ชักสีหน้าด้วยหงุดหงิด

“เหตุใดจึงไม่ส่งเสียงก่อนเล่า เจ้าเกือบทำข้าตกใจตายแล้วเห็นไหม”
“ขออภัย”
เทียนอี้ว่าเสียงเบา ก้าวเดินมาหยุดตรงหน้าอ่าง มองใบหน้าของซิ่นเฉิงที่มีหยดน้ำเกาะพราวนิ่งโดยไม่พูดอะไร จนอีกฝ่ายต้องถามเสียงขุ่น
“มีสิ่งใดอยากพูดก็จงพูดมา”
“ข้าแช่น้ำกับเจ้าด้วยได้หรือไม่?” จู่ๆ ก็ถามเรื่องน่าอาย
คนถูกถามย่นคิ้ว “อยากจะอาบน้ำกับข้า?”

เทียนอี้พยักหน้า และไม่รอให้ได้รับอนุญาตใดๆ เอื้อมมือไปปลดสายคาดเอว เปลื้องอาภรณ์ออกจนเหลือแต่ร่างกายเปลือยเปล่า ก่อนจะก้าวลงมาในอ่าง ซิ่นเฉิงไม่ทันได้หลบเพื่อแบ่งพื้นที่ให้ก็หาได้สนใจ คว้าเอาอีกฝ่ายมากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างถือวิสาสะขณะที่ตนนั่งพิงขอบอ่าง

เส้นขนสีเงินยวงเปียกน้ำจนลู่ลง น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้น้ำในอ่างกระฉอกเลอะพื้น ทว่าเทียนอี้ก็หาได้สนใจสิ่งนั้น นอกจากจะซุกใบหน้าลงบนซอกคอของคนในอ้อมแขนจากทางด้านหลัง ขณะที่ซิ่นเฉิงโวยวาย
“เจ้านี่ช่างเอาแต่ใจนัก ข้ายังไม่ทันได้ขยับก็ลงมาแล้ว น้ำหายไปเกือบครึ่ง!”

หายไปเกือบครึ่งอ่างจริงอย่างที่ซิ่นเฉิงว่า แต่เทียนอี้จะสนใจสิ่งใดกัน หัวเราะขบขันกับการโวยวายของชายหนุ่ม พลางว่าเสียงเบา
“ข้าจะให้พ่อบ้านเหลียงเอาน้ำมาเติมให้”
“หากจะต้องเจอหน้าเจ้าจระเข้นั่น ข้าแช่น้ำเท่านี้ก็ได้”

ความไม่อยากเจอพ่อบ้านเหลียงมีมากกว่าเพราะไม่อยากถูกสายตาระอาใจคู่นั้นทิ่มแทง ดังนั้นจึงยอมนั่งนิ่งๆ ก่อนที่ใจจะเต้นระส่ำขึ้นมาเมื่อตระหนักได้ว่าการมานั่งแช่น้ำกับเทียนอี้เช่นนี้ ร่างกายของเขานั้นเปล่าเปลือย... ไม่เพียงแต่ร่างกายเขาด้วย ร่างกายเทียนอี้ก็เช่นกัน แม้จะเคยเห็นเทียนอี้ในร่างเทพอสูรมาบ่อยครั้ง แต่ก็หาได้เคยเห็นในสภาพไร้อาภรณ์สักครั้ง เมื่อครู่...เพิ่งจะเป็นครั้งแรก

ถึงจะมีศีรษะ หาง รวมถึงท่อนขาเป็นสุนัขป่า แต่ส่วนบนตั้งแต่ลำคอลงไป...ล้วนแล้วคล้ายคลึงกับร่างกายมนุษย์ รวมถึง ‘สิ่งนั้น’
มันคือความเป็นบุรุษเพศ ซึ่งบัดนี้ได้ดุนดันที่อยู่บั้นท้ายของเขาซึ่งนั่งอยู่ในหว่างขาของแม่ทัพใหญ่ และดูเหมือนจะแข็งขืนขึ้นมาด้วยแล้วเพราะหลังจากที่ได้ตระกองกอดเขาไว้ในอ้อมแขน เทียนอี้ก็เอาแต่ดอมดมจุมพิตอยู่ที่ใบหน้าและซอกคอซิ่นเฉิงไม่ห่าง

“เจ้าคิดจะกระทำการใดอยู่กันแน่เจ้าหมา” ออกปากถามไปจนได้

เทียนอี้ที่อ้าปากงับไปตามหัวไหล่แกร่ง ซุกไซ้จมูกลงบนเส้นผมเปียกน้ำของซิ่นเฉิงผงกศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อสบกับสายตาจับผิดของคนตรงหน้าก็ตอบเสียงเรียบ
“หาได้คิดทำสิ่งใด”
“ไม่ได้คิดทำสิ่งใด แล้วเจ้าจะมีกำหนัดทำไม”

เทียนอี้นิ่งเงียบ ไร้ซึ่งคำแก้ตัว... เขามีกำหนัดจริงอย่างที่ซิ่นเฉิงว่า แต่จะไปทำสิ่งใดกันได้ล่ะนอกจากเชยชมเรือนร่างบุรุษตรงหน้าอย่างละเลียดเท่านั้น

ไม่ตอบไม่พอ ยังจะหยอกเย้าส่วนต่างๆ ของร่างกายซิ่นเฉิงมากขึ้นไปอีก ซิ่นเฉิงเองก็เป็นบุรุษ ครั้นถูกกระตุ้นเร้ามากๆ เข้าก็ย่อมเกิดกำหนัดเช่นกัน ส่วนกลางของลำตัวชูชัน แต่นั่นหาใช่สิ่งที่ต้องกังวลด้วยเทียนอี้ตั้งใจจะปลดเปลื้องเพลิงกามารมณ์ให้อยู่แล้ว
ทว่า...เมื่อมือหนาเข้ากอบกุมแก่นกายและรูดรั้ง ซิ่นเฉิงที่หอบหายใจหนักก็ยับยั้งมือนั้นไว้ หันไปมองอีกฝ่ายพลางออกคำสั่ง

“หยุดก่อน” ทันทีที่เทียนอี้มองหน้าเป็นเชิงถาม ซิ่นเฉิงก็พูดขึ้นมาอีก “เจ้าไม่ต้องช่วยข้าเช่นนี้แล้ว”
“ทำไม ในเมื่อเจ้าก็เป็นถึงเพียงนี้” ว่าพลางพยักเพยิดไปยังแกนกลางลำตัวของซิ่นเฉิงซึ่งบัดนี้ผงาดง้ำเต็มที่
“ใช่ ไม่ต้องทำแล้ว” ซิ่นเฉิงย้ำคำ สร้างความประหลาดใจให้เทียนอี้ยิ่งนัก ก่อนจะเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดก็เมื่อชายหนุ่มเอ่ยตามมา “เจ้าเองก็เป็นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่ปลดเปลื้องตนเองบ้างเล่า”

ช่างเป็นเรื่องน่าอายที่พูดออกไปตามตรง ทว่าตั้งแต่ที่เผลอไผลกับเทียนอี้มา ก็แทบนับครั้งที่เทพอสูรผู้นี้จะปลดเปลื้องอารมณ์กำหนัดของตนเองได้เลย ส่วนมากเป็นการกระทำให้ซิ่นเฉิงเท่านั้น

เมื่อประจักษ์ดังนี้ เทียนอี้ก็ยกยิ้ม “เจ้าอยากให้ข้าทำการใดล่ะ” ช่างเป็นคำพูดที่หยอกเย้านัก หูตาก็พลันแพรวพราวขึ้นมา
“เจ้าอยากกระทำไปถึงที่สุดหรือไม่?”

ไม่ต้องอธิบาย คนฟังก็เข้าใจดีว่าซิ่นเฉิงหมายถึงสิ่งใด

กระทำถึงที่สุด... คือการที่ซิ่นเฉิงยอมมอบกายให้เฉกเช่นอิสตรี อันที่จริง เทียนอี้ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินคำนั้น คนเช่นซิ่นเฉิงหาได้ยินยอมผู้ใดโดยง่าย การที่เป็นฝ่ายเอ่ยปาก นั่นหมายถึงเขาเองก็มีใจปฏิพัทธ์ต่อเทียนอี้เช่นกัน

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าพูดสิ่งใดออกมา”
ซิ่นเฉิงแหงนหน้ามอง เสยเส้นผมเปียกน้ำที่ปรกใบหน้าขึ้น เผยให้เห็นรูปหน้าคร้ามสมส่วน
“หากไม่รู้ ข้าจะพูดหรือ? ว่าแต่เจ้าเถิด จะทำหรือไม่ เป็นบุรุษด้วยกัน ยอมให้เจ้าสักคราคงไม่เป็นไร”

น่าดีใจจริงๆ หากทว่า...เทียนอี้กลับรู้สึกผิดขึ้นมา

เขาไม่อาจร่วมรักอย่างลึกซึ้งกับซิ่นเฉิงได้ตราบใดที่เขายังมีหลิวซูอยู่ในใจ... ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น
“เฉิงเฉิง... ข้าร่วมรักกับเจ้าไม่ได้”

หัวคิ้วเรียวของคนฟังขมวดมุ่นทันใด “เพราะเหตุใด”
“เจ้า...อยากให้ข้าได้ร่วมรักกับเจ้าโดยที่ใจของข้ายังคะนึงหาผู้อื่นอยู่เช่นนั้นหรือ?”

ใจของซิ่นเฉิงชาวูบในทันใด ...ผู้อื่น หมายถึงหลิวซูล่ะสินะ

เข้าใจในยามนั้นอย่างถ่องแท้ พลันดวงตาแข็งกร้าวของชายหนุ่มก็วูบไหวเล็กน้อย ขณะที่แววตาของเทียนอี้ที่มองมาช่างดูเจ็บปวดยิ่งนัก

“ข้าไม่อยากให้สายสัมพันธ์ของเจ้ากับข้าเป็นเพียงสายลมพัดผ่านไป”

สิ่งนั้นสัตย์จริง... เขามีใจปฏิพัทธ์กับซิ่นเฉิงและอยากผูกสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่ต้องไม่ใช่ในยามที่ใจของเขายังคงมีใครอีกคนอยู่ อย่างที่หมิงจูว่า เขาต้องเลือกสักคน และหากเขาเลือกที่จะมีซิ่นเฉิงข้างกาย เขาก็ต้องปล่อยวางหลิวซูให้ได้... ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาเนิ่นนานแค่ไหน เขาก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้น คนที่เจ็บปวดจะต้องเป็นคนตรงหน้าเขาในยามนี้ เขาไม่ควรลากให้ซิ่นเฉิงมาวนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งความร้าวรานอีกคน

“ข้าไม่ใคร่ทำร้ายเจ้า” เทียนอี้ย้ำออกมาอีกครั้ง

แต่...คงสายไปแล้ว หัวใจของซิ่นเฉิงบีบรัด แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยปากว่ารู้สึกกับเทพอสูรตนนี้เช่นไร แต่ข้างในจิตใต้สำนึกนั้นบอกเขาชัดเจนดีว่ารักใคร่เทียนอี้เพียงใด...ถึงนั่นจะเป็นเพราะความเผลอไผลก็ตาม

ซิ่นเฉิงสูดหายใจเข้าเต็มปอด ปรับสีหน้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “ดี! ในเมื่อเจ้าไม่ใคร่ร่วมรักกับข้า ข้าก็จะได้ไม่ต้องเปลืองตัว เท่านี้ก็เผลอไผลไปกับเจ้ามากโข แล้วนี่จะแช่น้ำอีกนานไหม น้ำเย็นหมดแล้ว ข้าจะขึ้นละ”

สิ้นเสียงก็ลุกพรวด ก้าวออกจากอ่างน้ำ ปล่อยให้เทียนอี้นั่งแช่อยู่ดังเดิม คว้าเอาผ้ามาซับเรือนกาย กระทำทุกอย่างด้วยท่าทางปกติ ซึ่งนั่นคือการเสแสร้ง เทียนอี้เองก็รับรู้ได้ ทว่าไม่พูดสิ่งใดออกไป ทำเพียงพร่ำบอกกับตนเองในใจเท่านั้น

ข้าจะรักเจ้าให้เต็มหัวใจสักวัน...




 
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 14: หวงแหน[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 13-09-2017 23:30:29
บทที่ 15: จุมพิษ[2]

การแสร้งทำเหมือนไม่เป็นไรช่างสร้างความอึดอัดให้ซิ่นเฉิงยิ่งนัก เขาหายใจไม่สะดวกมาตั้งแต่ขึ้นจากอ่างน้ำแล้ว กระทั่งเทียนอี้ไปให้พ่อบ้านเหลียงช่วยซับน้ำออกจากขน และนำกำลังพลทหารของจวนไปลาดตระเวนในยามราตรีเนื่องจากเจ็ดราตรีต่อจากนี้เป็นเวรยามของทหารจวนเขา ซิ่นเฉิงก็ออกมานั่งรับลมบนกิ่งท้อในสวน

ถึงจะพยายามสงบจิตสงบใจเพียงใด แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้หายกระสับกระส่ายเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เทียนอี้พูดในวันนี้ช่างรบกวนจิตใจเขานัก ก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนหายใจออกมา พร้อมกับคำถามที่ผุดพรายขึ้นมาในหัว

เขามาทำอะไรอยู่ที่นี่กัน?

เข้าใจได้ว่าในคราแรกที่มาอยู่ที่นี่เป็นเพราะมาช่วยซิ่นจิน สวนสวยในจวนแห่งนี้หาใช่ที่ของเขา ทะเลทรายต่างหากคือแดนสวรรค์ แต่เมื่อสบโอกาสให้จากไป ไยเขาถึงเลือกที่จะไม่ไป?

คำตอบก็ชัดเจนว่าที่ไม่ไปเป็นเพราะไม่อยากห่างกายเทียนอี้ แต่...เมื่อครั้งที่ได้ยินว่าในใจของเทพอสูรผู้นั้นยังคงมีคนรักเก่าอยู่ เขาก็ต้องมาบริภาษตนเองหลายครั้งหลายคราว่าโง่เขลาสิ้นดี ยิ่งทอดสายตามองไปยังเครื่องประดับที่พี่น้องในเผ่ามอบให้ซึ่งเขาสวมอยู่ทั้งข้อมือและข้อเท้า พลันก็ทำให้สับสนในตนเองยิ่งนัก

ไป...หรือไม่ไป จะมีความหมายใดในเมื่อหัวใจของเขาเสี้ยวหนึ่งได้มอบให้เทพอสูรตนนั้นไปแล้ว

ซิ่นเฉิงทิ้งตัวลงจากกิ่งท้อ ไม่ใคร่จะครุ่นคิดให้ปวดหัวอีกต่อไป ราตรีนี้ช่างเย็นสบายนัก เขาควรลอบหนีไปเที่ยวให้สำราญใจจะดีกว่า

คิดดังนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงจวนไป แต่ก็หาได้มีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัด รู้ตัวอีกคราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าจวนของเจี้ยนสือโดยไม่รู้ตัวแล้ว จะให้เข้าไปหาก็ใช่เรื่องปกติแต่อย่างใดไม่ ซิ่นเฉิงพ่นลมหายใจออกมา หมายจะไปที่อื่นแทน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อพ่อบ้านของจวนรีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับ

“ท่านแม่ทัพให้มาเชิญท่านเข้าไปด้านในขอรับ”
ซิ่นเฉิงเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย ก่อนจะหายประหลาดใจด้วยตระหนักได้ว่าจังหวะการเคลื่อนไหวของเขาคงจะทำให้เจี้ยนสือสัมผัสได้เข้า ถึงได้รีบให้พ่อบ้านออกมาเรียกเช่นนี้

เท่านั้นชายหนุ่มก็ก้าวตามหลังพ่อบ้านเข้าไป ก่อนจะไปหยุดยืนที่สวนซึ่งมีร่างของเจี้ยนสืออยู่ อีกฝ่ายนั่งอยู่บนโขดหินก้อนเดิมที่เคยนั่งสนทนากับซิ่นเฉิงในหลายราตรีก่อน ครั้นเห็นคนมาใหม่ก็หยักยิ้มขึ้น

“เจ้านายของเจ้ามีหน้าที่ให้จัดการ เจ้าก็หนีออกมาเที่ยวซุกซนเชียวนะเจ้าเหมียว ดึกมากแล้วมิใช่หรือ? ไยจึงไม่กลับไปอีก”
“เจ้าเองก็ไยไม่หลับไม่นอน ดึกมากแล้วมิใช่หรือ?”
ช่างยอกย้อนนัก... เจี้ยนสือหัวเราะขัน ก่อนจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงไปของคนตรงหน้า
“เจ้า...วันนี้ช่างดูแปลกตา เป็นเพราะเครื่องประดับของเผ่าเจ้ากระมัง”

ซิ่นเฉิงยกแขนข้างหนึ่งที่มีสร้อยข้อมือซึ่งทำจากเงินขึ้นสูง เขย่าจนเกิดเสียงกรุ๋งกริ๋ง
“เทียนอี้คืนมันให้กับข้า ข้าจึงนำมาใส่”

ก็ต้องเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นซิ่นเฉิงจะมีเครื่องประดับเหล่านี้ได้อย่างไร

“เหมาะกับเจ้าดี ดูเป็นคนทะเลทราย แล้วเหตุใดถึงได้มาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าจวนข้ายามวิกาล?”
“ข้ามีเรื่องให้ขบคิดเล็กน้อย ครั้นจะมาผ่อนคลาย รู้ตัวอีกคราก็มาอยู่หน้าจวนเจ้าแล้ว”
“จิตใต้สำนักพามาอย่างนั้นหรือ?”
“คงจะเป็นเช่นนั้น”

 เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นประสาน การสนทนากับเจี้ยนสือทำให้ผ่อนคลายความกลัดกลุ้มลงไปได้บ้าง หากแต่ครั้งจะก้าวเข้าไปหา หมายจะทรุดตัวนั่งลงบนโขดหินอีกก้อนที่อยู่ข้างกันเพื่อสนทนาพาทีให้มากขึ้น สายลมก็พัดพาเอากลิ่นสาบของสุนัขป่ามาให้ได้กลิ่น

งูจงอางรับรู้กลิ่นได้ไม่ดีเท่ากับการรับรู้ถึงการเคลื่อนไหว กระทั่งซิ่นเฉิงเข้ามาใกล้ถึงได้กลิ่น ฉับพลันความรื่นเริงเมื่อครู่ก็อันตรธานหายไปเมื่อรับรู้ได้ว่าร่างกายของซิ่นเฉิงถูกอาบไปด้วยกลิ่นของสหายมากเพียงใด

ไม่รอให้ซิ่นเฉิงเดินเข้ามาหาด้วย เจี้ยนสือเป็นฝ่ายผุดลุกและก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้าเข้าที่ข้อมือของชายหนุ่มเต็มแรง

“ตัวของเจ้า...อบอวลไปด้วยกลิ่นของเทียนอี้”

ซิ่นเฉิงชะงัก ครั้นเห็นดวงตาสีเหลืองอำพันของเจี้ยนสือที่วาวโรจน์ไปด้วยความเกรี้ยวกราดแล้วก็สัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดี ขณะที่เจี้ยนสือข่มเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อพอจะเดาทางของสหายออกว่าคิดจะทำการใดกับมนุษย์หนุ่มผู้นี้ พลันในใจก็ร้อนวูบวาบดุจถูกเพลิงเผาผลาญ

ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก เหตุใดเขาจะต้องเดือดดาลเพราะคนตรงหน้านี้ด้วย?

คงเป็นเพราะภาพความหลังเมื่อครั้งที่วิวาทกันผุดพรายขึ้นมากระมัง เขาถึงได้โกรธาเช่นนี้ แต่...ซิ่นเฉิงหาใช่คนที่เขารักเฉกเช่นหลิวซูไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดถึงได้หัวเสียเพราะการกระทำของเทียนอี้กัน

แม้แต่ซิ่นเฉิงเองก็สงสัย แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงเป็นเพราะวิวาทกันมาแต่ก่อนอยู่แล้วถึงได้มีอากัปกิริยาเช่นนี้ กระนั้นก็ออกปากถาม

"เจ้าไม่พอใจด้วยเหตุผลใด"

เมื่อได้ยินคำถาม ฝ่ามือที่กอบกุมข้อมือของซิ่นเฉิงอยู่ก็ยิ่งบีบแน่นจนความเจ็บปวดแล่นพล่าน ทว่าชายหนุ่มก็หาได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา นอกเสียจากรอฟังคำตอบของอีกฝ่ายเท่านั้น

"ข้าไม่พอใจ" เจี้ยนสือเอ่ยปากอย่างซื่อตรง ก่อนจะแค่นเสียงต่ำออกมา "เพราะเจ้านั่นจะยึดครองเจ้าไว้เพียงผู้เดียว"

เรื่องที่เทียนอี้หมายจะยึดครองเขานั้น ซิ่นเฉิงรู้อยู่แล้วเพราะวันนี้เมื่อตอนที่ไปทะเลทราย เทียนอี้ก็ได้เอ่ยไว้ว่าจะกักขังเขา อีกทั้งท่าทางที่เทียนอี้แสดงออกก็พอจะรู้ว่าความรู้สึกที่มอบให้เข้านั้นมันมากกว่าความเอ็นดู หากแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นความรักใคร่จริงแท้หรือไม่ เพราะในใจของเทียนอี้ยังคงมีหลิวซูอยู่

กับเจี้ยนสือก็เช่นกัน ในเมื่อในใจเองก็มีหลิวซู แล้วเหตุใดถึงได้แสดงอาการหวงแหนเขาออกมาเช่นนี้ หาใช่การหวงแหนเพราะห่วงใยด้วย แต่เป็นการหวงแหนดุจคนรัก...ซิ่นเฉิงคิดว่าตนคาดเดาไม่ผิดแน่

"ไม่มีผู้ใดยึดครองข้าได้ ร่างกายและชีวิตนี้เป็นของข้า"

แม้จะสงสัยกับการกระทำของเจี้ยนสือ แต่ซิ่นเฉิงเลือกที่จะตัดบทด้วยคิดว่ายามนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่แล้ว

ครั้นสะบัดมือออกจากการเกาะกุม หมายจะกลับจวนด้วยเห็นว่าป่วยการจะพูดคุยต่อ เจี้ยนสือก็รีบถลามารั้งหัวไหล่เอาไว้ ความเดือดดาลพวยพุ่งยิ่งกว่าเดิม ยิ่งคิดว่าซิ่นเฉิงต้องตกเป็นของเทียนอี้ เขาก็หวงแหนเสียจนแทบคลั่ง ก่อนจะดึงกระชากเอาร่างของมนุษย์หนุ่มมารวบไว้ในอ้อมแขน เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้หมายครอบครองริมฝีปากอย่างรวดเร็ว

ซิ่นเฉิงเห็นดังนั้นก็ตระหนก เพราะยามนี้เจี้ยนสือยังอยู่ในร่างของเทพอสูร ทำเอาเขาร้องโพล่งออกมา

"เขี้ยวของเจ้ามีพิษ เจ้าหมายจะสังหารข้าหรือไร!?"
อารามนั้นทั้งหวั่นวิตก อีกทั้งโมโหขึ้นมาในคราเดียว

เจี้ยนสือแสยะยิ้มออกมา ส่งเสียงต่ำที่เจือไปด้วยโทสะ
"หากเจ้าจะต้องเป็นของผู้ใด สู้ให้เจ้าสิ้นชีพด้วยน้ำมือของข้าเสียยังดีกว่า"

ไม่คาดคิดว่าเจี้ยนสือจะพูดเช่นนี้ แต่จากแววตาที่ทอดมองมายังตนแล้ว ซิ่นเฉิงก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดไปอย่างนั้นแน่ ก่อนที่เขาจะสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่แตะลงมาบนริมฝีปาก ความเรียบลื่นนั้นสร้างความรู้สึกประหลาดในพร่างพรายในใจ ขณะเดียวกันก็เกรงนักว่าตนจะถูกเขี้ยวคมของคนตรงหน้าฝังลงมายังผิวเนื้อ ปล่อยพิษให้กระจายสู่ร่างกายเพื่อปลิดชีพ

ทว่า...เจี้ยนสือหาได้ปล่อยพิษร้าย แต่จุมพิตของเขาก็กลายเป็นพิษที่เกินจะต้านทานไหวเมื่อแสงจันทร์สาดส่องต้องเรือนร่าง ร่างเทพอสูรแปรเปลี่ยนเป็นอดีตเทพ ครานั้นเองที่ได้ครอบครองเรียวปากของซิ่นเฉิงได้ถนัด บดจูบรุกรานอย่างจาบจ้วง ใช้ปลายลิ้นชำแรกเข้าไปตักตวงความหอมหวาน ไม่ใคร่ฟังเสียงหายใจกระหืดหอบที่พยายามห้ามของคนในอ้อมแขน จิตใต้สำนึกของเทพอสูรงูจงอางมีเพียงคำพูดสะท้อนประโยคเดียวเท่านั้น

หากเจ้าไม่ใช่ของข้า ผู้ใดก็มิอาจได้ครอบครองเจ้าทั้งนั้น!

ซิ่นเฉิงดิ้นรนขัดขืน ในร่างเทพอสูรนั้น เขาอาจจะสู้แรงไม่ได้ แต่ในร่างของอดีตเทพ เจี้ยนสือก็ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ธรรมดา อีกฝ่ายจึงรวบรวมลมปราณไว้ที่ฝ่ามือ เมื่อสบโอกาสก็กระแทกออกไปตรงหน้า ฝ่ามือปะทะกับแผ่นอกแกร่ง เจี้ยนสือส่งเสียงดังอั้กออกมา แขนที่รวบกอดซิ่นเฉิงอยู่นั้นคลายออก พลันไถลออกห่างไปสองถึงสามก้าว ความรวดร้าวแล่นพล่านไปทั่วอก ก่อนที่เขาจะสำลักเอาของเหลวข้นคลั่กออกมา...สิ่งนั้นคือโลหิต

“เจ้า...”
เจี้ยนสือมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาว่าจะถูกกระทำเช่นนี้ ขณะที่ซิ่นเฉิงหัวเสียสุดกำลัง

“สมควรแล้วที่เจ้าโดนเช่นนั้น ฝ่ามือนี้ไม่ทำให้ถึงแก่ความตาย แต่ก็ทำให้เจ้าช้ำในไปอีกหลายวัน”
“เจ้ามัน...อึ้ก”

ตั้งใจว่าจะบริภาษที่ซิ่นเฉิงทำเกินไป แต่แค่เอ่ยปาก ความปวดร้าวก็แล่นพล่านไปทั่วทั้งหน้าอก โดยเฉพาะที่บริเวณอกข้างซ้ายที่โดนฝ่ามือนั้นเข้าไปเต็มแรง ซิ่นเฉิงที่มองอยู่อดเป็นห่วงไม่ได้ด้วยไม่คิดว่าลมปราณที่ปล่อยออกไปจะทำให้อีกฝ่ายปวดร้าวถึงเพียงนี้ ก่อนที่เจี้ยนสือจะกลั้นใจพูดออกมาอีกครา

“ดีแล้วที่ทำเช่นนี้ ข้าร้ายกาจดุตอสรพิษ ครั้งหน้าหากข้าล่วงเกินเจ้า ก็จงใช้มีดที่ข้ามอบให้สังหารข้าเสีย”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความปวดร้าว ซิ่นเฉิงไม่เข้าใจนัก แต่ก็หาได้ซักถามสิ่งใด นอกจากพ่นลมหายใจ แล้วตัดบทอีกครา

“ข้าจะไม่สังหารเจ้า แต่อย่าจุมพิตข้าอีกหากข้าไม่ได้เชื้อเชิญ”
สิ้นเสียงก็จากไป ทิ้งให้เจี้ยนสือทรุดตัวลงนั่งลงบนโขดหินอีกครา

โลหิตไหลหยดออกจากมุมปากสู่พื้นหินเบื้องล่าง ความจุกเสียดที่แล่นพล่านไปทั่วหาได้ทุเลาลงเลยแม้แต่น้อย เจี้ยนสือยกมือข้างหนึ่งกุมหน้าอกข้างซ้ายที่ถูกกระแทก ครั้นคลายสาบเสื้อออกมาก็เห็นว่าเป็นรอยช้ำรูปฝ่ามือ หากแต่...เขาไม่ได้เจ็บปวดที่ผิวเนื้อ ความเจ็บปวดนั้นมันซึมซาบอยู่ในก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายมากกว่า

ซิ่นเฉิงไม่ใช่ซูซู... แต่ไยข้าต้องเจ็บปวดเพราะได้กลิ่นผู้อื่นจากกายเจ้า?

ประโยคนี้พร่างพรายขึ้นมาในภวังค์ความคิด เจี้ยนสือให้คำตอบตนเองไม่ได้เลย ในหัวสับสนเสียจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยง เหนือสิ่งอื่นใด... เขายอมไม่ได้ที่จะเห็นซิ่นเฉิงอยู่กับเทียนอี้

ความคิดนั้น...ช่างรบกวนจิตใจยิ่งนัก

หรือจะต้องช่วงชิงมา?

ฉับพลันภาพความหลังในอดีตก็ไหลย้อน เขาเคยช่วงชิงคนผู้หนึ่งกับเทียนอี้ ชาตินี้ก็ต้องช่วงชิงอีกหรือ?

ไม่อยากจะทำเช่นนั้น แต่เมื่อยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก ไออุ่นจากกายของชายหนุ่มที่จากไปยังคงหลงเหลือ ก็ทำให้เจี้ยนสือต้องเม้มปากแน่น

จุมพิตที่เขาหักหาญบังคับเอามาจากซิ่นเฉิงช่างเหมือนพิษร้ายที่กัดกินจิตใจเขาด้วยเวลาเพียงเสี้ยว...

เขาอยากครอบครองมันอีก... อยากครอบครองซิ่นเฉิง

ไม่ใช่ซูซูของข้าแท้ๆ แต่ทำไมถึงทำให้ข้าคะนึงหาได้เพียงนี้...
-----------------------------
เลือกลงเรือกันไม่ถูกเลยก็ขอให้วิ่งบนน้ำนะคะ
มันจะพลิกไปพลิกมาแบบนี้แหละ 555
ตอนหน้าคิดว่าจะเริ่มเข้ากลางเรื่องแล้วค่ะ
อะไรๆ ที่ข้องใจอยู่ก็จะค่อยๆ เริ่มเปิดเผยละ
เพราะพี่จิ้งจอกจะมาจุ้นจ้านแทนพ่อบ้านเข้แทน 555

พรุ่งนี้หนูแดงไป ตจว.นะคะ อาจจะไม่ได้อัป คงอัปได้แค่ตัวอย่างแทน
ไว้เจอกันนะ ขอกำลังใจล่วยยย XD

ป.ล.ชื่อตอนที่เขียนว่า "จุมพิษ" ไม่ได้เขียนผิดนะคะ ตั้งใจเล่นคำ แบบว่าจุมพิตจากพี่งูเป็นพิษร้ายอะไรแบบนี้น่ะค่ะ ไม่ต้องงงเน้อ

หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mengjie_JJ ที่ 14-09-2017 02:07:41
เดี๋ยวจะไม่ลงทั้งเรือหมาเรืองูละ

หลิวซูกลับมาเกิดอีกจริง เฉิงเฉิงเราจะหัวเน่าอีกหรือเปล่าน่ะสิ คิดถึงใจเฉิงเฉิงบ้าง

ปล.พี่งูได้จุ๊บบ้างแล้ว  กิ้สสส

 :ling1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-09-2017 02:21:57
รอซูซูเนี่ย มาเกิดยัง ถ้ามาแล้วก็ออกมาทีค่ะ ถ้าเป็นเจ้าแมวป่านี่ก็รีบทำให้รู้ ให้มีคนเดียวจะได้ตัดสินกันไปเลย
ปล.ทีมเมียงูค่ะ ชอบแบดบอย  :hao7:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 14-09-2017 03:30:32
เกลียดความเทียนอี้ จะไม่เชียร์ไม่สงสารเทียนอี้แล้ว
ปากบอกว่ายังลืมคนเก่าไม่ได้ ไม่อยากให้สายสัมพันธ์เป็นเพียงสายลมพัดผ่าน แล้วจะเริ่มทำไม  :m31:
เชียร์ให้เฉิงเฉิงหนีไป เหมือนอยู่เป็นตัวเลือกให้เค้าอะตอนนี้
จะให้ไปอยู่กับเจี้ยนสือก็ยังไม่ค่อยน่าไว้ใจ หนีไปดีสุดแล้ว

เราอินมากบอกเลย แล้วเป็นเรื่องแรกที่รู้สึกว่าอยากให้นายเอกหนีไป สงสาร  :laugh:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kawaiichibi ที่ 14-09-2017 06:28:01
ไม่ใช่แค่เจ้หมิงพูดคำถามที่อยู่ในใจพ่อบ้านเหลียง แต่เจ้หมิงพูดคำถามที่อยู่ในใจเราด้วยเช่นกัน

ลงเรือเจ้หมิง ลงเรืองพี่งู แต่จะไม่ลงเรือหมาเด็ดขาด! :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 14-09-2017 07:43:57
ตอนนี้ออกจากทั้งสองเรือเทพมาลงเรือเฉิงเฉิงแล้วค่ะ โลเลทั้งคู่

ปล. พี่งูทำแบบนี้คะแนนติดลบไปค่ะ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 14-09-2017 09:13:34
สองคนนี้เห็นเฉิงเฉิงเป็นตัวอะไรเป็นตัวแทนของใคร  :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 14-09-2017 11:03:58
มีเรือผีให้ลงมั้ยคะ5555555
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 14-09-2017 11:04:23
4 เศร้าใช่ไหม ความรักของเหล่าเทพอสูรช่างซับซ้อนแท้ ๆ ถ้าซิ่นเฉิงเป็นหลิวซูก็ดีไปแต่ถ้าไม่ใช่เทียนอี้คงเลือกไม่ถูก แต่คิดอีกทีก็น่าจะดี ยกหลิวซูให้เจี้ยนสือไป เทียนอี้ก็คู่กับซิ่นเฉิง แฮปปี้สุด ๆ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-09-2017 11:59:29
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 14-09-2017 12:38:33
วิ่งบนน้ำละกัน อิอิ
รอจ้า
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 14-09-2017 15:20:58
รอออออ :3123:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 14-09-2017 16:33:25
เฉิงเฉิงก็คือเฉิงเฉิง ไม่ใช่ซูซูนะพี่หมาพี่งู อย่าเอามาทับกันดิ แค่มัดกล้ามเฉิงน้อยก็กินขาดแล้วววว//ผิด
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-09-2017 17:04:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Realy ที่ 14-09-2017 17:44:30
อย่าใจร้ายกับเฉิงเฉิงน้าาา :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 15: จุมพิต[13/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 14-09-2017 19:54:14
[ตัวอย่าง] บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์

 วันนี้ไม่ได้อัปตอนเต็มนะคะ
เพิ่งกลับมาจาก ตจว. + มัวแต่ปั่นงานอีกเรื่องเลยไม่มีเวลา
เจอกันพรุ่งนี้เย็นๆ แทนเนอะ เจิมรอกันไปก่อนนะคะ XD
----------------------------

“ซูซูหาใช่ของเจ้า และเฉิงเฉิงก็เช่นกัน” เทียนอี้ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
คนฟังแสยะยิ้มร้ายเย้ยหยัน “แต่ทั้งซูซูและเจ้าเหมียวนั่นก็หาใช่ของเจ้าเช่นกัน”
“ไม่ใช่วันนี้ก็วันหน้า”
“เจ้าช่างใจโลเลนัก เลือกเอาสักคนว่าจะครอบครองผู้ใดกันแน่”
“ข้าใจโลเล แล้วเจ้าล่ะเจี้ยนสือ เจ้ามิใช่หรือที่บอกว่ารักมั่นใจซูซู แล้วไยเจ้าถึงมายุ่งวุ่นวายกับเฉิงเฉิง”

เจี้ยนสือเถียงไม่ออกในคราวนี้ ที่เขามาวิวาทกับเทียนอี้อยู่ก็เพราะหวงแหนในตัวของซิ่นเฉิงไม่ใช่หรือ?

และเพราะไม่ยอมตอบคำถาม ก็ทำให้เทียนอี้ซึ่งยืนมองอยู่ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ว่าจะเป็นซูซูหรือเฉิงเฉิง หัวใจของพวกเขาก็ล้วนปฏิพัทธ์ต่อข้า หาใช่เจ้าไม่”
“เจ้าเพ้อพกไปเองแล้วเทียนอี้!”

เจี้ยนสือแผดเสียงด้วยโทสะ ก่อนจะพุ่งทะยานเข้ามา ฟาดดาบเล่มเขื่องในมือใส่คนตรงหน้าด้วยโทสะที่พวยพุ่งไปทั่วร่างอีกครา เทียนอี้ยกดาบขึ้นตั้งรับไว้ทันท่วงที เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นชวนให้น่าหวาดเกรง สองแม่ทัพใหญ่ปะมือกันเช่นนี้หาใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมไม่ส่งผลดีกับผู้ใดทั้งสิ้น เพราะแม้ทั้งคู่จะกลายร่างจากเทพผู้ยิ่งใหญ่เป็นเทพอสูรไร้อิทธิฤทธิ์ ทว่าวรยุทธก็ยังคงล้ำเลิศไม่ต่างจากเมื่อครั้งยังดำรงเป็นแม่ทัพสวรรค์เลยแม้แต่น้อย

ลมพัดหมุนก่อตัวเป็นพายุลูกขนาดย่อม ฝุ่นผงตลบอบอวลโอบล้อมร่างของแม่ทัพสุนัขป่าและแม่ทัพงูจงอาง ไร้ซึ่งผู้ใดอาจหาญเข้าไปห้ามการวิวาทนี้ เหล่าทหารของแม่ทัพทั้งสอง แม้จะเคยร่วมศึกสงครามสวรรค์ด้วยนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยำเกรงแรงโทสะของทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่เหล่าคนรับใช้พากันวิ่งหนีไปหลบซ่อนตัวในเรือนด้วยหวาดกลัว เฝ้ารอให้ใครสักคนมาห้ามปรามการวิวาทนี้อย่างใจจดจ่อ

หมิงจูที่ได้ยินเรื่องรีบเร่งมายังจวนของเจี้ยนสือ เบื้องหลังมีซิ่นเฉิงควบม้าไล่ตามด้วยสีหน้าตระหนก ครั้นเห็นความพินาศของซากปรักหักพัง ใจก็หล่นวูบด้วยเกรงว่าจะก่อเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตเช่นในอดีตที่ผ่านมา

ในอดีต...เมื่อครั้งที่หลิวซูมีชีวิตอยู่

พลันรีบหันไปมองยังคนข้างหลังอย่างรวดเร็ว ออกปากปรามซิ่นเฉิงเอาไว้ว่าอย่าเข้าไปยุ่งจนกว่าเขาจะได้หว่านล้อมให้สหายทั้งสองใจเย็นลง

ทว่าคงจะช้าไปสักหน่อย เพราะทันทีที่มาถึง สายตาของซิ่นเฉิงก็เหลือบไปเห็นเทียนอี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ที่พลาดท่าไปก็เพราะอีกฝ่ายได้กลิ่นกายของชายหนุ่มเช่นกัน ทำเอาเจี้ยนสือที่ฟาดฟันดาบใส่ไม่ยั้งสบโอกาสฟาดฝ่ามือข้างที่ว่างอยู่ใส่หัวไหล่เต็มแรง มือที่ถือดาบหลุดร่วง ก่อนร่างจะกระเด็นลงไปกระแทกพื้นเมื่อถูกฝ่ามือกระแทกลงมายังแผ่นอกอีกครา

ความจุกเสียดไหลเวียนไปทั่วร่าง เทียนอี้ไอโขลกเอาโลหิตข้นคลั่กออกมา ขณะที่เจี้ยนสือส่งเสียงหัวเราะดังหึ
“หากสิ้นเจ้า เฉิงเฉิงก็จะเป็นของข้า”

ไม่เพียงแต่พูด ยังเงื้อดาบในมือขึ้นสูง หมายจะประหัตประหารสหายให้สิ้น

แม้เป็นเทพอสูรที่มีชีวิตเป็นอมตะ ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายนี้จะเป็นอมตะไปด้วยหากได้รับบาดเจ็บ สูญสิ้นร่างกายก็จะเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในแดนมนุษย์ สวรรค์ไม่เปิดฟ้า ปรโลกไม่เปิดรับ ทนทุกข์ทรมานอยู่ระหว่างสามโลกนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์

หากแต่ซิ่นเฉิงไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ครั้นเห็นเจี้ยนสือเงื้อดาบขึ้นเหนือร่างของอีกฝ่าย เขาก็หันไปแย่งชิงดาบจากฝักที่อยู่ข้างเอวของทหารนายหนึ่งมากระชับในมือมั่น สองเท้าก้าวกระโดดไปอย่างว่องไวและพุ่งเข้ารับคมดาบของเจี้ยนสือที่ทิ้งลงมาด้วยดาบที่อยู่ในมือตน

เสียงโลหะกระทบดั่งสนั่นอีกครา ก่อนเสียงของเทียนอี้จะดังขึ้นเมื่อร่างของมนุษย์หนุ่มพุ่งมาคั่นกลางระหว่างเขากับดาบเล่มเขื่องนั่นไว้

“เฉิงเฉิง...”

เจี้ยนสือพลันชะงัก ครั้นปรายตามองก็เห็นซิ่นเฉิงรับดาบด้วยท่อนแขนอันสั่นเทาทั้งสองข้าง เพียงแขนข้างเดียวไม่อาจต้านกำลังของเทพอสูรได้ จึงจำต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องเทียนอี้ ก่อนที่เจี้ยนสือจะมีสีหน้าตะลึงงันไปด้วยไม่คาดคิดว่าจะเห็นซิ่นเฉิงโผล่มาในเวลาเช่นนี้

“เจ้า...”
ริมฝีปากเอื้อนเอ่ย ก่อนถ้อยคำทั้งหมดจะถูกกลืนลงคอไปเมื่อเสียงของซิ่นเฉิงดังแทรก
“หากเจ้าจะสังหารเจ้าหมา เจ้าก็ต้องสังหารข้าก่อน”

‘หากเจ้าจะสังหารเทียนอี้ สู้สังหารข้าเสียยังดีกว่า’

 คำพูดของใครบางคนที่ได้เอ่ยไว้ในอดีตผุดพรายขึ้นมาทับซ้อนกับคำพูดของซิ่นเฉิงในภวังค์ของเจี้ยนสือ ความคับแน่นพร่างพรายไปทั่วทั้งอก ความรู้สึกนี้...เป็นเช่นเดียวกับตอนนั้น...

สายตาของเจี้ยนสือจับจ้องไปที่ใบหน้าคร้ามของซิ่นเฉิงซึ่งบัดนี้มีเหงื่อกาฬไหลอาบ แขนทั้งสองที่จับดาบยังสั่นเทา ก่อนที่เขาจะผละออกมาทิ้งดาบลงบนพื้น ความผิดหวังคับแน่นเสียจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทอดมองซิ่นเฉิงด้วยผิดหวังเหลือคณานับ

ไม่ว่าจะผู้ใด...

ไม่ว่าจะเป็นหลิวซูหรือซิ่นเฉิง ก็ล้วนแล้วแต่เห็นเทียนอี้สำคัญเช่นนั้นหรือ?
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[14/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 14-09-2017 20:45:02
โอ้ย บีบคั้นเหลือเกิน  ทำไมต้องชอบคนเดียวกันด้วย ตอนนี้สงสารพี่งู
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[14/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 15-09-2017 08:24:41
เฉิงเฉิงต้องคู่กับเจ้าหมาน่ะดีแล้ว
ส่วนเจ้างูก็จะตกเป็นของเรา คิคิคิคิคิคิคิคิ
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[14/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 15-09-2017 12:56:13
พี่งูน่าสงสาร
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - [ตัวอย่าง] บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[14/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 15-09-2017 18:38:55
ฉากจูบกะพี่งูน่ากลัว  และวาบหวิวไปพร้อม ๆ กัน     #ลงเรือพี่หมา
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[1][15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 15-09-2017 22:10:39
บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[1]

ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...

กับเทียนอี้แล้ว นั่นอาจเป็นเรื่องธรรมดาด้วยเขากับเทพอสูรตนนั้นสัมผัสเรือนร่างของกันและกันอยู่บ่อยครั้ง แต่กับเจี้ยนสือ มันช่างเป็นความรู้สึกที่น่าประหลาดใจนัก ทั้งที่อีกฝ่ายมีรูปลักษณ์เป็นงูจงอาง ไร้ซึ่งความน่าพิศวาส และการกระทำของอีกฝ่ายก็ชวนให้โมโห หากแต่ซิ่นเฉิงกลับวูบไหวในใจขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

สัมผัสเย็นเยียบจากผิวเนื้อเรียบลื่นก่อนจะกลายเป็นอุ่นร้อนเมื่อเจี้ยนสือกลายร่างเป็นอดีตเทพ ช่างทิ้งร่องรอยติดตรึงในในให้กับซิ่นเฉิงยิ่งนัก ทั้งที่ความรู้สึกนั้น เขามีให้กับเทียนอี้แต่เพียงผู้เดียวแท้ๆ แล้วเหตุใดถึงได้เกิดขึ้นกับเจี้ยนสือด้วยกัน?

แต่ซิ่นเฉิงก็ไม่ใคร่จะหาคำตอบแล้ว เพราะยิ่งคิดคำนึงถึงก็ยิ่งสับสน อันที่จริงเขาไม่ควรหวั่นไหวไม่ว่ากับผู้ใดทั้งสิ้น ตนเป็นบุรุษ ไม่ควรรักใคร่หรือหวั่นไหวไปกับบุรุษอื่นใด อีกทั้งยังไม่ได้คิดที่จะอยู่ในแคว้นเฟิงฝูตลอดทั้งชีวิต ไยจะต้องไปใส่ใจเรื่องเหล่านี้กัน

ชายหนุ่มรีบพาตนเองกลับเข้าจวนของเทียนอี้พร้อมกับพยายามเก็บความคิดฟุ้งซ่านนั้นไว้ในใจ ก่อนจะต้องผงะเมื่อกระโดดข้ามกำแพงจวนเข้ามาแล้วสายตาปะทะเข้ากับพ่อบ้านเหลียงที่ยืนอยู่ในชานเรือนพอดี ความรีบร้อนของซิ่นเฉิงนั้นส่งผลให้เกิดเสียง พ่อบ้านเหลียงที่ยังคงรอผู้เป็นนายกลับจวนหลังจากทำหน้าที่คุมทหาราดตระเวนเสร็จสิ้นจึงได้ยินเข้าพอดี ครั้นออกมาหมายจะเดินไปตามหาต้นเสียงก็พบเข้ากับซิ่นเฉิง เขาก็หาได้แปลกใจหรอกหากจะเห็นชายหนุ่มกลับเข้ามาหลังจากหนีออกไปเที่ยวเล่นเช่นนี้ ...สุนัขไม่อยู่ เจ้าแมวป่าย่อมร่าเริง แต่ก็ที่จะถอนหายใจอย่างระอาไม่ได้

“รีบกลับเข้านอนก่อนที่ท่านแม่ทัพจะกลับมาเสีย” พ่อบ้านเหลียงเอ่ยเสียงเรียบ

ซิ่นเฉิงไม่พูดอะไร เดินตรงไปยังเรือนใหญ่ที่อีกฝ่ายยืนอยู่ ครั้นเข้ามาใกล้ สายลมเอื่อยก็พัดพากลิ่นกายของมนุษย์หนุ่มให้ได้สัมผัส พ่อบ้านเหลียงที่หมายจะไปทำหน้าที่ตนต่อถึงกับชะงัก หันมองตามแผ่นหลังของซิ่นเฉิงพลัน

“เจ้าน่ะ ประเดี๋ยวก่อน...”
ซิ่นเฉิงหันกลับมา ถามเสียงแข็ง “มีเรื่องอันใด”
“เจ้า...ไปทำสิ่งใดกับท่านแม่ทัพเจี้ยนสือมา”

ได้ฟังเช่นนี้ คนถูกถามก็เสียวสันหลังวาบ กลิ่นของเจ้างูนั่นมันแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

หากถามพ่อบ้านเหลียง ก็คงตอบได้ว่ารุนแรงมากจริงๆ หากเป็นเพียงการใกล้ชิดกัน กลิ่นจะไม่โชยถึงเพียงนี้ เป็นเพียงกลิ่นอ่อนๆ ติดกายเท่านั้น แต่นี่...ค่อนข้างฉุนเลยทีเดียว อย่าบอกเขาเชียวนะว่า... ไปทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรกันมา

พ่อบ้านเหลียงก็ไม่อยากคิดเช่นนั้นหรอก แต่กลิ่นมันชัดเจนราวกับกลิ่นของเทียนอี้ที่ติดกายของซิ่นเฉิงเลยทีเดียว หากแต่คำตอบที่ได้กลับเป็นการบ่ายเบี่ยง

“จะไปทำสิ่งใดก็หาใช่เรื่องของเจ้า”

ไม่ใช่เรื่องของเขา... ใช่ เขาไม่เกี่ยวข้อง แต่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปสอดด้วยเมื่อครั้งที่เทียนอี้ล่วงรู้ว่าซิ่นเฉิงหนีออกจากจวนไปครั้งแรก เขาพบกับอะไรบางอย่างในอ่างไม้ในห้องของผู้เป็นนาย สิ่งนั้น...เขาเก็บมันเอาไว้โดยที่ผู้เป็นเจ้าของก็คงยังไม่รู้ตัวว่าได้ทำหล่นหาย

ครั้นเห็นซิ่นเฉิงหมุนตัวจะเดินหนีไป พ่อบ้านเหลียงก็เอ่ยขัดออกมา
“ข้าก็หาใช่ว่าอยากจะข้องเกี่ยว แต่การกระทำของเจ้า มันกำลังจะสร้างปัญหา”
“ข้าก็เป็นตัวปัญหาในสายตาของเจ้าตลอดแหละเจ้าจระเข้” ซิ่นเฉิงหันมาแหวใส่ด้วยรำคาญใจ ก่อนจะต้องขมวดคิ้วมุ่นไปเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็หยิบเอาของบางอย่างจากสาบเสื้อออกมายื่นให้ตรงหน้า
“สิ่งนี้เป็นของเจ้าใช่หรือไม่”

ดวงตาคนถูกถามเบิกโต สิ่งที่เขาเห็นในมือของพ่อบ้านเหลียงนั้นคือมีดสั้นที่เจี้ยนสือได้มอบให้ไว้ตั้งแต่ครานั้น

นี่หายไปตั้งหลายวันโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยหรือ?

“ข้าเจอมันตกอยู่ในอ่างน้ำที่ห้องนอนของท่านแม่ทัพเมื่อหลายวันก่อน” พ่อบ้านเหลียงว่าออกมาอีก
ซิ่นเฉิงอับจนคำพูดด้วยไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดออกไป ปล่อยให้พ่อบ้านเหลียงก้าวเข้ามาใกล้และยื่นมีดสั้นให้อีกครา

“เก็บของของเจ้าไว้ให้ดี อย่าให้ท่านแม่ทัพล่วงรู้หากเจ้าไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่”
ซิ่นเฉิงยื่นมือไปรับ กำด้ามมีดไว้ในมือ “เหตุใดถึงไม่คืนให้ข้าตั้งแต่คราแรกที่เก็บได้”
“เพราะข้าหาได้คิดว่าเจ้าจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับท่านแม่ทัพเจี้ยนสือถึงเพียงนี้ ข้าได้ยินท่านแม่ทัพเทียนอี้สั่งไว้ว่าห้ามเจ้าไปข้องเกี่ยวกับท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ จึงคิดว่าเจ้าคงไม่จำเป็นต้องเก็บมันไว้อีก แล้วไยตอนนี้เจ้าจึงขัดคำสั่งกัน?”

เป็นซิ่นเฉิงที่เงียบงัน พ่อบ้านเหลียงถอนหายใจอย่างระอาออกมาอีกครา เขาน่าจะเฝ้าระวังซิ่นเฉิงให้มากกว่านี้ ยิ่งเข้ามาใกล้อีกฝ่าย ก็ยิ่งได้กลิ่นของเจี้ยนสืออแรงขึ้นด้วย กลิ่นกายที่ฝังแน่นเช่นนี้ คงเป็นเพราะ...

“เจ้าจุมพิตกับท่านแม่ทัพเจี้ยนสือมาใช่หรือไม่?”

การถามออกไปตามตรงก็ทำให้ซิ่นเฉิงเผลอเม้มริมฝีปากแน่น แม้จะไม่ตอบรับ พ่อบ้านเหลียงก็ถือว่าความเงียบนั่นคือคำตอบแล้ว พลันสิ่งที่เขากังวลก็พร่างพรายออกมาเป็นถ้อยวจีอย่างไม่อาจกักเก็บไว้ได้

“เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่ทัพเทียนอี้เอ็นดูเจ้าเพียงใด และก็รู้อีกด้วยว่าท่านแม่ทัพทั้งสองเคยมีเรื่องบาดหมางกับเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งมาก่อน เจ้ายังจะทำให้ทั้งสองบาดหมางกันเพราะเจ้าอีกหรือ?”

ใช่อย่างนั้นที่ไหนกัน ซิ่นเฉิงหาได้คิดเช่นนั้น การที่ถูกเจี้ยนสือหักหาญช่วงชิงจูบไปก็ใช่ว่าเป็นไปเพราะความเต็มใจ แต่การแก้ตัวไปกับเทพอสูรจระเข้ตรงหน้าก็เสมือนกับผายลม ดังนั้นซิ่นเฉิงจึงไม่เปิดปากใดๆ นอกจากจ้องใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง พ่อบ้านเหลียงเองก็จนปัญญาจะดุด่าแล้วเช่นกัน ภายในใจเขามีแต่ความเหนื่อยหน่าย ออกปากเตือนไปก็ไร้ซึ่งผู้ใดรับฟัง เขาจึงทำได้แค่เก็บกวาดเศษซากที่คนอื่นๆ ทิ้งไว้ให้เท่านั้น

“เจ้าไปชำระล้างเนื้อตัวก่อน อย่างไรเสีย เรื่องนี้ท่านแม่ทัพก็ต้องรับรู้ อย่างน้อยการที่กลิ่นของท่านแม่ทัพเจี้ยนสือที่ติดกายเจ้าทุเลาลงก็อาจจะทำให้ท่านแม่ทัพของข้าไม่เดือดดาลมากนัก ข้าจะไปเตรียมน้ำให้”

พูดจบก็เดินสวนไปยังห้องนอนของเทียนอี้ เรียกคนรับใช้มาช่วยกันตระเตรียมสิ่งจำเป็นให้ซิ่นเฉิงได้ทำความสะอาดร่างกาย ขณะที่ชายหนุ่มยืนมองด้วยความรู้สึกที่ยากจะพรรณนา

เทพอสูรทั้งสองมีเรื่องหมางใจกันเพราะหลิวซู แต่นั่นก็ด้วยเหตุว่ารักใคร่ชอบพอคนเดียวกัน แต่กับเขาซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไร ก็เป็นชนวนที่จะทำให้ทั้งคู่กินแหนงแคลงใจกันอีกหรือ?

ช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี...
 
แต่เรื่องไร้สาระที่ซิ่นเฉิงคิดนั้นกลับเป็นจริงด้วยเมื่อเทียนอี้กลับมาและพบเจอหน้าซิ่นเฉิงภายในห้องนอน กลิ่นของเจี้ยนสือก็อบอวลคละคลุ้งไปหมด เท่านั้นก็รับรู้ได้ทันทีว่าซิ่นเฉิงหนีออกนอกจวนอีกครา แต่นั่นหาใช่เรื่องที่ทำให้เขาเดือดดาลได้เท่ากับกลิ่นที่ฝังลึกอยู่บนกายของชายหนุ่ม

ลึกเสียจน...อยากจะขัดถูออกได้ด้วยน้ำสะอาด ต่อให้ชำระล้างร่างกายมากเพียงใดก็ไม่อาจลบเลือนได้ในเร็ววัน เพราะกลิ่นนั้นมาจากจุมพิต

เทียนอี้เดือดดาลจนระงับโทสะไว้ไม่อยู่ ขาดสติยั้งคิดไปฉับพลันเมื่อนึกภาพว่าซิ่นเฉิงถูกเจี้ยนสือกระทำการอย่างใด ก่อนจะหุนหันออกจากจวนไปพร้อมกับดาบในมือ ทำเอาพ่อบ้านเหลียงที่พยายามห้ามปรามตั้งแต่เมื่อครู่ตระหนกเสียจนใบหน้าที่ถึงแม้จะเป็นจระเข้ซีดเผือด ด้วยรู้ดีว่าอีกไม่กี่อึดใจต่อจากนี้จะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างแน่นอน

ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้าที่จะรีบมุ่งหน้าไปยังจวนของหมิงจูด้วยหมายจะให้ผู้เป็นสหายของเทียนอี้และเจี้ยนสือไปห้ามปราม เพราะนอกจากหมิงจูแล้ว ทั้งสองก็หาได้สนิทสนมกับผู้ใด แต่ต่อให้เป็นหมิงจูก็ใช่ว่าจะวางใจได้ว่าทั้งคู่จะรับฟัง ในยามที่โทสะครอบงำเช่นนี้ แม้แต่เทียนอี้ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ใจเย็นก็สามารถกระทำการใดๆ โดยไม่ยั้งคิดได้เช่นกัน

คราแรกพ่อบ้านเหลียงจะไปที่จวนของหมิงจูแต่เพียงผู้เดียว ทว่าซิ่นเฉิงซึ่งรู้ว่าตนเป็นตัวการของเรื่องทั้งหมด แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

เป็นห่วงทั้งเทียนอี้และเจี้ยนสือ...

ความรู้สึกที่มีต่อเทียนอี้นั้นหาใช่เรื่องแปลกเท่าใดนักเพราะความผูกพันจากการอยู่ร่วมจวนนั้นค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน แต่ความเป็นห่วงในตัวของเจี้ยนสือ...ผุดพรายออกมาราวกับเป็นจิตสำนึกที่ฝังรากแน่นอยู่ภายในใจ

กระนั้นซิ่นเฉิงก็หาได้ครุ่นคิดเอาคำตอบ ครั้นพ่อบ้านเหลียงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หมิงจูได้ฟัง รองแม่ทัพเทพอสูรก็คว้าอาวุธคู่กาย รีบร้อนมาขึ้นหลังม้าที่ทหารในจวนเตรียมไว้ให้และควบไปยังจวนของเจี้ยนสือในบัดดล

ขณะเดียวกันที่จวนของเจี้ยนสือ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฟิงฝูในร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งสุนัขป่าก้าวเข้ามาด้านใน ไม่สนใจฟังคำทัดทานของทหารยามที่ห้ามปรามด้วยเห็นอีกฝ่ายไม่แจ้งจุดประสงค์ใด ต่อให้เป็นสหายของเจี้ยนสือ แต่การบุกจวนมาอย่างอุกอาจโดยไม่แจ้งว่ามาเพื่อการใดเช่นนี้ก็หาใช่เรื่องที่สมควรกระทำ ทว่าก็ไม่กล้าที่จะตอแยอีกคราเมื่อถูกสายตาดุดันจ้องมอง ตอนนี้เองที่ได้รับรู้ว่า...เทียนอี้ไม่ได้มาอย่างเป็นมิตร

ทหารนายหนึ่งหมายจะเข้าไปรายงานเรื่องนี้ให้ผู้เป็นนายรับรู้ แต่เจี้ยนสือที่ไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนด้วยครุ่นคิดแต่เรื่องของซิ่นเฉิงก็พอจะเดาได้ว่าเทียนอี้จะต้องมาเยือน ครั้นสัมผัสได้ถึงแรงสั่นไหวของฝีเท้าอีกฝ่ายที่กระแทกลงมาบนพื้น ก็รู้ได้ทันทีว่าเทียนอี้โกรธเพียงใด

เจี้ยนสือคว้าดาบ เดินออกจากห้องรับรองมายังชานเรือน ทอดสายตามองไปยังร่างใหญ่ของสหายที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเรือนใหญ่

“ข้าคิดอยู่แล้วว่าเจ้าต้องมา นานมากแล้วที่เจ้าไม่ได้มาเหยียบจวนของข้า ดูท่าวันนี้ฝนคงจะตกกลางทะเลทรายกระมัง” ว่าพลางยกยิ้มเย้ย

เทียนอี้ไม่ได้แสดงสีหน้าใด คำหยอกเย้าของเจี้ยนสือนั้นก็หาใช่จริงใจ ไยจะต้องตอบสนอง

“มาเพราะเรื่องของเจ้าเหมียวล่ะสิ” เมื่อเห็นเทียนอี้เอาแต่ยืนจ้องหน้าตนเขม็ง เจี้ยนสือก็ไร้ซึ่งการเล่นลิ้นอีกต่อไป
เทียนอี้ระบายลมหายใจหนักๆ ออกมาเล็กน้อย ก่อนว่าเสียงต่ำ
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าเฉิงเฉิงเป็นของข้า”

คนฟังมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “เฉิงเฉิง?” จากนั้นก็กลั้วหัวเราะ “เรียกเสียสนิทสนมราวกับว่าเจ้านั่นเป็นของเจ้าจริงๆ”

ที่เอ่ยเช่นนี้เป็นเพราะรู้ว่าซิ่นเฉิงหาได้มอบกายให้กับอีกฝ่ายอย่างที่เทียนอี้ได้อ้างเป็นนัยไว้ ทำเอาเทียนอี้ถึงกับกัดฟันกรอด
“เขาเป็นของข้า”
“ก็เพียงสุนัขหวงชามข้าว ไม่ได้กินก็ขอให้ได้จับจอง” เจี้ยนสือหมายถึงการที่เทียนอี้มอบเขี้ยวสุนัขป่าที่ห้อยเครื่องประดับผมให้กับซิ่นเฉิง พลันยิ้มเย้ยออกมาอีก “เจ้าช่างไม่เปลี่ยนเสียจริง ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด ก็ยังคงคิดไปเองเช่นเคย”

คิดไปเอง... เจี้ยนสือกำลังหมายถึงเรื่องของหลิวซูด้วย เขารู้ว่าเทียนอี้ก็อ้างว่าหลิวซูเป็นคนรักไม่ต่างจากเขา และนั่นทำให้บาดแผลในใจของคนฟังที่มีถูกสะกิดขึ้นมาอีกคราเมื่อเจี้ยนสือเอ่ยประโยคถัดมา

“เจ้าก็รู้ดีว่าแท้จริงแล้วหลิวซูเป็นของผู้ใด”

ช่างเป็นเรื่องที่ฟังแล้วระคายหูยิ่งนัก เลือดลมในร่างกายสูบฉีดรุนแรง เทียนอี้โกรธเสียจนมือที่จับดาบอยู่สั่นเทิ้มน้อยๆ ก่อนจะว่าออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ซูซูหาใช่ของเจ้า เฉิงเฉิงก็เช่นกัน”
คนฟังแสยะยิ้มร้ายเย้ยหยัน “แต่ทั้งซูซูและเจ้าเหมียวนั่นก็หาใช่ของเจ้าเช่นกัน”

สิ่งนั้นเป็นความจริง... ไม่มีผู้ใดได้ครอบครองทั้งหลิวซูและซิ่นเฉิง กระนั้นเทียนอี้ก็ไม่ยอมพ่ายโดยง่าย

“ไม่ใช่วันนี้ก็วันหน้า”
“เจ้าช่างใจโลเลนัก เลือกเอาสักคนว่าจะครอบครองผู้ใดกันแน่”
“ข้าใจโลเล แล้วเจ้าล่ะเจี้ยนสือ เจ้ามิใช่หรือที่บอกว่ารักมั่นใจซูซู แล้วไยเจ้าถึงมายุ่งวุ่นวายกับเฉิงเฉิง”

เจี้ยนสือเถียงไม่ออกในคราวนี้ ที่เขามาวิวาทคารมกับเทียนอี้อยู่ก็เพราะหวงแหนในตัวของซิ่นเฉิงไม่ใช่หรือ?

และเพราะไม่ยอมตอบคำถาม ก็ทำให้เทียนอี้ซึ่งยืนมองอยู่ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไม่ว่าจะเป็นซูซูหรือเฉิงเฉิง หัวใจของพวกเขาก็ล้วนปฏิพัทธ์ต่อข้า หาใช่เจ้าไม่”
“เจ้าเพ้อพกไปเองแล้วเทียนอี้!”

เจี้ยนสือแผดเสียงด้วยโทสะ การหยอกเย้าหมายจะให้อีกฝ่ายเดือดดาลกว่าเดิมสิ้นสุดลงในครานี้ เป็นเขาเสียเองอีกด้วยที่หัวเสียจนไม่อาจอดทนได้ไหว ก่อนจะพุ่งทะยานเข้ามา ฟาดดาบเล่มเขื่องในมือใส่คนตรงหน้าด้วยโทสะที่พวยพุ่งไปทั่วร่าง เทียนอี้ยกดาบขึ้นตั้งรับไว้ทันท่วงที ออกแรงผลักให้คนตรงหน้ากระเด็นออกไป

เจี้ยนสือตั้งหลักได้ก็เหวี่ยงดาบใส่อีกครั้งอย่างไม่รีรอ ครั้นฟาดดาบลงไปพลาดเป้าหมายด้วยเทียนอี้หลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว พื้นหินที่ถูกคมดาบฟาดลงมาก็แหลกละเอียดไม่ต่างจากก้อนกรวด เทียนอี้สบโอกาส วาดอาวุธในมือเข้าใส่ เจี้ยนสือมีประสาทสัมผัสไว แค่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวก็หลบหลีกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เคราะห์กรรมจึงตกอยู่ที่ต้นเหมยที่อยู่ทางด้านหลังของเจี้ยนสือแทน

ลำต้นถูกฟันเสียขาดเป็นสองส่วน เสียงดังตึงสนั่นหวั่นไหว การวิวาทเริ่มจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงโลหะกระทบกันชวนให้น่าหวาดเกรงดังสนั่นไปทั่วและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดหย่อน การที่สองแม่ทัพใหญ่ปะมือกันเช่นนี้หาใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมไม่ส่งผลดีกับผู้ใดทั้งสิ้น เพราะแม้ทั้งคู่จะกลายร่างจากเทพผู้ยิ่งใหญ่เป็นเทพอสูรไร้อิทธิฤทธิ์ ทว่าวรยุทธก็ยังคงล้ำเลิศไม่ต่างจากเมื่อครั้งยังดำรงเป็นแม่ทัพสวรรค์ ต่างฝ่ายต่างหมายประหัตประหารกันโดยหาได้คิดถึงความสัมพันธ์อันยาวนานของสหายร่วมรบในครั้งก่อนแม้แต่น้อย

ลมพัดหมุนก่อตัวเป็นพายุลูกขนาดย่อม ฝุ่นผงตลบอบอวลโอบล้อมร่างของแม่ทัพสุนัขป่าและแม่ทัพงูจงอาง ไร้ซึ่งผู้ใดอาจหาญเข้าไปห้ามการวิวาทนี้ เหล่าทหารของแม่ทัพทั้งสองที่ประจำอยู่ในจวนและที่ติดตามเทียนอี้มา แม้จะเคยร่วมศึกสงครามสวรรค์ด้วยนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยำเกรงแรงโทสะของทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่เหล่าคนรับใช้พากันวิ่งหนีไปหลบซ่อนตัวในเรือนด้วยหวาดกลัว เฝ้ารอให้ใครสักคนมาห้ามปรามการวิวาทนี้อย่างใจจดจ่อ

หมิงจูมาถึงยังที่หมาย เบื้องหลังมีซิ่นเฉิงควบม้าไล่ตามด้วยสีหน้าตระหนกด้วยได้ยินเสียงดังกัมปนาทเป็นระยะตั้งแต่เมื่อครู่ ครั้นเห็นความพินาศของซากปรักหักพังภายในจวนของเจี้ยนสือ ใจของหมิงจูก็หล่นวูบด้วยไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเหมือนในอดีต

ในอดีต...เมื่อครั้งที่หลิวซูมีชีวิตอยู่

พลันรีบหันไปมองยังคนข้างหลังอย่างรวดเร็ว หมายออกปากปรามซิ่นเฉิงเอาไว้ว่าอย่าเข้าไปยุ่งจนกว่าเขาจะได้หว่านล้อมให้สหายทั้งสองใจเย็นลง

ทว่าคงจะช้าไปสักหน่อย เพราะทันทีที่มาถึง สายตาของซิ่นเฉิงก็เหลือบไปเห็นเทียนอี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะการที่จู่ๆ ได้กลิ่นกายของชายหนุ่มที่เป็นสาเหตุของการวิวาท พลันก็ชะงัก เหลียวมามองด้วยเกรงว่าซิ่นเฉิงจะถูกลูกหลง ทำเอาเจี้ยนสือที่ฟาดฟันดาบใส่ไม่ยั้งสบโอกาสฟาดฝ่ามือข้างที่ว่างอยู่ใส่หัวไหล่เต็มแรงข้างที่ถือดาบอยู่ ดาบหลุดร่วงจากมือของเทียนอี้ ก่อนร่างจะกระเด็นลงไปกระแทกพื้นเมื่อถูกฝ่ามือกระแทกลงมายังแผ่นอกอีกครา

ความจุกเสียดไหลเวียนไปทั่วร่าง เทียนอี้ไอโขลกเอาโลหิตข้นคลั่กออกมา ขณะที่เจี้ยนสือส่งเสียงหัวเราะดังหึในลำคอ

“หากสิ้นเจ้า เจ้าเหมียวก็จะเป็นของข้า”
ไม่เพียงแต่พูด ยังเงื้อดาบในมือขึ้นสูง หมายจะประหัตประหารสหายให้สิ้น

แม้เป็นเทพอสูรที่มีชีวิตเป็นอมตะ ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายนี้จะเป็นอมตะไปด้วยหากได้รับบาดเจ็บ สูญสิ้นร่างกายก็จะเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในแดนมนุษย์ สวรรค์ไม่เปิดฟ้า ปรโลกไม่เปิดรับ ทนทุกข์ทรมานอยู่ระหว่างสามโลกนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์

หากแต่ซิ่นเฉิงไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ครั้นเห็นเจี้ยนสือเงื้อดาบขึ้นเหนือร่างของอีกฝ่าย เขาก็หันไปแย่งชิงดาบจากฝักที่อยู่ข้างเอวของทหารนายหนึ่งมากระชับในมือมั่น สองเท้าก้าวกระโดดไปอย่างว่องไวและพุ่งเข้ารับคมดาบของเจี้ยนสือที่ทิ้งลงมาด้วยดาบที่อยู่ในมือตน

เสียงโลหะกระทบดั่งสนั่นอีกครา ก่อนเสียงของเทียนอี้จะดังขึ้นเมื่อเห็นร่างของมนุษย์หนุ่มพุ่งมาคั่นกลางระหว่างเขากับดาบของเจี้ยนสือไว้

“เฉิงเฉิง...”

เจี้ยนสือพลันชะงัก ครั้นปรายตามองก็เห็นซิ่นเฉิงรับดาบด้วยท่อนแขนอันสั่นเทาทั้งสองข้าง เพียงแขนข้างเดียวไม่อาจต้านกำลังของเทพอสูรได้ จึงจำต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องเทียนอี้ ก่อนที่เจี้ยนสือจะมีสีหน้าตะลึงงันไปด้วยไม่คาดคิดว่าจะเห็นซิ่นเฉิงโผล่มาในเวลาเช่นนี้

“เจ้า...”
ริมฝีปากเอื้อนเอ่ย ก่อนถ้อยคำทั้งหมดจะถูกกลืนลงคอไปเมื่อเสียงของซิ่นเฉิงดังแทรก
“หากเจ้าจะสังหารเจ้าหมา เจ้าก็ต้องสังหารข้าก่อน”

‘หากเจ้าจะสังหารเทียนอี้ สู้สังหารข้าเสียยังดีกว่า’

คำพูดของใครบางคนที่ได้เอ่ยไว้ในอดีตผุดพรายขึ้นมาทับซ้อนกับคำพูดของซิ่นเฉิงในภวังค์ของเจี้ยนสือ ความคับแน่นพร่างพรายไปทั่วทั้งอก ความรู้สึกนี้...เป็นเช่นเดียวกับตอนนั้น...

สายตาของเจี้ยนสือจับจ้องไปที่ใบหน้าคร้ามของซิ่นเฉิงซึ่งบัดนี้มีเหงื่อกาฬไหลอาบ แขนทั้งสองที่จับดาบยังสั่นเทา ก่อนที่เขาจะผละออกมาทิ้งดาบลงบนพื้น ความผิดหวังคับแน่นเสียจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทอดมองซิ่นเฉิงด้วยผิดหวังเหลือคณานับ

ไม่ว่าจะผู้ใด...

ไม่ว่าจะเป็นหลิวซูหรือซิ่นเฉิง ก็ล้วนแล้วแต่เห็นเทียนอี้สำคัญเช่นนั้นหรือ?

“เจ้าปกป้องมัน” เทพอสูรงูจงอางเอ่ยเสียงเครือ ทำเอาซิ่นเฉิงแผดเสียงใส่
“ก็ต้องปกป้องสิ เจ้าจะสังหารสหายตนเองเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง!”

แต่เสียงนั้นหาได้เข้าหูของเจี้ยนสือเลย เขาพูดในสิ่งที่คิดเท่านั้น
“หากเจ้าเป็นหลิวซูกลับมาเกิด เจ้าก็คงลืมไปแล้วว่าเคยรักใคร่ข้ามากเพียงใด”

ไม่รู้เหตุผลที่เอ่ยออกไปเช่นนั้น เพียงแต่เห็นซิ่นเฉิงแล้วทำให้นึกถึงคนรักในอดีตจึงพูดออกมา แต่น้ำเสียงร้าวรานของเจี้ยนสือส่งต่อไปยังซิ่นเฉิงได้เป็นอย่างดี

‘...เจ้าก็คงลืมไปแล้วว่ารักใคร่ข้ามากเพียงใด’

ไม่เพียงแต่เจี้ยนสือเท่านั้นที่เจ็บปวดเมื่อเปล่งคำพูดนี้ คนฟังอย่างซิ่นเฉิงก็รวดร้าวในใจเช่นกัน แม้จะไม่เข้าใจกับสิ่งที่เจี้ยนสือพูด แต่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายกลับบีบรัดเสียจนแทบจะขาดใจ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายก้าวถอยหลังและหมุนตัวจากไป ซิ่นเฉิงก็รู้สึกราวกับหายใจไม่ออก

“เจี้ยนสือ...”

ด้วยลืมตัวหรือสิ่งใดก็ตาม ทำให้ชายหนุ่มผุดลุกหมายจะเดินตามไป ทว่าก็ต้องชะงักไว้เมื่อเทียนอี้เอื้อมมือมาคว้าแขน
“เฉิงเฉิง”

ครั้นหันกลับมาก็สบเข้ากับดวงตาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดของเทียนอี้ เหนือสิ่งอื่นใด ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวด้วยพิษบาดแผลที่สหายมอบให้ ทำให้ซิ่นเฉิงจำต้องปล่อยให้เจี้ยนสือไป แล้วให้ความสนใจกับคนตรงหน้าแทน

“อดทนไว้ ข้าจะรีบพาเจ้ากลับจวน”

ทำเป็นพูดดีไปเช่นนั้น แม้จะมีร่างกายแข็งแกร่งสมเป็นนักรบแห่งทะเลทราย แต่ก็ไร้ซึ่งปัญญาจะแบกเทพอสูรผู้นี้กลับ เพียงแค่พยุงขึ้นจากพื้นยังทำได้ยาก ร้อนถึงหมิงจูที่ต้องสั่งการให้เหล่าทหารพาแม่ทัพใหญ่เทียนอี้กลับไปยังที่ของตน ก่อนจะปวดศีรษะหนึบเมื่อความกังวลของพ่อบ้านเหลียงที่ได้พร่ำบอกกับเขานั่นเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

มนุษย์สองคน...เป็นเรื่องที่ชวนให้ปวดหัวจริงๆ ด้วย




หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[2][15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 15-09-2017 22:12:01
บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[2]

แต่เรื่องที่หมิงจูจะปวดศีรษะจนแทบระเบิดเพียงใดหาใช่เรื่องสำคัญ การรักษาอาการของเทียนอี้สำคัญกว่า ลมปราณที่เจี้ยนสือรวบรวมใส่ฝ่ามือและกระแทกลงมาบนอกของเขาเรียกว่าฝ่ามือพิฆาต หากเป็นมนุษย์ เพียงฝ่ามือเดียวก็ปลิดชีพได้ ร่องรอยช้ำสีดำคล้ำบนอกและรอยไหม้บนเส้นขนบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจี้ยนสือหมายจะสังหารจริงๆ

การวิวาทครั้งนี้เป็นเรื่องจริงจัง...

พ่อบ้านเหลียงถึงกับมีใบหน้าดำมืดไปหลายส่วนด้วยตึงเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้เพราะพอท่านหมอตรวจอาการให้กับผู้เป็นนายเสร็จ เทียนอี้ก็ไล่ให้เขาออกไปข้างนอก

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

สิ่งที่พ่อบ้านเหลียงเป็นห่วงหาใช่แต่อาการบาดเจ็บสาหัสของเทียนอี้อย่างเดียว แต่เป็นเพราะชายหนุ่มที่ยืนมองเทียนอี้อยู่ข้างๆ เตียงต่างหาก แต่เขาก็ยอมเดินออกจากห้องนอนไปแต่โดยดี ครั้นไร้ผู้คน ซิ่นเฉิงก็จะออกไปบ้าง หมายจะปล่อยให้คนเจ็บได้พักผ่อน ทว่าก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน

“เจ้าอยู่กับข้า” ซิ่นเฉิงไม่ปฏิเสธ พ่นลมหายใจออกมาแล้วก้าวเข้าไปใกล้ พลันเทียนอี้ที่นอนอยู่ก็ร้องเรียกอีก “มานั่งบนเตียงกับข้าสิ”

“ในเวลาเช่นนี้ เจ้าก็ยังคิดจะทำเรื่องอย่างนั้นหรือไร”

คำพูดของซิ่นเฉิงมีแววหยอกเย้าอยู่เล็กน้อย พอจะเรียกรอยยิ้มจากเทียนอี้ได้บ้าง แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นด้วยความเจ็บปวดทำให้เขาต้องนอนนิ่งๆ ไปชั่วขณะ ซิ่นเฉิงเห็นสีหน้าเหยเกและลมหายใจกระชั้นถี่ที่มาจากการอดกลั้นความเจ็บปวดของคนตรงหน้าแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้

“เจ้า... สาหัสน่าดู”

“อีกไม่กี่วันก็หาย ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงจะเป็นเทพอสูร ร่างกายสูญสลายได้เฉกเช่นมนุษย์ แต่ก็ใช่ว่าจะใช้เวลาเยียวยานานนัก”

สิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง หาใช่เรื่องที่เทียนอี้พูดให้อีกฝ่ายสบายใจ อาการบาดเจ็บของเหล่าเทพอสูรจะได้รับการฟื้นฟูรวดเร็วกว่ามนุษย์ หากร่างกายหาได้แหลกสลายไม่สมส่วนก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ ไม่ว่าอย่างไรก็กลับคืนมาได้เป็นปกติ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของซิ่นเฉิงยังดูไม่ดีขึ้น เทียนอี้ก็ว่าออกมาอีก

“แต่หากเจ้ากุมมือข้าไว้ตลอด ข้าก็อาจจะหายเร็วกว่าเดิม”
ตอนนี้เองที่ซิ่นเฉิงรู้ว่าถูกอีกฝ่ายเย้าเข้าให้แล้ว
“เจ้าคงไม่ได้ตายเพราะฝ่ามือของเจ้างูนั่นแล้วกระมัง จะตายเพราะข้านี่ล่ะ”

เทียนอี้ยกยิ้ม ไม่พูดสิ่งใด เอื้อมมือไปคว้ามือของซิ่นเฉิงมากุมไว้ อีกฝ่ายก็หาได้ขัด ก่อนที่เทียนอี้จะว่าหยอด

“หากจะต้องตายด้วยน้ำมือของเจ้า ข้าก็ยินดี”
ช่างออดอ้อนได้ไม่รู้เวลานัก...

ซิ่นเฉิงอยากจะค่อนแคะไปอย่างนี้ ทว่าเมื่อเห็นเทียนอี้ปิดเปลือกตาลง เขาก็ไม่เอ่ยคำใด นั่งเงียบๆ หมายจะให้อีกฝ่ายได้พักผ่อน พลันขบคิดไปเรื่อยเปื่อย...

คิดเรื่อยเปื่อย... ไม่หรอก เขาคิดถึงคำพูดของเจี้ยนสือที่ทิ้งท้ายไว้ต่างหาก ฝ่ายนั้นเอ่ยว่าหากเขาเป็นหลิวซูกลับมาเกิด ก็คงจะจำได้ว่าเคยรักเจี้ยนสือมากเพียงใด ที่เอ่ยเช่นนี้ เป็นเพราะเหตุใดกัน?

ยิ่งคิดก็ยิ่งใคร่รู้เรื่องราวของหลิวซูผู้นั้นและความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ก่อนหน้าหาได้สนใจแม้แต่เสี้ยวเดียว

การที่เขานั่งเงียบขบคิดไม่ตกอย่างนั้น ทำเอาเทียนอี้ที่ปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อนเมื่อครู่ลืมตาขึ้นมอง ครั้นเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของซิ่นเฉิงก็โพล่งออกมา

“เหตุใดจึงมีสีหน้าเช่นนี้กัน เจ้าคิดสิ่งใดอยู่”
ซิ่นเฉิงเหลียวมอง ในเมื่อถาม เขาก็ไม่ปฏิเสธ
“ข้ากำลังคิดถึงคำพูดของเจ้างูนั่น ที่บอกว่าหากข้าเป็นหลิวซูกลับมาเกิด ก็คงจะจำได้ว่ารักเจ้านั่นเพียงใด ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าเป็นอย่างไรกันแน่”

ไม่ถามหรอกว่าเหตุใดถึงมีความคิดประหลาดมาว่าเขาคือหลิวซูกลับมาเกิด เพราะซิ่นเฉิงคาดเดาเอาว่านั่นเป็นเพราะสัญชาตญาณของความเป็นบุรุษเพศ ต่อให้เขาไม่ใช่หลิวซูกลับมาเกิด และหากไม่ใช่เขา แต่เป็นมนุษย์หรือผู้ใดก็ตามที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างเทียนอี้และเจี้ยนสือ ไม่ว่าอย่างไร ทั้งสองก็ต้องวิวาทกันคล้ายกับช่วงชิงความเป็นใหญ่ นั่นก็เพราะในความสัมพันธ์ระหว่างสหายของพวกเขานั้นมีความเคียดแค้นแฝงอยู่ สิ่งนั้นซิ่นเฉิงซึ่งก็เป็นบุรุษและนักรบรู้ดี ต่อให้ชีวิตต้องสูญสิ้นก็ยอม แค่ขอให้อีกฝ่ายไร้ซึ่งความสุขเท่านั้น... ทั้งหมดล้วนมาจากแผลที่มีหลิวซูเป็นต้นเหตุ มันฝังลึกมายาวนานแล้ว

เมื่อได้ยินคำถาม เทียนอี้ก็เงียบงัน ใช่ว่าเขาไร้ซึ่งคำตอบของคำถาม แต่เขาไม่อยากจะพูดถึงมากกว่า
“บอกข้ามาเจ้าหมา เหตุใดเจี้ยนสือถึงพูดเช่นนั้น” เห็นว่าไม่ยอมตอบโดยง่าย ซิ่นเฉิงก็กดเสียงต่ำ
เทียนอี้ระบายลมหายใจ “หาใช่เรื่องที่เจ้าต้องรู้ มันเป็นเพียงเรื่องใดอดีต”
“เรื่องในอดีตของพวกเจ้าที่บัดนี้มีข้าเข้าไปเกี่ยวข้อง เหตุใดข้าจะรู้ไม่ได้ อีกอย่าง เจ้าเองก็ฝังใจอยู่กับอดีตมิใช่หรือ? คนจมปลักเช่นเจ้ายังมีหน้ามาพูดดีอีก”

คำโต้เถียงนั้นมีเหตุผล แต่ก็หาได้ทำให้เทียนอี้อยากจะพูดอยู่ดี ซิ่นเฉิงเห็นว่าต่อให้คาดคั้นไปก็เปล่าประโยชน์ เทียนอี้คงไม่ปริปากพูด จึงดึงมือออกจากใต้ฝ่ามือใหญ่ทันควัน

“หากเจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
สิ้นเสียงก็ทำท่าจะออกจากห้องไป ทำเอาเทียนอี้รีบดันตัวขึ้นนั่ง รีบหย่อนขาลงพื้นหมายจะเดินตาม ทว่าก้าวได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องทรุดตัวลงฮวบบนพื้น ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดเข้ารุมเร้า กระนั้นปากก็ยังจะเอ่ยเรียกชื่อของชายหนุ่มอีกคน

“เฉิงเฉิง...อึ้ก...”
ซิ่นเฉิงหันไปมองและเห็นภาพนั้นก็ตกใจ รีบเข้ามาพยุงอีกฝ่ายทันควัน
“ทำบ้าอะไรของเจ้า ท่านหมอบอกให้นอนนิ่งๆ ไว้ไม่ใช่หรือ!? ดื้อด้านนักเจ้าหมา!”

เสียงเขียวๆ ดังลอดออกมาจากริมฝีปากหนาอย่างเป็นห่วง หากแต่เทียนอี้กลับต่อปากต่อคำ
“ก็ไม่ได้ดื้อด้านเท่าเจ้า”
“ปากยังใช้การได้ดีเช่นนี้ ข้าปล่อยให้เจ้านอนตายอย่างเดียวดายตรงนี้เลยดีหรือไม่!?”

เป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ ก่อนที่มนุษย์หนุ่มจะยกแขนของเทียนอี้ขึ้นพาดบ่า สอดแขนไปพยุงร่างหนา ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีรั้งให้เทียนอี้ลุกขึ้น

การกระทำนั้นเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่ก็พาเทียนอี้กลับมานอนบนเตียงได้ ซิ่นเฉิงที่นั่งทรุดตัวอยู่ข้างเตียงหอบหายใจหนัก อยากจะฟาดกำปั้นลงไปบนร่างคนตรงหน้านักที่ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านหมอ ทว่าก็ทำได้แค่เหลียวมองพร้อมตำหนิ

“ข้าน่าจะยุให้เจ้างูสังหารเจ้าไปเลยหากรู้ว่าเจ้าจะดื้อด้านเช่นนี้!”
“ก็ข้าไม่อยากให้เจ้าห่างจากตัวข้า”
“ไม่ต้องมาอ้อน หาใช่เวลาของเจ้า!” แผดเสียงใส่อีกแล้ว ทว่ากลับเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของเทียนอี้ได้เป็นอย่างดี
“ข้าไม่อยากให้เจ้าห่างกายจริงๆ” สิ้นเสียงก็ฉวยเอามือของซิ่นเฉิงไปกุมไว้อีกครา คราวนี้หาได้กุมเพียงอย่างเดียวเช่นในตอนแรก ยังออกแรงดึงให้อีกฝ่ายโน้มตัวเข้ามาใกล้เพื่อเอามือนั้นไปแตะลงยังซีกหน้าของตน “ข้าอยากจะให้เจ้าอยู่กับข้าตลอดไป”

ซิ่นเฉิงที่บัดนี้ใบหน้าห่างจากเทียนอี้เพียงหนึ่งฝ่ามือสบสายตาของคนใต้ร่างนิ่ง แววตาของเทียนอี้เป็นดั่งคำพูด เขาต้องการซิ่นเฉิงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งโหยหาและห่วงใย แต่การที่ใบหน้าของซิ่นเฉิงอยู่ใกล้นั้น กลิ่นของเจี้ยนสือที่ยังคงหลงเหลืออยู่ก็ลอยโชยเข้ามาในจมูก ทำเอาหัวคิ้วของเทียนอี้ย่นยู่ไป ก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มอย่างถือวิสาสะ ครั้นซิ่นเฉิงเผยอริมฝีปาก ปลายลิ้นอุ่นร้อนก็ชำแรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของอีกฝ่ายราวกับจะชำระล้างเอาสาบสางของเจี้ยนสือออกไปให้หมด อ้อมแขนกอดรัดร่างราวกับกลัวซิ่นเฉิงจะหนีไปให้ผู้ใดทิ้งกลิ่นไว้บนตัวอีก

จากที่หัวเสียก็พลันรื่นรมย์ ซิ่นเฉิงละความแข็งข้อลง จุมพิตตอบด้วยเสน่หา ลืมสิ้นไปหมดว่าก่อนหน้านั้นรู้สึกปวดร้าวกับคำพูดของเจี้ยนสือเท่าไร กระทั่งเทียนอี้เป็นที่พอใจถึงได้ผละออกมา

“เท่านี้กายเจ้าก็จะมีแต่กลิ่นของข้า”
แต่ก็หาได้หยุดแค่นั้น ปลายจมูกซุกไซ้ไปยังซอกคอ ขบกัดสร้างรอยคมเขี้ยวแดงเรื่อไว้หลายแห่ง ก่อนจะหยุดเมื่อถูกซิ่นเฉิงดึงแผงขนที่คอให้ออกห่าง

“ข้าไม่ใช่สมบัติของเจ้า อย่าริมาทิ้งกลิ่นใดไว้บนตัวข้า”
“เช่นนั้นก็ให้เจ้าทิ้งกลิ่นไว้บนตัวข้าก็ได้” เทียนอี้ยอมโดยดุษณี ทว่าคิดดีๆ แล้ว คนที่มีแต่ได้กับได้ก็คือเขาไม่ใช่ซิ่นเฉิง
“หากเจ้าหายดีเมื่อไร เจ้าจะได้ทำในสิ่งที่ประสงค์”

ซิ่นเฉิงก็หาได้ปฏิเสธ นั่นยิ่งเรียกรอยยิ้มจากเทียนอี้ได้มากขึ้นกว่าเดิม พลันคิดไปว่าเขาทำถูกแล้วที่ไปวิวาทกับเจี้ยนสือ เพราะไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ได้รับความเอ็นดูจากอีกฝ่ายเช่นนี้ ก่อนในใจจะอบอุ่นขึ้นมาด้วยรู้สึกรักใคร่ซิ่นเฉิงจนล้นปริ่มเสียจนอยากจะพรรณนาให้คนตรงหน้าได้รับรู้ แต่ก็มิอาจพูดด้วยใบหน้าของใครบางคนยังคงทับซ้อนใบหน้าของซิ่นเฉิงอยู่ เทียนอี้ได้ให้สัตย์สาบานกับตนเองแล้วว่าตราบใดที่เขาไม่อาจปล่อยวางหลิวซูได้ เขาก็จะไม่ถลำลึกไปกว่านี้ให้ซิ่นเฉิงได้เจ็บปวด

หากแต่คำสัตย์ของเขานั้น สวรรค์คงจะไม่ปรารถนาจะให้เขารับรู้แต่เพียงผู้เดียว ในขณะนั้นเอง สายตาของซิ่นเฉิงก็พลันเหลือบไปเห็น ‘บางอย่าง’ หล่นอยู่บนพื้นที่เทียนอี้ล้มทรุดไปก่อนหน้า จึงผละออกจากอ้อมแขน ตรงไปหยิบสิ่งนั้นขึ้นมา

“นี่คือสิ่งใด” ชายหนุ่มหันมาถาม

มันคือถุงหอมที่ไร้ซึ่งกลิ่นหอมของบุปผชาติ...

ครั้นเทียนอี้เห็นก็เบิกตาโตขึ้นเล็กน้อยด้วยตกใจ “นั่น...” คำพูดกลืนหายไปในลำคอ ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดเวลาจะร่วงหล่นในเวลาอย่างนี้ เขาเงียบไปครู่ใหญ่ทีเดียว กระทั่งเห็นซิ่นเฉิงทำหน้ารำคาญใจถึงได้พูดออกมาอีก “คือถุงหอมที่หลิวซูได้มอบให้ข้าไว้ก่อนจากไป”

ถุงหอม... แม้เผ่าของซิ่นเฉิงจะไม่มีค่านิยมนี้ แต่ก็รู้ดีว่าเหล่าสตรีที่มีฐิ่นอาศัยอยู่ในแว่นแคว้นอุดมสมบูรณ์มักจะปักผ้าและเย็บเป็นถุงเล็กๆ เพื่อนำดอกไม้มีกลิ่นหอมบรรจุลงไป เมื่อถูกใจคุณชายสกุลไหนก็จะนำไปมอบให้ หากคุณชายสกุลนั้นมีใจปฏิพัทธ์ด้วยก็จะพกพาเอาไว้ ...ที่เทียนอี้พกติดตัวไว้เสมอก็คงเพราะถูกใจมากเป็นอย่างยิ่งกระมัง

มือเผลอกำถุงผ้านั้นแน่น เมื่อได้สติก็เดินเข้ามาหาและส่งมันคืนให้กับเทียนอี้

“อย่าทำหล่นอีก หากหายไป เจ้าจะหาทดแทนไม่ได้”

คำพูดนั้นราวกับจะย้ำเตือนว่าเขาไม่ใช่ตัวแทนของใคร บรรยากาศหวานล้ำเมื่อครู่มลายหายไปในพริบตา ซิ่นเฉิงปวดหนึบในใจขึ้นมาทีละน้อย การที่เขาได้เห็นถุงหอมนั้นมันก็เหมือนกับการตอกย้ำว่าในใจของเทียนอี้ยังคงรักมั่นอยู่กับหลิวซู การที่เขาเข้ามานั้นก็เป็นเพราะเหตุบังเอิญโดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วในใจของเทียนอี้คิดเช่นไร

“เฉิงเฉิง...”
ครั้นแม่ทัพเทพอสูรหมายจะอธิบาย ซิ่นเฉิงก็โพล่งขัด

“พักผ่อนเสีย ข้าจะได้ไปพักผ่อนบ้าง เรื่องระหว่างพวกเจ้าที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำข้าอ่อนเพลียนัก”

ดูก็รู้ว่าไม่อยากจะฟัง ซึ่งใช่... ซิ่นเฉิงยังไม่พร้อมจะรับรู้สิ่งใดจากเทียนอี้ในตอนนี้ หากแต่เทียนอี้ดื้อดึงนัก เขาไม่ใคร่จะปล่อยให้ซิ่นเฉิงจากไปทั้งที่ยังเข้าใจเขาผิด ครั้นเห็นร่างของอีกฝ่ายเดินจากไปก็เอ่ยเอาไว้ก่อนที่ประตูจะถูกเปิด

“วันนี้เจี้ยนสือเอ่ยกับเจ้าว่าหากเจ้าเป็นหลิวซูกลับมาเกิด เจ้าคงจะจำได้ว่ารักเจ้านั่นเพียงใด หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็คงจะจำได้เช่นกันว่าข้ารักเจ้าเพียงใด แต่ถ้าหากเจ้าไม่ใช่ ก็ขอให้รับรู้ไว้ว่าที่ใจข้าปฏิพัทธ์ต่อเจ้าในยามนี้ นั่นก็เพราะเจ้าคือเจ้า หาใช่ผู้อื่น”

ซิ่นเฉิงนิ่ง ไม่ได้หันกลับมามอง ในใจสับสนเป็นเท่าทบทวี ก่อนจะตัดสินใจเดินจากมาโดยไม่พูดอะไรตอบไป
มนุษย์หนุ่มก้าวไปตามชานระเบียงของเรือนใหญ่อย่างเชื่องช้า ในหัวครุ่นคิดกับสิ่งที่เทียนอี้พูดไม่หยุดหย่อน

เทียนอี้...มีใจปฏิพัทธ์ต่อเขาเพราะมองเห็นเขาเป็นเขาอย่างนั้นจริงหรือ?

ซิ่นเฉิงไม่อาจเชื่อได้เลยด้วยสิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก ทั้งเจี้ยนสือและเทียนอี้ ต่างยังคงคะนึงหาหลิวซูไม่เว้นวัน ต่อให้วิวาทกันเพราะเขาเป็นเหตุ แต่ในใจก็ยังมีหลิวซูด้วยกันอยู่ทั้งคู่ เขาต่างหากที่ควรคาดคั้นถามตนเองว่าเหตุใดถึงยังอยู่ที่นี่ หาใช่ไปคาดคั้นถามเทพอสูรทั้งสองว่าไยถึงได้ปักใจรักหลิวซูนัก

แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ... จะว่ามีใจปฏิพัทธ์ต่อเทียนอี้มากเสียจนไม่กล้าไปไหนไกลก็ไม่ใช่เสียทีเดียว การได้เห็นสีหน้าและได้ยินคำพูดของเจี้ยนสือในวันนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขายังไม่ตัดสินใจกลับทะเลทรายเช่นกัน

คำพูดของเจี้ยนสือ... ทำให้รู้สึกราวกับว่าเคยผูกพันกันอย่างลึกซึ้งมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

ซิ่นเฉิงเหม่อมองไปบนผืนฟ้า วันนี้ท้องฟ้าช่างสดใสต่างจากอารมณ์ขุ่นมัวของเขายิ่งนัก สวรรค์ยินดีกับสิ่งใดอยู่หรือถึงได้เปิดฟ้ากระจ่างถึงเพียงนี้

หรือจะยินดีที่ได้ลิขิตชะตามนุษย์อย่างเขาให้วุ่นวายโดยไม่พึงปรารถนากัน?

ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์... หากถูกกำหนดมาแล้ว เขาคงจะเลี่ยงความวุ่นวายนี้ไม่ได้กระมัง

ผู้ใดจะไปฝืนชะตาที่สวรรค์กำหนดมาแล้วได้กัน แม้แต่เหล่าเทพอสูรที่เคยเป็นเทพมาก่อนยังไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย...

คิดแล้วก็ระบายลมหายใจคล้ายจะปล่อยวาง วันนี้เขาคงคิดทำการใดไม่ได้แล้ว นอกจากจะไปนอนเอกเขนกบนกิ่งท้อ ปล่อยให้เวลาผันผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ ทว่าพอจะก้าวลงจากเรือนใหญ่ สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างของใครบางคนยืนมองอยู่ไม่ไกล ครั้นหันไปมองเต็มๆ ตาก็พบว่าคนผู้นั้นคือหมิงจูที่ยืนกอดอกอยู่

“ข้ารอเจ้าออกมาจากห้องของเทียนอี้นานแล้ว ตอนนี้คงจะไร้ธุระสำคัญใดแล้วสินะ”
“เจ้าประสงค์สิ่งใด” ซิ่นเฉิงถามกลับ
หมิงจูจึงเข้าเรื่องทันควัน “มาที่จวนของข้า ข้ามีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกับเจ้า”
“เรื่อง?”

เห็นสีหน้าสงสัยของซิ่นเฉิงแล้ว แม้จะไม่อยากบอกตรงนี้แต่ก็จำต้องพูด ซิ่นเฉิงดื้อด้าน เขารู้แล้ว หากไม่มีสิ่งน่าสนใจมากพอก็คงจะไม่ตามมาโดยง่าย จึงจำเป็นต้องพูด

“ข้าจะฝืนชะตาฟ้า มากับข้า แล้วเจ้าจะรู้เอง”

สิ้นเสียงก็เดินนำออกไปนอกจวนของเทียนอี้ ทำให้ซิ่นเฉิงที่ยืนลังเลอยู่ครู่ตัดสินใจตามไปอย่างรวดเร็ว

ฝืนชะตาฟ้าอย่างนั้นหรือ? ...ฟังดูน่าสนใจไม่เลวทีเดียว
---------------------------------
พี่หมาก็จะมีความอ้อนนิดๆ ง่ะ เหมือนเห็นหางกระดิกระริกระรี้ XD
ตอนนี้ค่อนข้างยาวเนอะ แต่หมิงจูเริ่มเข้ามามีบทบาทแล้วเห็นมั้ย
เอ้าไหน ขอเสียงเรือจิ้งจอก 555 มีแค่เรือพี่งูกับเรือพี่หมาก็ปวดหัวแล้ว พอเต๊อะ
นอกเรื่องนิดนึง พอดีมีหลายคนถามหนูแดงเข้ามาเรื่องรูปเล่ม
คือเอาจริงๆ ตอนแรกที่เขียนเรื่องนี้ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะทำเล่มเลยค่ะ
กะว่าเขียนเล่นๆ ไปก่อนเพราะตอนแรกก็อวตารนามปากกามาแล้วโป๊ะแตก 555
ไม่งั้นก็จะเขียนให้เป็นเล่มเดียวจบแทน แต่หนูแดงก็ไปคุยกับน้องๆ ในทีม บ.ก.รักคุณแล้วค่ะ
ตอนนี้ก็หยอดปุกรอกันไปก่อนเน้อ ยังไม่มั่นใจว่าจะเขียนเสร็จเมื่อไหร่เหมือนกันค่ะ
เรื่องนี้อยากเขียนแบบไม่รีบ เหนื่อยกับเดดไลน์มาทั้งปีแล้ว ขอเขียนตามใจหน่อย ฮา
ฝากกำลังใจไว้ให้หน่อยนะคะ เดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้ค่า

หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-09-2017 22:17:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ม่านหมอก ณ ปลายฝัน ที่ 16-09-2017 01:53:43
โหย เขาขอเป็นกระบอกเสียงให้พี่งูบ้างได้มั้ยอ่ะ /ยกมือน้อยๆ
เฉิงเฉิงในตอนพี่หมาเจ็บจนอ้อน พี่งูก็เจ็บหนักอยู่เหมือนกันนะ
แถมพี่งูที่ผ่านมาคงจะเหงากว่าด้วย ก็ดูหมิงจูจะเข้าข้างพี่หมามากกว่านี่นา
ในตอนที่พี่หมาบอกว่ารักเฉิงเฉิงเพราะเฉิงเฉิงเป็นเฉิงเฉิง เฉิงเฉิงอย่าลืมนะว่ายังมีใครอีกคนที่ยังไม่ได้บอกความรู้สึกให้นายฟัง
เค้าคนนั้นก็ยังรักซูซูอยู่เหมือนพี่หมาและรักที่เฉิงเฉิงเป็นเฉิงเฉิงเช่นกัน (เจ้าแมวของพี่งูไง)
 ฮรือออออออออ สุดท้ายนี้ ฮรืออออ อีพี่งูของบ่าวจะเจ็บช้ำกระดองใจเพียงใดก็ต้องรักษาอาการบาดเจ็บแบบปล่าวเปลี่ยวเอกา
เราเศร้าใจจ พี่งูของบ่าวววววววว /วิ่งร้องไห้ปาดน้ำตาข้ามภูเขาสามลูก


หมิงจู! ตอนหน้าแกอย่าลืมนะเว้ย จะฝงจะฝืนลิขิตฟ้าอะไร
เอ็งก็ต้องคิดถึงใจพี่งูเค้าบ้าง
คุณนักเขียนให้บทพี่งูเป็นพระเอก(รอง)นะเง้ย!! /วิ่งปาดน้ำตาข้ามภูเขาอีกลูก

พี่งู้  :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 16-09-2017 07:35:48
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Realy ที่ 16-09-2017 07:42:59
คือแบบสงสารเฉิงเฉิงมากอ่ะ :katai1:หนีเลยม่ะ :hao3:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 16-09-2017 07:50:41
รึว่าคู่ของเเม่ทัพงูจะเป็นซูซูตัวจริง   เราว่าเจ้าหมาอาจจะชอบซูซูแล้วมโนจริงๆ  ตอนแม่ทัพงูเจอลูกหลานตระกูลของหวิวซูดูรักมากคิดถึงมากหน้ามืดไปหมด   แต่เจ้าหมาดูโหยหาไม่เท่า   แต่ก็ติดตรงทั้งคู่ก็เหมือนจะคลิ๊กกับเฉิงเฉิงเหมือนกันเอ๋!!!!   ยังไงดีน้าาาา
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nutipkra ที่ 16-09-2017 11:13:56
ทำไม เฉิงเฉิง ถึงสองใจละ ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือซาติที่แล้วก็ตาม เพื่อตัดปัญหา ก็อยู่ด้วยกัน 3 คนไปเลย สุขสันต์ ดีออก  :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: เสี้ยวอสูร[จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 16-09-2017 15:15:20
รักสามเส้าของเราสี่คน...เอ๊ะ?//รวมพี่เข้ผู้ต้องเก็บกวาดทุกอย่าง ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ▌เสี้ยวอสูร▐ [จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-09-2017 19:18:48
เราว่าแม่ทัพหมาชอบซูซู แล้วซูซูชอบพี่งู รึเปล่า แต่ทำไมให้ถุงหอมกับหมา งง  สงสารพี่งูสุด เจ็บเหมือนกันแต่ไม่มีคนดูแล  :ling1:
หัวข้อ: Re: ▌เสี้ยวอสูร▐ [จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 16-09-2017 20:00:31
งงกับความรักของพวกอสูรจริง ๆ ดูวนไปวนมา ใครรักใครกันแน่ หรือคิดไปเอง คงต้องไปตามหาหลิวซูแล้วหล่ะมั้งว่าเกิดเป็นใคร ทำไมเราไม่ชอบซิ่นเฉิงฟะ
หัวข้อ: Re: ▌เสี้ยวอสูร▐ [จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: flowerloveyaoi ที่ 16-09-2017 20:44:46
อ่านรวดเดียวตามทันเลยทีเดียว5555

เรื่องนี้สนุกมากค่ะแปลกแหวกแนวดีปกติเราชอบอ่านแนวนี้อยู่แล้ว อ่านแรกๆเลยชอบมากเพราะไม่คิดว่าจะเป็นแนวความรักจ๋าขนาดนี้นึกว่าจะมีแบบบู๊ผจญภัยอะไรแบบนี้ด้วย ฮาา

เราก็ยังอ่านได้แต่เกือบเลิกอ่านตอนมีกลิ่น 3p :a5: ลอยมา พอไรท์บอกไม่ใช่แน่นอนเราเลยอ่านต่อ แต่ตอนนี้คือเราตามอารมณ์ตัวละครไม่ทัน
อย่างซิ่นเฉิงเนียเป็นตัวละครที่เราชอบเพราะตอนแรกๆหนักแน่นดีเป็นตัวของตัวเอง แน่นอนเขามีใจกับเทียงอี้และด้วยบุคลิกแบบนี้เขาไม่น่าจะโลเลอะไรกับใครง่ายๆหรือแม้กระทั่งอดีตว่าเขาเป็นใครก็น่าจะไม่มีผลอะไรต่อเขาแต่ตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นทำให้เราค่อนข้างงงเขาเป็นแบบไหนกันแน่5555 :really2: แต่เราก็ยังชอบตัวละครตัวนี้อยู่ดีนั่นแหละ :mew1:

ติดตามรอตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ▌เสี้ยวอสูร▐ [จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-09-2017 21:38:23
 :เฮ้อ:
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 17-09-2017 00:23:05
บทที่ 17: เทพสองสหาย[1]

เผลอไผลตามหมิงจูไปยังจวนด้วยจนได้ ซิ่นเฉิงคิดเอาเองว่าการที่เทียนอี้ยังบาดเจ็บและพักผ่อนอยู่เช่นนี้คงไม่มีอารมณ์จะมาหัวเสียเรื่องเขาออกจากจวนโดยไม่ได้รับอนุญาตสักเท่าไร อีกอย่าง คราวนี้เขาไปกับหมิงจู หาใช่เจี้ยนสือ คงไม่เป็นไร เมื่อตอนออกจากจวนมา ถ้าตาไม่ฝาดก็เหมือนจะเห็นพ่อบ้านเหลียงชำเลืองมองแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็นอยู่ ท่าทางคงจะรู้เห็นกับหมิงจูเป็นแน่

ครั้นมาถึง หมิงจูก็เดินนำเข้าไปยังห้องรับรองของจวน จวนของรองแม่ทัพหาได้ใหญ่โตเท่ากับจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่านั่นหาใช่เรื่องสำคัญไม่ สิ่งที่ซิ่นเฉิงต้องการรู้ก็คือ...หมิงจูจะให้เขาฝืนชะตาฟ้าเช่นไรต่างหาก

“มีสิ่งใดก็จงรีบพูด ข้าไม่มีเวลามานั่งดื่มชาสำราญใจกับเจ้านัก”

เห็นหมิงจูมัวแต่รินชาจากกาใส่ถ้วยใบเล็ก ซิ่นเฉิงก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ ไม่ยอมแม้แต่จะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้า ยืนมองเจ้าของจวนนิ่ง ขณะที่หมิงจูวางกาน้ำชาลงแล้วเหลือบมอง
“เจ้ารู้จักน้ำอมฤตหรือไม่?” จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา

ซิ่นเฉิงเงียบไปครู่ พลันพยักหน้า เขาเคยได้ยินพวกผู้อาวุโสในเผ่าเล่าขานกันมาก่อนว่ามันคือน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมาย หากดื่มเข้าไปก็จะมีชีวิตยืนยาวอมตะ คงความเยาว์วัยไว้ตราบชั่วนิรันทร์ ดวงวิญญาณของสิ่งใดในตรีโลกภูมิได้ดื่มและมีตบะแก่กล้าพอก็จะกลายเป็นเทพ สำหรับมนุษย์แล้ว มันมีสรรพคุณในการรักษาโรคร้ายแรงเพียงได้ดื่มแค่หยดเดียว

เมื่อเห็นซิ่นเฉิงตอบรับอย่างนั้น หมิงจูก็หายออกจากห้องรับรองไปโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น อึดใจหนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมกับหีบไม้ใบเล็กๆ ในมือ เมื่อวางลงบนโต๊ะก็พูดขึ้นอีกครา

“ในหีบนี้มีน้ำอมฤตอยู่ ข้าลักลอบเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเทพ” พูดจบก็เปิดหีบออก หยิบเอาขวดใบเล็กๆ ขนาดนิ้วก้อยออกมา “เหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้น ข้าจะยกมันให้เจ้า”
ซิ่นเฉิงถึงกับย่นคิ้ว “ยกให้ข้าด้วยเรื่องอันใด ข้าหาได้อยากมีชีวิตยืนยาว”
“เพียงไม่กี่หยด มันไม่ทำให้เจ้ามีชีวิตเป็นอมตะหรอก อย่าฝันเฟื่องเจ้ามนุษย์” หมิงจูมองค้อนที่ซิ่นเฉิงทำเสมือนรู้ทันว่าเขาจะยกน้ำอมฤตนี้ให้ด้วยการใด แต่นั่นหาใช่จุดประสงค์ของเขา ที่เขาต้องการยกให้เป็นเพราะ... “ข้าจะยกให้เจ้าเพราะต้องการให้เจ้าระลึกชาติได้ น้ำอมฤตที่อยู่ในขวดนี้มากพอที่จะทำให้เจ้าระลึกถึงอดีตชาติของเจ้าทุกชาติได้ทีเดียว”

คำพูดนั้นยิ่งทำให้ซิ่นเฉิงขมวดคิ้วยับย่นกว่าเดิม “เพื่อการใดกัน”
“เจ้าไม่อยากรู้บ้างหรือว่าชาติก่อนตนเองเป็นใคร”
“อดีตผ่านมาแล้ว ไยข้าจะต้องไประลึกถึง”
“แล้วไม่อยากรู้หรือว่าเจ้าคือหลิวซูกลับชาติมาเกิดหรือไม่?” ถึงตอนนี้ ซิ่นเฉิงเงียบนิ่งไป ทำให้หมิงจูต้องพูดขึ้นมาอีกที “แต่ข้าอยากรู้เสียจนแทบอยู่ไม่สุข หากเจ้าไม่ใช่หลิวซู แล้วเหตุใดสหายทั้งสองของข้าถึงได้วิวาทกันเพราะเจ้า ใบหน้าก็ไม่ใช่ อุปนิสัยก็แตกต่างอยู่โข มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่คล้ายคลึง ไยทั้งสองถึงได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้ากัน สิ่งนั้นทำให้ข้าสงสัยยิ่งนัก”

ไม่ใช่ว่าซิ่นเฉิงไม่อยากรู้หรอก เขาเองก็อยากรู้เช่นกันเมื่อได้ยินหมิงจูพูดออกมาอย่างนี้ ยิ่งเห็นสีหน้าของสุนัขจิ้งจอกที่ดูจะข้องใจมากเป็นพิเศษ ซิ่นเฉิงก็ยิ่งทวีความอยากรู้มากขึ้นไปอีก ขณะที่หมิงจูยกมือขึ้นลูบปลายคาง ว่าออกมาอย่างครุ่นคิด

“ข้าได้หารือกับพ่อบ้านเหลียงแล้ว ด้วยความที่ข้ากับพ่อบ้านเหลียงเป็นคนนอกและหาได้สนิทสนมกับหลิวซูมาก่อน จึงไม่เข้าใจนักว่าการต้องชะตาเป็นเช่นไร ถึงหลิวซูจะเคยอยู่ใต้การดูแลของพ่อบ้านเหลียง ทว่าก็หาได้ใกล้ชิดผูกพัน แต่ทั้งเทียนอี้และเจี้ยนสือต่างต้องชะตากับเจ้าเพราะเคยรักใคร่ มันทำให้ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าคือหลิวซูกลับมาเกิด”

“ข้าไม่ใช่” แม้จะอดคิดว่าตนเองเป็นหลิวซูกลับมาเกิด แต่ซิ่นเฉิงก็ปฏิเสธ เขาก็คือเขา ไยใครต่อใครต้องเปรียบเทียบเขากับหลิวซูผู้นั้น
“หากเจ้าไม่ใช่ ข้าก็ยินดียิ่ง เจ้าอยากลองพิสูจน์ไหมเล่า”
“ไยข้าต้องเชื่อฟังในสิ่งที่เจ้าพูด”
“การวิวาทของสหายข้าในวันนี้ เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าร้ายแรงแค่ไหน นั่นเป็นเพราะต่างคิดว่าเจ้าคล้ายคลึงกับหลิวซูไม่ใช่หรือถึงได้วิวาทกันใหญ่โตเช่นนั้นน่ะ เจ้าอยากจะเห็นทั้งคู่ฟาดฟันกันจนดับสูญเพราะมนุษย์เช่นเจ้าหรือไร?”

ไม่อย่างแน่นอน ซิ่นเฉิงไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แค่คิดว่าเทียนอี้กับเจี้ยนสือจะต้องวิวาทกันในวันหน้าอีกเพราะตน เขาก็อึดอัดในใจเกินจะพรรณนา อีกทั้งยังไม่ใช่เพราะที่เขาเป็นเขาด้วย แต่เป็นเพราะทั้งคู่ต่างรู้สึกว่าเขาเป็นตัวแทนของหลิวซู ทำให้ซิ่นเฉิงปวดร้าวขึ้นมาในอก

เห็นมนุษย์หนุ่มนิ่งเงียบไป หมิงจูพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง

“เจ้ามีทางเลือกอยู่สองทาง ทางแรก...ไปจากที่นี่โดยไม่ต้องพิสูจน์สิ่งใด แต่สหายของข้าคงจะต้องไปตามตัวเจ้ากลับมาเป็นแน่ ชีวิตเจ้าจะไม่มีทางสงบสุขเลยจนกว่าความตายจะมาพลัดพราก ทางที่สอง...ดื่มน้ำอมฤตเสีย เมื่อเจ้าระลึกถึงอดีตชาติได้แล้ว หากเจ้าไม่ใช่หลิวซู เทียนอี้และเจี้ยนสือก็จะรามือไปเอง จากนั้นเจ้าก็จะเป็นอิสระดั่งที่เจ้าต้องการ เจ้าจะเลือกทางใดล่ะ”
“แล้วถ้าหากข้าคือหลิวซู...?”
“เรื่องนั้น...” หมิงจูชะงัก ลืมไปเสียสิ้นว่าไม่ได้คิดเรื่องนี้เอาไว้ “หากเจ้าใช่ เจ้าก็จงเลือกเองว่าจะทำอย่างไรต่อ ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าเพียงจะช่วยเจ้าฝืนลิขิตสวรรค์เท่านั้น แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าคงไม่เลือกทางใดก็ตามที่ทำให้สหายของข้าต้องหมางใจกันอย่างนี้อีก”

พูดเช่นนี้มันไร้ความรับผิดชอบชัดๆ!

“การทำให้ข้าระลึกชาติได้ มันเป็นการฝืนลิขิตสวรรค์อย่างไรกัน”
“การให้มนุษย์ได้ดื่มน้ำอมฤตโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าแม่ซีหวังหมู่ นั่นถือว่าเป็นฝืนลิขิตสวรรค์แล้ว” หมิงจูตอบ ก่อนจะยื่นขวดน้ำอมฤตไปตรงหน้า “ว่าอย่างไร เจ้าจะดื่มหรือไม่? พิสูจน์กันให้รู้ไปเลยว่าเจ้ามีอดีตชาติเป็นอย่างไร”

ดี! เขาเองก็อยากพิสูจน์เช่นกัน หากเขาไม่ใช่หลิวซู ทั้งเทียนอี้และเจี้ยนสือจะได้หยุดเอาเขาไปเป็นตัวแทนของหลิวซูสักที และเขาก็จะได้พูดอย่างเต็มปากด้วยว่าเขาไม่ใช่ หากแต่เป็นซิ่นเฉิง บุรุษแห่งทะเลทรายต่างหาก

ซิ่นเฉิงเอื้อมมือไปรับขวดใบเล็กมา ดึงผ้าที่ปิดปากขวดอยู่ออก กระดกของเหลวในขวดนั้นเข้าปาก อึดใจหนึ่งก็ไหลลงคอ พลันหมิงจูก็ตระหนักขึ้นมาได้

“อ้อ ข้าลืมบอกไป เจ้าจะค่อยๆ ระลึกชาติได้ในความฝัน เมื่อเจ้ารับรู้เรื่องราวในอดีตหมดทั้งสิ้นแล้ว เจ้าต้องระวังความคิดของเจ้าให้ดี เพราะการระลึกชาติได้นั้นล้วนมีผลต่อจิตใจ อย่างเบา...เจ้าอาจจะสับสนว่าแท้จริงแล้วเจ้าคือผู้ใดกันแน่ อย่างร้ายก็อาจจะเสียสติ”
“ทำไมไม่บอกข้าให้ไวกว่านี้กันเจ้าจิ้งจอก!” คนฟังถึงกับอดไม่ได้ที่จะแผดเสียงออกมา

หมิงจูเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ กระนั้นปากก็ไม่เอ่ยออกมาว่าเมื่อครู่นี้เขาลืมไปเสียสนิท ทว่าการที่ซิ่นเฉิงดื่มน้ำอมฤตไปก็ดีแล้ว เพราะหากซิ่นเฉิงไม่ใช่หลิวซู เขาก็คงจะจากไปเองแน่ถ้าเทียนอี้กับเจี้ยนสือยังคงนำไปแทนตัวหลิวซูเช่นนี้ หรือไม่ก็ต้องหลุดปากออกมาว่าตนไม่ใช่ ต่อให้ใช่... ก็คงจะไม่ยอมให้เทียนอี้และเจี้ยนสือวิวาทกันดั่งเช่นในชาติก่อน

“หมดธุระแล้ว เจ้าก็กลับไปเถิด ประเดี๋ยวเทียนอี้ตื่นขึ้นมาไม่เจอเจ้าจะเป็นห่วงเอา”
หมดเรื่องแล้ว หมิงจูก็ออกปากไล่ทันควัน ซิ่นเฉิงเองก็ไม่อยู่ให้หัวเสียเช่นกัน ก้าวออกจากจวนของรองแม่ทัพเทพอสูรโดยไม่หันหลังมาบอกลาแต่อย่างใด จะมีก็แต่เพียงหมิงจูเท่านั้นที่มองตามพลันครุ่นคิด

ฝืนชะตาที่สวรรค์กำหนดและลิขิตชีวิต... สิ่งที่เขาต้องการฝืน แท้จริงแล้วหาใช่ชะตากรรมของซิ่นเฉิง แต่เป็นชะตากรรมของเทียนอี้และเจี้ยนสือที่ถูกกำหนดให้ต้องทรมานเพราะหลิวซูจากความผิดในครั้งนั้นต่างหาก

ต่อให้กายเนื้อสูญสิ้นเป็นผุยผง วิญญาณก็ยังคงต้องทรมาน สิ่งนี้... เขาต้องการจะปลดเปลื้องให้กับเทพสองสหาย แม้จะไม่อาจช่วยได้มาก แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าการไม่ได้ทำสิ่งใดเลยอย่างเช่นที่ผ่านมา ในใจภาวนาขอให้ซิ่นเฉิงอย่าเป็นหลิวซูกลับมาเกิดเลย แม้ว่าลิขิตสวรรค์จะยากยิ่งต่อการฝืนก็ตาม ก่อนจะรำลึกว่าเมื่อครั้งที่เป็นเทพบนสวรรค์ชั้นสูงสุดนั้นช่างน่าอภิรมย์เพียงใดตามลำพัง...



 
ณ วังประจิมโลกันต์ อันปกครองโดยเจ้าแม่ซีหวังหมู่

วันที่หนึ่ง เดือนสามไหลเวียนมาบรรจบ งานเลี้ยงเฉลิมฉลองประสูติกาลขององค์เจ้าแม่จึงถือกำเนิดขึ้นอีกครา เหล่าเทพชั้นสูงซึ่งอยู่ใต้การปกครองของพระนางต่างได้รับเชิญมาร่วมงานเพื่อดื่มกินให้สำราญ ประจวบเหมาะกับเหล่าเทพผู้รับใช้องค์เจ้าแม่เพิ่งเสร็จศึกจากการปราบปีศาจที่หมายจะถล่มสวรรค์ด้วยการก่อกวนเมื่อไม่กี่วันก่อน ดังนั้นในท้องพระโรงจึงคลาคล่ำไปด้วยเหล่าแม่ทัพสวรรค์ที่พากันพูดถึงเรื่องราวเหล่านั้นอย่างสำราญใจ

ทว่า...ผู้ที่เห็นจะถูกกล่าวถึงมากที่สุดเหมือนจะเป็นเทพรูปงามทั้งสองอันดำรงตำแหน่งแม่ทัพสวรรค์มานานหลายร้อยปีที่สร้างคุณงามความดีเอนกอนันต์เป็นที่เด่นชัด ผู้หนึ่งมีนามว่าเทียนอี้ อีกผู้หนึ่งมีนามว่าเจี้ยนสือ ทั้งคู่ได้รับการขนานนามว่าเป็นแม่ทัพขาวและแม่ทัพดำ ปกปักความสงบเรียบร้อยคู่บัลลังก์เจ้าแม่มาเนิ่นนานตั้งแต่ที่ทั้งคู่ได้รับเมตตาจากองค์เจ้าแม่ที่ทรงเนรมิตให้ดวงจิตของสุนัขป่าและดวงจิตของงูจงอางกลายร่างเป็นเทพ เพื่อทำหน้าที่เฝ้าประตูสวรรค์ทิศประจิม การเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวันประสูติกาลของเจ้าแม่ซีหวังหมู่นั้นเป็นเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว เทียนอี้และเจี้ยนสือก็จำไม่ได้ รู้แต่ทุกครั้งล้วนมีความยินดียิ่งเพราะนั่นหมายถึงพวกเขาได้รับการยอมรับในการเป็นเทพ

และยินดียิ่งในการมาร่วมงานฉลองครั้งนี้ เพราะโดยปกติแล้วทั้งสองจะได้รับการเชื้อเชิญให้นั่งยังโต๊ะเบื้องหลังเหล่าเทพที่มียศศักดิ์สูงกว่า ทว่าครานี้กลับได้รับการให้เกียรติให้นั่งใกล้ชิดกับบัลลังก์เจ้าแม่หวังซีหมู่ นั่นก็เพราะเป็นการเทิดทูนวีรกรรมที่ได้สร้างไว้ พานให้รองแม่ทัพผู้ภักดีอย่างหมิงจูซึ่งในอดีตคือปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่บำเพ็ญเพียรตบะจนแก่กล้าและสร้างคุณงามความดีกระทั่งได้แต่งตั้งเป็นเทพได้รับเกียรติไปด้วย กระนั้นก็ยังอยู่ทางเบื้องหลังของสองแม่ทัพใหญ่ ลดหลั่นลงมาเล็กน้อย แต่หาได้เป็นปัญหาต่อหมิงจูแต่อย่างใด ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ยินดีที่จะก้าวเดินตามหลังสองสหายผู้นี้เสมอ

ความอภิรมย์ยินดีมีพร่างพรายต่อเจี้ยนสือผู้ซึ่งนิยมชมชอบให้ผู้อื่นยกยอ ครั้นก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงและได้รับคำสรรเสริญ เขาก็ยิ้มกว้าง ทักทายกับเทพองค์อื่นไปทั่ว เว้นก็แต่เทียนอี้ที่ไม่ชอบความวุ่นวายนี้เท่าไรนัก มีเพียงยิ้มรับบ้างในบางครั้งเมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็เท่านั้น ปลีกตัวได้อีกครั้งก็ตอนที่เดินมานั่งยังโต๊ะที่ถูกจัดเตรียมไว้ ทว่าเจี้ยนสือก็หาได้หยุดรื่นเริงกับคำสรรเสริญ มิหนำซ้ำ ยังป้อยอผู้เป็นสหายที่นั่งอยู่เคียงข้างอีกด้วย

“กล้าหาญเช่นเจ้า มีผลงานมากมาย ต้องเป็นที่ต้องใจเจ้าแม่เป็นแน่ พูนบำเหน็จมากมายคงไม่พ้นเงื้อมือเจ้า”
“เจ้าก็ยกยอข้าเกินไปเจี้ยนสือ เจ้าเองก็หาได้ความดีลดหลั่นไปกว่าข้าเลยมิใช่หรือ? ตลอดทางที่เดินเข้ามาก็มีแต่ผู้สรรเสริญเจ้าจากการศึกครั้งก่อน ไยถึงได้ชื่นชมแต่เพียงข้ากันเล่า”
“ข้าก็ว่าไปตามที่พบเห็น หากเจ้าไม่สังหารเจ้าปีศาจนั่น สวรรค์ก็คงพินาศ”
“เป็นเพราะเจ้าเปิดทางให้ข้า คมดาบของเจ้าเสียบแทงกลางร่าง ข้าถึงสบโอกาสบั่นคอมัน เป็นความดีความชอบของเจ้าต่างหาก”

ครั้นได้ยินสหายว่าอย่างเจียมตัว เจี้ยนสือที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยกแขนเท้าโต๊ะ มือข้างนั้นวางรองศีรษะที่ตะแคงมองเทียนอี้ ก่อนว่าหยอกเย้า
“ช่างถ่อมตัวเสียเหลือเกินนะ ข้าฟังแล้วหมั่นไส้เสียจริง”

เป็นเทียนอี้บ้างแล้วที่กลั้วหัวเราะในลำคอออกมา ไม่ว่าเมื่อใด เจี้ยนสือก็มีอารมณ์ขันเช่นนี้ตลอด ผู้ใดว่าเขาเป็นเทพที่มีฝีมือร้ายกาจดุจอสรพิษก็ให้พูดไป สำหรับเทียนอี้แล้ว เจี้ยนสือถือว่าเป็นสหายที่ดีเลิศเกินกว่าจะหาผู้ใดเทียบ รองลงมาก็คือหมิงจู ขณะที่รายนั้นหาได้ขบขันไปกับการหยอกล้อกันของแม่ทัพทั้งสอง ได้แต่นั่งฟังนิ่งๆ จิบน้ำอมฤตที่อยู่ในจอกทีละน้อย กระทั่งเหล่าเทพธิดาในโรงครัวพากันเรียงแถวออกมาพร้อมกับผลท้อสวรรค์

ผลท้อลูกโตถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าของเหล่าเทพ สิ่งนั้นเป็นเรื่องปกติ ที่ดูไม่ปกติก็คือหนึ่งในเทพธิดาเหล่านั้น...เป็นบุรุษ
เทพชั้นผู้น้อยในชุดสีขาวพลิ้วไสว ท่าทางทโมนเหมือนเด็กเล็กๆ ที่เอาแต่เล่นซนนั้นช่างดึงดูดสายตาเสียเหลือเกิน หากแต่ใช่การดึงดูดในแง่ที่ดีสักเท่าไรนัก เหล่าเทพออกจะรำคาญใจเสียมากกว่าที่ได้เห็นเทพผู้นี้ออกมาเดินเพ่นพ่าน แม้แต่เจี้ยนสือเองยังอดไม่ได้ที่จะร้องเรียกสหายให้หันมอง

“ดูเจ้านั่น ข้าว่าคงจะทำลูกท้อตกระหว่างทางเป็นแน่ เจ้าพนันกับข้าไหมว่าจะทำตกหรือไม่?”

ปลายประโยคพูดกับเทียนอี้ ขณะที่เทียนอี้มองเทพผู้นั้นที่กำลังวางตะกร้าลูกท้อลงบนหน้าของเทพชั้นสูงองค์หนึ่ง ก่อนจะตอบสหายโดยไม่หันมอง

“เงียบน่าเจี้ยนสือ”
“เช่นนั้นข้าถือว่าเจ้าพนันว่าไม่ทำตกแล้วกัน” ฟังเสียที่ไหนกันล่ะ เจี้ยนสือรวบรัดไปเองแล้ว

ทว่าเทียนอี้ก็หาได้สนใจไม่ จะมีก็แต่หมิงจูเท่านั้นที่หัวเราะขันกับคำพูดนั้น ก่อนจะหัวเราะดังขึ้นไปอีกเมื่อเทพชั้นผู้น้อยผู้นั้นกลับเข้าไปในโรงครัวสวรรค์เพื่อยกผลท้อมาใหม่ หากแต่ครั้งนี้หาได้ยกทีละตะกร้าเช่นเดียวกับเทพธิดาองค์อื่นๆ กลับถือมาเต็มสองมือ อีกทั้งยังวางลงบนแขนที่กางอีกข้างละหลายตะกร้า ศีรษะยังมีอีกหนึ่ง ภาพนั้นช่างสร้างความน่าขบขันให้กับเจี้ยนสือนัก ไม่เว้นแม้แต่หมิงจูที่อดไม่ได้จะส่งเสียงหัวเราะ

“คราวนี้หล่นแน่นอน”
เจี้ยนสือมั่นใจ ซึ่งก็เป็นดังที่เขาคาดการณ์ไว้เมื่อเทพชั้นผู้น้อยองค์นั้นพยายามจะวางตะกร้าท้อจากมือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะ ก่อนที่ลูกท้อสวรรค์ในทุกตะกร้าที่นำมาจะพากันหล่นระเนระนาดใส่เทพที่นั่งอยู่ตรงนั้น

“นั่นปะไร ผิดจากที่ข้าเดาไว้เสียที่ไหน เจ้าแพ้ข้าแล้วเทียนอี้ จะจ่ายข้าด้วยสิ่งใด?”

เจี้ยนสือดูจะอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง หมิงจูเองก็หลุดหัวเราะออกมาเต็มคำในตอนนี้ จะมีก็แต่เทียนอี้เท่านั้นที่นั่งขมวดคิ้วมุ่น มองเทพชั้นผู้น้อยที่ก้มคำนับขออภัยในความผิดพลาดจากเทพชั้นสูงผู้หนึ่งที่ไม่พอใจเขาเป็นอย่างยิ่ง

หากแต่การคุกเข่าคำนับนั้นไม่เป็นผล เทพชั้นสูงผู้นั้นโวยวายลั่น

“ไม่มีตาหรืออย่างไรเจ้าน่ะ แล้วคิดทำการใดอยู่ถึงได้ยกตะกร้าผลท้อมามากมายเช่นนี้ เห็นหรือไม่ว่ามันหล่นใส่หัวข้า!”

หล่นใส่จริงๆ เทียนอี้และเทพองค์อื่นๆ ก็เห็นเต็มสองตา ไม่ได้หล่นเพียงลูกเดียวด้วย แทบจะทุกลูกที่ถูกยกมา ก่อนเทียนอี้จะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเทพชั้นสูงผู้นั้นคือหนึ่งในแม่ทัพสวรรค์ที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดเกือบจะตลอดเวลาจนไม่มีผู้ใดอยากเข้าใกล้ แม้แต่เจี้ยนสือที่ได้ชื่อว่ามีฤทธิ์ร้ายกาจยังต้องเอ่ยปาก

“หล่นใส่ใครไม่หล่น ดันไปหล่นใส่เจ้าเทพนั่น เป็นเรื่องยาวกันหน่อยแล้วล่ะ” จากนั้นก็หาได้สนใจอีก หยิบเอาผลไม้ทิพย์เข้าปากอย่างสำราญใจ ปล่อยให้เทียนอี้นั่งมองเหตุการณ์นั้นเงียบๆ
“ข้าน้อยขออภัยด้วยขอรับ”

คนผิดคุกเข่าต่ำเสียจนหน้าผากติดพื้น ปากพร่ำพูดประโยคเดิมหลายต่อหลายครั้ง กระนั้นก็หาได้ทำให้ผู้เสียหายพึงใจ หุนหันลุกขึ้น ร้องเสียงดัง

“เจ้าเทพชั้นต่ำ เป็นบุรุษแล้วไยมาทำหน้าที่นี้ พ่อบ้านสวรรค์อยู่ที่ใด! เอามันออกไปให้พ้นหน้าข้า!”

ปากร้องเรียกหาพ่อบ้านสวรรค์ ก่อนที่ชายหนุ่มท่าทางสุขุมจะรีบร้อนรนออกมาจากโรงครัว เทพผู้นั้นมีอีกชื่อที่เหล่าเทพในกองทัพของเจ้าแม่ซีหวังหมู่รู้จักกันดีว่าพ่อบ้านเหลียง ด้วยเขาเป็นผู้ที่จัดการตระเตรียมเสบียงกรังอันประกอบไปด้วยน้ำอมฤตและผลไม้ทิพย์ต่างๆ ให้กับทหารในกองทัพ เมื่อเขาเห็นเทพในการดูแลคุกเข่าเสียจนใบหน้าติดพื้นและรอบข้างก็เต็มไปด้วยผลท้อที่หล่นกระจัดกระจายก็ตระหนักได้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องใดขึ้น

“ท่านแม่ทัพ ใจเย็นลงก่อนเถิด เจ้านี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านหัวเสีย”
พ่อบ้านเหลียงพยายามจะไกล่เกลี่ย หากแต่ไม่เป็นไปตามประสงค์เลยเมื่ออีกฝ่ายแผดเสียงลั่น
“ข้าบอกให้เอามันไปให้พ้นหน้าข้าอย่างไร!”

ไม่เพียงแต่แผดเสียง ยังยกขาขึ้นถีบคนที่หมอบอยู่บนพื้นเสียเต็มแรง เทพหนุ่มชั้นผู้น้อยกระเด็นไปไกลจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับเสาต้นใหญ่ เพราะเป็นเทพจึงไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดทางร่างกาย แต่การถูกกระทำเช่นนี้เท่ากับถูกหยามเกียรติ ความเจ็บปวดมันรวดร้าวอยู่ที่ในอก ทว่าก็ไม่อาจต่อกรได้ด้วยเป็นเพียงเทพในโรงครัวสวรรค์เท่านั้น

“ข้าน้อยขออภัยเป็นอย่างยิ่งขอรับ”
ก็ได้แต่ก้มศีรษะคุกเข่าขออภัยอีกครั้ง กระนั้นก็หาได้ทำให้เทพเจ้าอารมณ์หายโกรธาได้เลย
“เจ้ามันช่างไร้ค่า เป็นแค่ดวงวิญญาณชั้นต่ำแท้ๆ ริอยากเป็นเทพ!”

แผดเสียงบริภาษ ซ้ำร้ายจะตรงเข้ามาทำร้ายให้หายหัวเสียอีก แม้พ่อบ้านเหลียงจะห้ามปรามก็หาได้เป็นผล ทำเอาเทียนอี้ที่มองอยู่นานอดรนทนไม่ไหว ผุดลุกและรีบเหาะเหินเข้ามาสกัดไว้เมื่อเห็นว่าเทพแม่ทัพผู้นั้นสะบัดมือเรียกอาวุธประจำกายออกมา
เสียงดังเคร้งของโลหะดังปะทะกัน เมื่อมองไปแล้วก็เห็นว่าเทียนอี้ใช้ดาบรับคมง้าวของเทพผู้นั้นเอาไว้อยู่ เบื้องหลังเป็นร่างของเทพชั้นผู้น้อย ก่อนที่เสียงแหบห้าวของเทียนอี้จะดังขึ้น

“ใจเย็นก่อนไม่ดีกว่าหรือ? ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ไยรังแกเทพในโรงครัวเช่นนี้กันเล่า”

“เจ้านั่น... หาเรื่องใส่ตัวแล้ว” เจี้ยนสือเห็นภาพของสหายยื่นมือเข้าไปยุ่งในเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ครางออกมา ปากถึงกับหยุดกินผลไม้ทิพย์ทันใด

ไยถึงได้ชอบเข้าไปวุ่นวายกับเทพชั้นผู้น้อยเสียจริงนะเทียนอี้!

เจี้ยนสือไม่อยากจะใส่ใจนักหรอกเพราะคิดว่าเทียนอี้คงจะจัดการตามลำพังได้ไม่ยาก หากแต่เมื่อเทียนอี้เข้าไปขวางก็ทำให้เทพองค์นั้นไม่พอใจ พลันแผดเสียงใส่ออกมาอีก

“แล้วท่านมาข้องเกี่ยวด้วยเหตุผลใด หาใช่เรื่องของท่าน!”
“ข้าก็หาได้อยากข้องเกี่ยว แต่จะเป็นไปได้หรือไม่หากท่านจะรับคำขอโทษของเทพผู้น้อยองค์นี้ไว้แล้วทำใจให้เย็นลง”
ยิ่งเทียนอี้พูดก็ยิ่งส่งผลให้คนตรงหน้าเดือดดาล
“คิดว่าสร้างคุณงามความดีไว้เมื่อการศึกที่ผ่านมา แล้วจะพูดสิ่งใดก็ได้เช่นนั้นหรือ? ข้าเองก็เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพสวรรค์เช่นเดียวกับท่าน อย่ามาสั่งสอนข้า!”

สิ้นเสียงก็เหวี่ยงง้าวลงมายังเทียนอี้ กลายเป็นว่าจากชนวนเหตุเล็กๆ ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่เมื่อเทพผู้นั้นไม่ยินยอมกระทำในสิ่งที่เทียนอี้เสนอแต่โดยดี อันที่จริงคงจะเป็นเพราะไม่ชอบหน้าด้วยริษยาเทพหนุ่มมาก่อนอยู่แล้ว ถึงได้เดือดดาลเพียงนี้

ในเมื่อยื่นมือเข้าไปยุ่งแล้ว เทียนอี้ก็ถอยไม่ได้ จำต้องปะฝีมือกับอีกฝ่ายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ทว่านั่นก็เป็นเพียงการปัดป้องอย่างเดียวเท่านั้นด้วยใจไม่ได้หมายจะวิวาท ขณะที่เทพชั้นผู้น้อยผู้เป็นชนวนเหตุตกใจเสียจนเนื้อตัวสั่นเทา เขาไม่ได้หมายจะลากให้เทพองค์อื่นเข้ามารับผิดชอบในความผิดของตน ดังนั้นจึงรีบผุดลุกขึ้นยืน ออกปากโดยพลัน

“ท่านแม่ทัพทั้งสอง ได้โปรดอย่าวิวาทกันเลย เป็นความผิดของข้าน้อยเอง ข้าน้อยสมควรรับผิดชอบ”
แต่ก็หาได้มีผู้ใดฟังไม่ ทำเอาเทพองค์นั้นจำต้องขยับตัวเข้าไปหมายจะแทรกระหว่างกลาง
“ท่านแม่ทัพ!”

มีเพียงเทียนอี้เท่านั้นที่ชะงักงันเมื่อเห็นเทพในโรงครัวสวรรค์โผล่เข้ามาด้วยเกรงว่าคมดาบของเขาจะไปทำให้กายทิพย์นั้นได้รับความเสียหาย ทว่าในจังหวะที่หยุดไปนั้นเอง ทำให้อีกฝ่ายสบโอกาสวาดง้าวเข้าใส่เต็มแรง

เจี้ยนสือที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่ ครั้นเห็นว่าสหายของตนมีภัยก็รีบทะยานเข้ามาหา สะบัดมือเล็กน้อย ดาบเล่มเขื่องก็ปรากฏอยู่ในมือ พลันตั้งรับอย่างรวดเร็ว เทียนอี้เองก็อาศัยจังหวะนั้นคว้าตัวเทพชั้นผู้น้อยเข้าไว้ในอ้อมแขนแล้วหลบหลีกไปอีกทาง กลายเป็นว่าเจี้ยนสือเป็นผู้ปะมือกับแม่ทัพสวรรค์องค์นั้นแทน

“หากสหายของข้าเล่นด้วยไม่สนุกสมใจท่าน ข้าก็จะเป็นเพื่อนเล่นให้เอง”
เจี้ยนสือแสยะยิ้ม ดวงตาประกายระยับราวกับเจอเรื่องสนุกเข้าให้ สีหน้ามาดร้ายของเทพหนุ่มทำให้คนตรงหน้ากลืนน้ำลายเอื้อก กับเทียนอี้นั้นเขากล้าต่อกรเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยหือค่อยอือกับผู้ใด แต่กับเจี้ยนสือ... เปรียบเสมือนเอาเท้าก้าวเข้าไปเหยียบปรโลกชัดๆ

และเจี้ยนสือก็ไม่ออมแรงเสียด้วย ได้โอกาสก็ออกวิทยายุทธโจมตีอีกฝ่ายไม่ยั้งมือ เสียงดังกัมปนาทสนั่นไปทั่วท้องพระโรง จากงานเฉลิมฉลองก่อเกิดเป็นจลาจลขนาดย่อม แม่ทัพและรองแม่ทัพเทพอีกหลายองค์ต่างเข้าช่วยห้ามปรามด้วยเกรงว่าการวิวาทนี้จะทำให้องค์เจ้าแม่พิโรธ กว่าจะยุติลงได้ก็ตอนที่เทพชั้นผู้น้อยนั้นออกปากขอร้อง

“ท่านแม่ทัพขอรับ ได้โปรดหยุดเถิด ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว”
เจี้ยนสือถึงกับชะงัก ยั้งดาบที่เกือบจะฟาดใส่เทพองค์นั้นหันมามองยังผู้พูด
“เจ้าจะสำนึกผิดด้วยเรื่องใด ข้าไม่ได้สั่งสอนอะไรเจ้าสักหน่อย”

อีกฝ่ายพูดไม่ออก อึกๆ อักๆ จนเทียนอี้ที่ยังกอดเจ้าตัวไว้ในอ้อมแขนอยู่จำต้องออกปาก
“พอเถิดเจี้ยนสือ ข้าไม่อยากให้งานเฉลิมฉลองของพระนางพินาศ”

เจี้ยนสือย่นปากอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมหยุดโดยดี “ได้ เห็นแก่เจ้านะเทียนอี้ ข้าจะหยุดเล่นสนุกแต่เพียงเท่านี้”

พูดจบก็เดินกลับไปนั่งที่แต่โดยดี อีกทั้งยังหัวเราะกับหมิงจูอย่างสนุกสนานกับการกระทำของตนเมื่อครู่ ไร้ซึ่งความสำนึกผิดแม้แต่น้อย จะมีก็แต่เทียนอี้เท่านั้นที่รู้สึกผิดในใจขึ้นมาเมื่อเห็นองค์เทพผู้นั้นคาดโทษกับคนในอ้อมแขน อีกทั้งสีหน้าของเทพชั้นผู้น้อยยังซีดเผือดด้วยหวาดเกรงในบารมีของอีกฝ่าย จึงอดไม่ได้ที่จะปลอบไป

“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป หากเทพผู้นั้นรังแกเจ้าก็จงมาแจ้งแก่ข้า ข้าจะจัดการให้”
“ข้าน้อยขอบพระคุณมากขอรับ”

คนฟังทรุดตัวลงคุกเข่าคำนับทันใด ทำเอาเทียนอี้ต้องทรุดตัวลงนั่งยองแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือขบขัน

“เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ไม่ต้องเกรงใจไป ว่าแต่เจ้าเถิด เป็นผู้ใดกัน ไยถึงมาทำหน้าที่นี้ ปกติแล้วต้องเป็นเทพธิดาไม่ใช่หรือที่มีหน้าที่ยกผลท้อสวรรค์”
“ข้าน้อยเป็นเทพชั้นผู้น้อยที่พ่อบ้านสวรรค์ดูแลอยู่ เหตุที่มาทำหน้าที่นี้เป็นเพราะเจ้าแม่ซีหวังหมู่เมตตาขอรับ”

เพียงอ้างพระนามขององค์เจ้าแม่ เทียนอี้ก็ไร้ซึ่งข้อกังขา หากพระนางเมตตาผู้ใด กฎใดๆ ก็ล้วนแล้วเป็นโมฆะได้ทั้งสิ้น

“แล้วเจ้ามีนามว่ากระไรกัน?”
เมื่อถามไปอย่างนั้น คนถูกถามก็เงยหน้าขึ้นมา “หลิวซูขอรับ”
“หลิวซู...” นามนี้ก็ชื่อของสตรี

เทียนอี้ทำเพียงคิดในใจ อีกฝ่ายก็ราวกับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จึงรีบบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เมื่อครั้งที่ข้าน้อยยังเป็นมนุษย์ ท่านแม่ของข้าน้อยอยากได้ลูกสาว หากแต่ข้าเกิดมาเป็นบุรุษ นางจึงตั้งชื่อนี้ให้แทนขอรับ หากท่านแม่ทัพไม่ชอบใจ จะเรียกข้าน้อยว่าอย่างอื่นก็ได้ขอรับ”
“ชื่ออื่นหรือ?”
“ขอรับ ตามแต่ท่านจะประสงค์”

ยิ่งพูดก็ยิ่งยิ้มกว้าง ทั้งที่เป็นเทพบุรุษ ไร้ซึ่งความนุ่มนวลหรือน่าเสน่หาดุจเทพธิดาแท้ๆ แต่กลับทำให้หัวใจของเทียนอี้กระตุกวูบขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งสาเหตุ อีกทั้งความเอ็นดูยังพร่างพรายจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาบ้าง

“ซูซู... นับจากนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าซูซูแล้วกัน เจ้าเทพในโรงครัว”
คราวนี้หลิวซูถึงกับยิ้มยิงฟัน “ขอบพระคุณที่เมตตาข้าน้อย แล้วท่านคือ...”
“เทียนอี้”
“ท่านแม่ทัพเทียนอี้ ขอบพระคุณอีกครั้งที่ช่วยเหลือข้าน้อย พระคุณครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก ข้าน้อยจะไม่ลืม”

พูดจบก็คุกเข่าคำนับจนหน้าผากติดพื้นไปอีกครา ทำเอาเทียนอี้หัวเราะในลำคอน้อยๆ พลางครุ่นคิดไปตามลำพัง

ข้าเองก็จะไม่ลืมเช่นกัน...
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[15/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 17-09-2017 00:26:10
บทที่ 17: เทพสองสหาย[2]

เฮือก!

เทียนอี้สะดุ้งตื่นด้วยอารามตกใจหลังจากที่ผล็อยหลับไปแล้วฝันถึงครั้งแรกที่ได้พบหน้าหลิวซูเมื่อครั้งยังเป็นเทพ ก่อนจะดันตัวขึ้นนั่ง ยกมือลูบใบหน้าอย่างสับสน

เหตุใดถึงได้ฝันถึงเจ้ากันนะ...ทั้งที่ไม่ได้ฝันถึงมานานแล้วแท้ๆ

กระนั้นเทียนอี้ก็หาได้คิดเอาคำตอบ ในเวลานี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะมานั่งเพ้อพกถึงคนรักที่จากไปเหลือเกิน พลันเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง บัดนี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่ายามไหน คาดการณ์ว่าคงจะดึกดื่นพอสมควร ทว่าการไม่เห็นซิ่นเฉิงภายในห้องก็ทำให้เขาเป็นกังวลขึ้นมา จำต้องกัดฟันฝืนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่เจี้ยนสือมอบให้เดินออกยังชานระเบียง ทอดสายตามองไปยังสวนก็เห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนอยู่ที่สระบัว

เทียนอี้ค่อยๆ เดินเข้าไปหา ก่อนจะออกปากเรียกเมื่อเห็นชัดเจนว่าเจ้าของเงาดำเมื่อครู่นั้นคือซิ่นเฉิง
“เจ้าลงมาแช่สระบัวข้าทำไมหรือ? หรือราตรีนี้อากาศร้อนนัก เจ้าถึงทนไม่ไหว?”

คำพูดเชิงหยอกล้อเรียกให้ซิ่นเฉิงที่เปลื้องอาภรณ์เหลือแค่ช่วงล่างหันไปมอง ครั้นเห็นว่าเป็นเทียนอี้ในร่างของอดีตเทพที่ต้องแสงจันทร์ยืนค้ำศีรษะอยู่ เขาก็ตอบกลับเสียงเรียบ
“คงจะเป็นเช่นนั้น”
“หากร้อนนัก ไยไม่แช่น้ำในห้องข้ากันเล่า” เทียนอี้ถามอีกครา
“ข้าไม่อยากรบกวนเจ้า เห็นเจ้าหลับลึก”
“ก็เลยมาพังสระบัวข้าเสียอย่างนั้น” คนถามยกยิ้มน้อยๆ ทรุดตัวลงนั่งยังโขดหินข้างสระ พลางเอื้อมมือไปจับปลายผมเปียกน้ำของซิ่นเฉิงมาไว้ในมือ “แล้วเจ้าได้นอนบ้างหรือยัง?”

ซิ่นเฉิงส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อให้เทียนอี้ได้สัมผัสโดยง่าย จากนั้นก็ยกตัวขึ้นมานั่งยังขอบสระบัวข้างๆ กับขาเทียนอี้

“เหตุใดถึงไม่นอนกัน?”
“ข้านอนไม่หลับ”
“มีเรื่องให้เจ้าร้อนรุ่มใจหรือไร” เทียนอี้คาดเดา ซึ่งเดาได้ถูกต้อง

สาเหตุที่ซิ่นเฉิงไม่ยอมหลับเป็นเพราะมีเรื่องให้ขบคิดมากมายเหลือเกิน ทั้งเรื่องของเทียนอี้ที่หัวเสียเพราะสหาย เรื่องน้ำอมฤตและคำบอกเล่าของหมิงจู อีกทั้งยังเรื่องความรู้สึกประหลาดที่มีต่อเจี้ยนสือโดยไม่ได้ตั้งตัวในวันนี้

“ว่าอย่างไร เหตุใดจึงนอนไม่หลับ บอกข้าได้หรือไม่?”
ครั้นหันไปมองก็สบเข้ากับแววตาเป็นห่วงเป็นใย ซิ่นเฉิงก็ลุกขึ้นยืนตรงหน้าของเทพอสูรหนุ่ม
“ข้ามีเรื่องไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ช่างเถิด อย่าได้ใส่ใจ”
“ข้าต้องใส่ใจแน่หากเป็นเรื่องของเจ้า” เทียนอี้ตอบ มือปล่อยจากปลายผมเปียกชื้นของคนตรงหน้ามาจับที่ต้นแขนและดึงให้เข้ามาหาแทน ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ขัดขืนอะไร ปล่อยให้ร่างกายเป็นไปตามที่เทียนอี้ประสงค์ จึงกลายเป็นว่าตอนนี้เขานั่งอยู่บนตักของเทพอสูรหนุ่มเป็นที่เรียบร้อย
“มีสิ่งใดก็จงบอกข้า”

เมื่อได้ยินเทียนอี้พูดขึ้นมาอีกคราขณะที่กำลังคลอเคลียร่างเปลือยเปล่าช่วงบนของตนอยู่ ซิ่นเฉิงก็จำต้องถามจนได้ โดยเลือกถามในสิ่งที่คิดว่าสำคัญก่อน

“เจ้ากับเจี้ยนสือวิวาทกับรุนแรงเพราะเรื่องของหลิวซูเช่นนี้ทุกครั้งหรือ?”
“ครั้งนี้หาได้วิวาทเพราะหลิวซู แต่เป็นเพราะเจ้า” เทียนอี้แก้คำผิดให้
“นั่นล่ะ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อครั้งยังเป็นเทพ พวกเจ้ากับเจี้ยนสือรักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งนัก”

เทียนอี้ไม่แปลกใจหรอกหากซิ่นเฉิงจะถามเช่นนี้ ใครต่อใครก็พร่ำพูดกันนี่ ไม่ถามสิถึงแปลก

“ใช่ ข้ากับเจี้ยนสือถือกำเนิดขึ้นพร้อมกัน ผ่านเรื่องราวต่างๆ ด้วยกันมานานนับหลายร้อยปีจึงสนิทสนมกันมาก”
“แต่ก็มาแตกหักกันเพราะรักคนคนเดียวกัน” เทียนอี้ไม่เถียง ทำเพียงยกยิ้มบางๆ เท่านั้น ปล่อยให้ซิ่นเฉิงถอนหายใจแล้วว่าออกมาอีก “คราวนี้ก็มาทะเลาะกันเพราะข้า เจ้าไม่คิดอยากจะยุติเรื่องนี้หรือ?”
“ข้าคิด...คิดมาตลอด แต่ข้ากับเจี้ยนสือ ไม่ว่าอย่างไรก็หลีกเลี่ยงไม่ได้”
“เพราะเหตุใด”
“ลิขิตสวรรค์” เป็นอีกครั้งที่ซิ่นเฉิงได้ยินคำนี้ ครั้นจะถาม เทียนอี้ก็เปิดปากอธิบายขึ้นมาก่อน “เจ้าคงเคยได้ยินว่าหลิวซูมาช่วยข้ากับเจี้ยนสือที่ต้องโทษก่อนจะถูกลงทัณฑ์ให้ลงมายังดินแดนมนุษย์แล้ว แต่เจ้ารู้ไหมว่าการกลายเป็นเทพอสูรหาใช่การลงทัณฑ์อันสาสม ข้า เจี้ยนสือ และหลิวซูต่างมีบ่วงกรรมที่ถูกลิขิตคล้องกัน เพราะนอกจากพวกข้าจะขัดบัญชาสวรรค์และกระทำการอุกอาจจนเกินให้อภัยแล้ว พวกข้ายังกระทำผิดด้วยเรื่องอื่นอีก”

“เรื่องนั้นคือ?”
“มีความรัก” เทียนอี้หยุดพูดไปครู่ สูดหายใจเข้าปอดแล้วจึงเอ่ยปากอีกครา “เทพมิอาจมีรัก เมื่อมีรัก จำต้องทุกข์ทรมาน หลิวซูมาช่วยข้าเพราะรัก ข้าเดือดดาลก็เพราะรัก เจี้ยนสือล่อหลอกคนโง่เขลานั่นก็เพราะรัก เมื่อละเมิดกฎสวรรค์ก็ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความรักอย่างไม่จบไม่สิ้น”
“แสดงว่าเจ้าจะต้องวนเวียนอยู่กับโทษนี้สืบไปอย่างนั้นหรือ?”
เทียนอี้พยักหน้า “ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ต่อให้ผู้ใดจากไป ความทรมานนั้นก็จะหวนกลับคืนมา วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าตราบนิรันดร์”

ซิ่นเฉิงพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดทั้งเทียนอี้และเจี้ยนสือถึงได้ปักใจกับหลิวซูนัก แต่เขาก็อยากจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ทว่าพอหันไปสบสายตาของเทียนอี้ที่ดูเหนื่อยล้า เขาก็สงบปากสงบคำ เอาไว้ไปถามในยามอื่นก็ได้ ตะล่อมถามทีหลังก็ยังไม่สาย
การเงียบไปของอีกฝ่ายทำให้เทียนอี้ถามขึ้นอีก “สิ่งที่รบกวนใจเจ้าจนนอนไม่หลับมีเพียงเท่านี้หรือ?”

อันที่จริงก็มีอีก แต่ซิ่นเฉิงไม่ใคร่คิดจะถาม เกิดความสงสัยของเขาทำให้อาการของเทียนอี้ทรุดลงไปกว่าเดิมจะแย่เอา ถึงเขาจะอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดเพียงใด แต่ก็รู้ดีว่าควรเอ่ยปากถามเมื่อใด จึงนั่งนิ่งๆ พลันปฏิเสธ

“ไม่มีแล้ว”
“หากไม่มีแล้ว ข้าก็ขอกอดเจ้าหน่อย วันนี้ข้าเหนื่อยล้าเหลือเกิน”

น่าตกใจเหมือนกันที่จู่ๆ เทียนอี้พูดออกมาเช่นนี้ ผู้ใดเล่าจะคาดคิดเล่าว่าอดีตแม่ทัพสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่จะออดอ้อนเก่งถึงเพียงนี้
สิ้นเสียงก็สอดมือเข้าโอบรัดรอบเอวแกร่งของซิ่นเฉิง ใบหน้าซบลงบนแผ่นหลังหยาบกร้านที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลจากการต่อสู้ สิ่งนั้นตอกย้ำให้เทียนอี้ตระหนักว่าซิ่นเฉิงหาใช่คนเดียวกับหลิวซู แม้ว่าจะต้องชะตาหรือจะมีอุปนิสัยคล้ายคลึงกันเพียงใด แต่...ซิ่นเฉิงก็คือซิ่นเฉิง

คือซิ่นเฉิง...ที่เขาต้องชะตาตั้งแต่แรกพบและอยากให้มาอยู่ใกล้ชิด หาใช่เพราะเป็นหลิวซู

ความรู้สึกในใจชัดเจนขึ้นมากว่าเดิมในตอนนี้ว่าแท้จริงแล้ว เขาต้องการผู้ใดกันแน่ หลิวซูน่ะหรือ? ต่อให้ยังปักใจรักมั่นเพียงใด แต่คนที่มิอาจสูญเสียไปคือคนที่มีชีวิตอยู่และอยู่ในอ้อมกอดของเขาตอนนี้ต่างหาก

“หากข้าปล่อยวางได้ เจ้าจะมอบใจของเจ้าให้ข้าหรือไม่?”
เทียนอี้พึมพำออกมาขณะที่หลับตาพริ้ม ซิ่นเฉิงได้ยินเต็มสองหู เหลียวไปมองโดยไม่ได้ตอบใดๆ เขาก็อยากจะมีคำตอบให้อยู่หรอก แต่เป็นเพราะความรู้สึกที่มีต่อเจี้ยนสือในวันนี้มันทำให้เขารู้สึกราวกับมีเรื่องบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ ดังนั้นจึงทำได้เพียงจับฝ่ามือใหญ่บริเวณหน้าท้องตนแล้วบีบเบาๆ

เทียนอี้รู้ว่าถามไปก็ไร้ซึ่งประโยชน์ในวันนี้ เพราะเขาเองก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์ให้ซิ่นเฉิงรู้เช่นกันว่าเขาปล่อยวางหลิวซูได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ยามนี้จึงได้แต่ตระกองกอดเงียบๆ โดยไร้ซึ่งสรรพเสียงเท่านั้นใดๆ

เวลาผันผ่านไปอย่างช้าๆ ความรู้สึกมากมายอบอวลในใจของบุรุษทั้งคู่ ก่อนที่จะพากันตกใจไปทั้งคู่เมื่อจู่ๆ แผ่นดินก็เกิดสั่นไหวอย่างรุนแรง ซิ่นเฉิงผุดลุกขึ้น มือคว้าเทียนอี้ให้ห่างจากขอบสระบัวอย่างรวดเร็วด้วยเกรงว่าจะตกลงไป ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าที่แผ่นดินจะหยุดสั่นไหว ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะว่าด้วยสีหน้าตื่นๆ

“แผ่นดินไหวงั้นหรือ?”

ไม่...ไม่ใช่ เทียนอี้ย่นคิ้วยู่ สิ่งนั้นไม่ใช่แผ่นดินไหว แต่เป็นสัญญาณของอาเพศบางอย่าง ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปมองพ่อบ้านเหลียงและเหล่าเทพอสูรตนอื่นๆ ที่พากันมารวมตัวยังด้านนอกเรือนพร้อมกับมองหน้ากันราวกับรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

“ท่านแม่ทัพ” เป็นพ่อบ้านเหลียงที่เอ่ยปาก เขามีประสาทสัมผัสดีกว่าผู้ใด สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นหาใช่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หากแต่เป็นเพราะฝีมือของใครบางคน “เป็นเรื่องไม่ดีขอรับ”

เทียนอี้ก็รับรู้ได้ พลันพยักหน้ารับและออกคำสั่ง “เตรียมขบวนให้พร้อม ข้าจะออกไปดู”
สิ้นเสียง เหล่าทหารก็พากันกุลีกุจอทำตามคำสั่ง ซิ่นเฉิงได้ยินก็รีบร้องปราม

“เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ จะไปไหนกัน”
เทียนอี้หันกลับมา ไม่ฟังสิ่งที่ชายหนุ่มพูดเลยแม้แต่น้อย “เจ้าไปรอข้าอยู่ในห้อง ข้าจะออกไปที่ทะเลทรายเพียงครู่ ประเดี๋ยวก็กลับมา”
“แล้วเจ้าจะไปที่ใด”
“บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์” อีกฝ่ายว่า จากนั้นก็หาได้สนใจซิ่นเฉิงอีก นอกจากจะเดินอย่างทุลักทุเลไปหาพ่อบ้านเหลียงพร้อมอีกคำสั่งอีกครา “เตรียมชุดเกราะให้ข้าด้วยพ่อบ้านเหลียง ข้าจะไปดูด้วยตนเอง”

คนถูกสั่งรับคำ พลันพยุงผู้เป็นนายกลับเข้าเรือนไปเตรียมตัว ทิ้งให้ซิ่นเฉิงมองตามด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากล

เกิดสิ่งใดขึ้นภายนอกกัน?
-------------------------------------------
เต็มตอนแล้วค่ะ ยิ่งเขียนยิ่งยาว 555
อันนี้น่าจะเข้ากลางเรื่องละ กำลังจะต่อยอดไปไคลแม็กซ์ ช่วงนี้อาจจะรำคาญความโลเลของเจ้าแมวนิดนึงว่าตกลงรักใครกันแน่ ทนอ่านผ่านไปให้ได้นะคะ มันมีสาเหตุอยู่ ไม่ตอนหน้าก็ตอนถัดไปก็น่าจะพูดถึงแล้วค่ะ ใจร่มๆ อย่าเพิ่งเกรี้ยวกราด 555
ต่อจากตอนนี้ก็จะเริ่มออกทะเล (ทราย) อันที่จริงก็ไม่คิดว่ากว่าจะได้ผจญภัยก็ลากยาวมาถึงขนาดนี้ แต่ปมดั๊นนน เยอะเหลือเกิน ยาวแน่นอน แงงง

ฝากฟีดแบ็กให้หน่อยนะคะ ใครยังอยู่กันมั่ง ช่วงนี้เหมือนพอเริ่มหนึบๆ คนอ่านเริ่มหาย
อย่าเพิ่งทิ้งเก๊าปายยย อยู่ด้วยกันก่อนนะ XD
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 17: เทพสองสหาย[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Realy ที่ 17-09-2017 07:27:22
ไม่รำคาญเจ้าแมวน่ะแต่ไม่ชอบว่าเทียนอี้จะเอาไงแน่น่ะฮือ :m16: ฉันสงสารนุ่งแมววววว :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 17: เทพสองสหาย[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: howru ที่ 17-09-2017 07:49:01
รอตอนต่อไป..

 :katai2-1:

หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 17: เทพสองสหาย[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 17-09-2017 08:14:07
ขอให้สองเทพฝืนลิขิตสวรรค์ได้เถอะ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 17: เทพสองสหาย[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 17-09-2017 09:32:21
ปมซับซ้อนมากกก
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 17: เทพสองสหาย[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-09-2017 10:47:02
 :hao7: o13 :hao7:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 17: เทพสองสหาย[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 17-09-2017 10:49:35
จะเกิดไรขึ้นอ่าาาาา
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 17: เทพสองสหาย[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kawaiichibi ที่ 17-09-2017 17:57:46
เจ้หมิงเราจะโดนอะไรมั้ย  :o12: :o12: ตอนนี้หลงรักเจ้หมิงที่สุด
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 17: เทพสองสหาย[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 17-09-2017 18:27:05
ลุ้นมาก เกิดอะไรกันนะ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 17: เทพสองสหาย[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-09-2017 19:01:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 17: เทพสองสหาย[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-09-2017 20:59:13
บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[1]

เทียนอี้ในชุดเกราะแม่ทัพเต็มยศควบม้านำไพร่พลทหารสังกัดจวนตนมุ่งหน้าสู่ทะเลทราย ไม่เพียงแต่เขา เทพอสูรผู้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพตนอื่นๆ ต่างก็มารวมตัวกันโดยไม่ต้องให้ผู้ใดไปบอกกล่าว ในเวลาเช่นนี้ การร่วมมือร่วมใจย่อมสำคัญที่สุด ความบาดหมางใดจำต้องปล่อยวางไว้ก่อน เจี้ยนสือเองก็คิดเช่นนั้น เมื่อรับรู้ได้ถึงการสั่นสะเทือนอันรุนแรง สัญชาตญาณก็บอกเขาว่าแคว้นเฟิงฝูเกิดอาเพศ และนั่นก็หาใช่สิ่งที่เป็นไปตามวัฏจักรธรรมชาติ หากแต่เป็นเพราะฝีมือใครบางคน

ปีนี้เป็นปีที่เทียนอี้ได้รับหน้าที่ดูแลบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้นำกองทหารมุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำนั้น ทว่าด้วยร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ดี แม่ทัพนายอื่นจึงมีความเห็นว่าควรมีผู้ไปด้วยเผื่อมีเหตุร้ายใดเกิดขึ้น และคนผู้นั้นก็คือเจี้ยนสือ ทั้งที่แม่ทัพและกุนซือต่างรู้ดีว่าเขากับเจี้ยนสือมีเรื่องบาดหมาง แต่ด้วยเห็นว่าเคยสนิทสนมกลมเกลียวกันมาแต่ในครั้งอดีต การได้เจี้ยนสือไปเป็นทัพเสริมย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า ถึงจะไม่ชอบใจเท่าไร ทว่าก็หาได้มีผู้ใดปฏิเสธ นอกจากทำตามหน้าที่เท่านั้น หมิงจูซึ่งตามออกมาในภายหลังอดเป็นห่วงไม่ได้จึงอาสาที่จะตามไปอีกคน

ไพร่พลของเทพสามสหายมาถึงยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ห่างจากแคว้นเฟิงฝูไปไม่ไกลนัก บ่อน้ำนั้นคือบ่อน้ำแห่งชีวิต อันเป็นต้นกำเนิดทุกสรรพชีวิตในแคว้นเฟิงฝู ต้นไม้ใบหญ้า เหล่าสัตว์ รวมถึงเทพอสูรและมนุษย์ ต่างมีชีวิตดำรงอยู่ได้ท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้งและไร้ซึ่งหยาดฝนหล่อเลี้ยงก็เพราะบ่อน้ำนี้ แม้องค์เง็กเซียนฮ่องเต้จะทรงกริ้วมากเพียงใดที่เหล่าเทพอสูรขัดบัญชาสวรรค์ แต่ก็หาได้ทรงละทิ้งแต่อย่างใด เมื่อพระองค์เมตตา เทพอสูรจึงหมายจะให้พระเมตตานี้หลั่งใหลสู่มนุษย์และสัตว์น้อยใหญ่ด้วย จึงได้ตั้งเมืองขึ้นห่างจากบ่อน้ำไป ทว่า...ในบางครั้งก็มีบ้างเหมือนกันที่เทพอสูรใช้บ่อน้ำนี้เป็นเครื่องมือต่อรองเอาเปรียบมนุษย์ เฉกเช่นกับที่พ่อบ้านเหลียงได้กระทำต่อเผ่าของซิ่นเฉิงเพื่อหลอกล่อให้ซิ่นจินมาตบแต่งเป็นฮูหยินของผู้เป็นนาย
กระนั้นก็ไม่สำคัญที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านั้นในยามนี้ ครั้นมาถึงยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ น้ำใสสะอาดที่เต็มบ่อตลอดปีก็เหือดหายไปเกือบครึ่ง ทำเอาทั้งเทียนอี้และเจี้ยนสือถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง

“เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร” เป็นเจี้ยนสือที่ถามทหารเวรยามภายใต้การดูแลของเทียนอี้ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ขะ...ข้าก็หาได้ทราบขอรับ ข้ากับทหารนายอื่นก็เฝ้ายามตามปกติเช่นทุกวัน จู่ๆ แผ่นดินก็ไหว จากนั้นน้ำในบ่อก็แห้งเหือดอย่างที่ท่านแม่ทัพเห็น”

ยิ่งได้ยินความจากทหารนายหนึ่ง เจี้ยนสือก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก แม้ว่าในยามนี้ร่างกายของเขาจะอยู่ในร่างของอดีตเทพด้วยถูกแสงจันทร์อาบ ทว่าสีหน้านั้นกลับดูน่ากลัวยิ่งนัก ขณะที่เทียนอี้ได้แต่นิ่วหน้าอย่างขบคิด

“เจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไรเทียนอี้” ต่อให้ทะเลาะกันหนักหนาแค่ไหน ในยามนี้ก็จำต้องวางทิฐิลง หันไปถามทันควัน
“ข้าคิดว่าต้องเป็นสัญญาณของบางสิ่ง” เทียนอี้ตอบ
“สัญญาณอะไร”

คราวนี้ไร้ซึ่งคำตอบ เทียนอี้ก็ไม่รู้เช่นกัน ตั้งแต่จุติเป็นเทพอสูร เขาหาได้เคยเห็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห้งเหือดมาก่อน แม้แต่แผ่นดินไหวก็หาได้เคยเกิดขึ้น มันต้องเป็นฝีมือของผู้ใดที่จงใจให้เกิดอาเพศนี้ พลันหันไปสั่งกับหมิงจูซึ่งอยู่เยื้องไปอีกข้าง

“วางกำลังไพร่พลรอบบ่อน้ำให้แน่นหนา ส่วนเจ้ากลับเข้าเมืองแล้วเรียกประชุมแม่ทัพทุกนาย เชิญเหล่ากุนซือมาด้วย เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ ต้องหารือกันอย่างเร่งด่วน”
“เข้าใจแล้ว” หมิงจูรับคำแล้วดำเนินการตามสั่ง

เจี้ยนสือก็หาได้ขัดสิ่งใด เตรียมสั่งไพร่พลของตนให้ช่วยตรึงกำลังเพิ่ม ส่วนตนก็เตรียมจะกลับเข้าเมืองไปยังจวนศักดิ์สิทธิ์ หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้ข้ามประตูแคว้น พลทหารนายหนึ่งก็ควบม้าเร็วนำความมาบอก

“ท่านแม่ทัพเทียนอี้ แม่ทัพเจี้ยนสือ มีคำสั่งให้พวกท่านไปที่จวนศักดิ์สิทธิ์ประเดี๋ยวนี้”
คนที่กำลังจะมุ่งหน้าไปถึงกับเหลียวมองหน้ากันเล็กน้อยด้วยรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ก่อนเทียนอี้จะเป็นฝ่ายถามขึ้น
“เกิดเหตุอันใด”
“เทพธิดาฉางเอ๋อขอพบพวกท่านทุกคนขอรับ”

คราวนี้ทั้งเทียนอี้และเจี้ยนสือมีสีหน้าประหลาดใจผุดพราย เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ถึงกับเหาะลงมาเยือนยังโลกมนุษย์เป็นเพราะสาเหตุใดกัน? ทั้งสองไม่รีรอที่จะเอาคำตอบ รีบควบม้ากลับเข้าไปโดยไม่ไต่ถามถึงสิ่งใดอีก



 
เมื่อไปถึงยังจวนศักดิ์สิทธิ์ เหล่าเทพอสูรซึ่งอดีตเคยเป็นเทพชั้นสูงก็มาพร้อมหน้ากันเป็นที่เรียบร้อย เหล่ากุนซืออยู่ฝั่งขวา เหล่าแม่ทัพและรองแม่ทัพอยู่ฝั่งซ้าย เบื้องหน้าปรากฏร่างอ่อนช้อยของเทพธิดาในชุดสีขาวพลิ้วไหว นางคือเทพธิดาฉางเอ๋อ ครั้นเทียนอี้และเจี้ยนสือมาถึงก็เป็นอันว่าครบองค์ประชุม ก่อนที่นางจะเอ่ยถึงสาส์นที่ต้องการนำมาบอก

“จากศึกที่เมืองบาดาลเมื่อครั้งนั้น เพราะพวกท่านขัดต่อบัญชาสวรรค์ ทำลายเมืองตบตาองค์เง็กเซียนฮ่องเต้และปล่อยให้เทพมังกรวารีกับโอรสหลบหนีไปได้ บัดนี้เทพมังกรวารีได้สิ้นแล้ว เหลือเพียงโอรสปีศาจ เขาระรานก่อความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เวลาที่ผันผ่านไปกว่าหลายร้อยปีทำให้ตบะกล้าแกร่งขึ้น นั่นเป็นเหตุให้แคว้นเฟิงฝูของพวกท่านเกิดอาเพศ หากพวกท่านปล่อยให้เป็นเช่นนี้ แหล่งน้ำทั้งหลายจะหมดสิ้น ทุกชีวิตจะดับสูญ ไม่เว้นแต่พวกท่านเอง”

ประจักษ์แจ้งแก่ในในตอนนี้ โอรสของเทพมังกรวารีนั้นในอดีตคือมังกรสวรรค์ เมื่อความชั่วร้ายเข้าครอบงำก็ผันตัวไปเป็นปีศาจ ที่ดูดกลืนน้ำไปนั่นเป็นเพราะต้องใช้น้ำในการหล่อเลี้ยงชีวิตและตบะตน แต่ถึงขั้นมาช่วงชิงน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีวันเหือดแห้งไปได้ถึงเพียงนี้ แสดงว่าคงจะแก่กล้ากว่าเมื่อสงครามครั้งนั้นอยู่มากโข อิทธิฤทธิ์ถึงได้มากมี

“ดังนั้นข้าจึงนำพระบัญชาขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้มาบอกพวกท่าน ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พวกท่านไปกำราบโอรสของเทพมังกรวารีเสียให้สิ้นซาก บัดนี้เจ้าปีศาจนั่นอยู่ทางทะเลทิศใต้ หากพวกท่านทำสำเร็จ พวกท่านจะสามารถขอพรได้คนละหนึ่งประการ”

เมื่อมีข้อแลกเปลี่ยน เหล่าเทพอสูรก็หาได้เอ่ยขัดประการใด ออกจะยินดียิ่งด้วยซ้ำที่ได้ยินเช่นนั้น

ขอพรได้หนึ่งประการ...ย่อมแน่นอนว่าต้องขอให้กลับไปดำรงตนเป็นเทพเช่นเดิม

รางวัลนั้นเย้ายวนชวนให้มุ่งมั่น แต่สำหรับเทียนอี้และเจี้ยนสือผู้ติดอยู่ในบ่วงแห่งความทุกข์ทรมานเพราะเป็นเทพมีรักนั้น พวกเขาหาได้ยินดีกับเรื่องที่ได้ยินเท่าที่ควร การคิดถึงศึกในครั้งนั้นพานให้ความผิดของพวกเขาถูกตอกย้ำมากขึ้นไปอีก ทว่าเมื่อได้ยินเทพธิดาเอ่ยขึ้นอีกครา ความรู้สึกนั้นก็มลายหายไป

“หากพวกท่านไม่ใคร่อยากกลับเป็นเทพ จะขออย่างอื่นก็ย่อมได้ แม้แต่ชีวิตของคนตาย ท่านก็ชุบให้ฟื้นได้เช่นกัน”
ได้ยินเพียงเท่านั้น ดวงตาของสองแม่ทัพก็เป็นประกาย
“ชุบชีวิตคนตายหรือ?” เป็นเจี้ยนสือที่ถาม ขณะที่เทียนอี้ฟังอย่างตั้งใจ
“ใช่ แต่นั่นเป็นการฝืนลิขิตสวรรค์ หากท่านขอให้คนตายฟื้น ท่านจะต้องแลกด้วยความเป็นอมตะของตน”

เทพธิดาฉางเอ๋อพูดราวกับรู้ว่าเทพอสูรตรงหน้าทั้งสองหมายจะชุบชีวิตให้หลิวซูฟื้นคืนกลับมา หากแต่เมื่อได้ยินดังนั้น ความคิดเมื่อครู่ก็เป็นอันพังทลาย หากหลิวซูกลับมา แต่พวกเขาต้องจากไป แล้วมันจะมีประโยชน์ใดกันเล่า ไม่มีผู้ใดอยากจะสละอายุขัยตนเพื่อให้อีกคนได้สุขสมกับคนที่ตนรักหรอก

เมื่อไม่เป็นดังคิด เทียนอี้และเจี้ยนสือก็พากันเงียบงัน ความผิดหวังพร่างพรายในใจชั่วครู่ ก่อนที่เทพธิดาฉางเอ๋อจะเอ่ยขึ้น
“หมดหน้าที่ข้าแล้ว ข้าคงต้องขอตัว หวังว่าพวกท่านจะไม่ขัดพระบัญชาอีก ข้าเห็นพวกท่านทนทุกข์มานานแล้ว เมื่อสวรรค์มีเมตตา พวกท่านก็ควรรับไว้”

สิ้นเสียงก็เหาะจากไป ปล่อยให้เหล่าเทพอสูรพากันหารือถึงเรื่องพระบัญชาที่ได้รับมอบหมายมา จะมีก็แต่เทียนอี้และเจี้ยนสือเท่านั้นที่ยังไม่ได้เข้าร่วมหารือในครั้งนี้ ก่อนที่เสียงของเจี้ยนสือจะดังขึ้นพอให้ได้ยินกันสองคน

"ต่อให้ข้าต้องกลายเป็นปีศาจ ข้าก็ไม่ยอมยกหลิวซูให้เจ้า”
“มาพูดตอนนี้ก็สายไปแล้วเจี้ยนสือ”

เทียนอี้ชำเลืองมอง ทำให้เจี้ยนสือแสยะยิ้มร้ายออกมา
“ทุกอย่างไม่มีวันสายตราบใดที่ใจของหลิวซูมีข้า เจ้าหยุดหลอกตนเองสักทีว่าหลิวซูมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้า เขารักผู้ใด เจ้าย่อมรู้ดี”

พูดจบก็ผละจากไป ทิ้งความเจ็บปวดให้พร่างพรายขึ้นในใจของเทียนอี้

ใช่ เขารู้ดีว่าหลิวซูรักผู้ใด

คนผู้นั้นก็คือ...
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 17: เทพสองสหาย[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-09-2017 21:02:15
บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[2]

หลังจากเทศกาลเฉลิมฉลองของเจ้าแม่ซีหวังหมู่สิ้นสุดลง เทียนอี้ก็กระสับกระส่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพผู้สุขุมแท้ๆ แต่กลับอยู่ไม่สุขสักนิด ผ่านไปหลายวันหลายราตรีถึงได้รับรู้ว่าเหตุที่อยู่ไม่สุขนั้นเป็นเพราะคะนึงหาแต่ใบหน้าของเทพชั้นผู้น้อยที่ประจำอยู่ในโรงครัวสวรรค์ เขาจึงไม่รอช้าที่จะเหาะลงมาจากสวรรค์ชั้นสิบสองเพื่อมาเยี่ยมเยือนอีกฝ่าย
ยิ่งได้เห็นดวงหน้าของเทพหนุ่มผู้นั้น ในใจก็เต้นระส่ำหวั่นไหวยิ่งนัก ตั้งแต่จุติเป็นเทพก็หาได้หวาดเกรงผู้ใด เว้นเสียแต่ยามเจอหน้าหลิวซูด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าใจของเขาเต้นแรงเพียงใดทุกครั้งที่พบหน้า ยิ่งได้ใกล้ชิดเพราะไมตรีที่เขาหยิบยื่นให้ เทียนอี้ก็ยิ่งหลงใหลในตัวเทพชั้นผู้น้อยตรงหน้า

จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน... และจากเดือนคงเป็นปีหากเขายังเทียวไปมาหาสู่หลิวซูเช่นนี้

นี่ก็เป็นอีกวันที่เขาแวะเวียนมาหาหลิวซูหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ สวนท้อของเจ้าแม่ซีหวังหมู่เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจชั้นเลิศ เทพชั้นผู้น้อยนอนเอกเขนกอยู่บนกิ่งท้อ ครั้นเห็นร่างใหญ่ของคนคุ้นตาปรากฏกายให้เห็นไม่ไกล ก็รีบทิ้งตัวลงจากต้นท้อ เอ่ยปากทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส

“วันนี้ก็มาหาข้าน้อยอีกแล้ว ท่านแม่ทัพคงจะเหงามากจริงๆ”

เทียนอี้ยิ้มรับ ที่หลิวซูพูดเช่นนี้เป็นเพราะเขาเคยอ้างไว้ว่าที่แวะเวียนมาพูดคุยด้วยบ่อยๆ นั่นเพราะสวรรค์ชั้นสิบสองช่างเงียบเหงา เหล่าเทพชั้นสูงต่างพากันสำเริงสำราญในตำหนักของตน หาได้ใส่ใจผู้อื่น เขาจึงลงมาหาหลิวซูที่โรงครัวสวรรค์เพื่อบรรเทาความเบื่อหน่าย และหลิวซูเองก็เชื่อในสิ่งนั้นเสียสนิทใจโดยหารู้ไม่ว่าที่เทียนอี้มาให้เห็นทุกวันเช่นนี้เป็นเพราะเขามีใจปฏิพัทธ์ต่อตนต่างหาก

แม้รู้ดีว่าเทพมิอาจมีรัก หากแต่เทียนอี้ก็ไม่อาจอดใจได้ ครั้นทรุดตัวนั่งลงบนโขดหิน ขณะที่หลิวซูทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นหญ้า สายตาก็สำรวจมองซีกหน้าคร้ามของคนข้างกายอย่างลืมตัว วันนี้หลิวซูก็ยังน่าหลงใหลเช่นทุกวันที่ผ่านมา เป็นเทพบุรุษที่มีรูปร่างสูงโปร่ง หากทว่ากลับมีใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา แม้ไม่ได้งดงามเฉกเช่นสตรี กระนั้นก็ช่างดึงดูดสายตานัก ขณะที่เทพองค์อื่นๆ ต่างพากันรำคาญใจที่เห็นหลิวซูทำหน้าที่ในโรงครัวสวรรค์ แต่สำหรับเทียนอี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร เขาก็เห็นดีเห็นงามไปเสียหมด

นั่นเป็นเพราะ...เทียนอี้มีรัก

“จ้องหน้าข้าน้อยเช่นนี้ มีสิ่งใดอยากพูดหรือเปล่าท่านแม่ทัพ”

ถูกทักไปอย่างนั้น เทียนอี้ก็หลุบสายตาหนีเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ท่าทางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ทว่านั่นก็เพียงครู่เดียวก่อนจะแย้มยิ้มออกมาเมื่อเห็นดวงตากลมของหลิวซูจับจ้อง

“ข้าเพียงครุ่นคิดว่าเหตุใดกันเจ้าถึงได้ชวนมองถึงเพียงนี้”
“เย้าข้าน้อยอีกแล้ว” หลิวซูกลั้วหัวเราะ คราแรกที่ได้รับคำชมเยี่ยงนี้ก็ขัดเขินอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเทียนอี้พร่ำบอกกับเขาทุกวันจึงกลายเป็นชาชินไปเสียแล้ว
“เจ้าไม่รู้หรือว่าเทพองค์อื่นเชิดชูข้าว่าซื่อสัตย์และซื่อตรงเพียงใด” เทียนอี้พูดในทำนองว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น

หากแต่หลิวซูกลับกลั้วหัวเราะ “ข้าน้อยรู้ขอรับ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพยิ่งที่เมตตาข้า แต่หากข้าเป็นเทพธิดาแล้วท่านพูดชมเช่นนี้ ข้าก็คงจะฝืนกฎ มีใจปฏิพัทธ์ต่อท่านเป็นแน่แท้”

เพราะเป็นบุรุษอย่างนั้นหรือ? ถึงได้ไม่มีปฏิกิริยาใดกับคำพูดของเขา เพราะไม่ใช่แค่ครั้งนี้ที่เทียนอี้หมายจะบอกความนัยของตนให้รับรู้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเอ่ยโดยนัยนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แรกเริ่ม หลิวซูก็ดูจะขัดเขิน หลังๆ กลับดูชินชาและเห็นเป็นเรื่องสนุกไป หรือเพราะเขายังไม่ได้ดูจริงจังเท่าที่ควรกัน?

เทียนอี้อดคิดเช่นนั้นไม่ได้ ในใจคิดอยากบอกไปตามตรงว่าหลงรักใคร่คนตรงหน้าเพียงใด แต่ก็ยับยั้งไว้ด้วยเกรงว่าหากหลิวซูไม่ได้คิดสิ่งใดด้วย การขัดต่อข้อห้ามที่ไม่อนุญาตให้เทพมีรักนั้นจะสร้างความเดือดร้อนให้กับเขาได้ ดังนั้นเทียนอี้จึงได้แต่เงียบ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหลิวซูที่ยิ้มแย้มอยู่นั้นมีสีหน้าประหลาดขึ้นมากะทันหัน มัน...เรื่อแดงราวกับผลลูกท้อสุก

“เป็นอะไรหรือไม่ สีหน้าเจ้าดูไม่ดีนัก” เทียนอี้ถามด้วยความเป็นห่วงทันควัน
“มะ...ไม่เป็นไรขอรับ”
“หรือจะไม่สบาย?” ทั้งที่หลิวซูปฏิเสธไปแล้วก็ยังจะถามอีก แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเทพมิอาจเจ็บป่วยได้เฉกเช่นมนุษย์ ยิ่งเห็นคนข้างกายส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธระรัว เขาก็ยิ่งขบคิดวุ่นไปหมด

หรือเป็นเพราะคำพูดของข้าทำให้เจ้าลำบากใจ เจ้าถึงแสดงออกเช่นนี้?

ในหัวสับสนวุ่นวาย หากเป็นเช่นนั้น เขาต้องรู้สึกผิดแน่เพราะหาได้ตั้งใจจะก่อกวน ก่อนที่ความคิดนั้นจะยุติลงและละสายตาจากหลิวซูไปยังคนมาใหม่เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้น

“ข้ามาตั้งนานแล้ว ไยเจ้าถึงไม่รู้กัน หรือแม่ทัพเทียนอี้จะด้อยวิทยายุทธลง?”

เสียงนั้นคือเจี้ยนสือที่เหาะเหินข้ามฟากฟ้าลงมายังโรงครัวสวรรค์ เมื่อหาสหายไม่พบก็เดินมาดูที่สวนท้อ พลันตรงเข้ามาหาสหายที่นั่งอยู่กับเทพชั้นผู้น้อย เทียนอี้ไม่ได้รับรู้การมาถึงของเจี้ยนสือจริงอย่างที่ถูกเอ่ยล้อเพราะมัวแต่เป็นกังวลเรื่องของหลิวซู หากแต่เมื่อจะตอบรับกลับไป เขาก็พลันสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหลิวซูแดงเรื่อขึ้นกว่าเดิม และยิ่งแดงซ่านไปหมดเมื่อถูกเจี้ยนสือล้อเลียนบ้าง

“มัวมาสนใจเจ้าเทพในโรงครัวจนลืมข้า ช่างน่าน้อยใจนัก”
“หะ...หามิได้ ข้าน้อยมิกล้าขอรับ”
“ไม่ต้องถ่อมตัว มาสำนึกได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว เจ้าทำข้าอยากจับเจ้ามาฉีกเป็นชิ้น โทษฐานแย่งสหายข้ามากักตัวไว้แต่ผู้เดียวเป็นที่เรียบร้อย” เจี้ยนสือยังคงหยอกล้ออยู่

เสียงหัวเราะของหลิวซูดังขึ้นเบาๆ ครั้นสบตาเจี้ยนสือก็ประกายวาวราวกับเห็นของมีค่า ขณะที่เทียนอี้ยิ่งนิ่งงันมากกว่าเดิม พลันตระหนักขึ้นมาได้

หรือว่า... เหตุที่เจ้ามีใบหน้าแดงเรื่อเช่นนั้นเป็นเพราะเจี้ยนสือ?

อันที่จริงเขาเคยเห็นหลิวซูมีปฏิกิริยาเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว และหากสังเกตดีๆ อาการนั้นมักแสดงออกมาตอนที่มีเจี้ยนสืออยู่ด้วย แม้จะไม่อยากคิดในแง่ร้าย แต่ในอกก็คับแน่นจนแทบหายใจไม่ออก

ที่แท้เจ้าก็มีใจปฏิพัทธ์ต่อเจี้ยนสืออย่างนั้นหรือ?

สายตามองไปยังหลิวซูและสหายที่หยอกล้อเล่นกันอย่างสนิทสนม พลันน้อยใจขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม

ทั้งที่เขาเทียวแวะเวียนมาหาทุกวี่วัน แต่เมื่อเจี้ยนสือปรากฎกาย ความสนใจนั้นก็ถูกเบี่ยงเบนไปทันควัน เป็นเช่นนี้แล้ว... เขาควรจะทำอย่างไร?

แต่จะไปเรียกร้องสิ่งใดได้ เทียนอี้หาได้ครอบครองเทพชั้นผู้น้อยตรงหน้า และด้วยเป็นเทพก็มิอาจมีรัก จึงได้แต่ฝืนยิ้มเมื่อเจี้ยนสือหันมาหยอกเย้ากับตนในบางครั้ง

“ดูท่าแล้ว เจ้าคงอยู่สนทนากับเจ้าเทพในโรงครัวผู้นี้อีกนาน เช่นนั้นข้าจะกลับไปยังเบื้องบนก่อน เมื่อเจ้าเสร็จสิ้นก็แวะมาหาข้าสักหน่อย ข้ากับหมิงจูมีเรื่องจะหารือกับเจ้า”

การหารือนั้นคือการชวนไปร่ำสุราทิพย์ เทียนอี้พยักหน้ารับ ฉับพลันเจี้ยนสือก็เหาะจากไป เหลือเพียงแต่หลิวซูเท่านั้นที่ยังคงนั่งยิ้มแม้ว่าร่างของอีกฝ่ายจะหายไปจนลับสายตาแล้ว

ยิ่งเห็น...ก็ยิ่งรวดร้าวในอก ทำให้เทียนอี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยทัก
“ซูซู เจ้ายิ้มมากเหลือเกิน มีสิ่งใดน่ายินดีเช่นนั้นหรือ?” ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกแต่ก็แสร้งถาม

หลิวซูรีบหุบยิ้มลง ปฏิเสธพลัน “ไม่มีอะไรขอรับ”
“เจ้า...แย้มยิ้มเพราะเจี้ยนสือใช่หรือไม่?” แม้จะไม่อยากถามแต่ก็เอ่ยออกไป

ใบหน้าที่กลับเป็นปกติของหลิวซูแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครา ครั้นหันไปสบตาของเทียนอี้ที่จ้องมองอยู่ก็รีบหลุบหนี ท่าทางนั้นทำให้หัวใจของเทียนอี้กระตุกวูบ

“ว่าอย่างไร บอกข้าได้หรือไม่ ไยเห็นเจี้ยนสือแล้วเจ้าถึงต้องหน้าแดง” กระนั้นก็ยังกัดฟันถามออกไป

หลิวซูนิ่งงันไปครู่ ด้วยความที่ใกล้ชิดกับเทียนอี้มาระยะหนึ่งจึงทำให้ไว้ใจและเชื่อมั่นว่าเทพชั้นสูงผู้นี้ไร้ซึ่งพิษภัย จึงยินยอมที่จะบอกไปเมื่อถูกถามอีกครา

“ข้าน้อย... มีใจปฏิพัทธ์ต่อท่านแม่ทัพเจี้ยนสือขอรับ”

เสมือนมีฟ้าผ่ากัมปนาทลงมาในหัวของเทียนอี้ ร่างกายชาดิกเสียจนขยับไม่ได้ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าตะลึงงันกับสิ่งที่ได้ยินนัก ขณะที่หลิวซูตระหนักได้ว่าพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไปจึงมีท่าทีร้อนรนขึ้นมา

“ตะ...แต่นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบนะขอรับ ข้าน้อยเป็นเทพชั้นผู้น้อยที่จุติจากวิญญาณมนุษย์ต่ำต้อย บางครั้งก็ไม่อาจหักห้ามกิเลสตัณหาเช่นกัน ตบะยังหาได้แก่กล้า ขอท่านแม่ทัพอย่าได้ถือสา”

ดูก็รู้ว่าเกรงกลัวเทียนอี้จะนำความไปบอกใคร สีหน้าแดงเรื่อเมื่อครู่กลายเป็นซีดเผือดราวกับเห็นผี

กับเจี้ยนสือ...เจ้ามีสีหน้าเขินอาย แต่กับข้า...เจ้าดูราวกับคนตาย

เทียนอี้หัวเราะเย้ยตนเองในใจเพียงครู่ ก่อนจะวางมือลงบนกลางกระหม่อมของคนตรงหน้าที่ดูตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่บอกผู้ใด”

เท่านั้นหลิวซูก็มีสีหน้าโล่งใจ รีบดันตัวขึ้นคุกเข่าแล้วคำนับคนตรงหน้าเสียจนหน้าผากติดพื้น

“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพมากขอรับ เมตตาของท่านในครั้งนี้ ข้าน้อยจะไม่ลืม”

เรื่องในวันนี้ ข้าก็จะไม่มีวันลืมเช่นกัน...

จะจดจำไว้ว่าเจ้า...รักเจี้ยนสือ



 
ซิ่นเฉิงลุกพรวดจากเตียงนอนด้วยความรวดเร็ว สายตากวาดมองไปรอบห้องอันมืดมิดอย่างตระหนก หากแต่ไร้สิ่งใดเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงลมหายใจหอบหนักของเขาและหน้าอกที่กระเพื่อมเป็นจังหวะเท่านั้นที่ทำให้ภายในห้องนี้ไม่เงียบ

เทียนอี้ยังไม่กลับมา เขาออกไปตั้งแต่กลางดึก จนบัดนี้ใกล้ฟ้าสางก็ยังไร้ซึ่งเงา ทำเอาคนรออย่างซิ่นเฉิงเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ครั้นเข้าสู่ห้วงนิทราก็หลับฝันถึงสถานที่ไม่คุ้นเคย คนรอบข้างก็หาได้เคยเห็นหน้ามาก่อน จะมีก็แต่เพียงบุรุษผู้มีเรือนผมสีเงินยวงเท่านั้นที่เขารู้จักดีว่าคือผู้ใด คนผู้นั้นคือ...เทียนอี้ อีกสามคนที่เคยเห็นหน้าค่าตาก็คือเจี้ยนสือ หมิงจู และพ่อบ้านเหลียง ขณะที่เขาอยู่ในร่างของใครบางคนซึ่งเป็นเทพชั้นผู้น้อยทำหน้าที่อยู่ในโรงครัวสวรรค์ และมีนามว่า...

“หลิวซู...” ริมฝีปากหนาเอ่ยนามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายยังเต้นระส่ำไม่หยุด

เขาคือหลิวซู เทพชั้นผู้น้อยอันเป็นชนวนเหตุให้เทียนอี้และเจี้ยนสือบาดหมาง!

ชายหนุ่มยกมืออันสั่นเทาขึ้นลูบใบหน้าด้วยไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็นในความฝัน เขาจะเป็นหลิวซูไปได้อย่างไรในเมื่อเขาหาได้มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับหลิวซูเมื่อครั้งยังเป็นเทพเลยแม้แต่น้อย? ทว่า...ในใจก็อดเชื่อไม่ได้เพราะสิ่งที่เขาฝันเห็นนั้นมาจากอิทธิฤทธิ์ของน้ำอมฤต หากในชีวิตนี้เคยพบพานสถานที่สวยงามแห่งนั้นมาก่อน เขาคงจะคิดว่ามันคือภาพในความทรงจำไปแล้ว ทว่าตลอดมาเคยพบเห็นแต่ทะเลทราย ดังนั้นจึงไม่อาจคิดเป็นอื่นได้

และซิ่นเฉิงก็มิอาจอยู่นิ่งได้เช่นกัน เมื่อประจักษ์ว่าตนเป็นใคร เขาก็รีบทิ้งตัวลงจากเตียง กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปยังด้านนอก หมายจะไปยังจวนของหมิงจูเพื่อแจ้งเรื่องนี้ หากแต่ก็พบเข้ากับพ่อบ้านเหลียงเข้าเสียก่อน จากนั้นก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงเข้ม

“ฟ้ายังไม่สาง ท่านแม่ทัพก็ยังไม่กลับ แล้วเจ้าจะไปไหนกัน?”
ซิ่นเฉิงหันหน้ามองคนถาม เป็นพ่อบ้านเหลียงบ้างแล้วที่ชะงักเมื่อเห็นหยาดเหงื่อเม็ดโตผุดพรายขึ้นทั่วกรอบหน้าของชายหนุ่ม อีกทั้งใบหน้ายังซีดเผือดราวกับป่วยไข้ จากที่ตั้งใจจะดุด่าก็กลายมาเป็นกังวล
“เจ้าไม่สบายหรือไร สีหน้าดูแย่นัก”
“เจ้าจระเข้” แทนที่จะตอบ ซิ่นเฉิงกลับเรียกคนตรงหน้าออกมา ครั้นพ่อบ้านเหลียงนิ่งรอฟัง เขาก็เอ่ยขึ้นมาอีก “ข้าคือหลิวซู”
“เจ้าพูดเรื่องใด” คนฟังถึงกับงุนงงฉับพลัน แต่ขณะเดียวกันก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมา

ซิ่นเฉิงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะว่าออกมาอีกที “ข้าบอกว่าข้าคือหลิวซูกลับมาเกิด ”

เพียงเท่านั้น พ่อบ้านเหลียงก็อยู่ไม่สุข กระนั้นก็ยังเก็บอาการตระหนกไว้
“เจ้ารู้ได้เช่นใด”
“ข้าฝันเห็นเมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นเทพบนสวรรค์ ทำหน้าที่อยู่ในโรงครัวภายใต้การดูแลของเจ้า”

เรื่องนั้นหาได้เคยบอกซิ่นเฉิงมาก่อน ยิ่งทำให้พ่อบ้านเหลียงใจไม่ดีมากขึ้นไปอีก
“เจ้าคงจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นมามากเกินไปถึงได้เก็บไปฝันเยี่ยงนี้” แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ด้วยไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไรนัก

ทว่า...สุดท้ายก็ต้องเชื่ออย่างสนิทใจเมื่อซิ่นเฉิงเริ่มหัวเสีย พลันส่งเสียงดังออกมา
“หากไม่เป็นเพราะเจ้าจิ้งจอกเอาน้ำอมฤตให้ข้าดื่ม ข้าก็คงไม่มาตระหนกอย่างนี้หรอก ข้าเองก็อยากให้เป็นแค่ความฝันเพราะคิดไปเองเช่นกัน!”

น้ำอมฤต!? หรือว่า...

พ่อบ้านเหลียงถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ยืนนิ่งเป็นหินตระหง่าน เมื่อได้สติก็รีบตรงเข้าไปคว้าแขนของมนุษย์หนุ่มอย่างรวดเร็ว

“ไปที่จวนรองแม่ทัพหมิงจูกับข้าบัดเดี๋ยวนี้เลย”

สิ้นเสียงก็กึ่งลากกึ่งจูงซิ่นเฉิงให้ตามไปโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของชายหนุ่มที่ไล่ตามหลังมาแม้แต่น้อย

อาเพศที่เกิดกับแคว้นเฟิงฝู... คงไม่ใช่เรื่องโอรสของเทพมังกรวารีที่เป็นปีศาจมาระรานแล้วกระมัง แต่เป็นเรื่องที่ซิ่นเฉิงคือหลิวซูกลับชาติมาเกิดนี่ล่ะ พ่อบ้านเหลียงถึงกับตัดพ้อสวรรค์ในใจเลยทีเดียว

เหตุใดสวรรค์ถึงได้ไร้เมตตาเพียงนี้!
 --------------------------------------
เต็มตอนแล้วค่ะ เฉลยมาแล้วปมนึง เย่!
คงพอเข้าใจแล้วใช่มั้ยคะว่าทำไมเจ้าแมวถึงหวั่นไหวกับพี่งู อดีตเคยรักมานี่เอง
แต่...มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่านั้นไปอี๊กกกก //วางปมไรเยอะแยะนักหนา #ตบค่ะ!

ใครที่ตอนก่อนหน้านั้นสงสารพี่งู ตอนนี้จะเปลี่ยนใจก็ยังทันนะคะ 555
อันนี้เพิ่งชาติแรกด้วยที่ค่อยๆ เฉลยปม เจอชาติสองเมื่อไหร่ มีเลือกลงเรือกันไม่ถูกบ้างล่ะ XD
ฝากกำลังใจไว้ให้ด้วยจ้า ตอนแรกกะว่าจะไม่ได้อัปละ
วันนี้ง่วงๆ เมื่อคืนโต้รุ่ง แต่เขียนไปเขียนมาจบตอนเฉย เลยอัปให้เต็มตอนซะเลย
พรุ่งนี้เจอกันนะคะ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-09-2017 21:32:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 17-09-2017 22:44:15
เลือกเรือไม่ถูก ขอเกาะหลังคนเขียนดูทิศทางลมก่อนดีกว่าค่ะ   :laugh:
ปล.สงสารเฉิงเฉิงนะ สับสนน่าดูเลยยย
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mengjie_JJ ที่ 18-09-2017 00:04:24
ทำไมน้องแมวหลายใจงี้อ่ะ เสียใจ ถึงจะเชียร์พี่งู

แต่ไม่ได้อยากให้น้องแมวรักพี่งูเลย

เจ้าหมาน่าสงสารจริงๆ

 :z3:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-09-2017 02:56:54
รักกับงูแล้วทำไมเจ้าแมวต้องไปสู้แย่งเขามาด้วยเนี่ย  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 18-09-2017 14:50:30
เราจะอยู่หอสังเกตการณ์ทางทะเล.....
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 18-09-2017 14:55:17
อ่านไปอ่านมาก็โลเลเลือกไม่ได้ทั้งสามนี่หว่าา ไม่เชียร์ใครละ แล้วแต่สวรรค์เลย5555
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 18-09-2017 16:33:21
ถ้าชาติที่แล้วรักเจี้ยนสือมากไหงชาตินี้ถึงเป็นเทียนอี้หล่ะ หรือเง็กเซียนจะลิขิตให้รักกันคนละชาติงี้เปล่า ไม่เชียร์ใครดีกว่าแม่ทัพทั้งสองควรจะหาทางตัดกรรมไม่ข้องเกี่ยวกับหลิวซูจะดีที่สุด 555+ สามคนสามทาง
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-09-2017 18:49:48
แอบคิดว่าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หลิวซู แบบว่าเป็นเทพชั้นผู้น้อยที่ทำงานในโรงครัวเหมือนกันงี้
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ryokijung ที่ 18-09-2017 20:23:50
เรือลำไหนไปถึงฝั่งมั่งคะ ไม่อยากลุ้นแล้ว
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-09-2017 22:45:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-09-2017 00:40:10
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 19-09-2017 16:56:09
บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[1]

ครั้นได้ยินคำบอกเล่าจากซิ่นเฉิงที่ถูกพ่อบ้านเหลียงนำตัวมาหา หมิงจูที่เคร่งเครียดกับเรื่องของปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวีรีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็พลันหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิม เขาก็พอจะเดาออกอยู่บ้างว่าเหตุที่สหายทั้งสองของตนนั้นวิวาทด้วยเรื่องของมนุษย์หนุ่มตรงหน้า คงเป็นเพราะซิ่นเฉิงอาจเป็นหลิวซูกลับชาติมาเกิด หากแต่ก็ภาวนาและวิงวอนต่อสวรรค์ว่าขออย่าให้เป็นเช่นนั้นด้วยไม่ต้องการให้ความพินาศเดิมหวนกลับมาอีก แต่ความหวังของเขาก็พังทลายลงเมื่อได้ยินคำบอกกล่าวจากปากของชายหนุ่ม

เขาเชื่อว่าซิ่นเฉิงไม่ได้โกหกเพราะน้ำอมฤตเองก็หาได้เคยโกหกผู้ใด หมิงจูถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน พลันเอ่ยถาม
“แล้วเจ้าคิดจะทำการใดต่อไป”
“จะให้ข้าทำการใดกันล่ะ เจ้าเองมิใช่หรือที่อยากรู้อยากเห็นจนข้าต้องมาเดือดร้อนด้วยเช่นนี้” เป็นซิ่นเฉิงบ้างที่โวยวาย

นั่นก็ใช่ เพราะหมิงจูอยากรู้ถึงได้คะยั้นคะยอ แต่ก็หาได้คิดร้ายแต่อย่างใด เขาคิดเพียงแต่ว่าเพียงแค่หลิวซูก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว จึงไม่อยากให้มีมนุษย์คนใดเข้ามาแทรกให้เรื่องยุ่งยากไปกว่าเดิมอีก ใครจะหารู้ว่าคนตรงหน้าคือหลิวซูเอง
“ข้าว่าเจ้าทำใจให้เย็นก่อน กล่าวโทษท่านรองแม่ทัพไปก็หาได้ประโยชน์ใด ที่ท่านรองแม่ทัพทำนั้นก็ด้วยหวังดี” พ่อบ้านเหลียงแก้ตัวให้

ซิ่นเฉิงไม่ได้มีสีหน้าดีขึ้นเลย อะไรไม่ว่า นอกจากความจริงที่เขาได้รับรู้ว่าตนคือหลิวซูแล้ว เขายังรู้อีกเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน... หลิวซูรักเจี้ยนสือ หาใช่รักของเทียนอี้

ถ้าเช่นนั้น... ที่ทั้งสองต่างอ้างตนว่าเป็นคนรักของหลิวซูนั้นคือเรื่องใดกัน!?

แทบจะดึงทึ้งเส้นผมตนเองให้หลุดร่วง สีหน้าไม่ได้ดูดีไปกว่าหมิงจูเลยแม้แต่น้อย ออกจะแย่กว่าด้วยซ้ำ ขณะที่หมิงจูและพ่อบ้านเหลียงต่างมองหน้ากันด้วยหนักใจเพราะรู้ว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

“พวกเจ้าต้องบอกข้าว่าข้าควรทำสิ่งใด” สุดท้ายซิ่นเฉิงก็ถามออกมาด้วยจนปัญญา เขาไม่รู้หรอกว่าควรทำอย่างไรต่อไป ต่อให้เป็นหลิวซูกลับมาเกิด แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งสามนั้นเป็นอย่างไร ต่อให้ระลึกชาติได้ ทว่านั่นก็เพียงบางส่วนเท่านั้น ยังไม่ได้รับการเปิดเผยทั้งหมด

“หากข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าจะทำตามข้าหรือไม่?” หมิงจูเอ่ยถาม
“ก็ต้องแล้วแต่ว่าข้อเสนอของเจ้าเป็นอย่างไร”

ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าคนอย่างซิ่นเฉิงไม่ใช่คนที่จะกระทำตามผู้ใดโดยง่าย ดังนั้นหมิงจูจึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เล็กน้อย

“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องเล่าก่อนว่าพวกเจ้ามีจุดจบอย่างไร” พูดแล้วก็เงียบไปครู่ กระทั่งซิ่นเฉิงมองหน้าอย่างสงสัยถึงได้เล่าต่อ “ใจของหลิวซูมีเจี้ยนสือ ข้อนี้เจ้ารู้ใช่ไหม”

คนฟังพยักหน้า

“แต่เทียนอี้เองก็รักหลิวซูเช่นกัน พวกเจ้าจะวนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งความทุกข์ด้วยรักอีกครั้ง และเมื่อเจ้าชัดแจ้งแก่ใจว่าเจ้ามีรักให้แก่ผู้ใด เมื่อนั้นสหายทั้งสองของข้าก็จะฟาดฟันกัน จุดจบสุดท้ายคือชีวิตของเจ้าต้องดับสูญ จากนั้นก็จะวนเวียนกลับมาอีกครั้ง”

ได้ยินแล้ว ซิ่นเฉิงก็นิ่งงัน จะมีก็แต่หมิงจูเท่านั้นที่พูดต่อ

“ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เจ้าจะตัดสินใจอย่างไรกันล่ะ เจ้าจะอยู่ให้เทียนอี้และเจี้ยนสือได้วิวาทกันเพราะเจ้าอีกครั้ง หรือจากไปโดยไม่บอกกล่าวว่าเจ้าคือใครกลับมาเกิด”

คำพูดนั้นมีนัยยะ แน่นอนว่าหมิงจูต้องปรารถนาให้ซิ่นเฉิงเลือกที่จะจากไป พ่อบ้านเหลียงเองก็เช่นกัน ขณะที่ในใจของซิ่นเฉิงวูบไหวขึ้นมา

เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดถึงได้หวั่นไหวกับเจี้ยนสือและเจ็บปวดเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยบางคำ นั่นเพราะในส่วนลึกของจิตใจนั้น เขายังเป็นหลิวซูอยู่และยังคงรักในตัวของเทพอสูรผู้นั้น ทว่า...สิ่งที่ทำให้ใจเขาวูบไหวเมื่อครู่หาได้เป็นเจี้ยนสือ หากแต่เป็นเทียนอี้
หากเลือกที่จะจากไป ก็คงจะไม่ได้พบเจอกับเทียนอี้อีกเลยตลอดช่วงชีวิตที่ยังหายใจ แต่นั่น...น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

“ข้าจะไป” ใช้เวลาเพียงครู่เท่านั้นในการตัดสินใจ
“ดี ข้ายินดียิ่งที่เจ้าตัดสินใจเช่นนี้ อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีการยกไพร่พลลงใต้ เทียนอี้จำต้องนำทัพ เจ้าจงใช้โอกาสยามเทียนอี้ไม่อยู่หลบหนีกลับไปเสีย และจงเก็บเรื่องราวชาติก่อนของเจ้าให้เป็นความลับ อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้ใดนอกจากข้าและพ่อบ้านเหลียงได้รับรู้อีก” หมิงจูวางแผนให้เสร็จสรรพ

แม้จะไม่ชอบใจกับการถูกสั่งเป็นนัย แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้ตอบโต้อะไรนอกจากพยักหน้าเท่านั้น
“หมดธุระแล้ว เจ้าก็กลับไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวเทียนอี้กลับจวนมาแล้วไม่เห็นเจ้า จะพานให้เป็นพิรุธเอา ข้าเองก็มีเรื่องที่จะต้องสะสาง พ่อบ้านเหลียง พากลับไปได้”

ยังคงมีแต่หมิงจู่เท่านั้นที่เอ่ยปาก เมื่อได้ยิน ซิ่นเฉิงก็เดินออกไปยังหน้าจวน ใบหน้าเคร่งเครียดขบคิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ขณะที่พ่อบ้านเหลียงซึ่งกำลังจะก้าวออกจากห้องรับรองไม่สบายใจขึ้นมา หันไปมองเจ้าของจวนอีกครั้งด้วยไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้นเป็นเรื่องถูกต้อง

“ท่านรองแม่ทัพ ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ดีแล้ว?”
“เจ้ามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้หรือไร?” หมิงจูถามเสียงต่ำ เมื่อไม่ได้รับซึ่งคำตอบก็ว่าออกมาอีก “ข้าไม่ได้อยากจุ้นจ้าน แต่หากมันเป็นการดีที่จะทำให้เทียนอี้และเจี้ยนสือหยุดวิวาทกันได้ ก็ควรให้เป็นเช่นนั้น แม้เพียงชาติเดียวก็ยังดี ส่วนเจ้า...ก็จงเก็บเรื่องนี้ไว้ให้สนิทแล้วกัน อย่าให้ทั้งสองรับรู้ว่าซิ่นเฉิงคือผู้ใด ให้เข้าใจว่าเป็นคนละคนกันจะเป็นผลดีกว่า”

พ่อบ้านเหลียงจำต้องตอบรับ แม้ทั้งคู่จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิวซูถึงได้เกิดมาเป็นซิ่นเฉิงที่มีรูปร่างหน้าตาไม่ได้คล้ายคลึงกับชาติก่อนสักนิด แต่ก็ไม่ใคร่คิดจะถามอีกต่อไป

ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้แหละดีแล้ว เส้นทางที่สวรรค์ลิขิตให้เป็นไป...ควรจะสิ้นสุดลงเสียที



 
ชายหนุ่มกลับมาก่อนที่เทียนอี้จะมาถึงจวน ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อย โดยส่วนมากเป็นการสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เทียนอี้หาได้เห็นว่าเป็นความลับใดจึงเล่าให้ฟังทุกรายละเอียด อันที่จริงควรเป็นเรื่องที่ทำให้ซิ่นเฉิงกังวลใจ ทว่าเขากลับกังวลใจในเรื่องจิตใจของเทียนอี้มากกว่า

หากเขาจากไปแล้ว... เทียนอี้จะเป็นเช่นใด?

คล้ายกับว่าไม่มีเหตุผลว่าเหตุใดเขาถึงเป็นห่วงความรู้สึกของเทียนอี้ แต่แท้จริงซิ่นเฉิงมีเหตุผลของตนเอง นั่นก็เพราะ...เขาคือซิ่นเฉิง

เป็นซิ่นเฉิงที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อเทพอสูรตรงหน้า ไม่ใช่หลิวซูที่มีใจรักมั่นแต่เพียงเจี้ยนสือผู้นั้น!

เพราะอย่างนั้นจึงไม่เชื่อฟังคำของหมิงจูที่บอกให้เขาหนีไป การจะจากไปนั้น อย่างน้อยก็ต้องให้เทียนอี้รับรู้ว่าเขาจะจากไปด้วยเหตุผลใด หาใช่หลบหนีให้อีกฝ่ายได้ใจเสียเมื่อกลับมาจากศึกแล้วไม่เห็นตนอยู่ที่จวน อีกอย่าง หากเขาจากไปโดยไม่บอกกล่าว เทียนอี้จะต้องตามหาเขาสุดหล้าฟ้าเขียวอย่างแน่นอน ในเมื่อรู้ดีแก่ใจว่าเทพอสูรตนนี้มีใจปฏิพัทธ์ต่อเขา ไม่ว่าอย่างไรก็จะตามหาเขาเป็นแน่ แม้ว่าจะยังคิดถึงหลิวซูอยู่ก็ตาม

เมื่อเทียนอี้เข้าไปหลับพักผ่อนในห้องนอนด้วยร่างกายยังคงเหนื่อยล้าจากอาการบาดเจ็บ ซิ่นเฉิงก็ตามเข้าไปในอีกไม่กี่ชั่วยามให้หลังครั้นตัดสินใจได้ว่าควรทำสิ่งใด

ชายหนุ่มลงดาลประตู ก้าวมายืนอยู่ข้างเตียง ทอดมองร่างใหญ่ของเทพอสูรสุนัขป่าที่กำลังหลับใหลก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสยังเส้นขนบริเวณแผงคอ เพียงสัมผัสแผ่วเบาก็ปลุกให้อีกฝ่ายตื่นจากนิทรา ดวงตาปรือมองซิ่นเฉิงที่ยืนค้ำศีรษะอยู่พลันเอ่ยถาม
“มีสิ่งใดหรือ?”

ซิ่นเฉิงเงียบไปครู่ ไม่ใช่จะไม่ตอบ แต่เพราะรู้สึกราวกับว่ามีก้อนเหนียวหนืดบางอย่างขวางกั้นในลำคอ ทำให้เขาพูดไม่ออกว่าเขาจะจากไป
“มีสิ่งใดกันเฉิงเฉิง?” เห็นท่าทางแปลกไปของคนตรงหน้า เทียนอี้ก็อดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้
“ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”

แค่ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เทียนอี้รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ กระนั้นก็แสร้งทำตัวเป็นปกติ ดันตัวขึ้นนั่งทีละน้อย
“มีเรื่องใดรบกวนจิตใจเจ้ากัน?”

ยิ่งได้ยินเสียงก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากเทียนอี้ ซิ่นเฉิงยิ่งใจไม่ดีมากกว่าเดิม เงียบไปอึดใจหนึ่งทีเดียวกว่าจะเอ่ยปากออกมาได้

“ข้าจะกลับทะเลทราย”
เป็นเทียนอี้บ้างแล้วที่ภายในใจวูบไหว
“กลับทะเลทรายอย่างนั้นหรือ? เพราะอะไร” ที่สงสัยเป็นเพราะครานั้นที่ให้โอกาสซิ่นเฉิงกลับไป อีกฝ่ายไม่ยอมกลับ ทำให้เขาตัดสินใจจะกักขังซิ่นเฉิงไว้ในจวนเพื่อเชยชม พอได้ยินอย่างนี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้
“บ้านของข้าไม่ใช่ที่นี่” ซิ่นเฉิงตอบเสียงเรียบ ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ พานให้เทียนอี้ได้ใจเสียมากขึ้นไปอีก
“จวนของข้าก็คือของเจ้า เจ้าอาจจะยังไม่คุ้นชิน อีกหน่อยก็ชินไปเอง” ฟังดูก็รู้ว่าไม่อยากให้ไป

ทว่า...ซิ่นเฉิงได้ตัดสินใจแล้ว

“ข้าไม่ชินและจะไม่มีวันชิน เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าแผ่นดินมาตุภูมิของข้าคือทะเลทราย ข้าเป็นคนจากทะเลทราย ไม่ว่าอย่างไรก็จะกลับไป”

น้ำเสียงที่หลุดลอดจากริมฝีปากนั้นหนักแน่น เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเกรงว่าเทียนอี้จะไม่ยอมปล่อยเขาไปดังที่เคยลั่นวาจาไว้ เห็นเทียนอี้นิ่งงันก็ให้เหตุผลขึ้นมาอีก

“เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่อยู่แล้ว ที่มาเจอเจ้าก็เป็นเพราะข้ามาช่วยซิ่นจินและถูกเจ้าเหนี่ยวรั้งไว้ เจ้าคงจะหลงลืมไปแล้วว่าข้าเองก็เป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่า บิดาของข้ามีศักดิ์ไม่ต่างจากอ๋อง ข้าเองก็เช่นกัน เมื่อสิ้นบิดา ข้าจะต้องรับตำแหน่งนี้ แม้จะเป็นเผ่าเล็กๆ มีคนเพียงไม่กี่ร้อย แต่หน้าที่ของข้าคือการดูแลชีวิตของคนพวกนั้น จะให้ข้ามาอยู่ในจวน เป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าได้อย่างไรกัน”

“แต่เจ้าก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้” เทียนอี้ว่าอย่างไม่เข้าใจ ถึงจะพอรู้ว่าอารมณ์ของซิ่นเฉิงแปรปรวนเปลี่ยนผันรวดเร็ว ทว่าก็ไม่คิดว่าจะออกมาในรูปแบบนี้
“ข้าไม่เคยพูด แต่ข้าคิดมาตลอด และตอนนี้ก็พูดแล้ว” ซิ่นเฉิงตอบรับ “ข้าจะกลับไปยังที่ซึ่งจากมา” จากนั้นก็เน้นย้ำคำอีก
“เฉิงเฉิง...อยู่กับข้าไม่ได้หรือ?” แววตาของเทพอสูรเว้าวอน

ซิ่นเฉิงเกือบจะใจอ่อนอยู่แล้ว ทว่าเขากลับพูดในสิ่งที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก

“ข้าจะกลับไป ต่อให้เจ้าไม่ให้ข้าไปตอนนี้ เมื่อเจ้าไปทำศึก ข้าก็จะหลบหนีออกไป”

มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เทียนอี้ก็รู้ เขาจ้องมองดวงตามุ่งมั่นของคนตรงหน้านิ่ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างยอมแพ้

“ได้ แต่ข้าจะไปส่งเจ้าเอง ป่านนี้เผ่าของเจ้าคงจะอพยพไปที่อื่นแล้ว ให้เจ้าตระเวนไปแต่ผู้เดียวคงไม่เป็นการดี”
“ไปส่งข้าที่เผ่าอื่นก็เพียงพอ ข้าจะไปสืบหาร่องรอยของเผ่าข้าที่นั่นเอง”

ซิ่นเฉิงไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียว เพราะเป็นคนทะเลทรายมาตั้งแต่กำเนิด การสืบเสาะร่องรอยหาเผ่าของตนที่เร่ร่อนไปเรื่อยอยู่ในทะเลทรายนั้นไม่ใช่เรื่องยากนัก ทุกๆ ปีก็จะอพยพไปตามถิ่นฐานที่เคยเดินทางผ่าน เพียงดูฤดูกาลก็พอจะคาดเดาได้ว่าไปที่ใด
สำหรับเทียนอี้แล้ว สิ่งนั้นหาใช่เรื่องน่ายินดี มันเหมือนกับกำหนดเวลาที่เขายังมีซิ่นเฉิงอยู่ข้างกายต่างหาก แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ต่อให้อยากเหนี่ยวรั้งไว้เท่าไร เขาก็เข้าใจธรรมชาติของซิ่นเฉิง เป็นทั้งเจ้าแมวของเขา เป็นทั้งคนทะเลทราย ไม่ว่าจะอย่างไรก็รักอิสระ ให้เขาคุกเข่าก้มศีรษะวิงวอนขอร้องให้ตาย ซิ่นเฉิงก็ไม่ยอมเป็นแน่ สุดท้ายก็ได้แต่ยอมรับโดยดุษณี

“อีกไม่กี่วัน ข้าจะต้องนำทัพเคลื่อนผ่านทะเลทราย ได้ยินว่าห่างไปไม่กี่ร้อยลี้มีเผ่าทะเลทรายปักหลักอยู่ ข้าจะไปส่งเจ้าที่นั่น”
คนฟังพยักหน้ารับ จากนั้นก็ไร้ซึ่งเสียงสนทนาอีก

แทนที่จะสบายใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนปรารถนา ซิ่นเฉิงกลับร้อนรุ่มใจขึ้นมาที่เทียนอี้ยินยอมปล่อยตนไปโดยง่ายเช่นนี้ แท้จริงแล้วต้องเหนี่ยวรั้งเขาไว้ทุกทางมิใช่หรือ? ไหนเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะกักขัง ไม่ปล่อยให้เขาไปไหนอีกอย่างไรเล่า ต้องดื้อด้านไม่ยอมให้เขาไปสิ!

พลันก็หงุดหงิดขึ้นมา อีกทั้งในใจก็ปวดร้าวเสียจนแทบหายใจไม่ออก อาการนี้รู้ได้ในทันทีว่าเป็นเพราะมีใจให้กับเทียนอี้อย่างแรงกล้า ถึงจะเคยสับสนหรือหรือหวั่นไหวไปกับเจี้ยนสือด้วยจิตใต้สำนึกของหลิวซูยังหลงเหลืออยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเขา แต่ ณ เวลานี้ ในใจของเขามีแต่เทียนอี้เท่านั้น ตระหนักได้ก็เมื่อจะจากไปว่าแท้จริงแล้วในใจรักใคร่คนตรงหน้าเพียงใด ก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัดออกมา ทำเอาเทียนอี้ที่นั่งซึมเซาอยู่เหลือบมอง

“ไม่ต้องเหลือบมองข้าเลยเจ้าหมา ไม่ต้องทำหูลู่ด้วย!”

เทียนอี้เลิกคิ้วสูงเล็กน้อย ...นี่ใบหูเขาลู่ลงอย่างนั้นหรือ? ไม่เห็นรู้สึกตัว

แต่ก็ยังไม่ได้แสดงอาการใดออกไป นั่งนิ่งดังเดิมและแสร้งทำหูลู่ลงกว่าเดิม
“ข้าบอกว่าให้เลิกทำหูลู่อย่างไรเล่า” น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดเกินทน

ทว่า...เทียนอี้กลับดึงใบหูลงต่ำ

“เจ้าหมา!”
“ข้าหาได้ทำการใด”

ไม่เพียงใบหูเท่านั้นที่ยังคงหลุบต่ำ น้ำเสียงก็หงอยเหงาเสียจนทำคนฟังรวดร้าวในอกขึ้นมา พลันความอดทนของซิ่นเฉิงก็สิ้นสุดลง ขณะนี้เขาคือซิ่นเฉิง ในใจซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เทพอสูรผู้นี้ แค่ต้องพูดว่าจะจากไปก็กัดฟันเต็มกลืนแล้ว ยิ่งมาเห็นใบหูนั่นกับแววตาเว้าวอน ความอดทนของเขาก็สิ้นสุดลงฉับพลัน

เจ้ามัน... น่ากอดเกินไปแล้ว!

ชายหนุ่มก้าวขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าถมึงทึง ครั้นเทียนอี้ซึ่งเลิกคิ้วสูงอยู่จะเอ่ยถามก็ไร้ซึ่งโอกาสเมื่ออีกฝ่ายแหวออกมาก่อน

“ไม่ต้องคิดจะถามใดๆ ข้าเพียงจะหาเรื่องจดจำเจ้าไว้ก่อนไม่ได้เจอกันอีกตลอดชีวิตเท่านั้น”

เป็นคำที่ฟังดูช่างน่าเศร้านัก แต่เมื่อถูกสองมือของซิ่นเฉิงสอดเข้ามาที่ขนบริเวณแผงคอ ก่อนอีกฝ่ายจะกำมือแน่นและออกแรงขยับไปมาให้ใบหน้าของเทียนอี้ขยับไปด้วย เท่านั้นเทพอสูรก็รับรู้ได้ทันทีว่า... เขากำลังถูกเจ้าแมวป่าตัวนี้ฟัดด้วยความมันเขี้ยว
แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายได้กระทำตามใจ ออกจะชอบใจเสียด้วยซ้ำที่เห็นซิ่นเฉิงซุกไซ้ใบหน้าลงมาบนขนนุ่มช่วงหน้าอกแล้วถูไถ ดูท่าคงอยากจะทำเช่นนี้มานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสเสียที เพราะก่อนหน้านั้น เป็นเขาที่หยอกเย้าเรือนร่างของชายหนุ่ม และการที่ซิ่นเฉิงทำอย่างนั้นก็ทำให้เทียนอี้อดรนทนไม่ไหวขึ้นมา จากที่นั่งนิ่งอยู่ มือก็พลันอยู่ไม่สุข ลูบไล้ไปที่ต้นแขนเต็มไปด้วยมัดกล้าม จากนั้นจึงสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อ ทว่าก็โดนซิ่นเฉิงปัดออก

“อยู่เฉยๆ ข้าอนุญาตให้เจ้าแตะต้องข้างั้นหรือ?”

ปกติก็เป็นเทียนอี้ไม่ใช่หรือที่เป็นฝ่ายแตะต้อง?

เทียนอี้ขมวดคิ้ว ดูจะขัดใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมนั่งนิ่ง มองหน้าคนที่เอาใบหน้าถูไถหน้าอกเขาเมื่อครู่ที่แหงนมอง จากนั้นก็ผละออกไป พลันก็ต้องเบิกตาโตขึ้นมาเมื่อเห็นว่าที่ผละออกไปนั้นเป็นเพราะซิ่นเฉิงหมายจะเปลื้องอาภรณ์ตนเองต่างหาก

มือถึงรั้งเสื้อออกจากกาย แผ่นอกเต็มไปด้วยร่องรอยแผลเป็นและกล้ามเนื้อปรากฏสู่สายตา ไม่ว่าเทียนอี้จะมองคราใดก็ล้วนแล้วแต่ยั่วเย้าให้เขาสัมผัสนัก ถึงแม้จะไม่เรียบลื่นฝ่ามือ กระนั้นก็กระตุ้นอารมณ์กำหนัดได้เป็นอย่างดี ก่อนที่เทียนอี้จะเอื้อมมือมาหมายจะหยอกเย้าเรือนร่างตรงหน้า ทว่าก็ถูกซิ่นเฉิงปรามเสียก่อน

“เจ้าอยู่เฉยๆ ยังบาดเจ็บอยู่ ข้าจะเป็นคนปรนเปรอเจ้าเอง”

ฟังแล้วก็ชวนให้น่าหรรษาไม่น้อย เทียนอี้จึงยอมนิ่งไป ปล่อยให้ซิ่นเฉิงได้กระทำตามใจชอบ

เมื่ออีกฝ่ายยอมนิ่งเป็นหุ่นไม้ให้กระทำโดยปรารถนา ซิ่นเฉิงก็เลือกที่จะมอบจุมพิตยังริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อนเป็นอันดับแรก ปากของเทพอสูรในร่างสุนัขป่าหาได้จุมพิตถนัดนัก แต่ก็ดูดดื่มร้อนแรงตามแรงเสน่หาที่พวยพุ่งขึ้นมา ปลายลิ้นพยายามแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดลิ้นใหญ่ของคนตรงหน้า

ถูกรุกเร้าอย่างนั้น เทียนอี้ก็ไม่อาจหักห้ามใจได้ไหว ต่อให้ร่างกายบาดเจ็บไม่สมบูรณ์ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบไล้ยังแผ่นหลังของอีกฝ่าย ซิ่นเฉิงส่งเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ ผละริมฝีปากออกมาว่าเสียงแข็ง

“ข้าบอกให้เจ้าอยู่เฉยๆ อย่างไรเล่า”

ถูกยั่วยวนเช่นนี้แล้ว ผู้ใดจะอยู่เฉยได้กัน

เทียนอี้เถียงในใจ ขณะที่ซิ่นเฉิงบ่นว่าเขาอีกสองสามคำก็ถอยออกไปปลดเปลื้องอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายออก ความเป็นบุรุษเพศปรากฎสู่สายตา เทียนอี้หมายจะลูบคลำยิ่งนัก ทว่าก็ต้องตัวแข็งทื่อเมื่ออาภรณ์ของเขาในช่วงล่างก็ถูกซิ่นเฉิงปลดเปลื้องเช่นกัน

“เจ้าช่างเกิดกำหนัดง่ายนัก” ซิ่นเฉิงเอ่ยเมื่อเห็นความแข็งขืนของแก่นกายคนตรงหน้า

เป็นใครจะไม่เกิดบ้างเล่า ในเมื่อเจ้ามายั่วยวนข้ากะทันหันอย่างนี้น่ะ

เทพอสูรได้แต่เถียงในใจอีกแล้ว ก่อนจะเปิดปาก “เจ้าคิดทำการใดอยู่กันแน่”

ซิ่นเฉิงยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ปรกใบหน้า หัวคิ้วย่นยู่นั้นบ่งบอกถึงความหน่ายใจ
“ข้าเปลื้องผ้าตัวเองและเปลื้องผ้าเจ้า ยังไม่รู้อีกหรือว่าจะทำการใด”

รู้แล้ว...เทียนอี้รู้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วอย่างนี้ พลันก็ต้องชะงักงันไปเมื่อฝ่ามือหยาบกร้านของมนุษย์หนุ่มแตะลงมายังกลางของอวัยวะส่วนนั้นและกอบกุมเอาไว้ในมือ เมื่อจะเอ่ยปาก ก็พลันต้องเก็บคำพูดไว้เพราะซิ่นเฉิงจัดการปิดปากเขาด้วยการรูดรั้งแก่นกายเป็นที่เรียบร้อย มิหนำซ้ำยังกระถดถอยตัวลงต่ำ โน้มใบหน้าเข้าหา มอบจุมพิตร้อนเร่าให้อย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์

สิ่งนั้น...ทำให้เทียนอี้ปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง คราแรกเขาคิดว่าซิ่นเฉิงจะหลงใหลภาพลักษณ์อันงดงามของเขาเมื่อครั้งยังเป็นเทพ ในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ถึงได้ยินยอมปรนเปรอส่วนนั้นด้วยปาก ทว่าในยามนี้ เห็นทีคงจะไม่ใช่แล้ว ในใจของซิ่นเฉิงอาจจะมีความรู้สึกบางอย่างถูกปกปิดไว้อยู่ แม้จะไม่บอกเขา แต่เทียนอี้ก็รับรู้ได้ว่าซิ่นเฉิงนั้น... มีใจให้กับเขา

เรื่องของเจี้ยนสือและหลิวซูมลายหายไปสิ้น เบื้องหน้าที่แต่ภาพอันงดงามของซิ่นเฉิงเท่านั้น เขาได้ยินเสียงหายใจกระเส่าของตน ขณะเดียวกันก็มีเสียงครางอย่างพึงใจในลำคอของซิ่นเฉิงระคนมาให้ได้ยินด้วย

มือยื่นไปประคองใบหน้าของอีกฝ่ายที่มีหยาดเหงื่อผุดพรายขึ้นมาพิศ แววตาและสีหน้าของเจ้าแมวป่าในยามนี้ช่างน่าพิศวาสยิ่งนัก แต่เหนือกว่านั้น เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าซิ่นเฉิงจะงดงามถึงเพียงนี้ ไม่ได้อ้อนแอ้นอรชร ไม่ได้น่าทะนุถนอมเช่นหลิวซู หากทว่าน่าหลงใหลเพราะเป็นซิ่นเฉิง...คนที่ใจเขารักใคร่จนไม่อาจพรรณนาออกมาเป็นคำพูด

“เฉิงเฉิง... ข้ารักเจ้า”

ถึงไม่อาจพรรณนา แต่สุดท้ายก็จำต้องเอ่ยบอก เป็นเพียงคำบอกความในใจอย่างเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใน เขาทนเก็บงำความรู้สึกนี้อีกต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว

ซิ่นเฉิงสบสายตา ดวงตาสีทองอำพันเต็มไปด้วยความซื่อตรง ในแววตานั้นมีเพียงภาพของบุรุษทะเลทราย ปราศจากเงาสะท้อนของคนรักในอดีตอย่างหลิวซูโดยสิ้นเชิง ซิ่นเฉิงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้ พลันก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็พลันชุ่นฉ่ำขึ้นมา ริมฝีปากหนาสั่นระริกเล็กน้อย เขาเองก็อยากจะบอกออกไปเหลือเกินว่าในยามนี้ปรารถนาจะที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับเทียนอี้เพียงใด แต่คำพูดของหมิงจูก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว

หากเขาถลำลึก... เทียนอี้ก็จะต้องประสบกับเคราะห์กรรมอันน่าเวทนา ส่วนเขาก็ต้องถูกพรากจากไปเพื่อที่จะมาบรรจบใหม่ในชาติหน้า อีกอย่าง...เขาคือหลิวซูกลับมาเกิด ต่อให้รักเทียนอี้ไปในยามนี้ ภายภาคหน้าเขาก็จะต้องรักเจี้ยนสือ และต้องวนเวียนอยู่ในบ่วงแห่งความทุกข์นี้อีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น การไม่เอ่ยปากบอกสิ่งใดออกไปนับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว แค่ในตอนนี้ เขาขอให้ได้เป็นตัวของตัวเองเท่านั้น

ขอให้เขาได้มีความรู้สึกนี้ต่อเทียนอี้เมื่อครั้งที่ยังเป็นซิ่นเฉิงอย่างสมบูรณ์...

ริมฝีปากของเทียนอี้ประกบมอบจุมพิตโดยมิอาจทัดทานต่อเสน่หา ฝ่ามือลูบไล้ไปตามผิวกายของมนุษย์หนุ่ม กระตุ้นเร้าไปทุกส่วนอ่อนไหว ความกำหนัดพร่างพรายจนซิ่นเฉิงไม่อาจทนกักเก็บไว้ได้ ปลดปล่อยออกมาเป็นน้ำเสียงกระเส่าที่เทียนอี้ฟังอย่างไรก็ไพเราะเสนาะหูนัก

ยิ่งได้ยินเสียงก็ยิ่งได้ใจด้วยซ้ำ เทียนอี้ยกสะโพกของซิ่นเฉิงขึ้นให้อยู่ในท่าคุกเข่า ส่งปลายนิ้วชำแรกเข้าไปยังช่องทางคับแคบทางด้านหลัง ควานไปทั่วจนแตะลงไปบนจุดชีพจรที่เชื่อมต่อกับความวาบหวาม

ธาตุไฟเข้าแทรกไปทั่ว ร่างกายร้อนรุ่มจนแทบมอดไหม้ ซิ่นเฉิงทนไม่ไหวอีกต่อไป เหลือบมองเทพอสูรที่หยอกเย้าร่างกายตน
“เทียนอี้ จงเป็นหนึ่งเดียวกับข้า”

สิ่งนั้น...เทียนอี้ก็อยากจะทำเช่นกัน การได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับซิ่นเฉิงคือความปรารถนาอันสูงสุดของเขาในยามนี้ แต่การเป็นหนึ่งเดียวกันคือการผูกมัด ในเมื่อซิ่นเฉิงต้องการจะไปจากเขา เหตุใดเขาจะต้องรั้งเอาไว้ด้วยความสัมพันธ์ทางกายกัน

“ข้าจะไม่กักขังเจ้าไว้ด้วยวิธีการนั้น”

มือก็พลันเปลี่ยนทิศทางมากอบกุมยังส่วนแข็งขืนของซิ่นเฉิงแทน ก่อนดึงรั้งให้แนบชิด ใช้มือข้างเดียวกันกอบกุมความเป็นบุรุษของตน โน้มใบหน้าลงมากระซิบยังข้างใบหู

“แต่ข้าก็ปรารถนาในตัวเจ้า... ปรารถนาทุกสิ่งที่เป็นเจ้า”

สิ้นเสียง มือก็ขยับไหว รูดรั้งแก่นกายทีละน้อยและทวีมากขึ้น เสียงหอบหายใจกระเส่าดังประสาน ไม่นานนัก ความสุขสมก็มาเยือนทั้งสองราวกับลมพายุที่พัดผ่านมาและสงบลงในไม่กี่อึดใจให้หลัง

ซิ่นเฉิงทิ้งตัวซบกับแผงอกของคนตรงหน้า ฝ่ามือลูบไปยังลำคอแกร่ง ดึงรั้งเส้นขนนุ่มเอาไว้ ปล่อยให้เทียนอี้ตระกองกอดเขาไว้ในอ้อมแขนแนบแน่น เอนกายลงนอนราบอย่างช้าๆ โดยไม่ยอมปล่อยให้ร่างของชายหนุ่มออกห่าง จึงกลายเป็นว่าซิ่นเฉิงนอนอยู่บนหน้าอกของเขาในตอนนี้

บาดแผลใดก็หาได้สร้างความเจ็บปวดเท่ากับการที่คนในอ้อมแขนจะจากไป เทียนอี้โอบกอดคลอเคลียไว้มั่น กระนั้นก็เป็นไปอย่างทนุถนอมราวกับชายหนุ่มฉกรรจ์ผู้นี้เป็นลูกแก้วน้ำงาม

แม้จะอยากเอ่ยปากบอกให้เทียนอี้หยุดกระทำเช่นนี้ แต่ความรู้สึกดีที่แผ่ซ่านออกมาจากเจ้าของอ้อมแขนนั้นก็ทำให้ซิ่นเฉิงยอมนอนอิงแอบไปแต่โดยดี พลันอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าอ้อมกอดนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก แต่ความเหนื่อยอ่อนทำให้เขาปิดเปลือกตาลงก่อนค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา ไม่ขบคิดเรื่องราวใดๆ อีก ปล่อยให้เทียนอี้ขับกล่อมให้หลับใหลด้วยเสียงลมหายใจเบาบาง
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[17/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 19-09-2017 16:56:55
บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[2]

“ไปให้พ้นหน้าข้า ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก!”

เสียงโวยวายดังลั่นประหนึ่งจะพังสวรรค์ให้เป็นจุณดังออกมาจากปากของแม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือ ดวงตาคมประกายวาวมองคนที่นั่งหมอบบนพื้นเบื้องหน้าอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ ขณะที่เทพชั้นผู้น้อยอันเป็นชนวนเหตุของความกราดเกรี้ยวตัวสั่นเทา มือคว้าเอาเศษซากมวลบุปผชาติที่ตั้งใจจัดใส่ตะกร้ามารวมกันเป็นกองเดียวพัลวัน ก่อนที่น้ำเสียงสั่นระริกจะดังขึ้น

“ขะ...ข้าน้อยขออภัย หลิวซูผู้นี้หาได้ตั้งใจทำให้ท่านแม่ทัพขุ่นเคืองไม่”

ท่าทางหวาดกลัวนั่นดูน่าสงสารยิ่งนัก กระนั้นก็หาได้ทำให้เจี้ยนสืออารมณ์เย็นลงได้เลย กลับกัน... ทำให้เขาเดือดดาลมากขึ้นไปอีก

“หึ! ไม่ตั้งใจทำให้ข้าขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือ? เจ้ามันช่างไม่เจียมตัว เป็นเพียงเทพในโรงครัว ริอ่านจะเทียบเคียงแม่ทัพสวรรค์อย่างข้า จะกำแหงไปหน่อยแล้ว!”
“ข้า...ข้าน้อยขออภัยขอรับ ข้าน้อยช่างโง่เขลานัก ไม่เจียมตัวถึงได้ทำให้ท่านแม่ทัพระคายใจ”

ยิ่งถูกก่นด่าก็ยิ่งก้มหน้ารับความผิด ทั้งที่ความผิดของเขานั้นน้อยนิดยิ่งนัก สิ่งนั้นเริ่มจากการที่หลิวซูหลงรักใคร่แม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือจนไม่อาจกักเก็บความปรารถนาไว้ได้ ในใจของเขานั้นใคร่จะบอกความนัยไป จึงไปเก็บดอกไม้สวรรค์มาร้อยเรียงลงในตะกร้าสานเพื่อนำไปมอบให้ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เหล่าเทพธิดากระทำเมื่อมีใจเสน่หาเทพหนุ่มองค์ใด นั่นก็เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎสวรรค์ ทว่าก็มีการลักลอบทำกันอยู่เป็นเนืองนิตย์ หลิวซูกระทำเช่นนั้นเพราะเผลอไผลคิดไปเองว่าเจี้ยนสือคงจะใจดีดังเช่นเทียนอี้ แม้ไม่มีใจปฏิพัทธ์แต่ก็คงจะรับตะกร้าบุปผชาติไว้ด้วยความยินดี ดังนั้นถึงเหาะมาถึงสวรรค์ชั้นสิบสอง นำมามอบให้ถึงตำหนัก เพราะเหตุนี้ เจี้ยนสือถึงได้บรรลุแก่โทสะ คว้าตะกร้านั่นมาขว้างทิ้ง อีกทั้งสบถด่าทออย่างไม่ไว้หน้า

“ไม่เพียงแต่เจ้าจะทำให้ข้าระคายใจ ยังทำให้ข้าอยากจะดับดวงจิตของเจ้าให้เป็นเถ้าธุลีอีกด้วย เจ้าเทพไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! เทพนั้นมิอาจมีรัก เจ้าลืมไปแล้วหรือไร แล้วนี่เจ้ายังเป็นบุรุษ อีกทั้งยังต่างชั้นต่างบารมีจากข้าอยู่โข กล้าดีอย่างไรกัน!”

ไม่แปลกหากเจี้ยนสือจะโกรธเกรี้ยว เขาเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ต่างๆ ของสวรรค์ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ทหารเทพองค์ใดในการดูแลละเมิดกฎเพียงเล็กน้อย เขาก็หาได้ปรานีทั้งสิ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ถูกเปรียบเทียบดั่งอสรพิษร้าย

“ขะ...ข้าน้อยขออภัย” หลิวซูทำอะไรไม่ได้นอกจากจะคุกเข่าคำนับจนหน้าผากติดพื้น พร่ำพูดคำเดิมไม่หยุดหย่อน
ทว่าก็หาได้ทำให้เจี้ยนสือระงับโทสะได้เลยแม้แต่น้อย
“กล้าละเมิดกฎสวรรค์ถึงเพียงนี้ หนำซ้ำยังทำให้ข้าอับอาย ข้าคงจะปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้”

อับอายที่ว่านั้นหมายถึงเพราะหลิวซูเป็นเทพบุรุษ การถูกอีกฝ่ายรักใคร่หาใช่เรื่องยินดี ขนาดเหล่าเทพธิดาที่เคยหลงใหลกับรูปโฉมของเขา เจี้ยนสือยังไม่ไว้หน้า ประสาอะไรกับหลิวซูกันเล่า

พูดจบก็สะบัดมือ อาวุธประจำกายก็ปรากฏขึ้นมา หลิวซูกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาไม่ได้คาดหวังให้เป็นเช่นนี้ เห็นทีการเป็นเทพของเขาคงดับสูญแต่เพียงเท่านี้แน่

แต่สวรรค์ก็หาได้ไร้เมตตาขนาดนั้น เทียนอี้ที่แวะเวียนลงไปยังโรงครัวสวรรค์ไม่พบเจอหลิวซูจึงกลับมายังเบื้องบนและแวะเวียนไปหาเจี้ยนสือ หมายจะร่ำสุราทิพย์เป็นการแก้เบื่อเข้ามาเห็นสหายกำลังบันดาลโทสะใส่หลิวซูพอดีก็รีบปรี่เข้าไปห้ามปราม
ดาบของเจี้ยนสือสะบัดลงมา ดาบของเทียนอี้ก็เข้าสกัด เสียงของโลหะกระทบดังกัมปนาท ครั้นเจี้ยนสือเหลือบมอง เทียนอี้ก็เปิดปากออกมาพลัน

“เกิดเหตุอันใดขึ้น ไยเจ้าต้องลงไม้ลงมือกับซูซูถึงเพียงนี้!”
ฟังดูก็รู้ว่าไม่พอใจ แต่คนที่ไม่พอใจยิ่งกว่าคือเจี้ยนสือ
“เจ้านั่นนำตะกร้าบุปผชาติมามอบให้กับข้า เจ้าคิดว่าข้าเดือดดาลด้วยเหตุผลใดกันเล่า!”
เพียงเท่านั้น เทียนอี้ก็เข้าใจได้โดยพลัน ชำเลืองไปมองหลิวซูที่ยังคงตัวสั่นงันงก คุกเข่าอยู่ทางด้านหลังอย่างไม่เชื่อสายตา
“นี่เจ้าบอกไปหรือ?”

ไร้ซึ่งคำตอบจากหลิวซู มีเพียงใบหน้าซีดเผือดเท่านั้น

“หึ! ที่แท้เจ้าก็รู้กัน ในเมื่อเจ้ารู้ว่าหลิวซูละเมิดกฎสวรรค์ เหตุใดจึงไม่ห้ามปราม!” กลายเป็นว่าเจี้ยนสือเอาผิดกับสหายตนแล้ว
เทียนอี้ออกแรงผลักให้อีกฝ่ายออกห่าง จากนั้นถึงได้ลดดาบในมือลง
“เพราะข้าหาได้เห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงจึงไม่ได้บอกไป”
“ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอย่างนั้นหรือ? มันทำให้ข้าอับอาย เจ้าเข้าใจหรือไม่!? หากเทพองค์อื่นรู้ มีหวังข้าคงถูกนำไปเล่าขานเป็นเรื่องขบขันว่ามีเทพบุรุษมามีใจปฏิพัทธ์ด้วยเป็นแน่!”

ที่แท้ที่เจี้ยนสือโกรธนั้นหาใช่เรื่องการละเมิดกฎสวรรค์ แต่เป็นเพราะเขาห่วงชื่อเสียงของตนมากกว่า หลิวซูชะงักงันในตอนนี้ ในใจเจ็บปวดพร่างพราย เทียนอี้เข้าใจในสิ่งที่เจี้ยนสือพูดและเข้าใจอุปนิสัยหลงระเริงในบารมีของสหายเป็นอย่างดี แต่ทว่า...ใจของเขากลับเข้าข้างหลิวซูที่บัดนี้ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา

“ข้าก็เห็นว่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องหัวเสียถึงเพียงนี้แต่อย่างใด เจ้าใจเย็นลงก่อนเถิด ซูซูไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าขุ่นเคือง” ไม่เพียงแต่เข้าข้าง ยังแก้ตัวให้อีกด้วย

หากแต่เจี้ยนสือไม่ฟังอีกต่อไปแล้ว เขาหงุดหงิดเสียจนทนไม่ไหว ออกปากไล่อย่างไม่ไว้หน้า

“ข้าจะใจเย็นลงแน่เมื่อเจ้าลากเจ้าเทพนั่นออกไปจากตำหนักข้า และเก็บมวลบุปผชาติที่นำมาไปให้หมดสิ้น อย่าให้เหลือเศษซากด้วย!”

ยิ่งฟังก็เหมือนมีหนามทิ่มแทงลงมากลางใจ หลิวซูได้แต่ขานรับเสียงพร่าว่า ‘ขอรับ’ ขณะที่เทียนอี้ได้แต่เหลือบมองและพยายามจะพูดกับเจี้ยนสืออีกครั้ง

“เจี้ยนสือ เจ้าน่ะ...”
“ข้าจะออกไปข้างนอก หากกลับมาแล้วยังเห็นเจ้าอยู่ในตำหนักข้า อย่าหาว่าข้าไร้เมตตา”

พูดยังไม่ทันจบ เจี้ยนสือก็เอ่ยแทรกขึ้นมา อีกทั้งยังเป็นการพูดกับหลิวซู พลันก้าวเท้าเหยียบย้ำดอกไม้ทิพย์สีสดและบดขยี้มันเสียพินาศ เช่นเดียวกับใจของหลิวซูที่ถูกบดขยี้จนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี แต่นั่นยังไม่ทำให้เจี้ยนสือพอใจ ครั้นเห็นเทพชั้นผู้น้อยมองมายังเท้าของตน เขาก็พูดออกมา

“และจงจำไว้ให้ขึ้นใจ ต่อให้ผ่านไปอีกกี่ร้อยกี่พันปี ข้าก็จะไม่มีวันรักเจ้า เทพอย่างข้าจะไม่ลดตัวลงไปชายตาเทพชั้นต่ำเช่นเจ้าเป็นอันขาด ข้าจะไม่ละเมิดกฎสวรรค์เพื่อเจ้า”

สิ้นเสียงก็เดินจากไป ปล่อยให้หลิวซูนั่งจมจ่อมอยู่กับความผิดหวัง

ในคราแรกที่พบเจอเจี้ยนสือ เขาหาได้มีอุปนิสัยเช่นนี้มิใช่หรือ?

หยาดน้ำตาไหลอาบทั่วใบหน้า ก่อนจะหยดลงสู่พื้น หลิวซูใช้มือทั้งสองข้างกอบเอาเศษซากของดอกไม้ทิพย์ใส่ในตะกร้าที่คว่ำอยู่ตรงหน้า พยายามที่จะสะกดกลั้นความเสียใจไว้แล้ว แต่ไม่อาจทนได้ไหว

เทียนอี้เห็นแล้วก็เวทนายิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายเจ็บปวดมากกว่า พลันทิ้งตัวลงนั่งยองๆ ตรงหน้าหลิวซู หมายจะช่วยเก็บกวาดเศษซาก ทว่าก็ถูกอีกฝ่ายปรามเอาไว้เสียก่อน

“ท่านแม่ทัพเทียนอี้ไม่ต้องช่วยข้าน้อยหรอกขอรับ ประเดี๋ยวมือของท่านจะเปรอะเปื้อน”
“ไม่เป็นไร” เขาว่าเสียงแผ่ว นั่นยิ่งทำให้หลิวซูร้องไห้หนักมากขึ้นไปอีก
“เพราะข้าจุติจากวิญญาณชั้นต่ำ เมื่อเป็นเทพก็มีตบะไม่แก้กล้า กิเลสตัณหายังคงหลงเหลือ ทำให้มิอาจหักห้ามใจได้ จึงเป็นที่ระคายใจให้แก่ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ ความผิดของข้าในครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก”

ถึงจะร้องไห้เสียจนใบหน้าดูไม่ได้ แต่ก็ยังงดงามในสายตาของเทียนอี้เสมอ เขาใคร่อยากจะซับน้ำตาให้อีกฝ่ายนัก และก็ต้องรวดร้าวในอกเสียจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงเมื่อหลิวซูเอาแต่โทษตนเอง
“เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าไม่ดีเอง เพราะข้าไม่เจียมตัว ต่อให้คนที่ข้ารักหาใช่ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือแต่เป็นเทพองค์อื่น ผลก็คงจะเป็นเช่นนี้”
“หากคนที่เจ้ารักเป็นข้า ข้าคงจะไม่ทำกับเจ้าเช่นนี้” เทียนอี้อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

คำที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรียกให้หลิวซูเหลือบมองใบหน้าของเทพตำแหน่งแม่ทัพใหญ่อีกองค์ สีหน้าของเทียนอี้บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้พูดไปอย่างนั้น ...สิ่งที่เขาพูดนั้นสัตย์จริง ก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมมากุมมือของหลิวซูที่อยู่บนพื้น
“หากคนที่ใจของเจ้าปรารถนาเป็นข้า ข้ายินดีที่จะสละทุกสิ่งเพื่อทำให้เจ้ามีความสุข”

หลิวซูมองคนพูดอย่างตะลึงงัน ก่อนที่เทียนอี้ดึงร่างนั้นเข้ามากอด เสียงร่ำไห้ของเทพชั้นผู้น้อยดังก้องไปทั่วตำหนักของเจี้ยนสือราวกับจะขาดใจ เขาช่างโง่เขลานัก ไยไม่เคยมองเห็นเทียนอี้อยู่ในสายตามาก่อน หากเขามีใจปฏิพัทธ์ต่อเทพผู้นี้ ดวงใจของเขาคงไม่ย่อยยับป่นปี้เป็นแน่ แต่ตอนนี้สายไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรในใจก็มีแต่เจี้ยนสือ

ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ออกจากปากของเทียนอี้ เขาไม่ได้คาดหวังสิ่งใดตอบแทนจากการกระทำนี้ มีเพียงอยากจะปลอบประโลมคนในอ้อมแขนด้วยใจจริงเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แขนทั้งสองข้างนี้ก็ยินดีที่จะโอบกอดยอดดวงใจไว้ตราบนิรันดร์...
------------------------
เต็มตอนมาแล้วค่ะ เมื่อวานแอบอู้ไปนิด 555
ตอนนี้พี่หมาน่าน้วยมากเลยโดนนุ้งแมวน้อยซะหนำใจ
ตอนหน้าน่าจะเฉลยปมชาติแรกทั้งหมดค่ะ ตอนที่ 21 เริ่มปมชาติที่สอง ปมซับปมซ้อนมากๆ 555



ตอนใหม่เจอกันพรุ่งนี้นะคะ
ป.ล.หนูแดงกำลังเริ่มเขียนเรื่องใหม่อีกเรื่อง เป็นแนวพีเรียดเกาหลี พระเอกเป็นท่านหมอ
ส่วนนายเอกเป็นแม่ทัพค่ะ เรื่องนี้จะเป็นแนวอิงประวัติศาสตร์หน่อย ใครชอบแนวนี้ไปตามอ่านกันได้ที่นี่นะคะ
เรื่องนี้หวานจนตัวแตกตาย เอาให้เบาหวานขึ้นตากันไปข้าง 55 >> 우리 영원히✶สวรรค์มิอาจพราก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61994.msg3705909#msg3705909)
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[19/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-09-2017 20:16:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[19/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 19-09-2017 20:41:38
เจ้าหมา น่ารัก น่าฟัด อยากไปฟัดด้วย
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[19/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-09-2017 20:54:04
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[19/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-09-2017 09:55:11
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[19/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-09-2017 01:23:37
ได้แต่ถอนหายใจ อ่านแล้วเครียดจังค่ะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[19/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 21-09-2017 18:37:30
เป็นหลิวซูจริงๆหรอ โอยยยย
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[19/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-09-2017 08:38:51
บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ

เทียนอี้กกกอดซิ่นเฉิงให้หลับใหลไปในอ้อมแขนแกร่งของตนตลอดทั้งคืน ครั้นตื่นมา ซิ่นเฉิงก็ระลึกชาติได้ว่าเหตุใดตนถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเทียนอี้นัก นั่นเป็นเพราะเมื่อชาติแรก เขากับเทียนอี้มีสายสัมพันธ์เกาะเกี่ยวกันอย่างมิอาจตัดขาด ถึงกระนั้นก็ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าในใจของเขารักใคร่ใครอีกคนเมื่อได้พบหน้ากับเจี้ยนสืออีกคราในวันที่กองทัพจะยาตราสู่ทะเลทรายและมุ่งลงใต้

แท้จริงแล้ว ก้นบึ้งในจิตใจนั้น เขารักเจี้ยนสือต่างหาก...

ทว่าซิ่นเฉิงกลับปฏิเสธความรู้สึกนั้น เพราะนั่นเป็นความรู้สึกของหลิวซู หาใช่ของเขา แม้จะเป็นเทพชั้นผู้น้อยอันมีหน้าที่ในโรงครัวสวรรค์กลับมาเกิด แต่ซิ่นเฉิงก็บอกกับตนเองว่าคนที่เขาเป็นคือซิ่นเฉิง บุรุษแห่งทะเลทราย หาใช่เทพชั้นผู้น้อยผู้นั้นไม่
ครั้นบอกกับตนเองอย่างนั้นก็เก็บความรู้สึกหลากหลายไว้ในใจเพียงลำพัง แต่งกายและเตรียมตัวให้พร้อมสู่การกลับไปเหยียบยังดินแดนมาตุภูมิ

เครื่องประดับนักรบของเผ่าถูกสวมใส่ทุกชิ้นไม่เว้นแม้แต่เครื่องประดับผม เส้นผมยาวสลวยที่มักจะถูกปล่อยสยายเสมอถูกรวบขึ้นด้วยสองมือหยาบหนา ก่อนจะถักเป็นเปียยาว ใบหน้ายามเส้นผมถูกรวบรัดช่างสร้างความแปลกตาให้แก่ผู้พบเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเทียนอี้ที่จ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ซีกหน้าของชายหนุ่มหาได้งดงามน่าทนุถนอมเช่นหลิวซู อีกทั้งผิวพรรณก็หยาบกระด้าง เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผล กระนั้นกลับชวนให้มองเป็นอย่างมาก เสน่ห์ที่ไม่อาจเชื่อว่าจะมาจากบุรุษผู้นี้พร่างพรายออกมาราวกับละอองเกสรของบุปผาฟุ้งกระจาย แต่แล้วก็ต้องได้สติกลับคืนเมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามาหาพร้อมกับบางสิ่งในมือ

“สิ่งนี้ข้าคืนให้เจ้า”

นั่นคือเครื่องประดับผมของเผ่าที่มีเขี้ยวสุนัขป่าห้อยประดับ มันเป็นของที่เทียนอี้ได้มอบไว้ให้ เทียนอี้รับกลับคืนมา ทว่าก็ไม่ได้เก็บไปอย่างที่ควรจะเป็น กลับเอาประดับผมข้างกับเครื่องประดับอีกชิ้นของซิ่นเฉิงเสียอย่างนั้น เมื่อเสร็จสิ้นถึงพูดขึ้น

“มันเป็นของเจ้า”
“ข้าไม่ใคร่รับไว้” แม้จะไม่ได้ใส่อารมณ์ แต่น้ำเสียงและใบหน้าก็บ่งบอกว่ารำคาญใจ

เทียนอี้ไม่ถือสา ยิ้มรับเล็กน้อย “อย่างไรเสีย ข้ากับเจ้าก็ไม่ได้เจอกันชั่วนิรันดร์แล้ว ถือว่าเป็นของต่างหน้าจากข้า หากเจ้าไม่ต้องการ ก็ทิ้งมันไป”

พอได้ยินเช่นนั้น คนดื้อดึงก็ไม่พูดอะไรต่อ ยิ่งได้สบสายตาของเทียนอี้ด้วยแล้ว ในใจของเขาก็ปวดแปลบขึ้นมา

ไม่ได้เจอกันชั่วนิรันดร์... คำนี้นั้นช่างบีบรัดหัวใจยิ่งนัก แม้ไม่ได้จากตาย แต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้เหลือแสน

ซิ่นเฉิงจึงไม่พูดอะไรอีก เดินไปหาพ่อบ้านเหลียงที่นำดาบวงพระจันทร์ประจำกายของเขาที่เทียนอี้เก็บไปมาคืนให้ บัดนี้ชายหนุ่มเป็นนักรบแห่งเผ่าทะเลทรายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ภาพที่เห็นนั้นคือตัวตนที่แท้จริงของซิ่นเฉิง เขาพอใจกับภาพสะท้อนของตนเองในยามนี้ แต่สำหรับเทียนอี้แล้ว มันช่างตอกย้ำว่าอีกฝ่ายหาใช่เจ้าแมวป่าในจวนของเขาอีกต่อไป กระนั้นก็ต้องเก็บความรู้สึกในใจไว้ ขณะที่เทียนอี้เองก็หาใช่เจ้าหมาของซิ่นเฉิงเช่นกันยามที่สวมเกราะแม่ทัพใหญ่ ดำรงตำแหน่งผู้นำทัพเคียงคู่เจี้ยนสือนำพลไปปราบปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวารี

ราวกับเรื่องราวในอดีตชาติวนกลับมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้พวกเขาจะพลาดพลั้งไม่ได้ เพราะโชคชะตาของพวกเขาแขวนไว้กับชะตาชีวิตของปีศาจตนนั้น หากทำสำเร็จ พรที่เหล่าเทพอสูรพึงได้คนละข้อก็จะสัมฤทธิ์ผล ความหวังที่จะได้กลับเป็นเทพยังมี จึงจำเป็นที่จะต้องชนะเท่านั้น

แต่กับเทียนอี้แล้ว เขาไม่ได้อยากใช้พรนั้นเพื่อกลับเป็นเทพ แต่อยากขอพรเพื่อให้ได้อยู่ครองคู่กับคนตรงหน้ามากกว่า ทว่า...ซิ่นเฉิงอยากกลับทะเลทราย เขาคงใช้พรเพื่อการนั้นไม่ได้

เขาไม่ได้เห็นแก่ตัวถึงขนาดต้องฝืนบังคับให้อีกฝ่ายอยู่กับตนโดยปราศจากความสุขเช่นนั้น หากซิ่นเฉิงจะอยู่กับเขา ก็ขอให้เป็นเพราะชายหนุ่มต้องการด้วยตนเองจะดีกว่า

คำอำลาไม่มีระหว่างทั้งสอง เทียนอี้ฝากฝังซิ่นเฉิงไว้กับพ่อบ้านเหลียงที่ดูแลทัพเสบียงกรัง ส่วนตนก็นำทัพทหารในจวนไปเป็นแนวหน้าคู่กับเจี้ยนสือ แม่ทัพอื่นๆ และเหล่ากุนซือต่างมาร่วมศึกในครั้งนี้ บรรดามนุษย์ซึ่งเป็นข้ารับใช้ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตาม ภายในกองทัพจึงมีแค่ซิ่นเฉิงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นมนุษย์

กระนั้นก็หาได้เป็นปัญหาเพราะซิ่นเฉิงไม่ได้ก่อกวนผู้ใด เขาเอาแต่ครุ่นคิดในใจเมื่อควบอาชาเหยียบย่างผืนทรายอันเป็นแผ่นดินเกิด

ไม่อยากกลับ...

เป็นเสี้ยวความคิดหนึ่งที่แวบเข้ามาในใจเท่านั้น ก่อนจะมลายหายไปเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเจี้ยนสือที่นำไพร่พลทหารจากสังกัดจวนตนเองมาสมทบ

ดวงตาคมชำเลืองมองมนุษย์หนุ่ม เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวเต็มยศก็รับรู้ได้ทันทีว่าซิ่นเฉิงคิดจะทำการใด และก็ไม่แปลกใจหากเทียนอี้จะปล่อยอีกฝ่ายไป ในใจคิดว่าดีเสียอีกที่ซิ่นเฉิงจากไปได้ เพราะเขาจะได้ไม่ต้องสับสนระหว่างชายหนุ่มผู้นั้นกับหลิวซูอีก
ชำเลืองมองเพียงครู่ก็ควบม้าจากไป ไร้ซึ่งถ้อยวจีใดทั้งสิ้นเช่นกัน ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ใส่ใจ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อฉับพลันก็รู้สึกว่าในใจปวดแปลบขึ้นมา

การเมินเฉยนั้น...ช่างสร้างความปวดร้าวยิ่งนัก

แต่ก็แสร้งทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความรู้สึกนั้นเป็นของหลิวซู เขาบอกกับตนเองไว้อย่างนั้น ก่อนที่จะเข้าร่วมขบวนทัพมุ่งหน้าลงดินแดนทางใต้ไป


 
ที่หมายของกองทัพคือการมุ่งหน้าลงใต้ แต่ที่หมายอันดับแรกของเทียนอี้คือการนำซิ่นเฉิงไปส่งยังเผ่าทะเลทรายที่ปักหลักอยู่ไม่ไกลจากแคว้นเฟิงฝู เพราะต้องใช้เส้นทางเดียวกันอยู่แล้วจึงไม่ได้รีบร้อน เมื่อพลบค่ำก็ออกคำสั่งให้ขบวนทัพหยุดเดินเท้า ก่อนจะสั่งทหารตั้งกระโจมเพื่อใช้พักผ่อนสำหรับค่ำคืนนี้

แม้จะต้องกลับทะเลทรายและกลายเป็นอื่น แต่เทียนอี้ก็ยังเรียกหาให้ซิ่นเฉิงมานอนร่วมกระโจม ในยามกลางวัน ดวงอาทิตย์ส่องแสงแผดเผาจนทะเลทรายผืนนี้แทบมอดไหม้เป็นจุณ แต่เมื่อราตรีกาลคืบคลาน ความหนาวเย็นกลับเข้าครอบงำราวกับจะแช่แข็งให้สิ่งมีชีวิตสูญสิ้น ซิ่นเฉิงเป็นมนุษย์ ต่อให้มีชีวิตอยู่ในทะเลทรายมาโดยตลอดแต่ก็ไม่อาจนอนค้างอ้างแรมกลางทรายเลยได้ จำเป็นต้องมีที่พำนัก

ชายหนุ่มก็หาได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่เข้าไปในกระโจมแม่ทัพใหญ่ในทันที หลังจากมื้ออาหารเย็นก็มานั่งหลบอยู่ยังมุมหนึ่ง ครั้นหาตัวไม่เจอ เทียนอี้ที่เพิ่งกลับถึงกระโจมหลังจากประชุมกับเหล่าแม่ทัพเสร็จก็เดินหาให้วุ่น ก่อนจะมาพบว่าซิ่นเฉิงนั่งเดียวดายอยู่ที่เนินทรายไม่ไกลนัก

“เดินทางมาทั้งวัน เจ้าไม่เหนื่อยหรือ?”

เดินตรงมายังอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยปากถาม เมื่อหันไปมอง ซิ่นเฉิงก็เห็นว่าบัดนี้เทียนอี้อยู่ในร่างของเทพสวรรค์ แสงจันทร์สาดส่องอาบแสง ความงดงามที่ปรากฏให้เห็นช่างเย้ายวนสายตานัก

ทว่า...ไม่ใช่ในยามนี้ ซิ่นเฉิงหาได้อยากชื่นชมอีกฝ่ายในอารมณ์นี้

ในอารมณ์ที่ตอกย้ำตลอดว่าพวกเขาจะต้องพรากจากกันตลอดกาล...

เห็นคนตรงหน้าไม่ตอบ เทียนอี้ก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะพูดออกมาอีก

“ราตรีนี้เหน็บหนาวนัก ยิ่งอยู่กลางทะเลทราย สายลมก็หนาวกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เสื้อผ้าของเจ้าน้อยชิ้น หากนั่งอยู่เช่นนี้ ข้าเกรงว่าเจ้าจะป่วยไข้เอา”

ที่มานั่งด้วยเป็นเพราะห่วงเรื่องนี้นั่นเอง

“ข้าเกิดและโตที่ทะเลทรายมาทั้งชีวิต หากป่วยไข้ง่ายๆ ข้าคงไม่มีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้” น้ำเสียงแหบห้าวตอบกลับไป

เทียนอี้รู้ว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไร ซิ่นเฉิงก็ไม่มีวันที่จะเชื่อฟัง ดังนั้นจึงเอื้อมมือไปปลดเอาผ้าคลุมของตนออก แล้วตวัดคลุมร่างของคนข้างกายโดยไม่พูดพร่ำ

คนถูกจู่โจมหันมามองอย่างระวังตัว พอเห็นว่าสิ่งที่เทียนอี้ใช้คลุมกายเขาคืออะไรก็ชะงักงันไป

“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าราตรีนี้เหน็บหนาว เจ้าต้องรักษาความสมดุลของธาตุในร่างกายไว้”
“มอบผ้าคลุมแก่ข้า แล้วเจ้าไม่หนาวหรือไร”
“ข้าไม่เป็นไร หากหนาว ข้าจะกอดเจ้าเอง”

เป็นการเปิดโอกาสให้เทียนอี้เสียอย่างนั้น ซิ่นเฉิงมุ่ยหน้า ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะป้อคำหวานใส่เช่นนี้ ออกจะรู้สึกประดักประเดิดไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ขณะที่เทียนอี้พูดไปตามใจคิดเป็นเพราะตระหนักว่าอีกไม่นานก็จะไม่ได้พบพาน ดังนั้นเขาจึงขอกระทำตามใจตนเอง

“ข้าว่าข้าเริ่มหนาวขึ้นมาแล้วล่ะ”

นั่งไปได้เพียงครู่เดียวโดยไร้ซึ่งบทสนทนา เทียนอี้ก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา ไม่รอให้ซิ่นเฉิงอนุญาตด้วยก็กระเถิบเข้ามารวบร่างแกร่งของมนุษย์หนุ่มไปโอบกอดไว้

แม้จะมีวรยุทธแต่ก็หาได้บอกปัด นอกจากจะหันไปส่งสายตาเขียวๆ ให้อย่างขุ่นใจ

“ได้ใจมากไปแล้วกระมังเจ้าหมา เห็นข้าใจดีด้วยหน่อย หาใช่ว่าเจ้าจะกอดข้าเมื่อใดที่ต้องการก็ได้”
“หากไม่ได้กอดเจ้าตอนนี้ ข้าจะได้กอดเจ้าตอนไหนกันอีก”

เทียนอี้เถียง ทั้งที่เป็นคนไม่ชอบถกเถียงแท้ๆ แต่ยามนี้กลับกลายเป็นคนเอาแต่ใจขึ้นมา

ซิ่นเฉิงก็หาได้รังเกียจหรอก เข้าใจความรู้สึกเทียนอี้ดี เขาเองก็อยากจะกระทำตามใจเช่นกัน ไหนๆ ก็จะไม่ได้พบกันอีกแล้ว แต่เมื่อคิดว่าหากกระทำตามใจจะเป็นการผูกรั้งเงื่อนที่คล้องระหว่างตนและเทียนอี้ให้แน่นยิ่งขึ้น เขาก็ไม่ยอมทำตามใจคิด ได้แต่นั่งนิ่งให้อีกฝ่ายกอดเท่านั้น

นั่งนิ่งๆ ยอมโดยง่ายก็ดีอยู่หรอก หากแต่เทียนอี้อยากให้ซิ่นเฉิงมีปฏิสัมพันธ์กับเขามากกว่านั่งเฉยเป็นรูปปั้นมากกว่า จึงได้ร้องบอกออกไป

“เจ้าจะไม่พูดคุยกับข้าหน่อยหรือ? นั่งนิ่งราวกับก้อนหิน แม้จะตัวอุ่น แต่ก็ทำให้ข้าอดคิดไม่ได้ว่าเจ้ามีแต่ร่างไร้วิญญาณ”
“คนกระทำตามใจตนเองเช่นเจ้ามีหน้ามาพูดอีกหรือไร” ซิ่นเฉิงค้อนขวับ ท่าทางเอาเรื่องนั้นช่างน่าเอ็นดูในสายตาของเทียนอี้เหลือเกิน

“ข้าคงได้กระทำตามใจกับเจ้าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะใจดีกับข้าบ้างไม่ได้หรือ? ก็รู้อยู่แก่ใจว่าข้าคิดกับเจ้าเช่นไร”

คราวนี้เปิดเผยความในใจออกมาอย่างไม่ปกปิด คำพูดที่เทียนอี้ได้เอ่ยไว้เมื่อราตรีก่อนผุดพรายขึ้นในหัว

ข้ารักเจ้า... ไยซิ่นเฉิงจะจำไม่ได้กัน

คิดแล้วในอกก็เต้นระส่ำขึ้นมา ขณะที่เทียนอี้เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ใบหูแล้วกระซิบเสียงพร่า
“หรือจะต้องให้ข้าบอกอีกทีว่าข้ารักเจ้า?”

คนถูกกระซิบใส่ยื่นมือไปดันใบหน้าหล่อเหลาของอดีตเทพสวรรค์ออกห่าง
“อย่าได้ใจให้มันมาก ตั้งแต่รู้จักกับเจ้ามา ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าช่างเจ้าเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้”

เจ้าเล่ห์จริงอย่างที่ถูกปรามาส กระนั้นเทียนอี้ก็หาได้สะทกสะท้าน เขาไม่ได้ทำเช่นนี้บ่อยนัก แต่เพราะคิดว่าไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้วในเวลานี้จึงไม่ปิดบังความต้องการของตนเองอีกต่อไป นั่นก็เพราะคิดว่าบางทีซิ่นเฉิงอาจจะเปลี่ยนใจ ไม่กลับไปยังทะเลทรายแล้ว

แต่ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ดวงหน้าของเทพอสูรผู้นี้ยามอยู่ในร่างอดีตเทพจะหล่อเหลาน่าเชยชมเพียงใด ทว่าซิ่นเฉิงก็ไม่ยอมใจอ่อน

“เงียบปากไปเสีย แล้วอยู่เฉยๆ ข้ามีเรื่องให้ต้องขบคิด”

เรื่องนั้นก็คือเรื่องของเทียนอี้นั่นแหละ จู่ๆ มาทำให้เขาสับสนเช่นนี้มันใช้ได้เสียที่ไหนกัน ไหนจะความรู้สึกลึกๆ ของหลิวซูที่มีต่อเจี้ยนสือจนมาทำให้เขาหวั่นไหวอีกล่ะ เป็นอย่างนี้ เขาก็ปวดศีรษะหนึบเสียจนแทบแตกเป็นเสี่ยงแล้ว

เทียนอี้ที่ถูกตัดเยื่อใยย่นปากเล็กน้อย ครั้งนี้อยู่ในร่างอดีตเทพเพราะต้องแสงจันทร์จึงแสร้งทำหูลู่เพื่อเรียกร้องความสงสารไม่ได้ จึงได้แต่ชำเลืองมองแล้วออกปากเรียกอีกฝ่ายเท่านั้น

“เฉิงเฉิง...”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
"เฉิงเฉิง..."
ก็ยังไม่ตอบรับอยู่ดี
“เฉิงเฉิง...”
“ข้าไม่เสวนากับเจ้า”

ยังไม่ทันจะได้พูดสิ่งใดต่อเลย ซิ่นเฉิงก็โพล่งออกมาเสียแล้ว ครั้นหันไปมองหน้า อีกฝ่ายก็ปั้นหน้าบึ้งตึงปั้นปึ่ง แสร้งไม่ยอมพูดจาอีกระลอก แม้กระทั่งถามว่า...

"เพราะเหตุใดกัน"

...พร้อมกับทำสีหน้าหงอยเหงา ส่งสายตาเว้าวอน ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ประสงค์

เทียนอี้ทั้งหมั่นไส้และมันเขี้ยวในคราวเดียวกัน เขาทำดีด้วยก็เพราะรักหรอก ที่อยากให้สนใจนั่นก็เพราะอีกไม่นานก็ต้องลาจาก ไยซิ่นเฉิงถึงได้ใจร้ายกับเขาถึงเพียงนี้กัน

มันเขี้ยวจนสุดจะทน ก่อนตัดสินใจเอื้อมมือไปจับซีกแก้มของคนข้างกายที่นั่งเหม่อมองไปยังท้องฟ้ามืดมิดเบื้องหน้า ออกแรงบิดเล็กน้อย ซิ่นเฉิงหันมามองตาขวางด้วยหงุดหงิด พลันสะบัดหน้าหนี ทว่าเทียนอี้ก็ไม่ยอมแพ้ คว้าแก้มนุ่มบนใบหน้าคร้ามมาไว้ในมืออีก คราวนี้ไม่ใช่เพียงข้างเดียว แต่ใช้มือสองข้างบิดทั้งสองแก้ม อีกทั้งออกแรงดึงยืดจนใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษทะเลทรายยืดย้วย อีกทั้งยังบานและกลมเหมือนตะกร้าสานสำหรับตากอาหารแห้ง

"อำอันไออ๋องเอ้า! (ทำอันใดของเจ้า!)"

ยิ่งริมฝีปากขยับส่งเสียงไม่ชัดเจนออกมา ใบหน้านั้นก็ดูน่าขบขันมากกว่าน่ากลัวเสียอีก

ช่างน่าเอ็นดูนัก เจ้าแมว...

น่าเอ็นดูจนทนไม่ไหว จนต้องประทับจุมพิตลงมาอย่างมิอาจหักห้าม ซิ่นเฉิงเบิกตาโตเล็กน้อยด้วยตกใจ ครั้นจะฟาดฝ่ามือที่มีลมปราณใส่ก็ยับยั้งไว้ได้ด้วยนึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้ายังบาดเจ็บอยู่ จึงได้แต่โวยวายเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระเท่านั้น

“เจ้าจะได้ใจมากเกินไปแล้ว! ประเดี๋ยวข้าก็ฆ่าเจ้าเสียหรอก!”
“หากจะต้องตายด้วยน้ำมือเจ้าในยามนี้ ก็คงเป็นความตายที่สุขล้ำ”

ไม่ยักรู้ว่าเทียนอี้จะยกยอป้อคำหวานได้ฉกาจถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นชายฉกรรจ์ แต่ซิ่นเฉิงก็อดร้อนวูบวาบที่ใบหน้าไม่ได้ เขาคงเป็นบ้าไปแล้วที่หลงเพ้อไปกับคำหยอดเมื่อครู่นั้น

แต่สำหรับเทียนอี้ สิ่งนั้นใช่เพียงคำหยอกเย้า เป็นความรู้สึกที่อยู่ด้านในซึ่งเขาเผยออกมาให้รับรู้ ก่อนมันจะทวีมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงหลุบสายตาหนีเล็กน้อย ใบหน้าไม่ได้แดงเรื่อเฉกเช่นดรุณีแรกแย้ม แต่อาการนั้นก็บ่งบอกว่ากำลังเขินอาย

ถึงกับครองสติไว้ไม่อยู่ด้วยซิ่นเฉิงน่าเอ็นดูเกินทน คว้าร่างของคนตรงหน้ามาประกบปากมอบจุมพิตให้อีกครั้งจนได้ ซิ่นเฉิงที่แม้จะขัดขืนบ้างในตอนแรกก็จำต้องยินยอมเมื่อได้ยินเสียงกระซิบพร่าเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหนาที่ฉกชิมรสหวานจากเรียวปากของเขาอยู่

“นอกจากเจ้าแล้ว จะมีผู้ใดที่ทำให้ข้าหลงใหลได้มากถึงเพียงนี้อีกกัน”

ที่หลุดพูดออกมาราวกับละเมออย่างนั้นเป็นเพราะในหัวลืมสิ้นไปหมดว่าดวงใจผูกรักมั่นกับหลิวซู ในเวลานี้ ในหัวของเขามีแต่ภาพใบหน้าของซิ่นเฉิงเท่านั้น และรักใคร่มากขึ้นทุกขณะอย่างไม่อาจยับยั้งได้อีกต่อไป

ซิ่นเฉิงเองก็เช่นกัน ต่อให้ไม่ได้พูดหรือเอ่ยความรู้สึกใด แต่เขาก็มั่นใจว่าความอบอุ่นที่อบอวลในอกนั้นเรียกว่าความเสน่หา
ดวงตาสบประสานเมื่อถูกจับจ้อง ก่อนเขาจะเอื้อนเอ่ยออกมาบ้าง

“ต่อให้เจ้ารั้งข้าไว้เพียงใด ข้าก็จะไม่อยู่กับเจ้า”

คำพูดร้ายกาจ หากแต่ดวงตาช่างหยาดเยิ้ม หากไม่ได้รับซึ่งชีวิตอมตะแล้วล่ะก็ เทียนอี้คงขาดใจตายเมื่อได้สบแววตาของซิ่นเฉิงในยามนี้เป็นแน่

“ข้าจะรั้งเจ้าไว้แค่ตอนนี้เท่านั้น ขอแค่ตอนนี้...จงเป็นของข้า มองแต่ข้า และมอบใจให้กับข้า”

เทพอสูรว่าอย่างเอาแต่ใจ ฉกชิมริมฝีปากของซิ่นเฉิงอีกครา ปลายลิ้นสอดเข้าไปเกี่ยวกระหวัดตักตวงความหวานล้ำราวกับว่านี่จะเป็นจุมพิตครั้งสุดท้าย ซิ่นเฉิงโอบแขนรอบลำคอ จูบตอบรับด้วยเสน่หา ไม่ว่าจะอยู่ในร่างของเทพอสูรหรืออดีตเทพ เขาก็ยินดีทุกครั้งที่ถูกเทียนอี้สัมผัสเรือนร่าง

ทั้งสองดื่มดำในมธุรสจุมพิต ไม่สนใจซึ่งสรรพเสียงรอบข้าง ปล่อยให้ความรู้สึกของก้นบึ้งในจิตใจได้ทำตามประสงค์

ใต้นภามืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์และหมู่ดาว บุรุษทั้งสองต่างมอบความรู้สึกผูกพันให้แก่กันโดยปราศจากสุ้มเสียง

ห่างไปจากบริเวณนั้นไม่ไกลนัก เจี้ยนสือที่กระสับกระส่ายมาตั้งแต่เมื่อหัววันจำต้องเดินตามหามนุษย์ผู้เดียวที่เดินทางร่วมขบวนทัพมาด้วยเพราะรู้ดีว่าสาเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยคือซิ่นเฉิง เขาอุตส่าห์แสร้งทำเมินเพราะไม่ต้องการรู้สึกหวั่นไหวด้วย แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเสียงในใจเขาเอาแต่ร้องเรียกหาอีกฝ่าย หากแต่เมื่อพบเจอก็กลับต้องยืนนิ่งค้างเป็นหิน

ภาพของบุรุษทะเลทรายผู้นั้นกอดก่ายแลกเปลี่ยนจุมพิตกับอดีตสหายสนิททำให้เขาขบกรามอย่างขุ่นแค้น มือทั้งสองข้างกำแน่นจนร่างกายสั่นเทิ้ม ภาพของหลิวซูผุดพรายขึ้นมา ขณะที่ในจิตใจดำดิ่งสู่ก้นบึ้งของความริษยาจนเขาคำรามออกมาในใจ

ไม่ว่าจะหลิวซูหรือซิ่นเฉิง ก็จะไม่มีผู้ใดเป็นของเจ้า!
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[19/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-09-2017 08:40:18
บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[2]

เมื่อครั้งได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่เทียนอี้และเจี้ยนสือทำผิดพลาดในศึกปราบปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวารี อีกทั้งยังแสร้งทำลายเมืองบาดาลเพื่อตบตา จนเป็นเหตุให้องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษด้วยการส่งเหล่าทหารในกองทัพไปจุติเป็นเทพอสูรยังดินแดนมนุษย์ ขณะที่แม่ทัพใหญ่ผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่ทั้งสองถูกตรวนขังไว้ในคุกโลกันต์ตราบนิจนิรันดร์ หลิวซูก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตั้งแต่บัดนั้น แค่ได้ยินว่าพ่อบ้านประจำโรงครัวสวรรค์ซึ่งมีหน้าที่คุมเสบียงกรังของกองทัพถูกลงทัณฑ์ด้วยเป็นหนึ่งในกองทัพของเทียนอี้และเจี้ยนสือ เขาก็ใจหายมากแล้ว พอได้ยินว่าเทพสวรรค์ทั้งสองต้องมีชะตากรรมเช่นไร ก็ยิ่งใจเสียมากขึ้นไปอีก
ถูกจองจำชั่วกัปชั่วกัลป์ เกิดไม่ได้ ตายไม่ได้ อยู่ต่อก็ไม่ได้ อย่างนั้นช่างทรมานกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า

เหนือสิ่งอื่นใด เทพทั้งสองที่ต้องโทษเป็นคนรักของเขา แม้ว่าความรักที่มอบให้นั้นจะต่างกัน กับเจี้ยนสือเป็นรักหมดใจโดยไม่หมายสิ่งตอบแทน กับเทียนอี้เป็นรักดั่งญาติมิตร แต่ไม่ว่าจะรักอย่างใด เขาก็ไม่อาจทนเห็นทั้งสองถูกจองจำทุกข์ทรมานอย่างนี้ได้

ดังนั้นหลิวซูจึงออกอุบาย รับหน้าที่เป็นคนส่งผลไม้ทิพย์ให้เทพทั้งสองยังคุกโลกันต์โดยอ้างว่าคงไม่มีเทพธิดาในโรงครัวสวรรค์องค์ใดหมายจะเหยียบย่างที่คุมขังแห่งนั้น เขาเป็นเทพบุรุษเพียงองค์เดียวในโรงครัวแห่งนี้จึงน่าจะเหมาะสมกว่า เท่านั้นก็หาได้มีผู้ใดขัด มอบหมายหน้าที่ให้เขารับผิดชอบแต่โดยดี

หลิวซูไปเยือนยังที่แห่งนั้น ครั้นได้เห็นสองเทพถูกตีตรวนพันธนาการ สารรูปไร้ซึ่งสง่าราศีเมื่อครั้งยังเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ หยดน้ำตามากมายก็ไหลพรากอาบใบหน้า ปากพร่ำบอกว่าจะหาวิธีช่วยทั้งคู่ออกมา หากแต่เทียนอี้ซึ่งเป็นห่วงหลิวซูมากกว่าสิ่งอื่นใดกลับห้ามปราม ทว่า...เจี้ยนสือกลับคิดเห็นในทางตรงกันข้าม

“ในเมื่อมันผู้นั้นอยากช่วย ข้าก็จะไม่ปฏิเสธ”
บทสนทนาเกิดขึ้นเมื่อคล้อยหลังหลิวซูไปแล้ว ทำเอาเทียนอี้ที่ถูกตีตรวนอยู่ข้างกันเหลือบมองใบหน้าของสหาย
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียวเจี้ยนสือ ความผิดของเจ้ากับข้าครานี้ก็นับว่าสาหัสมากพออยู่แล้ว ทำไพร่พลต้องประสบเคราะห์กันมากมาย อย่าคิดจะดึงซูซูเข้ามาเกี่ยวข้อง”

ถูกพูดอย่างนั้นใส่ ไยเจี้ยนสือจะไม่รู้กันล่ะว่าเป็นเพราะเทียนอี้มีใจปฏิพัทธ์ต่อเทพผู้นั้น เขารู้มานานแล้ว รู้มาตั้งแต่ที่เห็นอีกฝ่ายเทียวไปมาหาสู่ยังโรงครัว และที่เขาทำดีด้วยก็เพราะเห็นว่าหลิวซูเป็นที่เอ็นดูของสหายเท่านั้น เมื่อรู้ว่าหลิวซูมีใจปฏิพัทธ์ต่อตนถึงได้เปลี่ยนเป็นอื่น สำหรับเขา...สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวเขา ชื่อเสียง เกียรติยศ คือสิ่งที่ล้วนปรารถนามากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น การถูกจองจำเช่นนี้ช่างเสื่อมเกียรติ ถ้าจะต้องดับสิ้นหรือสูญสลาย อย่างน้อยก็ขอให้มีชื่อจารึกไว้ว่าแม่ทัพสวรรค์นามเจี้ยนสือผู้นี้หาได้ยอมศิโรราบให้แก่ผู้ใด ไม่เว้นแม้แต่องค์เง็กเซียนฮ่องเต้

“ในเมื่อเจ้านั่นหลงรักใคร่ต่อข้า ข้าก็จะใช้ให้เป็นประโยชน์”
เจี้ยนสือหาได้ฟังสักนิด ความมืดเข้าครอบงำจนหลงมัวเมาไปหมด พลันทำให้เทียนอี้ต้องส่งเสียงขู่ต่ำออกมา
“ข้าขอเตือนเจ้า...อย่ายุ่งกับหลิวซู”

มีเพียงรอยยิ้มร้ายผุดพรายบนใบหน้าเจี้ยนสือเป็นคำตอบเท่านั้น เขาไม่ตอบรับว่าจะฟังคำหรือไม่ แต่รอยยิ้มนั่นล่ะคือคำตอบแล้ว

เมื่อตั้งใจเช่นนั้น เจี้ยนสือก็อ่อนโยนกับเทพชั้นผู้น้อยผู้นี้ราวกับพลิกฝ่ามือ จากที่เคยรังเกียจเดียดฉันท์ก็สนทนาพาทีด้วยถ้อยคำหวาน แม้ทุกครั้งจะถูกเทียนอี้ขัดและคอยเตือน แต่หลิวซูซึ่งเป็นเทพไร้เดียงสากลับมีใจเอนเอียงไปทางเจี้ยนสืออย่างมิอาจหักห้าม

ครั้นหลงกลในเล่ห์เพทุบายก็กำแหงถึงขั้นลักขโมยเอาคฑาดอกบัวทองคำของเจ้าแม่ซีหวังหมู่มาปลดผนึกให้กับเทพทั้งสอง กับเจี้ยนสืออาจเป็นเรื่องดี แต่กับเทียนอี้แล้ว เขาหาได้เห็นด้วยสักนิด เมื่อเห็นว่าหลิวซูกระทำการเช่นนี้ก็ต่อว่าออกมาอย่างหัวเสีย ขณะที่เจี้ยนสือหลบหนีไปทันทีที่เป็นอิสระ ไม่ใคร่สนใจหลิวซูอีกต่อไป จะมีก็แต่เทียนอี้เท่านั้นที่ไม่ยอมไปจากสวรรค์ด้วยเป็นห่วงเทพชั้นผู้น้อยองค์นี้

“เจ้าทำเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าผิดกฎสวรรค์ โทษของการปลดปล่อยนักโทษเป็นอย่างไร ไม่รู้หรือ?”

รู้สิ...รู้ มันคือการที่ดวงจิตของเทพต้องดับสูญ

“เจ้าถูกเจี้ยนสือล่อลวงแล้ว รู้บ้างหรือไม่!?”

ประโยคต่อมาอาบไปด้วยความไม่พอใจ เรื่องนั้น...หลิวซูก็รู้ดี ก่อนที่หยาดน้ำตามากมายจะไหลอาบใบหน้า

“ข้ารู้ว่าท่านแม่ทัพเจี้ยนสือหลอกใช้ข้า แต่ที่ข้าทำไปก็เพราะข้ารักเขาจนมิอาจหักห้ามใจตนเองได้ ครั้นเห็นเขาต้องทนทุกข์ทรมาน ข้าก็เจ็บร้าวไปทั้งอก แม้แต่เห็นท่านต้องถูกจองจำ ข้าก็มิอาจทนมอง ต่อให้รู้ว่าผิดหรือจะต้องดับสูญ ข้าก็ไม่สนทั้งนั้น ขอแค่ให้พวกท่านปลอดภัย”

ไม่ใช่ให้เทียนอี้ปลอดภัยหรอก แค่เจี้ยนสือผู้เดียวต่างหาก

เทียนอี้รู้ดีว่าสิ่งที่หลิวซูทำนั้นเป็นไปเพื่อใคร เขาขบกรามแน่น ไม่เคยโกรธเคืองสหายผู้นี้เลยตั้งแต่จุติมา หากแต่ครั้งนี้กลับขุ่นแค้นในความเห็นแก่ตัวของเจี้ยนสือยิ่งนัก ทว่าก็หาทำสิ่งใดได้นอกจากพาหลิวซูหลบหนีเท่านั้น

“ไปกับข้า ข้าจะปกป้องเจ้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ถึงจะไม่อยากไปด้วยรู้ว่าตนจะกลายเป็นตัวถ่วงให้เทียนอี้ได้หลบหนีลำบาก กระนั้นก็จำต้องไปด้วยถูกสั่งแกมบังคับ

แต่...เพียงเทพชั้นสูงที่ถูกปลดระวางจากตำแหน่ง ไยจะสู้อภินิหารขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ได้ เมื่อพระองค์ใช้เนตรทิพย์มองเห็นการกระทำของเทพทั้งสามในการปกครอง ก็พลันส่งเทพองค์อื่นมาจับกุม ต่อให้หนีไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียวก็มิอาจหนีได้พ้น

เทียนอี้และหลิวซูถูกจับตั้งแต่ยังหนีไม่พ้นเขตสวรรค์ เจี้ยนสือที่หลบหนีไปเกือบถึงแดนมนุษย์ยังถูกลากตัวกลับมา โทษทัณฑ์ของการตระบัดสัตย์ อีกทั้งยังพดเท็จสร้างเรื่องหลอกลวงนับว่าหนักหนาแล้ว แต่การหลบหนีออกจากคุกโลกันต์นั้นร้ายแรงยิ่งกว่า และความผิดฉกรรจ์จะตกอยู่ที่ใครไม่ได้นอกเสียจากหลิวซู

โทษนั้นคือต้องสูญสลาย ดวงจิตกลายเป็นผุยผง ดับสิ้นไม่ได้เวียนว่ายตายเกิดอีก ทว่า...ด้วยเห็นว่าที่ทำไปเป็นเพราะมีรัก
เทียนอี้มีรักให้หลิวซู หลิวซูมีรักให้เจี้ยนสือ ขณะที่เจี้ยนสือรักเพียงตนเอง

แต่เทพมิอาจมีรัก... นั่นเป็นกฎ ความผิดย่อมต้องทวีคูณ

หากให้ดับสูญไปคงจะง่ายดายนัก องค์เง็กเซียนฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้หลิวซูไปจุติเป็นมนุษย์ เพื่อให้ได้กลับมารักและผูกพันกับเจี้ยนสือและเทียนอี้อีก ต่อให้ความทรงจำลบเลือนก็มิอาจช่วยการใดได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาบรรจบ ส่วนสองเทพได้รับการให้อภัยจากการจองจำตราบนิรันดร์ให้จุติเป็นเทพอสูร รูปลักษณ์สวยงามแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์

ทว่า...นั่นหาใช่ความเมตตาขององค์เง็กเซียนไม่ พวกเขาจะต้องหมุนเวียนมาพบกับหลิวซูอีกครั้ง และทนทุกข์ทรมานกับบ่วงที่ผูกรัดคอของทั้งสาม

ความตายจะพลัดพราก ความรักจะสร้างทุกขเวทนาแสนสาหัส และวนเวียนไม่รู้จบสิ้นตราบนิรันดร์

สิ่งนั้น...ทรมานสาหัสสากรรจ์เสียยิ่งกว่าถูกจองจำในคุกโลกันต์เสียอีก

แต่นั่นคือสิ่งที่สวรรค์ลิขิตมาแล้ว ผู้ใดก็มิอาจฝืน

จนกว่าสวรรค์จะเมตตา เมื่อนั้นใจของทั้งสามคงได้เป็นอิสระจากกัน...
-------------------------
ไหนใครว่าพี่งูเป็นพระรอง อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว มันเป็นตัวร้ายชัดๆ 555

ช่วงนี้หนูแดงจะอัปช้านิดนึงนะคะ ต้องไปเร่งปิดต้นฉบับอีกเรื่องนึงให้ออกทันงานหนังสือก่อน
แต่จะพยายามไม่ดองนานนะ แค่ไม่ได้อัปทุกวัน มาวันเว้นวันเฉยๆ ไรงี้ รอกันหน่อยเน้อ
เย็นนี้จะมาแปะตัวอย่างตอนหน้าให้นะคะ ฝากฟีดแบ็กให้ล่วยยย
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[22/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 22-09-2017 09:18:11
โอ้พี่งูทามมายทามอย่างงี้งี้งี้
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[22/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-09-2017 12:34:10
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[22/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: หมามุ้ย ที่ 22-09-2017 12:43:27
สนุก  o13
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[22/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kawaiichibi ที่ 22-09-2017 13:48:19
เคยเชียร์พี่งู แต่ตอนนี้เชียร์หมาน้อยแล้ว พี่งูนิสัยไม่ดีเอง ชิชิ :beat: :beat:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[22/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 22-09-2017 16:00:44
พี่งูคะใจน้องตอนแรกสู้สุดใจเลยนะนั่งวิดน้ำกลัวเรือล่ม   แต่สัมผัสได้ตอนนี้เหมือนน้ำปริ่มจะมิดหัวเเล้วค่ะเหมือนพี่งูจะคว่ำเรือด้วยตัวเอง โถ่!!!!!!   รอติดตามกันต่อไป
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[22/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-09-2017 18:18:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[22/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 22-09-2017 21:27:11
พี่งูเอ๋ยยยย คะแนนติดลบไปแล้วตอนเนน้ ว่ายน้ำกลับเรือพี่หมาดีกว่า ดูท่าว่าจะไม่ล่มมมม  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[22/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-09-2017 22:35:53
พวกตำแหน่งสูง ๆ นี่ต้องไร้หัวใจ โหดร้าย เลือดเย็นใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[22/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Mengjie_JJ ที่ 22-09-2017 22:41:00
ตอนนี้ไม่ชอบเฉิงเฉิงละ

เอาให้แน่นะ ชอบพี่หมาก็ต้องชอบแค่พี่หมาพอ

อย่าหลายใจ

 :katai1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[22/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-09-2017 20:19:55
แล้วพี่งูค่อยมาหลงรักหลิวซูในโลกมนุษย์ใช่ไหม บนสวรรค์ไม่รัก  :ling1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[22/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-09-2017 09:07:30
บทที่ 21: สัตว์เลือดเย็น[1]

แม้จะถูกหลอกใช้และทำร้ายจิตใจอย่าวแสนสาหัส แต่หลิวซูก็มิอาจจะเกลียดชังเจี้ยนสือได้ ด้วยหัวใจที่มีแต่รักในแม่ทัพสวรรค์องค์นั้นเต็มเปี่ยม ครั้นอุบัติมาเป็นมนุษย์ เขาก็ยังคงรักเจี้ยนสือไม่เสื่อมคลาย รักเสียจนปฏิเสธที่จะดื่มกินน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อลบเลือนความทรงจำ ด้วยต้องการจะจดจำเจี้ยนสือเอาไว้

ทว่า...ถึงจะไม่ดื่มกินน้ำแกงยายเมิ่ง แต่เจี้ยนสือซึ่งบัดนี้อุบัติมาเป็นเทพอสูรก็ไร้ซึ่งรูปลักษณ์ดั้งเดิมให้จดจำ ร่างกายสวยงามอันเป็นที่ภูมิใจมลายสิ้น แปรเปลี่ยนเป็นครึ่งมนุษย์ ครึ่งงูจงอาง สร้างความขนลุกขนพองให้กับผู้พบเห็นยิ่งนัก ไม่ว่ามนุษย์ใดได้พบพานก็เป็นอันต้องนิ่งค้างเป็นหินด้วยหวาดเกรงทุกครั้งไป ขณะที่เจี้ยนสือรังเกียจภาพลักษณ์ของตนในยามนี้สุดขั้วหัวใจ

เพราะมีจิตใจน่ารังเกียจ เห็นแก่ตัว เจ้าเล่ห์เพทุบาย เป็นอสรพิษร้ายที่คร่าชีวิตผู้อื่นได้โดยไม่สนใจไยดีเพียงเพราะประโยชน์ของตนเอง ครั้นอุบัติมาเป็นเทพอสูรจึงกลายเป็นเช่นนี้

แม้เวลาจะล่วงผ่านไปหลายร้อยปี เจี้ยนสือก็มิอาจรับสภาพตนที่เป็นเช่นนั้นได้ เอาแต่กักขังตนเองอยู่ในจวน แม้จะถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฟิงฝู แต่เขาก็หาได้สนใจปฏิบัติหน้าที่ไม่ วันหนึ่งๆ เอาแต่ร่ำสุราเมรัย ตัดพ้อต่อว่าสวรรค์ที่ลงโทษเขาได้ทุกข์ทรมานแสนสาหัสเช่นนี้

กระทั่ง...หลิวซูกลับมา

บุตรชายสกุลหลิวอันเป็นตระกูลคหบดีจากแคว้นข้างเคียงเป็นตัวแทนบิดานำโอสถมาแลกเปลี่ยนกับน้ำดื่มที่แคว้นเฟิงฝู เมื่อมนุษย์พอจะคุ้นเคยกับเหล่าเทพอสูรที่มายึดเอาดินแดนอันสมบูรณ์ไปเป็นของตน การแลกเปลี่ยนต่างๆ ก็ถือกำเนิดขึ้น

หลิวซูในร่างมนุษย์ที่ยังมีความทรงจำเมื่อครั้งเป็นเทพชั้นผู้น้อยใจเต้นระส่ำนักที่จะได้เจอกับผู้เป็นที่รัก เมื่อจัดการหน้าที่ของตนเสร็จก็ตามหาเจี้ยนสือ หากแต่ก็ต้องผิดหวังที่เห็นเจี้ยนสือเปลี่ยนผันไปจากเดิม

ไม่ใช่รูปลักษณ์...แต่เป็นความโอหังอวดดีที่เคยมีมาแต่ก่อน

บัดนี้เขากลายเป็นเพียงเทพอสูรที่วันๆ เอาแต่เมาหัวราน้ำ หลิวซูไม่อาจทนเห็นภาพนั้นได้ไหว หากแต่ครั้นยื่นมือเข้าไป กลับถูกปัดป้องอย่างไม่ไยดี

“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า เจ้าคงสมเพชข้ามากสินะถึงได้เสแสร้งทำดีกับข้าเช่นนี้!”
เสียงไหสุราขว้างลงพื้นเสียจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงดังระคนกับเสียงตะคอกลั่น หลิวซูมองใบหน้างูจงอางของอีกฝ่ายด้วยแววตายากจะอ่าน ก่อนขยับริมฝีปากขึ้น

“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ ข้าน้อยหาได้เคยเสแสร้งกับท่าน”
“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด! มายุ่งวุ่นวายกับข้า เจ้าต้องการสิ่งใด! ล้างแค้นหรือ? ฮึ! ได้! ที่ข้าเป็นเช่นนี้ก็สาแก่ใจเจ้าแล้ว!”

เจี้ยนสือยังคงแผดเสียง อีกทั้งยังเดินเซตุปัดตุเป๋มาผลักเอามนุษย์หนุ่มล้มกระเด็นไปอีกทาง น้ำตามากมายเอ่อปริ่มขอบตาของหลิวซู อีกไม่นานมันคงจะทะลักออกมาแน่ ทว่าหลิวซูกลับกล้ำกลืนเอาไว้ ที่เจี้ยนสือเป็นเช่นนี้เพราะขาดไร้ที่พึ่ง เขาจึงได้มีอารมณ์เกรี้ยวกราด

หลิวซูบอกกับตนเองเช่นนั้น ดันตัวลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจปัดฝุ่นผงที่เปรอะเปื้อนอาภรณ์
“ข้าน้อยไม่ได้คิดเช่นนั้น การที่ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือเป็นอย่างนี้ ข้าน้อยเองก็ปวดใจยิ่ง”
พูดพลางดวงตาก็ประกายวาวด้วยน้ำตาสีใส

เจี้ยนสือมองอย่างไม่เชื่อ จากนั้นก็แผดเสียงออกมาอีกครา
“ไปให้พ้นหน้าข้า! ออกไปจากจวนข้า!”

สิ้นเสียงก็ก้าวเดินหมายจะเข้าไปในเรือน ทว่าก็ต้องเซล้มด้วยความมึนเมามิอาจทำให้ทรงตัวได้ดีนัก หลิวซูเห็นดังนั้นขึ้นเข้ามาประคอง ทว่าก็ถูกเจี้ยนสือผลักไสอีก
“ไปให้พ้น!”

คราวนี้ไม่อาจทนไหว น้ำตาอาบไหลนองหน้า

“ต่อให้ท่านผลักไสข้าอีกเพียงใด ข้าน้อยก็จะอยู่ข้างท่าน”
น้ำเสียงสั่นระริกทำให้เจี้ยนสือชะงักไปครู่ ความเงียบงันเข้าครอบงำ ก่อนที่หลิวซูจะเอ่ยออกมาอีก
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ ได้โปรดอย่าผลักไสข้าน้อยอีกเลย ท่านก็รู้ว่าข้าน้อยคิดเช่นไรกับท่าน”

“เจ้าก็แค่หลงมัวเมาเมื่อครั้งที่ข้ามีรูปกายงดงาม เวลานี้มาวนเวียนใกล้ตัวข้าเป็นเพราะเจ้าต้องการแก้แค้น”
เจี้ยนสือยังคงคิดในแง่ร้าย หากแต่หลิวซูกลับส่ายศีรษะปฏิเสธ
“ต่อให้ท่านมีรูปลักษณ์อย่างไร หัวใจของข้าน้อยก็ยังคงรักมั่นเพียงท่าน”

ไม่เพียงแต่คำพูดเท่านั้นที่สื่ออย่างซื่อตรง แววตาและจิตใจของหลิวซูเองก็ซื่อตรงเช่นกัน เจี้ยนสืออับจนคำพูด ในยามนี้ เขารู้สึกราวกับมีก้อนเหนียวหนืดอุดตันในลำคอจนไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ ออกไปได้ ยิ่งได้ยินเสียงสั่นเครือของหลิวซูดังเข้ามาในโสตอีก ความแข็งกระด้างก็พลันอ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งต้องไฟ

“ข้าน้อยรักท่าน และจะรักมั่นคงเพียงท่าน แม้ท่านจะเป็นปีศาจ ข้าน้อยก็จะรักท่าน”

ข้าเคยใจร้ายกับคนผู้นี้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

เจี้ยนสือถามตนเอง มือเกือบจะยื่นออกไปประคองใบหน้าอาบน้ำตาของคนตรงหน้าอยู่แล้ว ทว่าก็ชะงักเอาไว้ด้วยไม่ต้องการทำร้ายอีกฝ่ายอีก เขาทำร้ายหลิวซูมาพอแล้ว คนมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นเขาไม่สมควรจะได้ความรักจากผู้ใด

“กลับไปเสียก่อนที่ข้าจะใช้คมเขี้ยวนี้ฝังพิษลงในกายเจ้า”
เจี้ยนสือแค่นพูดออกมา ก่อนจะลุกพรวดแล้วเดินหนีกลับเข้าเรือนด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้หลิวซูมองตามด้วยหัวใจที่ร้าวราน
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ...”

เสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกจากเรียวปาก ล่องลอยไปตามลม แม้แต่ผู้ที่ปิดประตูลงดาลขังตนเองอยู่ในเรือนใหญ่ก็ได้ยินชัดเจน
เจี้ยนสือที่ยืนพิงประตูอยู่ขบกรามแน่น ในใจครุ่นคิดอย่างสับสนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

หลิวซู... อย่าดีกับข้าไปกว่านี้เลย



 
ซิ่นเฉิงตื่นมาในอ้อมกอดของเทียนอี้ เมื่อคืนนี้ลมหนาวในทะเลทรายไม่อาจทำร้ายเขาได้ด้วยความอบอุ่นจากกายใหญ่ของเทพอสูรสุนัขป่าโอบล้อมเรือนร่างเอาไว้ พลันเขาก็ดันตัวขึ้นนั่ง ยกมือขึ้นคลึงศีรษะที่ปวดหนึบเล็กน้อยจากการฝันถึงอดีตชาติตนในราตรีที่ผ่านมา

หลิวซูรักมั่นในเจี้ยนสือไม่เว้นแม้แต่ตอนถือกำเนิดใหม่...

เขาตระหนักได้อย่างนั้น พลันก็ไม่มั่นใจเล็กน้อยว่าความรู้สึกของหลิวซูที่มีต่อเจี้ยนสือจะกลับมาอีกหรือไม่ เพราะในบางครั้งที่เขาใกล้ชิดกับเทพอสูรผู้นั้น บางคราก็ใจเต้นระส่ำ บางคราก็ปวดร้าว ราวกับว่าก้นบึ้งในจิตใจยังคงหลงเหลือความรู้สึกของหลิวซูอยู่ แต่...ในชาติที่แล้ว หลิวซูไม่ยอมดื่มน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อลบเลือนความทรงจำ แต่เหตุใดชาตินี้ถึงได้ดื่ม อีกทั้งเขายังเกิดมาโดยไม่มีรูปร่างหน้าตาเช่นเดิมอีก?

ซิ่นเฉิงอดประหลาดใจไม่ได้ ก่อนที่ความคิดนั้นจะมลายหายไปเมื่อคนข้างกายผุดลุกขึ้นนั่ง

“ตื่นแล้วหรือ?”
“อืม”
ซิ่นเฉิงตอบรับแผ่วเบา ขณะที่เทียนอี้ยื่นใบหน้ามาเกยไหล่เอาไว้
“เมื่อคืนนี้หลับสบายดีหรือไม่?”

หากตอบว่าไม่คงเป็นการโกหก ซิ่นเฉิงจึงพยักหน้ารับไป ทำเอาเทียนอี้ว่ากระเซ้า

“เจ้าจะหลับสบายทุกราตรีหากอยู่ในอ้อมกอดข้า”
จากนั้นก็ฝังจมูกเปียกชื้นลงมายังซีกแก้ม ทำเอาซิ่นเฉิงย่นคิ้ว
“หากจะเกี้ยวข้าแต่ฟ้าสาง เจ้ารีบสวมเครื่องแบบแล้วไปประจำการเถิด เจ้าหมาขี้เกียจ”

ทั้งที่ถูกก่นด่า เทียนอี้กลับหัวเราะด้วยพึงใจ พลันฝากรักไว้ที่ริมฝีปากหนาของซิ่นเฉิงอย่างแผ่วเบา
“ราตรีนี้ ข้าจะกกกอดเจ้าอีก”

จะกกกอดอีกกี่ราตรีก็สุดแท้แต่ใจเจ้า...เพราะหลังจากนั้น เจ้าจะไม่มีโอกาสอีก

สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ซิ่นเฉิงไม่อยากพูด จึงไม่ได้โต้ตอบใดๆ ปล่อยให้เทียนอี้ได้กระทำตามใจ ก่อนที่ขบวนทัพจะเริ่มเดินทางอีกครา



 
การเดินทางรอนแรมของกองทัพเทพอสูรผันผ่านไปหลายทิวาและราตรี บรรดาทหารต่างรีบเร่งฝีเท้าด้วยต้องการกลับคืนสู่สวรรค์ในเร็ววัน เดิมพันของพวกเขานั้นมีเพียงความตายกับการได้กลับคืนเป็นเทพเท่านั้น แม้จะไม่อาจรู้ได้เลยว่าการไปปราบปีศาจจะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ แต่ในความคิดของพวกเขา มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง

หากต้องเป็นเทพอสูรต่อไป สู้ตายเสียดีกว่า ชีวิตอมตะจะมีค่าอย่างไรก็ช่าง ดับสูญไปก็ถือว่าหมดทุกข์กรรม หากได้กลับสวรรค์ก็ถือเป็นเรื่องดี

การเดินทางโดยไม่คิดแม้จะหยุดพัก ยกเว้นช่วงกลางคืนนั้นเป็นการดี แต่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับมนุษย์แต่ผู้เดียวอย่างซิ่นเฉิง ถึงเขาจะเกิดและโตในทะเลทราย แต่ร่างกายต้องอากาศร้อนบ้าง หนาวบ้าง ก็ทำให้เขาครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมา ในวันนี้ดูเหมือนจะครั่นเนื้อครั่นตัวมากเสียหน่อยด้วยเขาออกอาการกระสับกระส่ายและเหนื่อยอ่อนมาตั้งแต่ตื่นนอน ก่อนจะทวีมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเข้าสู่ช่วงสาย เขากลัวเหลือเกินว่าจะป่วยไข้ระหว่างทาง ทว่าเคราะห์ดีที่รอดมาได้จนถึงกลางคืน เมื่อได้หยุดพัก เขาก็คิดเอาเองว่าหากได้พักผ่อนคงจะอาการดีขึ้น

หากแต่...การที่ไร้ซึ่งเทียนอี้กกกอดยามหลับใหลนั้น มิอาจทำให้เขาข่มตานอนได้เลย ราตรีนี้ กองทัพสังกัดจวนของเทียนอี้มีหน้าที่เฝ้าเวรยาม เขาจึงต้องกระจายกำลังไพร่พลเฝ้าตรึงกำลังในรอบบริเวณ ส่วนตนก็นำกองทหารม้าตรวจตราความเรียบร้อยในรอบนอก กว่าจะกลับมาก็รุ่งสาง ซิ่นเฉิงเข้าใจเรื่องนั้นดี แต่ถึงอย่างไร มันก็น่าหงุดหงิดใจไม่ใช่น้อยที่ต้องนอนบนที่นอนซึ่งถักทอจากหนังสัตว์เย็นเยียบเพียงลำพัง

เพราะไม่อาจข่มตาหลับจึงตัดสินใจผุดลุกขึ้น ออกจากกระโจมมาด้วยหมายจะนั่งเล่นฆ่าเวลาให้เริ่มง่วงแล้วค่อยกลับไปนอน ทว่าการเดินเตร็ดเตร่ในยามวิกาลของเขาขณะที่ทหารส่วนใหญ่เข้าสู่ห้วงนิทรากันหมดแล้วช่างสร้างความประหลาดใจให้กับเทพอสูรผู้หนึ่งซึ่งบังเอิญผ่านมาเห็นยิ่งนัก

ผ่านมาเห็น...ไม่หรอก ไม่ได้ผ่านมาเห็น เพราะรู้ว่าเทียนอี้ไม่อยู่ถึงได้มาดู โดยไม่คิดว่าจะเจอซิ่นเฉิงออกจากกระโจมมาพอดิบพอดีเช่นนี้

“ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน จะไปเที่ยวเล่นที่ใดหรือเจ้าเหมียว?”
เป็นเสียงของเจี้ยนสือในร่างของอดีตเทพ เขายังคงดูงดงาม แต่ซิ่นเฉิงหาได้ใส่ใจเรื่องนั้นแล้ว
“เจี้ยนสือ...” ปากครางร้องเรียกชื่ออีกฝ่าย
เจี้ยนสือเผยอยิ้ม “ข้าเอง ตกใจหรือไรที่เจอข้าในยามนี้”

ไม่ได้ตกใจหรอก เพียงแต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอ

“เจ้ามีเรื่องอันใดถึงได้มายังกระโจมของเทียนอี้?”
ซิ่นเฉิงถามออกไปด้วยสงสัย คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายให้ผุดพราย
“ข้าจะมาเยี่ยมเยือนสหายไม่ได้หรือ?”
“เจ้าไม่ได้นับเทียนอี้เป็นสหายแล้วกระมังหากข้าจำไม่ผิด”

การรู้ทันของบุรุษทะเลทรายตรงหน้าทำให้เจี้ยนสือแค่นหัวเราะออกมา

“ได้ ในเมื่อเจ้าถาม ข้าก็จะบอกตามจริง แท้จริงแล้ว ข้ามาหาเจ้า”
ซิ่นเฉิงก็พอรู้อยู่ อย่างเจี้ยนสือน่ะหรือจะญาติดีกับเทียนอี้ ในสถานการณ์อย่างนี้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“แล้วมาหาข้าด้วยการใด?” คำถามนี้ก็ถามออกไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ

เจี้ยนสือมองหน้าอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้
“เจ้านอนไม่หลับหรือ?”

เป็นจริงอย่างที่เจี้ยนสือว่า ซิ่นเฉิงจึงให้ความเงียบเป็นคำตอบ พลันอีกฝ่ายก็ออกปากมาอีก
“หากนอนไม่หลับ จะไปท่องทะเลทรายยามราตรีกับข้าแก้เบื่อหน่ายไหม อาชาของข้าใคร่ให้เจ้าขึ้นขี่ยิ่งนัก”

อันที่จริงไม่ควรตอบรับ แต่ซิ่นเฉิงหาได้เห็นว่าจะเสียหายอย่างไรจึงได้เดินเข้าไปหา เจี้ยนสือยกยิ้มพึงใจเพราะนั่นคือการตอบรับจากอีกฝ่ายโดยไร้สุ้มเสียง



 
อาชาตัวสีดำมะเมื่อมควบออกไปกลางทะเลทราย ลมเย็นปะทะเข้าที่ใบหน้า เมื่อครั้งที่ยังอยู่ในทะเลทราย ซิ่นเฉิงมักจะท่องราตรีด้วยการพาพี่น้องร่วมสาบานไปโลดแล่นบนผืนทรายมืดมิดเช่นนี้เพื่อชมจันทร์และหมู่ดาวอยู่เสมอ กลิ่นไอของทะเลทรายทำให้เขาคิดถึงพวกพ้องยิ่ง เขาเงยหน้าขึ้นรับลมเย็น สายตาจ้องมองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ทอประกายแสงสีเงินยวง แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็ต้องมลายหายไปเมื่อเจี้ยนสือที่ควบม้าอีกตัวมาขนาบข้างทำลายความเงียบ

“เผ่าของเจ้าก็บูชาดวงจันทร์สินะ”
“ดูจากเครื่องประดับของข้า เจ้าก็น่าจะรู้” ซิ่นเฉิงตอบโดยไม่มองหน้า

สิ่งนั้นเจี้ยนสือก็รู้ดีแก่ใจเช่นที่ซิ่นเฉิงบอก แต่ที่ถามเช่นนี้เป็นเพราะจะชวนสนทนาต่างหาก
“ในเมื่อเผ่าของเจ้าบูชาดวงจันทร์ เจ้าเองก็คงจะชื่นชอบดวงจันทร์ยิ่งนัก”
“อืม”
“แล้วก็คงจะชื่นชอบร่างของข้ายามต้องแสงจันทร์เช่นกัน”

ประโยคนี้มีนัยยะแฝง ซิ่นเฉิงหันไปมองผู้พูดขณะที่เจี้ยนสือยกยิ้มบางๆ ภาพนั้นชวนมอง ทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของซิ่นเฉิงเต้นระส่ำ ทว่า...ที่เต้นนั้นไม่ใช่เพราะซิ่นเฉิง แต่เป็นเพราะความรู้สึกของหลิวซูที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจต่างหาก

หลิวซูพึงปรารถนาที่จะได้รับรอยยิ้มนี้จากเจี้ยนสือมาเนิ่นนานแล้ว...

ยิ่งระลึกได้ถึงอดีตชาติมากเท่าไร ความรู้สึกของหลิวซูที่มีต่อเจี้ยนสือก็ทวีมากขึ้นทุกครา ก่อนซิ่นเฉิงจะกดทุกความรู้สึกนั้นให้กลับคืนสู่ที่เดิม พลันถามออกมา

“เจ้าต้องการจะพูดสิ่งใดกันแน่”
เมื่อเปิดโอกาสเช่นนี้ เจี้ยนสือจึงออกปาก
“เจ้าชื่นชอบร่างนี้ของข้าใช่หรือไม่?”

เจี้ยนสือยังคงเอ่ยถามคำถามเดิมออกมาอีก ซิ่นเฉิงจึงตอบรับไปตามตรง
“รูปลักษณ์งดงาม ไม่ว่าผู้ใดก็ชื่นชอบเสน่หากันทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น...หากข้าคืนร่างเทพอสูร เจ้าก็คงรังเกียจข้าล่ะสินะ”

คราวนี้คนฟังถึงกับย่นคิ้วยู่ให้เจี้ยนสือได้พูดออกมาอีก
“ร่างเทพอสูรของข้าน่ารังเกียจยิ่งนัก ต่างจากเทียนอี้ที่มีเส้นขนฟูฟ่องชวนให้สัมผัส เกล็ดลื่นมือ อีกทั้งยังเย็นเยียบคงจะไม่สบายมือของเจ้า”

สิ่งนั้นก็ถูกต้อง แต่ซิ่นเฉิงหาได้คิดอย่างนั้น
“ต่อให้เจ้ามีรูปลักษณ์เช่นไร ข้าก็หาได้รังเกียจ เจ้าอย่าคิดเช่นนั้น”

คำตอบช่างเป็นที่น่าพอใจสำหรับเจี้ยนสือนัก เขาส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ เหลือบมองยังคงข้างกายด้วยรอยยิ้มที่ผุดพรายมากขึ้นกว่าเดิม

“ข้าคิดเช่นไรกับเจ้า เจ้ารู้ใช่หรือไม่?”
ไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดถึงเข้าเรื่องนี้ แต่ซิ่นเฉิงก็ตอบ
“เจ้ามีใจปฏิพัทธ์ต่อข้า”

ถึงจะไม่เคยรักใคร่สตรีใดหรือมีคู่ครองมาก่อน แต่ซิ่นเฉิงก็หาใช่บุรุษที่ไม่ประสา เพียงเห็นท่าทาง สีหน้า น้ำเสียง และการกระทำของเจี้ยนสือก็พอจะดูออก แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นไปอย่างกระด้างกระเดื่องก็ตาม ขณะที่เจี้ยนสือจะว่าสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าจะเลิกข้องเกี่ยวกับเทียนอี้แล้วมาเป็นของข้า”
ที่ถามเช่นนั้นเพราะรู้ว่าซิ่นเฉิงกับเทียนอี้มีความสัมพันธ์ใด แม้ว่าจะคลุมเครือ แต่กลิ่นสาบสุนัขป่าที่อบอวลในกายของซิ่นเฉิง อีกทั้งยังภาพการจุมพิตในวันนั้นที่ประจักษ์มากับตาก็เป็นสิ่งที่ชัดเจนแล้วว่าซิ่นเฉิงคิดอย่างไรกับอดีตสหายรัก

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก เขาระอาเล็กน้อยที่ได้ยินคำถามนี้
“เจ้าชวนข้ามาท่องทะเลทรายเพื่อถามเรื่องนี้หรือ?”

ใช่... เจี้ยนสือไม่ได้ตอบรับ แต่มองตาแล้ว ซิ่นเฉิงก็รู้ได้ หากคำพูดนี้ ผู้ถูกถามคือหลิวซู คนฟังก็คงจะดีใจไม่น้อย แต่กับซิ่นเฉิง เขาหาได้ดีใจไม่ เพราะเขารู้ดีว่าในใจเขามีผู้ใด

เทียนอี้...ในใจมีแต่เทียนอี้เท่านั้น

ต่อให้ความรู้สึกของหลิวซูในอดีตชาติจะฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาเพียงใด แต่เขากลับปรารถนาแต่เทียนอี้ จะด้วยเหตุผลใดนั้นก็หาได้ใส่ใจไม่ เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อเทียนอี้ เป็นเพราะเขาคือซิ่นเฉิง หาใช่หลิวซู

เพราะคิดอย่างนั้นถึงได้พูดออกไป...

“ฟังข้านะเจี้ยนสือ ต่อให้เจ้าอัปลักษณ์กว่านี้เพียงใด ข้าก็หาได้รังเกียจ ข้ายินดีที่จะผูกมิตรไมตรีกับเจ้าเฉกเช่นสหาย แต่หากถามข้าเรื่องรักใคร่แล้ว ใจของข้ามิอาจเป็นของเจ้า”

การถูกปฏิเสธตามตรงทำให้รอยยิ้มของเจี้ยนสือมลายหายไป มีเพียงเสียงหัวเราะที่ดังออกมา หากแต่นั่นเป็นการหัวเราะด้วยสมเพชกับโชคชะตาของตน

“นั่นก็เพราะใจของเจ้ามีแต่เทียนอี้”
ซิ่นเฉิงไม่ปฏิเสธ ให้สายลมที่พัดผ่านส่งเสียงหวีดหวิวเป็นการขานรับ

เท่านั้น หัวใจของเทพอสูรงูจงอางก็ปวดร้าว เขามองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

“หากเจ้ามีใจให้กับเทียนอี้ แล้วเจ้าจะไปจากมันเพื่อการใด”
ซิ่งเฉิงไม่ให้คำตอบกับคำถามนี้ เพราะเขาไม่อาจพูดได้ แม้แต่คำว่า ‘รัก’ ที่ใคร่จะมอบให้เทียนอี้ก็ยังมิอาจเปิดปาก แล้วจะบอกได้อย่างไรว่าที่จะจากไปเป็นเพราะในชาติก่อนๆ เขาคือหลิวซู
“เจ้ามีเหตุผลที่จะเดินทางลงใต้ ข้าเองก็มีเหตุผลของข้า”

คำตอบกำกวมบ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใคร่บอก เจี้ยนสือก็ไม่ซักไซ้ถาม ไม่ใช่เพราะไม่อยากรู้ แต่เขาเจ็บปวดเกินกว่าจะรับฟังเรื่องใดได้อีก

ความเจ็บปวดนี้...เป็นความรู้สึกเดียวกับครั้งที่สูญเสียหลิวซูไปไม่ผิดเพี้ยน

การนิ่งงันของเจี้ยนสือทำให้ซิ่นเฉิงคิดว่าการท่องราตรีคลายเบื่อหน่ายในราตรีนี้ควรจะสิ้นสุดลงเสียที พลันก็ออกปากชักชวน
“ขอบน้ำใจเจ้ามากที่พาข้ามาท่องทะเลทราย ข้าง่วงนอนแล้ว ใคร่อยากกลับไปพักเต็มที”

ที่พูดมานั้นหาใช่การตัดบทเพียงอย่างเดียว ชายหนุ่มอยากพักจริงๆ ด้วยจู่ๆ ก็เกิดรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวกว่าเดิมขึ้นมา

เห็นทีจะต้องรีบกลับไป...

ซิ่นเฉิงบอกกับตนเองอย่างนั้น มือกุมบังเหียนมั่น หมายจะควบม้าออกไป ทว่าความวิงเวียนก็ประดังประเดเข้ามาเสียก่อน ทำเอาร่างที่นั่งคร่อมอยู่บนหลังม้าโคลงเคลง เจี้ยนสือเห็นท่าทางประหลาดของอีกฝ่ายก็ร้องเรียก

“ซิ่นเฉิง”
ยังไม่ทันจะได้พูดต่อ สติของซิ่นเฉิงก็ดับวูบกะทันหัน ร่างใหญ่ตกจากหลังม้า ฝุ่นทรายตลบปกคลุมร่างนั้น ทำเอาเจี้ยนสือถึงกับเบิกตาโพลง
“ซิ่นเฉิง!”

จากนั้นก็รีบควบม้าเข้ามาใกล้ ทิ้งตัวลงมาประคอง พลันสัมผัสได้ว่ากายเนื้อของอีกฝ่ายร้อนรุ่มดั่งเพลิงผลาญ เท่านั้นหัวคิ้วของเทพอสูรก็ย่นยู่ฉับพลัน ก่อนจะรีบอุ้มซิ่นเฉิงขึ้นพาดกับหลังม้า ดีดตัวขึ้นนั่งประจำที่แล้วควบม้ากลับไปยังค่ายทหารอย่างรวดเร็ว
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[22/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-09-2017 09:10:37
บทที่ 21: สัตว์เลือดเย็น[2]

การที่จู่ๆ แม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือก็อุ้มร่างไม่ได้สติของมนุษย์เพียงผู้เดียวในกองทัพย่อมหาใช่เรื่องดี เหล่าทหารยามที่ประจำการอยู่หน้ากระโจมของเจี้ยนสือล้วนแตกตื่น ปกติแล้วมนุษย์ผู้นี้อยู่ในการดูแลของเทียนอี้ แต่ในยามนี้ถูกเจี้ยนสืออุ้มเข้าไปในกระโจมของตน คงจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นใครบางคนถึงไปตามรองแม่ทัพหมิงจูที่พักผ่อนอยู่ในกระโจมไม่ไกลกันนักมา

ทันทีที่รู้เรื่อง หมิงจูก็รีบมายังที่หมายพร้อมกับพ่อบ้านเหลียงเพราะคาดเดาเอาว่าจะต้องมีเหตุร้าย ซึ่งก็จริงเสียด้วยเมื่อเข้ามาด้านในกระโจมของผู้เป็นสหายแล้ว เขาก็พบว่าซิ่นเฉิงในตอนนี้นอนคุดคู้อยู่บนหนังสัตว์ในสภาพสั่นเทาไปทั้งร่าง
"เจ้านั่น...ป่วยไม่ใช่รึ?"

เป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากปากของหมิงจู พลันใบหน้าสุนัขจิ้งจอกก็ตึงเครียด แต่ผู้ที่ดูจะเป็นกังวลยิ่งกว่าคือเจี้ยนสือ
ก็ผู้ใดเล่าจะคิดว่าแค่ล่อลวงไปตากลมเย็นยามราตรีจะทำให้ซิ่นเฉิงเป็นถึงขนาดนี้ โดยหารู้ไม่ว่าอาการครั่นเนื้อครั่นตัวนั้นมีมาตั้งแต่เมื่อช่วงกลางวันแล้ว

"แล้วเจ้าจะทำอย่างไร"

หมิงจูถามออกมาอีกเพราะการที่ซิ่นเฉิงป่วยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ในทะเลทรายไม่มีโอสถเพียงพอต่อการรักษาแน่หากซิ่นเฉิงป่วยหนัก อีกทั้งสภาพอากาศก็เลวร้าย อย่างดีก็อาจจะป่วยยาวนาน อย่างร้ายก็อาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้เกิดขึ้นทั้งสองอย่าง เพราะมันจะกลายเป็นชนวนเหตุให้สหายของเขาวิวาทกันอีกได้

หากแต่ไม่มีความเห็นจากเจี้ยนสือ เขายืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ จ้องมองร่างกายสั่นเทิ้มของชายหนุ่มที่นอนคุดคู้อยู่บนที่นอนตรงหน้าแล้วก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าหากปล่อยไว้เช่นนั้น ซิ่นเฉิงจะต้องป่วยหนักแน่ จึงหันไปสั่งพ่อบ้านเหลียงอย่างรวดเร็ว

"ไปเตรียมโอสถมาให้ข้า"
ถึงต้องใช้เวลารักษานานอย่างไรก็จะรักษา อย่างน้อยก็ขอให้ได้เยียวยาอาการก่อนที่จะหนักหนากว่านี้

ไร้ซึ่งถ้อยวจี พ่อบ้านเหลียงรีบร้อนทำตามสั่ง เมื่อผลุบหายออกไปจากกระโจมแม่ทัพแล้ว หมิงจูก็โพล่งออกมาอีก
"หนาวสั่นเช่นนี้ จำเป็นต้องทำร่างกายของเจ้านั่นให้อบอุ่น"

แล้วผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายนั่นอยู่ไม่ใช่การทำให้ร่างกายอบอุ่นหรือไร?

เจี้ยนสือหันไปมองสหายด้วยรำคาญใจ ทันทีที่รู้ว่าร่างกายของซิ่นเฉิงหนาวสั่นเพราะพิษไข้ เขาก็ใช้ผ้าห่มที่มีห่อหุ้มร่างกายให้ความอบอุ่นแก่ซิ่นเฉิงอย่างรวดเร็ว แต่มันไม่ช่วยอะไรก็เท่านั้น

สายตาที่สหายมองมานั้นทำให้หมิงจูพลันรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่จึงรีบเปิดปาก
“ข้ารู้ว่าเจ้าทำแล้ว แต่การห่มผ้าอย่างนั้นไม่ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นได้ดีนักหรอกนะ”
“เจ้าจะให้ข้าเดินลมปราณเข้าสู่ร่างกายเลยไหมล่ะ” เจี้ยนสือถาม สีหน้าหงุดหงิดเกินทน
“หากเจ้าเดินลมปราณ มีหวังเจ้ามนุษย์นั่นได้ไปเยือนปรโลกแน่”

ลมปราณของเจี้ยนสือเป็นลมปราณเย็นด้วยธาตุหลักของเขานั้นคือหยิน เหตุเป็นเพราะความเป็นเทพอสูรกึ่งงูจงอาง จึงไม่อาจคงธาตุหยางในร่างกายได้ดีนัก

ยืนนิ่งอยู่เพียงครู่จึงได้หันไปหาหมิงจู
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเจ้าแล้วกันที่เดินปราณให้ซิ่นเฉิง”

หมิงจูคิดขึ้นมาได้ว่านี่ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้ซิ่นเฉิงรอดชีวิตได้ ถึงจะไร้ซึ่งโอสถเพียงพอ แต่การใช้วรยุทธ์ทำให้ธาตุในร่างกายสมดุลก็พอจะช่วยรักษาอาการป่วยอยู่บ้าง พลันระบายลมหายใจออกมา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นเขาล่ะสินะ

ไม่อยากทำก็จำเป็นต้องทำเพื่อไม่ให้สหายผิดใจกัน ครั้นหมิงจูก้าวเข้าไปใกล้ ความอุ่นร้อนจากร่างกายแผ่ซ่านให้ซิ่นเฉิงได้สัมผัส เขาก็ผวาคว้าเอาเส้นขนของหมิงจูกำไว้ในมือแล้วดึงเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว

“เจ้าหมา...”

ปากร้องครางเสียงแผ่วออกมา หากแต่ ‘เจ้าหมา’ ที่ร้องเรียกนั้นหาใช่หมิงจู แต่กลับเป็นเทียนอี้ แม้จะไม่มีผู้ใดอธิบาย แต่เจี้ยนสือและหมิงจูก็รับรู้ได้

หมิงจูหันไปมองหน้าสหาย ขณะที่เจี้ยนสือมีสีหน้าน่ากลัวขึ้นมา พลันเดินเข้ามาหา รั้งร่างของซิ่นเฉิงขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดพลางว่าเสียงต่ำ

“หากร้องเรียกกันเช่นนั้น ก็จงตายให้อ้อมกอดของข้าแล้วกัน”
“ไร้เหตุผลเกินไปหน่อยกระมังเจี้ยนสือ” หมิงจูรีบปรามทันที

ทว่าก็ไร้ประโยชน์ด้วยเจี้ยนสือในครานี้หวงแหนคนในอ้อมแขนที่หนาวสั่นกว่าเดิม อีกทั้งยังเดือดดาลขึ้นมาอีกต่างหาก
“ใจของเจ้าจะเป็นของผู้ใดไม่ได้ หากเจ้าไม่มอบให้ข้า ก็จงอย่ามอบให้ผู้ใด”

ประโยคนี้เป็นการพูดกับซิ่นเฉิงที่มีสติไม่สมประดี หมิงจูมองแล้วก็เห็นว่าคงจะไม่เป็นการดีแน่หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้น

ในขณะเดียวกัน เทียนอี้ที่ได้รับรายงานจากทหารม้าเร็วนายหนึ่งที่พ่อบ้านเหลียงส่งไปบอกข่าวเรื่องของซิ่นเฉิงก็รีบควบม้ากลับมายังค่ายด้วยความรวดเร็ว เขาทิ้งตัวลงจากหลังม้าที่หน้ากระโจมของเจี้ยนสือ เดินอาดๆ เข้ามาด้านในโดยไม่สนใจว่าทหารยามจะร้องปรามอย่างไร เมื่อเห็นซิ่นเฉิงสั่นงันงกอยู่ในอ้อมแขนของเทพอสูรงูจงอาง ข้างกันนั้นมีหมิงจูยืนเกลี้ยกล่อมให้ปล่อยซิ่นเฉิงอยู่ ก็พลันชักดาบออกจากฝัก ชี้ไปข้างหน้าทันใด

“ปล่อยเฉิงเฉิงก่อนที่ข้าจะบั่นคอเจ้า”
เจี้ยนสือมองสหายด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ไร้ซึ่งคำพูด หากแต่อ้อมแขนกลับกอดรัดร่างของมนุษย์หนุ่มแนบแน่นกว่าเดิม

“เจี้ยนสือ...ข้าบอกให้ปล่อย!”
นานครั้งที่เทียนอี้จะเดือดดาล แต่เมื่อระงับโทสะไม่อยู่แล้ว เขาก็กลายเป็นผู้ที่น่ากลัวทีเดียว แต่ไม่ใช่กับเจี้ยนสือ ต่อให้เทียนอี้น่าเกรงขามกับผู้อื่นเพียงใด เขาก็หาได้สั่นสะท้านแม้แต่น้อย

“ข้าไม่ปล่อย”
เจี้ยนสือตอบกลับ ทำเอาเทียนอี้แผดเสียงลั่น
“เจ้าจะทำให้เฉิงเฉิงตาย!”
“หากเขาจะตาย เขาก็ตายในอ้อมกอดของข้า”

ยิ่งพูดยิ่งไม่ฟังกัน เทียนอี้แทบอดใจไม่ไหวที่จะสะบัดดาบไปสังหารสหายผู้นี้ แต่ก็เกรงว่าโทสะของเขาจะทำให้ซิ่นเฉิงเป็นอันตราย อีกทั้งหูก็ได้ยินเสียงพึมพำจากคนในอ้อมแขนของเจี้ยนสือที่ครางร้องเรียกว่า ‘เจ้าหมา’ ไม่หยุดหย่อน ก็ทำให้เขาไม่อาจทำการใดได้ นอกจากจะสบตากับเจี้ยนสือเขม็ง ปากแค่นเสียงต่ำออกมาเท่านั้น

“เจ้าคิดจะสังหารเฉิงเฉิงเช่นเดียวกับที่สังหารหลิวซูเพราะไม่ได้ครอบครองอย่างนั้นหรือ?”
เพียงคำถามตรงๆ เพียงคำถามเดียวก็ทำให้เจี้ยนสือชะงักงัน ภาพในอดีตลอยเวียนเข้ามาในภวังค์ ก่อนที่เขาจะเหลือบมองยังใบหน้าของซิ่นเฉิงที่บัดนี้ซีดเซียวกว่าเดิม อีกทั้งยังหนาวสั่นจนตัวสั่นเทิ้ม พลันลังเลใจขึ้นมา

การปล่อยให้ซิ่นเฉิงตายในอ้อมแขนเขาอย่างที่ลั่นวาจาไปตอนแรกมันเป็นการดีแล้วหรือ?

แน่นอนว่าไม่ เขาจะต้องเจ็บปวดกว่าเดิมแน่ ที่สำคัญ เขาหาได้ต้องการให้ซิ่นเฉิงถูกความตายมาพลัดพรากไปเสียหน่อย แต่หากไม่ถูกความตายมาฉุดคร่า ก็ถูกเทียนอี้พรากไปอยู่ดี

ไม่ว่าทางใด ซิ่นเฉิงก็จะถูกแย่งชิงไปจากเขาทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ใจของซิ่นเฉิงเองที่ไม่เคยคิดจะเป็นของเขา...

เป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด เขาอยากจะสังหารให้ซิ่นเฉิงสิ้นใจเสียให้รู้แล้วรู้รอด เขาไม่จำเป็นต้องสนใจความรู้สึกผู้ใดนอกจากตนเองด้วยซ้ำในเมื่อเขาเป็นอสรพิษที่มีแต่ผู้คนรังเกียจ แต่ก็ไม่อาจทำได้ด้วยนึกถึงคำพูดของซิ่นเฉิงขึ้นมา

‘ต่อให้เจ้าอัปลักษณ์กว่านี้เพียงใด ข้าก็หาได้รังเกียจ...’

หัวใจที่เย็นเยือกของเจี้ยนสืออุ่นร้อนขึ้นมา จะมีมนุษย์สักกี่คนกันที่ไม่ผลักไสเขาเช่นนี้?

ในตอนนี้เองที่ตระหนักได้ว่าสิ่งที่อัปลักษณ์ที่สุดหาใช่รูปลักษณ์ของเขา หากแต่เป็นจิตใจที่เอาแต่คิดจะช่วงชิงและครอบครองของเขาต่างหาก ความรู้สึกของผู้ใดหาได้สำคัญ ความรู้สึกของเขาคือสิ่งที่ควรเทิดทูน แม้แต่คนที่รักก็ฆ่าได้ เป็นเช่นนี้...มันหาใช่ความสุขที่เขาปรารถนา

เจี้ยนสือจำต้องคลายอ้อมแขนออกจากร่างของมนุษย์หนุ่ม วางลงอย่างเบามือลงบนที่นอน ทันทีที่เป็นอิสระ ซิ่นเฉิงก็คุดคู้ห่อตัวเองพลางสั่นเทา ขณะที่เทียนอี้รีบเก็บดาบเข้าที่เดิมแล้วรีบก้าวเข้าไปอุ้มอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขนแทน

บัดนี้ เจี้ยนสือผละออกมา หลบทางให้เทียนอี้ได้พาชายหนุ่มออกจากกระโจมได้สะดวก ส่วนซิ่นเฉิงที่ได้รับความอบอุ่นจากกายใหญ่ก็ผวาเข้าซุกตัวลงในแผงอกกว้างอย่างโหยหา ภาพนั้นช่างสร้างความร้าวรานให้กับเจี้ยนสือยิ่งนัก แต่สิ่งใดก็ไม่ทำให้เขาปวดร้าวได้เท่ากับคำพูดของอดีตสหาย

“เจ้ามันเป็นสัตว์เลือดเย็น จากนี้ไป อย่าได้เข้าใกล้คนของข้าอีก”

สิ้นเสียง เทียนอี้ก็พาร่างของซิ่นเฉิงหายออกไปจากกระโจม เหลือแต่เพียงเจี้ยนสือเท่านั้นที่มองตามนิ่งด้วยความรู้สึกยากจะอ่าน ครั้นหมิงจูยื่นมือไปสะกิด เจี้ยนสือก็ปัดออกเต็มแรง
“อย่ามายุ่งกับข้า!”

หมิงจูพ่นลมหายใจออกมา เขาจนปัญญาที่จะช่วยเหลือแล้ว คงจะยื่นมือเข้าไปแทรกมากกว่านี้ไม่ได้ จึงได้แต่จากมาโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้เจี้ยนสือทรุดตัวลงนั่งยังฟูกนอน ฝ่ามือลูบไปตามหนังสัตว์ที่ทิ้งร่องรอยอุ่นๆ ของซิ่นเฉิงไว้อยู่

เขาเลือดเย็น... สิ่งนั้นเป็นความจริง
แต่ในความเลือดเย็น... เขาก็มีหัวใจเช่นกัน

มีหัวใจที่พร้อมจะรักหากซิ่นเฉิงชายตามองเขาบ้าง

สวรรค์... เหตุใดถึงต้องส่งซิ่นเฉิงมาให้เขารักทั้งที่ใจยังมีแต่หลิวซูกัน?
-------------------------------
หายไปหลายวัน กลับมาแล้วววว
ทนอ่านตอนนี้ให้ผ่านไปก่อนเน้อ ตอนหน้าพี่หมากับเจ้าเหมียวจะเริ่มหวานกันละ (ก็เห็นบอกงี้มาตั้งหลายตอนละ 555)
ส่วนใครที่สงสารพี่งูในตอนนี้ บอกเลยว่าไม่ต้องห่วงนะคะ ในตอนพิเศษ พี่งูได้น้องลำยองมาเยียวยาจิตใจ แปะตัวอย่างในตอนพิเศษด้วยนิดนึง
**********************
"เจ้าจะเมาเช่นนี้ทั้งปีเลยรึ?"
เจี้ยนสือถามด้วยน้ำเสียงขุ่นข้อง เขารำคาญใจนักที่เห็นเด็กน้อยในวันวานที่ได้ช่วยชีวิตไว้ในทะเลทรายเติบใหญ่เป็นชายหนุ่มที่เอาแต่เมาหัวราน้ำอย่างนี้ทุกวี่วัน

ซานเยว่หรี่ตามอง อันที่จริงก็ไม่ได้หรี่ หากแต่ดวงตาปรือเพราะกำลังเมามายได้ที่ พลันส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
"ข้าจะเมาจนกว่าจะตายไปเลย"

จากนั้นก็ส่งเสียงดังไปทั่ว หัวเราะร่วนราวกับเป็นบ้า

เจี้ยนสือมองแล้วก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมา ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขาสนใจมนุษย์ผู้นี้ ทั้งที่ควรจะปล่อยให้สิ้นใจกลางทะเลทรายตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแท้ๆ แต่ทว่า...

คิดแล้วก็นึกถึงภาพใบหน้าของเด็กน้อยมอมแมมที่พลัดหลงกับเผ่าขึ้นมา ใบหน้าจิ้มลิ้นนั้นยากที่จะปล่อยให้ตายอย่างเอน็จอนาถเหลือเกิน กลายเป็นว่าเขาต้องฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ช่วยให้เด็กนั่นรอด แต่ผู้ใดเลยจะคาดคิดมาก่อนว่าเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาจะกลายเป็นคนกะล่อน อีกทั้งยังสำมะเลเทเมาเช่นนี้

คิดแล้วก็มองหน้าของซานเยว่ที่ตอนนี้ร้องรำไปตามประสาอย่างระอาใจ ก่อนที่อีกฝ่ายจะมาทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิยังเบื้องหน้าเขา
"แล้วเจ้าล่ะ เป็นผู้ใด ไยข้าถึงได้พบเห็นเจ้าบ่อยนัก"

ที่พบเจอบ่อยเป็นเพราะเฝ้าตามดูอยู่ตลอด แต่เจี้ยนสือไม่พูดออกไป จ้องมองใบหน้าแดงเรื่อของอีกฝ่ายแล้วสูดลมหายใจเข้าปอด

ซานเยว่หัวเราะโดยไร้เหตุผล ก่อนจะยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง มืออีกข้างจุ่มเข้าไปในไหสาโทที่มีน้ำเมาเหลืออยู่ที่ก้นไห
"ข้าว่าจะพูดตั้งนานแล้ว ท่าทางของเจ้า อีกทั้งยังดวงตา ช่างดูเหมือนงูจริงๆ"

เจี้ยนสือเลิกคิ้วเล็กน้อย...ก็แน่ล่ะสิ เขาเคยเป็นเทพอสูรผู้มีศีรษะเป็นงูจงอางมาก่อนนี่

กระนั้นก็ยังไม่ปริปากใดๆ ออกไปอีก ตั้งใจว่าจะกลับสู่สวรรค์ด้วยป่วยการจะพูดคุยกับคนที่เริ่มครองสติไม่อยู่ผู้นี้
ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ผุดลุกไปไหน ซานเยว่ก็ส่งเสียงออกมาอีก

"แต่ข้าชอบงูนะ"
เจี้ยนสือชะงัก เอ่ยปากออกมาจนได้ "เจ้าน่ะหรือ?"
"อือ ข้าชอบงู"
"เพราะเหตุใด" ถามออกไปด้วยอยากรู้ ในใจอุ่นวาบขึ้นมา

เขาเพิ่งจะเคยได้ยินมนุษย์เอ่ยปากว่าชื่นชอบอสรพิษเป็นครั้งแรก หากแต่คำตอบของซานเยว่ก็ทำให้เทพหนุ่มต้องหน้าตึง
"เพราะอร่อย เจ้าเหยี่ยวเองก็ชอบ ใช่ไหมเจ้าเหยี่ยว!"

ประโยคแรกพูดกับเจี้ยนสือ ประโยคหลังพูดกับสัตว์เลี้ยงของตน

เจ้าเหยี่ยวสีขาวตัวเขื่องที่เกาะอยู่บนขอนไม้ส่งเสียงรับราวกับเห็นด้วย ทำให้เจี้ยนสือต้องกลอกตา

ชอบงูเพราะรสชาติโอชา เห็นข้าเป็นของแกล้มสุราหรือไร!?

ถึงตอนนี้จะไม่ได้เป็นงูจงอางแล้ว แต่เจี้ยนสือก็เผลอคิดว่าตนเป็นเช่นนั้นอยู่อย่างลืมตัว ก่อนจะผุดลุกจากโขดหิน
"ข้าหมดเรื่องจะเสวนากับเจ้าแล้ว"
หมายจะกลับสู่สวรรค์ ทว่าซานเยว่ก็รีบผุดลุกมาคว้าแขนไว้เมื่อเห็นว่าคนแปลกหน้ากำลังจะจากไป ก่อนจะกลายเป็นว่าเขาเซถลาไปชนกับแผ่นอกของเทพหนุ่ม

เจี้ยนสือมองด้วยสายตาเคืองขุ่น กลิ่นเหล้าฉุนกึ้กที่ลอยเข้าจมูกนั้นช่างไม่ชวนให้พิสมัยเสียเลย แต่ความคิดนั้นก็ต้องเลือนหายไปเมื่อสบกับดวงตาคู่สวยที่ซานเยว่เคยใช้มองเขาเมื่อครั้งยังเยาว์วัย มันยังคงความไร้เดียงสาอยู่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระรัวเร็วเมื่อขยับริมฝีปากพูด

"งูเช่นเจ้าข้าก็ชอบ"
"พูดราวกับอยากจะกินข้า"
"ถ้าเจ้าอนุญาต ข้าก็จะกิน กินเจ้า กินให้หมด กินงูของเจ้า...อึ้ก"

ที่บอกว่าจะกินเขานั้นพอเข้าใจได้ว่าพูดไปเพราะความมึนเมา แต่กินงูของเขานี่มัน...

เจี้ยนสือนิ่วหน้า ความร้อนแล่นพล่านไปทั่วร่าง
เจ้ามนุษย์ผู้นี้จะรู้หรือไม่ว่าเขาคิดอกุศลไปไกลจนไม่สมกับตำแหน่งเทพสวรรค์ที่ดำรงอยู่ไปแล้ว...
**********************
ถ้าตามเพจหนูแดงอยู่ ก็จะได้อ่านสปอยล์แบบนี้บ่อยๆ ค่ะ 555
ฝากฟีดแบ็กให้ด้วยนะ ตอนนี้อาจจะอัปช้าหน่อยเพราะติดภารกิจช่วงงานหนังสือ แต่จะพยายามมาอัปให้ค่า
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 21: สัตว์เลือดเย็น[27/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 27-09-2017 09:52:33
สงสารพี่งู แต่อ่านจากตอนพิเศษตัวอย่างแล้วนางน่าสงสารกว่าเดิมอีก 555555  :m20:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 21: สัตว์เลือดเย็น[27/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 27-09-2017 10:15:55
คนเลวที่รักเธอออ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 21: สัตว์เลือดเย็น[27/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 27-09-2017 11:07:14
พี่งูเริ่มคิดได้ สวรรค์มีเมตตา ส่งน้องลำยองมาดามใจ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 21: สัตว์เลือดเย็น[27/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-09-2017 12:24:28
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 21: สัตว์เลือดเย็น[27/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Realy ที่ 27-09-2017 20:55:53
แหมะมีเรือผีผุดขึ้นในใจแวบๆ55555 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 21: สัตว์เลือดเย็น[27/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 28-09-2017 21:28:42
บทที่ 22: เสี้ยวอสูร

เทียนอี้ร้อนรนพาร่างของซิ่นเฉิงกลับมายังกระโจมตน พ่อบ้านเหลียงที่รออยู่ก่อนแล้วเพิ่งตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการเยียวยาอาการป่วยไข้ให้เสร็จเมื่อครู่ ก่อนที่จะเปิดทางให้ผู้เป็นนายได้วางมนุษย์หนุ่มลงหนังสัตว์นุ่ม

ซิ่นเฉิงยังคงสั่นเทา สติไม่สมประดี ทว่าปากกลับร้องเรียกแต่เจ้าหมาไม่ยอมหยุด น่าดีใจสำหรับเทียนอี้ที่จิตใต้สำนึกของคนตรงหน้าคะนึงหาแต่เขา หากแต่ไม่ใช่ในยามที่อีกฝ่ายสั่นเทาราวกับลูกนกแรกเกิด เทียนอี้ปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนตรงหน้าออก กายแกร่งคุดคู้ยิ่งกว่าเดิมด้วยหนาวทั้งในกายและผิวกายด้านนอก ก่อนที่เทพอสูรหนุ่มจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา

“ข้าจะเดินปราณให้เขาเพียงลำพัง เจ้าออกไปได้”

พ่อบ้านเหลียงอยากจะขันอาสาช่วยเหลือ แต่เห็นว่าเทียนอี้ไม่ประสงค์ให้ใครได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของมนุษย์หนุ่มจึงไม่ได้ทักท้วงใดๆ ยอมออกจากกระโจมไปแต่โดยดี

ครั้นกระโจมถูกปิดสนิทจนมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดมองลอดเข้ามาได้ ปราการที่บดบังช่วงล่างของซิ่นเฉิงอยู่ก็ถูกปลดเปลื้องออก การเดินปราณนั้นเป็นการขับไล่พิษออกจากร่างกายทางรูขุมขน ขณะที่พิษจะถูกขับออกมาทางเหงื่อ ที่ต้องเปลื้องผ้าก็เพราะต้องการให้พิษถูกระบายออกมาได้ดี

แม้จะรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป แต่เทียนอี้กลับรวมรวมสมาธิไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มือทั้งสองข้างพลันสั่นเทา ในใจสั่นไหวเมื่อนึกถึงครั้งที่สูญเสียหลิวซูไปขึ้นมา ตอนนี้เขารู้สึกเช่นนั้นอีกครั้งด้วยเกรงว่าจะสูญเสียซิ่นเฉิง น่าแปลกนัก ทั้งที่ไม่ใช่คนเดียวกัน แต่ในใจของเทพอสูรกลับรวดร้าวขึ้นมา จะว่าไปแล้ว การนึกว่าจะต้องสูญเสียซิ่นเฉิงนั้นสร้างความเจ็บปวดให้กับเขามากกว่าครั้งที่สูญเสียหลิวซูไปอีก อาจจะเพราะด้วยเขาไม่เคยยับยั้งชั่งใจในการมอบใจให้กับซิ่นเฉิงก็เป็นได้ ซึ่งต่างจากหลิวซูด้วยเขาตระหนักดีว่าในใจของหลิวซูมีผู้ใด หากจะพูดก็อาจจะต้องพูดว่าเพราะรักซิ่นเฉิงมากกว่า เขาถึงได้อยู่ไม่สุขเช่นนี้

เทียนอี้สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อตั้งสติ ก่อนจะจัดท่าของซิ่นเฉิงให้นอนราบหงาย ซิ่นเฉิงขดตัวอีกครั้งด้วยต้องการความอบอุ่น ทว่าเทียนอี้ไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น เอนกายลงเคียงข้าง วางฝ่ามือที่ปล่อยลมปราณออกไปลงบนหน้าหัวไหล่ ลูบไล้แผ่วเบาให้ไอร้อนจากฝ่ามือคลายความหนาวสั่นให้กับอีกฝ่าย

“เฉิงเฉิง...เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร”

ปากพึมพำ แววตาสั่นไหวระริก ขณะที่ซิ่นเฉิงซุกตัวเข้าหาขนนุ่มในทันที พลันเทียนอี้ก็บอกกับตนเองว่ารอช้าไม่ได้ สีหน้าซีดเผือดและริมฝีปากแห้งผากของซิ่นเฉิงน่ากลัวเกินกว่าจะรั้งรอ ก่อนที่เขาจะลากลูบฝ่ามือจากหัวไหล่ไล่ลงต่ำไปยังท่อนแขน เมื่อร่างกายร้อนผะผ่าวพอจะหยุดสั่นเครือลงบ้างแล้ว เขาถึงลากฝ่ามือไปยังอวัยวะส่วนอื่น

อันที่จริงแล้ว การเดินลมปราณนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากขนาดนี้ แค่ใช้ฝ่ามือส่งผ่านปราณไปที่แผ่นหลัง เท่านั้นก็ช่วยให้ธาตุให้ร่างกายของผู้ป่วยกลับคืนสู่สมดุล แต่ที่เทียนอี้บรรจงเดินปราณให้เสียทุกสัดส่วนเช่นนี้หาใช่เพราะต้องการให้ซิ่นเฉิงได้หายกลับสู่ปกติในเวลาอันสั้นเพียงอย่างเดียว ทว่าเป็นเพราะเขาต้องการที่จะชำระล้างกลิ่นสาบงูของเจี้นนสือออกจากร่างนี้ด้วยต่างหาก

เขาจะล้างมันออกด้วยกลิ่นของเขา...

ความหวงแหนเข้าครอบงำเสียจนเทียนอี้ร้อนรุ่มในกายไปหมด แม้ปากจะไม่พูด แต่ในใจก็พร่ำพรรณนาออกมาราวกับสติวิปลาส

เฉิงเฉิงเป็นของข้า... เขาเป็นของข้า...

ไม่เพียงแต่พึมพำในใจ มือหนาก็เริ่มลากลูบไปตามหน้าท้องแกร่งอีกด้วย ไอร้อนจากร่างกายของซิ่นเฉิงที่แผ่กำจายออกมาราวกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ภายในทำให้เทียนอี้รับรู้ได้ว่าธาตุภายในนั้นแปรปรวนเพียงใด อันดับที่เขาควรทำคือทำให้ซิ่นเฉิงหยุดหนาวสั่น ทว่า...เมื่อฝ่ามือลูบไล้ผ่านผิวเนื้อไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขากลับอดรนทนไม่ได้ที่จะสัมผัสเรือนร่างของอีกฝ่ายด้วยริมฝีปาก

ปลายจมูกเปียกชื้นสัมผัสลงบนซีกหน้าก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ไล่ลงต่ำมายังลำคอและกกหู เทียวไล้วนอยู่อย่างนั้นไม่เลิกราราวกับกำลังพร่ำบอกด้วยการกระทำว่าหวงแหนคนที่อยู่ในอ้อมแขนมากเพียงใด

กลิ่นของเจี้ยนสือที่ทิ้งร่องรอยไว้ในยามตระกองกอดมนุษย์หนุ่มช่างชวนให้หัวเสีย แต่เทียนอี้ก็ทำได้เพียงระบายลมหายใจแรงๆ ออกมา แล้วเริ่มบรรจงจูบเพื่อกลบกลิ่นนั้นแทน

จุมพิตลงบนซีกหน้า ทว่าฝ่ามือกลับถูกลากลงมายังกลางหน้าท้องแกร่ง การกระตุกวูบน้อยๆ จากซิ่นเฉิงทำให้เทพอสูรสุนัขป่าไม่อาจหักห้ามใจให้กระทำเพียงดอมดมและจุมพิต เขาผละออกจากใบหน้าของชายหนุ่ม ไล่พรมจูบลงต่ำกระทั่งถึงยังแอ่งสะดืออย่างเชื่องช้า หากแต่ฝ่ามือกลับถูกดันขึ้นไปยังด้านบน หยอกเอินกับตุ่มไตเล็กๆ ที่แดงระเรื่อราวกับเมล็ดทับทิมเสียอย่างนั้น
ทั้งที่ควรจะนอนนิ่งด้วยสิ้นสติ ซิ่นเฉิงกลับมีปฏิกิริยาตอบรับกับสัมผัสนั้นขึ้นมาด้วยการแอ่นอกรับ อีกทั้งริมฝีปากแห้งผากก็ยังครวญเสียงแผ่ว น้ำเสียงแหบแห้งชวนให้กำหนัดในกายของเทียนอี้ก่อกำเนิด ทว่าก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากจะดันตัวขึ้นแล้วหันไปคว้าเอาถุงบรรจุน้ำมารินใส่ปากตน จากนั้นก็รินป้อนอีกฝ่ายด้วยการจุมพิต

หยดน้ำหลั่งริน ลำคอที่แห้งเป็นผุยผงก็ชุ่มฉ่ำ แต่สิ่งที่ชุ่มฉ่ำกว่านั้นคือส่วนล่างของมนุษย์หนุ่ม ครั้นเทียนอี้เหลือบมองก็เห็นว่าแก่นกายแข็งขืนขึ้นมา ส่วนปลายฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำหวานสีใส จากที่หมายจะเดินปราณให้ธาตุหยินหยางของซิ่นเฉิงสมดุล ก็กลายเป็นว่าลวนลามอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว

ไม่ได้ตั้งใจ... เทียนอี้ไม่อาจพูดคำนี้ได้เต็มปาก เขาใคร่จะครอบครองซิ่นเฉิงให้รู้แล้วรู้รอดด้วยต้องการประกาศว่าแท้จริงแล้ว ซิ่นเฉิงคือเจ้าแมวของเขา หาใช่ของเจี้ยนสือ ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ไม่มีสิทธิมาแตะต้องเรือนร่างเย้ายวนนี้ทั้งนั้น!

การเดินลมปราณจึงเป็นไปอย่างพิลึกพิลั่น ถ่ายทอดไออุ่นกระตุ้นธาตุในกายของชายหนุ่มให้สมดุลไป ขณะเดียวกันก็กินเต้าหู้[1]ไปอย่างเอร็ดอร่อย การดูแลคนป่วยของแม่ทัพเทพอสูรจึงกินเวลาไปนานเกือบชั่วยามหนึ่งเลยทีเดียว แต่การกระทำนั้นก็เรียกสติสัมปชัญญะของซิ่นเฉิงให้กลับมาได้เป็นอย่างดี

เปลือกตาบางค่อยๆ เปิดออกเมื่อร่างกายคลายพิษไข้ หากแต่ก็ไม่ได้คลายความร้อนรุ่มด้วยทันทีที่ลืมตาก็เห็นว่าเทียนอี้กำลังสาละวนวุ่นวายกับแก่นกายของตนอยู่ คราแรกที่รู้สึกหวามไหว ซิ่นเฉิงนึกว่าตนเองฝัน ทว่าพอเห็นร่างใหญ่อุดมไปด้วยขนฟูฟ่องก้มๆ เงยๆ ทั้งใช้มือรูดรั้ง ทั้งใช้ปากชิมไล้ เขาก็จะตระหนักได้ในอีกเสี้ยวพริบตาว่าความรู้สึกเสียวกระสันที่พร่างพรายมาตั้งแต่เมื่อครู่หาใช่ความฝัน แต่เป็นเพราะเขากำลังถูกลักหลับต่างหาก

เท่านั้นริมฝีปากแห้งผากก็เอื้อนเอ่ยออกมา

“เทียนอี้...เจ้า...ทำสิ่งใดน่ะ?”

หาได้ยากนักที่จะเอ่ยนามของคนตรงหน้าแทนคำว่าเจ้าหมา แต่ก็ไม่ควรถามว่าทำอะไรด้วยเห็นเต็มสองตาว่าเทียนอี้สาละวนกับการเดินลมปราณอยู่ หากทว่าตอนนี้เดินลมปราณผิดที่ผิดทางไปหน่อยก็เท่านั้น

เมื่อถูกเรียก เทียนอี้ก็เงยใบหน้าขึ้นมอง ทว่าก็หาได้ทำให้เขาหยุดมือได้ แม้ปากไม่ได้เลียไล้ แต่มือก็ยังคงรูดรั้ง “รู้สึกตัวแล้วหรือ?”

“หากไม่รู้สึก ก็คงไม่เห็นว่าเจ้ากำลังล่วงเกินข้าเช่นนี้หรอก” ซิ่นเฉิงตอบกลับพลางย่นคิ้ว
“ดีจริง ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่”
ซิ่นเฉิงย่นคิ้วหนักขึ้นไปอีก

ปากบอกว่าห่วง แล้วเหตุใดแววตาถึงมีความเสียดายแฝงอยู่กันเล่า!?

เทียนอี้เก็บอาการไม่มิดเลยทีเดียว คงเกรงว่าซิ่นเฉิงจะดุด่าแล้วออกปากห้ามให้วุ่นวายกับร่างกายตน เขาถึงได้ดูสับสนในความรู้สึกถึงเพียงนี้ แต่ก็ยินยอมที่จะหยุดยั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายส่งสายตาไม่พอใจมาให้

“ขออภัยที่ล่วงเกินเจ้า ข้าเพียงไม่อยากให้ร่างกายของเจ้ามีกลิ่นของเจี้ยนสือ”

คำสารภาพตามตรง ผนวกกับใบหูที่ลู่ลงอย่างสำนึกผิดโดยไม่รู้ตัวนั้น ทำให้ซิ่นเฉิงโกรธไม่ลง อีกอย่าง แม้ในยามนี้เขาจะมีอาการดีขึ้นจากการเดินปราณของเทียนอี้แล้ว แต่ก็หาได้หมายความว่าจะหายจากอาการป่วยไข้เป็นปลิดทิ้งเสียหน่อย ในตอนนี้เนื้อตัวก็ยังรุมๆ ด้วยพิษไข้อุ่นๆ เขาไม่มีอารมณ์จะมาผรุสวาทตำหนิใดๆ คนตรงหน้าหรอก

“ช่างเถิด ข้าหาได้ถือสา”

ไม่ได้ถือสาจริงอย่างที่ปากว่า ตอนนี้อยากจะพักผ่อนมากกว่า พลันซิ่นเฉิงก็ทิ้งตัวลงนอน ท่าทางอ่อนเพลียทำให้เทียนอี้ไม่กล้าแตะต้องหรือทำการใดตามใจต่อ จึงได้แต่ขยับกายมาทิ้งตัวลงนอนเคียงข้าง ดึงอีกฝ่ายเข้ามากกกอดในแผงอก ซิ่นเฉิงหาได้ปฏิเสธการกอดรัดนี้ ออกจะรู้สึกดีด้วยซ้ำเพราะการได้นอนในอ้อมอกของเทียนอี้นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เขานอนหลับได้สนิทในช่วงนี้
ทว่า...เขาหาได้หลับอย่างสบายหรอกเมื่อเทียนอี้ขยุกขยิกไม่หยุด ใช้ปลายจมูกชื้นๆ ดอมดมบ้าง ใช้ริมฝีปากจรดจูบบ้าง มือลูบไล้ไปยังส่วนนั้นส่วนนี้บ้าง นั่นช่างสร้างความรำคาญใจให้กับซิ่นเฉิงยิ่งนักจนต้องออกปากแหว

“อะไรของเจ้านักหนา หากจะก่อกวนข้าถึงเพียงนี้ ก็ไม่ต้องให้ข้านอนหรอกเจ้าหมาโง่!”

เทียนอี้ถึงกับชะงักกึก ท่าทางซิ่นเฉิงคงจะสุดทนแล้วถึงได้หลุดปากสบถออกมา พลันใบหูตั้งๆ ก็ลู่ลงจนดูน่าสงสาร
“บนตัวของเจ้ายังมีกลิ่นของเจี้ยนสืออยู่”

ไม่เพียงแต่ใบหูเท่านั้นที่ดูน่าสงสาร น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบาและถ้อยคำนั้นก็ฟังดูน่าสงสารไม่แพ้กัน

ที่แท้เหตุที่ขยุกขยิกไม่หยุดเป็นเพราะเรื่องนี้... แต่สำหรับซิ่นเฉิง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด มันล้วนแล้วแต่ทำให้กำหนัดที่เขาพยายามข่มลงไปอุบัติขึ้นมาอีกครา

ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าส่วนกลางของลำตัวเขามันชูชันชี้ฟ้าอยู่ ใจคอจะกระตุ้นเร้าจนเขาไม่ต้องได้พักผ่อนเลยใช่ไหม!?

“ข้าขออภัย”

แม้ซิ่นเฉิงจะไม่ได้ต่อว่าออกมา แต่สบสายตาขุ่นๆ นั่นแล้วก็รับรู้ได้ว่าซิ่นเฉิงไม่พอใจ ซึ่งนั่นก็สมควรอยู่หรอก เขาหึงหวงเสียจนหน้ามืดตามัว กระทำการทุกอย่างลงไปโดยหาได้คำนึงว่ายามนี้อีกฝ่ายป่วยไข้อยู่ สมแล้วที่โดนก่นด่า

หากแต่การที่เทียนอี้มีท่าทีสลดลงแล้วเอาแต่ตระกองกอดเขาโดยไม่ปริปากใดๆ ออกมาอีกนั้น ทำให้ซิ่นเฉิงที่มองอยู่ต้องพ่นลมหายใจออกมา

ไม่ว่าคราใด เขาก็พ่ายแพ้ให้กับท่าทางหูตั้ง หางตกของเทพอสูรตรงหน้าทุกทีสิน่า...

สุดท้ายแล้วก็ใจอ่อน...

“จะทำการใดกับร่างกายข้าก็ย่อมได้ แต่อย่าให้มันได้ใจมากเกินไปล่ะ ไม่เช่นนั้น อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าก่อน”

แววตาของคนฟังประกายวาว หากซิ่นเฉิงไม่ได้ตาฝาด เหมือนกับว่าจะเห็นหางฟูฟ่องเป็นพวงของเทียนอี้กระดิกระริกระรี้ด้วย
“ข้าจะไม่รบกวนเจ้า เพียงแค่กลบกลิ่นของเจี้ยนสือให้หมดไปเท่านั้น”
“สุดแต่ใจเจ้าจะประสงค์”
ซิ่นเฉิงว่าอย่างระอา ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก รอให้เทียนอี้ได้กระทำกับร่างกายเขาตามอำเภอใจ

ปลายลิ้นอุ่นร้อนไล้เลียไปตามอณูผิวคล้ำแดดของบุรุษทะเลทรายอีกครั้ง ทั้งที่แก่นกายควรจะอ่อนนุ่มลงไปแล้ว พลันก็กลับแข็งขืนขึ้นมาอีก เทียนอี้เข้าครอบครองท่อนเนื้อชูชันด้วยปากอีกครา โรมรันด้วยลิ้นร้ายเสียจนซิ่นเฉิงที่แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกใดๆ ต้องครางเสียงต่ำในลำคอ

ไม่เพียงเท่านั้น เทียนอี้ยังได้ใจ ใช้มือหนึ่งช้อนสะโพกของคนใต้ร่างขึ้นสูง สอดนิ้วเข้าชำแรกสำรวจไปยังปากถ้ำ ช่องทางคับแคบถูกเปิดออกเมื่อถูกกระตุ้นเร้าเสียจนเผลอไผล ครานี้ซิ่นเฉิงถึงกับกระตุกเฮือกเมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายแตะต้องไปยังเม็ดมุกที่ฝังลึกอยู่บนผนังถ้ำด้านใน ก่อนที่เสียงเฉอะแฉะลามกดังมาให้ได้ยินในโสตทีละน้อย

ซิ่นเฉิงครวญเสียงพร่า มือทั้งสองจิกกำเส้นขนนุ่มของเทียนอี้ที่ผวาคว้ามาไว้ในมือเอาแน่นอย่างไม่อาจทนไหว ก่อนที่สะโพกสอบจะยกลอยในอากาศเมื่อหลั่งรินมธุรสหวานล้ำกระเซ็นออกมาเป็นสาย เทียนอี้บรรจงเลียไล้คราบคาวนั้นบนหน้าท้องของซิ่นเฉิงจนหมดสิ้น แต่ก็ยังไม่ถอนปลายนิ้วออกจากช่องทางคับแคบทางด้านหลัง ครั้นได้เพียงครู่ก็ขยับอีกครา ซิ่นเฉิงที่แม้ว่าจะสุขสมไปแล้วครั้งหนึ่งก็กลับแข็งขืนอีกระลอก แก่นกายไม่รักดีชูชนคล้ายกับดอกตูมของบุปผชาติจวนเจียนจะแย้มกลีบเชื้อเชิญให้เทียนอี้ซึ่งปฏิบัติตัวประหนึ่งภู่ภมรได้ดอมดมอีกครา

เมื่อแลเห็นก็อดรนทนไม่ไหว ครั้งนี้บรรจงจุมพิตจากส่วนปลาย ลากไล้ปลายลิ้นไปจนถึงโคน กระตุ้นเย้ากระทั่งอีกฝ่ายเกิดกำหนัด ธาตุในร่างกายที่เกือบจะสมดุลดีแล้วในตอนแรกแปรปรวนอีกครั้งราวกับพายุคลั่ง ซิ่นเฉิงถูกปลุกปั่นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ก่อนที่ความอดทนจะสิ้นสุดลงด้วยเทียนอี้ไม่กระทำไปมากกว่านั้นเสียทีจนเขาเป็นฝ่ายต้องปริปากออกมา

“เจ้าหมา...ทำอะไรสักอย่าง”

คนถูกร้องขอชะงัก เหลือบมองราวกับว่าไม่เข้าใจเพราะก่อนหน้านั้น ซิ่นเฉิงเป็นคนพูดเองว่าอย่าให้เขาได้ใจให้มาก แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงเป็นฝ่ายเรียกร้อง?

นั่นคือการแสร้งเขลา เทียนอี้รู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด ขณะที่สายตาฉงนของคนตรงหน้าทำให้ซิ่นเฉิงจำต้องพูดออกมาอีกครา

“กอดข้า...”
“ข้าเคยลั่นวาจาไว้จะไม่รั้งเจ้าไว้ด้วยวิธีนั้น”

ไม่ใช่ไม่อยากกอด แต่เป็นเพราะได้ให้สัตย์วาจากับตนเองไว้แล้วว่าจะไม่กระทำการใดให้ซิ่นเฉิงต้องบอบช้ำ โดยลืมไปแล้วว่าเขาบอกไว้ว่าจะไม่ทำก็ต่อเมื่อซิ่นเฉิงไม่ยินยอม

“ทำเถิดน่า ข้าไม่ได้คิดเล็กน้อยเรื่องนั้น”
แต่คราวนี้ยินยอมด้วยความเต็มใจ...

“แต่ก็หาใช่สิ่งที่สมควรทำไม่ ข้ามีร่างเป็นเทพอสูร เจ้าคงจะไม่ยินดีนักหากต้องเสพสังวาสกับกายนี้”

แต่แล้วเทียนอี้ก็มีข้ออ้างในทุกคำพูดที่ซิ่นเฉิงตอบโต้ ทำเอาคนที่นอนราบอยู่สบถออกมาอย่างหัวเสียจนฟังไม่ได้ศัพท์ พลันดันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล เทียนอี้ถอนนิ้วออกจากกายคนตรงหน้า หมายเข้าไปประคอง ทว่าก็โดนป่ายปัดออกอย่างไม่ไยดี ก่อนจะเป็นฝ่ายต้องประหลาดใจเมื่อซิ่นเฉิงลุกขึ้นมาทิ้งตัวนั่งคร่อมร่างเขาไว้ พร้อมกับใช้สองมือโอบกอดรอบลำคอ มือข้างหนึ่งดึงทึ้งเส้นขนสีเงินยวงที่แผงคอทางด้านหลังให้เทียนอี้ได้เงยหน้ามอง

“หากเจ้าไม่กอดข้า ข้าจะเป็นผู้กอดเจ้าเอง”
“เฉิงเฉิง...”
“เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่ากายของข้ามีกลิ่นของเจี้ยนสือ แค่เพียงกลบกลิ่นของเจ้างูนั่นด้วยการเล็มไล้ มันจะไปช่วยการใดกัน ต่อให้กลิ่นของเจี้ยนสือจางหาย แล้วใจของเจ้าเล่า หายตะขิดตะขวงอย่างนั้นหรือ?”

พูดยังไม่ทันจบ น้ำเสียงขุ่นของมนุษย์หนุ่มก็แทรกขึ้น ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาว่า ต่อให้กลิ่นของเจี้ยนสือหายไปแล้ว เทียนอี้ก็ยังคงหัวเสียอยู่ แม้จะไม่ได้แสดงออกมาแต่ก็ยอมรับว่าหงุดหงิดใจไม่น้อย นั่นเพราะเขาไม่มีสิทธิอันชอบธรรมในการอ้างว่าซิ่นเฉิงเป็นของตนอย่างเต็มภาคภูมิ

“แต่เจ้าจะต้องเสียใจหากได้ร่วมรักกับข้า”

แต่ก็เป็นเทียนอี้ที่คิดเล็กคิดน้อย เสียใจที่ว่านั้นคือการได้ผูกมัดแล้วพรากจากกัน

ทว่ากับซิ่นเฉิง เขาเป็นบุรุษทะเลทราย แม้จะไม่ได้เก่งกล้าสามารถดุจเทพเซียน แต่เขาก็ใจเด็ดสมกับเป็นนักรบของเผ่าเร่ร่อน

“ข้าจะเสียใจหรือไม่ คนตัดสินใจคือข้า เจ้าไม่ต้องมาตัดสินใจให้” ซิ่นเฉิงว่าเสียงขุ่นออกมา ก่อนจะออกแรงกระชากเส้นขนในกำมือให้เทียนอี้ได้สบตาชัดๆ แล้วว่าเสียงต่ำ “แต่ตอนนี้ข้ารู้เพียงว่าต้องการร่วมรักกับเจ้าเท่านั้น”

ไม่ได้พูดว่า ‘เสพสม’ หรือ ‘เสพสังวาส’ แต่บอกว่า ‘ร่วมรัก’

เท่านั้น เทียนอี้ก็ทึกทักไปเองแล้วว่าหากได้กอดกับคนตรงหน้า มันจะเป็นการผูกพันที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักใคร่ หาใช่การเชยชมร่างกายของกันและกันเพื่อความอภิรมย์ตามสัญชาตญาณกำหนัดของมนุษย์ คิดแล้วก็ใจเต้นระส่ำขึ้นมา ก่อนที่เขาจะชั่งใจไปครู่กระทั่งซิ่นเฉิงพูดขึ้นมาอีก

“แล้วเจ้าล่ะ ที่กินเต้าหู้ข้ามาตั้งนานสองนาน ไม่ใช่เพราะอยากร่วมรักกับข้าหรือไร”
“ผู้ใดบอกเจ้ากันว่าข้าไม่อยากร่วมรักกับเจ้า”
เทียนอี้รีบแก้ตัวทันควัน ทำเอาซิ่นเฉิงมุ่ยหน้าหนัก
“เช่นนั้นเจ้ารั้งรอการใดอยู่”
“เพราะเจ้าป่วย”
“เจ้าเดินลมปราณพิลึกพิลั่นให้ข้า ข้าเลยมีอาการดีขึ้นแล้ว” เป็นซิ่นเฉิงแล้วที่เถียง

นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เทียนอี้รั้งรอหรอก แต่เป็นเพราะเหตุผลอื่นมากกว่า หนึ่งก็คือเกรงว่าการมีสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งจะเป็นการผูกมัดให้ซิ่นเฉิงที่อยากจะไปจากเขาลังเลใจขึ้นมา อีกหนึ่งก็คือ...รูปโฉมอันอัปลักษณ์ของเขา

ไยเทียนอี้จะไม่รู้ล่ะว่าซิ่นเฉิงหลงใหลในร่างอดีตเทพของเขาเพียงใด แต่เขาในตอนนี้อยู่ในร่างของเทพอสูร หากจะต้องร่วมรักกันก็คงจะต้องไปกลางแจ้ง ทว่าซิ่นเฉิงในยามนี้ยังคงมีไข้อยู่ คงจะกระทำเช่นนั้นไม่ได้

“ไว้เจ้าหายดีเมื่อไร ค่อยว่ากันอีกครา”
“ท่ามากนักนะเจ้าหมา” ซิ่นเฉิงแสร้งดึงขนอีกฝ่ายด้วยหมั่นไส้

เทียนอี้เริ่มจะเจ็บขึ้นมาน้อยๆ ในคราวนี้แล้ว ก่อนจะต้องยอมปริปากพูดออกมาเมื่อถูกซิ่นเฉิงเค้นถาม

“ทำเป็นเย้าข้า หยอกล้อกับร่างกายข้า แต่เมื่อข้าสมยอม เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่ปฏิเสธกัน คิดจะแกล้งข้าเล่นให้เป็นที่อับอายใช่ไหม!?”
“หาใช่เช่นนั้น ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้เจ้าได้ร่วมรักกับร่างกายเช่นนี้ต่างหาก”

พอได้ยิน ซิ่นเฉิงก็นิ่งงัน
“ร่างกายเช่นนี้?”
“รูปลักษณ์เทพอสูรที่เจ้าเห็นคงจะทำให้เจ้าตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย และมันคงจะไม่น่าพิสมัยด้วยหากจะต้องถูกร่างอัปลักษณ์นี้สมสู่”

ได้ยินความ ซิ่นเฉิงก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเทียนอี้ถึงได้ลังเล ก่อนจะถามเสียงเขียวออกมา

“ข้าเคยว่าเจ้าอัปลักษณ์หรือ? หรือมีผู้ใดเอ่ยกัน หากมีก็จงบอกข้า ข้าจะไปตัดลิ้นมันเสียให้สิ้น”

คำขู่ทิ้งท้ายอย่างไม่จริงจังทำเอาเทียนอี้หัวเราะในลำคอเล็กน้อย สิ่งนั้นคือการปลอบประโลมเขาใช่หรือไม่?

ใช่อย่างแน่นอน เพราะซิ่นเฉิงเองก็เผยอยิ้มออกมาเมื่อพูดจบเช่นกัน ก่อนที่มือซึ่งขยุ้มเส้นขนสีเงินยวงอยู่จะคลายออกมาสอดทางด้านในและลูบไล้ที่หลังคอของเทียนอี้แทน

“เป็นเจ้าที่ตำหนิตนเองว่าอัปลักษณ์ ข้าหาได้เคยพูด และก็หาเคยได้ยินผู้ใดพูดเช่นกัน ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ที่บอกเองว่ามีใจปฏิพัทธ์ต่อข้า เมื่อข้าเปิดโอกาสให้ เจ้าก็ควรจะคว้าโอกาสนั้นไว้ อย่าโง่เขลาให้มากนักเจ้าหมา”

“แต่มันจะดีหรือหากเจ้าต้องเป็นหนึ่งเดียวกับข้ ข้าเป็นเทพอสูร อันที่จริงต้องเรียกว่าอสูรเฉยๆ เสียด้วยซ้ำ คำกล่าวเรียกเทพนั้นเป็นเพียงยศฐาที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง”

ถึงกระนั้น เทียนอี้ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี ซิ่นเฉิงเพิ่งรู้ในตอนนี้ว่าคนที่หนักแน่นอย่างเทียนอี้หวั่นไหวได้อย่างมากเมื่อความรู้สึกนั้นเกี่ยวข้องกับความรัก พลันคนฟังก็พ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา แล้วใช้มือบีบปากกับจมูกยาวๆ ของเทียนอี้ในร่างเทพอสูรไว้มั่น

“ข้ายินดีที่จะเป็นเสี้ยวหนึ่งของอสูร หากคำว่ารักที่หลุดออกมาจากปากเจ้าเป็นเรื่องจริง”

ได้ยินแล้ว เทียนอี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะรั้งรออีกต่อไป แม้ซิ่นเฉิงจะไม่ได้เอ่ยคำว่า ‘รัก’ แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีใจตรงกัน

จุมพิตประทับลงมาบนเรียวปากนุ่ม สอดใส่ปลายลิ้น เกี่ยวกระหวัดกันอย่างโหยหา ท่อนแขนโอบกอดเรือนร่างเปล่าเปลือยของอีกฝ่ายมั่น ฝ่ามือเคล้นคลึงไปตามเนินเนื้อหนั่นหนักหน่วงรุนแรง ความยับยั้งชั่งใจมลายสิ้น เทียนอี้ยกร่างของซิ่นเฉิงให้ขึ้นสูงเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบเสียงพร่าบอกอีกฝ่ายที่ข้างใบหู

“จะกอดข้ามิใช่หรือ? ทำสิเจ้าแมว”

ถึงจะถูกยั่วเย้า แต่บุรุษทะเลทรายก็หาได้เขินอาย คำพูดที่คล้ายจะท้าทายทำให้เขาค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งลงบนแก่นกายอุ่นร้อนของเทียนอี้ที่ตั้งตระหง่านด้วยกำหนัดทีละน้อย ใบหน้าเหยเกตามความอึดอัดคับแน่นที่พร่างพรายเข้ามาในช่องท้อง ถึงจะเป็นบุรุษ ทว่าเขาก็หาได้เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายกับสตรีใดมาก่อน บุรุษเองก็เช่นกัน นับว่าเทียนอี้เป็นผู้แรกที่ได้ยลเย้าร่างกายของเขา

ครั้นส่วนปลายของความเป็นบุรุษเพศหายเข้าไปในร่างของคนตรงหน้า เทียนอี้ก็ประคองสะโพกอีกฝ่ายเอาไว้ให้ก่อนค่อยๆ กดลงอย่างเชื่องช้าจนสุดโคน ความเสียวกระสันพร่างพราย ซิ่นเฉิงครวญเสียงดังเฮือกออกมา พลันแววตาก็ประกายเย้ายวนชวนมอง สิ่งนั้นกระตุ้นกำหนัดของเทียนอี้ได้เป็นอย่างดี ยิ่งชายหนุ่มเคลื่อนไหวเป็นจังหวะทีละน้อยด้วยแล้ว เทียนอี้ก็สูญเสียซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง ครั้นเจ้าแมวร้ายควบสะโพกถี่เร็วกว่าเดิมอย่างหนักหน่วงรุนแรง ความอดทนทั้งหมดก็มลายสิ้น อดไม่ไหวที่จะเป็นฝ่ายจับร่างของซิ่นเฉิงให้นอนราบ ยกท่อนขาแกร่งทั้งสองพาดไว้บนบ่า จากนั้นก็เคลื่อนสะโพกเข้าหาเอวสอบกระชั้นถี่

เสียงครวญหวนระคนเสียงหายใจหอบหนักดังแผ่วมาให้ได้ยินไม่หยุด อีกเพียงนิด ทั้งคู่ก็จะสุขสมอภิรมย์แล้ว ทันทีที่สวรรค์พร่างพรายขึ้นในภวังค์ราวกับฟ้าเปิด ทั้งสองก็ผวาเข้ากอดกันแนบแน่นราวกับกลัวว่าจะถูกพรากจากกัน ในอกของเทียนอี้ยามนี้พร่างพรายไปด้วยคำว่ารักที่เปี่ยมล้น

รัก...เขารักซิ่นเฉิง รักมากกว่าผู้ใด

คนผู้นี้คือเสี้ยวหนึ่งของอสูรเช่นเขา...

ขณะที่ซิ่นเฉิงเองก็ซุกใบหน้าลงกับเส้นขนนุ่ม มือขยุ้มขนบนบ่าแกร่งเอาไว้ประหนึ่งเด็กเล็กๆ ที่ยังคงติดผ้าคลุมผืนโปรดของมารดา พลันในใจก็อุ่นวาบขึ้นมาเมื่อเทียนอี้กระซิบเสียงพร่าลงมาที่ข้างหู

“ซิ่นเฉิง...ข้ารักเจ้า”

เป็นการพร่ำบอกจากใจจริง บัดนี้ในใจของเทียนอี้หาได้มีเงาของหลิวซูทับซ้อนใบหน้าของซิ่นเฉิงอยู่เลยแม้แต่น้อย หัวใจของเขาทั้งหมดถูกมอบให้กับซิ่นเฉิงไปเสียสิ้น ขณะที่หลิวซูถูกเก็บเอาไว้ลึกสุดใจ

เมื่อพลัดพรากจากกันไปแล้ว ก็ขอให้เหลือเพียงแค่ความทรงจำ ณ เวลานี้ เขาจะมองแต่ซิ่นเฉิงเพียงผู้เดียวเท่านั้น

ซิ่นเฉิงไม่ปริปากใดๆ ออกมา ซุกใบหน้าเข้าหาอีกฝ่ายมากกว่าเดิม แรงขยุ้มเส้นขนที่ทวีมากขึ้นนั้นเป็นคำตอบให้กับเทพอสูรผู้นี้แล้วว่าชายหนุ่มเองก็คิดสิ่งใด

รัก...

ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน เจ้าหมา...


[1] เป็นสำนวนเปรียบเปรย มีความหมายว่าลวนลาม



มาเต็มตอนแล้วค่ะ เปลี่ยนชื่อตอนนิดหน่อยเพื่อให้เข้ากับเนื้อหาในเรื่องเพราะก่อนหน้านั้นอัปตัวอย่างที่เว็บอื่นไปแล้ว
ส่วนพี่หมากับน้องแมว กว่าเขาจะได้เสียกันก็ปาไป 3 ใน 4 ของเรื่อง ลีลาเหลือเกิ๊นนน! 555
แต่พี่หมาหล่อล่ำ ขนฟู หูตั้ง หางกระดิก หื่นนิดๆ พอเป็นกระษัย เล่นท่ายากอีกต่างหาก ให้อภัยได้ 555

ตอนนี้หวาน ตอนหน้าก็หวาน หวานให้น้ำตาลขึ้นตา ให้มดตายกันไปเลย
ฝากฟีดแบ็กกันด้วยนะคะ กรีดร้องกันเต็มที่ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาแปะตัวอย่างตอนใหม่ให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-09-2017 21:46:15
 :katai2-1: :mc4: o13 :mc4: :katai2-1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Realy ที่ 28-09-2017 23:13:22
คงไม่ใช่ว่าน้ำตาลหวานขึ้นตาแล้วเบาหวนตามมาติดๆน่ะ o18 :laugh:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 28-09-2017 23:24:24
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 29-09-2017 08:45:40
พี่หมานี่เล่นตัวสุดๆบอกเลย
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 29-09-2017 08:49:28
ไม่น่าป็นหลิวซู
ในที่สุดดดดดด ทั้งคู่ก็ผูกพันทางกาย
แล้วจะเป็นไงต่อเนี่ย
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-09-2017 09:27:10
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 29-09-2017 11:35:07
 :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 29-09-2017 19:54:58
เจาได้กันแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ กว่าจะได้กันคุยกันยาวมากกกก อิอิ ต้องให้เฉิงเฉิงลุย อิอิ  แบบนี้ต้องมีหวานกว่านี้เยอะๆๆๆน่ะ ไปจมกองเลือดแปป ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kawaiichibi ที่ 30-09-2017 09:14:53
ยอมแพ้กับความหูลู่ หางตกทุกทีเลย ขอโทษนะพี่งู จำเป็นต้องขึ้นเรือพี่หมาแล้วล่ะ :o8: :o8:
เดี๋ยวรอคนใหม่นะพี่งู  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 30-09-2017 15:54:41
เราไปเจอทวิตนึงมาค่ะเห็นแล้วนึกถึงเรื่องนี้เลย   ทะเลสาบจันทร์เสี้ยวกลางทะเลทราย

https://twitter.com/ap_inspire/status/914014150677770240
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 01-10-2017 08:07:00
เราไปเจอทวิตนึงมาค่ะเห็นแล้วนึกถึงเรื่องนี้เลย   ทะเลสาบจันทร์เสี้ยวกลางทะเลทราย

https://twitter.com/ap_inspire/status/914014150677770240

ไปเห็นรูปนี้มาเหมือนกันค่ะ เลยเอามาเซ็ทติ้งเวิร์ลซะเลย สวยเนอะ ^^
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 01-10-2017 08:12:12
บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[1]

ราตรีนั้นช่างเร่าร้อนไม่ต่างจากพิษไข้ที่กัดกินร่างกายของซิ่นเฉิง แม้จะรู้ดีว่าร่างกายของอีกฝ่ายไม่สมบูรณ์ดีนัก หากฝืนบังคับให้ออกแรงมากก็ย่อมมีแต่ผลเสีย การพักผ่อนจะเป็นสิ่งที่สมควรทำมากกว่า แต่ถึงจะรู้เช่นนั้น เทียนอี้ก็มิอาจหักห้ามใจตนเองได้แม้แต่น้อย เมื่อได้เชยชมเรือนร่างนั้นอย่างลึกซึ้งเป็นครั้งแรก ครั้งที่สองและสามย่อมตามมา ไม่นาน มนุษย์หนุ่มก็ออกอาการอ่อนล้าให้เห็น จนสุดท้ายแล้ว เทพอสูรสุนัขป่าก็จำต้องปล่อยมือออกจากร่างนั้นอย่างเสียดายด้วยไม่ต้องการให้ซิ่นเฉิงป่วยไข้ไปมากกว่านี้

อรุณรุ่งก้าวย่าง ความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างเทียนอี้และซิ่นเฉิงก็เป็นอันถูกเปิดเผย ไม่มีใครเอ่ยปากพูดถึงเรื่องนี้ แต่กลิ่นสาปสางของเทพอสูรสุนัขป่าที่อบอวลอยู่ในกายของซิ่นเฉิงนั้นคือสิ่งที่เล่าเรื่องราว เจี้ยนสือถึงกับปั้นสีหน้าน่ากลัวอย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อคิดไปว่าซิ่นเฉิงจะต้องอยู่ใต้ร่างของสหาย ความหัวเสียที่สูญเสียสิ่งที่หวงแหนไปให้ผู้อื่นครอบครองพานให้เขาระบายอารมณ์ใส่กับทหารผู้ใกล้ชิดเสียหลายราย อารมณ์ไม่คงที่ของแม่ทัพใหญ่น่ากลัวว่าจะทำให้ทัพปรวนแปรยิ่งนัก แต่เขาก็หาได้ทำสิ่งใดได้มากไปกว่านี้ ในเมื่อซิ่นเฉิงเป็นผู้ยินดี คนที่ไม่ได้ครอบครองเช่นเขาก็จำต้องยอมพ่ายแพ้ พร้อมกับบอกตนเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าคนที่เขารักใคร่นั้นคือหลิวซู หาใช่ซิ่นเฉิง การที่เทียนอี้มีใจปฏิพัทธ์กับซิ่นเฉิงเป็นสิ่งที่ดีแล้ว เพราะหากหลิวซูกลับมาเมื่อไร เขาจะได้ครองรักกับยอดดวงใจโดยไร้ซึ่งมารขัดขวาง

ขณะที่เมื่อพ่อบ้านเหลียงกับหมิงจูได้รับรู้เรื่องนั้น ทั้งสองก็พากันนิ่วหน้าจนใบหน้าดำมืดไปเสียหลายส่วน

สิ่งนั้นคืออาเพศ!

พลันอดตัดพ้อในใจไม่ได้ว่าทั้งที่อุตส่าห์ช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถให้ทั้งสามหลุดพ้นจากการลงทัณฑ์ของสวรรค์ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจหนีพ้นด้วยไม่อาจสลัดบ่วงที่รัดคอออกได้ มิหนำซ้ำยังจะทำให้รัดแน่นมากขึ้นไปอีก

เกินกว่าจะช่วยเหลือได้แล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์ แต่ก็มีเพียงพ่อบ้านเหลียงและหมิงจูเท่านั้นที่คิดว่าสิ่งนั้นคืออาเพศ สำหรับเทียนอี้ ผูกสัมพันธ์หนึ่งเดียวคือความน่าหลงใหล ตั้งแต่ราตรีนั้น เขาก็มิอาจห่างกายซิ่นเฉิงได้เลยแม้แต่ครู่เดียว เมื่อจำต้องเดินทางก็คอยควบม้าเทียบเคียงข้างไม่ห่าง ยามหยุดพักก็นอนคู่เคียงหลับใหล เป็นที่น่ารำคาญใจให้กับเทพอสูรบางตนยิ่งนัก แต่เขาก็หาได้สนใจ นอกเสียจากจะกระทำในสิ่งที่ตนประสงค์เท่านั้น

ราตรีนี้ก็เช่นกัน ครั้นการเดินทางได้สิ้นสุดลง เขาก็เตรียมตัวหมายจะขับกล่องซิ่นเฉิงให้หลับใหลในอ้อมอก ทว่า...หากปล่อยให้เข้าสู่ห้วงนิทราโดยไม่ได้สัมผัสเรือนร่างกันอย่างลึกซึ้งก็ช่างน่าเสียดาย เขาจึงจัดการกลืนกินอีกฝ่ายด้วยความละโมบ ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ปฏิเสธ ยินยอมเสพสมร่วมอภิรมย์ตามประสาชายหนุ่มวัยฉกรรจ์

การร่วมรักผ่านไปราวสามครั้ง ร่างกายของซิ่นเฉิงอ่อนล้าจึงจำต้องล้มตัวลงนอน สิ้นสุดการเริงรักกับอีกฝ่ายเพียงเท่านี้ หากแต่เทพอสูรผู้นั้นกลับยังไม่พอเพียง ครั้นเห็นมนุษย์หนุ่มนอนตะแคงหันหลังให้ก็ขยับเข้าไปตระกองกอด อันที่จริงคราแรกก็หมายจะให้อีกฝ่ายได้พักผ่อน แต่เมื่อได้กลิ่นกายยาหอมหวนแล้วก็อดใจไม่ไหวที่จะออดอ้อน

“เฉิงเฉิง...”
เจ้าหมาครางเรียกพร้อมกับซุกใบหน้าเข้าที่หลังต้นคอ ซิ่นเฉิงที่เคลิ้มเกือบจะหลับอยู่แล้วเมื่อครู่นี้ถึงกับนิ่วหน้า

เรียกอย่างนี้คงจะประสงค์สิ่งใดอยู่แน่!

ชายหนุ่มรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ซึ่งก็จริงอย่างที่คาดคิด เมื่อไม่ตอบ เทียนอี้ก็สอดฝ่ามือเข้าไปใต้อาภรณ์ ลูบไล้ยังหน้าท้องอีกฝ่าย ขณะที่จมูกและปากก็คลอเคลียอยู่ที่ซอกคอคนในอ้อมแขนไม่ห่าง ทำเอาซิ่นเฉิงถึงกับต้องแหวเสียงขุ่นออกมา
“เมื่อครู่ก็ร่วมรักกับเจ้าไปหลายคราแล้ว ยังไม่พออีกหรือไร”

เทียนอี้ชะงักไปเล็กน้อย ใช่... เขายังไม่พอ ยิ่งคิดว่าอีกไม่นาน ซิ่นเฉิงก็จะจากไป เขาก็อยากจะตักตวงความสุขนี้ไว้ ผู้ใดจะหาว่าละโมบหรือมากราคะก็ช่าง เขาต้องการแต่ร่างกายและไออุ่นจากซิ่นเฉิงเท่านั้น

“อีกครั้งเดียว”
ปากพึมพำต่อรองออกมาเพราะรู้ดีว่าซิ่นเฉิงจะต้องปฏิเสธแน่ ทว่าการต่อรองไม่เป็นผลเมื่ออีกฝ่ายปัดมือออก แล้วดันตัวขึ้นนั่ง
“ไข้เพิ่งจะหาย อีกทั้งยังเดินทางมาทั้งวัน ถูกเจ้าเชยชมครั้งเดียวยังพอทนเพราะข้าเองก็ต้องการให้เจ้ากอด แต่หลายครั้งหลายคราไม่หยุดหย่อน มิหนำซ้ำยังไม่ให้ข้าพัก จะได้ใจเกินไปแล้วเจ้าหมา”

เทียนอี้ดันตัวลุกขึ้นมานั่งบ้าง ใบหูลู่ตกเมื่อถูกตำหนิ แต่ปากก็ยังแก้ตัว
“ก็เจ้ายั่วยวนข้า”
ซิ่นเฉิงถึงกับสบถเสียงลมออกมา

ยั่วยวนหรือ? พูดจาผายลมอันใดกัน ข้าก็นอนของข้าเฉยๆ!

อยากจะก่นด่านัก หากแต่ทำเพียงยื่นมือไปดีดจมูกเปียกชื้นของคนตรงหน้าเสียเต็มแรง
“อย่ามาโทษข้า เจ้าหน้าขน”

เทียนอี้นั่งนิ่ง จ้องมองซิ่นเฉิงด้วยแววตาเว้าวอนด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายมักจะพ่ายแพ้ให้กับท่าทางนี้ของเขา ทว่า...ซิ่นเฉิงใจแข็ง เขารู้ดีว่ากำลังถูกตะล่อม จึงพูดออกมาอีก
“ไม่ต้องมามองข้าเช่นนั้น วันนี้ข้าเหนื่อย จะนอน”

จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอน หันหลังให้ราวกับไม่สนใจ ขณะที่เทียนอี้นั่งนิ่งอยู่อย่างเดิม

แรงกดดันมหาศาลจากคนทางด้านหลังทำให้ซิ่นเฉิงไม่อาจข่มตาหลับ หงุดหงิดใจด้วยรู้สึกได้ว่าถูกเทพอสูรสุนัขป่าจ้องมองไม่วางตา อีกทั้งยังเป็นสายตาเว้าวอน ครั้นหันไปก็เห็นว่าเทียนอี้ยังคงนั่งสลดอยู่อย่างนั้น สุดท้ายแล้ว คนใจแข็งในตอนแรกก็จำต้องดันตัวขึ้นนั่งอีกคราแล้วโพล่งออกไป

“เออ! ข้ายอมเจ้าแล้ว แต่อีกครั้งเดียวเท่านั้นนะ ข้าจะได้นอน”

เทียนอี้ยกยิ้มกว้างออกมา ไม่เว้นแม้แต่ดวงตาที่หยักยิ้มไปด้วย เป็นรอยยิ้มที่น่าเอ็นดูที่สุดเท่าที่ซิ่นเฉิงเคยเห็นมา อีกทั้งใบหูที่ลู่ลงก็ตั้งชันขึ้น เมื่อมองไปยังหาง... กระดิกไปมารุนแรง เก็บอาการไม่อยู่เลยทีเดียว

เจ้าหมาโง่...

คนมองหัวเราะในลำคอออกมา แม้ปากจะปฏิเสธ แต่ในใจกลับน้อมรับความโหยหาของเทียนอี้อย่างเต็มที่ ด้วยรู้ดีว่าใจของตนก็รักใคร่อีกฝ่ายเพียงใด ถึงจะไม่เคยพูดออกไป ทว่าการกระทำก็ค่อนข้างชัดเจน กระนั้นเทียนอี้ก็ไม่เอ่ยถามคาดคั้นให้ต้องพูดออกมาด้วยรู้ว่าอีกไม่นานก็ต้องจากกันตามปรารถนาของซิ่นเฉิง ดังนั้นเขาจึงขอตักตวงความสุขให้มากเท่าที่จะทำได้ในยามนี้



 
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 22: เสี้ยวอสูร[28/9/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 01-10-2017 08:12:44
บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[2]

กว่าบทรักหวามไหวผ่านพ้นไปก็ปาไปเสียค่อนคืน ซิ่นเฉิงหลับใหลในอ้อมอกของเทียนอี้ด้วยความเหนื่อยอ่อน เสียงกรนเบาๆ ที่เล็ดลอดออกมาทำให้เทพอสูรที่ยังไม่เข้าสู่ห้วงนิทราอดไม่ได้ที่จะลูบซีกหน้าคร้ามของอีกฝ่ายอย่างเบามือ สายตาทอดมองไปยังเจ้าของดวงหน้าหยาบกร้านอย่างรักยิ่ง

รัก...รักมากกว่าผู้ใด

ในใจพร่ำพรรณนาเช่นนั้นไม่หยุดหย่อน จนเทียนอี้เองก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขามอบใจให้กับซิ่นเฉิงทั้งหมดอย่างที่เป็นอยู่เช่นนี้ ทั้งที่ก่อนหน้า เขาเอาแต่เฝ้าคะนึงหาการกลับมาของหลิวซู

ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ยอดดวงใจของเขาแปรผันกลายเป็นคนที่อยู่ในอ้อมแขน หาใช่คนรักที่มีใจปฏิพัทธ์มาถึงสองชาติ?
ความสงสัยพร่างพราย หากแต่ไม่รู้สึกผิดแต่น้อย หากหลิวซูรู้ก็คงจะยินดียิ่งที่เขาปล่อยวางจากรักที่ไม่อาจสมหวังได้เสียที
เทียนอี้ค่อยๆ ขยับกายอย่างเชื่องช้า ผละออกมาโดยไม่ต้องการทำให้ซิ่นเฉิงตื่น ครั้นลุกขึ้นยืนได้ก็พาตัวเองผลุบออกไปนอกกระโจมเพื่อคิดใคร่ครวญบางอย่างเพียงลำพัง

สายลมเย็นโบกโบย เทียนอี้เงยหน้ารับแสงจันทราที่สาดส่องลงมายังเรือนร่าง ร่างใหญ่โตของเทพอสูรแปรเปลี่ยนเป็นร่างของอดีตเทพ พลันก็ยกมือขึ้นจ้องมอง ในครานี้ไม่ได้เจ็บช้ำที่ตนกลายร่างเป็นครึ่งเทพครึ่งอสูรอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเป็นที่รักของซิ่นเฉิงไม่ว่าจะมีร่างกายอย่างใด

สองขาพาตนก้าวออกไปข้างหน้า กระทั่งห่างออกจากค่ายทัพ บรรยากาศรอบด้านมืดมิดกว่าเดิม มีเพียงแสงจากดวงดาราและดวงจันทร์เท่านั้นที่ทอประกายให้พอมองเห็น

ทะเลทรายยังคงเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา หากแต่หัวใจของเขาหาได้เวิ้งว้างดั่งเช่นทะเลทรายดังที่เคยเป็น ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปหยิบเอาบางสิ่งที่ห้อยติดเอวมาตลอดหลายร้อยปีออกมาถือไว้ในมือ

ถุงหอมของหลิวซู...

พลันในใจก็เอ่ยถาม

นานเท่าไรกันนะที่ข้าเก็บเจ้าไว้กับตัวเช่นนี้?



 
ยามหลิวซูถูกเจี้ยนสือขับไล่ไสส่ง ไยเทียนอี้จะไม่เห็น เขาจดจำทุกการกระทำของสหายและอดีตเทพชั้นผู้น้อยได้ดี ภาพหลิวซูหลั่งน้ำตาให้กับความร้ายกาจของเจี้ยนสือที่ได้กระทำต่อตน ทำให้เขาซึ่งแอบลอบดูอยู่ภายนอกจวนถึงกับต้องเบือนหน้าหนี ครั้นจะให้เข้าไปกอดปลอบประโลมก็มิอาจทำได้

ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ในใจของหลิวซูก็มีแต่เจี้ยนสือ ต่อให้เขาทำดีเท่าไรก็มิอาจเปลี่ยนใจของชายหนุ่มผู้นั้นให้หันมารักเขาได้

เทียนอี้เข้าใจดีและเขาก็ทำใจแล้ว หากแต่ก็ไม่สามารถยับยั้งความรักใคร่ของตนเองได้เลยแม้แต่น้อย ถึงจะรู้ว่าหลิวซูเทียวไปมาหาสู่เจี้ยนสือทุกวี่วัน เขาก็หาได้หยุดลอบติดตามไป

วันนี้ก็เช่นกันที่หลิวซูแวะเวียนไปหาเทพอสูรงูจงอางผู้นั้น ในมือถือถุงหอมที่บรรจุบุปผชาติตากแห้งไว้มั่น ใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับมั่นใจว่าสิ่งนี้จะทำให้เจี้ยนสืออารมณ์ดีขึ้นได้

แต่เจี้ยนสือก็คือเจี้ยนสือ... ครั้นเห็นมนุษย์หนุ่มก้าวเข้ามาในจวนโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาที่กำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่ในสวนก็ผุดลุกเดินหนี ทำเอาหลิวซูต้องรีบเร่งฝีเท้าจากเดินเป็นวิ่งเพื่อไปรั้งไว้

“ประเดี๋ยวก่อนขอรับ... ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ!”
มือคว้าเอาที่ต้นแขนของคนตัวใหญ่ ทำเอาเจี้ยนสือหันมามองด้วยไม่สบอารมณ์
“มีสิ่งใด”

น้ำเสียงแข็งกระด้างหลุดออกจากปากมา ช่างเป็นน้ำเสียงไม่น่าฟังเสียเลย แต่หลิวซูกลับคุ้นชินเสียแล้ว
“ข้ามาเยี่ยมเยือนท่าน”
“เจ้าก็มาทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

จริงอย่างที่เจี้ยนสือว่า หลิวซูเทียวไปมาหาสู่ไม่ลดละทุกวี่วัน จนเจี้ยนสือรำคาญใจเป็นอย่างยิ่ง ไล่ก็ไม่ไป สั่งห้ามไม่ให้มาก็ไม่เชื่อฟัง ตามตอแยถึงเพียงนี้ มันช่างสร้างความลำบากใจให้กับเขาเหลือเกิน
“ใช่ขอรับ แต่วันนี้ข้าไม่ได้มามือเปล่า มีของมาให้ท่านด้วย”
หลิวซูว่าพลางยกยิ้ม ทำเอาเจี้ยนสือต้องเหลือบมองไปยังมือของคนตรงหน้าที่ถือบางอย่างไว้ด้วยความทนุถนอม
“สิ่งนั้น...”
“ถุงหอมขอรับ”
มนุษย์หนุ่มเอื้อนเอ่ยพร้อมใบหน้าประดับรอยยิ้ม

เจี้ยนสือก็พอจะรู้อยู่แล้วเพราะได้กลิ่นหอมฉุนของบุปผชาติติดตัวคนตรงหน้ามา แต่ที่เขาสงสัยก็คือ...จะนำมามอบให้เขาเพื่อการใด?

แม้ไม่เอ่ยถาม หลิวซูก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ จึงรีบเปิดปากก่อน
“ข้าน้อยเห็นหญิงสาวในเมืองพูดกันว่าหากต้องตาคุณชายสกุลใดก็ให้นำถุงหอมไปมอบให้ และหากคุณชายสกุลนั้นมีใจให้ เขาก็จะนำถุงหอมนี้พกติดตัวหรือห้อยเข้าที่เอว ข้าน้อยจึงทำมาให้ท่านแม่ทัพขอรับ แต่อย่าเข้าใจข้าน้อยผิดไป ที่มอบให้ก็เพราะอยากให้ หาได้หวังว่าท่านแม่ทัพจะมีใจปฏิพัทธ์ แค่เพียงรับน้ำใจของข้าน้อยไว้ ข้าน้อยก็ดีใจยิ่งแล้ว”

พูดจบ ใบหน้าขาวนวลก็แดงเรื่อขึ้นมา เจี้ยนสือมองแล้วก็ใจเต้นระส่ำ เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าหลิวซูจะน่าเอ็นดูได้ถึงเพียงนี้

แต่เขาจะไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ลุ่มหลงไปกับความน่าเอ็นดูนี้เป็นอันขาด ครั้นได้ยินความจากหลิวซู เจี้ยนสือก็ปั้นใบหน้าถมึงทึง และยิ่งทวีมากขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายยื่นถุงหอมในมือมาให้

“หากไม่เป็นการรบกวนท่านแม่ทัพจนเกินไป ได้โปรดรับน้ำใจข้าน้อยไว้ด้วย”
เจี้ยนสือจ้องมองถุงหอมในมือด้วยสายตาว่างเปล่า เมื่อสลับมามองยังใบหน้าของหลิวซูที่ยังคงยิ้มรับแม้ว่าจะมีความประหม่าแอบแฝงอยู่เล็กน้อย เขาก็ยิ่งตระหนักได้ว่าไม่ควรให้คนแสนดีเช่นนี้มาอยู่ใกล้ชิดเขา แม้ว่าจะดีใจเพียงใดที่หลิวซูให้ความสำคัญทั้งที่เขาเคยกระทำผิดต่ออีกฝ่ายอย่างใหญ่หลวงมาก็ตาม ก่อนที่จะกลั้นใจเอ่ยเสียงแข็งออกมา
“น่ารังเกียจนัก”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวซูเลือนหายไปทันตา แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียว พลันก็มีรอยยิ้มประดับพรายอีก
“แต่อย่างน้อยก็ขอให้ท่านแม่ทัพรับน้ำใจไว้”
เป็นรอยยิ้มที่ต่างจากตอนแรก ดูค่อนข้างจะฝืนอยู่ไม่ใช่น้อย

เจี้ยนสือสัมผัสได้ และเขาก็ไม่ต้องการให้หลิวซูแสดงท่าทางน่าสงสารออกมา เขาไม่ใช่คนดีที่สมควรได้รับความรักอันท่วมท้นนี้ ก่อนที่จะแค่นเสียงออกมาอีกครั้ง
“ข้าจะไม่รับสิ่งใดก็ตามที่มาจากเจ้า”

จากนั้นก็คว้าเอาข้อมือของหลิวซูเสียเต็มแรง พลันฉุดกระชากให้เดินไปยังหน้าจวน ครั้นถึงประตูก็ออกแรงเหวี่ยงจนร่างมนุษย์หนุ่มล้มกระแทกไปบนพื้น

แรงกระแทกทำให้ใบหน้าของหลิวซูเหยเก ก่อนจะรีบดันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลเมื่อเห็นว่าเจี้ยนสือกำลังจะเดินกลับเข้าไปในจวน

“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ!” ปากร้องเรียกไว้ทันที พลันโพล่งขึ้นมาอีก “แม้ท่านจะไม่รับรักข้า แต่ข้าก็หาได้เดือดร้อนไม่ เพียงขอให้ท่านรู้ไว้ว่าท่านยังมีข้า”

ทั้งที่หัวใจเจ็บปวดที่ถูกผลักไสแท้ๆ แต่ก็ยังแสนดีกับคนใจร้ายผู้นั้นได้ถึงเพียงนี้
เจี้ยนสือชะงัก เขารำคาญใจเหลือเกินที่หลิวซูไม่เคยยอมพ่ายแพ้

กับเขาที่ไม่มีสิ่งใดดีเลยเช่นนี้ เหตุใดกันหลิวซูถึงได้ไม่ยอมถอดใจ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนในความรู้สึก จิตใจของเขาไหวเอนเสียจนไม่เป็นตัวของตัวเอง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาคงได้กลายเป็นผู้โง่งมที่หลงรักมนุษย์ต่ำต้อยผู้นั้นอย่างสุดหัวใจเป็นแน่

มือที่ถือถุงหอมอยู่จึงกำแน่น เสียงดังกรอบแกรบของดอกไม้แห้งภายในถุงผ้าถักทออย่างประณีตบรรจงลอยมาให้ได้ยินเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปมองยังหลิวซูแล้วชี้หน้าทันทีที่เห็นอีกฝ่ายจะกลับเข้ามาในจวน

“หยุดฝีเท้าของเจ้าไว้เพียงเท่านั้นเลย!”
เสียงตวาดกร้าวทำให้หลิวซูชะงักงัน ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ ก่อนที่เจี้ยนสือจะแค่นหัวเราะออกมา
“เจ้าคิดว่าการที่เจ้าทำดีกับข้าไม่จบสิ้น อีกทั้งยังตอแยทุกวี่วัน จะทำให้ข้าชายตาแลมองเจ้าอย่างนั้นหรือ!?”

สิ่งนั้นถูกต้อง เป็นความคิดของหลิวซู เขาไม่ปฏิเสธ ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ

“ข้าน้อยเพียงคิดว่าหากทำเช่นนี้ ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือจะมองเห็นถึงความพยายามของข้าน้อยบ้าง”
เจี้ยนสือเห็นอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่อาจรับไว้ต่างหาก จนต้องเอื้อนเอ่ยถ้อยคำร้ายกาจออกมา
“ช่างน่าขยะแขยงนัก เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่าสิ่งที่เจ้าทำ มันทำให้ข้าอยากจะสำรอกเพียงใด”

ไร้ซึ่งคำพูดจากหลิวซู ได้แต่ยืนฟังเจี้ยนสือบริภาษ

“แล้วนี่...ถุงหอมนี่ นำมามอบให้ข้า นึกว่าตนเองเป็นสตรีเช่นนั้นสิ หึ! ข้าไม่หลงใหลเจ้าเพียงเพราะถุงหอมโง่เง่านี้หรอกนะ กลับไปเสีย!”

ไม่เพียงแต่ขับไล่ ยังขว้างถุงหอมที่อยู่ในมือทิ้งออกไปยังนอกจวนอีกด้วย

หลิวซูมองตามด้วยหัวใจที่รวดร้าว ก็คาดคิดไว้อยู่แล้วว่าผลจะต้องออกมาเป็นเช่นนี้ เขาจึงก้มลงหมายจะเก็บถุงหอมกลับคืน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเจี้ยนสือก้าวเข้ามาใกล้และใช้ฝ่าเท้าบดขยี้ลงมาเสียก่อน
“ไสหัวกลับไปเสีย อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก”

หลิวซูถึงกับระงับความรู้สึกไว้ไม่ได้ ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำสีใส เมื่อเงยหน้าขึ้นจับจ้องยังใบหน้าของเจี้ยนสือก็พบว่าดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นจ้องมองมายังเขาอย่างดุดัน เขาจึงไม่ตอแยใดๆ อีก หันหลังเดินกลับไปอีกทางพร้อมกับหัวใจที่แตกสลาย ขณะที่เจี้ยนสือก้าวเดินกลับเข้าจวน ไม่ใคร่สนใจถุงหอมที่ถูกทิ้งให้เปื้อนฝุ่นอยู่แม้แต่น้อย

ยกเว้นก็แต่เทียนอี้...

เขาลอบมองเหตุการณ์นั้นมานานแล้ว เกือบจะอดใจไม่ไหวที่จะพุ่งออกไปวิวาทกับเจี้ยนสือแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะคิดว่าหลิวซูคงจะไม่ดีใจที่เห็นเขาออกโรงปกป้อง จึงได้แต่แฝงกายเร้นอยู่เช่นนั้น เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างสิ้นสุด เขาจึงเดินมายังจุดเกิดเหตุ ทอดสายตามองไปยังถุงหอม ก่อนก้มลงหยิบมันขึ้นมา ปัดเพียงเล็กน้อยให้เศษฝุ่นผงหลุดออกก็ยกขึ้นแตะปลายจมูก สูดดมเอากลิ่นหอมนั้นเข้าไปด้วยความรู้สึกที่ปวดร้าว

หากเจี้ยนสือไม่รับความรู้สึกของเจ้าไว้ ข้าจะรับไว้เอง

คิดเช่นนั้นแล้วก็เดินกลับไปยังจวนของตน ทว่าระหว่างทางที่เดินไปก็เห็นหลิวซูย้อนคืนกลับมาทางเดิม ดูก็รู้ว่าจะมุ่งหน้าไปยังจวนของเจี้ยนสืออีกครา หากแต่ก็ต้องชะงักไว้เมื่อเห็นเทียนอี้เดินมาจากเส้นทางนั้นเช่นกัน

“ท่านแม่ทัพเทียนอี้...”
ปากเอ่ยร้องเรียก ท่าทางประหม่าระคนสงสัยฉายออกมาให้เห็น

เทียนอี้ไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มให้บางๆ ราวกับบอกว่าเขาเห็นเรื่องเมื่อครู่นี้หมดแล้ว ขณะที่สายตาของหลิวซูเหลือบมองไปยังมือใหญ่แล้วก็ต้องใจสั่นไหวขึ้นมาเมื่อเห็นว่าในมือนั้นมี...
“ถุงหอมของข้า”
“ข้าเพิ่งเก็บมาเมื่อครู่ เห็นมันถูกวางทิ้งไว้ไม่มีผู้ใดแลเหลียวก็นึกสงสารนัก”

เทียนอี้ว่าระคนหยอกเย้า น้ำเสียงแฝงไปด้วยความใจดี แต่คนฟังกลับไม่ได้ยินดีเลยแม้แต่น้อย นอกจากจะแค่นหัวเราะออกมาด้วยใบหน้าโศกเศร้า

“ข้าน้อยช่างน่าสมเพชยิ่งนัก รู้ดีแก่ใจว่าท่านแม่ทัพเจี้ยนสือไม่ไยดีก็ยังจะไปตามตอแยให้เป็นที่รำคาญใจ”

แต่หากเป็นข้า ข้าจะไม่รำคาญ หรือแม้แต่ผลักไสไล่ส่งเจ้า

เทียนอี้คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกไปด้วยเกรงว่าจะทำให้คนตรงหน้าลำบากใจ ได้แต่ยืนมองหลิวซูหลั่งน้ำตา พูดพร่ำกล่าวโทษตนเองไม่หยุดหย่อน
“ข้าน้อยช่างโง่เขลานัก ไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกกี่ครั้งก็โง่เขลาเช่นเดิม ถุงหอมนั้น... ท่านแม่ทัพทิ้งไปเถิด เห็นแล้วชวนให้ข้าเวทนาตนเองยิ่งนัก”
“ข้าไม่ทิ้ง” เทียนอี้ว่าขัด เรียกให้หลิวซูจ้องมองหน้า ก่อนพูดออกมาอีก “และข้าก็จะไม่ปฏิเสธน้ำใจเจ้า หากเจ้ามีใจให้กับข้า”

พูดจบก็นำถุงหอมนั้นห้อยไว้ข้างเอว เป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าเขายินดีที่จะรับรักจากหลิวซูหากอีกฝ่ายมีใจคิดปฏิพัทธ์ สิ่งนั้นทำให้หลิวซูร้องไห้ไม่หยุด เขาที่ว่าแสนดีแล้ว แต่เทียนอี้กลับแสนดียิ่งกว่า ไม่ว่าชาติไหนก็ยังคงรักมั่นแต่เขา ทว่า... ต่อให้เกิดใหม่อีกกี่ชาติ เขาก็ไม่อาจรักใคร่เทียนอี้ได้มากกว่าผู้มีพระคุณได้

“ท่านแม่ทัพเทียนอี้ ขอบพระคุณท่านยิ่งที่เมตตาข้าน้อย แต่น้ำใจของท่าน ข้าน้อยคงจะรับไว้ไม่ได้ ข้าน้อยรักใคร่เพียงท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ ต่อให้กาลเวลาผันแปรไปอีกนานเท่าไร ใจของข้าน้อยก็คงมีแต่คนผู้นั้น ท่านตัดใจเถิด”

การว่าออกมาตรงๆ ทำให้หลิวซูลำบากใจไม่น้อย ขณะเดียวกันก็ทำให้เทียนอี้นิ่งงันไป แต่ที่จำต้องพูดเช่นนี้เป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้เทียนอี้จมปลักกับคนเช่นตน เทียนอี้ควรมอบใจให้ผู้อื่นที่คู่ควรมากกว่า แม้ว่าในใจจะมีเอนเอียงไปหาคนตรงหน้าบ้าง แต่หลิวซูก็รู้ดีว่าแท้จริงแล้ว ใจของตนปรารถนาผู้ใด

“ข้าน้อยหาได้รักท่าน ท่านแม่ทัพเทียนอี้... ข้าน้อยต้องขออภัย”

ยิ่งพูดก็ยิ่งสร้างความปวดแปลบในใจให้กับคนฟังเป็นเท่าทวี กระนั้นเทียนอี้กลับข่มความเจ็บปวดไว้ กล่าวออกมาราวกับสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นสายลมพัดผ่าน

“ไม่ว่าใจของเจ้าจะเป็นของผู้ใด แต่ข้าก็จะรักเพียงเจ้าและจะรักตลอดไป ไม่ว่าชาติไหน... ข้าก็จะรักเจ้า ซูซู”



 
ชั่วครู่หนึ่งที่คิดถึงอดีตชาติ เทียนอี้กลับคืนสู่ปัจจุบัน เขามองถุงหอมในมือที่สีซีดไปตามเวลาที่ผันผ่านอีกครู่ ก่อนจะพึมพำออกมาเสียงเบา
“ขออภัยที่ข้าไม่อาจรักษาคำพูด ถึงข้าจะตัดใจจากเจ้า แต่ความรักที่ข้าเคยมอบให้เจ้า ข้าจะจดจำตลอดไป”

จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่ง มือข้างหนึ่งขุดพื้นทรายเป็นหลุม อีกข้างวางถุงหอมลงไปและกลบมันฝังไว้

นั่นเป็นสัญญาณ...ว่าเขาได้ปล่อยวางหลิวซูจากใจแล้ว

เทียนอี้สูดหายใจเอาไอเย็นจากทะเลทรายเข้าปอด ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ากลิ่นอายจากทะเลทรายจะหอมหวานยิ่งกว่าหมู่มวลบุปผชาติถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะในใจของเขามีแต่บุรุษที่เกิดจากทะเลทรายก็เป็นได้ ทุกอย่างที่เป็นหนึ่งเดียวกับชายผู้นั้นถึงได้เย้ายวลใจเขาไปเสียหมด

เพลิดเพลินอยู่เพียงลำพังได้ครู่หนึ่งก็ต้องหันหลังไปมองเมื่อได้ยินเสียงทักลอยมาให้ได้ยิน
“มายืนตากลมทำสิ่งใดอยู่กันเจ้าหมา”

เสียงนั้นเป็นของซิ่นเฉิง เขามาลอบยืนมองการกระทำของเทียนอี้ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว แน่นอนว่าเห็นตอนที่เทียนอี้ฝังถุงหอมลงใต้ผืนทรายด้วย

เทียนอี้ในร่างของอดีตเทพยิ้มรับ ก่อนเดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายที่เดินเข้ามาหาเช่นกัน
“แล้วเจ้าล่ะมาทำสิ่งใด ไม่นอนแล้วหรือ?”
“เจ้าออกมาเดินเล่นเพียงลำพังเช่นนี้ ข้าจะหลับลงได้อย่างไร รู้มิใช่หรือว่าข้าจะหลับสนิทก็ต่อเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเจ้า”

คราวนี้เทียนอี้ถึงกับหัวเราะออกมาน้อยๆ ถ้อยคำของซิ่นเฉิงหาใช่คำออดอ้อน แต่เป็นเรื่องจริง พลันก็ใช้ท่อนแขนโอบรัดร่างของคนตรงหน้าไว้
“ข้าออกมาเพียงครู่ เจ้ายังเป็นถึงขนาดนี้ หากเจ้ากลับทะเลทรายไป ไม่มีข้าแล้ว เจ้าจะนอนหลับลงได้อย่างไร”
เทียนอี้พูดเป็นเชิงตะล่อมให้อีกฝ่ายอยู่ต่อ แต่ซิ่นเฉิงกลับไม่พูดสิ่งใดออกมา ได้แต่ปรายตามองอีกฝ่ายนิ่งๆ

“นึกๆ ไปแล้ว ข้ายังไม่เคยร่วมรักกับเจ้าในร่างนี้สักครั้ง”
เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่นไปเสียอย่างนั้น เทียนอี้ก็เผลอคล้อยตาม หัวเราะออกมาแล้วว่าเสียงหวาน
“เจ้าอยากจะลองหรือไม่?”

ไม่เคยมีอิดออดหรือทัดทานแม้สักคำหลุดออกจากปากของเทียนอี้ ซิ่นเฉิงก็เช่นกัน ทั้งที่บอกเองแท้ๆ ว่าวันนี้ร่วมรักไปหลายครั้งแล้ว แต่เมื่อถูกชักชวน เขาก็ตอบรับเช่นเดียวกัน

“ก็ไม่เลว”
สิ้นเสียง เทียนอี้ก็พาอีกฝ่ายเดินหายลับไปยังกลางทะเลทราย ครั้นทิ้งตัวลงนั่งก็ฉุดรั้งให้ซิ่นเฉิงมานั่งคร่อมบนตักและหันหน้าเข้าหาด้วยเกรงว่าเนื้อตัวของอีกฝ่ายจะเปรอะเปื้อนฝุ่นทราย ก่อนมอบจุตพิตให้

ปากที่มีรูปทรงเหมือนมนุษย์ทำให้ตักตวงความหอมหวานจากซิ่นเฉิงได้อย่างเต็มที่กว่าตอนที่คงร่างเทพอสูร พลันรสจูบก็ดุดันมากเป็นทวีคูณ เมื่อครั้งที่เป็นเทพอสูรก็ว่าตะกละตะกรามแล้ว แต่เมื่อใช้ปากได้ถนัดขึ้น เทียนอี้ก็ดูจะละโมบยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เมื่อซิ่นเฉิงทิ้งตัวนั่งลงมาครอบครองแก่นกายความเป็นบุรุษของเขาทีละน้อยจนกระทั่งสุดโคน และเคลื่อนไหวเชื่องช้าเป็นจังหวะ เทียนอี้ก็ละเลงปลายลิ้นลงบนยอดอกทั้งสองข้างของชายหนุ่ม ดูดกลืนขบเม้มอย่างไม่ปราณี สร้างความเสียวกระสันให้กับอีกฝ่ายจนต้องครางกระเส่าออกมา และดูท่าทางจะไม่หยุดง่ายๆ เสียด้วยเมื่อซิ่นเฉิงสัมผัสได้ถึงความเฉอะแฉะจนต้องร้องปราม

“นี่เจ้า จะวนเวียนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”
“เจ้าไม่ชอบหรือ?”
เทียนอี้เงยใบหน้างดงามดุจเทพสวรรค์ขึ้นมอง สายตาเย้ายวนสร้างความกำหนัดให้กับซิ่นเฉิงเป็นเท่าตัว แต่กระนั้นก็ยังแหวออกไป
“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เจ้าควรสนใจส่วนอื่นบ้าง ตอนนี้ทำสิ่งใดกันอยู่ เจ้าก็ควรจะสนใจสิ่งนั้น”

คำพูดเป็นนัยบ่งบอกให้เทียนอี้รู้ว่าเขาควรจะช่วยเหลือด้วยการออกแรงบ้าง หาใช่หยอกเอินตุ่มไตเม็ดเล็กนั่นเสียจนแดงเรื่อไม่หยุดหย่อน

คนฟังหัวเราะออกมา ยอมละริมฝีปากจากหน้าอกของคนในอ้อมแขนจนได้ มือทั้งสองประคองสะโพกเปลือยเปล่าของซิ่นเฉิงไว้ พลันกระซิบแผ่วเบา

“ข้าสนใจเจ้า... สนใจทั้งหมดที่เป็นของเจ้า”

คำพูดนี้ชวนให้ใบหน้าร้อนวูบยิ่งนัก ยิ่งเห็นดวงตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรักใคร่ ซิ่นเฉิงก็รู้ทันควันว่าอีกฝ่ายหลงใหลตนเพียงใด ก่อนเทียนอี้จะออกแรงขยับให้ร่างบนกายตนเองเคลื่อนไหว ความหวามไหวพร่างพรายไปทั่วร่างของบุรุษทั้งสอง ซิ่นเฉิงผวาเข้ากอดคนตรงหน้าแนบแน่น ถึงร่างของอดีตเทพจะไม่ได้สร้างความอบอุ่นได้เท่ากับร่างของเทพอสูร แต่เพราะเป็นเทียนอี้ ลมหนาวที่โบกโบยมาลูบไล้ผิวเนื้อก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงเหน็บหนาวแต่อย่างใด ลมหายใจกระหืดหอบของทั้งสองคงจะเป็นสิ่งที่หลอมรวมร่างกายของทั้งคู่ให้ร้อนรุ่ม ไม่นานนัก หยาดหยดแห่งความอภิรมย์ก็หลั่งไหลออกมาพร้อมกัน

เทียนอี้หาได้สนใจคราบเปรอะเปื้อน เขาออกจะดีใจที่ได้ฝังส่วนหนึ่งของตนไว้ในกายของซิ่นเฉิง ก่อนที่จะตระกองกอดร่างที่ซบลงมาบนไหล่ด้วยไร้ซึ่งเรี่ยวแรงไว้มั่น พลางกระซิบเสียงพร่า

“หัวใจของข้า...จากนี้จะมีเพียงเจ้า”
ซิ่นเฉิงได้ยินชัดเจน พลางยกมือหยาบกร้านโอบกอดอีกฝ่ายแนบแน่น ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเช่นกัน
“ข้ารู้แล้ว”

เห็นทุกสิ่งด้วยสองตาหมดแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าต่อจากนี้ ในหัวใจของเทียนอี้จะมีแค่เขา หาได้มีหลิวซูดังเดิม เป็นเรื่องที่น่าดีใจยิ่งที่เทียนอี้รักเขาเพราะเป็นซิ่นเฉิง หาใช่ตัวแทนของผู้ใด

แต่แล้วความยินดีก็มลายหายไปเมื่อได้ยินเสียงของเทียนอี้ดังขึ้นมาอีก
“อีกครั้งได้ไหม”
“เจ้าหมาตะกละ”

คนถูกบริภาษหัวเราะรับคำก่นด่าแต่โดยดี ซิ่นเฉิงเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน พลันประทับจูบลงมาบนริมฝีปากนุ่มของเทียนอี้
“หากเจ้าตะกละเช่นนี้ เห็นทีข้าคงจะต้องเลี้ยงดูเจ้าเป็นอย่างดีเสียแล้ว”

หมายถึงจะกี่ครั้งก็ไม่อิดออดใช่หรือไม่?

เทียนอี้หูตาแพรวพราวทันควัน ก่อนที่จะเริ่มดำเนินบทเพลงรักให้ขับขานท่ามกลางทะเลทรายอีกครั้ง

ลมเย็นอาบไล้ผิวกาย สองร่างกอดรัดเกี่ยวกระหวัด มอบรักให้แก่กันครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับพรุ่งนี้ไม่อาจมาถึง

จนกว่าจะดวงจันทราจะลาลับและดวงตะวันจะทักทายในอรุณรุ่ง... พวกเขาก็จะไม่พรากจากกันตลอดทั้งคืน
-----------------------------
เมื่อคืนเขียนไม่จบค่ะ เผลอหลับไปก่อน เลยไม่ได้มาอัป ขออภัย ฮืออ
พี่หมานี่ไม่ว่าจะเป็นตอนอยู่ในร่างไหนก็แซ่บเนอะ ตอนแรกว่าหื่นนิดๆ ตอนนี้คิดว่าไม่ใช่ค่ะ
หื่นมากเลยทีเดียว ที่วางมาดมาตั้งนอน ตบะแตกเอาตอนนี้ 555
ฝากฟีดแบ็กไว้หน่อยนะคะ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[01/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 01-10-2017 09:23:43
แซ่บได้ใจอ่ะ สูบเลือดแปป ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[01/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 01-10-2017 09:44:18
 :3123:กว่าจะกลับทะเลทราย ร่างเฉินๆคงพรุนเป็นแน่ :hao3:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[01/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 01-10-2017 11:00:49
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[01/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-10-2017 11:10:02
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
จะร่างไหนก็หื่นอ่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[01/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Daramin ที่ 01-10-2017 21:20:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[01/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kawaiichibi ที่ 02-10-2017 07:18:01
ขำหมาน้อย มีกลิ่นว่าตอนหน้าต้องมีมาม่าแน่นแน่ :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[01/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 02-10-2017 11:21:53
ไม่เอามาม่าแล้วนะ อิ่มแล้ว
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[01/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 05-10-2017 23:42:17
บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย

ทุกครั้งที่อรุณรุ่งมาถึง กลิ่นกายของซิ่นเฉิงก็จะอบอวลไปด้วยกลิ่นของเทียนอี้

มากขึ้น...มากขึ้นทุกวัน

เป็นที่น่ากังวลใจแก่ผู้รับรู้ยิ่งนัก ทว่าก็หาได้มีผู้ใดเอ่ยออกไปด้วยเทียนอี้ได้บอกกับพ่อบ้านเหลียงและหมิงจูที่เป็นกังวลไว้แล้วว่า... ‘ไม่ว่าข้าจะผูกพันกับซิ่นเฉิงอย่างไร เขาก็จะไปจากข้าในท้ายที่สุดอยู่ดี’ นั่นจึงทำให้ทั้งสองพอจะเบาใจขึ้นได้ว่าซิ่นเฉิงยังคงรักษาคำพูดของตนเอง

แต่ก็ใช่ว่าเทียนอี้หาได้ทักท้วงหรืออ้อนวอนใดๆ ให้ซิ่นเฉิงอยู่ต่อ คราแรกที่คิดว่าเพราะซิ่นเฉิงตัดสินใจอย่างนั้น เขาจึงจะไม่เอ่ยห้ามใดๆ บัดนี้ถึงกับคุกเข่าร้องขอทุกครั้งที่ได้มีปฏิสัมพันธ์ลึกซึ้งทางร่างกายกัน ในเวลานี้ เขามิอาจอยู่ได้โดยปราศจากซึ่งชายหนุ่มข้างกายอีกต่อไปแล้ว

บุรุษทะเลทรายละม้ายคล้ายจะใจอ่อน ดวงตาวูบไหวทุกครั้งที่ได้ยินคำร้องขอ หากแต่เพราะเป็นชายชาตินักรบ หัวใจนั้นย่อมต้องเด็ดเดี่ยว เมื่อตัดสินใจและลั่นวาจาให้สัตย์กับพ่อบ้านเหลียงและหมิงจูออกไปแล้ว เขาจึงไม่เปลี่ยนใจใดๆ แม้ว่าในใจนั้นจะปรารถนาอยู่เคียงข้างกับเทียนอี้มากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็เพื่อรักษาชีวิตของตน อีกทั้งยังชะตาชีวิตของคนในเผ่าที่เขาจะต้องดูแลเมื่อได้ขึ้นเป็นผู้นำ เขาจึงมิอาจทำตามเสียงหัวใจตนที่เรียกร้องได้

เทียนอี้อับจนปัญญาแล้ว ต่อให้กรีดร้องวิงวอนจนขาดใจตายไปตรงหน้า ซิ่นเฉิงก็คงไม่เปลี่ยนใจ ดังนั้นจึงเลิกกระทำการโง่เขลา ใช้เวลาอันแสนน้อยนิดที่เหลืออยู่ตักตวงความสุขล้ำจากอีกฝ่ายเท่าที่จะทำได้

ทว่า...ถึงอย่างนั้นก็อดตัดพ้อออกมาไม่ได้ หลังจากที่เดินทางเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน กระทั่งเข้าหลับนอนในกระโจม เทียนอี้ก็กอดกระหวัดรุกรานร่างแกร่งของมนุษย์หนุ่มอย่างโหยหา ทั้งที่ได้กอดก่ายทุกค่ำคืนแท้ๆ แต่ไม่ว่าเท่าไรก็มิอาจเติมเต็มใจของเขาได้ เขารักใคร่ซิ่นเฉิงจนไม่อาจพรรณนาออกมาเป็นถ้อยคำ ได้แต่ปล่อยให้ร่างกายสื่อสารทุกความรู้สึกที่มีออกมา ครั้นเสร็จสิ้นซึ่งกิจสุขสม เทียนอี้ก็ตระกองกอดร่างเปลือยเปล่านั่น จ้องมองใบหน้าคร้ามคมของอีกฝ่ายพลางว่าเสียงแผ่ว

“ข้าอยากจะกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้เหลือเกิน”
“เจ้าก็กอดอยู่แล้วมิใช่หรือ?”
ถูกคนในอ้อมแขนท้วง เทียนอี้ก็พลันยกยิ้มออกมา
“ข้าหมายถึง...ตราบนานเท่านานต่างหาก”

เป็นซิ่นเฉิงบ้างแล้วที่เงียบนิ่ง เขารู้ความหมายโดยนัยของคำพูดนั้นดี และมั่นใจอยู่ไม่น้อยว่าประโยคถัดมาคงเป็นการตัดพ้อ
“แต่อีกไม่นาน เจ้าก็จะไปจากข้า”

นั่นปะไร ผิดจากที่คาดคิดไว้เสียที่ไหน ซิ่นเฉิงก็คงมีความเงียบงันเป็นคำตอบให้ดังเดิมเพราะสิ่งนั้นคือความจริง แต่ทว่าเพราะได้ผูกพันกับเทียนอี้อย่างลึกซึ้ง ทำให้บุรุษทะเลทรายผู้นี้ไม่อาจเอ่ยปากออกไปได้เลยว่า ‘ใช่’ โดยไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ด้วยในใจของเขาไม่ได้อยากพรากจากอ้อมอกของเทพอสูรที่อยู่ข้างกายแม้แต่น้อย

ซิ่นเฉิงนิ่งเงียบจนน่ากลัว เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

ยากเหลือเกิน...

ช่างยากที่จะบอกออกไปเหลือเกินว่าเขาต้องจำจากด้วยเหตุผลใด...

“ข้าก็ไม่ได้อยากจะทำเช่นนั้นนัก”
ซิ่นเฉิงว่าเสียงแผ่ว คงจะพูดได้เพียงเท่านี้ พลันมือก็เอื้อมไปดึงรั้งหางของอีกฝ่ายเล่น เทียนอี้สะบัดหางไปมาให้เจ้าแมวป่าได้ไล่จับเป็นการหยอกเย้า
“หากไม่อยาก แล้วเจ้าจะไปด้วยเหตุผลใด”

น้ำเสียงหาได้มีความตึงเครียดแม้แต่น้อย กระนั้นก็มีความเศร้าสลดแฝงเร้น ซิ่นเฉิงก็กะไว้อยู่แล้วล่ะว่าเทียนอี้จะต้องถาม เพราะเขาได้ถูกถามนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่จะให้บอกได้อย่างไรล่ะว่าที่ต้องจากไปเป็นเพราะเขาคือหลิวซูกลับมาเกิด และเขาก็ไม่ต้องการเป็นชนวนเหตุให้เทียนอี้กับเจี้ยนสือต้องวิวาทกันถึงขั้นแตกหักเฉกเช่นในอดีตชาติตามที่สวรรค์ได้ลิขิตโชคชะตาไว้ อีกอย่าง ถ้าบอกไปแล้วเทียนอี้เกิดคะนึงหาคนผู้นั้นขึ้นมา แทนที่จะคะนึงหาแต่เขาเช่นในยามนี้ เขาจะทำอย่างไร เขาอยากให้เทียนอี้ได้รักเขาเพราะเขาเป็นซิ่นเฉิงมากกว่า การบอกความลับไปนั้นช่างไม่เป็นการดีเอาเสียเลย

“ข้าเป็นบุตรชายคนเดียวของหัวหน้าเผ่า มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เมื่อสิ้นท่านพ่อไป ชีวิตของคนในเผ่าก็จะตกอยู่ในมือของข้า ข้าจำเป็นต้องดูแลพวกเขา”

ในที่สุดก็ได้เหตุผล เทียนอี้ไม่แปลกใจหรอกหากอีกฝ่ายจะพูดออกมาเช่นนี้ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนทะเลทรายที่มีศักดิ์ไม่ต่างอะไรจากอ๋องของแคว้นใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงเก็บความเอาแต่ใจของตนลงไปและพูดปลอบประโลมออกมา

“หากเจ้าจำเป็นต้องกลับไปก็ไม่เป็นไร อย่าได้ห่วงข้าเลย ข้าก็เพียงพูดไปอย่างนั้น ส่วนเจ้า เมื่อจากไปแล้ว ยามมีเรื่องใดก็จงส่งสาส์นมาตามตัวข้าแล้วกัน เมื่อนั้นข้าจะไปหาเจ้า”
“ถ้าหากข้าไม่มีธุระสำคัญอันใดล่ะ จะตามตัวเจ้ามาหาได้หรือไม่?”

ถูกถามเช่นนี้ เทียนอี้ก็เลิกคิ้วสูงเล็กน้อยอย่างขบขัน

“เจ้าก็ตามตัวข้าได้ ไม่ว่าจะคิดถึงหรืออยากเล่นหางของข้า ล้วนส่งสาส์นมาหาข้าได้ทั้งนั้น ไม่ว่าเจ้าจะอยู่แห่งหนใด ข้าก็จะดั้นด้นไปหา”

เป็นคำพูดที่ทำให้หัวใจของซิ่นเฉิงชุ่มฉ่ำเหลือเกิน มือที่จับหางฟูฟ่องของเทียนอี้อยู่ขยุ้มขยำมากขึ้น ก่อนที่กระโจมซึ่งไร้หนังสัตว์ปกคลุมยังส่วนบนจะเผยให้เห็นดวงจันทร์ที่ถูกเมฆก้อนใหญ่บดบัง ราตรีนี้เทียนอี้ใคร่จะรับลมเย็นจากทะเลทรายด้วยต้องการจะกกกอดซิ่นเฉิงให้หนำใจ จึงสั่งให้ทหารในสังกัดจวนตั้งกระโจมโดยใช้แค่หนังสัตว์มาขึงไว้เป็นทรงกลมเท่านั้น ครั้นแสงจันทร์สาดทอตกกระทบยังเรือนร่าง เทียนอี้ก็แปรผันอยู่ในร่างอดีตเทพ หางที่ถูกซิ่นเฉิงม้วนเล่นอย่างเพลิดเพลินหายไปเพียงเสี้ยวพริบตา มือสากหนากำเพียงความว่างเปล่า พลันชายหนุ่มก็ถามออกมา

“แล้วถ้าหากเจ้าไม่มีหางล่ะ ข้าจะส่งสาส์นมาตามตัวเจ้าไปได้หรือไม่?”
“ไยจะไม่ได้กัน”
“เจ้าจะมาเพื่อการใด ในเมื่อไม่มีหางให้ข้าเล่น”

เทียนอี้นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนใบหน้างดงามจะประดับรอยยิ้มเจ้าเลห์ พลันยื่นมือมาคว้าเอามือของซิ่นเฉิงไปกอบกำบางอย่างที่อยู่กลางลำตัว ขยับเข้าใกล้และกระซิบเสียงแผ่วที่ข้างใบหู

“ข้าไม่มีหางข้างหลัง เจ้าก็เล่นหางข้างหน้าก็ได้ หางนี้ก็ชื่นชอบยามถูกเจ้าหยอกเอินด้วยฝ่ามือยิ่งนัก”

ใบหน้าของซิ่นเฉิงถึงกับร้อนวูบเลยทีเดียว เพราะ ‘หางข้างหน้า’ ที่เทียนอี้ว่า ดูจะไม่อ่อนนุ่มอย่างที่ควรเป็นเสียแล้ว ทว่ากลับขยายพองออกมา อีกทั้งยังดุนดันอาภรณ์คล้ายกับว่าจะผงาดออกมารับลมข้างนอกเสียให้จงได้
เห็นอาการนั้นของเทียนอี้แล้ว ซิ่นเฉิงก็หัวเราะร่วน
“ได้ใจเกินไปแล้ว เจ้าหมาร้าย ข้าจะหักหางเจ้าเสียให้สิ้นเลยทีเดียว”

คนฟังแสร้งทำสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ก่อนจะหัวเราะในลำคอออกมา ขณะที่ซิ่นเฉิงยกยิ้มเจ้าเล่ห์

“แต่ก่อนจะหัก...ข้าจะทำอย่างอื่น”

สิ้นเสียง คนพูดก็กระถดถอยลงสู่เบื้องล่าง ปลายเล็บของมือข้างที่รูดรั้งแก่นกายแข็งขืนอยู่สะกิดตรงส่วนปลายเบาๆ แต่เพียงสัมผัสน้อยนิดก็ทำให้เทียนอี้ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าแลดูตึงเครียดขึ้นมา ขณะที่ก้อนเนื้อในใจก็เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ไม่เพียงแต่ใช้ปลายเล็บหยอกเอิน ยังแลบลิ้นเลียไล้ไปทั่วจนฉ่ำเยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ ดุนดันความแข็งขืนนั้นเข้าไปในโพรงปาก ดูดกลืนราวกับว่ามีรสชาติโอชาอย่างไรอย่างนั้น

เทียนอี้กำหนังสัตว์ที่ปูรองนอนอยู่แน่น ก่อนที่ความอดทนจะสิ้นสุดลงเมื่อเห็นซิ่นเฉิงช้อนสายตาฉ่ำหวานขึ้นมอง

เจ้าแมวป่าตัวนี้จะเย้าหยอกเขามากเกินไปแล้ว...

“อย่ากลั่นแกล้งข้าเช่นนั้น”

ถึงจะออกปากปราม แต่ก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงหยุดยั้งการกระทำนั้นได้เลย ขณะที่เทียนอี้นิ่วหน้าเสียจนเส้นโลหิตปูดโปนยังข้างขมับ

เขาจะทนไม่ไหวแล้ว...

พลันเอื้อมมือไปหมายจะดึงรั้งซิ่นเฉิง ทว่าก็ถูกเจ้าแมวตัวดีปัดป้องออก เทียนอี้ครางเสียงแหบพร่าในลำคอเมื่อกึ่งกลางของความเป็นบุรุษเพศถูกฟันคมๆ ขบกัดแผ่วเบาราวกับเป็นการลงโทษที่เขาไม่ยอมเชื่อฟัง

สวรรค์! ผู้ใดเล่าจะรู้กันว่าเจ้าแมวป่าตัวนี้จะร้ายกาจได้มากถึงเพียงนี้

เทพอสูรหนุ่มดันตัวขึ้นนั่ง มองร่างแกร่งที่กลืนกินส่วนกลางของลำตัวตนเองอย่างหลงใหล มือเอื้อมไปลูบยังท้ายทอยแผ่วเบาเพื่อจัดเส้นผมที่กระเซอะกระเซิงของอีกฝ่ายให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนที่ฉับพลันความอดทนจะสิ้นสุดลง เขารีบดันหน้าผากของซิ่นเฉิงไว้ พลางบอก

“ข้าจะไม่ไหวแล้วนะ”

เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายรีบผละออก มิเช่นนั้น เขาคงได้หลั่งหยาดหยดแห่งความอภิรมย์ออกมาเป็นแน่

ทว่า...ซิ่นเฉิงกลับไปถอยหนี ถูกเตือนเช่นนั้นก็กลับเร่งเร้าเสียจนอีกฝ่ายถึงกับต้องขบกรามแน่น

ทน - ไม่ - ไหว - อีก - แล้ว!

ความอดทนสิ้นสุดลงเท่านี้ รสชาติเฝื่อนอบอวลในโพรงปากของซิ่นเฉิงในเสี้ยวพริบตานั้น เจ้าแมวตัวร้ายยอมถอนริมฝีปากออกมาในคราวนี้ พลันช้อนตามองคนที่นั่งสูงกว่าอย่างยั่วเย้า เทียนอี้นึกเอ็นดูสุดใจจะพรรณนา เอื้อมมือไปดึงรั้งร่างมาชิดใกล้ กระซิบเสียงพร่า

“เจ้าตัวร้าย”

จากนั้นก็บรรจงจูบ สอดลิ้นเข้าไปตักตวงความหวานล้ำของกันและกัน...เนิ่นนานกว่าที่จุมพิตจะถูกพราก เทียนอี้รวบอีกฝ่ายมากอดแน่น ซุกใบหน้าลงบนหัวไหล่เต็มไปด้วยร่องรอยแผลเป็น พลางกระซิบเสียงเบา

“ข้าไม่อยากห่างเจ้าแม้เพียงช่วงลมหายใจเดียว...เฉิงเฉิง”



 
เรื่องการเปลี่ยนใจไม่กลับคืนสู่ทะเลทรายนั้น ซิ่นเฉิงเองก็คิดไว้อยู่บ้าง แต่ก็ยังลังเลอยู่ว่าควรจะตัดสินใจเช่นนั้นหรือไม่ ทว่าก็ไม่ได้พูดออกไปว่าในใจของเขานั้นขบคิดถึงเรื่องนี้ไม่เว้นวัน กระทั่งขบวนทัพของเหล่าเทพอสูรยกพลเคลื่อนผ่านตำแหน่งที่เผ่าทะเลทรายจากทุ่งหญ้ากว้างปักหลักอยู่ เมื่อนั้นเองที่ความคิดฟุ้งซ่านสิ้นสุดลง

ขบวนทัพหยุดพักชั่วคราวด้วยเทียนอี้มีคำสั่งเพราะหมายจะให้ซิ่นเฉิงได้ไปสอบถามเรื่องร่องรอยการเดินทางของเผ่าตนเอง
ซิ่นเฉิงกับเผ่าทะเลทรายนี้รู้จักสนิทสนมชิดเชื้อกันมาแรมปี ด้วยครั้งหนึ่ง เผ่าของซิ่นเฉิงเคยสวามิภักดิ์เข้ากับเผ่านี้เพราะเหตุว่าถูกรุกราน จึงจำต้องให้อ๋องซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าดูแลปกปักษ์ ครั้นสงครามระหว่างชนเผ่าเล็กชนเผ่าน้อยสิ้นสุดลง อ๋องผู้ยิ่งใหญ่จึงประกาศให้เผ่าอื่นที่เข้ามาสวามิภักดิ์เป็นอิสระ เผ่าต่างๆ ล้วนพากันอพยพกลับถิ่นมาตุภูมิอันเป็นบ้านเกิด จะมีก็แต่เผ่าของซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ยังคงวนเวียนอยู่ในทะเลทรายด้วยแผ่นดินสีทองแห่งนี้คือมาตุภูมิของพวกเขา

ทันทีที่ขุนนางกราบทูลท่านอ๋องให้ทราบว่ามีบุตรชายจากเผ่าทะเลทรายมาขอเข้าเฝ้า ท่านอ๋องก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ต้อนรับอย่างสมเกียรติ ครั้นปรายตาเห็นชายหนุ่มในชุดชนเผ่าอันคุ้นตา ชายวัยกลางคนก็ยกยิ้มร่าราวกับได้เจอสหายที่ไม่ได้พบพานมาราวสิบปี

“คำนับท่านอ๋อง”
“ข้ายินดียิ่งที่ได้พบกับเจ้าอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าบุตรชายของอาซิ่นจะเติบใหญ่ได้ถึงเพียงนี้”

‘อาซิ่น’ ที่ถูกเอ่ยถึงคือบิดาของซิ่นเฉิง เมื่อครั้งที่ท่านอ๋องของชนเผ่านี้ได้พบเขา ซิ่นเฉิงมีอายุเพียงแค่สิบขวบปีเท่านั้น
“แล้วนี่เจ้ารอนแรมมาตามหาเผ่าของเจ้าใช่หรือไม่?”

อีกฝ่ายถามออกมาอย่างรู้ทัน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นเมื่อซิ่นเฉิงพยักหน้ารับ

“ข้าน้อยไร้การปฏิสัมพันธ์กับคนของเผ่ามานานแรมเดือนด้วยมีเหตุจำเป็น ถึงคราวนี้หมายจะพบพานพี่น้องในเผ่าอีกครั้ง จำต้องรบกวนท่านอ๋องเพื่อสืบหาร่องรอยของพี่น้องข้าน้อยแล้ว”

คนฟังพอได้ยินมาอยู่บ้างว่าเหตุใดซิ่นเฉิงถึงออกจากเผ่าไป นั่นก็เพราะเขาไปล้วงคอเทพอสูรสุนัขป่าที่ยืนรออยู่ทางด้านหลัง
พลางนึกในใจว่าชายหนุ่มผู้นี้ช่างสิ้นคิดนักที่กล้ากระทำเรื่องโง่เขลา ขณะเดียวกันก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าช่างกล้าหาญ

กับเหล่าเทพอสูรแล้ว...นอกจากยอมสวามิภักดิ์โดยดุษณี จะมีมนุษย์คนใดเล่าที่กล้ากำแหงแข็งข้อด้วยถึงจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว เทพอสูรเหล่านั้นจะไม่ได้ดุร้ายอย่างที่ถูกเล่าขานเป็นตำนานสืบรุ่นมาก็ตาม

“ก่อนหน้านั้นข้าได้พบอาซิ่นอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพาคนมาขอเสบียงอาหารแลกกับน้ำดื่มที่นำมาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์”

นั่นก็คงจะตั้งแต่เมื่อครั้งที่ซิ่นเฉิงบุกเข้าจวนของเทียนอี้...

“ข้าก็แปลกใจอยู่ว่าเหตุใดถึงไม่เห็นเจ้า เห็นแต่ธิดาผู้ที่เป็นฝาแฝดของเจ้าเพียงผู้เดียว มารู้ภายหลังว่าเจ้าถูกแลกเปลี่ยนเป็นทาสอยู่ในจวนของท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฟิงฝู”

ถึงตรงนี้ ซิ่นเฉิงพอจะเบาใจ แสดงว่าตั้งแต่ที่ออกจากจวนของเทียนอี้ ซิ่นจินก็กลับไปยังเผ่ากับพี่น้องร่วมสาบานของเขา
“เอาล่ะ ข้าจะไม่มากความ จะบอกร่องรอยของบิดาเจ้า”

เห็นว่าตนพูดพร่ำไปเรื่อยเปื่อยอยู่นานก็ใคร่จะกลับเข้าเรื่องสำคัญด้วยเห็นว่าใบหน้าของชายหนุ่มที่มาใหม่นั้นรอฟังคำตอบเพียงใด ก่อนจะพูดออกมาอีก

“ครั้งนั้นที่ข้าได้พบกับอาซิ่น เขาบอกกับข้าว่าจะมุ่งหน้าลงใต้”
“ไม่ได้ขึ้นเหนือหรือขอรับ?”

ซิ่นเฉิงเลิกคิ้วสูง โดยปกติแล้ว ใกล้ช่วงวสันฤดู บิดาจะต้องพาคนของเผ่าขึ้นเหนือสิ เพราะทางเหนือเป็นทุ่งหญ้ากว้าง มีแหล่งน้ำในหน้าที่ฝนตกชุก เหตุใดถึงพาคนมุ่งลงใต้กัน ทั้งที่ไม่เคยไปมาก่อนแท้ๆ...

ความฉงนนั้นทำให้ซิ่นเฉิงนิ่วหน้าเครียด ขณะที่อีกฝ่ายส่ายหน้าน้อยๆ

“ข้าเองก็ได้ทักท้วงเช่นกันว่าเหตุใดจึงไม่ขึ้นเหนือ เพราะอีกไม่นาน ข้าก็จะพาคนของข้ากลับคืนสู่ทุ่งหญ้าเช่นกัน หากแต่บิดาเจ้าไม่ได้ให้คำตอบใด ข้าคาดคิดว่าคงหมายจะหาถิ่นฐานตั้งรกรากใหม่ หรือไม่ก็...” ว่าพลางหยุดชะงักไปเล็กน้อย เหลือบตาไปมองเทียนอี้ที่ยืนฟังอยู่แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม “อาจจะเกรงว่าเทพอสูรจะตามมาระรานเพราะเจ้าเป็นเหตุก็เป็นได้”
ประจักษ์ชัดแจ้งในตอนนี้ บิดาซึ่งหวาดเกรงเหล่าเทพอสูรแต่เดิมย่อมไม่พาคนในเผ่าขึ้นไปเสี่ยงชีวิตเป็นแน่ อีกทั้งคงจะไม่วางใจด้วยว่าซิ่นเฉิงจะไม่ก่อเรื่องใดๆ อีก ถึงได้เปลี่ยนเส้นทางอพยพเสียอย่างนั้น คงหมายจะไม่ให้เทพอสูรตามตัวได้

เป็นเทียนอี้บ้างแล้วที่ขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่เหล่ามนุษย์หลงคิดเสียหน่อย ท่านอ๋องแห่งเผ่าทะเลทรายตรงหน้านี้ก็รู้ดีเพราะเคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาอยู่บ่อยครั้ง แม้จะไม่ได้ชิดเชื้อแต่ก็ใช่ว่าเขาจะใช้ความเป็นเทพอสูรข่มเหงรังแก

ทว่า...ความหวาดกลัวนั้นเป็นของคู่จิตใจมนุษย์ ถึงจะรู้ดีว่าเทพอสูรอย่างเทียนอี้ไม่ทำอันตรายแก่ผู้ใด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเทพอสูรตนอื่นจะเป็นเช่นเขา การที่ซิ่นจินถูกส่งไปเป็นฮูหยินเพียงเพราะบิดาของนางรุกล้ำบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ได้ตั้งใจจนถูกข้ารับใช้ของเทียนอี้ขู่กรรโชกว่าจะเข่นฆ่า นั่นก็ชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือว่าเทพอสูรมิอาจวางใจได้

พลันเทียนอี้ก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา หากไม่เป็นเพราะพ่อบ้านเหลียงที่ออกอุบายหมายให้เขาตบแต่งฮูหยินเข้าจวน เขาก็คงไม่ถูกมองเช่นนั้น แต่อีกใจก็นึกขอบคุณพ่อบ้านเหลียงเช่นกัน เพราะหากไม่มีเรื่องเข้าใจผิดเช่นนั้น เขาก็คงจะไม่ได้พบพานกับซิ่นเฉิง
แต่ในเวลานี้ เรื่องนั้นหาได้สำคัญไม่ เมื่อได้ยินว่าบิดาของซิ่นเฉิงอพยพลงใต้ ในใจของเทียนอี้ก็พลันกังวลขึ้นมา

“ลงใต้... ดินแดนทางนั้นเป็นทะเล เป็นจุดหมายที่ข้าจะยกทัพมุ่งหน้าไป”
ซิ่นเฉิงรับรู้ได้โดยพลันว่าเทียนอี้ตั้งใจจะหมายถึงสิ่งใด

ดินแดนทางนั้นมีปีศาจที่ทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะเทือนสิงสถิตอยู่!

เป็นเขาบ้างแล้วที่กังวลขึ้นมา แม้แต่เหล่าเทพยังต้องหวาดเกรง แล้วหากเป็นมนุษย์ จะเหลือชีพให้ดำรงอยู่หรือ?
“ได้ความแล้วก็ไปพักผ่อนก่อนเถิด จากนั้นค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ”

ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะได้เป็นกังวลไปมากกว่านี้ เทียนอี้ที่ยืนฟังอยู่นานก็เป็นฝ่ายตัดบท

ท่านอ๋องไม่ทัดทานใดๆ เห็นดีด้วยกับเทพอสูรตรงหน้า
“กิ่นให้อิ่ม นอนให้หลับ หากต้องการความช่วยเหลือ ก็จงบอกข้า ขออย่าได้เกรงใจ”
“ขอบคุณท่านอ๋อง”

ซิ่นเฉิงยกมือคำนับ หมุนตัวหมายจะออกจากกระโจมของผู้มีศักดิ์ใหญ่กว่า ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าไปไหนได้ไกล เสียงของท่านอ๋องก็ดังขึ้น

“ท่านเทพอสูร...”
เทียนอี้หันไปมอง พลันท่านอ๋องก็ว่าขึ้นอีก
“ท่านใช่หรือไม่ที่เป็นผู้ดูแลบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทางตอนเหนือเมื่อสิบปีก่อน”

เขาไม่แน่ใจนัก แต่ก็จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าผู้ดูแลบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นมีรูปกายเป็นสุนัขป่าขนสีเงินยวง
“ใช่ เป็นข้าเอง”

ครั้นได้ยินอีกฝ่ายตอบเช่นนั้น ท่านอ๋องก็ยกมือขึ้นคำนับ

“เป็นวาสนาของข้าที่ได้พบพานท่านอีกครั้ง หากไม่ได้รับความเมตตาจากท่านในครานั้น ข้าและพี่น้องคงต้องมอดม้วยเป็นแน่”

เทียนอี้จำได้ดีว่าครั้งหนึ่ง เผ่าทะเลทรายเผ่านี้ก็เคยรุกรานบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อดื่มกิน หากแต่ถูกเขาขับไล่ เหตุนั้นเป็นเพราะ...
ยังไม่ทันจะได้คิดต่อ ซิ่นเฉิงที่ได้ยินเรื่องนั้นก็หันขวับมา
“เจ้าหรือที่เป็นเทพอสูรตนนั้น?”

เทียนอี้มองหน้าคร้ามคมของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก ขณะที่ซิ่นเฉิงใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะกับความจริงที่ได้รับรู้ ก่อนภาพความทรงจำในวัยเยาว์จะภายวาบขึ้นในหัว

เมื่อสิบปีก่อน เขามีอายุได้สิบขวบปี บิดาพาเผ่าของเขารอนแรมไปกับเผ่าของท่านอ๋องตรงหน้า อดอยากแร้นแค้นแสนเข็ญ
หลายชีวิตล้มตายอย่างน่าอนาถ ศึกสงครามระหว่างชนเผ่าคร่าชีวิตชายหนุ่มฉกรรจ์ไปมากมาย สตรีและเด็กต่างก็ล้มตายเพราะขาดน้ำและอาหารดำรงชีพ ครั้นมาถึงยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่พบเจอระหว่างทางที่อพยพขึ้นเหนือ บรรดาชาวเผ่าก็หมายจะดื่มกินน้ำดับกระหาย ทว่าก็ถูกเหล่าเทพอสูรขัดขวางและขับไล่อย่างไม่ไยดี

แม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่ได้หยดลงคอ... ซิ่นเฉิงในตอนนั้นลำคอแห้งผากเป็นผุยผง เด็กเช่นเขาแม้ว่าจะไม่ประสาเรื่องใดนัก แต่ก็จำได้ดีว่ามารดาที่ตระกองกอดเขากับซิ่นจินนั้นวิงวอนขอความเมตตาเพียงใด

 
‘ได้โปรด น้ำเพียงอึกเดียวก็ได้ โปรดเมตตาให้ลูกๆ ของข้าได้ดื่มสักนิดเถิด’
‘ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้ หากไม่อยากทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ก็จงไปจากที่นี่เสีย ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน’
‘เพียงหยดเดียวก็ได้ ได้โปรดให้ลูกข้าได้ดื่ม’
‘แม้แต่หยดเดียว พวกเจ้าก็ดื่มไม่ได้ จงไปซะ!’
 
ถ้อยคำนั้น ซิ่นเฉิงคำได้ไม่เคยลืม แม้ภาพความทรงจำของเทพอสูรตนนั้นจะเลือนรางด้วยเขาในตอนนั้นหน้ามืดวิงเวียนเสียจนสายตาพร่าเลือน ทว่าก็รับรู้ได้ว่านั่นคือเทพอสูรผู้ดูแลบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

และเป็น...สาเหตุที่ทำให้มารดาเขาต้องตาย

ครั้นถูกขับไล่ออกจากบ่อน้ำ เผ่าทะเลทรายก็รอนแรมในดินแดนอันแห้งแล้งนี้ไปอีกได้ไม่นาน ผู้คนต่างพากันล้มตาย มารดาของเขาซึ่งเดิมทีมีร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้วล้มป่วยหนัก เพียงไม่กี่ราตรีให้หลัง ร่างกายก็ซูบซีด ก่อนจะขาดใจตายไปต่อหน้า ซิ่นเฉิงจำใบหน้าผ่ายผอมของมารดาในวาระสุดท้ายได้ดี ยามนางพยายามยกยิ้มเพื่อแค่นคำพูดออกมานั้น เขายังคงจำได้ไม่ลืม
 
‘อย่าถือโทษโกรธแค้นท่านเทพอสูรผู้นั้น ที่เขาไม่เมตตา ท่าทีนั้นคือการเสแสร้ง เขามีเหตุที่ไม่อาจมอบน้ำให้เราดื่มได้’
‘แต่หากท่านแม่ได้ดื่มน้ำ ท่านแม่ก็จะไม่เป็นเช่นนี้!’
‘เฉิงเฉิง วาสนาของแม่มีเท่านี้ ต่อจากนี้เจ้าจงดูแลจินจินแทนแม่ เติบใหญ่ในภายหน้าก็ขอให้เจ้าดูแลท่านพ่อและพี่น้องของเราด้วย’
เปลือกตาของนางค่อยๆ ปรือปิดลง ซิ่นเฉิงในอายุเพียงสิบขวบปีตะลึงงันเมื่อเห็นมัจจุราชนำเอาวิญญาณของมารดาอันเป็นที่รักไปต่อหน้า ขณะที่ซิ่นจินร่ำไห้อยู่เบื้องหลัง
‘ไม่...ท่านแม่...ไม่!’

นางสิ้นใจไปทั้งที่บุตรชายยังคงเขย่าร่างอยู่ ซิ่นเฉิงไม่อาจยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้น เสียงร่ำไห้ของเขาดังระงมยิ่งกว่าผู้ใด ทำเอาบิดาที่ยืนมองอยู่มิอาจทนไหว เข้ามากอดลูกทั้งสองไว้ในอ้อมแขน กลั้นความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไป พลางเปล่งเสียงแหบแห้งที่สั่นเครือน้อยๆ ออกมา

‘ท่านแม่ของพวกเจ้าไปเป็นดาวบนฟ้าแล้ว จากนี้เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อนาง’
‘ไม่...ท่านแม่ยังไม่ตาย ท่านแม่ยังอยู่กับข้า! ฮือ...ท่านพ่อ! ข้าจะไปฆ่ามัน! เทพอสูรตนนั้น...ข้าจะฆ่ามันให้สิ้น!’

เด็กน้อยอาละวาดในอ้อมแขนของบิดา แต่เรี่ยวแรงนี้จะไปทำการใดได้ ขนาดจะดิ้นให้หลุดจากการเหนี่ยวรั้งของบิดายังทำไม่ได้เลย

ถ้าเช่นนั้น...เขาจะต้องเติบใหญ่เป็นบุรุษที่แข็งแกร่ง เป็นนักรบของเผ่าเพื่อที่จะได้สังหารเทพอสูรที่บังอาจพรากมารดาไปจากเขา

เทพอสูรน่ารังเกียจตนนั้น!



 
คิดถึงภาพนั้นแล้ว ร่างกายของซิ่นเฉิงก็พลันสั่นเทิ้มขึ้นมา เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนที่สร้างความเจ็บปวดในวัยเยาว์จะอยู่ใกล้ตัวถึงเพียงนี้ ก่อนที่จะมองหน้าเทียนอี้นิ่งและเปิดปากถามอีกครั้ง

“ใช่เจ้าหรือไม่ที่เป็นผู้ดูแลบ่อน้ำนั่น!?”

เทียนอี้นิ่งงัน เขาไม่อยากพูดเลยว่านั่นคือเขาเองเพราะพอจะรับรู้ได้แล้วว่าเหตุใดซิ่นเฉิงเคยเล่าไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาถามว่าไยจึงรังเกียจเทพอสูรและซิ่นเฉิงได้ให้คำตอบไว้ว่าเพราะเทพอสูรสังหารมารดาของเขา ที่แท้ก็เป็นเพราะซิ่นเฉิงคือชนเผ่าทะเลทรายที่มาบุกรุกบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น

“ใช่เจ้าหรือไม่!?”

ซิ่นเฉิงตะคอกออกมา ไร้ซึ่งความเกรงใจท่านอ๋องที่พยายามจะปรามด้วยเขาเองก็ตระหนักได้ว่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป ก่อนที่เทียนอี้จะยกมือเป็นเชิงห้ามให้ท่านอ๋องหยุดกระทำการใด สูดลมหายใจเข้าและว่าออกมา

“เป็นข้าเองที่ดูแลบ่อน้ำนั้น”

เขามีเหตุผลที่ไม่อาจให้มนุษย์ดื่มกินน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ท่านอ๋องและผู้นำเผ่าทะเลทรายคนอื่นๆ ต่างรู้เรื่องนี้แล้ว หากแต่ดูเหมือนบิดาของซิ่นเฉิงจะยังไม่ได้เล่าข้อเท็จจริงนี้ให้บุตรชายฟัง

ทว่า...ถึงจะมีพูดไปตอนนี้จะได้อะไร ในเมื่อซิ่นเฉิงที่ตกตะลึงไปชั่วครู่มองเขาด้วยแววตาผิดหวัง ในใจหนักอึ้งราวกับฟ้าถล่มใส่ ก่อนที่ความผิดหวังจะพร่างพราย พลันริมฝีปากแห้งผากจะเปล่งเสียงออกมา

“เป็นเจ้านี่เองที่สังหารท่านแม่ของข้า...เทียนอี้”
---------------------------
จะม่ากันอีกแล้วสินะหลังจากที่ถูกตอนหวานหลอกอยู่หลายตอน ว้อยยย ตบคนเขียนม๊านนน! #ผิดๆ 555
เริ่มเปิดเรื่องเข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้วค่ะ ตอนหน้าก็จะเริ่มเฉลยแล้วล่ะว่าหลิวซูตายเพราะเจี้ยนสือยังไง
แล้วเรื่องจะเป็นยังไงต่อ ช่วงนี้หนูแดงอัปช้าหน่อยเพราะติดภารกิจงานหนังสือแต่จะพยายามมาอัปต่อเนื่องนะคะ
ฝากฟีดแบ็กไว้ล่วย พรุ่งนี้จะเอาตัวอย่างตอนใหม่มาแปะให้จ้า
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย[05/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-10-2017 10:05:54
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย[05/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 06-10-2017 10:21:39
ปวดตับยิ่งนัก สองคนนี้จะคืนดีกันได้มั้ย
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย[05/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 06-10-2017 10:54:53
โอ้ มาม่าเต็ม
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย[05/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-10-2017 14:12:30
 :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย[05/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Realy ที่ 06-10-2017 18:41:21
หวานไม่ทันไรมาม่าห่อจัดมาเต็มเชียว :katai1: :z6:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย[05/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-10-2017 18:46:12
 :เฮ้อ:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย[05/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 06-10-2017 22:18:08
โอ้ย ม่าอีกแล้วอ่ะ ฮื้อออออ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย[05/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 07-10-2017 00:43:20
 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย[05/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 12-10-2017 00:18:38
บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[1]

ไม่ว่าอย่างไร เทพอสูรกับมนุษย์ก็คงมิอาจบรรจบ ยิ่งซิ่นเฉิงได้รู้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามารดาของเขาถูกพรากไปเพราะคำสั่งของเทียนอี้ ความหมางเมินก็ปรากฏพร่างพรายให้เห็น แม้ว่าเทียนอี้ที่เพิ่งจะรู้ว่าตนกระทำการใดผิดได้เข้าไปอธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่าเหตุที่ต้องห้ามมิให้เหล่ามนุษย์ที่รอนแรมข้ามทะเลทรายดื่มน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเพราะเมื่อครั้งนั้น ปีศาจอันเป็นบุตรชายของเทพมังกรวารีได้ระรานด้วยการปล่อยพิษไว้ หมายจะคร่าชีวิตของทุกสรรพสิ่งที่ดื่มกินน้ำนั้นเพื่อเสริมพลังให้ตนเอง

แค่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ เทียนอี้ก็รู้สึกแย่อยู่แล้ว หากปล่อยให้ต้องมีมนุษย์คนใดตายเพราะความประมาทของเขาอีก เขาคงไม่มีหน้าไปพบผู้ใด ดังนั้นจึงจำต้องสั่งห้ามและขับไล่ชนเผ่าทะเลทรายที่วิงวอนขอน้ำดื่มอย่างจำใจ แม้ว่าในใจนั้นนึกสงสารและเวทนามนุษย์เหล่านั้นสุดแสนจะทานทนก็ตาม แต่หากปล่อยให้ได้ดื่มน้ำ นั่นจะกลายเป็นการทำให้เหล่ามนุษย์ที่ดูอ่อนล้าไปเยือนยมโลกเร็วขึ้น

จนถึงบัดนี้ เทียนอี้ก็ยังคิดว่าตนตัดสินใจไม่ผิด ไม่เช่นนั้น เขาคงจะไม่ได้เห็นซิ่นเฉิงมายืนอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ ทว่าซิ่นเฉิงกลับไม่ยอมรับ แม้ว่ามนุษย์หนุ่มจะรับฟังและเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยทั้งเทียนอี้ ทั้งอ๋องแห่งเผ่าทะเลทรายและเทพอสูรตนอื่นๆ ช่วยกันอธิบาย กระนั้นก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงยอมปริปากพูดกับเทียนอี้เช่นเดิมได้เลย

ใช่ว่าไม่อยากพูด แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เขาถือโอกาสใช้เรื่องนี้เป็นการตัดสัมพันธ์กับเทียนอี้แล้วกลับทะเลทรายเลยก็แล้วกัน เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เลือกที่จะจากไปอยู่แล้ว หากจากไปโดยยังมีพันธะผูกพัน ไม่แน่ว่าบ่วงที่รัดคอพวกเขาเอาไว้ด้วยกันอาจจะรัดแน่นขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้ และถ้าเป็นเช่นกัน สิ่งที่เขาทุ่มเททำมาทั้งหมดก็เสียเปล่า

เพราะอย่างนั้นจึงยังคงวางท่าทีหมางเมิน แสร้งขุ่นเคืองเทียนอี้ต่อไป หมิงจูกับพ่อบ้านเหลียงก็เลิกช่วยพูดแล้วด้วยทั้งสองตระหนักได้ว่านั่นอาจจะเป็นอุบายของมนุษย์หนุ่ม จะมีก็แต่เพียงเทียนอี้เท่านั้นที่ไม่รู้ ตามตอแยอธิบายข้อเท็จจริงไม่เลิกรา ทว่า...เมื่อถูกซิ่นเฉิงพูดใส่หน้าว่า...

“ข้าไม่มีวันบรรจบกับผู้ที่สังหารมารดาข้า เรื่องที่ผ่านมา ขอให้เจ้าคิดว่าเป็นความฝัน”
...เทียนอี้ก็พูดอะไรต่อไม่ออก

ให้เขาคิดว่าเป็นความฝันอย่างนั้นหรือ? จะไปทำได้อย่างไรกันล่ะ!

ในใจปวดหนึบ แต่ก็มิอาจทำอะไรได้ ซิ่นเฉิงก็คือซิ่นเฉิง เมื่อคิดหรือตัดสินใจทำสิ่งใดแล้ว ต่อให้เอาเชือกมามัด เอาไม้มาโบย ก็มิอาจเปลี่ยนใจมนุษย์หนุ่มได้ เทียนอี้จึงต้องล่าถอยไปขบคิดว่าจะทำการใดต่อดี

แต่...จะทำการใดก็คงไม่ทันการ เพราะหลังจากที่สลัดเทียนอี้หลุด ซิ่นเฉิงก็เอ่ยปากลาท่านอ๋องเผ่าทะเลทรายด้วยหมายจะเดินทางไปตามหาเผ่าของตนในวันรุ่งขึ้น เทียนอี้อยากจะขัดนัก อีกทั้งอยากจะไปด้วยเพราะใจคิดเป็นห่วงว่ามนุษย์ตัวคนเดียวอย่างซิ่นเฉิงจะได้รับอันตราย ทว่าก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเขาบอกกับอีกฝ่ายว่าจะมาส่งยังเผ่าทะเลทรายที่ปักปลักอยู่ละแวกนี้เท่านั้น ซึ่งคำพูดของเขาก็ถือเป็นที่เสร็จสิ้นแล้ว ต่อให้พูดสิ่งใดออกไปอีก ซิ่นเฉิงก็คงไม่รับฟังและยอมรับง่ายๆ ดังเดิม จึงได้แต่ร้อนใจ หาวิธีที่จะเหนี่ยวรั้งซิ่นเฉิงได้เพียงลำพัง

มนุษย์หนุ่มรู้ว่าเทียนอี้หมายจะทำการนั้น เขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะพบหน้ากับแม่ทัพเทพอสูรสุนัขป่าทั้งวันทั้งคืน ไม่นอนร่วมกระโจมอย่างเคย แต่กลับไปนอนร่วมกระโจมกับพ่อบ้านเหลียงและบรรดาทหารผู้รับผิดชอบกองเสบียงกรังแทน
ในคืนแรกที่ไร้อ้อมกอดของเทียนอี้โอบรัดช่างไม่คุ้นเคยสำหรับซิ่นเฉิงเอาเสียเลย เขานอนกระสับกระส่ายอยู่ครู่ใหญ่จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว ลุกออกจากกระโจมมานั่งตากลมเย็นเยียบบริเวณเนินทรายไม่ไกลจากจุดที่เหล่าเผ่าทะเลทรายและกองทัพเทพอสูรพำนักเท่าไรนัก

ราตรีนี้ ใจช่างว้าวุ่นเหลือเกิน ทั้งเรื่องของเทียนอี้ที่อีกไม่นานก็จะต้องพรากจากกัน ทั้งเรื่องของเผ่าตนที่อยู่แห่งหนใดก็มิอาจรู้ได้ ความกังวลเกาะกุมจิตใจจนพานให้ร่างกายอ่อนล้า

ซิ่นเฉิงทรุดตัวลงนั่งบนผืนทรายละเอียด ดวงตาทอดมองไปยังความมืดมิดของทะเลทรายเวิ้งว้างเบื้องหน้า พลันหลับตาลงช้าๆ หมายจะให้สายลมที่พัดโบกโบยนำพาเอาความเหนื่อยอ่อนนั้นไป หากแต่ทำเช่นนั้นได้ไม่นานก็ต้องลืมตาขึ้นเมื่อหูได้ยินเสียงสวบสาบดังมาจากทางด้านหลัง คราแรกนึกว่าเป็นเสียงฝีเท้าของเทียนอี้จึงหมายจะลุกหนี ทว่าพอได้ยินเสียงทุ้มที่เอ่ยทัก เขาจึงชะงักและนั่งอยู่อย่างเดิม

“นอนไม่หลับหรือ ถึงได้ออกมานั่งเล่นตามลำพังเช่นนี้?”

เป็นเสียงของเจี้ยนสือ วันนี้ผืนฟ้าไร้เมฆบดบัง จันทราสาดแสงลงสู่พื้นดินได้อย่างเต็มที่ ร่างกายอันอัปลักษณ์ของเจี้ยนสือจึงแปรเปลี่ยนเป็นร่างงดงามของอดีตเทพ กระนั้นก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงสนใจแต่อย่างใด เขาเพียงเหลือบมองแล้วผินหน้ากลับมาทางเดิม

“เย็นชากับข้าเสียจริงนะ”

คนถูกเมินว่าเย้า ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ตอบโต้ จึงทรุดตัวลงนั่งข้างๆ

“นอนไม่หลับเพราะเทียนอี้ล่ะสิ”

เมื่อนั่งได้ก็พูดต่อ สิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้รับคำแต่อย่างใด ถึงจะเงียบงันเป็นคำตอบ แต่กลับทำให้คนถามปวดร้าวในใจขึ้นมาทีละน้อยด้วยเขารู้ดีว่าเหตุใดมนุษย์หนุ่มถึงได้มานั่งซึมเซาอยู่คนเดียวเช่นนี้

"เจ้ารู้เหตุผลที่เทียนอี้ไม่ให้มนุษย์ดื่มน้ำในครั้งนั้นแล้วใช่หรือไม่?”
เจี้ยนสือทำลายความเงียบอีกครั้ง คราวนี้คนถูกถามพยักหน้ารับทั้งที่ไม่ได้หันไปมอง
“ถึงจะรู้ความจริงแล้ว แต่เจ้าก็ยังจะหมางเมินกับเจ้านั่นเช่นนี้หรือ?”

ถามคล้ายกับว่าเป็นห่วงดั่งเช่นใครต่อใครพากันถามซิ่นเฉิง แต่สำหรับเจี้ยนสือแล้ว ความเป็นห่วง เขามีให้เพียงคนตรงหน้าเท่านั้น หาได้อยากให้คนตรงหน้าคืนดีกับสหายตนแต่อย่างใด

“แล้วมีเหตุอันใดที่ข้าจำจะต้องไปผูกมิตรกับเจ้าหมากันล่ะ ในเมื่ออีกไม่นาน ข้าก็จะไปจากพวกเจ้า”
เป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากริมฝีปากของมนุษย์หนุ่ม ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หันไปมองหน้าเจี้ยนสืออยู่ดี

“ก็ไม่รู้สิ เห็นพวกเจ้าสนิทชิดเชื้อกัน ข้าก็นึกว่าพวกเจ้ามีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน”

เทพอสูรงูจงอางแสร้งพูดแทงใจดำทั้งที่รู้ดีว่าระหว่างเทียนอี้และซิ่นเฉิงเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ซิ่นเฉิงเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจจึงแสร้งทำหูทวนลม คนมองส่งเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วเบาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไร้การตอบโต้ ก่อนจะพูดขึ้นมาอีก

“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อ เผ่าของเจ้าใช้เส้นทางใดไปก็มิอาจรู้ เจ้าว่าจะออกตามหา แต่ลำพังเจ้าตัวคนเดียว จะไปทำการใดได้กัน มิวายจะตายเป็นศพไร้ญาติเอาระหว่างทาง”
“จะทำเช่นไรก็เรื่องของข้า”

ซิ่นเฉิงไม่อยากจะเสวนาด้วยเท่าไรนัก เพราะนึกรำคาญใจขึ้นมาแม้ว่าคำพูดของเจี้ยนสือจะถูกต้องและมันจะแฝงไปด้วยความเป็นห่วงในถ้อยคำและน้ำเสียงกระด้างก็ตาม ทว่าเจี้ยนสือกลับตอแยไม่เลิก

“หากเหนือบ่ากว่าแรงที่เจ้าจะกระทำเพียงลำพัง จะให้ข้าช่วย ข้าก็ยินดี”

สิ่งที่หยิบยื่นให้หาใช่น้ำใจ หากแต่เป็นความประสงค์ของเขา เมื่อคิดว่าซิ่นเฉิงจะต้องกลายเป็นผีไร้ญาติ เจี้ยนสือก็มิอาจทนได้

“ข้าจะไว้ใจเจ้าได้เช่นไร?”
“ข้าเคยทำร้ายเจ้าหรือไร กับคนของเจ้า เผ่าของเจ้า ข้าก็ไม่เคยทำร้ายสักครั้ง ไม่เหมือนกับเจ้านั่นที่แม้จะขับไล่เพราะหวังดี แต่ก็เป็นเหตุทำให้แม่ของเจ้าต้องตาย”
“แต่เจ้าสังหารหลิวซู... สังหารคนที่เจ้ารักถึงสองครา เป็นเช่นนี้ ข้าจะไว้ใจได้อย่างนั้นหรือ?”

ซิ่นเฉิงหันหน้าไปมองในคราวนี้ เจี้ยนสือยกยิ้ม ไม่ใช่เพราะขบขัน แต่เป็นเพราะสมเพชตนเองที่อีกฝ่ายหาได้วางใจเขาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังพูดแทงใจดำเขาอีกต่างหาก ทั้งที่แสร้งหลงลืมไปแล้ว ก็ยังถูกขุดคุ้ยอดีตที่ไม่อาจลืมเลือนได้ขึ้นมา เจี้ยนสือเข้าใจ...เขาก็น่าจะไม่ถูกวางใจอยู่หรอก ทำผิดถึงสองหนเช่นนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจให้อภัยได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะหลิวซูซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำ

กระนั้นเจี้ยนสือก็กลั้นความกระอักกระอ่วนในใจที่ถูกพูดตอกหน้ามาตามตรงลงไป และเอ่ยกับซิ่นเฉิงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่ข้าไม่เคยทำร้ายเจ้า และจะไม่มีวันทำ ข้าไว้ใจได้อย่างแน่นอน ไว้ใจข้าสิ”

ซิ่นเฉิงไม่โอนอ่อนตามไปด้วยโดยง่าย เพราะเขาไม่ใคร่ที่จะข้องเกี่ยวกับเทพอสูรตนใดอีกด้วยคิดจะตัดขาดแล้ว ทว่าเมื่อคิดดูดีๆ ในการครั้งนี้ เขาจำต้องมีผู้ช่วยเหลืออย่างที่เจี้ยนสือว่า ตัวคนเดียวเช่นเขาคงมิอาจค้นหาเผ่าของตนได้เจอแน่ ครั้นจะออกปากขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋องของอีกเผ่าก็เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่มากเกินไป จึงไม่ใคร่จะรบกวนอีก พลันออกปากไปอีกครั้ง

“หากข้าต้องการให้เจ้าช่วย เจ้าก็คงจะไม่ช่วยข้าโดยไม่มีสิ่งตอบแทนสินะ”
เจี้ยนสือยกยิ้ม ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปาก แต่นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายตอบว่า ‘ใช่’

“เช่นนั้นเจ้าอยากได้สิ่งใดเป็นของตอบแทน”

เจี้ยนสือขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับขบคิด ปล่อยให้ความเงียบงันลอยคว้างอยู่รอบข้างครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงออกมา
“จุมพิต” เว้นจังหวะไปชั่วครู่ให้ซิ่นเฉิงได้ขมวดคิ้ว ก่อนจะว่าอีก “เพียงจุมพิตของเจ้าแค่ครั้งเดียว ข้าก็ยอมตายแทนเจ้าแล้ว...เจ้าเหมียว”

ฉวยโอกาส... คำนี้อาจจะใช้บริภาษอสรพิษร้ายตนนี้ได้เป็นอย่างดี ซิ่นเฉิงฟังแล้วก็รำคาญใจยิ่งนัก ขณะเดียวกัน ในใจลึกๆ ของเขาก็เต้นระส่ำ ซึ่งชายหนุ่มรู้ดีว่าอาการนั้นหาได้มาจากความรู้สึกของเขา หากแต่เป็นความรู้สึกของหลิวซูในก้นบึ้งของจิตใจต่างหาก ทว่าก่อนที่เขาจะได้ระงับอาการนั้นเสร็จสิ้น เจี้ยนสือก็ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนห่างกันเพียงหนึ่งฝ่ามือและกระซิบถามเสียงแผ่วเสียแล้ว

“ว่าอย่างไรล่ะ เพียงจุมพิตแค่ครั้งเดียว แลกกับการที่ข้าช่วยเหลือเจ้า เจ้าจะยอมไหม”

ซิ่นเฉิงสบดวงตาสีนิลกาฬคู่นั้นนิ่ง ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ อีกทั้งดวงตาก็นิ่งเรียบ ทว่าก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายกลับเต้นระรัวหนัก

เขาต้องระงับอาการนี้...

เขาต้องหยุดความรู้สึกของหลิวซู!

ใจของหลิวซูตอบรับคำพูดนั้นไปเรียบร้อยแล้ว แต่สมองของซิ่นเฉิงกลับพร่ำปฏิเสธ กระนั้นปากก็มิอาจเปิดอ้าได้ด้วยหลิวซูซึ่งอยู่ภายในกายของเขาเรียกร้องสัมผัสจากคนตรงหน้า ขณะเดียวกัน ความเงียบงันก็ทำให้เจี้ยนสือหลงคิดไปว่ามันคือการตอบรับ จึงได้โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้อีก ครั้นปลายจมูกเกือบจะสัมผัสกัน เขาก็กระซิบออกมา

“หากไม่ตอบ ข้าถือว่าเจ้าตกลง”
สิ้นเสียงก็หมายจะครอบครองริมฝีปากของอีกฝ่าย

ไม่!

ซิ่นเฉิงร้องบอกกับตนเอง พลันยื่นมือออกไปดันใบหน้าของอีกฝ่ายออกห่าง เจี้ยนสือชะงักงันทันทีที่เห็นว่าถูกมนุษย์หนุ่มปฏิเสธ อันที่จริงเขาจะใช้กำลังหักหาญน้ำใจก็ย่อมได้ ต่อให้ร่างกายมีขนาดไล่เลี่ยกัน แต่พละกำลังนั้น ซิ่นเฉิงก็มิอาจสู้ ทว่าไม่คิดจะทำด้วยไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นครั้งก่อนหน้านั้นอีก

“เป็นข้าไม่ได้เลยหรือ?”
เจี้ยนสือถามเสียงแผ่ว ความหมายโดยนัยชัดเจนว่าเขามิอาจแทนที่เทียนอี้ได้เลยหรืออย่างไร ส่วนคนถูกถามก็ไม่ตอบ ได้แต่พูดไปอีกเรื่อง

“หากเจ้าประสงค์จะช่วยข้า ก็จงช่วยด้วยความเต็มใจเพราะข้าไม่มีสิ่งตอบแทนใดๆ ให้ทั้งนั้น ถ้าคิดว่าการช่วยเหลือข้าเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ เจ้าก็ไม่ต้องหยิบยื่นน้ำใจใดๆ ทั้งนั้น ข้าไม่ถือสาและจะไม่วิงวอนต่อเจ้าหรือผู้ใดด้วย”
พูดจบก็ผุดลุกขึ้น ก่อนจะทิ้งท้ายไว้อีกประโยค
“และจงจำไว้ให้ดีว่าข้าคือซิ่นเฉิง หาใช่หลิวซู ข้าจะไม่มีวันยอมให้พวกเจ้าได้แย่งชิงกันง่ายๆ ชีวิตและร่างกายนี้เป็นของข้า”

สิ้นเสียงแล้วก็เดินจากไป ปล่อยให้เจี้ยนสือมองตามหลังก่อนจะหัวเราะในลำคอ

ช่างดื้อดึงได้เหมือนกับคนผู้นั้นเสียจริง...

ถึงจะมีเสียงหัวเราะ แต่นั่นก็เจือปนไปด้วยความเจ็บปวด ฉับพลันก็นึกถึงใบหน้าของหลิวซูขึ้นมา

หากคนที่เขาหมายจะจุมพิตคือหลิวซู คนผู้นั้นย่อมต้องดีใจจนเนื้อตัวเต้นอย่างแน่นอน

เจี้ยนสือระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนทิ้งตัวลงนอนราบไปกับผืนทรายอย่างไม่สงวนท่าที สายตาจ้องมองดวงจันทร์ที่เคลื่อนคล้อยไปทีละน้อย แล้วหลับตาลง คะนึงหาใครบางคนที่คิดถึงอย่างสุดหัวใจ อีกทั้งการถูกผลักไสเมื่อครู่ก็ทำให้เขาระลึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อในอดีตชาตินั้น เขาเองก็เคยผลักไสใครบางคนอย่างไร้เมตตาเช่นกัน

คนผู้นั้นทำให้ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน...ซูซู



 
การทำร้ายจิตใจของหลิวซูดำเนินอย่างต่อเนื่องทุกวี่วัน แต่แทนที่หลิวซูจะเข็ดหลาบที่ถูกเจี้ยนสือขับไล่ไสส่งทุกครั้งที่แวะเวียนไปหาที่จวน เขากลับยังเทียวไปมาหาสู่ ทั้งยังเอาของไปฝาก แม้ว่าในท้ายที่สุด สิ่งของเหล่านั้นจะถูกเจี้ยนสือขว้างทิ้งอย่างไม่ไยดี แต่ก็ไม่มีวันใดเลยที่หลิวซูจะไม่สรรหาของที่ดีเลิศที่สุดไปมอบให้แก่เทพอสูรตนนั้น

วันนี้ก็เช่นกันที่ชายหนุ่มมือของติดไม้ติดมือไป หากแต่ครั้งนี้หาใช่ของที่หาซื้อมาจากพ่อค้าแดนไกลเช่นทุกที ทว่าเป็นของที่เขารังสรรค์ขึ้นเพื่อเจี้ยนสือโดยเฉพาะ

ครั้นเจี้ยนสือรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบนพื้น เขาก็รู้ได้ทันทีจากจังหวะการก้าวเดินว่าแรงนั้นมาจากหลิวซู พลันก็รีบผุดลุกขึ้นจากโขดหินในสวน หันหลังหมายจะหนีกลับเข้าเรือนใหญ่ แต่ก็ไม่ทันการณ์เมื่อหลิวซูโผล่หน้าเข้ามาให้เห็นเสียก่อน

“อย่าเพิ่งไปขอรับท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ”
ไม่เพียงแต่ร้องเรียก ยังวิ่งถลาเข้ามาหาอย่างรวดเร็วอีกด้วย
เจี้ยนสือปรายตามอง ใบหน้าขึ้งโกรธพลางถามเสียงขุ่น
“มีเรื่องอันใด”
“ข้ามีบางสิ่งอยากจะให้ท่าน”

เป็นคำพูดที่หลิวซูเอ่ยเช่นทุกวัน เจี้ยนสือขมวดคิ้วมุ่นมากขึ้นไปอีก

“ยังไม่เข็ดอีกหรือ? เจ้าก็รู้ว่าต่อให้มอบสิ่งใดให้ข้า ข้าก็จะขว้างมันทิ้ง”
เป็นเช่นนั้น... หลิวซูรู้ แต่กระนั้นก็ยังหยักยิ้ม
“หากท่านแม่ทัพใคร่จะขว้างทิ้งก็ไม่เป็นไร เพราะข้าตั้งใจจะให้ท่าน ท่านรับไว้ในมือ ข้าก็ถือว่าท่านรับน้ำใจข้าแล้ว”

ช่างเป็นคำพูดที่โง่งม อีกทั้งยังฟังดูน่าสงสาร และใช่ว่าเจี้ยนสือจะไม่รู้สึกอะไรกับการกระทำร้ายกาจของตนอย่างนั้น แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

“อะไร”
ถึงจะลงเอยที่ขว้างปาสิ่งของทิ้ง แต่ปากก็ยังเอ่ยถามด้วยใคร่รู้ว่าหลิวซูมีสิ่งใดมาให้ อีกฝ่ายยกยิ้มกว้าง ก่อนหยิบเอากล่องขนาดยาวกว่าฝ่ามือออกมาตรงหน้า
“ท่านแม่ทัพลองเปิดดูสิขอรับ”

เจี้ยนสือจำต้องรับไว้เพราะทนความใคร่รู้ของตนเองไม่ไหว และเมื่อเปิดกล่อง เขาก็ต้องเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นว่าในกล่องนั้นบรรจุมีดสั้นที่ด้ามมีดสลักเป็นลายงูพันเกี่ยวกระหวัดปลายด้ามไว้ พลันสายตาก็เบนไปมองผู้มอบอย่างไม่เข้าใจ

“ข้าเพียงคิดว่าหากสิ่งของที่ข้ามอบให้นั้นเกี่ยวข้องกับตัวของท่าน ท่านแม่ทัพคงจะไม่ขว้างทิ้ง” พูดพลางลูบท้ายทอยป้อยๆ ก่อนจะว่าต่อเมื่อเห็นว่าเจี้ยนสือไม่พูดอะไรออกมา “ข้าปรารถนาจะมอบของขวัญให้ท่านมานานแล้ว แต่ท่านไม่รับไว้ หวังว่าครั้งนี้ท่านแม่ทัพจะไม่ปฏิเสธน้ำใจ ข้าเป็นผู้ออกแบบมันด้วยตัวเองเลยทีเดียว อีกทั้งยังคอยดูแลให้ช่างตีดาบและช่างสลักทำงานออกมาให้ประณีต ข้าตั้งใจทำมาให้ท่านจริงๆ”

ฟังแล้ว ก้อนเนื้อเย็นชาในอกข้างซ้ายของเจี้ยนสือก็เต้นระส่ำ โลหิตเย็นเยียบก็พลันอุ่นร้อนขึ้นมาทีละน้อย ดวงตาประกายวาวอย่างพึงใจ อีกทั้งยังฉายแววออกมาให้เห็นว่าดีใจเป็นอย่างยิ่งที่หลิวซูมอบของสิ่งนี้ให้จนเผลอหยักยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ทำเอาคนที่มองอยู่อดไม่ได้ที่จะเอียงคอถาม
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือขอบหรือไม่ขอรับ?”
“ชอบ...” เผลอตอบไปอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบปั้นหน้าขึงขังแล้วตอบเสียงดัง “ไม่!” แต่ก็ไม่ได้ขว้างทิ้ง เก็บลงกล่องแล้วถือไว้ในมือมั่น

ท่าทางนั้นทำให้หลิวซูยิ้มกว้างออกมาเสียจนน่าบาน เจี้ยนสือหมั่นไส้ระคนเอ็นดูยิ่งนัก ทว่าก็ทำได้เพียงแสดงท่าทีร้ายกาจออกไป

“ยิ้มอะไรอยู่ หมดธุระก็กลับไปได้แล้ว ข้ารำคาญ!”

หลิวซูพยักหน้ารับ หมุนตัวจะกลับออกจากจวน แค่เจี้ยนสือรับของขวัญจากเขาไว้ เท่านี้เขาก็กิ่นอิ่มนอนหลับไปอีกหลายราตรีแล้ว

หากแต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ก้าวไปไหนไกล สายตาของเจี้ยนสือที่มองตามหลังอีกฝ่ายอยู่ก็พลันสั่นระริก วูบหนึ่งเกิดรู้สึกว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายจากไปไหน จึงเผลอก้าวเข้าไปหาและคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้โดยไม่รู้ตัว ครั้นหลิวซูหันมา ก็กลายเป็นว่าเทพอสูรผู้นี้เลิ่กลั่กแทน ยิ่งหลิวซูไม่ได้คำตอบว่าตนถูกเหนี่ยวรั้งไว้ทำไม ดวงตากลมก็ยิ่งเบิกโตขึ้นไปอีก ซึ่งมันช่างเย้ายวนให้เจี้ยนสืออดเอ็นดูเป็นอย่างมากไม่ได้

“เจ้าช่างรบกวนจิตใจข้ายิ่งนัก”
เขาแค่นเสียงลอดไรฟัน หลิวซูเป็นกังวลขึ้นมาด้วยกลัวว่าตนจะเผลอทำอะไรให้อีกฝ่ายรำคาญใจ แต่ก่อนจะคิดอะไรออก เขาก็ถูกคนตรงหน้าดึงเข้าไปแนบชิดเสียแล้ว

“ทำเช่นนี้แล้วข้าจะหักห้ามใจตนเองได้อย่างไร”

 
 
 
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย[05/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 12-10-2017 00:19:13
บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[2]

เป็นจริงดั่งที่ปากว่า ตลอดเวลาที่ทำตัวร้ายกาจใส่นั้นเป็นเพราะเขาสำนึกผิดที่ทำให้หลิวซูต้องโดนโทษทัณฑ์จากสวรรค์ แต่ยิ่งปฏิเสธหรือผลักไสเท่าไร หลิวซูก็ยิ่งทำดีกับเขามากเท่านั้น จนประตูบานใหญ่ที่ปิดกั้นหัวใจของเขามาโดยตลอดพังทลายลงเป็นผุยผง

ไม่ไหว...ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

ความเสน่หาที่เก็บซ่อนไว้ในใจนั้นมิอาจกักเก็บไว้ได้อีกแล้ว...

ก่อนที่หลิวซูจะได้ตั้งตัว ริมฝีปากของเจี้ยนสือก็ทาบทับครอบครองเรียวปากของอีกฝ่ายลงมา

เพราะโดนฉกฉวยจุมพิตโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มนุษย์หนุ่มจึงมีปฏิกิริยาต่อต้านตามสัญชาตญาณระวังภัย มือทั้งสองผลักไสคนตรงหน้าออก เมื่อเป็นอิสระ สีหน้าตกใจของหลิวซูก็พร่างพรายให้เห็น

“ทะ...ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ”

ด้วยเป็นจุมพิตแรกในชีวิต ชายหนุ่มจึงทำอะไรไม่ถูก รวมถึงแสดงสีหน้าออกไม่ถูกเช่นกัน ทว่าสำหรับเจี้ยนสือแล้ว เขาหาได้คิดว่าการกระทำนั้นเป็นเพราะความไม่ประสา แต่เป็นเพราะรังเกียจเดียดฉันท์เขาต่างหาก

“ปากก็เอาแต่พร่ำบอกว่าไม่รังเกียจ ที่แท้ก็แค่คำลวง!”
น้ำเสียงเยือกเย็นเล็ดลอดผ่านไรฟัน มันฟังดูปวดร้าวและโมโหในคราเดียว

“ขะ...ข้าหาได้คิดเช่นนั้นเลยขอรับ” หลิวซูเข้าใจว่าถูกเข้าใจผิดจึงรีบออกปาก
“ถ้าไม่เพราะรังเกียจข้า แล้วไยจึงผลักไสเมื่อข้าจุมพิตเจ้ากัน”
“คือ...ข้า...เป็นเพราะข้าไม่เคย”

หลิวซูว่าไปตามตรง ใบหน้าร้อนผะผ่าว เขินอายสุดจะทานทนที่ต้องพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจี้ยนสือฟังเลยแม้แต่น้อย เขาปักใจเชื่อไปแล้วว่านั่นมันก็คือ...

“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำแก้ตัวของเจ้าเช่นนั้นหรือ? เห็นข้าโง่เขลามากหรือไร!” แผดเสียงออกมาเต็มกำลัง

หลิวซูสะดุ้งเฮือก ครั้นเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของเจี้ยนสือก็ใจคอไม่ดี
“มะ...ไม่ใช่... ไม่ใช่เช่นนั้นเลยขอรับ เป็นเพราะข้าน้อยไม่เคยได้รับจุมพิตจากผู้ใดถึงได้ตกใจเช่นนั้น หาใช่เพราะรังเกียจท่านแม่ทัพแต่อย่างใด”

เพราะไม่อยากให้เจี้ยนสือโกรธจึงละล่ำละลักบอก ทว่าเจี้ยนสือในครานี้จะไปฟังสิ่งใด ต่อให้การกระทำที่ผ่านมาของมนุษย์ตรงหน้าชัดเจนแค่ไหนว่ารักใคร่เขายิ่งกว่าชีวิต แต่คนที่มีบาดแผลในจิตใจอย่างเทพอสูรผู้นี้ก็หูหนวกตาบอดขึ้นมาฉับพลัน ไม่ใคร่ฟังการใดอีกแล้ว

“หุบปากของเจ้าเสีย ก่อนที่ข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้ง!”

ตวาดแหวขึ้นมาอีกคราแล้ว มือที่ถือกล่องไม้บรรจุมีดสั้นอยู่กำแน่นด้วยปวดร้าวในใจ

เพราะมีรูปร่างอัปลักษณ์เช่นนี้ ต่อให้หลิวซูพร่ำบอกว่ารักมากมายเพียงใด แต่สุดท้ายก็มิอาจสัมผัสเรือนร่าง...
เจี้ยนสือหันหลังให้หมายจะกลับเข้าจวน ทว่าหลิวซูที่ไม่ต้องการให้จากกันด้วยความขุ่นข้องรีบรี่เข้าไปรั้งแขนของอีกฝ่ายเอาไว้

“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ...”

เมื่อถูกเกาะแขน เจี้ยนสือก็ออกแรงสะบัดจนร่างเล็กของอีกฝ่ายกระเด็นกระแทกพื้นราวกับใบหน้าต้องพายุ
“ไปให้พ้นหน้าข้า! ออกไป!”

ไม่เพียงแต่ผลักไสอย่างรุนแรง ยังเข้ามาฉุดกระชากดึงทึ้งให้หลิวซูออกไปให้พ้นเขตจวนอีก
“ท่านแม่ทัพ...ฮือ...ท่านแม่ทัพขอรับ...”

คนถูกหิ้วแขนข้างหนึ่งลากไปตามพื้นร้องครวญพลางขืนร่างตนเองไว้ ใช่ว่าเพราะกลัวความเกรี้ยวกราดของเจี้ยนสือ แต่เพราะไม่อยากจะออกไป เขาอยากจะอยู่เพื่ออธิบายให้เจี้ยนสือได้เข้าใจเสียก่อน แต่ช่างไร้ประโยชน์ เจี้ยนสือเป็นดั่งคนโง่เขลา ไม่ฟังการใด อีกทั้งยังคิดไปเอง

ภาพเทพอสูรร่างใหญ่ดึงลากมนุษย์หนุ่มไปตามพื้นปูด้วยแผ่นหินช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ทำเอาทั้งทหารสังกัดจวนและเหล่าคนรับใช้ไม่กล้าที่จะห้ามปราม เว้นเสียแต่เทียนอี้ที่เฝ้ามองหลิวซูอย่างลับๆ มาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้เป็นที่รักและไม่มีวันถูกรัก แต่เขาก็มิอาจตัดใจ อีกทั้งยังเดือดดาลเสียร่างกายสั่นเทาเมื่อเห็นคนที่รักถูกทำร้าย

ทนดูอยู่นานจนมิอาจทนไหว ในที่สุดก็ต้องออกจากที่หลบซ่อน มือชักดาบออกมา รี่ถลาเข้าไปฉุดหลิวซูออกจากการถูกดึงทึ้งพร้อมกับตวัดปลายดาบไปยังสหายสนิท
“อย่าแตะต้องซูซูอีก!”

น้ำเสียงแหบห้าวของเทียนอี้เกรี้ยวกราดไม่แพ้กัน เจี้ยนสือชะงักงันไปที่เห็นอีกฝ่ายโดยไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาเมื่อพอจะเดาได้ว่าเทียนอี้โผล่มาเช่นนี้ได้อย่างไร

“เจ้าก็ช่างน่าสมเพชไม่ต่างจากข้า ทั้งที่รู้ว่าเจ้ามนุษย์นั่นหาได้มีใจให้ ก็ยังคงจะคอยเฝ้าตามราวกับเงา”

ที่พูดไปเช่นนั้นเพราะรู้ดีว่าหลิวซูคิดอย่างไร เคยบอกกับเขาแล้วด้วยซ้ำว่าหาได้เคยคิดกับเทียนอี้เป็นอื่น ต่อให้เทียนอี้ดีกับตนแค่ไหน แต่ก็เป็นได้เพียงผู้มีพระคุณเท่านั้น

ความจริงนั้นช่างแทงใจคนฟัง กระนั้นเทียนอี้ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แค่นเสียงออกมาอีก
“หากเจ้าแตะต้องซูซูอีกเพียงครั้งเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”

เทพอสูรมีชีวิตเป็นอมตะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากายเนื้อจะสูญสิ้นไม่ได้ เมื่อกายเนื้อถูกทำลาย ดวงจิตก็จะล่องลอย ไปสวรรค์ไม่ได้ ไปปรโลกไม่ได้ วนเวียนอยู่ในแดนมนุษย์ชั่วกัปชั่วกัลป์

ทว่า...เจี้ยนสือหาได้สนใจ เขายิ่งหัวเสียกว่าเดิมเมื่อเห็นเทียนอี้ออกโรงปกป้องมนุษย์หนุ่ม

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันถึงได้กล้ามาออกหน้าเช่นนี้!”

หลิวซูรักข้า เป็นของข้า ต่อให้ข้าใจร้ายอย่างไร เขาก็รักข้า เจ้ามีสิทธิ์มาสั่งห้ามให้ข้าไม่ให้แตะต้องเจ้ามนุษย์นั่นได้อย่างไรกัน!
ประโยคนั้นกู่ร้องอยู่ในใจโดยไม่ได้พูดออกไป หากแต่เพียงสบสายตา เทียนอี้ก็รู้ว่าเจี้ยนสือคิดเช่นไรอยู่ แต่แล้วอย่างไรล่ะ ตราบใดที่เจี้ยนสือไม่ตอบรับความรู้สึกนั้น เขาก็ถือว่าหลิวซูหาได้เป็นของคนตรงหน้า ถึงต่อให้เจี้ยนสือตอบรับ เขาก็จะคอยเฝ้าดูแลปกป้องเช่นนี้เรื่อยไป

“จะเป็นใครก็หาได้สำคัญไม่ ข้ารู้เพียงแต่ว่าเขาสำคัญสำหรับข้าก็เพียงพอ”
“เจ้าคนไม่เจียมตัว ช่างน่าขันนัก!”

แทงใจดำคนฟังไปอีกครา เทียนอี้แสร้งทำหูทวนลม ไม่ใคร่สนใจสหายสนิทอีก พลันหันไปประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้น
“เจ็บตรงไหนหรือไม่?”

น้ำเสียงของเขายังคงเต็มไปด้วยความห่วงใยเช่นทุกที ครั้นเห็นหลิวซูส่ายหน้าปฏิเสธ เทียนอี้ก็เบาใจ แต่ก็หาใช่ว่าการปฏิเสธนั้นจะเป็นเรื่องจริง หลิวซูย่อมไม่ปริปากพูดอยู่แล้วว่าเจี้ยนสือทำให้บาดเจ็บ ขนาดเจ้างูพิษตัวนั้นทำให้ตนได้รับโทษทัณฑ์จุติมาเป็นมนุษย์ เขายังไม่เคยพูดออกมาเลยสักคำว่าที่มีชะตากรรมเช่นนี้เป็นเพราะผู้ใด

เทียนอี้จึงหมายจะพาอีกฝ่ายกลับไปดูอย่างถ้วนถี่ที่จวน หลิวซูไม่อาจอยู่ที่นี่ได้แม้ใจจะอยากอยู่ จึงจำต้องทำตามคำพูดของคนตรงหน้าอย่างว่าง่าย ขณะที่สายตาเหลือบมองเจี้ยนสือซึ่งยืนมองอยู่อย่างกังวลใจ

เจี้ยนสือเองก็กังวลใจเช่นนั้น... ชั่ววูบหนึ่งที่เห็นเทียนอี้ดูแลมนุษย์หนุ่มเป็นอย่างดี เขาก็เกิดกลัวขึ้นมาว่าใจของหลิวซูจะเปลี่ยนผัน

เปลี่ยนจากเขาไปรักใคร่เทียนอี้...

ความหึงหวงเข้าครอบงำ มือข้างที่ถือกล่องไม้บรรจุมีดสั้นอยู่กำแน่นจนกล่องนั้นปริแตก เสียงดังเปรี๊ยะเรียกให้หลิวซูหันมามองอีกครั้ง เทียนอี้เองก็ได้ยินแต่หาได้สนใจ ทำเพียงกระซิบบอกคนในอ้อมแขนที่โอบประคองอยู่เท่านั้น
“ไปกันเถิด”
“แต่ว่า...”
“เจ้าเหนื่อยแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากจะพักผ่อน”

เทียนอี้ตัดบทราวกับรู้ดีว่าหลิวซูจะเอ่ยอะไร เขาไม่ต้องการให้หลิวซูคิดถึงเจี้ยนสือ ไม่ต้องการได้ยินคำพูดห่วงใยใดๆ เทพอสูรงูจงอางผู้นั้นจากกลีบปากสีสวยนี้อีก

ทว่า...การที่มัวจดจ่ออยู่แต่หลิวซูทำให้เผลอเปิดช่องว่าง เจี้ยนสือที่หงุดหงิดอยู่เป็นทุนเดิมเดือดดาลเพราะพิษหึงหวงอย่างไม่รู้ตัว ยิ่งเห็นหลิวซูไม่ปฏิเสธหรือผลักไสการสัมผัสจากเทียนอี้ คนมองก็ยิ่งทวีโทสะมากขึ้น

นอกจากข้าแล้ว ผู้ใดก็แตะต้องหลิวซูไม่ได้ทั้งนั้น!

คิดเช่นนั้นก็หมายจะสังหารสหายสนิทด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แต่เพราะไม่มีอาวุธติดมือจึงอ้าปากหมายจะใช้เขี้ยวซึ่งอาบไปด้วยยาพิษฝังลงไปยังร่างของอีกฝ่าย ต่อให้เป็นเทพอสูรด้วยกันก็ไม่อาจต้านทานความร้ายแรงของพิษได้ไหว ในใจของเขาตอนนี้มีแต่ความชิงชัง ต้องการให้เทียนอี้สูญสิ้นกายเนื้อ เหลือแต่ดวงจิตคอยเฝ้ามองโดยมิอาจแตะต้องคนของเขาได้อีกเท่านั้น

หากแต่ความตั้งใจของเขามิอาจเป็นผลเมื่อหลิวซูเป็นเห็นว่าเจี้ยนสือหมายจะทำสิ่งใด แม้จะมีร่างกายเล็กสันทัด แต่เขาก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักเทียนอี้ออกจากจุดเป้าหมายของเจี้ยนสือ ก่อนถลาเข้าไปแทนที่ ทำให้คมเขี้ยวนั้นฝังเข้ามาที่หัวไหล่ของเขาอย่างจัง

ความเจ็บปวดพร่างพราย เสียงหวีดร้องทำให้เจี้ยนสือคืนสติ เทียนอี้เองก็เพิ่งได้สติเช่นกัน เมื่อหันมาเห็นว่าหลิวซูถูกเทพอสูรงูจงอางฝังคมเขี้ยวลงมาบนร่าง เขาก็ส่งเสียงร้องก้อง
“ซูซู!”

เจี้ยนสือรีบถอนคมเขี้ยวออกในทันใด แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว พิษหลั่งไหลเข้าสู่กระแสโลหิต พริบตาเดียว ร่างของหลิวซูก็ทรุดฮวบลงกับพื้น มือและเท้าชาจนมิอาจขยับ นัยน์ตาพร่ามัว ริมฝีปากสั่นระริกเอ่ยเรียกชื่อของคนตรงหน้า

“ทะ...ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ...”
เจี้ยนสือรีบถลาเข้ามาหา ผลักเทียนอี้ที่ประคองร่างของมนุษย์หนุ่มอยู่ออกเสียจนกระเด็นไปอีกทาง สีหน้าดูหวั่นวิตกยิ่ง
“ซูซู ข้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ!”

ตั้งแต่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพสวรรค์ ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่เจี้ยนสือจะเสียขวัญได้ถึงเพียงนี้ ยิ่งสัมผัสฝ่ามือเย็บเฉียบของอีกฝ่าย เขาก็ใจไม่ดีด้วยเกรงว่าจะเสียคนตรงหน้าไป

“ข้าจะพาเจ้าไปรักษา”
ไม่พูดพร่ำแต่อย่างใด รีบช้อนร่างของหลิวซูขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน หมายจะพาไปหาหมอเทวดาซึ่งอยู่ในใจกลางตลาดของแคว้นเฟิงฝู แต่ไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนไกล เสียงของหลิวซูก็ดังแผ่วมาให้ได้ยิน

“ขะ...ข้าคงจะไม่รอด”
“ไม่ เจ้าต้องรอด พวกเจ้า! ไปเอาม้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ประโยคแรกพูดกับคนในอ้อมแขน ประโยคหลังร้องบอกทหารในจวน

เหล่าทหารรีบร้อนไปเตรียมการ ขณะที่หลิวซูยกมือสั่นเทาขึ้นแตะไปยังหน้าอกของเจี้ยนสือ
“หากสิ้นข้าแล้ว ทะ...ท่านอย่าได้วิวาทกับท่านแม่ทัพเทียนอี้อีกเลยได้หรือไม่?”
“จะมาพูดสิ่งใดตอนนี้ เงียบปากไป!”

เพราะเป็นห่วงมากเสียจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนเผลอตะคอกใส่ แต่ก็หาได้ทำให้หลิวซูสะทกสะท้านได้เลย เขายกยิ้มแผ่วขึ้นมา ซบใบหน้าลงบนแผ่นอกของเจี้ยนสือ

“ดีเหลือเกินที่ได้ตายในอ้อมกอดของท่าน”
ยิ่งฟังก็ยิ่งสร้างความปวดร้าวในใจของเจี้ยนสือเหลือเกิน เขาเห็นหลิวซูมีท่าทางนั้นก็เอาแต่พร่ำพูด...
“เจ้าต้องไม่เป็นไร ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย เจ้าก็ยังตายไม่ได้ เอาม้ามาเร็วเข้า!”

ประโยคหลังร้องเร่งเหล่าทหาร เมื่อเห็นม้าก็รีบก้าวฉับๆ ไป หมายจะรีบเร่งพาหลิวซูไปรักษาให้ทันเวลา แต่พิษจากเทพอสูรงูจงอางนั้นมีมากกว่างูซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานหลายพันหลายหมื่นเท่านัก หลิวซูรู้ตัวเองว่าร่างกายมิอาจทนรับไหวอีกต่อไปแล้ว จึงได้แต่กระซิบเสียงเบา

“ข้ารักท่าน...”
“อย่าหลับนะ” เจี้ยนสือบอก ก่อนจะรีบเดินไปขึ้นม้าที่ถูกเตรียมไว้
ทว่า...ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว หลิวซูเริ่มเพ้อออกมาโดยไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
“ข้ารักท่าน... ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ ข้ารักท่าน...”

แต่ตอนนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกิน...

ก้นบึ้งในจิตใจของหลิวซูบอกเช่นนั้น เขาเหนื่อยกับการรักเจี้ยนสือแต่เพียงฝ่ายเดียวแล้ว ต่อให้ทำดีมากเท่าไร ก็ไม่เคยได้รับรักตอบ นี่คงจะเป็นโทษทัณฑ์จากสวรรค์ที่เขาบังอาจละเมิดกฎที่ว่าเทพมิอาจมีรัก

ในเมื่อเทพมิอาจมีรัก ข้าก็จะขอไม่รักท่านอีกต่อไป และขอไม่เกิดเป็นหลิวซูผู้นี้อีก

ข้าจะไม่เกิดมาเป็นหลิวซูอีกเพื่อที่จะลืมว่าเคยรักท่านเพียงใด หากต้องถือกำเนิดใหม่ ข้าขอเป็นผู้อื่นที่ไม่รู้จักท่าน

ข้าจะไม่รักท่านอีกแล้ว...ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ

ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าในวาระสุดท้ายของชีวิต คนที่เพียรพยายามให้เป็นที่รักของเจี้ยนสือมาโดยตลอดจะถอดใจเอาในเวลานี้ หลิวซูหลั่งน้ำตา

นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาร่ำไห้ให้กับความรักที่มีให้แก่เจี้ยนสือ...

ขณะที่เจี้ยนสือเพิ่งรู้สึกตัวว่าคำบอกรักนั้นมีค่ามากมายเพียงใด ที่ผ่านมาเขาไม่เคยสนใจไยดีแม้แต่น้อย แต่เมื่อรู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ยิน เขาก็ได้แต่โทษชะตาฟ้าลิขิตที่กลั่นแกล้งเขา ยิ่งเห็นร่างในอ้อมแขนแน่นิ่งไป หัวใจของเขาก็แตกร้าวออกเป็นเสี่ยงๆ
“หลิวซู...”

เขาเรียกอีกฝ่ายที่หลับตาพริ้มด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองก็แผดเสียงออกมา
“หลิวซู! ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย ไยเจ้าถึงได้กล้าขัดคำสั่งข้า! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ตื่น!”

ร่างใหญ่ถึงกับเข่าอ่อน ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เขย่าร่างไร้วิญญาณที่กอดอยู่ แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบสนอง สิ่งนั้นชัดเจนว่าหลิวซูได้จากไปแล้ว กระนั้นมือใหญ่ก็ยังคงเขย่าร่าง หยาดน้ำตาที่ไม่เคยหลั่งให้ผู้ใดมาก่อนไหลรินอาบใบหน้าอันอัปลักษณ์ พร้อมกับความจริงที่ตอกย้ำ

เขาเป็นคนสังหารคนที่เขารัก...

“ไม่! หลิวซู! ข้าไม่ให้เจ้าตาย! ฟื้นขึ้นมา!”

เจี้ยนสือแผดเสียงแห่งความเสียใจออกมา ร่ำไห้ตัดพ้อต่อว่าสวรรค์ที่ลิขิตโชคชะตาของเขาให้เป็นเช่นนี้ แขนกอดร่างเย็นเยียบไร้วิญญาณของมนุษย์หนุ่มแน่น ขณะที่เทียนอี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นราวกับว่าโลกทั้งใบของเขาได้ดับสลายไปแล้ว

หลิวซูจากไปแล้ว...

โทษทัณฑ์จากสวรรค์ไยถึงได้สร้างความปวดร้าวให้เทพอสูรทั้งสองได้มากถึงเพียงนี้
ไยถึงไม่ได้มีเมตตาต่อกันบ้างเลย...



 
เจี้ยนสือสะดุ้งเฮือก ครั้นลืมตาตื่นก็พบว่าตนยังคงนอนราบอยู่ที่ผืนทะเลทรายดังเดิม

เขาเผลอผล็อยหลับไป...

ร่างใหญ่ดันตัวขึ้นนั่ง อดครุ่นคิดไม่ได้ว่าเหตุใดถึงได้ฝันถึงเหตุการณ์นั้นทั้งที่ไม่ได้ฝันถึงมานานมากแล้ว

อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางมากเกินไป ถึงได้ฝันประหลาดเช่นนี้...

เขาปลอบใจตัวเองอย่างนั้น แต่เมื่อจะดันตัวลุกขึ้นและกลับไปยังกระโจมของตนเอง เขาก็รู้สึกได้ว่าที่หางตามีหยาดน้ำไปอาบ ครั้นยกมือขึ้นลูบก็ตระหนักได้ว่า...
“ข้าร้องไห้?”

เป็นเช่นนั้น... เขาร้องไห้โดยไม่รู้ตัว จากที่หมายจะกลับสู่กระโจมก็จำต้องยืนนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดวงจันทร์และดวงดาราประดับด้วยรู้สึกเคว้งคว้างในใจอย่างสุดซึ้ง

ป่านนี้เจ้าอยู่แห่งหนใดกันนะ...

เจี้ยนสือรำพึงในใจ ฉับพลันภาพใบหน้าของซิ่นเฉิงก็ลอยเข้ามาในภวังค์โดยไม่มีสาเหตุ ทำเอาใบหน้างดงามยามต้องแสงจันทร์ขมวดมุ่น

หรือเจ้า...จะมาเกิดใหม่เป็นเจ้าเหมียว?

ไม่... เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้

เจี้ยนสือส่ายศีรษะเล็กน้อย สลัดความคิดฟุ้งซ่านนั่นออกไป หมุนตัวกลับสู่กระโจม แต่...ถึงจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง เขาก็ไม่อาจลบเลือนภาพใบหน้าของซิ่นเฉิงออกจากความคิดได้เลย อีกทั้งยังรู้สึกรักใคร่ขึ้นมาอย่างประหลาด

ความรู้สึกนี้นั้น...เป็นความรู้สึกเดียวกับที่เขามีต่อหลิวซูไม่ผิดเพี้ยน

เขายกมือขึ้นลูบใบหน้า ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

ไยข้าถึงได้มีความรู้สึกเช่นนี้กับเจ้ากันได้นะ?
------------------------------
หายไปหลายวัน กลับมาแล้วค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าเหมียวจะใจอ่อน
เจ้าเหมียวของเราหนักแน่นกับพี่หมามากๆ ถึงจะซึนไปหน่อยก็เถอะ ฮา
คิดว่าอีกไม่กี่ตอนก็น่าจะจบแล้วนะคะ เข้าสู่ช่วงท้ายแล้ว น่าจะไม่เกิน 5 ตอนแหละ แล้วหลังจากนั้นเราก็จะมาอ่านตัวอย่างตอนพิเศษของพี่งูกัน เอาลงประมาณ 3-4 ตอนนะ ที่เหลือไปต่อในเล่ม
ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยค่า เจอตัวอย่างพรุ่งนี้เน้อ
 
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[12/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 12-10-2017 07:53:45
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[12/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 12-10-2017 08:52:30
อยากให้เจ้าแมวไม่ใช่หลิวซู แบบเป็นคนอื่นเลยแล้วเป็นคู่แท้เจ้าหมา ส่วนหลิวซูยกให้พี่งูไปเถอะ แบบเขาเพิ่งรู้ใจตัวเองไง
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[12/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-10-2017 09:00:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[12/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-10-2017 09:27:31
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[12/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 12-10-2017 09:59:52
สงสารเจ้าหมา :mew6:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[12/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 12-10-2017 13:00:49
จะเป็นยังไงต่อไป  :katai1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[12/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-10-2017 13:31:17
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[12/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 14-10-2017 09:03:31
สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[12/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kawaiichibi ที่ 17-10-2017 22:18:41
 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾☾☾[จีนโบราณ] - บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[12/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 12-12-2017 09:01:23
 
บทที่ 26: มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา

ความรู้สึกที่บังเกิดต่อซิ่นเฉิงนั้นยังคงอบอวลในใจของเจี้ยนสือ ราตรีนั้นผันผ่าน แต่นัยน์ตากลับเอาแต่จับจ้องไปยังมนุษย์หนุ่มในทุกท่วงท่าอิริยาบถ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะกระทำสิ่งใด ล้วนแล้วแอบลอบมองตลอดทั้งสิ้น ขณะเดียวกันเจี้ยนสือก็อดคิดไม่ได้เลยว่าอันที่จริงซิ่นเฉิงหาได้มีส่วนใดละม้ายคล้ายคลึงกับหลิวซูเลยสักนิด แม้ว่าคราแรกจะคิดไปว่าคล้ายก็ตาม ทว่าเมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่

ส่วนใดกันเล่าที่คล้าย?

ใบหน้าอย่างนั้นหรือ? หรือจะเป็นอุปนิสัยดื้อดึง ไม่ยอมอ่อนข้อให้ผู้ใด?

ล้วนแล้วแตกต่างจากหลิวซูโดยสิ้นเชิง แต่...เหตุใดกันนะ เขาถึงได้รู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายเหมือนกับอดีตคนรักราวกับเป็นคนคนเดียวกัน

เจี้ยนสือมิอาจหาคำตอบให้กับตนเองได้เลยแม้สักนิด ได้แต่บอกตนเองว่าให้ตัดใจจากมนุษย์ตนนั้น ก่อนที่ความวุ่นวายจะบังเกิดและกลายเป็นบ่วงรัดคออีกบ่วงหนึ่ง เพราะเพียงหลิวซูคนเดียว ชีวิตเขาก็วุ่นวายไม่จบไม่สิ้น มิหนำซ้ำยังจะต้องผจญกับความน่าอดสูวนเวียนไม่จบไม่สิ้นดั่งคำประกาศิตของเง็กเซียนฮ่องเต้อีกด้วย

เทพอสูรงูจงอางทอดถอนหายใจ หลุบมามองมือของตนซึ่งบัดนี้เป็นมือของร่างเทพสวรรค์ที่ต้องแสงจันทร์หลังจากที่เขายืนรับลมเย็นในยามราตรีมาชั่วขณะหนึ่ง

หากมือคู่นี้ไม่ได้เป็นอาวุธร้ายที่ทำลายหลิวซู ป่านนี้เขาคงจะได้มีความสุขกับเทพสวรรค์ชั้นผู้น้อยตนนั้นไปแล้ว

ข้าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ดีหลิวซู...

รำพึงในใจไปก็เท่านั้น ไร้ซึ่งคำตอบจากทั้งปวงเทพและปีศาจ เจี้ยนสือตัดสินใจกลับเข้ากระโจมเพื่อไปพักผ่อน วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันที่ซิ่นเฉิงไปจากที่นี่ อย่างน้อยเขาก็จะเป็นสหายที่ดี บอกลาอีกฝ่ายก่อนที่จะไม่ได้พบพานกันตลอดกาล

สองขาก้าวย่ำไปบนผืนทราย มุ่งหน้าสู่กระโจมของตนเอง ใจพร่ำบอกตนเองไม่หยุดหย่อนว่าให้เลิกคิดถึงทั้งหลิวซูและซิ่นเฉิง
ทว่า...สวรรค์กลับไม่เป็นใจเลยสักนิด

ครั้นเดินเข้ามาใกล้กับกระโจมของหมิงจู พลันฝ่าเท้าก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของบางสิ่ง เจี้ยนสือชะงักฝีเท้าทันที ค่อยๆ ก้าวไปหลบหลังกระโจม เงี่ยหูฟังเมื่อได้ยินเสียงกระซิบพร่าของใครบางคนดังแว่วมา

“ให้เป็นเช่นนี้ดีแล้วใช่ไหมรองแม่ทัพหมิงจู”
พ่อบ้านเหลียงซึ่งไม่สบายใจกับสิ่งที่บังเกิดขึ้นในระยะนี้ลอบมาพบกับหมิงจูในยามวิกาล ขณะที่หมิงจูพยักหน้าตอบรับอีกฝ่าย
“เป็นเช่นนี้ล่ะดีแล้ว”
“แต่ท่านแม่ทัพเทียนอี้...”
“ข้ารู้” หมิงจูว่าเสียงเครียด “ข้ารู้ว่าเจ้านั่นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ทั้งทิวาและราตรีเอาแต่คะนึงหาเจ้าแมวตัวแสบนั่น ข้าเห็นอาการจะเป็นจะตายของเทียนอี้แล้ว”

ประโยคออกจะติดรำคาญสักเล็กน้อย พ่อบ้านเหลียงได้ยินก็ระบายลมหายใจออกมา เทียนอี้เป็นดั่งที่หมิงจูว่าจริงๆ เพราะตั้งแต่ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้สังหารมารดาของซิ่นเฉิง เจ้ามนุษย์หนุ่มนั่นก็หาได้อยากพบพานกับเทียนอี้เลยแม้แต่น้อย ต่อให้เทียนอี้พยายามเข้าหา แต่ก็มิอาจเข้าหน้าได้ติด ถูกมองเมินเสียจนพานให้อดคิดไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงชิงชังน้ำหน้าไปแล้ว และเพราะเทียนอี้หาได้มีอุปนิสัยชอบตอแยผู้ใด เมื่อถูกหมางเมินเช่นนั้นก็ไม่ใคร่จะไปก่อกวนใจให้ถูกรังเกียจเดียดฉันท์มากกว่านี้ ดังนั้นในยามนี้ คนที่ลงแดงเพราะถูกพิษรักแล่นพล่านเข้าสู่หัวใจจึงมีแต่เทพอสูรสุนัขป่าเท่านั้น

ในฐานะคนสนิท พ่อบ้านเหลียงอดเป็นห่วงไม่ได้ กินก็ไม่กิน นอนก็ไม่นอน ถามสิ่งใดก็ไม่ตอบไม่มีปฏิกิริยา เป็นเช่นนี้คงได้ช้ำรักจนตัวตายเป็นแน่

แต่...พ่อบ้านเหลียงคงจะลืมไปกระมังว่าเทพอสูรเช่นพวกเขาไม่มีวันตาย นอกจากจะสูญสลายกลาย กายเนื้อกลายเป็นเถ้าธุลี จิตวิญญาณล่องลอยไปมาในระหว่างสามภพภูมิ

“บางทีข้าก็คิดว่าท่านกับข้าอาจจะตัดสินใจผิด”
หมิงจูชะงักงันกับคำพูดนี้ หัวคิ้วเรียวเข้มในร่างของเทพสวรรค์ขมวดมุ่น ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจู่ๆ พ่อบ้านเหลียงก็เกิดลังเลขึ้นมาทั้งที่คิดแล้วว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลดีต่อสหายของเขา จนอดไม่ได้ที่จะถาม
“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น”
“หากเจ้ามนุษย์นั่นจากไป ท่านแม่ทัพเทียนอี้ก็ต้องเป็นทุกข์ ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือก็เช่นกัน ไหนจะเจ้ามนุษย์นั่นอีก และข้าก็เห็นว่าต่อให้ซิ่นเฉิงจากไปก็ไม่ช่วยการใด ไม่ว่าอย่างไร ทัณฑ์สวรรค์นั้นก็จะต้องบังเกิด”

หมิงจูนิ่ง เขาก็คิดเช่นนั้น แต่...
“ไม่ลองก็ไม่รู้ ลองให้ซิ่นเฉิงจากไปก่อนเถิด บางทีอาจจะได้ผลก็ได้”

พ่อบ้านเหลียงก็อยากให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เขาเหนื่อยกับการเห็นอดีตสหายแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพสวรรค์ต้องมาผิดใจกันเพราะรักคนผู้เดียวกันแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจวางใจได้อยู่ดี

ทัณฑ์นั้นเป็นประกาศิตขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เมื่อฝ่าบาทตรัสแล้ว ทุกสรรพสิ่งล้วนบังเกิด มีหรือที่ทั้งสามจะฝืนโชคชะตาได้

“แต่ข้าว่ามันไม่น่าได้ผลนะขอรับท่านรองแม่ทัพ เพราะซิ่นเฉิงก็คือหลิวซู...”
จู่ๆ ก็เอ่ยชื่อของอดีตเทพชั้นผู้น้อยออกมา หมิงจูส่งเสียงร้องดังชู่เป็นสัญญาณให้เงียบ ก่อนจะรีบกระซิบกระซาบ
“เอ่ยเช่นนั้นออกมาได้อย่างไรกันพ่อบ้านเหลียง หากผู้ใดมาได้ยินเข้าจะเป็นเช่นไร”

พ่อบ้านเหลียงสำนึกได้ในตอนนี้ แม้ว่าจะเป็นยามวิกาล เหล่าทหารล้วนแล้วแต่อยู่ในนิทรา แต่ก็ใช่ว่าประตูหน้าต่างจะไร้ซึ่งหูหรือช่อง เขาจึงรีบสงบปากสงบคำ ขณะที่หมิงจูส่ายหน้าน้อยๆ

“เอาเถิด จะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ช่าง แต่เจ้าต้องจำไว้ เรื่องนี้จะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้เป็นอันขาด ต่อให้เจ้าหรือข้าจะต้องสูญสิ้นกายเนื้อ ก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้ใดรู้ โดยเฉพาะเทียนอี้กับเจี้ยนสือ เข้าใจหรือไม่?”

พ่อบ้านเหลียงพยักหน้า ปากขานรับเป็นมั่นเหมาะ ก่อนที่ทั้งสองจะยุติบทสนทนากันเพียงเท่านี้ แยกย้ายกลับไปยังที่ของใครของมันด้วยเกรงว่าหากยืนสนทนาไปนานกว่านี้จะเป็นพิรุธให้ผู้อื่นสงสัยได้ โดยหารู้ไม่ว่าภายใต้เงามืดห่างออกไปไม่ไกลนัก บทสนทนานั้นล้วนแล้วเข้าหูของเจี้ยนสือหมดสิ้น

ร่างใหญ่ของเทพอสูรงูจงอางสั่นสะท้านน้อยๆ เมื่อครู่ที่เขาได้ยินเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ!?

เจี้ยนมือแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นโครมครามราวกับสวรรค์จะพินาศด้วยเงื้อมือปีศาจ

ซิ่นเฉิง...ก็คือหลิวซูกลับมาเกิด
ไม่จริงใช่หรือไม่!?

เขาถามตนเองซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายครั้ง ใจอยากจะไปเค้นถามเอาความจริงจากหมิงจูและพ่อบ้านเหลียงด้วย แต่หากทำเช่นนั้น มีหวังเทียนอี้ก็ต้องรับรู้ข้อเท็จจริงนี้ด้วยแน่ อีกอย่าง เขามั่นใจเหลือเกินว่าเรื่องเช่นนี้ เทพอสูรทั้งสองคงไม่เอาพรรค์นี้มีพูดเล่นเป็นแน่

ซิ่นเฉิงคือหลิวซู...

ซิ่นเฉิงคือหลิวซู!

พร่ำบอกกับตนเองเวียนไปวนมาไม่หยุดหย่อน ร่างกายก็ยิ่งสั่นระริกมากขึ้น

มิน่า... เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่ามนุษย์ผู้นั้นคล้ายคลึงกับหลิวซูเหลือเกิน ทั้งยังรู้สึกเสน่หา แท้ที่จริงแล้วก็คืออดีตคนรักของเขากลับชาติมาเกิดนั่นเอง

เจี้ยนสือไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี ทั้งดีใจ ทั้งตกใจ สับสนอลหม่าน ผสมปนเปกันไปหมด

แต่จะอย่างไรก็ช่าง บัดนี้เขารู้แล้วว่าซิ่นเฉิงคือผู้ใด พลันขาก็ก้าวไปอีกทิศทางหนึ่ง ไม่ได้กลับสู่กระโจมของตน หากทว่ามุ่งหน้าสู่กระโจมของใครบางคนที่หลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา



 
เทพอสูรงูจงอางมาหยุดยืนอยู่ที่หน้ากระโจมของคนที่ใจถวิลหามานับร้อยปีแล้ว เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะหลบแสงจันทร์เข้าไปในกระโจมนั้น พลันร่างกายงดงามก็แปรผันเป็นครึ่งเทพครึ่งอสูรอีกครา กระนั้นเจี้ยนสือก็หาได้ใส่ใจ ก้าวย่องแผ่วเบาตรงไปยังร่างกำยำที่นอนหลับอยู่บนหนังสัตว์นุ่ม ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ดวงตาจับจ้องไปยังใบหน้าคร้ามผ่านความมืดมิด แม้ว่าจะไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ แต่ดวงตาสีเหลืองอำพันของงูจงอางในยามนี้กลับมองเห็นใบหน้าของซิ่นเฉิงได้อย่างชัดเจน

ไร้ซึ่งความอ่อนหวาน ปราศจากความนุ่มนวลใดๆ กล้ามเนื้อเป็นมัดทั่วทั้งกาย อีกทั้งยังดูดื้อด้านไม่น่าคบหา...ล้วนแล้วไม่ใช่หลิวซูเลยสักนิด

แต่เจ้าคือหลิวซู...

เจี้ยนสือรำพันในใจ ดีใจยิ่งเสียจนน้ำตาไหลเอ่อคลออยู่ยังขอบตา ดีใจยิ่งกว่าที่ตนได้รู้ว่าอีกฝ่ายคืออดีตคนรักก่อนเทียนอี้ แม้ว่าก่อนหน้านั้น ซิ่นเฉิงจะมีสัมพันธ์ใดๆ กับเทียนอี้แล้วก็ตาม

แต่ในยามนี้...

ตั้งแต่เวลานี้...

ซิ่นเฉิงจะเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว...

มือใหญ่วางลงบนหน้าท้องแกร่ง ลูบลากแผ่วเบาให้สัมผัสเย็นเยียบจากฝ่ามือระนาบไปตามผิวของซิ่นเฉิง ครั้นสัมผัสได้ถึงไออุ่นมนุษย์และความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ ความกำหนัดก็พร่างพรายไปทั่วสรรพางก์กายมากพอๆ กับความคะนึงหาอดีตคนรัก เจี้ยนสือกลืนน้ำลายลงคอ เผลอส่งเสียงดัง ‘ชี่’ ออกมาตามประสางูอย่างพึงใจกับสัมผัสนั้น แม้ใจจะเกรงว่าเสียงนั้นอาจทำให้ซิ่นเฉิงตื่น แต่ความปรารถนาที่จะได้ครอบครองเรือนร่างเย้ายวนนั่นกลับมากกว่าสิ่งอื่นใด

มาก...เสียจนกลืนกินความผิดชอบชั่วดีในใจเขาไปจนหมดสิ้น

ปลายลิ้นเรียวเล็กแลบออกมา ใบหน้าโน้มลงต่ำไล้เลียผิวหนังตั้งแต่หน้าท้องไล่ขึ้นไปจนถึงลำคอ ไออุ่นนี้ช่างเป็นสิ่งที่เขาโหยหาเสียเหลือเกิน

โหยหามาแล้วกว่าร้อยปี... มันเป็นไออุ่นของหลิวซู

เจี้ยนสือซึมซาบทุกความรู้สึกจากร่างกายของซิ่นเฉิง ครั้นเลื่อนใบหน้าเข้าแนบซอกคอได้ ริมฝีปากก็หมายจะจรดจูบ ทว่าก็ต้องนิ่งชะงักไปเมื่อแผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกของบางสิ่งที่เย็นกว่าเกล็ดเรียบลื่นของเขา ก่อนที่จะรู้สึกเจ็บน้อยๆ เมื่อสิ่งนั้นทิ่มแทงเข้ามา

“หากเจ้าแตะตัวข้าอีกแม้เพียงส่วนเดียว เจ้าได้ถูกถลกหนังออกมาตากแห้งแน่เจ้างู”

สิ่งที่อยู่ในมือของซิ่นเฉิงคือมีดสั้นที่ครั้งหนึ่งเจี้ยนสือได้มอบไว้ให้เขาป้องกันตนเองหากเจี้ยนสือคิดจะทำอันตราย ในครานั้น ซิ่นเฉิงคิดว่าเป็นการพูดเย้าเล่น ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ใช้จริงๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ ขณะที่เทพอสูรงูจงอางชะงักงัน

ที่ชะงักไป หาใช่เป็นเพราะเกรงว่าตนจะถูกมีดนั้นแทง แต่เป็นเพราะได้สติกลับคืนมา ทว่าก็ยังมิอาจควบคุมกำหนัดที่หมายจะครอบครองเรือนร่างของอีกฝ่ายได้ จึงค้างอยู่เช่นนั้นจนคนใต้ร่างเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา

“ลุกออกไป”

เสียงนั้นราบเรียบและเย็นเยือก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

เจี้ยนสือไม่อยากจะห่างกายนี้ เอ่ยออกมาเสียงแผ่ว
“ซิ่นเฉิง...”

คล้ายกับว่าจะร้องขอความเมตตา ทว่าซิ่นเฉิงกลับตัดเยื่อใยทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ

“หากไม่ลุก เห็นทีเจ้ากับข้าคงจะได้นองเลือด”

เจี้ยนสือสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรง ชักจะไม่พอใจแล้ว กำหนัดอะไรที่มีอยู่ก่อนหน้าอันตรธานหายไปเสียสิ้น

ทีกับเทียนอี้กลับอ้าแขนตอบรับ แต่กับเขากลับผลักไสไล่ส่ง เป็นเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!

“อย่าผลักไสข้าเพียงเพราะหมายจะแก้แค้นได้หรือไม่”


ได้ยินแล้วก็ย่นคิ้วยู่

แก้แค้นหรือ? เจ้างูพูดถึงเรื่องอะไรกัน?

แต่ไม่ต้องถาม เจี้ยนสือก็เปิดปากให้คำตอบแล้ว

“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือหลิวซูกลับชาติมาเกิด”

ซิ่นเฉิงถึงกับเบิกตาโพลง รู้ได้อย่างไรกัน!?

อยากจะถามนัก แต่ในยามนี้ต้องทำให้เจ้างูลุกออกไปจากร่างของตนก่อน มือหนายกขึ้นหมายจะผลักอกเจี้ยนสือให้ออกห่าง ทว่าก็ต้องหยุดค้างเอาไว้เมื่อเจี้ยนสือถามเสียงแผ่วออกมา

“หรือว่าชาตินี้เจ้าจะไม่มีใจให้ข้าแล้ว...ซูซู”

น้ำเสียงนั้น...ฟังดูช่างน่าสงสาร ในอกของซิ่นเฉิงซึ่งยังมีจิตใต้สำนึกของหลิวซูอยู่เต้นระรัวเร็วไปครู่ ทว่าก็แค่ครู่เดียว เพราะบัดนี้เขาตระหนักได้ว่าตนคือใคร เมื่อถูกถามเช่นนั้นจึงตอบไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ในชาตินี้ข้าคือซิ่นเฉิง เมื่อเกิดใหม่ก็มิอาจจำได้ว่าเคยรักเจ้า เลิกเรียกข้าว่าซูซูเสียที”

“แต่เจ้าคือหลิวซู คือคนที่เคยรักข้า เจ้าจะจำไม่ได้เลยหรือ?”

ในเมื่อถูกปฏิเสธ เจี้ยนสือก็ไม่ยอมรับ เสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องนิ่งงันไปเมื่อซิ่นเฉิงกดปลายมีดที่ยังจ่ออยู่บนแผ่นหลังเขาลงไปอีกจนจมูกได้กลิ่นคาวจากของเหลวบางอย่างที่ไหลซึมออกมาจากใต้ผิวหนัง

“ข้าบอกว่าข้าหาใช่หลิวซู ข้าคือซิ่นเฉิง และชาตินี้ข้าก็หาได้รักเจ้า เพราะข้าไม่ใช่อดีตคนรักของเจ้าอีกแล้ว อย่ากวนใจข้าเจ้างู”

ซิ่นเฉิงเป็นฝ่ายมีชัย ความรู้สึกใดๆ ในจิตใต้สำนึกของหลิวซูมิอาจทำให้เขาไขว้เขวได้อีก ขณะที่คำพูดนั้นช่างทำให้ใจของเจี้ยนสือร้าวรานราวกับถูกเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทง

เจี้ยนสือจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นเรื่องจริง หากแต่เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่ของซิ่นเฉิงแล้ว เขาก็มั่นใจได้ขึ้นมาว่าที่ได้ยินเมื่อครู่นั้นไม่ผิด

นี่ล่ะสิ่งที่คล้ายคลึงกับหลิวซู...ความแน่วแน่ที่ฉายประกายออกมาจากดวงตา

เมื่อรักก็รักมากยิ่ง เมื่อเกลียด ชิงชัง หรือรู้สึกอื่นใดก็สื่อออกมาอย่างชัดเจน ในยามนี้ ดวงตาของซิ่นเฉิงบ่งบอกชัดเจนว่าหาได้รู้สึกรักใคร่ใดๆ ต่อเขา

ใช่แล้ว...ไม่ได้รู้สึกเลยแม้แต่น้อย เจี้ยนสือแทบจะกลั้นใจตายไปตรงหน้าให้ได้ ทว่าก็มิอาจทำได้ด้วยมีชีวิตอมตะ จึงทำเพียงตัดพ้อออกไป

“ที่หาได้มีใจให้ข้าเช่นแต่ก่อนเป็นเพราะยามนี้ในใจเจ้ามีแต่เทียนอี้ล่ะสินะ”

เป็นซิ่นเฉิงบ้างแล้วที่นิ่งไป เขาอุตส่าห์ไม่คิดถึงใบหน้าของเจ้าหมาแล้วนะ ไยจะต้องมาพูดถึงให้คะนึงหาอีกกัน!

“แม้ว่าเจ้านั่นจะเป็นเหตุให้มารดาเจ้าต้องตาย เจ้าก็รักเจ้านั่นใช่หรือไม่?”

คำถามนี้ ซิ่นเฉิงเองก็เฝ้าถามตนเองมาหลายทิวาและราตรีแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านั้นที่แสร้งโกรธเคืองเทียนอี้ด้วยเหตุว่าเขาเป็นผู้สังหารมารดาของตนในทางอ้อมเพื่อที่จะได้จากไปโดยปราศจากความห่วงหาใดๆ ต่อกัน ทว่า...เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว เห็นทีคงจะเป็นไปได้ยากในเมื่อหัวใจของเขา...รักเทพอสูรสุนัขป่าตนนั้น

ต่อให้หลบหนีเพียงใดก็มิอาจปฏิเสธความรู้สึกในใจตนได้ ยิ่งถูกเจี้ยนสือถามก็ยิ่งชัดเจนจนเป็นที่ประจักษ์

อย่างไรก็รัก ไม่ว่าอย่างไร เทียนอี้ก็เป็นผู้เดียวที่เขาปรารถนาจะมอบเรือนร่างให้เชยชม

ความเงียบงันของซิ่นเฉิงคือคำตอบชัดเจนให้แก่เจี้ยนสือ คนถามสูดลมหายใจเข้าปอดราวกับจะสงบสติอารมณ์ ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดแสนสาหัส

“ในชาตินี้จะเป็นข้าที่เจ้าจะรักไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

ไยซิ่นเฉิงจะสัมผัสไม่ได้ว่าเจี้ยนสือปวดใจเพียงใด แต่...

“เวลาของเจ้าหมดสิ้นไปตั้งแต่ที่หลิวซูหมดลมหายใจแล้วเจ้างู หลิวซูที่รักเจ้าไม่มีอีกแล้ว มีแต่ข้าที่หาได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย”

คำพูดนั้นสัตย์จริง และก็ช่างเป็นคมดาบที่สับร่างของเจี้ยนสือให้แหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่เวลาของเขาจะหยุดหมุนเมื่อซิ่นเฉิงเอ่ยออกมาอีก

“ในชาตินี้ ใจของข้าเป็นของเทียนอี้”

เป็นครั้งแรกเช่นกันที่มนุษย์หนุ่มยอมรับความรู้สึกของตนกับผู้อื่น เจี้ยนสือซึ่งได้ยินถ้อยคำนั้นรู้สึกราวกับถูกตบหน้าเสียจนมึนงงไปหมด เขาผละออกจากร่างของอีกฝ่ายโดยไม่ต้องให้ซิ่นเฉิงเอ่ยซ้ำ นั่งนิ่งปราศจากซึ่งคำพูดอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่ซิ่นเฉิงซึ่งผุดลุกขึ้นนั่งตามเมื่อครู่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

“แต่แม้ว่าในชาตินี้ ข้าจะไม่ได้รักเจ้าเพราะข้าหาใช่หลิวซูอีกต่อไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสหายไม่ได้”

ที่พูดไปเช่นนั้นเป็นเพราะเขาเองก็หาได้รังเกียจเจี้ยนสือ เพียงแต่ต้องการให้อีกฝ่ายตระหนักได้ว่าตนเป็นใคร และสถานะใดที่เขามอบให้เจี้ยนสือได้

เทพอสูรงูจงอางเหลือบมองชายหนุ่มภายใต้ความมืด แววตาที่ประกายความเห็นใจนั้น เขาไม่ได้ต้องการเลยสักนิด มันจะไปมีประโยชน์อันใดถ้าหากไม่ได้ครอบครองดวงใจของอีกฝ่าย

จะไปมีประโยชน์ใดเล่าหากได้พบพานแต่ใจของหลิวซูหาใช่ของเขาอีกแล้ว!

ใจหนึ่งนึกอยากจะสังหารซิ่นเฉิงเสียให้สิ้น จะได้ไม่แปรใจไปรักผู้อื่น แต่ก็มิอาจกระทำผิดซ้ำเดิมได้ จึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำนนในลิขิตฟ้า ปล่อยให้ซิ่นเฉิงได้พูดอกมา

“เจ้างู...มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา สองชาติก่อนของข้า ข้ารักเจ้า แต่ในชาตินี้ ข้าหาได้มีใจให้เจ้าอีกแล้ว เจ้าก็อย่าฝืนเลย ไม่ใช่เจ้าเพียงผู้เดียวหรอกที่เหนื่อย ข้าเองก็เหนื่อยล้าเช่นกัน”

เหนื่อยล้าเรื่องใด เจี้ยนสือพอจะเข้าใจ

เหนื่อยล้าในวัฏจักรแห่งรักที่มิอาจสมหวังได้แม้เพียงชาติหนึ่ง...

เขาเองก็ท้อใจแล้ว จึงพยักหน้ารับอีกครา ตอบรับไปโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

“หากเจ้าเอ่ยเช่นนั้น ข้าก็คงจะทำสิ่งใดไม่ได้อีก หากในชาติก่อนๆ ข้ารับความรู้สึกของเจ้า ป่านนี้เจ้ากับข้าคงมีความสุขร่วมกัน”
ซิ่นเฉิงไม่เอ่ยสิ่งใด มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ขณะที่เจี้ยนสือจ้องตอบราวกับพยายามจะบอกว่าในใจของเขายังรักหลิวซูมากมาย แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นกลับหาใช่คำบอกรัก แต่เป็นการบอกลา

“ขออภัยที่รบกวนและล่วงเกินเจ้า วันนี้ข้าเหนื่อยล้าเหลือเกิน เห็นทีคงต้องไปพักก่อน”

สิ้นเสียงก็หุนหันลุกออกไปนอกกระโจม ปล่อยให้ซิ่นเฉิงปิดเปลือกตาลง ระบายลมหายใจออกมาทีละน้อย

ตอนนึกจะมาก็มาเอง ตอนนึกจะไปก็ไปเอง หาได้ถามความสมัครใจของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่...เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อมิอาจสมหวังก็ควรจะกระทำให้ชัดเจน

ซิ่นเฉิงถือว่าการที่เจี้ยนสือรู้ความจริงนี้เป็นเรื่องที่ดี แม้ว่าในใจจะนึกสงสัยไม่น้อยว่าเจ้างูนั่นรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรมากเพียงไหนก็ตาม

หรือจะเป็นเพราะหมิงจู ไม่ก็พ่อบ้านเหลียง?

คงจะต้องเป็นเจ้าสองเทพนั้นเป็นแน่ กระนั้นซิ่นเฉิงก็หาได้คิดสิ่งใดอีก หมายจะไปต่อว่าทั้งคู่เมื่ออรุณรุ่งมาถึง แต่ในยามนี้ เขาหมายจะผ่อนคลายความเหนื่อยล้าในใจตนเองเสียหน่อย พลันก็ผลุบออกจากกระโจม ตั้งใจว่าจะไปเดินทอดน่องเล่นให้สายลมเย็นเยียบพัดพาเอาความเหนื่อยล้านี้ไป

ทว่า...ก็ต้องนิ่งงันเมื่อทันทีที่ออกมานอกกระโจมก็พบเข้ากับเทียนอี้

“เจ้าหมา...”

ริมฝีปากหนาเผยอเอ่ยเรียกคนตรงหน้า ขณะที่เทียนอี้ในร่างเทพสวรรค์ยืนมองเขานิ่งด้วยสายตาสับสนยิ่ง

เมื่อครู่เห็นเจี้ยนสือออกมานอกกระโจมของซิ่นเฉิงด้วยท่าทางฉุนเฉียว หรือว่า...

เกือบจะคิดต่อแล้วถ้าหากว่าจมูกไม่ได้กลิ่นคาวโลหิตจากมนุษย์หนุ่มตรงหน้า พลันก็ย่นคิ้ว เอ่ยขึ้น...
“ข้าได้กลิ่นเลือด”
ซิ่นเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย ตอบไปตามความจริง
“เลือดของเจ้างู เมื่อครู่เจ้านั่นเกือบถูกข้าถลกหนัง”

ถึงจะไม่อธิบายขยายความใดๆ แต่ก็ชัดเจนยิ่งว่าซิ่นเฉิงกับเจี้ยนสือหาได้มีอะไรเกินเลยกัน มิหนำซ้ำ ซิ่นเฉิงก็หาได้ยินยอมให้อีกฝ่ายกระทำการใดกับร่างกายตนด้วย ทำเอาเทียนอี้ที่นอนไม่หลับด้วยกระวนกระวายขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ จนต้องออกมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ละแวกกระโจมของคนรักกระทั่งเห็นเจี้ยนสือออกมาจากที่นั่นโล่งใจเป็นปลิดทิ้ง

สีหน้าผ่อนคลายประดับพรายบนดวงหน้างาม แม้ว่าซิ่นเฉิงอยากจะเลี่ยงการสนทนากับคนตรงหน้าแค่ไหน แต่ด้วยความคะนึงหาที่ฝังแน่นอยู่ในใจ ทำให้เขามิอาจจะหมางเมินได้อีก

“ไม่ต้องห่วง ร่างกายของข้ามันยังคงเป็นของเจ้า”

ทั้งยังเอ่ยพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปอีก...

สิ่งนั้น...เป็นสิ่งที่เทียนอี้อยากได้ยินมากที่สุดในตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขามิอาจทนการหมางเมินของซิ่นเฉิงได้อีกต่อไปแล้ว ต่อให้ต้องถูกโกรธเคืองอย่างงไร เขาก็ไม่สนใจ ถลาเข้าไปหา รวบเอาร่างกำยำเข้ามาโอบกอดในอ้อมแขนแน่น ซุกใบหน้าลงบนไหล่อีกฝ่าย กระซิบเสียงพร่าราวกับจะขาดใจ

“ข้าคิดถึงเจ้า...เฉิงเฉิง... คิดถึงเจ้า...”

เห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกวันแท้ๆ เพียงแค่ไม่ได้พูดคุยกันเท่านั้นก็ทำให้เทียนอี้คลั่งจนแทบเสียสติได้ถึงเพียงนี้ ซิ่นเฉิงรู้ตัวดีว่าควรจะปฏิเสธ ทว่า...เพียงความในใจของเทียนอี้แค่ประโยคเดียว หินผาตั้งตระหง่านในใจเขาก็พังทลายลงในทันใด ต่อให้ต้องจากไป ไม่ได้พบพานชั่วนิรันดร์ เขาก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า...

“ข้าเองก็คิดถึงเจ้า”

เทียนอี้คลายอ้อมแขนออกมามองหน้าของมนุษย์หนุ่มราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ครั้นเห็นดวงตาของซิ่นเฉิงมองจ้องมาที่เขานิ่งๆ แล้ว พลันก็ประจักษ์ได้ว่านั่นคือความสัตย์จริงในใจของอีกฝ่าย

“เฉิงเฉิง...”

เรียกได้เพียงชื่อ จากนั้นถ้อยคำทั้งหมดก็ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ เทียนอี้มิอาจทนกักเก็บความรู้สึกไว้ได้ไหวอีกต่อไปแล้ว ประทับจุมพิตลงมายังริมฝีปากหนาอย่างดุดันและโหยหา ขณะที่ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ปฏิเสธ จูบตอบรับ สองมือโอบประคองใบหน้าคร้าม สอดประสานเกี่ยวกระหวัดราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะสลายหายไปในอีกไม่กี่เสี้ยวนาทีข้างหน้า

หากมีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา ถ้าเช่นนั้นก่อนที่จะต้องจากลาหรือสลายหายไป ก็ขอให้จากไปทั้งที่ยังโอบกอดกันและกันอยู่เช่นนี้...

เป็นเพียงความปรารถนาของซิ่นเฉิงที่ไม่ยอมเปิดปากให้เทียนอี้ได้รับรู้ ในยามนี้ เขาขอแค่ได้รับความรักจากอีกฝ่ายก่อนจะจากกันไปเท่านั้น

ท่ามกลางผืนฟ้ามืดมิด มีเพียงดวงดาราและจันทราสาดทอแสงสว่าง สองบุรุษโอบกอดมอบจุมพิตแห่งรักให้แก่กันดุจดั่งนกยวนยาง[1]ครองรักตราบนิรันดร์...


[1] นกยวนยาง หรือนกเป็ดน้ำ ตามความเชื่อของจีนเชื่อว่านกชนิดนี้จะมีคู่ครองเพียงตัวเดียวตลอดชีวิต จึงเป็นที่มาของการเปรียบเทียบความรักของที่มั่นคงว่าเป็นความรักของนกยวนยาง

-----------------------------

หายไปนาน กลับมาแล้วค่ะ ลืมเนื้อเรื่องกันไปแล้วสินะ เพราะหนูแดงก็ลืม 5555555

ต้องไปอ่านใหม่ว่าตัวเองเขียนอะไรไป ถึงกลับมาเขียนได้ง่ะ XD แต่ต่อจากนี้จะกลับมาอัปแล้วค่ะ หมดสิ้นภารกิจอื่นแล้วเรียบร้อย ส่วนเรื่องนี้อีกไม่กี่ตอนก็จบละ

********
ลบข้อความการประกาศขายนิยายออกนะคะ
เรื่องยังอยู่ห้องนิยาย นิยายยังลงไม่จบ ห้ามประกาศขายในกระทู้ทั้งสิ้น และคนเขียนยังไม่ได้ขอไอดีขายของ ผิดกฏเล้านะ

Poes
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 26: มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา[12/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Akanasan ที่ 12-12-2017 10:58:58
สงสารเจ้างูอ่ะ แต่เจ้าหมาก็น่าสงสาร อ๊ากกกกก!!!!! :m31: :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 26: มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา[12/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-12-2017 16:53:57
 :เฮ้อ:



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 26: มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา[12/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 12-12-2017 17:49:30
ไม่อยากให้เค้าแยกกันเลยยยย :ling1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 26: มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา[12/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-12-2017 18:52:32
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 26: มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา[12/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 13-12-2017 00:33:07
เจ้างู เจ้าหมา ถ้าปัญหามันเยอะขนาดนั้น....  3p ไปเล--// โดนตบ :hao7:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 26: มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา[12/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 13-12-2017 12:22:00
หาคู่.ให้งูทีเอาแซบๆ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 26: มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา[12/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-12-2017 20:08:40
นึกว่าออกมาจะเจอเจ้าหมาที่ได้ยินว่าเฉิงเฉิงคือหลิวซู รอดไป ตอนหน้าเจ้าแมวจะไปแล้วใช่ไหมคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 26: มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา[12/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 03-01-2018 00:18:30
บทที่ 27: ข้ารักเจ้า

เพียงจุมพิตเดียวก็มิอาจกักเก็บทุกความโหยหาของทั้งคู่ได้ ซิ่นเฉิงหมดสิ้นซึ่งความอดทนอีกต่อไป มือทั้งสองข้างที่ประคองใบหน้าคร้ามของเทียนอี้อยู่นั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นเหนี่ยวรั้งลำคอแกร่ง ออกแรงลากให้อีกฝ่ายกระถดถอยตามตนเข้าไปในกระโจม ขณะที่เทียนอี้ก็ไม่ขืนแรงแต่อย่างใด ปล่อยตัวปล่อยใจให้อีกฝ่ายได้ฉุดเข้าหาโดยดุษณี

ครั้นเข้ามาด้านใน รูปลักษณ์งดงามก็แปรเปลี่ยนเป็นเทพอสูร ศีรษะที่เหมือนกับมนุษย์กลายเป็นสุนัขป่า กระนั้นก็ไม่อาจทำให้ซิ่นเฉิงถอนริมฝีปากออกจากอีกฝ่ายได้ ต่อให้รูปร่างแปรผัน แต่หัวใจของเขาก็ยังมอบให้กับเทพอสูรตรงหน้านี้ บรรจงจูบอย่างดูดดื่มจนกระทั่งเทียนอี้เป็นฝ่ายที่มิอาจต้านทานความกำหนัดนี้ได้อีกต่อไป

เขาผลักร่างแกร่งของมนุษย์หนุ่มลงบนหนังสัตว์นุ่ม มือลูบลากไปตามเนื้อตัวอย่างกระหาย ยิ่งได้กลิ่นฉุนของงูก็ยิ่งลูบไล้หนักหน่วงราวกับปรารถนาจะกลบกลิ่นนั้นไปให้หมดสิ้น ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ปฏิเสธ ตอบรับการสัมผัสนั้นด้วยการส่งเสียงฮืมในลำคอ และยิ่งทวีมากขึ้นไปอีกเมื่อลำคอถูกปลายลิ้นอุ่นร้อนลากไล้ ก่อนจะลงต่ำมายังแผ่นอก เข้าครอบครองยังส่วนยอดของตุ่มไตเม็ดเล็ก

ความอ่อนไหวจากการถูกสัมผัสทำให้ซิ่นเฉิงเงยหน้าขึ้นอย่างสุดจะกลั้น ปากครางเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาเมื่อส่วนกลางของลำตัวถูกลูบไล้เสียจนแข็งขืน

“เทียนอี้...”
“หากเจ้าเรียกข้าด้วยน้ำเสียงเช่นนี้อีกครั้ง ข้าคงจะอดใจไม่ไหว”

เทียนอี้กระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู ลมหายใจอุ่นๆ นั้นเรียกให้ซิ่นเฉิงหันไปสบตา ก่อนจะว่าออกมาอย่างถือดี

“หากเจ้าอดใจไม่ไหว ก็ทำตามความปรารถนาของเจ้าเถิด”

ราวกับเป็นการท้าทาย ขณะเดียวกันก็คือการเชื้อเชิญ แล้วมีหรือที่เทียนนี้จะไม่สนอง เขาปรารถนาที่จะใกล้ชิดมนุษย์ผู้นี้มาหลายทิวาและราตรีแล้ว เท่านั้นมือก็ดึงทึ้งเอาอาภรณ์ที่ยังคงบดบังเรือนร่างของอีกฝ่ายออกเสียสิ้น สายตาทอดมองไปยังร่างเปลือยเปล่าอย่างเสน่หา ก่อนที่จะสอดมือเข้าไปลูบคลำส่วนที่อยู่ลึกสุดของร่างกาย ตั้งใจจะเปิดทางให้อีกฝ่ายพร้อมก่อนที่จะฝังร่าง
ใบหน้าของซิ่นเฉิงเต็มไปด้วยอารมณ์ซาบซ่าน ดวงตาที่แข็งกร้าวตลอดเวลา ในยามนี้อ่อนหวานเสียจนเทียนอี้อดไม่ได้ที่จะจูบประทับลงไป และนั่นก็เป็นการกระทำที่ผิดเพราะทันทีที่ทำเช่นนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเรียกร้องของอีกฝ่ายแว่วเข้ามาในหู

“อย่ามัวแต่หยอกข้าเล่นอีกเลย รีบกอดข้าเสียที”

แน่นอนว่าซิ่นเฉิงหมายถึงให้หยุดสอดแทรกนิ้วมือเข้ามาเสียที เรื่องนี้ทำไมเทียนอี้จะไม่รู้ ถึงอย่างนั้นก็ยังข่มความต้องการของตนเองเอาไว้ ไม่รีบร้อนเกินเหตุแม้ว่าจะอยากกอดอีกฝ่ายมากเพียงใดก็ตาม

“แต่หากไม่ทำให้เจ้าพร้อมก่อน เจ้าจะบาดเจ็บเอาได้”
“เทียนอี้... กอดข้า...”

แค่คำพูดสั้นๆ ที่ฟังดูแล้วออกจะเป็นคำสั่งมากกว่าขอร้อง เท่านั้นก็ทำให้เทียนอี้ถอนปลายนิ้วออกมา แล้วแทรกความเป็นบุรุษของตนเองเข้าไปกลางหว่างขาของอีกฝ่ายทันที

ความคับแน่นทำให้ซิ่นเฉิงเบ้หน้าเล็กน้อย เทียนอี้ชะงัก จุมพิตแผ่วเบาลงมายังหน้าผากราวกับปลอบประโลม ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะโอบแผ่นหลังอีกฝ่าย กระซิบบอกเสียงแผ่ว

“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”

ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่เทียนอี้ก็มิอาจวางใจได้ นิ่งค้างอยู่ในท่านั้นครู่ใหญ่กระทั่งรู้สึกว่ากล้ามเนื้อของซิ่นเฉิงผ่อนคลายความเกร็งแข็งลงแล้ว เขาถึงได้ค่อยๆ ขยับร่างกายทีละน้อย

ไม่นานนัก ความคับแน่นที่สร้างความเจ็บปวดก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียวซ่าน ซิ่นเฉิงครางกระเส่าออกมาทันทีที่ความหวานไหวพร่างพรายไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนที่จะต้องกอดร่างของเทียนอี้ไว้แน่นเมื่อแกนกลางของลำตัวถูกรูดรั้งด้วยฝ่ามืออุ่นร้อน

เคลื่อนไหวเชื่องช้าชวนให้รำคาญใจ แต่เมื่อเคลื่อนไหวเร่งไวขึ้น ซิ่นเฉิงก็ไม่เป็นตัวของตัวเองอีก มือขย้ำเส้นขนสีเงินยวงตรงบริเวณแผงคอของเทียนอี้ไว้มั่น มืออีกข้างโอบกอดร่างใหญ่ ส่งเสียงหายใจหอบกระชั้นราวกับว่าจะขาดใจ

เห็นซิ่นเฉิงเป็นเช่นนั้น เทพอสูรก็ยิ่งได้ใจ เร่งเร้าเสียจนมิอาจทนความเสียวซ่านนี้ได้อีก ของเหลวสีขาวหลั่งรินออกมาเปรอะเปื้อนหน้าท้องแกร่ง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าซิ่นเฉิงสุขสมกับรสสัมผัสนี้แล้ว เทียนอี้ใช้จมูกเปียกชื้นจูบประทับที่ข้างขมับ ก่อนที่จะหยุดนิ่งไป

“เจ้า...ยังไม่เสร็จเลยไม่ใช่หรือ?”

คำถามตรงๆ จากปากของซิ่นเฉิงทำให้เทพอสูรย่นคิ้วไปเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับ

“แล้วทำไมไม่ทำต่อ”
“เพียงแค่ได้กอดเจ้าไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว”

คำพูดนั้นช่างชวนให้อกข้างซ้ายเต้นระรัวยิ่งนัก ทว่าซิ่นเฉิงหาได้มีความสุขกับคำพูดนี้เท่าไร เขาเป็นบุรุษ ย่อมรู้ดีว่าการไม่ถึงฝั่งฝันนั้นมันสร้างความทรมานเช่นไร แม้ว่าเทียนอี้จะตั้งใจให้เขาสุขสมอยู่ฝ่ายเดียว แต่เขาก็ไม่ดีใจอยู่ดี

“ข้ามิใช่สตรี ไม่ต้องมาเยินยอ หากเจ้าไม่ยอมทำให้เสร็จ ข้าจะจัดการเจ้าเอง”

ไม่เพียงพูดเปล่า ยกมือขึ้นผลักร่างของเทียนอี้ให้ล้มลงนอนแล้วด้วย เทียนอี้ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเบิกตาโตเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงเป็นฝ่ายขึ้นมาคร่อมร่างตนเองไว้ทั้งที่ร่างของพวกเขายังประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ก่อนที่จะเป็นฝ่ายครางในลำคอบ้างเมื่อมนุษย์หนุ่มบนลำตัวนั้นค่อยๆ เคลื่อนไหวร่างกายทีละน้อย และเริ่มทวีการเคลื่อนไหวปั่นป่วนอารมณ์เขาเสียจนแทบคลั่ง

เทียนอี้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองโดยสมบูรณ์แล้ว มือเกาะเอาบั้นท้ายของคนบนตัวให้ขยับไปตามจังหวะให้มากขึ้น เสียงหายใจหอบกระเส่าของซิ่นเฉิงดังมาให้ได้ยินอีกคราเพราะการที่เขาเป็นฝ่ายรุกรานเทียนอี้นั้นมันทำให้ความเป็นบุรุษเพศแข็งขืนขึ้นมาอีก

กลิ่นอายของความหลงใหลซึ่งกันและกันหลั่งไหลอบอวลในกระโจมแห่งนี้ ก่อนที่เทียนอี้จะได้ยินเสียงของมนุษย์หนุ่มดังมาในโสต

“จดจำข้าเอาไว้ก่อนที่จะไม่ได้เห็นข้าอีก...”

แน่นอนว่าเขาจะต้องจดจำซิ่นเฉิงแน่...

จดจำไว้เสียขึ้นใจ...ว่าหัวใจของเขามิอาจรักผู้ใดได้อีกแล้วนอกจากคนตรงหน้านี้

“ข้ารักเจ้า...เฉิงเฉิง”

คำบอกรักกระตุ้นเร้าให้ซิ่นเฉิงขยับกายรุนแรง รอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่มุมปากราวกับพอใจที่ได้ยินคำนั้น

ราตรีนี้จะยาวนานเพียงใด แต่สำหรับบุรุษทั้งสองแล้ว มันคงจะสั้นเสียจนน่าใจหายเป็นแน่ถ้าหากทั้งคู่ตระกองกอดกันแนบชิดเช่นนี้ทั้งค่ำคืน...



 
แม้ว่าเมื่อคืนนี้จะกอดกระหวัดบอกรักกันหลายต่อหลายครั้งเพียงใด แต่เทียนอี้ก็มิอาจทำให้ใจของซิ่นเฉิงเปลี่ยนไปได้ ในเมื่อตั้งใจว่าจะไปจากเขาแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ซิ่นเฉิงก็จะไป

อันที่จริงเทียนอี้ไม่ควรที่จะห้ามปรามเพราะสิ่งที่ซิ่นเฉิงทำคือสิ่งที่ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำของเผ่าควรกระทำ ทว่าเมื่อตระหนักได้ว่าหากปล่อยให้อีกฝ่ายไป ทั้งชีวิตนี้ก็จะไม่ได้พบพานกันอีก เทียนอี้ก็มิอาจทำใจให้ยอมรับเรื่องนี้ได้ขึ้นมา

เขารักซิ่นเฉิง...

รักมากเกินกว่าจะปล่อยให้จากไปชั่วชีวิตได้...

พลันก็ละทิ้งหน้าที่ทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า ก้าวอาดๆ ตรงไปยังกระโจมของซิ่นเฉิงทันที ก่อนที่สายตาจะเหลือบมองไปเห็นชายหนุ่มซึ่งกำลังวุ่นวายกับการตระเตรียมข้าวของและไพร่พลให้พร้อมสำหรับการเดินทาง

ในการเดินทางครั้งนี้ ซิ่นเฉิงหาได้ไปแต่ผู้เดียว เขาได้คนจากเผ่าของอ๋องแห่งทะเลทรายติดตามไปด้วย เพราะการเดินทางในทะเลทรายเพียงลำพังนั้นหาใช่เรื่องง่าย อันตรายล้วนแล้วมีรอบทิศทาง แม้ว่าซิ่นเฉิงจะเกิดและโตในทะเลทรายมาตลอดชีวิต แต่ก็ใช่ว่าจะเอาตัวรอดได้โดยลำพังได้หากว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น ดังนั้นการมีคนติดตามไปด้วยล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ดีกว่านัก

กระนั้น...ก็ไม่อาจทำให้เทียนอี้วางใจได้ ยิ่งเห็นซิ่นเฉิงกระตือรือร้นที่จะจากไปถึงเพียงนั้นทั้งที่หนทางที่จะมุ่งหน้าไปก็เป็นทิศทางเดียวกันกับที่เขาจะยกทัพไป ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องได้พบพานกันอีกครา แต่ในใจเขาก็ว้าวุ่นเสียจนอยู่ไม่สุข ทั้งที่ท่าทีนิ่งเฉยแท้ๆ แต่กลับ...ร้อนรุ่มไปทั่วร่างราวกับว่าถูกไฟจากปรโลกเผาผลาญ

ดวงตาสีอำพันปรายมองไปยังร่างสูงของมนุษย์หนุ่มที่บัดนี้สวมชุดเกราะของนักรบเผ่า ช่างดูแปลกตานัก ตลอดเวลาที่รู้จักซิ่นเฉิงมา เทียนอี้หาได้เคยเห็นอีกฝ่ายในภาพลักษณ์นี้มาก่อน

ทั้งแข็งแกร่ง... ทั้งองอาจ...

ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ใจแข็งและดื้อดึงนัก เหตุนั้นเป็นเพราะซิ่นเฉิงคือนักรบ คือผู้ที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าทะเลทรายในภายภาคหน้า หากใจรวนเรแปรผันง่ายดาย อีกหลายร้อยชีวิตในเผ่าก็จะต้องไม่แปรปรวนไปด้วย ดังนั้นการที่เป็นผู้กุมชะตาชีวิตของผองพี่น้องทุกชีวิต เขาจะเอนเอียงไม่ได้

ทว่า...ต่อให้เทียนอี้ประจักษ์ในข้อเท็จจริงนั้นเพียงใด เขาก็ไม่ต้องการให้ซิ่นเฉิงจากไป ขายาวก้าวเข้าหา ปากเอ่ยถามคนตรงหน้าราวสุดจะกลั้น

“เฉิงเฉิง”

คนถูกเรียกหันมามอง ครั้นเห็นเทพอสูรสุนัขป่ายืนนิ่งอยู่ตรงหน้า เขาก็หยุดมือที่สวมเกราะปลอกแขนไปครู่หนึ่ง รอให้อีกฝ่ายได้
พูด

“ข้าจะขอถามเจ้าอีกครั้ง” เทียนอี้ว่า ก่อนจะสูดหายใจเข้าปอด เอ่ยออกมาอีก “เจ้าจะไม่ไปจากข้าได้หรือไม่?”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถาม เมื่อคืนที่ได้แนบชิดกัน เทียนอี้ก็ถามคำถามนี้ออกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว และทุกครั้ง ซิ่นเฉิงก็มักจะให้คำตอบเป็นความเงียบทุกที

ครั้งนี้ก็เช่นกันที่ความเงียบงันคือคำตอบจากซิ่นเฉิง... มีเพียงดวงตาเรียวเท่านั้นที่จับจ้องยังใบหน้าของผู้เป็นที่รัก

เทียนอี้... ใช่ว่าข้าอยากจะไป แต่เพื่อจะยุติเรื่องราวทั้งหมด เจ้ากับข้ามิอาจครองคู่กัน

ใจของชายหนุ่มอยากจะบอกไปเช่นนี้นัก เขาอยากจะบอกเหตุผลว่าเหตุใดถึงไม่สามารถอยู่ด้วยได้

เหตุผลนั้นก็เพราะว่าเขาคือหลิวซู หากอยู่ใกล้กันต่อไป พวกเขาก็จะต้องพบพานความเจ็บปวดอีกไม่จบไม่สิ้น สู้ให้สิ้นสุดไปตั้งแต่ชาตินี้เลยจะดีกว่า...

ทว่าก็ขบกรามแน่นบังคับตนเองไม่ให้พูดออกไปด้วยระลึกได้ว่าให้สัญญากับหมิงจูและพ่อบ้านเหลียงไว้ จะมีก็แต่เทียนอี้เท่านั้นที่ทำลายความเงียบงันขึ้นมาอีกครั้ง

“อย่างไรเสีย ทัพของข้าก็จะต้องยกพลลงไปทางใต้อยู่แล้ว เบาะแสของเผ่าเจ้าก็อยู่ที่ทางใต้ เหตุใดจึงไม่เดินทางไปพร้อมกันกับข้า”

เรื่องเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ซิ่นเฉิงก็ดึงดันที่จะเดินทางล่วงหน้าไปก่อนด้วยเป็นห่วงพี่น้องในเผ่าของตน จึงทำให้ต้องรีบมาตระเตรียมความพร้อมอย่างที่เห็น

“เจ้าก็มีหน้าที่ที่ต้องให้สะสาง ข้าเองก็เช่นกัน เจ้าทำตามหน้าที่ของเจ้าให้ดีเถิด ข้าก็จะไปทำหน้าที่ของข้า”

เหตุผลนั้นไม่ได้ทำให้ซิ่นเฉิงเปลี่ยนใจได้เลย เทียนอี้ออกอาการฮึดฮัดเป็นครั้งแรกที่ไม่อาจเอาชนะใจซิ่นเฉิงได้ อยากจะบังคับเหลือเกิน แต่กับมนุษย์ผู้นี้คงจะไร้ผล พลันก็ยอมอ่อนข้อลงอย่างไม่มีทางเลือก

“เฉิงเฉิง...อย่าไป ข้าขอร้อง หากจะไปก็ไปพร้อมกันกับข้าเถิด”

เทพอสูรยอมทิ้งทิฐิโดยสมบูรณ์ แม้จะเข้าใจเหตุผลของซิ่นเฉิงเพียงไร และถึงจะไม่เคยทัดทานเมื่ออีกฝ่ายต้องการจากไป แต่ในเวลานี้ เขาไม่อาจปล่อยมือจากซิ่นเฉิงได้อีกแล้ว หัวใจของเขาไม่แข็งแกร่งพอที่จะเห็นคนรักเดินจากไป ชาติก่อนนั้นเขาเคยเสียคนรักไปแล้ว ชาตินี้มีใจรักให้แก่ซิ่นเฉิง เขาก็จะไม่ยอมเสียอีกฝ่ายไปอีก อย่างน้อยการได้เดินทางไปด้วยกันก็เป็นการยืดเวลาที่จะได้เคียงข้างมากขึ้นไปอีก ไม่แน่ว่าในช่วงเวลานั้น เขาจะโน้มน้าวให้ซิ่นเฉิงยอมเปลี่ยนใจในภายหลังได้

ทว่า...ซิ่นเฉิงไม่อาจรีรอได้อีกแล้ว หากจะต้องไปพร้อมกับเทียนอี้ เขาก็ต้องรออีกฝ่ายจัดทัพซึ่งใช้เวลาอีกหลายชั่วยาม หรือไม่ก็อาจจะต้องเสียเวลาเป็นวันด้วยทัพของเขาก็ล้วนอ่อนล้าจากการเดินทาง สู้เขามุ่งหน้าไปก่อนจะเป็นการดีกว่าเพราะไม่อาจวางใจได้ว่าชีวิตเผ่าของตนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“ครั้งหนึ่งข้าเคยให้โอกาสเจ้าไปจากข้า เป็นเจ้าเองที่ไม่ไป คราวนี้อย่าหวังว่าข้าจะยินยอมให้เจ้าไป หากคิดว่าจะไปจากข้าตลอดชีวิตได้ เจ้าฝันเกินตัวไปแล้วเจ้าเหมียว”

ลดทิฐิคงยังไม่มากพอเพราะซิ่นเฉิงไม่ยอมตอบอะไร เทียนอี้แสดงอาการเอาแต่ใจออกมาราวกับควบคุมตนเองไม่ได้ หูทั้งสองตั้งชัน ดวงตาแข็งกร้าว ดูอย่างไรก็เป็นสุนัขเลี้ยงไม่เชื่อง ท่าทางนั้นควรที่จะให้ซิ่นเฉิงล้อเลียนยิ่งนัก ทว่าเมื่อเห็นแล้วกลับหัวเราะไม่ออก คับแน่นในอกเสียจนแทบหายใจไม่ได้

เทียนอี้...คิดว่าเขาอยากไปจากเทียนอี้ตลอดชั่วชีวิตหรือ?

คิดว่าเขาอยากจะให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้หรือ?

แต่ถ้าไม่ไป เขาก็จะต้องตาย และกลับมากำเนิดใหม่ เวียนว่ายสร้างความเจ็บปวดให้ทั้งกับเทียนอี้และเจี้ยนสืออีกไม่จบสิ้น เป็นเช่นนี้แล้ว จะให้เขาอยู่ต่อได้อย่างไร เขาไม่ได้ห่วงที่ตัวเองจะต้องตาย แต่เป็นห่วงว่าจะทำให้เทียนอี้เจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่างหาก สู้ให้ตัดใจจากเขาไปเสียแต่ตอนนี้จะดีกว่า ทุกอย่างจะได้จบสิ้นเสียที

ลมหายใจอุ่นร้อนถูกระบายออกมา ซิ่นเฉิงเม้มริมฝีปาก ก่อนจะก้าวเข้าหาเทพอสูรตรงหน้า มือข้างหนึ่งยกขึ้นกำเส้นขนสีเงินยวงที่แผงคอ ไล้ปลายนิ้วบนเส้นขนอ่อนนุ่ม พลันเสียงแหบห้าวก็หลุดลอดออกมาให้ได้ยิน

“ตลอดมานั้น ด้วยทิฐิและศักดิ์ศรีที่มี ทำให้ข้าไม่เคยคิดจะปริปากบอกเจ้า แต่ในเมื่อยามนี้ ข้ากับเจ้ามิอาจได้พบพานกันอีก ข้าจะขอพูดให้เจ้าได้จดจำไว้”

เสียงนั้นเงียบไปครู่ พลันก็แว่วมาเข้าโสตประสาทของคนฟังอีกครา

“ข้ารักเจ้า”

เทียนอี้นิ่งงัน ถ้อยคำนั้นหากเป็นในยามที่เขามีซิ่นเฉิงเคียงข้าง เขาคงจะดีใจอยู่ไม่น้อย แต่กลับมาพูดในยามที่กำลังจะจากไป ไม่รู้หรือไรว่ามันสร้างความทรมานใจให้กับเขามากเช่นไร

“ทั้งที่จะจากไป แต่กลับฝากคำพูดเช่นนี้ไว้ เจ้าคิดหรือว่าจะทำให้ข้านอนตาหลับได้อีก”

เทียนอี้หลุดปากออกมา ดวงตาจับจ้องยังใบหน้าคร้ามนิ่ง ก่อนที่แววตานั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นตัดพ้อ

“เจ้า...จะอำมหิตเกินไปแล้ว”

ซิ่นเฉิงยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ใช่... เขาอำมหิตที่พูดออกไปเช่นนี้ ทั้งที่ไม่ควรพูด แต่ก็พูดออกไป ไม่ได้คิดหรอกว่าเทียนอี้จะปวดร้าวแค่ไหน ในใจคิดเพียงแต่ว่าอยากจะบอกอีกฝ่ายเท่านั้นว่าเขาก็รักใคร่เทียนอี้ไม่ต่างกัน

“หากรักข้า...ก็อย่าไป ไปจากข้าชั่วครั้งชั่วคราว ข้าจะไม่ว่า แต่หากคิดจะจากไปชั่วชีวิต ข้ามิอาจทนได้”

ซิ่นเฉิงตอบรับด้วยรอยยิ้มเจือจาง ก่อนที่จะโอบรอบคอของอีกฝ่ายจนปลายจมูกเย็นชื้นแตะลงมาที่ปลายจมูกของเขา

“ข้าขอร้อง...”

เป็นเทียนอี้ที่พูดขึ้นมาอีก ทว่าซิ่นเฉิงไม่ตอบรับสิ่งใดแล้ว เพียงจรดริมฝีปากจุมพิตแผ่วเบา ก่อนจะผละออกมาสั่งการกับบรรดาคนติดตามที่อ๋องแห่งเผ่าทะเลทรายส่งมา

“อีกหนึ่งชั่วยามจะออกเดินทาง รีบเตรียมพร้อมให้ทันเวลาด้วย”

เสียงขานรับคำสั่งดังขึ้น เทียนอี้ยืนนิ่งงันเป็นหิน คำขอของเขามิได้ทำให้ซิ่นเฉิงละความตั้งใจเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกว่ารักเขา แต่เขาก็คงหาได้สำคัญเท่ากับชีวิตคนอื่นๆ ในเผ่า

ดวงตาสีดำพันจ้องมองมนุษย์หนุ่มตระเตรียมข้าวของจนเสร็จสิ้น ซิ่นเฉิงยกยิ้มให้กับเทียนอี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะกระโดดขึ้นหลังม้าและควบออกไปเบื้องหน้า

แม้จะรักมากเพียงใดแต่ก็มิอาจครองคู่...

แม้จะอยากเหนี่ยวรั้งไว้มากเพียงใด แต่หากใจของอีกฝ่ายหาได้อยู่กับเขา การยึดครองไว้ก็รังแต่จะสร้างความทรมานให้ทั้งสองฝ่าย...

เฉิงเฉิง... ต่อให้ข้ารักเจ้ามากเพียงใด แต่วาสนาของเจ้ากับข้าคงจะสิ้นสุดกันเพียงเท่านี้สินะ



 
ซิ่นเฉิงจากไปแล้ว เขาล่ำลากับท่านอ๋องก่อนออกเดินทาง พยักหน้ารับให้กับหมิงจูและพ่อบ้านเหลียงครั้งหนึ่งเป็นการสั่งลาก่อนที่จะเดินทางเรื่อยไปตามผืนทราย

การบอกลากับเทียนอี้นั้น...ไม่มีอีกหลังจากที่สิ้นสุดคำขอร้องของเทียนอี้ หากบอกลาไปอีกครั้งก็รังแต่จะทำให้ความรู้สึกห่วงหาของพวกเขายืดเยื้อ เขาจึงตัดสินใจไม่พูดคุยใดๆ กับเทียนอี้อีก เทียนอี้เองก็หาได้พูดสิ่งใดเช่นกัน ได้แต่มองซิ่นเฉิงจากไปเงียบๆ เท่านั้น

ส่วนเจี้ยนสือ... ซิ่นเฉิงก็หาได้บอกลาเพราะไม่เห็นหน้าค่าตามาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว

ใจคิดว่าเจี้ยนสือคงจะเสียใจที่ถูกตนปฏิเสธจึงไม่มาแม้แต่จะบอกลา ถึงแม้ว่าจะรู้สึกผิด แต่ซิ่นเฉิงก็อดคิดไม่ได้เลยว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่ไม่ต้องพบพานกับเจ้างูจงอางนั่นอีก เพราะไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีเช่นกันถ้าหากอีกฝ่ายจับได้ว่าบนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นของเทียนอี้ ด้วยนั่นเป็นการยอมรับกลายๆ ว่าหัวใจของเขามีแค่เทพอสูรสุนัขป่าผู้เดียวเท่านั้น
ทว่า...ถึงจะไม่อยากพบพานกับเจี้ยนสืออย่างไร อีกฝ่ายก็ดันมาปรากฏให้เห็นตรงหน้าขณะที่ควบม้าออกห่างจากเผ่าทะเลทรายนั้นมาได้หลายร้อยลี้ เสียงฝีเท้ามาที่ดังกุบกับมาตามผืนทรายและฝุ่นผงตลบคลุ้งทำให้ขบวนเดินทางหยุดชะงัก มองไปยังต้นเสียงทันควัน แล้วซิ่นเฉิงก็ต้องหรี่ตาลงมองร่างสูงใหญ่ของคนที่ควบม้าไล่ตามมาอย่างสงสัย ริมฝีปากเผยออ้าเอ่ยชื่อของคนผู้นั้น

“เจี้ยนสือ...”

เป็นเจี้ยนสือจริงๆ รูปลักษณ์งูจงอางนั่นหาได้มีผู้ใดในทุกภพเหมือนอีกแล้ว เจี้ยนสือควบม้ารี่เร่งเข้ามาหยุดตรงหน้า ครั้นเจ้าม้าสงบลงได้ ซิ่นเฉิงก็ออกปากถาม

“เจ้าตามข้ามาทำไม”

เหตุที่ถามเช่นนั้นเพราะเห็นว่าเจี้ยนสือมาแต่ผู้เดียว ขณะที่เจี้ยนสือหอบหายใจน้อยๆ ตอบกลับทันควัน

“เจ้าจะเดินทางไปทางใต้ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามีปีศาจสิงสถิตอยู่อย่างนั้นน่ะหรือ?”

ซิ่นเฉิงไม่ให้คำตอบ มองใบหน้าของเจี้ยนสือนิ่งขณะที่อีกฝ่ายอ้าปากพูดมาอีก

“อย่างน้อยก็ควรที่จะมีเทพอสูรที่รู้จักปีศาจตนนั้นดีเช่นข้าไปด้วย เผื่อมีเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา ข้าจะได้ช่วยเหลือเจ้าได้”

“เพียงเจ้าผู้เดียวจะช่วยเหลืออะไรได้กัน”

คำพูดของซิ่นเฉิงดูแคลนอยู่ไม่น้อย แต่เจี้ยนสือก็หาได้ถือสา หัวเราะในลำคอแล้วยกมือขึ้นชี้ที่หน้าตนเอง

“อย่าลืมสิว่าข้าเป็นใคร ข้าคือเจี้ยนสือ เทพอสูรผู้มีรูปลักษณ์เป็นงูจงอาง สิ่งใดที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้ผืนทราย เพียงเคลื่อนไหวเล็กน้อย ข้าก็รับรู้ได้ แม้แต่ฝีเท้าของกลุ่มคนที่อยู่ไกลไปหลายร้อยลี้ ข้าก็รับรู้ได้เช่นกัน แล้วเช่นนี้เจ้าจะพูดว่าข้าช่วยเหลืออะไรเจ้าไม่ได้อีกอย่างนั้นหรือ? ไม่แน่ว่าเผ่าของเจ้าอาจจะไม่ได้มุ่งหน้าลงไปทางใต้ก็เป็นได้”

ซิ่นเฉิงเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ เพราะเขาเองก็หาได้รู้แน่ชัดว่าเผ่าของเขามุ่งหน้าลงใต้ไปจริงหรือไม่ ในเมื่อเจี้ยนสือเสนอตัวมาถึงที่เช่นนี้ เขาก็จำต้องตอบรับเพื่อใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายแล้วล่ะ

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะยอมให้เจ้าไปด้วย แต่ขอบอกไว้ก่อน... หากทำรุ่มร่ามกับข้าอีก เจ้าได้กลายเป็นงูตากแห้งแน่”

เจี้ยนสือหัวเราะให้กับคำพูดนั้น ก่อนจะมองตามหลังซิ่นเฉิงที่ควบม้านำขบวนไป

ทำรุ่มร่ามกับเจ้าในยามนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อมีโอกาสเมื่อไร กลิ่นของเทียนอี้บนกายเจ้า ข้าจะกำจัดมันให้สิ้น...คอยดู
----------------------------------
หายไปนานมาก 555 ช่วงนี้อู้ๆ ค่ะ เป็นช่วงปิดต้นฉบับได้เรื่องนึงก็จะอู้ไปยาวๆ
เดี๋ยวหลังจากปิดเรื่องนี้แล้วก็จะอู้อีกเช่นกัน ฮา
คาดว่าอีก 3 ตอนจบ มีบทส่งท้ายนิดนึง ที่เหลือก็จะเป็นตอนพิเศษของพี่งูยาวๆ เลย
จะเอาลงให้อ่านกันส่วนนึงนะคะ เพราะเรื่องของพี่งูเนี่ย
เหมือนกับเรื่องขนาดกลางที่แยกออกมาอีกเรื่องเลยค่ะ รอกันเน้อ

สวัสดีปีใหม่ทุกท่านนะคะ ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้
ฝากติดตามต่อไปด้วยเน้อ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 27: ข้ารักเจ้า[03/01/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-01-2018 00:34:24
สวัสดีปีใหม่ค่า
ยังคงติดตามต่อไปจ้า
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 27: ข้ารักเจ้า[03/01/61]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 03-01-2018 07:35:59
กลับมาแล้วววว
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 27: ข้ารักเจ้า[03/01/61]
เริ่มหัวข้อโดย: VitamiN ที่ 03-01-2018 11:23:47
 :katai5:สวัสดีปีใหม่ค่าาาา
เฉิงเฉิงเอ้ยยย ยังจะให้เขาตามไปอีกเร้ออออ
แล้วมันก็ตัดกันไม่ขาดสิฟร้าาาา :serius2:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 27: ข้ารักเจ้า[03/01/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 03-01-2018 14:51:17
บทที่ 28: สิ้นเยื่อใยเสน่หา

กลิ่นบางอย่างหายไปจากโสตสัมผัสของเทียนอี้...

กลิ่นนั้น...ไม่ใช่กลิ่นทะเลทราย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของผืนทรายยังคงอบอวลอยู่รอบกายเขาเพราะบัดนี้เขาก็ยังอยู่กลางทะเลทราย แต่กลิ่นที่มันหายไปคือกลิ่นที่เขาคุ้นเคยต่างหาก

...กลิ่นของซิ่นเฉิง

เทียนอี้ใจหายอยู่ไม่น้อย เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะยอมปล่อยมือจากซิ่นเฉิงไปง่ายๆ เช่นนี้ และก็ไม่คิดเช่นกันว่าซิ่นเฉิงจะดื้อด้าน ดึงดันจะไปจากเขาให้จงได้ทั้งที่ในใจของชายหนุ่มเองก็มีเขาอยู่เต็มหัวใจ

มีเขาอยู่เต็มหัวใจ... ใช่ เทียนอี้มั่นใจเช่นนั้น หากซิ่นเฉิงไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อเขาแล้ว เหตุใดร่างกายจะเรียกร้องการสัมผัสจากเขาถึงเพียงนั้นเล่า

มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้ซิ่นเฉิงตัดสินใจเช่นนั้นแน่ และเทียนอี้ก็ค่อนข้างมั่นใจเสียด้วยว่าไม่ใช่เพราะเรื่องชีวิตของสมาชิกเผ่าทะเลทรายซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบิดาซิ่นเฉิง มันจะต้องเป็นเหตุผลที่มากกว่านั้น แต่เป็นเรื่องใด เทียนอี้ก็จนปัญญาที่จะตอบคำถามให้กับตนเองจริงๆ

แต่...จะเป็นเหตุผลใดก็ช่างมันเถิด ในเมื่อซิ่นเฉิงดื้อดึงที่จะไปจากเขา ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะดื้อดึงไม่ยอมให้ซิ่นเฉิงไปไหนบ้างก็แล้วกัน!

ตั้งแต่ถือกำเนิดเป็นเทพสวรรค์และเทพอสูรมา ไม่เคยมีครั้งใดที่เทียนอี้คิดจะแหกกฎสวรรค์อย่างจริงจังเท่าครั้งนี้ วูบหนึ่งคิดขึ้นมาว่าหากสบโอกาสเมื่อไร เขาจะหลบหนีออกจากกองทัพและตามซิ่นเฉิงไป ทว่าความคิดนั้นก็ต้องมลายกลายเป็นศูนย์เมื่อฉับพลันก็มีลางสังหรณ์ประหลาด

กลิ่นที่หายไป... ไม่ได้มีเพียงกลิ่นของซิ่นเฉิง แต่มีกลิ่นของ...

“ท่านแม่ทัพเทียนอี้!”

ยังคิดไม่ทันจบ เสียงเรียกของใครบางคนก็ดังขึ้น เทียนอี้เหลียวไปมองก็พบว่าเป็นแม่ทัพนายหนึ่งที่ดูแลกองทหารสังกัดจวนอื่น เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูตระหนกตกใจแล้ว เทียนอี้ก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ซึ่งก็จริงเสียด้วยเมื่อเทพอสูรตรงหน้าเอ่ยปากบอกออกมาทั้งที่เขายังไม่ได้ถาม

“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือหายตัวไป!”

กลิ่นที่หายไป...เป็นกลิ่นสาบงูของเจี้ยนสือ!

ตระหนักได้ในยามนี้นี่เอง พลันหัวคิ้วของเทียนอี้ก็ขมวดมุ่น ปากร้องถามออกมา

“หายไปไหน”
“ข้าก็ไม่รู้ ไม่มีผู้ใดรู้ เมื่อครู่ข้าให้พลทหารไปตามหาแล้ว ไม่เจอเลย”

เทียนอี้สูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะปล่อยมันออกมาเต็มแรง

หายไปไหนก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ...คงจะมีแต่เขากระมังที่รู้ว่าเจี้ยนสือหายไปไหน

เจ้างูเจ้าเล่ห์อย่างเจี้ยนสือจะไปไหนได้กันล่ะ นอกจากลอบติดตามซิ่นเฉิงไป

ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็จะไม่ยอมวางมือล่ะสินะ...

ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ถูกหมางเมินใส่ก็ไม่สน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้มา นั่นเป็นอุปนิสัยของสหายสนิทของเขา ทำไมเทียนอี้จะไม่รู้ แต่ถ้าหากว่าคนที่เจี้ยนสือติดตามไปนั้นเป็นผู้อื่นที่หาใช่ซิ่นเฉิง เขาก็คงจะไม่ร้อนใจอย่างเช่นตอนนี้ ก่อนที่จะโพล่งขึ้นมาทันควัน

“ข้าจะไปตามตัวเจ้านั่นกลับมา”

สิ้นเสียงก็หุนหันหมายจะไปขึ้นหลังม้า ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่ซิ่นเฉิงไปทันที ทว่าก็ต้องชะงักงันเมื่อหมิงจูและพ่อบ้านเหลียงที่ได้ยินเรื่องนี้เมื่อครู่รีบเร่งเข้ามาหาที่กระโจมเสียก่อน จังหวะเดียวกันกับที่เห็นเทียนอี้กำลังจะจากไปอีกคนพอดี เท่านั้นหมิงจูก็ร้องเรียกลั่น

“เจ้าจะไปไหนน่ะเทียนอี้!”

คนถูกเรียกหันมองเล็กน้อย แต่ก็ไม่วายกระโดดขึ้นหลังม้า

“ข้าจะไปตามเจี้ยนสือกลับมานำทัพ”
ตามเจี้ยนสือหรือตามผู้ใดกันแน่ เรื่องแค่นี้ เหตุใดหมิงจูจะดูไม่ออกว่าแท้จริงเทียนอี้กระวนกระวายใจเรื่องใด
“แล้วเจ้าจะทิ้งกองทัพไปอีกคนอย่างนั้นหรือ?”

คำถามนี้ทำให้เทียนอี้ที่เกือบจะบังคับม้าให้ควบออกไปหยุดความคิดไว้ทันควัน สายตาปราดมองไปยังหมิงจูที่เดินมาขวางอยู่ตรงหน้า ก่อนที่เทพอสูรตนนั้นจะพูดขึ้นมาอีก

“เจ้ากับเจี้ยนสือล้วนเป็นแม่ทัพใหญ่ เมื่อองค์เง็กเซียนมีพระบัญชาให้นำทัพไปปราบปีศาจบุตรของมังกรวารี ทัพเทพอสูรก็ย่อมต้องมีแม่ทัพใหญ่เป็นผู้นำ เจี้ยนสือจากไปก็ถือว่าหนีทัพ เหลือเพียงเจ้าที่ทุกชีวิตจะฝากฝังไว้ได้ แต่เจ้าก็จะไปอีกโดยไม่คิดถึงผู้อื่นที่อยู่เบื้องหลังเช่นนี้ มันใช้ได้หรือ?”

หมิงจูไม่ได้อยากจะต่อว่านักหรอก แต่ก็จำต้องพูดเพราะรู้ดีว่าเทียนอี้ไม่ได้หมายจะไปตามเจี้ยนสือกลับมาอย่างแท้จริง ที่จริงคือต้องการไปขัดขวางไม่ให้เจี้ยนสือเข้าใกล้ซิ่นเฉิงต่างหาก

“เพื่อมนุษย์คนเดียวแล้ว เจ้ายินดีที่จะทิ้งเหล่าทหารที่คอยรบเคียงข้างเจ้าตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นเทพสวรรค์ใช่ไหม”

แน่นอนว่าเทียนอี้มีคุณธรรมในใจ เขาย่อมไม่ทอดทิ้งผู้ที่ร่วมรบเป็นตายกับเขามาแน่ ต่างจากเจี้ยนสือที่แม้จะเก่งกาจเพียงใด แต่ก็คิดถึงประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก ในยามนี้ก็เช่นกัน ถึงขั้นทิ้งทหารสังกัดจวนตนให้เคว้งคว้าง ส่วนตนหลบหนีไปหามนุษย์ผู้นั้น ช่างเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ไร้คุณธรรมเสียจริง

เทียนอี้ตระหนักในคำพูดของรองแม่ทัพเทพอสูร แม้ว่าอยากจะตามไปขัดขวางเพียงใด แต่เมื่อคิดถึงหน้าที่ที่ตนต้องพึงกระทำแล้ว เขาก็ได้แต่นั่งนิ่ง กระทั่งหมิงจูพูดย้ำขึ้นมาอีก

“กองทัพของเราต้องการเจ้า...เทียนอี้ พวกเราจะได้กลับเป็นเทพสวรรค์อีกหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

เทียนอี้ปรายตามองหน้าสหาย ก่อนจะเหลือบมองไปยังเทพอสูรตนอื่นๆ ที่ทอดสายตาจับจ้องมายังเขานิ่ง ในแววตาของเทพอสูรเหล่านั้น...ล้วนแล้วมีประกายแห่งความหวัง

ดินแดนสวรรค์...

ดินแดนถิ่นกำเนิด...

ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะกลับไป รูปลักษณ์ที่น่ารังเกียจของเทพอสูรนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะสลัดทิ้ง สิ่งที่อยู่ในใจของเทพอสูรเหล่านี้ เทียนอี้รับรู้ดี ก่อนที่เขาจะยอมปล่อยมือออกจากบังเหียน ระบายลมหายใจออกมาอีกครา

“ข้าจะนำทัพเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
สุดท้ายก็เลือกที่จะปล่อยมือจากซิ่นเฉิง

หมิงจูมองสหายอย่างเบาใจที่เลือกทางนี้ แม้ว่าจะเห็นใจอยู่ไม่น้อยที่จำต้องสละความสุขเพื่อความถูกต้อง แต่นั่นคือสิ่งที่เทียนอี้ควรกระทำแล้ว

เทียนอี้ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับซิ่นเฉิงอีก... ถึงจะห้ามเจี้ยนสือไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ห้ามเทียนอี้ไว้ได้ ความลับที่ซิ่นเฉิงคือหลิวซูกลับมาเกิดนั้นต้องเป็นความลับต่อไป ไว้กลับไปเป็นเทพสวรรค์อีกครั้งได้เมื่อใด ค่อยบอกความจริงเรื่องนี้กับเทียนอี้ก็แล้วกัน
หมิงจูได้แต่คิดเช่นนั้นโดยหารู้ไม่เลยว่าในใจของเทียนอี้กำลังวางแผนการไว้

รบชนะ ปราบปีศาจได้ และได้พร... พรข้อนั้น เขาจะใช้มันเพื่อให้ได้อยู่กับซิ่นเฉิงชั่วนิรันดร์...



 
วันคืนผ่านไปจวบสัปดาห์แล้วที่ซิ่นเฉิงและพวกพ้องที่อ๋องเผ่าทะเลทรายส่งให้มาช่วยเหลือรอนแรมอยู่ในทะเลทรายเวิ้งว้างอย่างไม่รู้ทิศทาง แต่เป็นเพราะได้ความช่วยเหลือจากเจี้ยนสือ การเดินทางตามหาเผ่าของตนเองของซิ่นเฉิงจึงเป็นไปโดยง่ายกว่าที่ควรจะเป็น เพียงไม่กี่วันให้หลังจากนั้น ซิ่นเฉิงก็เผ่าของตนอีกครั้ง บิดาของเขาพาทุกชีวิตอพยพลงทางใต้ด้วยหมายจะหลบหนีเพราะเกรงว่าเทพอสูรจะตามมารังแกอย่างเช่นที่ใครต่อใครได้คาดการณ์ไว้ การตัดสินใจอันโง่เขลาทั้งหมดนั่นมิอาจบอกได้ว่าเป็นความผิดของบิดาที่กลัวเกรงจนอพยพไปไม่ถูกทิศเช่นนี้ แต่ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของซิ่นเฉิงเช่นกันที่ใจร้อน กระทำการบุ่มบ่ามโดยหาได้คิดถึงผู้อื่น ในยามนี้ ซิ่นเฉิงตระหนักซึ้งดีแล้วว่าตนควรวางตัวอย่างไร เพราะในเบื้องหน้าสืบไป เขาจะต้องเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของทุกคนในเผ่าแทนบิดา

กระนั้น การที่เขามาพบพานพี่น้องร่วมเผ่าอีกครั้งได้ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของเจี้ยนสือทั้งสิ้นที่ช่วยแกะรอยการเดินทางของเผ่าจากการสั่นสะเทือนของผืนทราย

รอยยิ้มประดับพรายบนใบหน้าคร้ามของมนุษย์หนุ่มยามได้พบเจอบิดาและน้องสาวฝาแฝด เขาโผกอดซิ่นจินอย่างคิดถึง โอบกอดเหล่าพี่น้องนักรบร่วมสาบานอย่างโหยหา เสียงร้องเรียกชื่อของบุรุษผู้นั้นดังไปทุกแห่งหน ไออุ่นแห่งครอบครัวหวนคืนกลับมา ทำเอาผืนทรายอันกว้างใหญ่นี้ไม่เคว้งคว้างอีกต่อไป

เจี้ยนสือได้เห็นรอยยิ้มของซิ่นเฉิงแล้วก็พึงใจนัก สิ่งนี้ล่ะที่เขาปรารถนาจะได้เห็น เพิ่งสำนึกตัวในครานี้ว่าตลอดมา รอยยิ้มของซิ่นเฉิงมีค่ามากกว่าอัญมณีเพียงใด

รอยยิ้มของหลิวซูก็เช่นกัน...

หากย้อนกลับไปได้ เขาจะเลือกทำให้หลิวซูได้แย้มยิ้มเพราะเขามากกว่าร่ำไห้ ทว่ากาลเวลาเปลี่ยนผัน อดีตมิอาจลบเลือนหรือแก้ไขได้อีกแล้ว เจี้ยนสือจึงได้แต่สาบานกับตนเองว่าต่อจากนี้ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ซิ่นเฉิงยิ้มให้เขาตลอดกาล

เสียงดนตรีพื้นเมืองของเผ่าทะเลทรายดังก้องไปรอบด้าน แสงจันทร์สาดส่องลงมายังผืนทราบ แปรเปลี่ยนให้ร่างอสุรกายของเจี้ยนสือเป็นเทพสวรรค์งดงาม เหล่ามนุษย์ที่หวาดกลัวเมื่อได้เห็นเขาในคราแรก บัดนี้กลับชื่นชมยินดีในรูปลักษณ์อันงดงาม เจี้ยนสืออดสูกับชะตากรรมของตนนัก ทว่าก็หาได้เก็บมาใส่ใจให้เป็นเรื่องใหญ่ เขาวางท่าทางนิ่งเฉย มือยื่นรับจอกสุราที่จากหัวบิดาของซิ่นเฉิงรินให้ยกขึ้นดื่มเป็นการตอบรับคำขอบคุณ ก่อนจะทอดสายตามองไปยังร่างสูงที่ร้องเล่นเต้นระบำกับเหล่าเด็กน้อยวัยซุกซนรอบกองไฟเป็นการเฉลิมฉลองที่อ๋องน้อยของเผ่าหวนคืนกลับมา

อ๋องน้อย... เมื่อมีศักดิ์นี้ติดตัวก็ย่อมแน่ว่าซิ่นเฉิงจะไม่กลับ

ซิ่นเฉิงในยามนี้ดูมีความสุขยิ่งนัก... มีความสุขเสียยิ่งกว่าอยู่ในจวนของเทียนอี้อีก ไม่ผิดแผกไปจากที่เขาคิดเลยว่าสถานที่ซึ่งเหมาะสมกับมนุษย์ผู้นั้นหาใช่สวนสวย แต่เป็นผืนทรายอันกว้างใหญ่

มองดูเสียเพลิน มุมปากก็เผลอหยักยิ้มขึ้นอย่างพึงใจ รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ซิ่นเฉิงก้าวอาดๆ มาทรุดตัวลงนั่งข้างกายเขา ยกถุงบรรจุน้ำดื่มขึ้นกรอกปากอั้กๆ ปล่อยให้เจี้ยนสือมองอย่างขบขัน

“แค่เต้นระบำเท่านี้ ถึงกับหมดเรี่ยวแรงเลยรึ?”

ซิ่นเฉิงวางถุงน้ำลง ยกมือขึ้นเช็ดที่มุมปากก่อนจะตอบรับกับคำพูดล้อเลียนนั้น

“หากเจ้าถูกเจ้าเด็กพวกนั้นเกาะแข้งเกาะขาไม่เลิกรา เชื่อว่าเจ้าก็คงมีสภาพไม่ต่างจากข้าเป็นแน่”

เจี้ยนสือหยักยิ้ม ดวงหน้าปรากฏเสน่ห์ที่ยากจะละสายตา แต่ไม่ใช่กับซิ่นเฉิง เพราะเขาทำเพียงชำเลืองมองครู่เดียวก็หันไปให้ความสนใจกับการดื่มน้ำดับกระหายต่อ ปล่อยให้คนมองได้มองต่อไปเงียบๆ

“แล้วเจ้าจะกลับคืนทัพเมื่อไร”
วางถุงบรรจุน้ำลงได้ ซิ่นเฉิงก็ออกปากถาม
“ถามราวกับว่าไม่อยากจะเห็นหน้าข้าแล้วอย่างนั้นล่ะ”
“หากข้าบอกว่าใช่ล่ะ”

ถูกซิ่นเฉิงหยอกเย้ากลับ เจี้ยนสือก็ทำหน้าไม่ถูก แต่เสี้ยวเวลาเดียวเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้ ก่อนจะหัวเราะในลำคอ

“คำตอบล่ะ?”
เจี้ยนสือทำเพียงชำเลืองมองเป็นคำตอบ ทำให้ซิ่นเฉิงเริ่มขมวดคิ้วและพอจะเดาอะไรๆ ขึ้นมาได้
“อย่าบอกนะว่า...เจ้าจะไม่กลับไปยังทัพแล้ว”

เป็นเช่นนั้น แค่สายตาที่เจี้ยนสือมองมา ซิ่นเฉิงก็อ่านออกจนถึงก้นบึ้งหัวใจ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาอย่างระอา

“เหตุผลที่เจ้าตามข้ามา คงไม่ใช่เพราะอยากจะมาช่วยข้าตามหาเผ่ากระมัง”

ในที่สุดก็รู้สักทีว่าเหตุผลที่เจี้ยนสือมาปรากฏกายอยู่ในทะเลทรายเวิ้งว้างนี้เป็นเพราะเขา เจี้ยนสือเองก็ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ในเมื่อ
คนตรงหน้ารู้หมดสิ้นแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายอีก

“เจ้าจะตามข้ามาด้วยเหตุผลใด ก็รู้แล้วมิใช่หรือว่าไม่ว่าอย่างไร ข้าก็มิอาจรักเจ้า?”

ซิ่นเฉิงเหนื่อยหน่ายกับการกระทำของเจี้ยนสือเหลือเกิน เขาว่าเขาบอกชัดเจนไปแล้วว่าหัวใจของเขามิอาจรักผู้ใดได้อีก เท่านี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?

ทว่า...เจี้ยนสือกลับตอบรับหน้าระรื่น

“ใช่ ข้ารู้”
“รู้... แล้วเหตุใดยังจะตามข้ามา”

เป็นสิ่งนี้ที่ซิ่นเฉิงสงสัยนัก ก่อนที่จะสะดุ้งน้อยๆ เมื่อฝ่ามือสากหนาของเจี้ยนสือเลื่อนมากอบกุมมือของเขาไว้ ซิ่นเฉิงหมายใจจะชักออกในทันที หากแต่อีกฝ่ายกลับกุมไว้แน่นพลางกระซิบเสียงพร่า

“เพราะข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้ารัก”

เรียวคิ้วสวยของคนฟังยิ่งย่นยู่มากขึ้นไปอีก
“แล้ว...”

“แต่ข้าต้องการให้ซูซูที่อยู่ในตัวเจ้ารักข้า”

ให้หลิวซูซึ่งอยู่ในรักก็หมายถึงต้องการให้เขารักนั่นล่ะ ซิ่นเฉิงนิ่งงัน ไร้ซึ่งคำพูดที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป เหนื่อยหน่ายใจกับการกระทำของเจี้ยนสือที่ตอแยไม่ลดละเหลือเกิน ที่ช่วยเขาตามหาเผ่าจนเจอก็นับว่าเป็นพระคุณอยู่หรอก แต่หากปล่อยให้เรื่องดำเนินต่อไปเช่นนี้ มีหวังในภายหน้า เจี้ยนสือคงจะนำความยากลำบากมาให้เขา... ไม่สิ พวกเขาสามคนอีกเป็นแน่

หากเป็นเช่นนั้น แล้วเขาจะยินยอมที่จะห่างกายเทียนอี้มาเพื่อการใด!?

ในยามนี้เองที่ชายหนุ่มชักมือออกจากการเกาะกุมสุดแรง เมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการ เขาก็รีบผุดลุกแล้วก้าวเท้ายาวๆ ออกไปจากวงล้อมของการเฉลิมฉลองทันที เจี้ยนสือมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วลุกขึ้นเดินตามไปติดๆ ก่อนที่จะมาชะลอฝีเท้าตรงที่พักสัตว์ ดวงตาคมทอดมองไปยังซิ่นเฉิงที่ร้อนรนปลดเชือกม้าตัวหนึ่งแล้วทำท่าจูงมาให้เขา

“ไป เจ้ามาจากที่ใดก็จงกลับไปที่นั่น”

น้ำเสียงกร้าวเล็ดลอดออกจากริมฝีปากหนา เจี้ยนสือมองใบหน้าคร้ามที่ฉาบพรายไปด้วยความกราดเกรี้ยวแล้วก็ปวดร้าวในอก ทว่าใบหน้ากลับมารอยยิ้มแค่นผุดพรายมาให้เห็น

“เมื่อข้าหมดประโยชน์ก็ผลักไส นี่สินะนิสัยมนุษย์”
“ต่อให้ข้าไม่ใช่มนุษย์ จะเป็นเพียงวิญญาณหรืออมนุษย์ชนิดใด ข้าก็ไม่ปรารถนาให้เจ้าอยู่ใกล้ๆ ข้า”

น้ำเสียงและแววตาของซิ่นเฉิงบ่งบอกชัดเจนว่าเขาพูดจริง เจี้ยนสือไม่อยากจะยอมรับเลยแม้แต่น้อย ความสุขที่อาบพรายชโลมใจเมื่อยามก่อนเหือดหายไปราวกับไอน้ำระเหย เขาพึงตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าในยามที่รักผู้ที่ไม่ได้รักตนนั้นช่างแสนเจ็บปวดเช่นไร ต่อให้ซิ่นเฉิงตัดสินใจถอยห่างจากเทียนอี้ แต่ก็หาได้มีที่ให้เขาแทรกแม้แต่น้อย

เจี้ยนสือก็ไม่ยอมขยับไปไหน ได้แต่แค่นเสียง มองหน้าของซิ่นเฉิงนิ่ง

“ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในใจของเจ้ามีแต่เทียนอี้ใช่ไหม”

ซิ่นเฉิงชะงัก สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง ว่าออกมาช้าๆ

“ใช่ ข้ารักเทียนอี้”

ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปกปิด เจี้ยนสือเองก็รู้ดีแก่ใจแต่ก็ยังออกปากถามให้ตนเองได้เจ็บช้ำ หยาดน้ำใสเอ่อคลอหน่วยตา รอบดวงตาและปลายจมูกแดงของแม่ทัพงูจงอางเรื่อขึ้นมาน้อยๆ ซิ่นเฉิงเห็นแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ ก่อนจะตรงไปหาและยื่นบังเหียนในมือส่งให้

“อย่าให้ข้ากับเจ้ามองหน้ากันไม่ติดเลยเจี้ยนสือ อย่างไรเสีย ข้าก็ยังอยากจะเป็นสหายกับเจ้า”

หมดหนทางที่จะดึงดันอีกแล้ว แต่เจี้ยนสือกลับไม่ยอมรับ ดื้อรั้นดึงดันอย่างสุดความสามารถ ครั้นเห็นซิ่นเฉิงพูดทิ้งท้าย...

“บุญคุณที่เจ้ามีต่อข้า ชาตินี้ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะชดใช้ให้เจ้าแน่ กลับไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด”

...จากนั้นก็หันหลังให้และเดินจากไป เท่านั้นเจี้ยนสือก็ตะโกนสุดเสียง

“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็รักเจ้า ต่อให้เจ้าเสือกไสไล่ส่ง ข้าก็รักเจ้า ได้ยินไหมหลิวซูว่าข้ารักเจ้า!”

ความเจ็บปวดของเขาพรั่งพรูออกมาเป็นถ้อยคำมากมาย สายตาที่จับจ้องยังซิ่นเฉิงนั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่เสน่หา แต่ทว่าก็แฝงไปด้วยความเจ็บปวดสุดจะพรรณนา ขณะที่ซิ่นเฉิงได้ยินแล้วก็ชะงักขาข้างที่ก้าวเดินและนิ่งงันไป

หลิวซูอย่างนั้นหรือ?... เจ้างูคงจะลืมไปแล้วว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นหาใช่คนเดิมอีกต่อไป

ไม่ใช่แม้กระทั่งใบหน้า...

ไม่ใช่แม้กระทั่งรูปร่าง...

ไม่ใช่แม้ชื่อแซ่และชาติกำเนิด...

เพราะชาตินี้นั้น เขาคือซิ่นเฉิงต่างหาก

“ข้าไม่ใช่หลิวซูของเจ้า”

ซิ่นเฉิงว่าเสียงเรียบ ย้ำความจริงอีกครั้ง สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เป็นการตอกย้ำให้เจี้ยนสือตระหนักได้ว่าไม่ว่าอย่างไร ในชาตินี้นั้นเขาก็มิอาจแทนที่เทียนอี้ได้ ในใจของคนตรงหน้าหาได้มีเขาอยู่สักนิด วันวานเป็นอย่างไร ชาติก่อนๆ นั้นจะรักมากแค่ไหน แต่ก็สายไปเสียแล้วที่จะครอบครองหัวใจของอีกฝ่ายดังเดิม

ใช่... บุรุษตรงหน้าหาใช่หลิวซู และหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอกแกร่งของซิ่นเฉิงนั้นก็หาได้มีใจเสน่หาเขาสักนิด

“ข้าไม่ได้รักเจ้า”

เป็นอีกประโยคหนึ่งที่ฉุดกระชากดวงใจของเจี้ยนสือให้แตกสลาย ความเจ็บปวดพร่างพรายจนแทบมิอาจจะหยัดยืนได้อยู่ ทว่าน้ำตาที่ควรจะหลั่งออกมานั้นกลับไม่มีสักหยด มีแต่ความโกรธเกลียดที่บังเกิดขึ้นในใจ

เขาสูญเสียหลิวซูไปแล้ว...ตลอดกาล

ไม่... จะไม่มีทางเป็นอย่างนั้น ไม่มีวันที่ข้าจะยกเจ้าให้ใครเป็นแน่ ไม่มีวัน!

ด้านมืดในจิตใจพร่างพรายเกาะกุมจิตใต้สำนึกอยู่หลายส่วน เจี้ยนสือจะระบายความรู้สึกนั้นออกมาด้วยการแสยะยิ้ม

“เจ้าคงจะยังไม่รู้ว่าหากปราบปีศาจซึ่งเป็นบุตรของเทพมังกรวารีตนนั้นได้ เหล่าเทพอสูรจะได้สิ่งใดเป็นการตอบแทน”

ฉับพลันก็พูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา แม้จะสงสัย แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้ถาม ได้แต่หันกลับมามองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ปล่อยให้เจี้ยนสือได้พูดต่อ

“พร... องค์เง็กเซียนจะทรงประทานพรให้พวกข้าหนึ่งประการ”

แล้วอย่างไรล่ะ... ซิ่นเฉิงอยากจะถามนัก แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปาก เจี้ยนสือก็ก้าวเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“เจ้าลองช่วยข้าคิดดูหน่อยสิว่าระหว่างใช้พรนั้นบังคับจิตใจเจ้าให้มารักข้า กับใช้พรนั้นสังหารเทียนอี้ให้สิ้น ปล่อยให้เป็นวิญญาณล่องลอยไปทั่ว ข้าจะใช้มันกับเรื่องไหนดี”

ซิ่นเฉิงถึงกับใบหน้าดำคล้ำไปหลายส่วนในทันที จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้เพียงฝ่ามือเขม็ง ก่อนที่จะแค่นเสียงโกรธขึ้งออกมา

“เจ้ามันชั่วช้า ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมากพิษสง เจ้าเล่ห์เพทุบาย กล้ากระทำการสกปรกต่ำช้าได้ถึงเพียงนี้”

เจี้ยนสือยกยิ้มรับคำบริภาษ ดวงตาประกายวาวความเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม

“เหตุนี้อย่างไรเล่า ข้าถึงได้มีรูปลักษณ์เป็นงู” จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งเชยปลายคางของอีกฝ่ายขึ้นอย่างถือวิสาสะให้ซิ่นเฉิงสบตาตนมากกว่าเดิม ก่อนที่ริมฝีปากจะเผยอ เปล่งเสียงราบเรียบออกมา “แต่ไม่ว่าข้าจะร้ายกาจเพียงใด ข้าก็ยังรักเจ้า”

เยื่อใยเสน่หาที่เจี้ยนสือมอบให้กับหลิวซูนั้นคงจะตัดไม่ขาดโดยง่ายกระมัง...

แต่สำหรับซิ่นเฉิง มันหมดสิ้นตั้งแต่หลุดปากบอกว่าจะสังหารเทียนอี้แล้ว แม้แต่ในยามนี้ ความเป็นสหายก็ยังไม่เหลือไว้

“หากเจ้าอยากจะให้ข้าทดแทนคุณให้ ก็จงเอาชีวิตข้าไปเลย ข้ากับเจ้าจะได้จบสิ้นกันเสียที!”

ซิ่นเฉิงหมดความอดทน ตะคอกออกมาสุดเสียง ก่อนจะปัดมือของเจี้ยนมือออก ทำให้อีกฝ่ายมองหน้าเขาแล้วหลับตาลงช้าๆ
เพื่อที่จะได้หมดทุกเยื่อใยเสน่หา เจ้าถึงกับยอมเอาชีวิตเข้าแลกเชียวหรือ?

“เจ้าไปเถิด กลับไปยังที่ของเจ้า อย่าได้มาข้องเกี่ยวกับข้าอีกเลย”

มนุษย์หนุ่มว่าเสียงแผ่ว เขาเหนื่อยแล้ว ทั้งเจี้ยนสือ ทั้งเทียนอี้ ไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับผู้ใดแล้ว เจี้ยนสือเองก็คิดที่จะปล่อยวางในยามนี้เช่นกัน พยักหน้ารับ ยอมล่าถอยไปแต่โดยดี ฉับพลันก็กระโดดขึ้นหลังม้า ทอดสายตามองไปยังซิ่นเฉิงที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยความเจ็บปวดอีกเป็นครั้งสุดท้าย

“แม้ข้าอาจจะรักเจ้าในวันที่สูญเสียเจ้าไปแล้ว แต่จงจำไว้ วันใดที่เจ้าปรารถนาจะอยู่เคียงข้างข้าขึ้นมา ขอเพียงบอกแค่คำเดียว เมื่อนั้นข้าจะไม่ละเลยเจ้าอีก”

คนฟังได้แต่ครางรับเสียงแผ่วในลำคอ ปล่อยให้เจี้ยนสือได้ควบม้าออกห่างไป

จบเสียที...

ความสัมพันธ์ที่สวรรค์ลิขิตให้ต้องทนทุกข์ทรมานร่วมกันมันจบลงเสียที...

ทว่า...คงไม่ได้เป็นดั่งใจนึกนัก เพราะพอเจี้ยนสือควบม้าออกไปได้ไม่เท่าไร พลันผืนทรายก็สั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ บางส่วนยุบยวบลงไปเป็นรูโบ๋ขนาดใหญ่ ซิ่นเฉิงมิอาจยืนหยัดอยู่บนพื้นได้โซซัดโซเซหาที่พยุงตนเองเป็นพัลวัน ขณะที่หูก็ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของบรรดาพี่น้องในเผ่าลอยตามมาให้ได้ยิน

มนุษย์เหล่านั้น...หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออาเพศใด จะมีก็แต่เจี้ยนสือเท่านั้นที่รับรู้ได้

นั่นมัน...!

เขาประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้วว่าสิ่งที่อยู่ใต้ผืนทรายนั้นคืออะไร ก่อนจะรีบควบม้ากลับมาดึงซิ่นเฉิงให้ขึ้นขี่ไปด้วยกัน

“มันเรื่องอันใดกัน!?”

ซิ่นเฉิงร้องถามเสียงดัง ใจไม่คิดหรอกว่าเจี้ยนสือจะรู้ ขณะที่เจี้ยนสือขมวดคิ้วย่นยู่ เนื่องจากจำการเคลื่อนไหวของ ‘บางสิ่ง’ ภายใต้ผืนทรายได้ดีว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวของ...

“บุตรของเทพมังกรวารี...”

น้ำเสียงแหบห้าวหลุดออกจากริมฝีปากหนา ซิ่นเฉิงขมวดคิ้วมุ่นไปครู่ ก่อนที่จะเบิกตาโพลงในเวลาต่อมาเมื่อเจี้ยนสือขยายความ

“ปีศาจมังกรที่พวกตามล่าอยู่ มันอยู่ที่นี่แล้ว”
------------------------------------
มาอัปไวหน่อย ให้เรื่องมันจำนวนตอนเท่ากับเว็บอื่นๆ ค่ะ ใกล้จบแล้ว ฝากด้วยเน้อ

ลบข้อความการประกาศขายนิยายออกนะคะ
เรื่องยังอยู่ห้องนิยาย นิยายยังลงไม่จบ ห้ามประกาศขายในกระทู้ทั้งสิ้น

BaoBao
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 28: สิ้นเยื่อใยเสน่หา[03/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 04-01-2018 23:05:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 28: สิ้นเยื่อใยเสน่หา[03/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-01-2018 23:47:28
 :hao7: o13 :hao7:



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 28: สิ้นเยื่อใยเสน่หา[03/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-01-2018 13:51:12
เจ้าหมามาช่วยน้องไวๆหน่อยยยยย รีบมาาาาา  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 28: สิ้นเยื่อใยเสน่หา[03/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 08-01-2018 22:49:13
บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[1]

ตั้งแต่เกิดมา ซิ่นเฉิงหาได้เคยหวาดกลัวสิ่งใดเท่ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้านี้มาก่อน ดวงตาที่ทอดมองไปยังเหล่าพี่น้องชายหญิง ลูกเด็กเล็กแดง และคนเฒ่าคนแก่อันเป็นสมาชิกเผ่าของตนพากันวิ่งหนีตายจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เขาสับสนจนไม่รู้ว่าควรจะกระทำสิ่งใดก่อนดี ได้สติกลับคืนก็เมื่อเจี้ยนสือร้องบอกเสียงเครียด

“บอกให้คนของเจ้ามุ่งหน้าหนีไปยังทางเหนือ ทางนั้นมีกองทัพเทพอสูรอยู่!”

ในยามนี้คงต้องพึ่งเหล่าเทพอสูรให้ช่วยเหลือ สิ้นเสียง เจี้ยนสือก็ทิ้งตัวลงจากหลังม้า ยื่นบังเหียนให้ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

“ไป! ข้าจะไปสกัดมันไว้ พวกเจ้ารีบไป!”

ไม่พูดเปล่า ยังชักกระบี่จากข้างเอวออกมากระชับในมือมั่น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตนจะต้านทานไว้ก่อนหากเกิดเรื่องเลวร้ายกว่านี้ขึ้น

ซิ่นเฉิงพยักหน้ารับ ไม่รั้งรออีกต่อไป ควบม้าห้อตะบึงไปยังลานทรายเบื้องหน้า ปากร้องตะโกนก้อง
“ขึ้นม้า! มุ่งหน้าขึ้นเหนือ! ไปหากองทัพเทพอสูร! ขึ้นไปทางเหนือเร็วเข้า!”

เหล่านักรบเผ่ารับรู้ได้ทันทีว่าจะต้องทำหน้าที่ปกป้องดูปกป้อง ต่างร้อนรนพากันหาพาหนะเป็นการใหญ่ ขณะเดียวกัน พวกคนที่มิอาจหาพาหนะใดได้ก็วิ่งรี่ขึ้นไปยังทางเหนือ ตามแสงสกาวของดวงดาราที่ทอประกายอยู่เหนือฟากฟ้า

“ซิ่นจิน! เจ้ากับท่านพ่อรีบไป!”
เมื่อตามหาบิดาและน้องสาวฝาแฝดที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่เจอ ซิ่นเฉิงก็รีบสละอาชาไนยที่ตนควบอยู่ให้กับน้องสาว หญิงสาวซึ่งโอบประคองบิดาอยู่มองแฝดผู้พี่อย่างเป็นกังวล

“แล้วท่านพี่ล่ะ”
“ข้าจะตามไป รีบพาท่านพ่อไปก่อน”

ซิ่นเฉิงว่า มือดึงเอาดาบวงพระจันทร์ที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมากระชับไว้ทั้งสองมือ แต่...คำว่า ‘จะตามไป’ ของซิ่นเฉิงนั้นหาได้น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ ในฐานะหัวหน้านักรบของเผ่า มีหรือที่เขาจะยินยอมตามไปโดยง่ายถ้าหากพี่น้องของเขายังไม่ปลอดภัย

ซิ่นจินหวั่นใจยิ่งนัก เพิ่งได้พบพานก็มีแววจะต้องพลัดพรากอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?
“แต่ท่าน...”
“ข้าบอกให้ไป!”

รู้ว่าน้องสาวจะรั้งตนไว้ ซิ่นเฉิงจึงแผดเสียงสั่ง ซิ่นจินปิดปากสนิท ขณะที่บิดาซึ่งมองดูอยู่รีบร้องบอก

“รีบไปกันเถิดซิ่นจิน ประเดี๋ยวพี่เจ้าจะตามไป”

ในเมื่อบิดาเป็นคนพูดก็มิอาจจะขัดได้อีกต่อไป ซิ่นเฉิงรีบถลาเข้ามาช่วยผู้เป็นน้องประคองบิดาขึ้นหลังม้า ก่อนจะดันตัวนางให้ขึ้นซ้อน

“ซิ่นเฉิง...”

ขึ้นมาได้ก็เป็นบิดาที่เอ่ยเรียกเขา ทันทีที่หันไปมองก็พบว่าบิดามีสีหน้ากลัดกลุ้มอยู่ไม่น้อย เดาไม่ยากว่าภายในจิตใจของเขาเป็นกังวลยิ่งว่าจะไม่ได้เห็นหน้าบุตรชายอีก ซิ่นเฉิงก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าหากตนอยู่รั้งที่นี่เพื่อถ่วงเวลาให้ผู้อื่นหนี ตนจะมีโอกาสได้พบหน้าครอบครัวอีกหรือไม่ แต่กระนั้นก็ว่าด้วยน้ำเสียงขึงขัง

“ท่านพ่อ... ซิ่นจิน... ดูแลตนเองด้วย”

จากนั้นก็ตีเข้าที่บั้นท้ายของม้าเต็มแรงเพื่อให้มันออกวิ่ง ทอดสายตามองชายและหญิงที่รักยิ่งห่างออกไปอีกทางได้ครู่ ซิ่นเฉิงก็หันหน้ามาประจันกับปีศาจที่โผล่มาทำลายความสงบสุขโดยไม่ทันตั้งตัว ขณะที่เหล่านักรบคนอื่นๆ เองก็สละม้าให้เหล่าเด็กและผู้เฒ่าใช้เพื่อหลบหนี

ในเวลานี้... ผืนทรายยังคงสั่นสะเทือนไปทั่ว บางส่วนยุบฮวบเป็นหลุมโพรงใหญ่ สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับบรรดามนุษย์ที่ไม่เคยเจอะเจอกับปีศาจได้เป็นอย่างยิ่ง บ้างก็มีสีหน้าซีดเผือด บ้างก็มีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด พากันหาที่หยัดยืนให้อยู่กันเป็นพัลวัน ขณะที่สายตาก็สอดส่องไปทั่ว ด้วยไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ปีศาจตนนั้นจะโผล่มา

จะมีก็แต่เจี้ยนสือเท่านั้นที่ไม่ตระหนกตกใจใดๆ ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย จ้องมองการเคลื่อนไหวของผืนทรายที่จู่ๆ ก็ค่อยๆ หยุดการเคลื่อนไหวไป ทว่า...ยังมิอาจวางใจได้ เจี้ยนสือนิ่งงันเพื่อสัมผัสถึงการสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า ก่อนที่จะร้องบอกเสียงดังเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

“ถอยไป!”

เป็นการร้องบอกแก่มนุษย์ซึ่งเป็นนักรบเผ่าทะเลทรายซึ่งอยู่เยื้องไปทางขวามือไม่ไกลนัก หากแต่ไม่ทันการณ์ เพราะทันทีที่เขาร้องบอกเช่นนั้น แรงดันมหาศาลก็พุ่งทะลักผืนทรายขึ้นสู่ท้องฟ้าจนกระจายไปทั่ว พร้อมกับร่างของเหล่ามนุษย์ที่พวยพุ่งสู่ฟากฟ้า ตามมาด้วยเงาของสัตว์ขนาดใหญ่ที่โผทะยานขึ้นมา ก่อนที่เสียงกรงเล็บตวัดผ่านอากาศดังฉับจะดังแทรกขึ้นเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจระคนเจ็บปวดของผู้ถูกทะลวงร่าง

“อ๊าก!”

หยดโลหิตสาดกระเซ็นเป็นสาย ซึมลงสู่ผืนทรายท่ามกลางความประหวั่นพรั่งพรึงของเหล่ามนุษย์ ปีศาจตนนั้น...เป็นมังกรเกล็ดสีดำสนิท ดวงตาสีแดงดั่งเพลิงพิโรธ ครั้นมันได้กระซวกร่างของมนุษย์เหล่านั้นแล้ว มันก็กระชากเอาก้อนเนื้อสีแดงสดจากอกข้างซ้ายของมนุษย์เหล่านั้นโยนเข้าปาก ส่งเสียงครางฮืมในลำคออย่างพึงใจ ปล่อยร่างไร้วิญญาณให้ร่วงสู่พื้นอย่างไม่ไยดี

ซิ่นเฉิงตัวแข็งค้างเป็นหิน ความกล้าหาญที่เคยมีมากมายก่อนหน้ามลายหายไปสิ้น เหงื่อกาฬผุดไหลไปทั่วร่าง มองปราดเดียวก็รู้เลยว่ามิอาจเอาชนะปีศาจตนนี้ได้ ขณะที่ร่างของเจ้าปีศาจมังกรตนนั้นค่อยๆ ระเหยกลายเป็นไอและหดย่อลงมาอยู่ในร่างมนุษย์
ผิวกายสีดำทะมึน ดวงตาสีแดง ศีรษะมีเขายาวแหลมคม... ไม่ผิดแน่ บุรุษตรงหน้าเป็นร่างจำแลงของปีศาจมังกรตนนั้น!

ปีศาจมังกรเอียงคอสองสามครั้งราวกับยืดเส้นยืดสาย ก่อนที่แสยะยิ้มพรายจนเห็นฟันสีขาวที่ยังเต็มไปด้วยคราบเลือด
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ท่านแม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือ”

เสียงแรกที่เอ่ยออกมาคือการทักทายอดีตเทพสวรรค์อย่างเจี้ยนสือที่อยู่ไม่ไกล ใบหน้าคร้ามของคนถูกทักนั้นแลตึงเครียดขึ้นหลายส่วน พลันครางเรียกอีกฝ่ายออกมาบ้าง
“ม่านฉี...”

คนถูกเรียกเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย “ผ่านไปหลายร้อยปี ท่านก็ยังจำได้ดีว่าข้าเป็นใคร”

เหตุใดจะจำไม่ได้กันล่ะ ก็ในเมื่อบุรุษผู้นี้คือตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาถูกลงโทษจนตกสวรรค์ กลายเป็นเทพอสูรนี่!

แต่จะโทษว่าเป็นความผิดของม่านฉีผู้เดียวก็หาได้ถูกต้อง เป็นเขาเองต่างหากที่ชักชวนเทียนอี้ให้ปล่อยม่านฉีไป ด้วยเห็นว่าเป็นบุตรชายของเทพมังกรวารีอันเป็นสหาย โดยหาได้คิดว่าการที่ม่านฉีสังหารมนุษย์นั้นเป็นเพราะต้องการกินหัวใจเพื่อเสริมสร้างตบะให้แก่ตน

แท้ที่จริงแล้ว ม่านฉีต้องการเป็นใหญ่ในสามโลกภูมิหรอกหรือ!?

ไม่ต้องให้ผู้ใดมาอธิบาย เจี้ยนสือก็รับรู้ได้จากสิ่งที่เห็น เทพสวรรค์นั้น หากมีใจสกปรก ถูกความมืดเข้าครอบงำจนกลายเป็นปีศาจ ย่อมต้องการพลังงานจากมนุษย์เพื่อเสริมสร้างให้ตบะของตนแก่กล้า พลังอำนาจใดเล่าที่จะเพิ่มพูนขึ้นมาได้ในเพียงเวลาไม่กี่ร้อยปีเท่ากับการกินหัวใจของมนุษย์ ให้มาบำเพ็ญตบะเฉกเช่นเทพเซียนน่ะหรือ? ม่านฉีไม่ทำเช่นนั้นหรอก หากคิดจะทำตั้งแต่แรกก็คงจะไม่ลงมือสังหารมนุษย์เช่นนี้

เจี้ยนสือตระหนักได้ในครานี้ว่าเมื่อครั้งนั้น เขาไม่น่าเห็นแก่ความเป็นสหาย หว่านล้อมเทียนอี้ให้ช่วยเหลือบุตรมังกรวารีตนนี้เลย ดูตอนนี้สิ... เหลือคราบเทพอันใดอยู่อีกเล่า มีแต่ความเป็นปีศาจเท่านั้นที่พร่างพรายไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“เป็นอะไร แค่เห็นหน้าข้าก็ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือ?”
เป็นม่านฉีที่ทำลายความเงียบขึ้นมา เจี้ยนสือกดเสียงต่ำ
“เพราะละแวกนี้มีบ่อน้ำสินะ เจ้าถึงโผล่มาได้”
“เป็นเช่นนั้น ถึงตอนนี้จะเป็นปีศาจ แต่ข้าก็เป็นมังกรวารี มังกรน้ำก็ต้องพึ่งพาน้ำ”

เจี้ยนสืออดตำหนิตนเองไม่ได้เลยที่ไม่ฉุกคิดถึงเรื่องนี้ ในใจเอาแต่คิดที่จะตอแยซิ่นเฉิงจนลืมไปหมดสิ้นว่าเส้นทางที่พวกเขามุ่งหน้ามานั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด พวกมังกรวารีเหล่านี้ หากอยู่ใกล้แหล่งพลังงานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือปีศาจก็จะมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว

“เจ้าต้องการสิ่งใด”

อันที่จริง ใจของเจี้ยนสืออยากจะร้องบอกให้ซิ่นเฉิงรีบหนีไปมากกว่า ทว่าก็เกรงว่าจะทำให้ม่านฉีปรี่เข้าไปทำร้ายได้
ทำร้ายมนุษย์คนอื่น เขาจะไม่ใส่ใจ แต่ซิ่นเฉิง... อย่างไรก็ยอมให้ทำอะไรไม่ได้เป็นอันขาด!

“ข้าต้องการสิ่งใดงั้นหรือ?” ม่านฉีทวนคำถาม แค่นหัวเราะออกมา “ท่านก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าข้าต้องการสิ่งใด”

หัวใจของมนุษย์...

เจี้ยนสือรู้แล้ว แต่กลับเงียบงัน ปล่อยให้ม่านฉีได้พูดต่อ

“คราแรก ข้าก็หมายจะรอให้พวกมนุษย์โง่เขลาเหล่านี้ไปดื่มน้ำที่ข้าปล่อยพิษไว้ให้เป็นอัมพาตเสียก่อน มนุษย์ที่ดิ้นรนขัดขืนตอนถูกข้าควักหัวใจนั้น รสชาติไม่โอชาเท่าใดนัก สู้ให้พวกมันนอนนิ่งๆ แล้วค่อยควักหัวใจไม่ได้ แต่เห็นทีคงจะรอไม่ไหว ได้ยินว่ากองทัพของเหล่าเทพอสูรมุ่งหน้ามาหาข้าแล้ว แต่ก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เจอท่านที่นี่”

พูดมาอย่างนี้... ถ้าอย่างนั้นบ่อน้ำที่เทียนอี้เคยดูแลอยู่ วันดีคืนดีก็เกิดมีพิษก็คงเป็นเพราะม่านฉีนี่เอง

เจี้ยนสือหน้าดำทะมึนไปเสียเก้าส่วน เปล่งเสียงแข็ง

“หากเจ้าไม่หยุดคิดร้าย ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า”
“ไม่ละเว้น? หึ ต่อให้ข้าไม่คิด พวกท่านก็ไม่ละเว้นข้าอยู่ดี ได้ยินว่าองค์เง็กเซียนฮ่องเต้จะประทานพรให้พวกท่านคนละข้อหากสังหารข้าได้มิใช่หรือ? แล้วมีเหตุผลใดกันที่ท่านจะต้องละเว้นข้าด้วยหากหนทางกลับคืนสู่สวรรค์คือการปลิดชีพข้า”

เจี้ยนสือไม่เถียง ที่ม่านฉีรู้เช่นนี้ก็ไม่แปลก คำสั่งสวรรค์เป็นดั่งคำประกาศิต องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ตรัสออกมาเพียงประโยคเดียวก็ล่วงรู้กันทั้งสวรรค์และปรโลก ม่านฉีจึงหมายจะคิดชิงลงมือก่อนเป็นแน่

“แต่ก่อนที่ข้าจะลงมือกับท่าน ก็คงจะต้องลงมือกับเหยื่อเสียก่อน”
เจี้ยนสือเสียวสันหลังวาบไปทั้งร่าง หันไปมองยังซิ่นเฉิงอย่างรวดเร็ว ปากพลันร้องอ้าออกไปด้วยรู้ว่าม่านฉีหมายจะกระทำสิ่งใด
“ซิ่นเฉิง! หนีไป!”

ตัวปรี่เข้าไปหายังม่านฉีแล้ว ซิ่นเฉิงก็ได้สติ ร้องบอกพี่น้องของตนอย่างร้อนรนเช่นกัน

“วิ่ง! วิ่งไป! อย่าหยุดเป็นอันขาด!”

บุรุษฉกรรจ์ทุกชีวิตในที่นั้นต่างพากันจ้ำอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต ขณะที่เจี้ยนสือพุ่งเข้าสกัดปีศาจมังกรวารีไว้ ทว่า...สกัดไปแล้วจะได้ผลอะไร ในเมื่อบัดนี้เจี้ยนสือไร้ซึ่งอิทธิฤทธิ์ จะมีก็แต่เพียงวิทยายุทธ์ที่ติดตัวมาด้วยเท่านั้น เพียงตวัดดาบเข้าหา ม่านฉีก็สะบัดมือตัดในอากาศ ก่อเกิดเป็นพายุทรายขนาดย่อมพัดร่างของเจี้ยนสือกระเด็นไปอีกทาง ทว่าเจี้ยนสือไม่ยอมแพ้เพียงเท่านั้น รีบม้วนตัวผุดลุกขึ้นมา สวนแทงดาบไปยังร่างของอีกฝ่าย คมดาบตวัดผ่านผิวเนื้อ หยดโลหิตสีดำไม่ต่างหมึกปริซึม ม่านฉีหมุนกายหลบ ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นมา

“เจ้ามันแส่ไม่เข้าเรื่อง!”

ไร้ซึ่งคำพูดแสดงถึงความนับถือเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไป แต่เทพอสูรงูจงอางหาได้สนใจสิ่งนั้นแล้ว สบโอกาสก็พุ่งเข้าหา ตวัดดาบฟาดฟันไม่บันยะบันยัง ไม่ใคร่สนใจว่าร่างของอดีตเทพในยามนี้จะถูกทำลายสิ้นหรือไม่ ในใจของเขาคิดแต่เพียงถ่วงเวลาให้ซิ่นเฉิงได้ไปหาเทียนอี้เท่านั้น

ฝ่ายม่านฉีเห็นเหยื่อของตนกำลังจะหลบหนีไปก็หมายจะจัดการเจี้ยนสือให้สิ้น ทว่า...แม้จะมีซึ่งเพียงวิทยายุทธ์ติดตัว มิอาจเหาะเหินเดินอากาศได้ดั่งเก่า แต่แม่ทัพสวรรค์ก็คือแม่ทัพสวรรค์ จะหลบหลีกหรือใช้อิทธิฤทธิ์ใดปัดป้องให้เจี้ยนสือถอยห่าง อีกฝ่ายก็พุ่งทะยานเข้ามาอย่างเต็มกำลัง

เส้นผมสีดำปลิวไสวทุกครั้งที่เคลื่อนไหว เสียงคมดาบหวดในอากาศดังขึ้นทุกครั้งที่ก้าวย่าง ม่านฉีสบถออกมาอย่างหัวเสียที่มิอาจเข้าถึงมนุษย์พวกนั้นได้ จังหวะหนึ่งที่ถูกคมดาบเฉือนเข้าที่แขนอีกข้าง ม่านฉีก็สะบัดแขนเต็มแรงจนเจี้ยนสือถลาถอยไปอีกทาง

“บัดซบ!” มองโลหิตของตนแล้ว ดวงตาสีแดงก็ทวีมากขึ้นกว่าเดิม พลันแค่นเสียงต่ำ “เป็นเจ้าที่แส่เข้ามา แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่บุญคุณที่เจ้ามีต่อข้าแล้วกัน!”

อุตส่าห์คิดแล้วว่าจะปล่อยเจี้ยนสือไปก่อนเพื่อตอบแทนบุญคุณที่เคยเป็นตัวตั้งตัวตีในการเปิดช่องให้เขาหลบหนี แต่ในเวลานี้กลับลืมสิ้นแล้ว สิ้นเสียงก็กางแขนทั้งสองข้างออก ค่อยๆ ยกขึ้นในอากาศทีละน้อย พลันผืนทรายก็สั่นสะเทือนไปทั่วทุกอณู ก่อนที่อมนุษย์เรือนกายสีดำสนิทจะผุดพรายขึ้นมา เจี้ยนมือมองแล้วก็เบิกตาโต

อมนุษย์เหล่านี้... ไม่ใช่ว่าเป็นสมุนของม่านฉีหรอกนะ!?

ไม่ต้องรอให้ม่านฉีให้คำตอบ เจี้ยนสือก็รู้แล้ว เขาสังหรณ์ใจไม่ดีทันควัน มองหน้าปีศาจมังกรวารีที่แสยะยิ้มพรายอย่างมีชัย

“ลองดูว่าเจ้าจะปกป้องมนุษย์พวกนั้นได้หรือไม่!”

พลันก็แปรเปลี่ยนร่างเป็นมังกรตัวใหญ่ยักษ์ มุดดำดิ่งลงไปในผืนทรายให้เจี้ยนสือได้พรั่นพรึง

ไม่ว่าอย่างไร...

ไม่ว่าอย่างไรก็จะสกัดไว้ให้ได้ ไม่มีวันให้ตามซิ่นเฉิงไปได้แน่!

เสียงบางอย่างที่ลอยมาตามสายลมในยามค่ำคืนนั้นทำให้เทียนอี้ซึ่งควบม้านำทัพฝ่าทะเลทรายชะงักบังเหียน หยุดนิ่งเพื่อฟังเสียงนั้น ขณะที่หมิงจูที่ควบม้าไล่หลังมาขยับเข้ามาขนาบข้าง ร้องถามอย่างสงสัย

“มีสิ่งใดหรือ?”

เทียนอี้ไม่ตอบสิ่งใด ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้เงียบเสียงก่อน เท่านั้นรอบข้างก็ไร้ซึ่งสรรพเสียง ไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหว ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงขึ้นมา

“เจ้าได้ยินไหม”
“ได้ยิน? ได้ยินสิ่งใด”

เทียนอี้อยากตอกกลับนักว่า ‘ร่างเทพอสูรของเจ้าเป็นสุนัขจิ้งจอกแท้ๆ ไยหูถึงได้ไม่ดีเช่นนี้’ ทว่าก็หาใช่เวลาที่จะพร่ำพูดเรื่องนั้น ด้วยหวั่นใจเกินกว่าจะตำหนิหมิงจู เพราะเสียงที่เขาได้ยินผ่านทางสายลมละม้ายคล้ายกับเสียงผู้คนกรีดร้องร่ำไห้ก็ไม่ปาน

“มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”

เพราะไม่รู้แน่ว่าเป็นเสียงใด เทียนอี้จึงได้พูดไปเช่นนี้ และค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียวว่าทิศทางที่เขายกทัพมุ่งหน้าไปนั้นจะต้องเกิดสิ่งใดขึ้นแน่ หากแต่หมิงจูกลับถอนหายใจออกมา ว่าอย่างเหนื่อยหน่าย

“เป็นเพราะเจ้าวิตกมากเกินไปกระมัง หูถึงได้เพี้ยนไปหมดเช่นนั้น”

สิ่งที่หมิงจูพูดหาใช่การพูดโดยไร้ต้นสายปลายเหตุอย่างแน่นอน เพราะหลังจากที่ซิ่นเชิงจากไป เทพอสูรสุนัขป่าก็หาได้นอนหลับสนิทสักคืนไม่ แม้จะไม่พูดว่าคิดสิ่งใดแต่ไยเล่าสหายสนิทอย่างหมิงจูจะมองไม่รู้ว่าในใจของเทียนอี้นั้นคะนึงหามนุษย์หนุ่มผู้จากไปคนนั้นเพียงใด มิหนำซ้ำยังกลัดกลุ้มเป็นอย่างยิ่ง แต่หาใช่เพราะพรากจากซิ่นเฉิงตลอดกาล หรือเพราะว่าเจี้ยนสือแอบลอบตามไป แต่เป็นเพราะว่าเป็นเกรงว่าการมุ่งหน้าลงใต้ของซิ่นเฉิงนั้นจะทำให้เขาพบเจอเข้ากับปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวารีเขาให้อย่างไม่ทันตั้งตัวมากกว่า ลำพังเพียงเจี้ยนสือ จะปกป้องซิ่นเฉิงได้อย่างไร

และเพราะเหตุนี้ เทียนอี้ตัดสินใจยกทัพเหล่าเทพอสูรมุ่งหน้าลงใต้ทันทีในเพียงเวลาไม่กี่ชั่วยามหลังจากที่มนุษย์หนุ่มผู้นั้นจากไป ส่วนในยามนี้ที่จู่ๆ ก็บอกว่าได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง นั่นก็คงเป็นเพราะอุปทานเป็นแน่

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ถ้าหาได้ยินเสียงใดเลยแม้แต่น้อย“

ได้ยินหมิงจูว่าฉันนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของแม่ทัพใหญ่ก็ขมวดมุ่นอย่างตึงเครียด เขามั่นใจว่ามีเสียงบางอย่างถูกสายลมพัดพามาเข้าโสตประสาทอย่างแน่นอน พลันลางสังหรณ์บางอย่างก็ผุดพรายขึ้นมาในใจ พร้อมพร้อมกับใบหน้าของมนุษย์หนุ่มที่ฉายว่าเข้ามาในภวังค์

หรือว่าเสียงนั้นจะเป็นเสียงของ…

เขาไม่กล้าคิดต่อเลยแม้แต่น้อย เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ขึ้นมา มีหวังเขาคงได้ทอดทิ้งกองทัพเพื่อไปปกป้องซิ่นเฉิงโดยไม่รีรอ

เทียนอี้ก็อยากจะให้สิ่งที่เขาได้ยินเป็นเพียงการอุปทานของตนอย่างที่หมิงจูว่า

“ไปต่อกันเถิด เวลาไม่รั้งรอ มัวแต่ชักช้า ประเดี๋ยวเจ้าปีศาจตนนั้นก็หนีหายไปอีก ถ้าอยากจะกลับคืนสู่แดนสวรรค์เสียแทบแย่แล้ว”

หมิงจูค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียวว่าการไปปราบปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวารีในครั้งนี้จะต้องสัมฤทธิ์ผลเป็นแน่

เห็นความตั้งมั่นของรองแม่ทัพแล้ว เทพอสูรสุนัขป่าก็หาได้มีสิ่งใดจะทัดทานอีก หากแต่เมื่อมือทั้งสองกลุ่มเข้าที่บังเหียนอีกครั้ง หูก็พันได้ยินเสียงกรีดร้องนั้นมาอีกครา คราวนี้เขามั่นใจทีเดียวว่าไม่ได้อุปทานไปเองอย่างที่หลินจูได้กล่าวไว้ในตอนแรกเป็นแน่ เพราะหาใช่เขาผู้เดียวเท่านั้นที่ได้ยินเสียง หมิงจูและเทพอสูรตนอื่นๆ ก็ได้ยินเช่นกัน

รองแม่ทัพเทพอสูรเห็นใบหน้ามามองยังแม่ทัพใหญ่ทันควัน

“เสียงนั่น… หรือว่าจะเป็นเสียงที่เจ้าบอกว่าได้ยินเมื่อครู่?”

เทียนอี้ไม่มีคำตอบใดๆ ให้ นอกจากจะออกคำสั่งเท่านั้น
“รีบมุ่งหน้าลงใต้ประเดี๋ยวนี้”

แล้วก็เป็นเขาที่ควบม้าพุ่งทะยานนำไปเป็นผู้แรก ในใจเต้นระส่ำ รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่งยวด ขณะเดียวกันก็ภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ขอให้ไม่ใช่เสียงของคนจากเผ่าของซิ่นเฉิง… ขอให้ไม่ใช่เช่นนั้น…

หากแต่สวรรค์กับไม่เห็นใจเลยแม้แต่น้อย คำภาวนาของเขามิอาจสัมฤทธิ์ผลเมื่อสายตาทอดมองเห็นยังกลุ่มคนเบื้องหน้าที่พากันวิ่งหนีตายอลหม่าน เห็นเพียงแวบแรก เทียนอี้ก็ตระหนักได้ทันทีว่าเครื่องแต่งกายของผู้คนเหล่านั้นคือเครื่องแต่งกายของเผ่าทะเลทรายที่บิดาของซิ่นเฉิงปกครองอยู่ และยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อชายสูงวัยควบม้าเข้ามาใกล้ ด้านหลังของเขามีสตรีวัยไล่เลี่ยกับซิ่นเฉิง ดวงหน้าผุดผาดงดงามของหญิงสาวผู้นั้น มองปราดเดียวก็จำได้ทันควันว่าเป็นน้องสาวฝาแฝดของบุรุษที่เขารัก

“ท่านแม่ทัพเทียนอี้!”

แม้จะอยู่ในร่างของเทพสวรรค์ แต่บิดาของซิ่นเฉิงก็จำแววตาของเทียนอี้ได้ดีถึงได้ร้องเรียกไปเช่นนั้น พลันว่าละล่ำละลักจนแทบไม่เป็นคำ

“ชะ...ช่วยด้วย...ช่วยลูกชายของข้าด้วย!”

ใบหน้าคร้ามเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยตื่นตระหนก อีกทั้งยังซีดเผือด บ่งบอกให้รู้ชัดเจนว่าเกิดเหตุร้ายกับซิ่นเฉิงเข้าให้แล้ว เทียนอี้เองก็ตกใจไม่ต่างกัน สิ่งที่เขากลัวมากที่สุด...หรือว่าจะบังเกิดขึ้นแล้ว?

“เกิดสิ่งใดขึ้น!?”

น้ำเสียงทุ้มถามอย่างร้อนรน ขณะที่ผู้ถูกถามยังท่านจึงไม่เลิก
“ละ...ลูกข้า...ชะ...ช่วยลูกข้าด้วย…”

กลายเป็นว่าพูดไม่รู้เรื่องเสียแล้ว ทำให้เทียนอี้ต้องแผดเสียงใส่

“ข้าถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้น!?”

แทนที่จะตอบ ก็กลายเป็นว่าร่ำไห้ออกมาเรากับเสียสติ ความเข้มแข็งในฐานะผู้นำเผ่าอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน เป็นสิ้นจินที่ต้องปลอบประโลมบิดาและตอบคำถามแม่ทัพใหญ่ของกองทัพเทพอสูรแทน

“ปะ...ปีศาจ… ปีศาจเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ!”

นับว่าเป็นการตอบที่ไม่ตรงคำถามคำถามอย่างที่สุด แต่กระนั้นเทียนอี้ก็เข้าใจได้โดยฉับพลันว่าเกิดสิ่งใดขึ้น  พลันสันหลังก็เย็นวาบสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนจะรีบออกคำสั่งเร่งด่วน

“ให้ทัพหลังดูแลมนุษย์เหล่านี้และรั้งอยู่ที่นี่กับทัพเสบียง ส่วนที่เหลือจงรีบเร่งตามข้ามา!”

สิ้นเสียงก็ควบอาชามุ่งหน้าออกไปอย่างไม่คิดชีวิต หมิงจูที่ยังพรึงเพริดกับสิ่งที่ได้รับรู้เมื่อคู่มองตามหลังของสหายแล้วก็ได้แต่ประหวั่นพรั่นพรึงในใจ

หรือนี่จะถึงเวลาที่ลิขิตสวรรค์ไหลเวียนมาบรรจบอีกครั้งแล้ว?


หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 28: สิ้นเยื่อใยเสน่หา[03/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 08-01-2018 22:49:51
บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[2]


จะเป็นเพราะลิขิตสวรรค์หรือชะตากรรมอันน่าอดสู เทียนอี้ก็หาได้สนใจไม่ ในใจของเขามีเพียงแต่คะนึงว่าซิ่นเฉิงจะต้องปลอดภัยเท่านั้น เพียงเวลาไม่ถึงเค่อ เบื้องหน้าของเขาก็ปรากฎให้เห็นภาพของเราอมนุษย์ที่พากันไล่กวดมนุษย์กลุ่มหนึ่งอยู่ มนุษย์เรานั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเหล่านักรบของเผ่าทะเลทราย พลันเขาก็ตวัดง้าวในมือเข้าฟาดฟันอย่างไม่ปรานี พื้นทะเลทรายเกิดเป็นสงครามขนาดย่อมในบัดดล  เหล่าเทพอสูรพุ่งเข้าสังหารปีศาจเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง มนุษย์ที่กระเสือกกระสนหนีไปบางคนรอดชีวิตหวุดหวิด หากแต่บางคนก็มิอาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้

ทว่า...เทียนอี้หาได้สนใจมนุษย์เหล่านั้น เพราะสายตาของเขาเอาแต่มองอย่าเอาแต่มองหาซิ่นเฉิงเพียงผู้เดียวเท่านั้น
เจ้าอยู่ไหนเฉิงเฉิง… อยู่ไหนกัน!?

ขณะที่มือกำลังสังหารปีศาจเหล่านั้นให้ซึ่งไปทีละตน ในใจก็เอาแต่พร่ำไม่หยุดหย่อนด้วยเกรงว่ายอดดวงใจของตนจะได้รับอันตราย

ขอเพียงเจ้ามีชีวิตอยู่…

ขอเพียงเจ้ามีชีวิตอยู่เท่านั้น!

ขณะเดียวกันฝ่ายซิ่นเฉิงที่พยายามพาพี่น้องนักรบเผ่าร่วมสาบานหนีตายก็หายใจหอบหนัก ขาทั้งสองข้างแทบจะไร้เรี่ยวแรงในการวิ่งหนี ดาบวงพระจันทร์ที่อยู่ในมือคอยปัดวัดเฉวียนสังหารปีศาจบางตนที่พรุ่งเข้าหาเป็นระลอก แต่ถึงอย่างนั้นความพยายามของเขาก็เสียเปล่า เพราะพี่น้องของเขาหลายคนได้ถูกคร่าชีวิตไปเสียสิ้นแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าเกือบมีเพียงเขาผู้เดียวที่รอดชีวิต นั่นเป็นเพราะเจี้ยนสือได้คอยช่วยคุ้มกันอย่างใกล้ชิด แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำของเขานั้นเป็นการบ่งบอกให้ปีศาจมังกรวารีรู้ชัดแจ้งว่ามนุษย์ผู้นั้นมีความสำคัญต่อเทพสวรรค์งูจงอางเพียงใด อุปนิสัยชอบหยอกล้อกับเหยื่ออันโอชะและท้าทายอำนาจของสวรรค์ทำให้ม่านฉีมุ่งหมายจะลิ้มรสหัวใจของมนุษย์ผู้นั้นให้จงได้ ด้วยอยากรู้นักว่าหัวใจของผู้ที่ถูกเทพอสูรรับจะมีรสชาติหวานลิ้นเพียงใด

ครั้นสบโอกาสก็ส่งสัญญาณให้สมุนปีศาจถาโถมเข้าใส่เจี้ยนสือไม่ลดละเพื่อกันออกห่างจากซิ่นเฉิง เทพอสูรงูจงอางที่จู่ๆ ก็ถูกจู่โจมชะงักงัน มิอาจคอยไล่ตามหลังมนุษย์หนุ่มเพื่อปกป้องได้ชั่วขณะด้วยต้องขจัดอมนุษย์ที่เข้าขัดขวางเสียก่อน โดยหารู้ไม่ว่าเพียงเสียงลมหายใจเดียวก็ทำให้ม่านฉีเข้าถึงตัวซิ่นเฉิงได้ทันควัน ต่อให้ซิ่นเฉิงพยายามปกป้องตนเองเพียงใดก็มิอาจจะต่อกรกับปีศาจที่แม้แต่สวรรค์ก็ยังเกรงกลัวได้

ฝ่ามือหยาบกร้านเต็มไปด้วยกรงเล็บนอกยาวขวาเข้าที่ลำคอของมนุษย์หนุ่มเข้าอย่างจัง มือทั้งสองข้างของมนุษย์หนุ่มปล่อยดาบวงพระจันทร์ร่วงลงสู่ผืนทราย ขณะที่ตัวเขาถูกยกขึ้นสูงในอากาศ ก่อนที่ไปเล็บแหลมคมจะเจาะทะลุเข้าไปในผิวหนังจนโลหิตไหลซึมออกมา

ความเจ็บปวดและหายใจไม่ออกทำให้ซิ่นเฉิงชะงักงันในเสี้ยวนาทีนั้น เมื่อได้สติก็ดิ้นรนขัดขืนเพื่อหลบหนี หากแต่ก็ต้องชะงักไปอีกครั้งเมื่อมือข้างหนึ่งของม่านฉีทะลุล้วงเข้าไปยังหน้าอกข้างซ้ายเต็มแรง

อั้ก!

ซิ่นเฉิงร้องไม่ออก แต่รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าความเจ็บปวดที่ได้รับมานั้นมากมายเสียจนเกินจะพรรณนาออกมาเป็นถ้อยคำได้ ใบหน้าคร้ามคมเหยเกบูดเบี้ยวเมื่อมือของม่านฉีบิดไปมาในกายตน ดวงตาทั้งสองข้างพลันพร่าเลือน หากแต่ก็เห็นภาพใบหน้าคร้ามของบุตรเทพมังกรวารีฉายวาบอยู่ตรงหน้า

ม่านฉีแสยะยิ้มพึงใจที่ได้กลิ่นโลหิตสดๆ จากกายมนุษย์ ขณะที่สายตาของซิ่นเฉิงในยามนี้ชำเลืองมองลงต่ำไปยังหน้าอกของตนเอง มองมือและท่อนแขนที่เต็มไปด้วยเกล็ดมังกรสีครามกำลังฉีกกระชากผิวเนื้อหน้าอกข้างซ้ายของเขาด้วยร่างกายอันสั่นระริก

ความเจ็บปวดพร่างพรายเป็นเท่าทวี และเจ็บปวดเสียจนแทบจะขาดใจตายไปให้ได้เมื่ออีกฝ่ายล้วงลึกเข้ามากอบกุมเอาก้อนเนื้อที่เต้นตึกตักอยู่ในช่องอกไว้ในมือมั่น ก่อนจะออกแรงบีบเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

หัวใจ...

ปีศาจตนนี้กำลังจะควักหัวใจของเขา...

แม้จะอยากขัดขืนต่อสู้เพียงใด ซิ่นเฉิงก็มิอาจทำได้แล้วในขณะนี้ ได้แต่ข่มความเจ็บปวดยกมืออันสั่นเทาทั้งสองยกขึ้นจับที่ข้อมือของปีศาจมังกรเอาไว้ ขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะร่วนกับการได้หยอกเย้ากับอาหารอันโอชะเบื้องหน้า

“ข้าไม่ชอบหัวใจของมนุษย์ผู้ชายนัก หากไม่จำเป็นก็จะไม่คิดเอาใส่ปาก แต่สำหรับเจ้า ข้าจะละเว้นให้คนหนึ่งละกัน ดูท่าเลือดเนื้อของเจ้าคงจะหวานล้ำใช่น้อย มิเช่นนั้นแม่ทัพใหญ่แห่งแดนสวรรค์คงไม่หวงแห่งเจ้าถึงเพียงนี้”

ย่อมแน่ว่าแม่ทัพใหญ่ที่พูดถึงนั้นหมายถึงเจี้ยนสือ แต่ซิ่นเฉิงก็แทบไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีกแล้ว หยาดน้ำตาไหลพรากออกจากหางตา ความเจ็บปวดนี้มิอาจจะพรรณนาได้ ร่างสูงอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอีกต่อไป เหลือเพียงลมหายใจรวยรินส่งออกมาเป็นเสียงกระเส่าเบาๆ ให้ได้ยินเท่านั้น

ในช่วงที่ความเป็นความตายคลืบคลานเข้ามาในชีวิตนั้นเอง เทียนอี้ซึ่งไล่สังหารปีศาจสมุนของปีศาจมังกรวารีอยู่ไม่ไกลเห็นปราชญ์สายตามามองเห็นภาพนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ พลันก็เบิกตาโต ปากร้องเรียกคนรักสุดเสียง

“ซิ่นเฉิง!”

เขาจัดการสมุนปีศาจเหล่านั้นด้วยการตวัดง้าวอีกครั้งเดียวราวกับอิทธิฤทธิ์เมื่อครั้งยังเป็นเทพสวรรค์ก็พรุ่งพลาดเข้ามาในกาย ก่อนจะรีบควบม้าเข้ามาหาอีกฝ่าย กระโดดลงสู่พื้น ตวัดไล่ฆ่าปีศาจเหล่านั้นเพื่อเข้าถึงตัวคนรักในเวลาอันสั้นที่สุด

ซิ่นเฉิงได้ยินเสียงคุ้นหูก็ค่อยๆ ผินหน้าหันมองตามต้นเสียงด้วยความยากลำบาก ความหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจ ความกลัวตายบังเกิดไปทั่วจิตใต้สำนึกจนเขาต้องเรียกร้องขอความช่วยเหลือ

ทะ...เทียนอี้ ช่วย...ช่วยข้าด้วย...

มีเพียงริมฝีปากซีดเซียวเท่านั้นที่ขยับสั่นแผ่วเบา หากทว่าไร้ซึ่งเสียงที่จะเอื้อนเอ่ย ดวงตาทั้งสองข้างก็พร่ามัวลงทุกที ภาพสุดท้ายที่ได้เห็นอาจจะเป็นภาพเทียนอี้ที่วิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตระหนกเช่นนั้น

ลิขิตสวรรค์ที่กำหนดมาให้หลิวซูต้องตายจากเทพอสูรทั้งสองทุกชาติไป... คงถึงเวลาที่เวียนกลับมาบรรจบในชาตินี้แล้ว
จู่ๆ ก็หนักได้เช่นนั้น

จุดจบของหลิวซูคงเป็นเช่นนี้ล่ะสินะ ต่อให้ข้าถือกำเนิดใหม่เป็นซิ่นเฉิง แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจสลัดความเป็นหลิวซูออกจากกายได้เลยแม้แต่น้อย

ทั้งที่ตลอดมา เขาพยายามเป็นอย่างมากในการยุติลิขิตสวรรค์อันโหดร้ายนี้ แต่สุดท้ายแล้วสวรรค์ก็ไม่เห็นใจ

ในเมื่อสวรรค์โหดร้ายเช่นนั้น พอใจที่จะได้เห็นความทุกข์ทรมานของสามอดีตเทพ เขาก็จะยอมศิโรราบแล้ว...

แต่เทียนอี้ไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น พริบตาเดียวก็เข้าถึงตัวปีศาจมังกร สะบัดง้าวในมือตัดฉับเอาท่อนแขนที่ฉีกกระชากหน้าอกของซิ่นเฉิงอยู่ขาดสะบั้น โลหิตสีดำเข้มไหลทะลักท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดของปีศาจตนนั้นจนล้มไถลไปกับผืนทราย หากในจังหวะนั้น เทียนอี้ถลาเข้าสังหารก็ย่อมทำได้ แต่ทว่าภาพของซิ่นเฉิงที่ทรุดฮวบลงไปกับผืนทราบทำให้เขาเลือกที่จะพุ่งเข้าหาซิ่นเฉิง ก่อนที่จะพยุงมนุษย์หนุ่มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน

“ฉะ...เฉิงเฉิง...”

น้ำเสียงของเทียนอี้สั่นเครือมากพอๆ กับใจเขาที่หวั่นว่าจะเสียคนตรงหน้าไป ซิ่นเฉิงปรือตามองเทียนอี้ในร่างเทพสวรรค์ได้ครู่เดียวก็กระอักโลหิตออกมากองใหญ่ เป็นสัญญาณให้เทียนอี้รับรู้ว่าร่างกายของเขามิอาจทนกับบาดแผลฉกรรจ์บนร่างได้อีกต่อไปแล้ว

“ไม่ เจ้าต้องรอด เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายแน่ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะไม่ให้เจ้าตาย”

เทียนอี้ละล่ำละลักราวกับเสียสติ มือเอื้อมไปกดปากแผลไว้ไม่ให้เลือดทะลักออกมามากกว่านี้ พลันก็นึกโกรธตนเองที่มิอาจช่วยเหลืออะไรซิ่นเฉิงได้

หากเขาเป็นเทพ... หากเขายังมีอิทธิฤทธิ์... เขาจะไม่มีวันปล่อยให้ซิ่นเฉิงนอนจมกองเลือดอย่างทุกข์ทรมานเช่นนี้เป็นอันขาด!
คิดอย่างนั้นโดยลืมไปเสียสนิทเลยว่าม่านฉียังอยู่ทางเบื้องหลัง เมื่อถูกตัดแขนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ความโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งเป็นเพลิงแห่งโทสะมอดไหม้กายและจิตใจเสียเป็นจุณ ม่านฉีผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแผดเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกวาด

“เทียนอี้! ไม่ว่าจะกี่ร้อยปี เจ้าก็คิดร้ายต่อข้า แต่วันนี้เจ้าจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว! จงหายไปกับเจ้ามนุษย์ผู้นั้นเสียเถิด!”
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-01-2018 23:17:42
 :hao7: o13 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-01-2018 00:03:23
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-01-2018 06:37:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-01-2018 09:56:13
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 15-01-2018 23:41:49
เข้ามาอ่านเพราะเห็นปกหนังสือสวยมาก นึกว่าลงจบแล้ว ที่ไหนได้... :ruready
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sistel2 ที่ 16-01-2018 22:08:39
ชอบบบบบ ชอบมากเรื่องที่มีขนปุกปุยเนี่ย ติดตามพี่งูเหมือนกัน ชอบ ๆ  o13
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 17-01-2018 07:43:44
สนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 23-01-2018 22:22:43
ชาตินี้อย่าตายเลยนะ ไม่อยากให้ใครเจ็บปวดอีกแล้ว :serius2:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: maykiz ที่ 10-02-2018 00:29:50
กลับมาต่อโหน่ยยยยย
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Somsitwiegel ที่ 13-02-2018 17:33:31
รอคนเขียน ถูกใจสุดๆ ทั้งฟิน ทั้งขำ น่ารักอะ อินหนักแอบเกลียดไอ้หัวงู อยากอุ้มชู พ่อหมาป่า หนุ่มทะเลทลาย น่ารักม๊วก โปรดเห็นใจคนรอรีบมาต่อไวๆ นะจ๊ะ :z3: :ling1: :z13: :hao5: :haun4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: dino94 ที่ 05-03-2018 13:45:56
แงงงค้างเหลือเกินนนไม่น้าาาเฉิงเฉิงจะตายอีกแล้วหรอ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Septemberry ที่ 25-03-2018 13:03:31
งื้ออออออออ ค้างงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[08/01/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-03-2018 21:04:49
 

บทที่ 30: พรจากสวรรค์

ม่านฉีลืมสิ้นทุกอย่างว่าในอดีตกาลนั้น ที่ตนพ้นการลงทัณฑ์ขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้มาได้เป็นเพราะผู้ใด หากไม่ได้เทียนอี้และเจี้ยนสือรวมหัวกันปั้นน้ำเป็นตัวแล้วล่ะก็ เขาคงจะไม่มีวันมาผงาดง้ำวางท่าโอหังให้สามโลกได้หวาดเกรงถึงเพียงนี้หรอก

หากทว่าการสูญเสียแขนกลับทำให้ม่านฉีโมโหโกรธาเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เขาไม่สนหรอกว่าเทียนอี้จะเคยมีพระคุณมากเพียงใด บัดนี้หงุดหงิดจนแทบจะพ่นไฟออกจากปากได้ ทั้งเสียแขน ทั้งถูกขัดขวางไม่ให้ได้ลิ้มลองหัวใจมนุษย์

เรื่องนั้นมันทำให้เขาโกรธเป็นอย่างยิ่ง!

“เจ้ามนุษย์ผู้นั้นเป็นของข้า!”

ม่านฉีพุ่งเข้าหา หมายจะฆ่าฟันให้บรรลัย ไม่สนใจว่าใครเป็นใคร ใจหมายจะกินแต่หัวใจมนุษย์อย่างเดียว

เทียนอี้ซึ่งประคองซิ่นเฉิงในสภาพบาดเจ็บสาหัสไว้ในอ้อมแขนเอี้ยวตัวหลบทันควัน แม้จะกังวลว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้เป็นที่รัก แต่ก็ต้องกระทำเพราะไม่อย่างนั้น ทั้งเขาและซิ่นเฉิงจะต้องถูกม่านฉีเล่นงานแน่

มือข้างหนึ่งประคองร่างมนุษย์หนุ่มไว้ อีกข้างคว้าอาวุธมาต่อกรกับปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวารี เสียงของโลหะจากปลายอาวุธและกงเล็บคมปะทะเข้าหากันดังสนั่นหวั่นไหว เทียนอี้ออกแรงทั้งหมดที่มีผลักอีกฝ่ายเสียจนกระเด็นไปอีกทิศ ก่อนจะรีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

หนี...

ต้องรีบพาซิ่นเฉิงหนีไปยังที่ปลอดภัย!

ตัวเขาจะเป็นอย่างไรนั้นก็ช่างมันเถิด เขาสนแค่จะรักษาชีวิตของคนที่เขารักไว้อย่างเดียวเท่านั้น แขนข้างนั้นอุ้มซิ่นเฉิงขึ้นแบกบนบ่า ขณะที่สองเท้ารีบก้าวอย่างรวดเร็วเพื่อให้พ้นยังบริเวณนั้น

ม่านฉีไม่จำเป็นต้องกินหัวใจของซิ่นเฉิงก็ได้ แต่ด้วยทิฐิของปีศาจที่ทระนงตนว่าเก่งกล้าเหนือผู้ใดในพิภพ ทำให้เขารีบไล่ตามเทพอสูรผู้นั้นด้วยหมายจะเอาชนะเพื่อประกาศตัวว่าปีศาจเช่นเขามีอำนาจอยู่เหนือทหารเอกขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้

ทหารเอก... ใช่ ในสายตาของม่านฉี เทียนอี้ยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแดนสวรรค์ดังเดิมแม้ว่าบัดนี้จะไม่ใช่แล้วก็ตาม

ปีศาจหนุ่มกระโจนพรวดเดียวก็ไปดักหน้าเทียนอี้เอาไว้ได้ รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชะงักงันเสียจนฝุ่นผงตลบคลุ้ง

“จงเลือกเอาว่าจะส่งหัวใจของมนุษย์นั่นมาให้ข้าดีๆ หรือจะต้องให้ข้าลงไม้ลงมือก่อน”

หัวใจของมนุษย์...

หัวใจของซิ่นเฉิง... มันเป็นของเทียนอี้ต่างหาก เรื่องอะไรถึงจะยกให้ผู้อื่นกันเล่า!

เทียนอี้ไม่ยอมแน่ ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าคร้ามครันหล่อเหลาก็ปรากฏร่องรอยแห่งความกรุ่นโกรธ ก่อนจะแผดเสียงขึ้นบ้าง

 “หากเจ้าจะเอาชีวิตที่เต็มไปด้วยตบะมาทิ้งไว้ที่นี่แล้วล่ะก็ เข้ามาได้เลยม่านฉี!”

“เช่นนั้นก็คงต้องเล่นสนุกกับเจ้าหน่อยแล้ว!”

ม่านฉีแสยะยิ้มเสร็จก็โผกระโจนเข้าหา มือข้างที่ยังอยู่กางเล็บออก หมายจะฉุดกระชากร่างของมนุษย์ที่แบกอยู่บนบ่าของเทียนอี้ให้แหลกเป็นชิ้นๆ หากทว่าเทียนอี้หลบเลี่ยงได้ทันควัน กงเล็บนั้นจึงคว้าพลาดไปคว้าเอาอากาศแทน แต่พลาดเพียงครั้งเดียวก็มิอาจทำให้ม่านฉีหยุดมือได้ สะบัดตัวหันมาจู่โจมอีกครั้ง ก่อนที่เทียนอี้จะตวัดอาวุธในมือฟาดฟันปัดป้องอย่างสุดความสามารถ

ซิ่นเฉิง... มนุษย์ผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยกให้ใคร ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมาจากปรโลกหรือสวรรค์ เขาก็จะไม่ยอมให้พรากไปทั้งนั้น!

เทียนอี้ปกป้องอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ แต่ด้วยร่างของเทพที่ไร้ซึ่งพลัง ทำให้ไม่อาจต่อกรกับเรี่ยวแรงของปีศาจเช่นม่านฉีได้ดีนัก ครั้นตวัดอาวุธในมือปัดป้องกงเล็บที่หมายจะกระชากเอาชิ้นเนื้อของมนุษย์หนุ่มที่โอบอุ้มอยู่ไปได้ ม่านฉีก็ใช้โอกาสที่เขาพลาดนั้นตวัดเม็ดทรายใส่ใบหน้าของอีกฝ่าย การกระทำนั้นทำให้เทียนอี้ผงะถอยหลัง ดวงตาปวดแสบพร่ามัวไปครู่หนึ่ง กระนั้นก็พยายามลืมตาขึ้นทั้งที่หยดน้ำตาเอ่อปริ่ม

เขามองไม่เห็น...บัดซบ!

แต่จะมัวมารอให้มองเห็นไม่ได้ เวลานี้ความเป็นความตายของซิ่นเฉิงอยู่ในมือของเขา เขาจะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่มคนนี้เป็นอันขาด

ทว่าเมื่อพลาดท่าเสียทีครั้งหนึ่งแล้วก็พลาดท่าเสียทีอย่างต่อเนื่อง ม่านฉีเห็นว่าแผนการของตนได้ผลก็ใช้ขาเตะเม็ดทรายเข้าใส่ดวงตาของเทียนอี้อีก แรงกระแทกของเม็ดผงเล็กๆ ทำให้เทียนอี้ต้องยืนอยู่นิ่งๆ อาศัยหูเงี่ยฟังเสียงรอบข้างแทน ก่อนจะรับรู้ได้ว่ารอบกายเขาหาได้มีเพียงม่านฉีแต่ผู้เดียวไม่ หากแต่ยังมีบรรดาสมุนปีศาจของอีกฝ่ายที่พากันกรูเข้ามารายล้อมเขาในยามนี้อีก

หากปล่อยไว้เช่นนี้ไม่เป็นการดีแน่ เพราะอีกไม่นานเขาคงจะต้องถูกรุม ตัวเขาน่ะไม่เป็นอะไรหรอก จะห่วงก็แต่ซิ่นเฉิงเท่านั้น

“ในเมื่อข้าให้โอกาสแล้ว แต่ท่านเลือกที่จะช่วยมนุษย์ผู้นั้น ก็จงยอมรับความตายเถิด!”

สิ้นเสียง บรรดาลูกสมุนปีศาจก็กรูเข้าใส่เทียนอี้ทันที ในความมืดมิดนั้น เทียนอี้ใช้หูฟังและเคลื่อนไหวไปตามเสียงที่อยู่รอบกาย มือตวัดอาวุธฆ่าฟันปีศาจเหล่านั้นอย่างชำนาญ

แม่ทัพใหญ่แห่งสวรรค์ อย่างไรก็ยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่ เพียงเคลื่อนไหวก็ทำให้โลหิตคาวคลุ้งน่าสะอิดสะเอียดของปีศาจพวกนั้นสาดกระเซ็นเป็นสาย เม็ดทรายถูกอาบไปด้วยของเหลวสีดำคล้ำ ขณะที่ในใจของเทียนอี้คิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ไม่ว่าจะต้องฆ่าฟันผู้อื่นอีกเป็นร้อยเป็นพัน เขาก็จะพาซิ่นเฉิงหนีไปให้ได้!

การต่อสู้นั้นบ้าคลั่งดุเดือด เทียนอี้ไม่ลดราการเข่นฆ่าเลยแม้แต่น้อย ท่าทีของเขาทำเอาเหล่าสมุนปีศาจเริ่มอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน ม่านฉีเห็นท่าไม่ดีจึงกระโจนเข้าไป กงเล็บที่พุ่งไปหาขูดไปกับเกราะเงินบนกายของเทียนอี้ดังครืดก่อนจะเกิดประกายไฟวูบวาบ สิ้นเสียง เกราะนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยง

พลังของม่านฉีนั้นน่ากริ่งเกรงยิ่ง...

ชวนให้กริ่งเกรงยิ่งกว่าเมื่อม่านฉีพุ่งเข้าใส่เทียนอี้พร้อมกับกระชากเอาเกราะอ่อนที่ยังคงอยู่บนกายเขาขาดวิ่นเป็นชิ้น โลหิตไหลซิบไปตามแนวคมเล็บที่ขูดลากไปบนผิวเนื้อ เทพอสูรหนุ่มร้องออกมาด้วยความปวดแปลบ ก่อนจะทรุดฮวบเมื่อขาข้างหนึ่งถูกกงเล็บนั้นเสียบแทงเข้ามาสุดแรง

“ส่งเจ้ามนุษย์นั่นให้ข้าแต่แรกดีๆ ก็สิ้นเรื่อง”

“อั้ก!”

ม่านฉีว่าพลางออกแรงแทงกงเล็บของตนเข้าไปมากกว่าเดิม เทียนอี้มิอาจทนไหว หากเขายังเป็นเทพที่ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดทางกายใดๆ เขามั่นใจเลยว่าม่านฉีไม่มีทางทำเช่นนี้กับเขาได้แน่

ไม่สิ ไม่ใช่เพียงม่านฉี ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถทำอันตรายใดให้ร่างกายเขาได้ทั้งนั้น

หากแต่ในยามนี้ไม่ใช่ ถึงแสงจันทร์จะสาดส่องแปรเปลี่ยนให้ร่างเทพอสูรกลับคืนสู่ร่างเทพ แต่ก็ไร้ซึ่งอภินิหารใด แล้วเขาจะเอาสิ่งใดไปสู้กับปีศาจตนนี้ได้?

ขาข้างที่ถูกแทงสั่นระริก กระนั้นก็พยายามจะลุกขึ้นยืน ทว่าม่านฉีก็แทงลงมาอีก ทำให้เขามิอาจยืนขึ้นได้ดั่งในนึก มือที่แบกซิ่นเฉิงอยู่ยังคงโอบกอดอีกฝ่ายไว้แน่นอย่างหวงแหน ดวงตาที่บัดนี้พอจะมองเห็นแล้วจับจ้องไปยังสีหน้าลำพองใจของปีศาจตนนั้นอย่างขุ่นแค้น

ทำไม...

ทำไมจะต้องเป็นซิ่นเฉิงกัน!?

“ส่งมนุษย์ผู้นี้มาให้ข้า ไม่เช่นนั้น ข้าสังหารท่านแน่”

“หากเจ้าอยากจะสังหารข้านัก” เทียนอี้ปริปาก “ก็สังหารเสียเลยสิ!”

น้ำเสียงและแววตาบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ยอมโอนอ่อนให้ ม่านฉีก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเทียนอี้มีอุปนิสัยเช่นไร แต่ก็เอาเถิด ในเมื่อออกปากเอง เขาก็จะสงเคราะห์ให้ ที่เขาถามก็เพราะเห็นว่าเคยมีพระคุณและเป็นสหายของบิดามาก่อนต่างหาก ในเวลานี้ถือว่าความสัมพันธ์ใดจบสิ้นลงหมดแล้วก็แล้วกัน

“เช่นนั้นก็ลาก่อน...ท่านแม่ทัพใหญ่เทียนอี้”

มือกระชากออกมาจากต้นขาของแม่ทัพใหญ่ เล็บที่เต็มไปด้วยโลหิตสีแดงสดกางออก หมายจะฉุดกระชากศีรษะของอีกฝ่ายให้หลุดออกจากร่างในคราเดียว ทว่า...ม่านฉีก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น เพราะในเสี้ยวนาทีนั้นเอง ดาบเล่มเขื่องก็พุ่งเข้ามาเสียบแผ่นหลังของเขาเข้าอย่างจัง

ม่านฉีกระอักโลหิตออกมา เหลือบมองคมดาบที่ทะลุหน้าอก ก่อนค่อยๆ หันไปมองยังด้านหลัง

“แต่เห็นทีข้าคงจะต้องบอกลาเจ้าก่อนแล้ว...ม่านฉี”

คมดาบนั้นเป็นของ...

“มะ...แม่ทัพ...จะ...เจี้ยนสือ...”

ริมฝีปากของปีศาจหนุ่มครางแผ่วออกมา เจี้ยนสือซึ่งบัดนี้มีสีหน้าน่ากลัวไม่แพ้กันไม่โต้ตอบสิ่งใด ทำเพียงออกแรงกระแทกให้คมดาบนั้นแทงร่างของม่านฉีให้มากขึ้นกว่าเดิม

ปีศาจหนุ่มคว้าคมดาบที่พุ่งทะลุอกไว้มั่น ออกแรงดันกลับคล้ายจะต่อกร ทว่าก็หาได้กระทำโดยง่าย เหตุเพราะมีแขนเหลือเพียงข้างเดียว อีกอย่าง... ดาบที่แทงทะลุหน้าอกเขามานั้น มันแทงทะลุอกด้านซ้าย

หัวใจ...

หัวใจของข้า!

ม่านฉีกรีดร้องในใจ ความปวดปลาบที่แล่นไปทั่วสรรพางค์กายทำให้เขาล้มคุกเข่าโดยไม่รู้ตัว

ข้า...นี่ข้าจะมาจบสิ้นเท่านี้?

อดคิดไม่ได้เลยว่าเหตุใดชะตากรรมถึงได้น่าอดสูนัก หากแต่เจี้ยนสือก็ไม่รามือ อีกทั้งไม่เห็นใจ

ในเมื่อมันเป็นผู้ทำร้ายยอดดวงใจของเขา ก็ไม่ควรที่จะมีลมหายใจอยู่บนโลกนี้อีก!

“ลาก่อนม่านฉี”

เจี้ยนสือว่าออกมาสั้นๆ เพียงเท่านั้น ก่อนที่จะใช้ดาบในมืออีกข้างตวัดตัดศีรษะของปีศาจบุตรมังกรวารีจนขาดกระเด็น

ไร้ซึ่งเสียงร้องโหยหวนใด มีเพียงเสียงของหนักๆ หล่นลงบนผืนทะเลทรายดังตุ้บ แต่นั่นก็ดังประหนึ่งฟ้าร้องกัมปนาท เหล่าสมุนปีศาจที่อาละวาดอยู่พากันกระถดถอยด้วยความหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว ผู้เป็นหัวหน้าสิ้นไปแล้ว พวกมันจะทำสิ่งใดได้ ขณะที่เหล่าเทพอสูรพากันร้องเฮเมื่อประจักษ์ว่าพวกตนจะได้กลับคืนสู่สวรรค์ พลันความฮึกเหิมก็เอ่อล้น ไล่ล่าสังหารสมุนปีศาจเสียจนไม่เหลือซาก

ความน่ายินดีพร่างพรายไปทั่วทุกบริเวณ ท้องฟ้ามืดมิดเปิดทันใดราวกับว่าเง็กเซียนฮ่องเต้เปิดประตูสวรรค์ต้อนรับให้เทพอสูรทุกตนกลับคืนมา เสียงร้องขอพรดังกึกก้อง โดยส่วนมากเป็นการร้องขอให้ตนกลับคืนสู่การเป็นเทพ ก่อนที่แสงจันทร์ซึ่งสาดส่องลงมายังพื้นดินจะบันดาลให้เหล่าเทพอสูรที่ร้องขอพรกลับคืนร่างเดิมกันถ้วนหน้า

สิ่งนั้น...เป็นสัญญาณว่าการลงทัณฑ์ตั้งแต่อดีตกาลนั้นได้จบสิ้นลงแล้ว

หากแต่เทียนอี้ไม่สนใจที่จะร้องขอพรใด เขายังคงเป็นกังวลกับอาการของคนรัก เมื่อเห็นว่าสิ้นตัวปัญหาไปแล้ว เขาก็รีบวางซิ่นเฉิงนอนราบ มือแตะเบาๆ ที่ซีกหน้าคร้ามซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยคราบโลหิตของซิ่นเฉิง

“เฉิงเฉิง ได้ยินข้าไหม”

น้ำเสียงนั้นเรียกสติของซิ่นเฉิงที่มีอยู่เลือนรางไป ซิ่นเฉิงปรือตามอง พยายามจะขยับริมฝีปากที่แห้งผากเอ่ยเรียกคนตรงหน้า

“ทะ...เทียน...”

“ข้าอยู่นี่... ข้าอยู่นี่แล้ว”

ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดจบ เทียนอี้ก็รีบโพล่งด้วยเกรงว่าการเปล่งเสียงจะทำให้ซิ่นเฉิงเจ็บปวดมากกว่าเดิม หากแต่ซิ่นเฉิงนั้นดื้อด้านอย่างไรก็ดื้อด้านอย่างนั้น ในที่สุดก็เปล่งเสียงเรียกออกไปจนได้

“เทียน...ทะ...เทียนอี้...”

ไม่เพียงเรียกเปล่า ยังจะพยายามยกมือมาจับอีกฝ่าย เทียนอี้รีบคว้ามือของคนตรงหน้าไว้ บีบเบาๆ เมื่อรู้สึกว่ามือของซิ่นเฉิงเย็นเยียบราวกับซากศพ

“ข้าอยู่นี่...”

เทียนอี้ย้ำคำราวกับว่าไม่อยากได้ยินซิ่นเฉิงพูดอีกแล้ว ขณะที่อีกฝ่ายเองมีเรื่องอยากจะบอกกับคนตรงหน้ามากมาย

อยากบอก...

อยากบอกเหลือเกิน...

อยากบอกว่าเขานึกคิดสิ่งใด อยากบอกว่าเหตุใดถึงได้จากมา อยากจะบอกทุกอย่างที่เทียนอี้ไม่เคยรับรู้

ทว่า...สภาพร่างกายเลวร้ายเกินกว่าจะปริปากพูดสิ่งใดได้อีกแล้ว เพียงอ้าปากก็กระอักโลหิตออกมากองใหญ่ เทียนอี้ใจหายวาบ เขาไม่เคยประหวั่นใจกับสิ่งใดได้มากเท่ากับการได้เห็นซิ่นเฉิงเป็นเช่นนี้เลย

“เจ้าจะต้องไม่เป็นไร ข้าจะพาเจ้ากลับไปรักษา”

ว่าแล้วก็หมายจะพาซิ่นเฉิงกลับแคว้นเฟิงฝู ที่แคว้นนั้นมีทั้งหมอและโอสถดีอยู่ หรือบางทีแม่ทัพนายกองบางคนอาจจะยังมีน้ำอมฤตหลงเหลืออยู่ในจวนบ้างก็เป็นได้ โดยที่เทียนอี้หาได้คิดเลยว่ากว่าจะกลับไปถึงยังที่หมาย ตอนนั้นซิ่นเฉิงคงจะเหลือแต่ร่างไร้วิญญาณแล้ว

มีเพียงเจี้ยนสือเท่านั้นที่คิด ทว่าก็หาได้พูดพร่ำสิ่งใด เพราะเขาเองก็อึ้งงันจนมิอาจขยับกาย

เขาจะต้องทำอย่างไร?

ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยซิ่นเฉิงได้!?

เห็นเทียนอี้หมายจะอุ้มซิ่นเฉิงขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนก็ไม่ห้ามปราม จะมีก็แต่เพียงซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ส่ายหน้าเบาๆ

“มะ...ไม่...ไม่ต้อง...”

เทียนอี้ชะงักกึก “เจ้า...”

“มะ...ไม่ต้องรักษาข้า ขะ...ข้ามิอาจทนไหวอีกแล้ว”

ได้ฟัง ใจของสองเทพก็สั่นไหวราวกับเปลวเทียนต้องลม สภาพบาดแผลที่ซิ่นเฉิงได้รับนั้นก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าเหตุใดจึงไม่ไหว แต่พอได้ฟังก็มิอาจจะยอมรับความจริงได้

“ไม่ เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ข้าสัญญาว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร!”

เทียนอี้ไม่ฟังคำพูดใดอีกแล้ว อุ้มซิ่นเฉิงไว้ในอ้อมแขน รีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทันที ปากก็ร้องเรียกกองทหารแพทย์ไปด้วย

“ท่านหมอ! ท่านหมออยู่ไหน! รีบมาดูอาการซิ่นเฉิงเร็วเข้า!”

ความโกลาหลเกิดขึ้นในบัดดล เทพอสูรในสังกัดกองทหารแพทย์ที่กลับคืนสู่ร่างเดิมแล้วรีบพากันกุลีกุจอมาดูอาการ ดูอยู่ได้ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าช้าๆ ให้กับแม่ทัพใหญ่เป็นคำตอบเป็นเชิงว่าไม่มีหวังแล้ว

เทียนอี้เห็นก็ตวาดกร้าวทันที

“รักษาไม่ได้ได้อย่างไร! เจ้าต้องรักษา! ต้องรักษาซิ่นเฉิงให้ได้!”

คำสั่งนั้นสร้างความลำบากใจให้ผู้ฟังยิ่งนัก แต่ก็มีผู้กล้าออกปากบอกไปตามตรง

“บาดแผลฉกรรจ์เพียงนี้ มิอาจรักษาขอรับท่านแม่ทัพเทียนอี้”

สีหน้าของเทียนอี้ดูแย่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เขาไม่ยอมหรอก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยชีวิตซิ่นเฉิงให้ได้

“พวกเจ้าต้องรักษาให้ได้! รักษาเขาประเดี๋ยวนี้!”

ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่เทียนอี้ไร้เหตุผลและใช้อารมณ์เช่นนี้ ท่าทางนั้นทำเอาหมิงจูและพ่อบ้านเหลียงต้องเข้ามาห้ามปราม

“ใจเย็นก่อนเถิดเทียนอี้ เจ้านั่นน่ะ ไม่รอดแล้ว”

“เจ้าหุบปากไปเลย! หากพูดจาไม่เป็นมงคลเช่นนี้ก็อย่าพูดออกมา!”

เป็นหมิงจูที่ถูกตวาดบ้างแล้ว เทียนอี้ไม่ฟังผู้ใด และจะไม่ฟังด้วย

ได้! ในเมื่อที่แห่งนี้หาได้มีผู้ใดประสงค์จะช่วยซิ่นเฉิง เขาก็จะกระทำของเขาเองแต่ผู้เดียว!

แม่ทัพใหญ่รีบอุ้มอีกฝ่ายตรงไปยังอาชาตัวเขื่อง หมายจะกลับไปยังแคว้นเฟิงฝูให้เร็วที่สุด ขณะที่เจี้ยนสือเห็นแล้วก็ไม่รอช้า รีบตามหลังไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะคว้าบังเหียนม้าตัวนั้นให้อยู่นิ่งๆ เทียนอี้มองหน้าสหาย พลันเจี้ยนสือก็เอ่ยขึ้นมา

“ชีวิตของเจ้าแมวป่าตัวนั้นสำคัญยิ่ง รีบไปเถิด ข้าจะไปกับเจ้า”

ในเวลานี้ สองสหายก็สามารถสามัคคีกันได้ ถึงเทียนอี้จะรู้ว่าเป็นเพราะเจี้ยนมือเองก็มีใจให้แก่ซิ่นเฉิง แต่ก็หาได้คิดการใดให้มากความในตอนนี้แล้ว รีบปีนขึ้นไปบนหลังม้า เอนกายของชายหนุ่มให้พิงกับร่างของตน ก่อนที่จะควบม้าออกไปโดยมีเจี้ยนสือควบไล่ตามมา

แสงจันทร์ส่องสว่างเปิดทางให้เห็นพื้นที่โดยรอบ ลมเย็นที่โชยปะทะใบหน้าปลุกให้ซิ่นเฉิงพอจะรู้สึกตัวอยู่บ้าง

หากแต่นั่น...กลับเป็นสติสัมปชัญญะสุดท้าย

เขารู้ตัวแล้วว่าสังขารมิอาจทนความเจ็บปวดนี้ได้ไหว สายตาพร่าเลือนจับจ้องยังใบหน้าคร้ามของเทียนอี้ที่แลดูตึงเครียดก่อนที่หยดน้ำตาสีใสจะไหลออกจากดวงตา

โทษทัณฑ์ที่เป็นเทพแต่ริอ่านมีรัก บัดนี้กลับย้อนคืนมาพรากพวกเขาออกจากกันในชาตินี้อีกครั้งแล้ว

แต่ในชาตินี้...

ในชาตินี้ไม่เหมือนเดิม เขาไม่ได้รักเจี้ยนสืออีกต่อไปแล้ว หากแต่หัวใจของเขานั้นถูกยกให้กับคนตรงหน้า

“ทะ...เทียนอี้...”

น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเรียก เทียนอี้หลุบตาลงมองก็เห็นว่าคนในอ้อมแขนจ้องหน้าเขาด้วยดวงตาปรือจนแทบปิดอยู่

“ขะ...ข้า...”

เสียงนั้นขาดห้วงและแผ่วเบา ทว่าอีกฝ่ายกลับได้ยินชัด โดยเฉพาะประโยคถัดไปที่หลุดออกมาจากริมฝีปากแห้งผากของซิ่นเฉิง

“ข้ารักเจ้า...”

สิ้นเสียงก็หมดลมหายใจ ร่างแกร่งค่อยๆ หมดแรงลงทีละน้อยก่อนจะแน่นิ่ง เทียนอี้เบิกตาโตด้วยตกใจสุดกำลัง มือทั้งสองที่กุมบังเหียนไว้อยู่ชะงักหยุดฝีเท้าม้าทันที ก่อนที่จะร้องเรียกคนในอ้อมแขน

“ซิ่นเฉิง”

“...”

“ซิ่นเฉิง เจ้าได้ยินข้าไหม ซิ่นเฉิง!”

“...”

“ซิ่นเฉิง!”

เสียงนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เทียนอี้ดูจะควบคุมสติของตนไว้ไม่ได้ มือเขย่าร่างของคนรักที่แน่นิ่งไปหลายต่อหลายครั้ง ทำเอาเจี้ยนสือที่ควบม้าไล่ตามหลังมาหยุดเทียบข้าง ครั้นมองไปยังใบหน้าซีดเผือดของมนุษย์หนุ่ม เขาก็ชาวาบไปทั้งกายพร้อมกับความปวดร้าวที่แล่นพล่านเข้ามายังหัวใจ

ซิ่นเฉิง... เจ้าแมวป่าของเขา... จากไปแล้ว

“ซิ่นเฉิง! ข้าเรียกเจ้าได้ยินหรือไม่! ซิ่นเฉิง!”

“เทียนอี้... เขาตายแล้ว”

เจี้ยนสือจำต้องเอ่ยขัดขึ้นมา เทียนอี้หันขวับไปมองสหาย พลันก็มีสีหน้ากราดเกรี้ยว

“เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร! ซิ่นเฉิงไม่เป็นอะไร ซิ่นเฉิงยัง...”

“เขาตายแล้วเทียนอี้! เขาตายแล้ว! ซิ่นเฉิงตายแล้ว!”

เจี้ยนสือตะเบ็งสวน เขาเองก็ไม่อยากจะยอมรับความจริงนี้เหมือนกันนั่นแหละ แต่ก็มิอาจจะหลีกเลี่ยงได้

สิ้นเสียงเขา เทียนอี้ก็นิ่งงันไป

ใช่... เจี้ยนสือพูดถูก ในอ้อมแขนเขาตอนนี้หาใช่ซิ่นเฉิงที่มีเลือดเนื้ออีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นซากศพไร้วิญญาณเท่านั้น

ทำไม...

ทำไมกัน! สวรรค์ถึงได้ลงทัณฑ์เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพียงนี้!

ความแข็งแกร่งที่เคยมีมลายหายสิ้นราวกับหินผาที่ถูกน้ำฝนกัดเซาะเสียป่นปี้ เทียนอี้ไม่อาจทนรับความเจ็บปวดนี้ได้ไหว เมื่อครั้งที่หลิวซูตาย เขาก็ปวดใจจนไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้แล้ว ในครั้งนี้เขามีรักใหม่ สวรรค์ก็ยังมาพรากคนรักของเขาไปอีก

ทำไมถึงไม่เห็นใจกันบ้าง!

“พอพระทัยแล้วสินะองค์เง็กเซียน! พระองค์พอพระทัยแล้วใช่ไหม!”

เทียนอี้แผดเสียง เงยหน้าขึ้นบริภาษผู้เป็นใหญ่ในแดนสวรรค์ จากนั้นก็ร่ำไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น สองแขนโอบร่างเย็นเยียบของซิ่นเฉิงไว้แน่น

เขาจะต้องทำอย่างไร... ต้องทำอย่างไรถึงจะได้มนุษย์ผู้นี้คืนมา?

ภาพนั้นช่างน่าอดสูแก่เจี้ยนสือที่มองอยู่นัก เขาทนไม่ได้ถึงกับต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ขอบตาร้อนผะผ่าวราวกับมีผู้ใดมาจุดเทียนลนอย่างไรอย่างนั้น

เขาเองก็เสียใจไม่แพ้กัน หากแต่มิอาจเสียใจมากกว่าได้ ไม่เช่นนั้นทั้งเขาและเทียนอี้จะไม่เป็นผู้เป็นคนกันทั้งคู่

หากจะมีผู้ใดวิปลาส ก็เป็นเทียนอี้แต่เพียงผู้เดียวพอแล้ว...

เทียนอี้วิปลาสจริงอย่างที่เจี้ยนสือคิด เขาพร่ำก่นด่าสวรรค์สลับกับร่ำไห้คำรามไม่หยุดหย่อน ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้

ดวงตาสีทองอำพันจับจ้องไปยังดวงจันทร์ที่สาดทอแสงลงมา...

การเป็นเทพจะมีความหมายอะไรกันถ้าหากเขาต้องสูญเสียคนรักไปครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้?

พลันก็นึกชิงชังการเป็นเทพสวรรค์ขึ้นมา

ปราบปีศาจได้แล้วจะได้คืนสู่สวรรค์ในฐานะเทพอย่างนั้นหรือ? ฮึ! ไม่เอาหรอก เอาชีวิตของซิ่นเฉิงคืนมายังดีเสียกว่า!

คิดเช่นนั้นแล้วก็พลันฉุกใจขึ้นมาได้

ได้กลับคืนเป็นเทพอย่างนั้นหรือ? หากจำไม่ผิด องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ได้มีรับสั่งว่าจะประทานพรให้แก่เทพอสูรทุกตน เขายังไม่ได้ขอพรใด ถ้าเช่นนั้น...

สายตาเหลือบมองยังร่างไร้วิญญาณของซิ่นเฉิงทันที

พรที่เขามี ...เขาจะขอมอบมันให้กับมนุษย์ผู้นี้

จะมอบให้ทั้งหมด ต่อให้เขาต้องสูญสิ้น เขาก็ยินดีหากได้ชีวิตของซิ่นเฉิงกลับคืน

“ข้าขอ... ขอให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อ...ซิ่นเฉิง ข้าขอให้เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อข้า...”

สิ้นเสียงก็โน้มใบหน้าลงต่ำ ประทับจูบแผ่วเบาบนริมฝีปากซีดเผือดของซิ่นเฉิงราวกับจะส่งพรนั้นไปให้กับคนตรงหน้า ครั้นถอนริมฝีปากออกมา แสงสว่างก็ประกายวาบโอบอุ้มร่างของซิ่นเฉิงเอาไว้ เจี้ยนสือหันกลับมามองด้วยอารามตกใจ ก่อนที่จะโพล่งขึ้นเมื่อเห็นว่าร่างกายของสหายค่อยๆ เลือนรางลงทีละน้อย

“เทียนอี้... เจ้า...”

เทียนอี้ชำเลืองมองไปทางสหาย ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นน้อยๆ ราวกับรู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น

“เจี้ยนสือ ต่อจากนี้ข้าขอฝากด้วย”

เลือนรางจนกลายเป็นฝุ่นผงธุลีและกระจายหายไปตามสายลมที่โบกโบย ทิ้งไว้เพียงซิ่นเฉิงที่ฉับพลันก็หายใจเฮือกออกมา ก่อนที่เขาจะลืมตาโพลง กวาดมองไปรอบๆ ด้วยประหลาดใจว่าตนมาอยู่บนหลังม้าได้อย่างไร ก็ในเมื่อก่อนหน้านี้เขา...

สายตาปะทะเข้ากับเจี้ยนสือซึ่งยังคงมองอยู่ข้างๆ ก่อนจะเปล่งเสียง

“เจี้ยนสือ?”

หากแต่พอไม่เห็นใครอีกคนที่น่าจะอยู่กับเขามากกว่าคนตรงหน้า ปากก็ร้องถามทันควัน

“แล้วเทียนอี้ล่ะ เทียนอี้อยู่ไหน”

เจี้ยนสือหนักใจนักที่จะพูดความจริงออกไป เขาได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสับสนยิ่ง ทั้งดีใจที่เห็นซิ่นเฉิงฟื้นคืนดังเดิม ทั้งเสียใจที่ต้องสูญเสียสหายซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขไปตลอดกาล

“ว่าอย่างไร เทียนอี้อยู่ไหน!”

เห็นไปพูดสักที ซิ่นเฉิงก็ถามออกมาอย่างร้อนรน รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี เจี้ยนสือทอดถอนหายใจ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“เขา...ก็อยู่กับเจ้าแล้วอย่างไรล่ะ”

ซิ่นเฉิงไม่เข้าใจนัก แต่ก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เจี้ยนสือบอกนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่ ขณะที่เจี้ยนสือเหลือบมองไปยังมวลไอบางอย่างที่ก่อรูปก่อร่างขึ้นอยู่ทางด้านหลังของซิ่นเฉิง มวลนั้นก็คือ...

...เทียนอี้

หากแต่ซิ่นเฉิงไม่เห็น มีเพียงเหล่าเทพและปีศาจเท่านั้นที่มองเห็นได้ กระนั้น...เขาก็กลับมาแล้ว

...กลับมาในสถานะอากาศธาตุ กลับแดนสวรรค์ก็ไม่ได้ ไปสู่ปรโลกก็ไม่ได้ เวียนว่ายอยู่ในระหว่างสามโลกอย่างไม่มีที่สิ้นสุดชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่เทียนอี้ก็ยินดียิ่งที่จะอยู่ในสถานะนี้

รอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่มุมปากของอดีตแม่ทัพสวรรค์ สายตาจับจ้องไปยังคนรักด้วยสุขล้ำที่ได้คืนชีวิตให้กับคนตรงหน้า

ต่อให้เขาต้องสละทุกสิ่ง เขาก็ยินดีหากมันเป็นไปเพื่อซิ่นเฉิง

พรจากสวรรค์ประการนั้น...ส่งผลให้เทียนอี้สถิตอยู่กับผู้เป็นที่รักตราบนิจนิรันดร์แล้ว

------------------------------------------

มาต่อให้แล้วค่ะ หายไปนานเลย ฮา เดี๋ยวจะมาลงให้จนจบนะคะ เหลือตอนหน้ากับบทส่งท้ายก็จบละ ที่เหลือจะเป็นตอนพิเศษ ไปติดตามต่อในเล่มเน้อ

ลบข้อความการประกาศขายนิยายออกนะคะ
เรื่องยังอยู่ห้องนิยาย นิยายยังลงไม่จบ ห้ามประกาศขายในกระทู้ทั้งสิ้น

BaoBao
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 30: พรจากสวรรค์[27/03/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-03-2018 23:07:12
 :hao7: :sad11: :hao7:



 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 30: พรจากสวรรค์[27/03/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: junpa ที่ 27-03-2018 23:59:07
ม้ายยยยยย เทียนอี้ :ling1: :ling1: :hao5: :mew6:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 30: พรจากสวรรค์[27/03/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 28-03-2018 12:41:41
ไม่เอา ไม่จบแบบเทียนอี้หายไปอย่างนี้นะ :sad4: :serius2: :o12: จะแบบแฮปปี้ใช่มั๊ย
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 30: พรจากสวรรค์[27/03/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 28-03-2018 14:49:40
เฮ้ย...ไม่ได้ๆ แบบนี้ไม่ได้
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 30: พรจากสวรรค์[27/03/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 28-03-2018 17:33:37
 :sad11: :sad11: :sad11:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 30: พรจากสวรรค์[27/03/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 28-03-2018 18:03:02
บทที่ 31: ตราบนิจนิรันดร์


หลังจากวันนั้น เจี้ยนสือก็เล่าให้ฟังจนหมดสิ้นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเทียนอี้ ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้ซิ่นเฉิงแทบจะสติวิปลาส กว่าเขาจะทำใจยอมรับการจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนของเทียนอี้ได้ก็ใช้เวลาจวบปี และไม่ใช่เพียงแต่เขาที่มิอาจทำใจยอมรับ พ่อบ้านเหลียงเองก็ไม่สามารถทำใจได้เช่นกัน ถึงจะคืนร่างเป็นเทพแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมกลับสวรรค์ พำนักอยู่ที่จวนของแม่ทัพใหญ่เทียนอี้ยังแคว้นเฟิงฝูด้วยหวังว่าสักวัน ผู้เป็นนายจะกลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิม

หากทว่า...เทียนอี้ไม่กลับไปอีกแล้ว เขากลายเป็นอากาศธาตุ ดังนั้นหน้าที่ของเขาคือการติดตามซิ่นเฉิงไปทุกหนทุกแห่ง ต่อให้ซิ่นเฉิงมองไม่เห็นเขา แต่เขาก็หาได้สนใจไม่

ขอเพียงได้อยู่กับคนที่เขารัก... เทียนอี้ก็ไม่สนใจแล้วว่าตนจะเป็นอย่างไร

ไม่แม้แต่จะบอกซิ่นเฉิงให้รับรู้ด้วยซ้ำว่าตนยังอยู่ด้วย ยังไม่ไปไหน และจะอยู่เคียงข้างตราบนิจนิรันดร์ เหตุเพราะเกรงว่าการไร้ซึ่งตัวตนของเขาจะสร้างความทุกข์ให้กับซิ่นเฉิง

ความทุกข์ในรักที่ผ่านมานั้นควรจบสิ้นเสียที...

เจี้ยนสือเองก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อสหายไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ เขาจึงกลับกลับคืนสู่การเป็นเทพสวรรค์ กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะทอดมองลงมายังแดนมนุษย์เบื้องล่างเพื่อสังเกตการณ์ดูการกระทำของสหายและมนุษย์คนที่เขารัก

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เจี้ยนสือเหาะลงจากสวรรค์มาลอบดู...

เวลาผันผ่านไปเกือบปี บัดนี้ซิ่นเฉิงได้กลายเป็นหัวหน้าเผ่าทะเลทรายแล้ว ท่าทางเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่แมวป่าจอมดื้อด้านคนเดิม เขาสุขุมมากขึ้น มีความเป็นผู้นำมากขึ้น ที่สำคัญ... ไม่ค่อยยิ้มแย้มเช่นเคย

เป็นเพราะอะไร เจี้ยนสือรับรู้ได้

ก็ในใจของซิ่นเฉิงนั้นยังคงมีแต่ความโศกเศร้า เอาแต่คะนึงหาผู้เป็นที่รักซึ่งจากไป เป็นเช่นนี้แล้วจะให้แย้มยิ้มอย่างไรได้ไหว
นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เจี้ยนสือรำคาญใจอยู่พอตัว

เทียนอี้จากไปที่ไหนกันล่ะ! เจ้านั่นก็อยู่ข้างเจ้านั่นอย่างไร!

เขาคันปากยุบยิบ อยากจะบอกเล่าความจริงนั้นแก่ซิ่นเฉิงเต็มแก่ หากทว่าก็ทำสิ่งใดไม่ได้ด้วยให้สัตย์กับเทียนอี้ไว้แล้ว

‘เหตุใดเจ้าถึงไม่บอก’
‘เพราะข้าไม่อยากให้เฉิงเฉิงต้องเป็นทุกข์’
‘แต่เจ้านั่นรักเจ้า อย่างน้อยก็ให้รู้หน่อยเถิดว่าเจ้ายังอยู่ด้วย’
‘เหตุนั้นอย่างไร ข้าถึงไม่อยากให้รู้ อยู่เคียงข้างไม่ไปไหน หากทว่ามองไม่เห็น สัมผัสก็ไม่ได้ เจ้าคิดว่าเฉิงเฉิงจะทุกข์ใจมากเท่าใดกัน ขอร้องล่ะเจี้ยนสือ เห็นแก่ที่ข้าเป็นสหาย อย่าได้บอกเรื่องนี้กับเฉิงเฉิง...เด็ดขาด’

นึกถึงคำพูดในวันวาน เจี้ยนสือก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ

ผู้ใดว่าซิ่นเฉิงดื้อด้านกัน สหายของเขาดื้อด้านกว่าเป็นไหนๆ

ดังนั้นการมาเยือนโลกมนุษย์ในครั้งนี้จึงเป็นไปแค่เยี่ยมเยือนซิ่นเฉิงเท่านั้น

“มานั่งตากลมตอนกลางคืนผู้เดียวอีกแล้วเจ้าเหมียว”

เสียงคุ้นหูของใครบางคนเรียกสายตาของซิ่นเฉิงที่นั่งกอดเข่าอยู่บนผืนทรายให้หันไปมอง ก่อนจะเห็นแสงสว่างวาบพุ่งลงมายังพื้นเบื้องล่างและกลายร่างเป็นชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์ของแม่ทัพใหญ่แห่งสรวงสวรรค์

“แล้วเจ้าว่างมากหรืออย่างไรถึงได้ลอบลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์บ่อยครั้งนัก”

พอเห็นว่าเป็นเจี้ยนสือ ซิ่นเฉิงก็ว่าเย้าน้อยๆ เขาพบเจี้ยนสือบ่อยครั้งเหลือเกินในตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ตั้งแต่เทียนอี้จากไป เจี้ยนสือก็เทียวมาดูแลเขาไม่ห่างหายไปไหน คราแรกแม้จะเข้าหาด้วยหวังจะให้เขาเปลี่ยนใจไปมีรักให้ แต่เมื่อเวลาผันผ่านไปและแน่ชัดแล้วว่าไม่ว่าอย่างไร ซิ่นเฉิงก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจ ต่อให้ไม่พบหน้าเทียนอี้อีกชั่วนิรันดร์ หัวใจของเขาก็มิอาจรัก

เจี้ยนสือได้ อดีตเทพอสูรงูจงอางจึงไม่ตอแย แปรผันจากผู้ที่หมายจะครอบครองดวงใจมาเป็นสหายที่คอยแวะเวียนมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามที่เทียนอี้ได้ฝากฝังไว้

วันนี้ก็คงจะมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอีกเช่นกัน สิ้นเสียงของมนุษย์หนุ่ม เจี้ยนสือก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างกาย

“ระยะนี้สวรรค์สงบสุขนัก ไร้ซึ่งปีศาจ ไร้ซึ่งเทพพาล ข้าจึงลงมาเที่ยวให้สำราญใจ”
“ก็แน่อยู่แล้วที่สวรรค์จะไร้ซึ่งเทพพาล ก็เทพพาลองค์นั้นนั่งอยู่ตรงข้างข้าแล้วนี่”

คำเย้านั้นเรียกเสียงหัวเราะให้กับเจี้ยนสือได้เป็นอย่างดี
“เจ้านี่ ดูท่าทางจะอารมณ์ดี ช่วงนี้คงทำใจเรื่องเทียนอี้ได้แล้วกระมัง”

หากแต่ถามไถ่ไม่ถูกจังหวะไปเสียหน่อย ซิ่นเฉิงที่ยิ้มบางๆ อยู่เมื่อครู่หน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะทอดสายตามองไปยังดวงจันทร์ที่ทอแสงสาดส่องลงมายังพื้นทราย

“ไม่ใช่ว่าทำใจได้ แต่ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้เทียนอี้เห็นข้าทุกข์ตรมตลอดเวลา”
คำพูดนั้นทำเอาเจี้ยนสือขมวดคิ้ว
“ไม่อยากให้เจ้านั่นเห็นเจ้าทุกข์ตรม?”

“ข้ารู้สึกว่าเทียนอี้ยังไม่จากข้าไปไหน อาจจะอยู่ที่ใดสักแห่งและเฝ้ามองข้าอยู่”

คนฟังถึงกับพูดไม่ออก ซิ่นเฉิงก็มองไม่เห็นเทียนอี้ไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดถึงพูดราวกับว่า...

สายตาชำเลืองไปมองยังเงารางเลือนของเทียนอี้ที่นั่งอยู่อีกข้างของซิ่นเฉิงทันที เทียนอี้สบตากับส่ายพลันส่ายหน้าน้อยๆ เป็น
เชิงบอกว่า ‘ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไม่ได้บอก’

ก็แน่อยู่แล้ว... หากพูดคุยกับซิ่นเฉิงได้ มีหรือที่ซิ่นเฉิงจะไม่รู้ว่าเทียนอี้ยังคงนั่งอยู่ข้างๆ ที่ชายหนุ่มพูดมาอย่างนั้นคงจะเป็นเพราะอุปาทานไปเองมากกว่า

“เจ้านั่นเฝ้ามองเจ้าอยู่ตลอดแหละ”
“เจ้าหมายความว่า...”
“จากที่ใดสักแห่ง...”

เจี้ยนสือว่า จากนั้นก็ไร้ซึ่งการพูดคุยใดๆ มีเพียงรอยยิ้มบางเบาของซิ่นเฉิงและความเงียบงันที่เกิดขึ้นระหว่างที่ทั้งคู่นั่งเคียงข้างกันกระทั่งย่างเข้าสู่กลางดึกเท่านั้น

ไม่นานนัก ซิ่นเฉิงก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ทำเอาเทพหนุ่มต้องช้อนอุ้มอีกฝ่ายไปส่งยังกระโจมหัวหน้าเผ่าที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่นั่ง ครั้นบิดาและน้องสาวของซิ่นเฉิงเห็นก็พากันคุกเข่าขอบคุณเป็นการใหญ่ ด้วยพวกเขาก็ตามหาตัวซิ่นเฉิงมาตั้งแต่เมื่อยามก่อนแล้ว

เจี้ยนสือกลับออกมา หากแต่ไม่เหาะกลับสวรรค์ไปในทันที เขาเหลือบมองไปยังเงารางเลือนของสหาย ก่อนจะพยักหน้าเรียกเบาๆ

เทียนอี้ซึ่งกำลังจะเข้าไปในกระโจมชะงัก ยอมเดินตามอีกฝ่ายไปโดยดี ครั้นมาถึงยังที่ปลอดคน เจี้ยนสือก็เปิดปากขึ้น

“เจ้าจะทำอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน”
“ทำอะไร”
“เฝ้าตามเจ้าแมวนั่น เจ้าจะทำเช่นนี้อีกนานเท่าใด”
“ก็คง...ตราบเท่าที่ซิ่นเฉิงมีลมหายใจ”
“แต่ต่อให้เจ้านั่นตายเป็นผี เจ้านั่นก็ไม่มีทางรับรู้เลยว่าเจ้ายังอยู่ข้างๆ เทียนอี้... เจ้าให้ข้าบอกไปเถิดว่าเจ้ายังอยู่ ข้ามิอาจทนเห็นซิ่นเฉิงโศกเศร้าเพราะเจ้าได้อีกแล้ว”

เทียนอี้เข้าใจ แต่เขาก็ไม่คิดว่าการบอกไปนั้นจะทำให้ซิ่นเฉิงหายโศกเศร้ากว่าเดิมได้ ดังนั้นจึงตัดบทเอาห้วนๆ

“ที่ผ่านมา ข้าขอบน้ำใจเจ้ามากที่คอยดูแลเฉิงเฉิงให้ แต่เรื่องของข้าก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของข้า เจ้าอย่าได้ยื่นมือเข้ามา”
คำพูดนั้นทำให้เจี้ยนสือไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง

ไม่ให้เขายื่นมือเข้าไปอย่างนั้นหรือ? เขาก็ไม่อยากยุ่งนักหรอกถ้ามนุษย์ผู้นั้นไม่ใช่...

“แต่นั่นคือหลิวซู! เทียนอี้! ซิ่นเฉิงคือหลิวซู!”

ประโยคนั้นทำให้เทียนอี้ที่หันหลังให้กับสหายชะงักงัน สีหน้าเมื่อหันมามองยังเจี้ยนสือดูตกใจเป็นอย่างมาก ขณะที่เจี้ยนสือย้ำอีกครั้ง

“เขาคือหลิวซูกลับชาติมาเกิด”

เป็นความลับที่เจี้ยนสือไม่เคยคิดจะบอกกับเทียนอี้ด้วยกลัวว่าความรักที่มีให้ซิ่นเฉิงนั้นจะแปรเปลี่ยนไป หากแต่เทียนอี้กลับนิ่งงันเมื่อได้ยินอีกฝ่ายย้ำคำในครั้งนี้

คือหลิวซูกลับชาติมาเกิดแล้วอย่างไร ในเมื่อในใจของเขาตอนนี้มีเพียงแต่...

“แต่หัวใจของข้ามีเพื่อซิ่นเฉิงผู้เดียว”
“เจ้าหมายความว่า...”
“ถึงข้าจะเคยมีใจรักหลิวซู แต่บัดนี้คนที่ข้ารักจะมีเพียงซิ่นเฉิงเท่านั้น”

เท่านั้นก็เรียกรอยยิ้มให้กับเจี้ยนสือได้พร้อมกับภูเขาที่ถูกยกออกจากอก

รักซิ่นเฉิง...

เทียนอี้รักซิ่นเฉิงมากเกินกว่าที่เขาจะคาดเดาได้จริงๆ...

พลันเทียนอี้ก็ผละจากไป ร่างเลือนรางหายเข้าไปในกระโจม ปล่อยให้ผู้เป็นสหายทอดมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายกระทั่งหายลับไปสุดสายตา

หากเป็นเช่นนั้น...ข้าก็เบาใจแล้ว

รักเจ้าเหมียวแทนข้าผู้นี้ที...



 
หมดเรื่องหนักใจ เจี้ยนสือก็กลับคืนสู่สรวงสวรรค์ กระนั้นเขาก็ยังคงมิอาจละเรื่องทางโลก แม้ว่าระยะนี้เขาจะไปเยี่ยมเยือนซิ่นเฉิงน้อยลง แต่ก็ไม่วายไปแอบลอบมองดูอยู่ไกลๆ บ้าง เห็นเทียนอี้ยังคงคอยตามเป็นเงาติดตัว เขาก็อดเวทนาขึ้นมาไม่ได้

ทั้งที่รักกันจนมิอาจแยก แต่เหตุใดสวรรค์ถึงไม่เห็นใจให้ทั้งสองได้เคียงครองกัน?

เขาเฝ้าพร่ำถามตนเช่นนี้ไม่หยุดหย่อน เขาเองก็รักซิ่นเฉิงมากไม่แพ้กัน แต่ความรักของเขามิอาจเทียบเท่าความรักของเทียนอี้
ความรักที่เต็มไปด้วยการเสียสละ...

เขามิอาจทำได้และไม่เคยทำได้

แต่...ครั้งนี้เขาจะทำ

ด้วยอดเวทนาสหายและคนที่ตนรักไม่ได้ เจี้ยนสือจึงออกจากตำหนักตนไปหารือกับหมิงจูซึ่งพำนักอยู่ไม่ไกล ครั้นเอ่ยความปรารถนาของตนให้อีกฝ่ายฟังจนเสร็จสิ้น หมิงจูก็มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาฉับพลัน

“เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะทำเช่นนั้นจริงๆ?”
ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ขณะที่เจี้ยนสือยกน้ำจัณฑ์ทิพย์ขึ้นดื่ม ก่อนจะตอบรับอีกครั้ง
“ข้าแน่ใจแล้ว”
“แม้ว่าเจ้าจะต้องสูญเสียพลังในการเป็นเทพน่ะหรือ?”

คนถูกถามพยักหน้ารับมาอีกครั้ง เท่านั้นหมิงจูก็จนปัญญา

“เรื่องของพวกเจ้าทั้งสามทำให้ข้าปวดหัวไม่จบไม่สิ้นเสียจริง”
ตามมาด้วยบ่นกระปอดกระแปดให้เจี้ยนสือได้หัวเราะร่วน
“เอาเถิดน่า ข้ารับปากว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย”
“แต่เจ้าจะกลายเป็นเพียงเทพเล็กๆ เท่านั้น เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าตบะที่เจ้าสั่งสมมามันคุ้มค่ากับการแลกเปลี่ยนนี้?”

เจี้ยนสือไม่พยักหน้าหรือตอบรับใด นอกจากจะว่าเสียงเรียบ

“ถือว่าช่วยข้าสักครั้งแล้วกันหมิงจู หากเจ้ายินยอม เจ้าจะไม่ได้ช่วยเพียงข้า แต่ช่วยเทียนอี้และซิ่นเฉิงด้วย”

ย่อมแน่ว่าสหายอย่างหมิงจูย่อมช่วยสหายทั้งสองอยู่แล้ว แต่เจ้ามนุษย์นั่น... เขาไม่อยากจะช่วยนักหรอก ทว่าในเมื่อเจี้ยนสือผู้ซึ่งไม่เคยเห็นหัวผู้ใดมาขอร้องให้เขาช่วยเหลือถึงเพียงนี้ มีหรือที่เขาจะกล้าขัดน้ำใจได้ลง

“ก็ได้ๆ ข้าจะช่วยเจ้าพูดเอง แต่เจ้ามั่นใจแล้วสินะว่าจะยอมรับผลที่ตามมาได้”
ยังคงถามซ้ำไปซ้ำมา เจี้ยนสือหัวเราะน้อยๆ
“ข้ามั่นใจ เจ้าไม่ต้องถามข้าอีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็อยากทำให้คนที่ข้ารักมีความสุข”

หมิงจูระบายลมหายใจ ไม่ว่าอย่างไร สองเทพสหายของเขาก็ยังเห็นเจ้าเทพชั้นผู้น้อย... ไม่...ไม่ใช่... ยังคงเห็นเจ้ามนุษย์ผู้นั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดอยู่ดี

“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า ข้าจะส่งคนไปทูลฝ่าบาทว่าจะขอเข้าเฝ้า เจ้าไปเตรียมตัวให้พร้อมเถิด”



 
เผ่าทะเลทรายยังคงเร่ร่อนระหกระเหินไปตามวิถี ในยามนี้ซิ่นเฉิงเป็นผู้นำเผ่า เขาไร้ซึ่งความหุนหันพลันแล่นโดยสิ้นเชิง ท่าทีที่เปลี่ยนไปสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเขาเป็นอย่างมาก จากชายหนุ่มใจร้อนก้าวขึ้นสู่ผู้นำของทุกชีวิต ผู้ใดเลยจะรู้ว่าสักวันหนึ่ง เขาจะกลายเป็นที่พึ่งพาของเหล่าพี่น้องในเผ่าเช่นนี้

แต่นั่น...คือสิ่งที่เขาควรกระทำ

อันที่จริงเขาควรกระทำมาตั้งแต่ตอนที่เทียนอี้ยังปรากฏกายให้เขาเห็นด้วย

หากเขาไม่หุนหันพลันแล่น ยืนกรานเด็ดขาดว่าจะไปจากเทียนอี้ เขาคงจะไม่ต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้

พลัดพรากลาจากไม่รู้ทิศ...

เทียนอี้... ตอนนี้เจ้าอยู่แห่งหนใดกัน?

ชายหนุ่มเหม่อมองดวงจันทร์ที่ทอแสงเหลืองนวลกระทบผืนทราย คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เขามานั่งเหม่อมองความงามของดวงจันทร์พลางพร่ำถามหาถึงคนรักที่จากไป

จากไปไหน อยู่แห่งใด เป็นตายร้ายดีเช่นไร เขามิอาจรู้ได้เลยแม้แต่น้อย คราแรกเขาเคยคิดว่าเทียนอี้คงจะกลับไปเป็นเทพบนสวรรค์ แต่เห็นสีหน้าของเจี้ยนสือที่ดูทุกข์ใจยิ่งแล้ว เขาก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอาเพศกับคนรักของเขาเป็นแน่ ในตอนนั้นชายหนุ่มเร่งรีบกลับไปยังแคว้นเฟิงฝู มุ่งหน้าสู่จวนของเทียนอี้ หากแต่มันกลับกลายเป็นเพียงอดีตจวนของแม่ทัพใหญ่ ภายในนั้นไร้ซึ่งผู้คน จะมีก็แต่เพียงพ่อบ้านเหลียงในร่างเทพที่เฝ้าวนเวียนอยู่ที่นั่น

‘เจ้าจระเข้ เทียนอี้ไปไหน’

‘ท่านแม่ทัพเทียนอี้...ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว’

ซิ่นเฉิงยังคงจำคำพูดของพ่อบ้านเหลียงให้ดี เป็นการตอบที่ไม่ตรงกับคำถามเลยสักนิด กระนั้นก็ทำให้ซิ่นเฉิงเข่าอ่อนไปได้ โลกทั้งโลกดำมืด เขารู้สึกราวกับคนที่สูญสิ้นทุกอย่าง เกือบหนึ่งปีที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอ้างว้างนั้นสอนให้เขาเรียนรู้ว่า...การมีชีวิตอยู่โดยไร้ซึ่งเทียนอี้ มันช่างไร้ความหมายนัก

‘ข้าขอให้เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อข้า...’

หากแต่น้ำเสียงคุ้นหูที่ดังก้องอยู่ในภวังค์กลับทำให้เขาต้องกัดฟันทน

ต่อให้ต้องรวดร้าวในใจเพียงใด เขาก็จะต้องมีชีวิตอยู่

คิดดังนั้นจึงพอจะต่อให้ออกปากถามเจี้ยนสือ อีกฝ่ายก็ย้ำแค่ว่าเทียนอี้ยังอยู่กับเขา

อยู่หรือ? อยู่อย่างไร ไยไม่ได้พบหน้ากัน!

เพียงคิด ขอบตาก็ร้อนผะผ่าว ซิ่นเฉิงกะพริบตาปริบสองสามครั้งเพื่อไล่หยดน้ำตา ไม่เคยมีเลยสักวันที่เขาจะไม่คิดถึงผู้ที่จากไป
หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ดื้อรั้น จะไม่กระทำสิ่งใดให้เทียนอี้ลำบากใจ จะดีกับอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ และจะรัก... จะรักตราบที่คนผู้หนึ่งจะรักใครอีกคนได้

ฝ่ามือหนายกขึ้นดึงเครื่องประดับผมที่เทียนอี้เคยมอบให้มาไว้ในอุ้งมือ ปลายนิ้วเรียวลูบไปบนเขี้ยวสุนัขป่าอย่างแผ่วเบา
มีเพียงสิ่งนี้ที่พอจะเป็นตัวแทนของเทียนอี้ได้...

เขาดึงมันมาแนบที่หน้าอก สูดหายใจเข้าเพื่อระงับความรวดร้าวที่แผ่ซ่านภายใน

คิดถึง...
ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน...

ในที่สุดน้ำตาก็ร่วงเผาะตกกระทบผืนทราย ความเข้มแข็งที่แบกอยู่บนบ่า บัดนี้มลายหายสิ้นราวกับไม่เคยมีมาก่อน เสียงสะอื้นไห้ดังลอยมาตามลม พัดพาเข้าโสตสัมผัสของผู้ที่เฝ้ามองอยู่เคียงข้าง

“เฉิงเฉิง อย่าร้องไห้...”

เทียนอี้ว่าเสียงแผ่ว เอื้อมมือโปร่งแสงไปหมายจะลูบศีรษะอีกฝ่ายเป็นการปลอบ หากแต่ก็มิอาจกระทำได้ด้วยไม่สามารถจับต้องกายของคนตรงหน้า

เจ็บปวด...

เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส...

ทั้งที่ได้อยู่ข้างกัน แต่มิอาจกระทำสิ่งใดได้เลย เพียงแค่ปลอบใจให้อีกฝ่ายได้สงบลง เขาก็ไม่สามารถทำได้

การเป็นอยู่เช่นนี้มันทำให้ซิ่นเฉิงมีความสุขจริงๆ อย่างนั้นหรือ?

เทียนอี้ตระหนักขึ้นมาได้ว่าบางทีการมอบชีวิตคืนให้กับซิ่นเฉิงนั้น แท้จริงแล้วมันเป็นการทรมานให้อีกฝ่ายต้องตายทั้งเป็นมากกว่า

“อย่าร้อง... ข้าขอร้องเฉิงเฉิง อย่าร้องไห้เพื่อข้าอีกเลย”

ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่พึมพำอยู่ข้างกายของมนุษย์หนุ่มที่ซบหน้าลงบนฝ่ามือซึ่งถือเครื่องประดับอันเป็นของต่างหน้าที่เขามอบให้เท่านั้น

ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเทียนอี้บีบรัด

เขาจะต้องทำอย่างไร... ต้องทำอย่างไรถึงจะหยุดน้ำตาของบุรุษผู้นี้ไว้ได้!?

ความทรมานนี้สร้างบาดแผลมากมายให้กับทั้งมนุษย์และเทพ... ไม่สิ ไม่ใช่เทพ เขาเป็นเพียงอากาศธาตุ สิ่งนี้นี่แหละที่ทำให้ทั้งเขาและซิ่นเฉิงทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์

หากแต่ความโศกเศร้าของเทียนอี้ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อหูพลันได้ยินเสียงคุ้นเคย

“เจ้าเห็นผลร้ายของการไม่ยอมให้ข้าบอกไปหรือยังว่าเจ้ายังอยู่”

ครั้นหันหลังไปมองก็เห็นว่าเป็นเจี้ยนสือที่ยืนกอดอกมองอยู่ไม่ไกล ร่างที่มีแสงเรืองรองน้อยๆ ทออยู่รอบกายนั้น บ่งบอกให้เทียนอี้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้สำแดงกายให้มนุษย์หนุ่มเห็น

“เจ้าพูดถูก เห็นทีคงต้องบอก”

เทียนอี้ยอมจำนนจนได้ อย่างน้อยการที่ซิ่นเฉิงได้รับรู้ว่าเขายังคงอยู่เคียงข้างก็น่าจะพอทำให้คลายความโศกเศร้าได้บ้าง

เจี้ยนสือได้ยินแล้วก็พยักหน้า หากแต่เขากลับไม่ขันอาสาอย่างที่ควรจะเป็น ทว่ากลับโพล่งสวนมาแทน

“เช่นนั้นเจ้าคงต้องบอกเอง”
เรียวคิ้วของคนฟังย่นยู่ทันที “เจ้าหมายถึง...”
“เจ้าจะเป็นผู้บอกเรื่องนี้แก่ซิ่นเฉิงด้วยตนเอง”
คำพูดนั้นทำให้คนฟังอึ้งงันไปในทันที
“เจี้ยนสือ... หรือว่าเจ้า...”

เจี้ยนสือพยักหน้า เท่านี้ก็เป็นอันรับรู้กันว่าที่เขาบอกว่าจะให้เทียนอี้เป็นผู้บอกด้วยตนเองนั้นหมายถึงอย่างไร
เทียนอี้ซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ พลันทิ้งตัวลงคุกเข่า ยกมือขึ้นคำนับสหาย

“บุญคุณของเจ้าครั้งนี้ ข้าจะไม่มีวันลืม”

จากนั้นก็ก้มลงจนหน้าผากแนบพื้น เจี้ยนสือเห็นแล้วก็ยกยิ้ม

“ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้า” เขาว่า “แต่ทำเพื่อชดเชยความผิดที่ข้าได้ก่อไว้กับหลิวซู จากนี้ต่อไป ข้าขอให้เจ้า...รักเขาแทนข้าด้วย”

สิ้นเสียง แขนทั้งสองข้างของเจี้ยนสือก็ผายออก แสงสว่างวาบประกายออกจากร่างของเทพหนุ่ม ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าหาร่างของใครอีกคนที่คุกเข่าหมอบอยู่บนพื้น ชั่วพริบตาเดียว ร่างกายเลือนรางก็ค่อยๆ มีเลือดเนื้อขึ้นมา

ไออุ่นประหลาดที่ก่อตัวขึ้นไม่ไกลจากข้างกายเรียกให้ซิ่นเฉิงต้องหันไปมอง ฉับพลันก็ต้องหยุดร้องไห้ เบิกตาโต อ้าปากค้างด้วยตะลึงงัน อากาศธาตุที่อยู่ข้างๆ เขาค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างทีละน้อย ก่อนจะปรากฏภาพฉายชัดของใครบางคนที่เขาคุ้นเคยดี

“จะ...เจ้า...”

ซิ่นเฉิงครางออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา ขณะที่เทียนอี้ค่อยๆ ผุดลุกจากพื้น เหยียดตัวตรง มองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าคร้าม

“ข้าเอง...”

ซิ่นเฉิงแทบไม่เชื่อสายตา คนที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า...ทะ...เทียนอี้!?

สองเท้าของบุรุษทะเลทรายก้าวออกไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว กระทั่งมาประชิดกับอีกฝ่าย กายเนื้อที่มีความอุ่นร้อนนั้นทำให้ซิ่นเฉิงอดไม่ได้ที่จะยกมืออันสั่นเทาไปสัมผัสยังซีกแก้มของอีกฝ่าย ครั้นรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือเรื่องจริง หาใช่ภาพลวงตา หยดน้ำตามากมายก็ไหลทะลักออกมาด้วยความยินดี

“ขะ...ข้าฝันไปหรือไม่?”

เทียนอี้ส่ายหน้าพลัน “เจ้าไม่ได้ฝัน เป็นข้า... ข้าเอง เจ้าหมาของเจ้า”

มือใหญ่ยกขึ้นกุมมือของอีกฝ่ายที่ประคองใบหน้าของตนอยู่ บีบเบาๆ เป็นการย้ำว่าเขาคือความจริงที่ประจักษ์ได้ เท่านั้นซิ่นเฉิงก็ไม่ใคร่สงสัยสิ่งใดอีก โผเข้ากอดแน่นอย่างโหยหา ไม่ต่างจากเทียนอี้ที่โอบกอดร่างนั้นด้วยความรักใคร่ ใบหน้าซุกลงมาบนไหล่กว้าง สูดดมกลิ่นกายอันคุ้นเคยของกันและกัน

เขากลับมาแล้ว...

กลับมาแล้วในร่างของมนุษย์...

แต่จะเป็นไปได้อย่างไรนั้น ซิ่นเฉิงก็หาได้สนใจในยามนี้ เขาสนใจเพียงอย่างเดียวว่ายามนี้ความทุกข์ตรมของเขาได้รับการปัดเป่าแล้วเท่านั้น

“ยะ...อย่าไปไหนอีก... อย่าจากข้าไปไหนอีก...”

เสียงนั้นสั่นไหว พร่ำบอกไม่หยุดหลายต่อหลายครั้ง

“อย่าไป... เจ้าหมา เจ้าอย่าไปไหนอีก...”

เสียงนั้นกระตุ้นให้เทียนอี้โอบกอดแนบแน่นมากขึ้นไปอีก ก่อนที่เขาจะกระซิบเสียงพร่าออกมา
“ข้าจะอยู่กับเจ้า... ตราบนิจนิรันดร์”

จากการร้องไห้ด้วยทุกข์โศกกลับกลายเป็นการร้องไห้ด้วยความปีติยินดี เจี้ยนสือซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งแสงประกายเรืองรองดั่งเทพชั้นสูงยังคงไม่สำแดงกายออกมาให้ผู้ใดเห็น ได้แต่ยืนมองบุรุษทั้งสองกอดกันแนบชิด พร่ำบอกรักให้แก่กันอย่างโหยหาภายใต้แสงจันทร์ที่สาดทออาบไล้

หมดสิ้นแล้วซึ่งทุกข์ตรม สองเทพมิอาจรักหรือ? ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ทั้งเทียนอี้และซิ่นเฉิงต่างหากใช่เทพอีกต่อไปแล้ว พลันรอยยิ้มเบาบางก็ปรากฏที่ใบหน้าคร้ามคมของเจี้ยนสือ ก่อนที่เขาจะยกมือของตนที่ปราศจากแสงแห่งเทพขึ้นมอง

เทียนอี้... หลิวซู... ความผิดของข้าที่ผ่านมา ข้าขอชดใช้คืนให้พวกเจ้าในชาตินี้

ขอให้พวกเจ้ามีความสุขตราบนิจนิรันดร์...
 -----------------------------------
ยังไม่จบดีนะคะ มีบทส่งท้ายอีก เดี๋ยวดึกๆ มาอัปให้จ้า ออกไปหาไรกินแป๊บ XD
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทที่ 31: ตราบนิจนิรันดร์[28/03/61]-NEW!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Nov9th ที่ 28-03-2018 21:55:48
บทส่งท้าย

การกลับมาของเทียนอี้นั้นเป็นที่น่ายินดียิ่ง ต่อให้เขากลับมาในร่างของมนุษย์ มีอายุขัย มีเจ็บ มีตาย แต่นั่นก็หาได้สำคัญกับเทียนอี้ไม่ ตราบใดที่เขาได้อยู่เคียงข้างคนรัก ได้ครองคู่จนกว่าจะหมดลมหายใจจากกัน สิ่งใดก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ขณะที่ซิ่นเฉิงเองก็สุขล้นกว่าผู้ใดในใต้หล้า รอยยิ้มที่ห่างหายไปจากใบหน้าหล่อเหลานานจวบปีหวนคืนกลับมาอีกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านเหลียงที่ยังคงเฝ้ารออยู่ยังจวนแม่ทัพ ครั้นรู้ว่าเทียนอี้กลับมาก็ยินดียิ่งจนต้องจัดงานเฉลิมฉลองเสียใหญ่โต

กระนั้น... พ่อบ้านเหลียงก็อดเสียดายไม่ได้ที่การกลับมาในครั้งนี้ของเทียนอี้หาใช่เทพสวรรค์ดังเดิม แต่เป็นมนุษย์...

มนุษย์!

มนุษย์ที่เขาเคยคิดชิงชังหนักหนาว่าเป็นตัวปัญหาที่ทำให้ผู้เป็นนายของตนต้องปวดศีรษะไม่เว้นวัน!

แต่บัดนี้จะชิงชังก็ไม่ได้แล้ว ในเมื่อเทียนอี้ดันเป็นพวกเดียวกับซิ่นเฉิงเสียอย่างนั้น ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะบ่นกระปอดกระแปดเมื่ออดีตแม่ทัพสวรรค์ชักชวนซิ่นเฉิงกลับมาเยี่ยมสหายเก่าถึงแคว้นเฟิงฝู

“ข้าก็หาได้คิดว่าท่านแม่ทัพเทียนอี้จะลดตัวลงถึงเพียงนี้ แล้วดูท่านสิ แต่งกายอะไรกัน อาภรณ์เหล่านี้ใช่อาภรณ์ที่ท่านคุ้นเคยเสียที่ไหน”

พาลพาโลไปต่อว่าเอาอาภรณ์ของชนเผ่าทะเลทรายที่เทียนอี้สวมใส่อยู่ด้วย

ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกเผ่าทะเลทรายไปแล้วนี่นา จะแต่งกายเช่นนี้ก็หาได้ผิดแปลก

“เจ้าอย่าบ่นให้มากความไปหน่อยเลยพ่อบ้านเหลียง ข้ากลับมาก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ? จะมีสถานะเป็นเช่นใดก็หาได้เห็นสำคัญเลย”
“สิ่งนั้นก็ถูกต้องอยู่ขอรับ แต่ข้าก็อดขัดใจอยู่ไม่ได้”

ว่าแล้วก็ชำเลืองไปมองหน้าของซิ่นเฉิงอย่างตำหนิที่ทำให้ผู้เป็นนายของตนต้องกลายเป็นอย่างนี้ หากแต่ซิ่นเฉิงไม่สนใจ ลอยหน้าลอยหน้าหยิบเอาขนมที่พ่อบ้านผู้นี้จัดเตรียมมาให้เข้าปากอย่างสำราญใจ ปล่อยให้เทียนอี้ได้หัวเราะขบขันกับการกระทำนั้น

“เอาเถิดๆ ข้ามาพบเจ้าในคราวนี้ก็เพื่อจะมาบอกเจ้าว่าหาได้ต้องเป็นห่วงแล้ว ยามนี้เจ้าเป็นเทพสวรรค์ เจ้าก็อย่าได้มาปะปนวนเวียนกับมนุษย์อีกเลย กลับไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด หากเป็นห่วงข้าก็ใช้ตาทิพย์มองจากสวรรค์ลงมาก็ได้ ไม่ต้องทำเช่นนี้”

พูดอย่างนั้น พ่อบ้านเหลียงก็ถอนหายใจออกมา
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ในเมื่อท่านแม่ทัพสุขสบายดี ข้าก็คงจะหมดห่วงแล้ว”

“สมควรหมดห่วงได้แล้วล่ะเจ้าจระเข้เฒ่า เจ้ามันจู้จี้จุกจิกตลอดไม่ว่าจะเป็นเทพสวรรค์หรือเทพอสูร”

เสียงนี้เป็นของซิ่นเฉิงที่อดไม่ได้ที่จะสวนขึ้นมา พ่อบ้านเหลียงอย่าจะโต้ตอบอยู่หรอก แต่เห็นแก่เทียนอี้ที่จับจ้องพลางอมยิ้มอยู่ เขาถึงได้แต่ถอนหายใจและยอมแพ้ไปโดยดุษณี

“ข้าจุกจิกก็เป็นเพราะห่วงใยผู้เป็นนาย แต่เอาเถิด ในเมื่อท่านแม่ทัพเทียนอี้พูดเช่นนี้ ข้าก็จะละทางโลกแล้ว”
“คิดดีแล้ว” เทียนอี้ว่าพลางยกยิ้ม ก่อนที่จะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ “เอ้อ ข้าว่าจะถามเจ้าสักหน่อย”
“เรื่องใดหรือขอรับ?”
“เจ้าได้ยินข่าวคราวของเจี้ยนสือบ้างหรือไม่?”

คำถามนี้ทำให้คนข้างกายที่กำลังยัดขนมเข้าปากชะงัก ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านเหลียงที่ย่นคิ้วยู่เช่นกัน

“ท่านแม่ทัพถามทำไมหรือ?”
“ก็ตั้งแต่ที่เจ้านั่นมอบพลังเทพให้กับข้า ข้าก็หาได้พบพานอีกเลย จึงอดใคร่รู้ไม่ได้ว่าอยู่ดีมีสุขอย่างไรบ้าง”

เท่านั้นพ่อบ้านเหลียงก็ร้องอ๋อ เขาไม่แปลกใจหรอกที่เทียนอี้ว่ามาเช่นนี้ เพราะเขาเองก็ได้ยินจากหมิงจูมาเช่นกันว่าที่เทียนอี้มีกายเนื้อเป็นมนุษย์ได้ เป็นเพราะเจี้ยนสือขอให้หมิงจูไปช่วยทูลขอองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ให้ทรงใช้อภินิหารปันพลังเทพของเจี้ยนสือไปให้กับเทียนอี้ สิ่งนั้นก็เพื่อให้เทียนอี้ได้มีร่างกายและครองคู่รักใคร่กับซิ่นเฉิง และนั่น...เป็นเหตุใด้เจี้ยนสือต้องสูญเสียพลังไปเกือบสิ้น จากเทพสวรรค์ชั้นสูงก็ถูกลดหลั่นลงมาเป็นเพียงเทพชั้นผู้น้อย

ผู้น้อย...น้อยกว่าเทพในโรงครัวเสียอีก เพราะเจี้ยนสือในยามนี้มีหน้าที่เพียงเป็นเทพประจำบ่อน้ำในทะเลทรายเท่านั้น อภินิหารใดที่เคยมี ล้วนมลายหายไปสิ้น เหลือแต่เพียงพลังเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะปกปักรักษาบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้ก็เท่านั้น

พ่อบ้านเหลียงออกจะเห็นใจอยู่บ้าง แต่ก็คิดเอาว่านั่นเป็นสิ่งที่เจี้ยนสือเลือกเอง อีกทั้งไม่ได้สนิทสนมชิดเชื้อจึงไม่ได้ใส่ใจ มีเพียงหมิงจูเท่านั้นที่แวะเวียนไปเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นพอถูกถาม เขาก็ส่ายหน้าเบาๆ

“ข้าหาได้สนใจ ไม่รู้หรอกขอรับว่าท่านแม่ทัพเจี้ยนสือเป็นอย่างไรบ้าง หากท่านแม่ทัพเทียนอี้สงสัยอยากรู้ คงจะต้องไปถามเอากับรองแม่ทัพหมิงจู แต่ท่านแม่ทัพเทียนอี้ก็อย่าได้กังวลเลย ข้าได้ยินมาว่าเขาสุขสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง”

ถึงจะไม่ได้ดำรงสถานะเดิมแล้ว แต่พ่อบ้านเหลียงก็ยังคงเรียกขานด้วยสรรพนามเดิม

เทียนอี้ก็หาได้ใส่ใจ คนตรงหน้าว่ามาเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ
“หากวันใดมีโอกาส ข้าคงได้พบพานเจี้ยนสือสักวัน”

พ่อบ้านเหลียงยิ้มบางๆ ถึงเทียนอี้และเจี้ยนสือจะเคยวิวาทกันอย่างรุนแรงมาเป็นนับร้อยปี แต่สายใยสัมพันธ์ของสหายก็ไม่เคยถูกตัดขาด

กระทั่งยามนี้...มันก็ยังเหนียวแน่นราวกับจะไม่มีวันขาดสะบั้น

“รบกวนเจ้ามากพอแล้ว ประเดี๋ยวข้ากับซิ่นเฉิงจะต้องพาเผ่าเดินทางขึ้นเหนือ ฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว เราจะกลับถิ่นฐานกัน”

เทียนอี้โพล่งขึ้นมาอีกครา เป็นสัญญาณว่าเขาได้เวลาต้องไปแล้ว พ่อบ้านเหลียงจึงไม่รั้งรอด้วยรู้ว่าหน้าที่ของ ‘หัวหน้าเผ่าทะเลทราย’ ของทั้งสองนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด

“เช่นนั้นข้าก็ขอคารวะท่านแม่ทัพ มีโอกาสคงได้พบพานกันอีก”
“ที่ผ่านมา ขอบน้ำใจเจ้ามาก...พ่อบ้านเหลียง”

ไม่มีคำบอกลาใดอีกแล้ว เทียนอี้และซิ่นเฉิงกลับออกไปนอกจวน...ที่หลังจากนี้มันจะเป็นเพียงอดีตของพวกเขาตลอดกาล



 
การเดินทางกลับคืนสู่ดินแดนทุ่งหญ้านั้นยาวนานและกินเวลาหลายเดือน กระนั้นก็หาได้ทำให้ผู้ใดเหนื่อยอ่อยเลยแม้แต่น้อย การกลับยังภูมิลำเนาเดิมนั้นสร้างความรื่นเริงให้กับทุกชีวิต ทุกราตรีกาลต่างพากันร้องรำไม่หยุดพัก ไม่เว้นแม้แต่สองบุรุษที่แม้ว่างานเลี้ยงจะเลิกราไปแล้ว แต่ทั้งสองยังคงเริงระบำกันไม่หยุดหย่อน

เสียงครางกระเส่าและลมหายใจกระหืดหอบเปรียบเสมือนเสียงขับลำนำ ผิวเนื้อที่กระทบกันเป็นเสียงดนตรีประกอบจังหวะ ซิ่นเฉิงโผกอดร่างใหญ่ที่ทาบทับกายตนเมื่อความอภิรมย์พร่างพรายไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนที่จุมพิตหนักหน่วงจะถูกมอบให้บนริมฝีปากราวกับว่าอีกฝ่ายจะช่วงชิงวิญญาณของเขาไป

“ข้ารักเจ้า”

ผละริมฝีปากออกมาได้ก็กระซิบบอก ก่อนจะบรรจงจูบอีกครั้ง
“ข้ารักเจ้า”

เมื่อริมฝีปากห่างจากกัน ก็พร่ำบอกอีก ทำเอาซิ่นเฉิงหัวเราะออกมาน้อยๆ
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้ารักข้า จะพูดทำไมบ่อยครั้งนักหนาเจ้าหมา”

เทียนอี้ยกยิ้มน้อยๆ “เผื่อว่าเจ้าจะบอกข้าบ้าง”

ที่แท้ก็ออดอ้อนให้อีกฝ่ายพูดประโยคเดียวกันอย่างนั้นหรือ?

ซิ่นเฉิงยกยิ้มกว้าง โน้มลำคอของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้
“ถึงเจ้าจะไม่บอกให้ข้าพูด ข้าก็จะพูดให้เจ้าฟังอยู่แล้วว่าข้ารักเจ้า”

แล้วก็เป็นซิ่นเฉิงบ้างแล้วที่ประกบปากจูบอีกฝ่าย ครั้นผละออกจากกัน ประโยคนั้นก็ดังออกมาให้เทียนอี้ได้ยินอีก
“ข้ารักเจ้าเช่นกัน... รักเจ้า... รักตราบนิรันดร์”

ไม่มีถ้อยคำใดจะไพเราะไปกว่าเสียงแหบห้าวของบุรุษผู้นี้ที่เอ่ยคำรักกับเขาอีกแล้ว เทียนอี้โอบกอดร่างนั้นไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหายไป ท่าทางนั้นทำให้ซิ่นเฉิงขบขันอยู่ไม่น้อย

“เป็นอะไรอีก”
“เจ้าจะทำให้ข้าเกิดกำหนัดอีกคราน่ะสิ”

ถึงกับระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ซิ่นเฉิงหัวเราะร่วน
“หากเจ้าเกิดกำหนัดอีกครา ข้าก็คงจะเป็นเช่นกัน”

เป็นสัญญาณว่าในราตรีนี้ เขาทั้งสองคงจะไม่ได้หลับได้นอนอีกคืนแน่ๆ กระนั้นก็หาได้มีผู้ใดสนใจ เทียนอี้โถมร่างกายทาบทับ ตะโบมจูบพรมไปทั่วอย่างเอาแต่ใจ

"เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าเป็นหมาตะกละก็แล้วกัน"

ผู้ใดจะกล้าว่าได้เล่า หากเทียนอี้เป็นหมาตะกละแล้ว ซิ่นเฉิงก็คงเป็นแมวตะกละไม่ต่างกัน
“จะกลืนกินข้าเท่าใดก็สุดแท้แต่เจ้าเลย”
“เฉิงเฉิง...”
“ข้า...ยินดีจะเป็นเสี้ยวหนึ่งของเจ้า เทียนอี้...”

ไม่มีสุขใดจะสุขเท่าได้รับรู้ความรู้สึกของคนใต้ร่างอีกแล้ว สิ้นเสียง ทั้งคู่ก็กอดก่ายกันกลมราวกับว่าจะมอบความรักให้แก่กันมิรู้ลืม

แสงจันทร์ที่สาดทอมายังกระโจมนั้น...ไม่เปลี่ยนผันร่างของเทพอสูรให้กลับคืนสู่เทพสวรรค์อีกแล้ว และจะไม่มีวันเปลี่ยนผันความรักของทั้งสองให้มลายจากกันด้วย มีแต่จะเป็นสักขีพยานว่าทั้งคู่นั้นจะครองรักกันตราบนานเท่านาน

ทิวาวันหมุนผ่าน ราตรีกาลแปรเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นเทพชั้นสูงหรือเทพชั้นผู้น้อย เทพอสูรหรือมนุษย์ มนุษย์กับมนุษย์ ล้วนแล้วก็
ไม่มีสิ่งใดมาทำให้ใจของทั้งคู่สั่นคลอนได้อีก

ไม่พลัดพราก ไม่ลาจาก มีแต่จะครองรักยั่งยืน

ตราบเท่าที่เส้นผมของพวกเขาจะกลายเป็นสีหิมะ ความรักนั้นจะยังคงสถิตอยู่ หลอมรวมทั้งคู่ให้กลายเป็น ‘เสี้ยว’ หนึ่งของกันและกัน

จบสิ้นแล้วเสี้ยวแห่งอสูร จากนี้ต่อไปจะมีแต่เสี้ยวหัวใจทั้งสองจะผูกพันกันจนกว่าลมหายใจจะถูกพัดพาไป

เสี้ยวแห่งความรัก...

เจ้าหมากับเจ้าแมว...

เทียนอี้และซิ่นเฉิง...

จากนี้สืบไป...ตราบนิรันดร์




 
“เป็นอย่างไรบ้าง”

เสียงของเทพบ่อน้ำดังขึ้น เร่งรัดให้เทพชั้นสูงผู้หนึ่งใช้ตาทิพย์แอบดูบุรุษคู่หนึ่ง ก่อนที่คนที่ถูกเร่งจะหันมามองพร้อมกับกะพริบดวงตาที่สามซึ่งอยู่กลางหน้าผากของตนสองสามครั้ง

“เหนื่อยหอบ นอนหลับกันไปแล้ว”

เท่านั้นก็ไร้ซึ่งคำพูดใด คนถามเม้มริมฝีปากแน่น

เจ้าสองคนนั้น... ไม่คิดทำอะไรกันนอกจากเรื่องอย่างนี้เลยหรือไรนะ?

ขณะที่คนถูกไหว้วานนิ่วหน้าราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร

“เจ้าก็รู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าเทียนอี้กับซิ่นเฉิงจะต้องทำเรื่องเช่นนั้นกัน เป็นอย่างนี้ทุกคืน ยังจะมารบเร้าให้ข้าใช้ตาทิพย์แอบดูอีก ข้าเบื่อหน่ายกับบทรักของสองคนนั้นเต็มแก่แล้วรู้หรือไม่?”

“ก็มันช่วยไม่ได้ ข้าไม่มีตาทิพย์เช่นเจ้านี่”

เจี้ยนสือตัดพ้อ ประโยคนั้นทำเอาหมิงจูที่อุตส่าห์แวะเวียนมาเยี่ยมด้วยเป็นห่วงถึงกับส่งเสียงดัง ‘เฮอะ’ ออกมา

“เป็นเจ้าเองไม่ใช่หรือไรที่สละพลังเทพให้กับเทียนอี้น่ะ ยามนี้จะมีหน้ามาบ่นอะไรได้อีก”

ก็ถูกของหมิงจู เจี้ยนสือไม่มีสิทธิ์บ่นหรอก เป็นฝ่ายเสนอเองอย่างนั้น เขาก็ได้แต่ต้องยอมรับชะตากรรมนั่นแหละ ความจริงแล้วการเป็นเทพประจำบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มันก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่น่าเบื่อสักหน่อยที่มิอาจสอดส่องดูอดีตสหายและอดีตคนรักได้ก็เท่านั้น

“เอาเป็นว่าเจ้าสองคนนั้นสุขสบายดี พลอดรักกันทุกค่ำคืน บางวันก็ยันฟ้าสาง เจ้าเลิกให้ข้าใช้ตาทิพย์กระทำเรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว!”

หมิงจูอดไม่ได้ที่จะโวยวายมาอีกครั้ง ก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดหัวเสียเพราะเมื่อครู่ดันไปเห็นฉากรักอันหฤหรรย์ของทั้งคู่เข้าเต็มเปา ไม่ใช่เป็นภาพไม่น่าดูหรอก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องไปเห็นสักหน่อย

เจี้ยนสือหัวเราะให้กับท่าทางของสหายผู้นั้น ก่อนจะเลิกสนใจเมื่อความกังวลในอกค่อยๆ มลายหายไป พลันหัวเราะขบขันให้กับความวิตกกังวลของตนเอง

เขาจะต้องเป็นห่วงสหายผู้นั้นกับมนุษย์หนุ่มที่มีใจให้ทำไมกันอีก ในเมื่อสองคนนั้นครองรักกันอย่างมีความสุขไปสิ้นแล้ว
จากนี้ต่อไปเขาคงจะหมดห่วงและทำหน้าที่ของตนได้อย่างสบายใจแล้วล่ะ

เทพผู้รักษาบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์...

...เจี้ยนสือ
---------------------------
จบบริบูรณ์แล้วค่ะ ขออภัยที่หายไปนานมากๆ ถ้าอยากอ่านที่จบบริบูรณ์มากกว่านี้ (คือมีเรื่องราวต่อไปอีกเล็กน้อย แล้วก็บทสรุปของพี่งูค่ะ) ติดตามกันในรูปเล่มหรือแบบ Ebook เน้อ บอกเลยว่านายเอกของพี่งูคือเจ้าเดือนสาม (ซานเยว่) เป็นชายหนุ่มขี้เมา หลานชายของซิ่นเฉิงค่ะ (ลูกของซิ่นจิน) ช่วงนั้นจะเป็นคอเมดี้เบาๆ น่ารักๆ ละ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ค่ะ ฝากฝังผลงานเรื่องอื่นๆ ไว้ด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 29-03-2018 13:45:58
จบแล้ววว :L1: :pig4: เจี้ยนสือกลับไปเป็นเทพยังงี้ก็ไม่มีคู่อ่ะสิ ไม่งั้นก็โดนเนรเทศอีก  :hao5: เสียใจอ่ะ อุส่าหาคู่จิ้นโหดๆ(?) ให้เจี้ยนสือ
ขอบคุณนักเขียนนะคะที่ผลิตผลงานดีๆออกมา :กอด1: จะติดตามผลงานและอุดหนุนนะคะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 29-03-2018 23:25:23
น่ารักมากเลย ขอบคุณครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-03-2018 01:00:05
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-03-2018 09:02:18
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Nickname ที่ 31-03-2018 01:14:47
รอตามเรื่องพี่งูต่อ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 31-03-2018 01:24:51
 :katai2-1: o13 o13 o13 :katai2-1:


 :กอด1: :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 31-03-2018 10:02:42
ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายให้อ่านค่ะ อ่านเพลินมาก
ปล.เราสงสัยว่ามันเป็นจีนโบราณตรงไหน คือมันแฟนซีมากๆเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 31-03-2018 16:11:06


อย่างน้อยก็ไม่เศร้ามาก

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 31-03-2018 21:41:37
หู๊ย! เศร้าใจตั้งหลายตอน..ดีจังมีความสุขซะที
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 31-03-2018 22:50:57
คือร้องไห้หนักมาก น้ตาท่วมอ่ะ สนุกมากๆๆๆๆๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 01-04-2018 23:09:56
ขอบคุณค่ะสนุกมากดีใจที่เทียนอี้ได้ครองรักกับเฉิงเฉิง ต้องขอบคุณเจ้างูด้วยที่ยอมเสียสละพลังเทพของตัวเอง
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 02-04-2018 22:29:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: lidelia ที่ 03-04-2018 21:44:35
สนุกมากกกก

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 05-04-2018 19:13:28
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 05-04-2018 23:59:31
อ่านเรื่องย่อของพี่งูแล้ว
ซานเยว่สมกับพี่งูจริงๆเลย
ขี้เมา ยั่วเก่ง เจ้าสำราญ
พี่งูได้ปวดหัวกับน้องสามแน่นอน
อารมณ์ฤาษีจำศีลกับโคโยตี้ 555555
ออกแค่เรื่องย่อ แต่เด่นกว่าคู่หลักอีก
ทำให้อยากอ่านมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: CheetahYG ที่ 17-04-2018 17:10:52
 :man1: :man1: :man1:
สนุกมากๆค่ะ ขอบคุณนะคะ
 :L1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 21-04-2018 07:59:35
สนุกมากๆเลยค่ะ
ชอบแนวนี้มากๆ
อ่านเพลินมากค่ะ
ขอบคุณนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-04-2018 12:35:09
สงสารพี่งูสุดเลยค่ะ แง ขอบคุณสำหรับเรื่องราวสนุกๆนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 27-04-2018 14:03:23
น้ำตามาเลยอ่ะ ฮือออ ทำไมพี่หมาต้องเป็นคนดีขนาดนี้ ถ้าจบแบบไม่ได้กลับมานี่จิตใจฉันจะเป็นยังไงกันนะ แต่ท้ายที่สุดก็สงสารพี่งูเค้าเหมือนกันคือแบบไม่มีตาทิพย์ดูคนที่รักพอขอให้จิ้งจอกดูให้ยังไปเจอฉากเด็ดอีก555555 รออีกหน่อยนะพี่งู เดี๋ยวก็เจอคู่แล้ว 55555
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 30-04-2018 07:10:19
อ่านจนไม่ได้นอนเลย สนุกมาก ขอบคุณคนแต่งมากๆนะ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jaibang ที่ 09-05-2018 15:59:48
แงงงงงงงงงง น้องงงงเฉิงเฉิงน่ารักมาก :hao7:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: jaibang ที่ 10-05-2018 06:32:01
ทีมงูได้มั้ย-//-
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 13-05-2018 16:48:19
ชอบมากเลยค่ะ
สนุกมากๆ
ไม่คิดว่าในขณะที่เราอยู่ในช่วงเบื่อ
อยากอ่านนิยาย แต่ก็ทนอ่านได้ไม่กี่บรรทัดก็เปลี่ยนไปอ่านเรื่องอื่น แล้วก็เปลี่ยนเรื่องอีก
จะดูละครเก่าอย่างที่ชอบทำประจำก็ทนดูไม่จบซักเรื่อง
เอาง่ายๆเลยคือเบื่อไปซะทุกอย่าง
แต่...นิยายเรื่องนี้!! ทำเอาวางไม่ลงจริงๆค่ะ
หลงรักพี่หมาจนถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว
แอบอยากกอดพี่หมาบ้าง ขนคงนุ่มและอุ่นน่าดู -///-
ดีใจที่พี่หมาตัดใจเรื่องหลิวซู และรักเพียงเฉิงเฉิงจนหมดใจจัง หายากนะคนแบบนี้ ไม่รู้สิ เจอแต่คนยึดติดกับอดีต รวมตัวเองด้วย 5555
ตอนจบก็โอเคนะ ไม่น่าเกลียดอะไร ถึงจะสมหวังมีความสุขซะที แต่ทำไมเรายังรู้สึกเศร้าๆอยู่ก็ไม่รู้สิ อยากให้พี่หมากับเฉิงเฉิงกลับไปเป็นเทพจัง จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปเลย
แต่นี่เป็นมนุษย์ทั้งคู่แบบนี้ เลยเกิดสงสัยขึ้นมาว่า แล้วชาติหน้าและชาติต่อๆไป ทั้งคู่จะเกิดมาครองรักกันอีกไหม ถ้าไม่ก็น่าเสียดายแย่เลย ในความรู้สึกของคนอ่านคนนึงอ่ะนะ
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Fragrant ที่ 20-05-2018 22:52:08
ต้องบอกก่อน่าเราตามงานหนูแดงมาตลอดค่ะ ตั้งแต่เรื่องเอเลี่ยนแล้วววว และเรื่องนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย เราชอบบบบบบบอ่า แรกๆนี่สมน้ำหน้าเจ้างูมาก โคตรตัวร้ายเลย แต่หลังๆก็เริ่มสงสารนะ แต่ถ้าให้เทียบกับเจ้าหมานี่ สู้ไม่ได้เลย คนนี้น่าสงสารสุดจริงๆค่ะ สมควรจะได้ครองรักอย่างมีความสุข ส่วนเจ้างูก็ป้ายหน้านะ 55555 ฉากที่เฉิงเฉิงตาย เรานี่นำ้ตาคลอเลยค่ะ คือมันอินมาก สงสารเฮียเทียนสุดหัวใจ (กลายเป็นเฮียแล้ว) อารมณ์สูญเสียคนรักนี่มันเกินทนจริงๆค่ะ ฮือออออ เฮียโคตรรักเฉิงเลย เราอิจเฉิงเบาๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 20-07-2018 14:49:36
THANK YOU  :mew1:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 22:33:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 15-03-2024 18:53:44
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)