►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!  (อ่าน 94895 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
เจาได้กันแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ กว่าจะได้กันคุยกันยาวมากกกก อิอิ ต้องให้เฉิงเฉิงลุย อิอิ  แบบนี้ต้องมีหวานกว่านี้เยอะๆๆๆน่ะ ไปจมกองเลือดแปป ฮ่าๆๆๆ

ออฟไลน์ Kawaiichibi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ยอมแพ้กับความหูลู่ หางตกทุกทีเลย ขอโทษนะพี่งู จำเป็นต้องขึ้นเรือพี่หมาแล้วล่ะ :o8: :o8:
เดี๋ยวรอคนใหม่นะพี่งู  :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ PAiPEiPEi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-3
เราไปเจอทวิตนึงมาค่ะเห็นแล้วนึกถึงเรื่องนี้เลย   ทะเลสาบจันทร์เสี้ยวกลางทะเลทราย

https://twitter.com/ap_inspire/status/914014150677770240

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เราไปเจอทวิตนึงมาค่ะเห็นแล้วนึกถึงเรื่องนี้เลย   ทะเลสาบจันทร์เสี้ยวกลางทะเลทราย

https://twitter.com/ap_inspire/status/914014150677770240

ไปเห็นรูปนี้มาเหมือนกันค่ะ เลยเอามาเซ็ทติ้งเวิร์ลซะเลย สวยเนอะ ^^

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[1]

ราตรีนั้นช่างเร่าร้อนไม่ต่างจากพิษไข้ที่กัดกินร่างกายของซิ่นเฉิง แม้จะรู้ดีว่าร่างกายของอีกฝ่ายไม่สมบูรณ์ดีนัก หากฝืนบังคับให้ออกแรงมากก็ย่อมมีแต่ผลเสีย การพักผ่อนจะเป็นสิ่งที่สมควรทำมากกว่า แต่ถึงจะรู้เช่นนั้น เทียนอี้ก็มิอาจหักห้ามใจตนเองได้แม้แต่น้อย เมื่อได้เชยชมเรือนร่างนั้นอย่างลึกซึ้งเป็นครั้งแรก ครั้งที่สองและสามย่อมตามมา ไม่นาน มนุษย์หนุ่มก็ออกอาการอ่อนล้าให้เห็น จนสุดท้ายแล้ว เทพอสูรสุนัขป่าก็จำต้องปล่อยมือออกจากร่างนั้นอย่างเสียดายด้วยไม่ต้องการให้ซิ่นเฉิงป่วยไข้ไปมากกว่านี้

อรุณรุ่งก้าวย่าง ความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างเทียนอี้และซิ่นเฉิงก็เป็นอันถูกเปิดเผย ไม่มีใครเอ่ยปากพูดถึงเรื่องนี้ แต่กลิ่นสาปสางของเทพอสูรสุนัขป่าที่อบอวลอยู่ในกายของซิ่นเฉิงนั้นคือสิ่งที่เล่าเรื่องราว เจี้ยนสือถึงกับปั้นสีหน้าน่ากลัวอย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อคิดไปว่าซิ่นเฉิงจะต้องอยู่ใต้ร่างของสหาย ความหัวเสียที่สูญเสียสิ่งที่หวงแหนไปให้ผู้อื่นครอบครองพานให้เขาระบายอารมณ์ใส่กับทหารผู้ใกล้ชิดเสียหลายราย อารมณ์ไม่คงที่ของแม่ทัพใหญ่น่ากลัวว่าจะทำให้ทัพปรวนแปรยิ่งนัก แต่เขาก็หาได้ทำสิ่งใดได้มากไปกว่านี้ ในเมื่อซิ่นเฉิงเป็นผู้ยินดี คนที่ไม่ได้ครอบครองเช่นเขาก็จำต้องยอมพ่ายแพ้ พร้อมกับบอกตนเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าคนที่เขารักใคร่นั้นคือหลิวซู หาใช่ซิ่นเฉิง การที่เทียนอี้มีใจปฏิพัทธ์กับซิ่นเฉิงเป็นสิ่งที่ดีแล้ว เพราะหากหลิวซูกลับมาเมื่อไร เขาจะได้ครองรักกับยอดดวงใจโดยไร้ซึ่งมารขัดขวาง

ขณะที่เมื่อพ่อบ้านเหลียงกับหมิงจูได้รับรู้เรื่องนั้น ทั้งสองก็พากันนิ่วหน้าจนใบหน้าดำมืดไปเสียหลายส่วน

สิ่งนั้นคืออาเพศ!

พลันอดตัดพ้อในใจไม่ได้ว่าทั้งที่อุตส่าห์ช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถให้ทั้งสามหลุดพ้นจากการลงทัณฑ์ของสวรรค์ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจหนีพ้นด้วยไม่อาจสลัดบ่วงที่รัดคอออกได้ มิหนำซ้ำยังจะทำให้รัดแน่นมากขึ้นไปอีก

เกินกว่าจะช่วยเหลือได้แล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์ แต่ก็มีเพียงพ่อบ้านเหลียงและหมิงจูเท่านั้นที่คิดว่าสิ่งนั้นคืออาเพศ สำหรับเทียนอี้ ผูกสัมพันธ์หนึ่งเดียวคือความน่าหลงใหล ตั้งแต่ราตรีนั้น เขาก็มิอาจห่างกายซิ่นเฉิงได้เลยแม้แต่ครู่เดียว เมื่อจำต้องเดินทางก็คอยควบม้าเทียบเคียงข้างไม่ห่าง ยามหยุดพักก็นอนคู่เคียงหลับใหล เป็นที่น่ารำคาญใจให้กับเทพอสูรบางตนยิ่งนัก แต่เขาก็หาได้สนใจ นอกเสียจากจะกระทำในสิ่งที่ตนประสงค์เท่านั้น

ราตรีนี้ก็เช่นกัน ครั้นการเดินทางได้สิ้นสุดลง เขาก็เตรียมตัวหมายจะขับกล่องซิ่นเฉิงให้หลับใหลในอ้อมอก ทว่า...หากปล่อยให้เข้าสู่ห้วงนิทราโดยไม่ได้สัมผัสเรือนร่างกันอย่างลึกซึ้งก็ช่างน่าเสียดาย เขาจึงจัดการกลืนกินอีกฝ่ายด้วยความละโมบ ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ปฏิเสธ ยินยอมเสพสมร่วมอภิรมย์ตามประสาชายหนุ่มวัยฉกรรจ์

การร่วมรักผ่านไปราวสามครั้ง ร่างกายของซิ่นเฉิงอ่อนล้าจึงจำต้องล้มตัวลงนอน สิ้นสุดการเริงรักกับอีกฝ่ายเพียงเท่านี้ หากแต่เทพอสูรผู้นั้นกลับยังไม่พอเพียง ครั้นเห็นมนุษย์หนุ่มนอนตะแคงหันหลังให้ก็ขยับเข้าไปตระกองกอด อันที่จริงคราแรกก็หมายจะให้อีกฝ่ายได้พักผ่อน แต่เมื่อได้กลิ่นกายยาหอมหวนแล้วก็อดใจไม่ไหวที่จะออดอ้อน

“เฉิงเฉิง...”
เจ้าหมาครางเรียกพร้อมกับซุกใบหน้าเข้าที่หลังต้นคอ ซิ่นเฉิงที่เคลิ้มเกือบจะหลับอยู่แล้วเมื่อครู่นี้ถึงกับนิ่วหน้า

เรียกอย่างนี้คงจะประสงค์สิ่งใดอยู่แน่!

ชายหนุ่มรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ซึ่งก็จริงอย่างที่คาดคิด เมื่อไม่ตอบ เทียนอี้ก็สอดฝ่ามือเข้าไปใต้อาภรณ์ ลูบไล้ยังหน้าท้องอีกฝ่าย ขณะที่จมูกและปากก็คลอเคลียอยู่ที่ซอกคอคนในอ้อมแขนไม่ห่าง ทำเอาซิ่นเฉิงถึงกับต้องแหวเสียงขุ่นออกมา
“เมื่อครู่ก็ร่วมรักกับเจ้าไปหลายคราแล้ว ยังไม่พออีกหรือไร”

เทียนอี้ชะงักไปเล็กน้อย ใช่... เขายังไม่พอ ยิ่งคิดว่าอีกไม่นาน ซิ่นเฉิงก็จะจากไป เขาก็อยากจะตักตวงความสุขนี้ไว้ ผู้ใดจะหาว่าละโมบหรือมากราคะก็ช่าง เขาต้องการแต่ร่างกายและไออุ่นจากซิ่นเฉิงเท่านั้น

“อีกครั้งเดียว”
ปากพึมพำต่อรองออกมาเพราะรู้ดีว่าซิ่นเฉิงจะต้องปฏิเสธแน่ ทว่าการต่อรองไม่เป็นผลเมื่ออีกฝ่ายปัดมือออก แล้วดันตัวขึ้นนั่ง
“ไข้เพิ่งจะหาย อีกทั้งยังเดินทางมาทั้งวัน ถูกเจ้าเชยชมครั้งเดียวยังพอทนเพราะข้าเองก็ต้องการให้เจ้ากอด แต่หลายครั้งหลายคราไม่หยุดหย่อน มิหนำซ้ำยังไม่ให้ข้าพัก จะได้ใจเกินไปแล้วเจ้าหมา”

เทียนอี้ดันตัวลุกขึ้นมานั่งบ้าง ใบหูลู่ตกเมื่อถูกตำหนิ แต่ปากก็ยังแก้ตัว
“ก็เจ้ายั่วยวนข้า”
ซิ่นเฉิงถึงกับสบถเสียงลมออกมา

ยั่วยวนหรือ? พูดจาผายลมอันใดกัน ข้าก็นอนของข้าเฉยๆ!

อยากจะก่นด่านัก หากแต่ทำเพียงยื่นมือไปดีดจมูกเปียกชื้นของคนตรงหน้าเสียเต็มแรง
“อย่ามาโทษข้า เจ้าหน้าขน”

เทียนอี้นั่งนิ่ง จ้องมองซิ่นเฉิงด้วยแววตาเว้าวอนด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายมักจะพ่ายแพ้ให้กับท่าทางนี้ของเขา ทว่า...ซิ่นเฉิงใจแข็ง เขารู้ดีว่ากำลังถูกตะล่อม จึงพูดออกมาอีก
“ไม่ต้องมามองข้าเช่นนั้น วันนี้ข้าเหนื่อย จะนอน”

จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอน หันหลังให้ราวกับไม่สนใจ ขณะที่เทียนอี้นั่งนิ่งอยู่อย่างเดิม

แรงกดดันมหาศาลจากคนทางด้านหลังทำให้ซิ่นเฉิงไม่อาจข่มตาหลับ หงุดหงิดใจด้วยรู้สึกได้ว่าถูกเทพอสูรสุนัขป่าจ้องมองไม่วางตา อีกทั้งยังเป็นสายตาเว้าวอน ครั้นหันไปก็เห็นว่าเทียนอี้ยังคงนั่งสลดอยู่อย่างนั้น สุดท้ายแล้ว คนใจแข็งในตอนแรกก็จำต้องดันตัวขึ้นนั่งอีกคราแล้วโพล่งออกไป

“เออ! ข้ายอมเจ้าแล้ว แต่อีกครั้งเดียวเท่านั้นนะ ข้าจะได้นอน”

เทียนอี้ยกยิ้มกว้างออกมา ไม่เว้นแม้แต่ดวงตาที่หยักยิ้มไปด้วย เป็นรอยยิ้มที่น่าเอ็นดูที่สุดเท่าที่ซิ่นเฉิงเคยเห็นมา อีกทั้งใบหูที่ลู่ลงก็ตั้งชันขึ้น เมื่อมองไปยังหาง... กระดิกไปมารุนแรง เก็บอาการไม่อยู่เลยทีเดียว

เจ้าหมาโง่...

คนมองหัวเราะในลำคอออกมา แม้ปากจะปฏิเสธ แต่ในใจกลับน้อมรับความโหยหาของเทียนอี้อย่างเต็มที่ ด้วยรู้ดีว่าใจของตนก็รักใคร่อีกฝ่ายเพียงใด ถึงจะไม่เคยพูดออกไป ทว่าการกระทำก็ค่อนข้างชัดเจน กระนั้นเทียนอี้ก็ไม่เอ่ยถามคาดคั้นให้ต้องพูดออกมาด้วยรู้ว่าอีกไม่นานก็ต้องจากกันตามปรารถนาของซิ่นเฉิง ดังนั้นเขาจึงขอตักตวงความสุขให้มากเท่าที่จะทำได้ในยามนี้



 

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[2]

กว่าบทรักหวามไหวผ่านพ้นไปก็ปาไปเสียค่อนคืน ซิ่นเฉิงหลับใหลในอ้อมอกของเทียนอี้ด้วยความเหนื่อยอ่อน เสียงกรนเบาๆ ที่เล็ดลอดออกมาทำให้เทพอสูรที่ยังไม่เข้าสู่ห้วงนิทราอดไม่ได้ที่จะลูบซีกหน้าคร้ามของอีกฝ่ายอย่างเบามือ สายตาทอดมองไปยังเจ้าของดวงหน้าหยาบกร้านอย่างรักยิ่ง

รัก...รักมากกว่าผู้ใด

ในใจพร่ำพรรณนาเช่นนั้นไม่หยุดหย่อน จนเทียนอี้เองก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขามอบใจให้กับซิ่นเฉิงทั้งหมดอย่างที่เป็นอยู่เช่นนี้ ทั้งที่ก่อนหน้า เขาเอาแต่เฝ้าคะนึงหาการกลับมาของหลิวซู

ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ยอดดวงใจของเขาแปรผันกลายเป็นคนที่อยู่ในอ้อมแขน หาใช่คนรักที่มีใจปฏิพัทธ์มาถึงสองชาติ?
ความสงสัยพร่างพราย หากแต่ไม่รู้สึกผิดแต่น้อย หากหลิวซูรู้ก็คงจะยินดียิ่งที่เขาปล่อยวางจากรักที่ไม่อาจสมหวังได้เสียที
เทียนอี้ค่อยๆ ขยับกายอย่างเชื่องช้า ผละออกมาโดยไม่ต้องการทำให้ซิ่นเฉิงตื่น ครั้นลุกขึ้นยืนได้ก็พาตัวเองผลุบออกไปนอกกระโจมเพื่อคิดใคร่ครวญบางอย่างเพียงลำพัง

สายลมเย็นโบกโบย เทียนอี้เงยหน้ารับแสงจันทราที่สาดส่องลงมายังเรือนร่าง ร่างใหญ่โตของเทพอสูรแปรเปลี่ยนเป็นร่างของอดีตเทพ พลันก็ยกมือขึ้นจ้องมอง ในครานี้ไม่ได้เจ็บช้ำที่ตนกลายร่างเป็นครึ่งเทพครึ่งอสูรอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเป็นที่รักของซิ่นเฉิงไม่ว่าจะมีร่างกายอย่างใด

สองขาพาตนก้าวออกไปข้างหน้า กระทั่งห่างออกจากค่ายทัพ บรรยากาศรอบด้านมืดมิดกว่าเดิม มีเพียงแสงจากดวงดาราและดวงจันทร์เท่านั้นที่ทอประกายให้พอมองเห็น

ทะเลทรายยังคงเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา หากแต่หัวใจของเขาหาได้เวิ้งว้างดั่งเช่นทะเลทรายดังที่เคยเป็น ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปหยิบเอาบางสิ่งที่ห้อยติดเอวมาตลอดหลายร้อยปีออกมาถือไว้ในมือ

ถุงหอมของหลิวซู...

พลันในใจก็เอ่ยถาม

นานเท่าไรกันนะที่ข้าเก็บเจ้าไว้กับตัวเช่นนี้?



 
ยามหลิวซูถูกเจี้ยนสือขับไล่ไสส่ง ไยเทียนอี้จะไม่เห็น เขาจดจำทุกการกระทำของสหายและอดีตเทพชั้นผู้น้อยได้ดี ภาพหลิวซูหลั่งน้ำตาให้กับความร้ายกาจของเจี้ยนสือที่ได้กระทำต่อตน ทำให้เขาซึ่งแอบลอบดูอยู่ภายนอกจวนถึงกับต้องเบือนหน้าหนี ครั้นจะให้เข้าไปกอดปลอบประโลมก็มิอาจทำได้

ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ในใจของหลิวซูก็มีแต่เจี้ยนสือ ต่อให้เขาทำดีเท่าไรก็มิอาจเปลี่ยนใจของชายหนุ่มผู้นั้นให้หันมารักเขาได้

เทียนอี้เข้าใจดีและเขาก็ทำใจแล้ว หากแต่ก็ไม่สามารถยับยั้งความรักใคร่ของตนเองได้เลยแม้แต่น้อย ถึงจะรู้ว่าหลิวซูเทียวไปมาหาสู่เจี้ยนสือทุกวี่วัน เขาก็หาได้หยุดลอบติดตามไป

วันนี้ก็เช่นกันที่หลิวซูแวะเวียนไปหาเทพอสูรงูจงอางผู้นั้น ในมือถือถุงหอมที่บรรจุบุปผชาติตากแห้งไว้มั่น ใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับมั่นใจว่าสิ่งนี้จะทำให้เจี้ยนสืออารมณ์ดีขึ้นได้

แต่เจี้ยนสือก็คือเจี้ยนสือ... ครั้นเห็นมนุษย์หนุ่มก้าวเข้ามาในจวนโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาที่กำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่ในสวนก็ผุดลุกเดินหนี ทำเอาหลิวซูต้องรีบเร่งฝีเท้าจากเดินเป็นวิ่งเพื่อไปรั้งไว้

“ประเดี๋ยวก่อนขอรับ... ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ!”
มือคว้าเอาที่ต้นแขนของคนตัวใหญ่ ทำเอาเจี้ยนสือหันมามองด้วยไม่สบอารมณ์
“มีสิ่งใด”

น้ำเสียงแข็งกระด้างหลุดออกจากปากมา ช่างเป็นน้ำเสียงไม่น่าฟังเสียเลย แต่หลิวซูกลับคุ้นชินเสียแล้ว
“ข้ามาเยี่ยมเยือนท่าน”
“เจ้าก็มาทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

จริงอย่างที่เจี้ยนสือว่า หลิวซูเทียวไปมาหาสู่ไม่ลดละทุกวี่วัน จนเจี้ยนสือรำคาญใจเป็นอย่างยิ่ง ไล่ก็ไม่ไป สั่งห้ามไม่ให้มาก็ไม่เชื่อฟัง ตามตอแยถึงเพียงนี้ มันช่างสร้างความลำบากใจให้กับเขาเหลือเกิน
“ใช่ขอรับ แต่วันนี้ข้าไม่ได้มามือเปล่า มีของมาให้ท่านด้วย”
หลิวซูว่าพลางยกยิ้ม ทำเอาเจี้ยนสือต้องเหลือบมองไปยังมือของคนตรงหน้าที่ถือบางอย่างไว้ด้วยความทนุถนอม
“สิ่งนั้น...”
“ถุงหอมขอรับ”
มนุษย์หนุ่มเอื้อนเอ่ยพร้อมใบหน้าประดับรอยยิ้ม

เจี้ยนสือก็พอจะรู้อยู่แล้วเพราะได้กลิ่นหอมฉุนของบุปผชาติติดตัวคนตรงหน้ามา แต่ที่เขาสงสัยก็คือ...จะนำมามอบให้เขาเพื่อการใด?

แม้ไม่เอ่ยถาม หลิวซูก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ จึงรีบเปิดปากก่อน
“ข้าน้อยเห็นหญิงสาวในเมืองพูดกันว่าหากต้องตาคุณชายสกุลใดก็ให้นำถุงหอมไปมอบให้ และหากคุณชายสกุลนั้นมีใจให้ เขาก็จะนำถุงหอมนี้พกติดตัวหรือห้อยเข้าที่เอว ข้าน้อยจึงทำมาให้ท่านแม่ทัพขอรับ แต่อย่าเข้าใจข้าน้อยผิดไป ที่มอบให้ก็เพราะอยากให้ หาได้หวังว่าท่านแม่ทัพจะมีใจปฏิพัทธ์ แค่เพียงรับน้ำใจของข้าน้อยไว้ ข้าน้อยก็ดีใจยิ่งแล้ว”

พูดจบ ใบหน้าขาวนวลก็แดงเรื่อขึ้นมา เจี้ยนสือมองแล้วก็ใจเต้นระส่ำ เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าหลิวซูจะน่าเอ็นดูได้ถึงเพียงนี้

แต่เขาจะไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ลุ่มหลงไปกับความน่าเอ็นดูนี้เป็นอันขาด ครั้นได้ยินความจากหลิวซู เจี้ยนสือก็ปั้นใบหน้าถมึงทึง และยิ่งทวีมากขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายยื่นถุงหอมในมือมาให้

“หากไม่เป็นการรบกวนท่านแม่ทัพจนเกินไป ได้โปรดรับน้ำใจข้าน้อยไว้ด้วย”
เจี้ยนสือจ้องมองถุงหอมในมือด้วยสายตาว่างเปล่า เมื่อสลับมามองยังใบหน้าของหลิวซูที่ยังคงยิ้มรับแม้ว่าจะมีความประหม่าแอบแฝงอยู่เล็กน้อย เขาก็ยิ่งตระหนักได้ว่าไม่ควรให้คนแสนดีเช่นนี้มาอยู่ใกล้ชิดเขา แม้ว่าจะดีใจเพียงใดที่หลิวซูให้ความสำคัญทั้งที่เขาเคยกระทำผิดต่ออีกฝ่ายอย่างใหญ่หลวงมาก็ตาม ก่อนที่จะกลั้นใจเอ่ยเสียงแข็งออกมา
“น่ารังเกียจนัก”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวซูเลือนหายไปทันตา แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียว พลันก็มีรอยยิ้มประดับพรายอีก
“แต่อย่างน้อยก็ขอให้ท่านแม่ทัพรับน้ำใจไว้”
เป็นรอยยิ้มที่ต่างจากตอนแรก ดูค่อนข้างจะฝืนอยู่ไม่ใช่น้อย

เจี้ยนสือสัมผัสได้ และเขาก็ไม่ต้องการให้หลิวซูแสดงท่าทางน่าสงสารออกมา เขาไม่ใช่คนดีที่สมควรได้รับความรักอันท่วมท้นนี้ ก่อนที่จะแค่นเสียงออกมาอีกครั้ง
“ข้าจะไม่รับสิ่งใดก็ตามที่มาจากเจ้า”

จากนั้นก็คว้าเอาข้อมือของหลิวซูเสียเต็มแรง พลันฉุดกระชากให้เดินไปยังหน้าจวน ครั้นถึงประตูก็ออกแรงเหวี่ยงจนร่างมนุษย์หนุ่มล้มกระแทกไปบนพื้น

แรงกระแทกทำให้ใบหน้าของหลิวซูเหยเก ก่อนจะรีบดันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลเมื่อเห็นว่าเจี้ยนสือกำลังจะเดินกลับเข้าไปในจวน

“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ!” ปากร้องเรียกไว้ทันที พลันโพล่งขึ้นมาอีก “แม้ท่านจะไม่รับรักข้า แต่ข้าก็หาได้เดือดร้อนไม่ เพียงขอให้ท่านรู้ไว้ว่าท่านยังมีข้า”

ทั้งที่หัวใจเจ็บปวดที่ถูกผลักไสแท้ๆ แต่ก็ยังแสนดีกับคนใจร้ายผู้นั้นได้ถึงเพียงนี้
เจี้ยนสือชะงัก เขารำคาญใจเหลือเกินที่หลิวซูไม่เคยยอมพ่ายแพ้

กับเขาที่ไม่มีสิ่งใดดีเลยเช่นนี้ เหตุใดกันหลิวซูถึงได้ไม่ยอมถอดใจ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนในความรู้สึก จิตใจของเขาไหวเอนเสียจนไม่เป็นตัวของตัวเอง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาคงได้กลายเป็นผู้โง่งมที่หลงรักมนุษย์ต่ำต้อยผู้นั้นอย่างสุดหัวใจเป็นแน่

มือที่ถือถุงหอมอยู่จึงกำแน่น เสียงดังกรอบแกรบของดอกไม้แห้งภายในถุงผ้าถักทออย่างประณีตบรรจงลอยมาให้ได้ยินเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปมองยังหลิวซูแล้วชี้หน้าทันทีที่เห็นอีกฝ่ายจะกลับเข้ามาในจวน

“หยุดฝีเท้าของเจ้าไว้เพียงเท่านั้นเลย!”
เสียงตวาดกร้าวทำให้หลิวซูชะงักงัน ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ ก่อนที่เจี้ยนสือจะแค่นหัวเราะออกมา
“เจ้าคิดว่าการที่เจ้าทำดีกับข้าไม่จบสิ้น อีกทั้งยังตอแยทุกวี่วัน จะทำให้ข้าชายตาแลมองเจ้าอย่างนั้นหรือ!?”

สิ่งนั้นถูกต้อง เป็นความคิดของหลิวซู เขาไม่ปฏิเสธ ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ

“ข้าน้อยเพียงคิดว่าหากทำเช่นนี้ ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือจะมองเห็นถึงความพยายามของข้าน้อยบ้าง”
เจี้ยนสือเห็นอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่อาจรับไว้ต่างหาก จนต้องเอื้อนเอ่ยถ้อยคำร้ายกาจออกมา
“ช่างน่าขยะแขยงนัก เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่าสิ่งที่เจ้าทำ มันทำให้ข้าอยากจะสำรอกเพียงใด”

ไร้ซึ่งคำพูดจากหลิวซู ได้แต่ยืนฟังเจี้ยนสือบริภาษ

“แล้วนี่...ถุงหอมนี่ นำมามอบให้ข้า นึกว่าตนเองเป็นสตรีเช่นนั้นสิ หึ! ข้าไม่หลงใหลเจ้าเพียงเพราะถุงหอมโง่เง่านี้หรอกนะ กลับไปเสีย!”

ไม่เพียงแต่ขับไล่ ยังขว้างถุงหอมที่อยู่ในมือทิ้งออกไปยังนอกจวนอีกด้วย

หลิวซูมองตามด้วยหัวใจที่รวดร้าว ก็คาดคิดไว้อยู่แล้วว่าผลจะต้องออกมาเป็นเช่นนี้ เขาจึงก้มลงหมายจะเก็บถุงหอมกลับคืน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเจี้ยนสือก้าวเข้ามาใกล้และใช้ฝ่าเท้าบดขยี้ลงมาเสียก่อน
“ไสหัวกลับไปเสีย อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก”

หลิวซูถึงกับระงับความรู้สึกไว้ไม่ได้ ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำสีใส เมื่อเงยหน้าขึ้นจับจ้องยังใบหน้าของเจี้ยนสือก็พบว่าดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นจ้องมองมายังเขาอย่างดุดัน เขาจึงไม่ตอแยใดๆ อีก หันหลังเดินกลับไปอีกทางพร้อมกับหัวใจที่แตกสลาย ขณะที่เจี้ยนสือก้าวเดินกลับเข้าจวน ไม่ใคร่สนใจถุงหอมที่ถูกทิ้งให้เปื้อนฝุ่นอยู่แม้แต่น้อย

ยกเว้นก็แต่เทียนอี้...

เขาลอบมองเหตุการณ์นั้นมานานแล้ว เกือบจะอดใจไม่ไหวที่จะพุ่งออกไปวิวาทกับเจี้ยนสือแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะคิดว่าหลิวซูคงจะไม่ดีใจที่เห็นเขาออกโรงปกป้อง จึงได้แต่แฝงกายเร้นอยู่เช่นนั้น เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างสิ้นสุด เขาจึงเดินมายังจุดเกิดเหตุ ทอดสายตามองไปยังถุงหอม ก่อนก้มลงหยิบมันขึ้นมา ปัดเพียงเล็กน้อยให้เศษฝุ่นผงหลุดออกก็ยกขึ้นแตะปลายจมูก สูดดมเอากลิ่นหอมนั้นเข้าไปด้วยความรู้สึกที่ปวดร้าว

หากเจี้ยนสือไม่รับความรู้สึกของเจ้าไว้ ข้าจะรับไว้เอง

คิดเช่นนั้นแล้วก็เดินกลับไปยังจวนของตน ทว่าระหว่างทางที่เดินไปก็เห็นหลิวซูย้อนคืนกลับมาทางเดิม ดูก็รู้ว่าจะมุ่งหน้าไปยังจวนของเจี้ยนสืออีกครา หากแต่ก็ต้องชะงักไว้เมื่อเห็นเทียนอี้เดินมาจากเส้นทางนั้นเช่นกัน

“ท่านแม่ทัพเทียนอี้...”
ปากเอ่ยร้องเรียก ท่าทางประหม่าระคนสงสัยฉายออกมาให้เห็น

เทียนอี้ไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มให้บางๆ ราวกับบอกว่าเขาเห็นเรื่องเมื่อครู่นี้หมดแล้ว ขณะที่สายตาของหลิวซูเหลือบมองไปยังมือใหญ่แล้วก็ต้องใจสั่นไหวขึ้นมาเมื่อเห็นว่าในมือนั้นมี...
“ถุงหอมของข้า”
“ข้าเพิ่งเก็บมาเมื่อครู่ เห็นมันถูกวางทิ้งไว้ไม่มีผู้ใดแลเหลียวก็นึกสงสารนัก”

เทียนอี้ว่าระคนหยอกเย้า น้ำเสียงแฝงไปด้วยความใจดี แต่คนฟังกลับไม่ได้ยินดีเลยแม้แต่น้อย นอกจากจะแค่นหัวเราะออกมาด้วยใบหน้าโศกเศร้า

“ข้าน้อยช่างน่าสมเพชยิ่งนัก รู้ดีแก่ใจว่าท่านแม่ทัพเจี้ยนสือไม่ไยดีก็ยังจะไปตามตอแยให้เป็นที่รำคาญใจ”

แต่หากเป็นข้า ข้าจะไม่รำคาญ หรือแม้แต่ผลักไสไล่ส่งเจ้า

เทียนอี้คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกไปด้วยเกรงว่าจะทำให้คนตรงหน้าลำบากใจ ได้แต่ยืนมองหลิวซูหลั่งน้ำตา พูดพร่ำกล่าวโทษตนเองไม่หยุดหย่อน
“ข้าน้อยช่างโง่เขลานัก ไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกกี่ครั้งก็โง่เขลาเช่นเดิม ถุงหอมนั้น... ท่านแม่ทัพทิ้งไปเถิด เห็นแล้วชวนให้ข้าเวทนาตนเองยิ่งนัก”
“ข้าไม่ทิ้ง” เทียนอี้ว่าขัด เรียกให้หลิวซูจ้องมองหน้า ก่อนพูดออกมาอีก “และข้าก็จะไม่ปฏิเสธน้ำใจเจ้า หากเจ้ามีใจให้กับข้า”

พูดจบก็นำถุงหอมนั้นห้อยไว้ข้างเอว เป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าเขายินดีที่จะรับรักจากหลิวซูหากอีกฝ่ายมีใจคิดปฏิพัทธ์ สิ่งนั้นทำให้หลิวซูร้องไห้ไม่หยุด เขาที่ว่าแสนดีแล้ว แต่เทียนอี้กลับแสนดียิ่งกว่า ไม่ว่าชาติไหนก็ยังคงรักมั่นแต่เขา ทว่า... ต่อให้เกิดใหม่อีกกี่ชาติ เขาก็ไม่อาจรักใคร่เทียนอี้ได้มากกว่าผู้มีพระคุณได้

“ท่านแม่ทัพเทียนอี้ ขอบพระคุณท่านยิ่งที่เมตตาข้าน้อย แต่น้ำใจของท่าน ข้าน้อยคงจะรับไว้ไม่ได้ ข้าน้อยรักใคร่เพียงท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ ต่อให้กาลเวลาผันแปรไปอีกนานเท่าไร ใจของข้าน้อยก็คงมีแต่คนผู้นั้น ท่านตัดใจเถิด”

การว่าออกมาตรงๆ ทำให้หลิวซูลำบากใจไม่น้อย ขณะเดียวกันก็ทำให้เทียนอี้นิ่งงันไป แต่ที่จำต้องพูดเช่นนี้เป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้เทียนอี้จมปลักกับคนเช่นตน เทียนอี้ควรมอบใจให้ผู้อื่นที่คู่ควรมากกว่า แม้ว่าในใจจะมีเอนเอียงไปหาคนตรงหน้าบ้าง แต่หลิวซูก็รู้ดีว่าแท้จริงแล้ว ใจของตนปรารถนาผู้ใด

“ข้าน้อยหาได้รักท่าน ท่านแม่ทัพเทียนอี้... ข้าน้อยต้องขออภัย”

ยิ่งพูดก็ยิ่งสร้างความปวดแปลบในใจให้กับคนฟังเป็นเท่าทวี กระนั้นเทียนอี้กลับข่มความเจ็บปวดไว้ กล่าวออกมาราวกับสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นสายลมพัดผ่าน

“ไม่ว่าใจของเจ้าจะเป็นของผู้ใด แต่ข้าก็จะรักเพียงเจ้าและจะรักตลอดไป ไม่ว่าชาติไหน... ข้าก็จะรักเจ้า ซูซู”



 
ชั่วครู่หนึ่งที่คิดถึงอดีตชาติ เทียนอี้กลับคืนสู่ปัจจุบัน เขามองถุงหอมในมือที่สีซีดไปตามเวลาที่ผันผ่านอีกครู่ ก่อนจะพึมพำออกมาเสียงเบา
“ขออภัยที่ข้าไม่อาจรักษาคำพูด ถึงข้าจะตัดใจจากเจ้า แต่ความรักที่ข้าเคยมอบให้เจ้า ข้าจะจดจำตลอดไป”

จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่ง มือข้างหนึ่งขุดพื้นทรายเป็นหลุม อีกข้างวางถุงหอมลงไปและกลบมันฝังไว้

นั่นเป็นสัญญาณ...ว่าเขาได้ปล่อยวางหลิวซูจากใจแล้ว

เทียนอี้สูดหายใจเอาไอเย็นจากทะเลทรายเข้าปอด ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ากลิ่นอายจากทะเลทรายจะหอมหวานยิ่งกว่าหมู่มวลบุปผชาติถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะในใจของเขามีแต่บุรุษที่เกิดจากทะเลทรายก็เป็นได้ ทุกอย่างที่เป็นหนึ่งเดียวกับชายผู้นั้นถึงได้เย้ายวลใจเขาไปเสียหมด

เพลิดเพลินอยู่เพียงลำพังได้ครู่หนึ่งก็ต้องหันหลังไปมองเมื่อได้ยินเสียงทักลอยมาให้ได้ยิน
“มายืนตากลมทำสิ่งใดอยู่กันเจ้าหมา”

เสียงนั้นเป็นของซิ่นเฉิง เขามาลอบยืนมองการกระทำของเทียนอี้ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว แน่นอนว่าเห็นตอนที่เทียนอี้ฝังถุงหอมลงใต้ผืนทรายด้วย

เทียนอี้ในร่างของอดีตเทพยิ้มรับ ก่อนเดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายที่เดินเข้ามาหาเช่นกัน
“แล้วเจ้าล่ะมาทำสิ่งใด ไม่นอนแล้วหรือ?”
“เจ้าออกมาเดินเล่นเพียงลำพังเช่นนี้ ข้าจะหลับลงได้อย่างไร รู้มิใช่หรือว่าข้าจะหลับสนิทก็ต่อเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเจ้า”

คราวนี้เทียนอี้ถึงกับหัวเราะออกมาน้อยๆ ถ้อยคำของซิ่นเฉิงหาใช่คำออดอ้อน แต่เป็นเรื่องจริง พลันก็ใช้ท่อนแขนโอบรัดร่างของคนตรงหน้าไว้
“ข้าออกมาเพียงครู่ เจ้ายังเป็นถึงขนาดนี้ หากเจ้ากลับทะเลทรายไป ไม่มีข้าแล้ว เจ้าจะนอนหลับลงได้อย่างไร”
เทียนอี้พูดเป็นเชิงตะล่อมให้อีกฝ่ายอยู่ต่อ แต่ซิ่นเฉิงกลับไม่พูดสิ่งใดออกมา ได้แต่ปรายตามองอีกฝ่ายนิ่งๆ

“นึกๆ ไปแล้ว ข้ายังไม่เคยร่วมรักกับเจ้าในร่างนี้สักครั้ง”
เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่นไปเสียอย่างนั้น เทียนอี้ก็เผลอคล้อยตาม หัวเราะออกมาแล้วว่าเสียงหวาน
“เจ้าอยากจะลองหรือไม่?”

ไม่เคยมีอิดออดหรือทัดทานแม้สักคำหลุดออกจากปากของเทียนอี้ ซิ่นเฉิงก็เช่นกัน ทั้งที่บอกเองแท้ๆ ว่าวันนี้ร่วมรักไปหลายครั้งแล้ว แต่เมื่อถูกชักชวน เขาก็ตอบรับเช่นเดียวกัน

“ก็ไม่เลว”
สิ้นเสียง เทียนอี้ก็พาอีกฝ่ายเดินหายลับไปยังกลางทะเลทราย ครั้นทิ้งตัวลงนั่งก็ฉุดรั้งให้ซิ่นเฉิงมานั่งคร่อมบนตักและหันหน้าเข้าหาด้วยเกรงว่าเนื้อตัวของอีกฝ่ายจะเปรอะเปื้อนฝุ่นทราย ก่อนมอบจุตพิตให้

ปากที่มีรูปทรงเหมือนมนุษย์ทำให้ตักตวงความหอมหวานจากซิ่นเฉิงได้อย่างเต็มที่กว่าตอนที่คงร่างเทพอสูร พลันรสจูบก็ดุดันมากเป็นทวีคูณ เมื่อครั้งที่เป็นเทพอสูรก็ว่าตะกละตะกรามแล้ว แต่เมื่อใช้ปากได้ถนัดขึ้น เทียนอี้ก็ดูจะละโมบยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เมื่อซิ่นเฉิงทิ้งตัวนั่งลงมาครอบครองแก่นกายความเป็นบุรุษของเขาทีละน้อยจนกระทั่งสุดโคน และเคลื่อนไหวเชื่องช้าเป็นจังหวะ เทียนอี้ก็ละเลงปลายลิ้นลงบนยอดอกทั้งสองข้างของชายหนุ่ม ดูดกลืนขบเม้มอย่างไม่ปราณี สร้างความเสียวกระสันให้กับอีกฝ่ายจนต้องครางกระเส่าออกมา และดูท่าทางจะไม่หยุดง่ายๆ เสียด้วยเมื่อซิ่นเฉิงสัมผัสได้ถึงความเฉอะแฉะจนต้องร้องปราม

“นี่เจ้า จะวนเวียนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”
“เจ้าไม่ชอบหรือ?”
เทียนอี้เงยใบหน้างดงามดุจเทพสวรรค์ขึ้นมอง สายตาเย้ายวนสร้างความกำหนัดให้กับซิ่นเฉิงเป็นเท่าตัว แต่กระนั้นก็ยังแหวออกไป
“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เจ้าควรสนใจส่วนอื่นบ้าง ตอนนี้ทำสิ่งใดกันอยู่ เจ้าก็ควรจะสนใจสิ่งนั้น”

คำพูดเป็นนัยบ่งบอกให้เทียนอี้รู้ว่าเขาควรจะช่วยเหลือด้วยการออกแรงบ้าง หาใช่หยอกเอินตุ่มไตเม็ดเล็กนั่นเสียจนแดงเรื่อไม่หยุดหย่อน

คนฟังหัวเราะออกมา ยอมละริมฝีปากจากหน้าอกของคนในอ้อมแขนจนได้ มือทั้งสองประคองสะโพกเปลือยเปล่าของซิ่นเฉิงไว้ พลันกระซิบแผ่วเบา

“ข้าสนใจเจ้า... สนใจทั้งหมดที่เป็นของเจ้า”

คำพูดนี้ชวนให้ใบหน้าร้อนวูบยิ่งนัก ยิ่งเห็นดวงตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรักใคร่ ซิ่นเฉิงก็รู้ทันควันว่าอีกฝ่ายหลงใหลตนเพียงใด ก่อนเทียนอี้จะออกแรงขยับให้ร่างบนกายตนเองเคลื่อนไหว ความหวามไหวพร่างพรายไปทั่วร่างของบุรุษทั้งสอง ซิ่นเฉิงผวาเข้ากอดคนตรงหน้าแนบแน่น ถึงร่างของอดีตเทพจะไม่ได้สร้างความอบอุ่นได้เท่ากับร่างของเทพอสูร แต่เพราะเป็นเทียนอี้ ลมหนาวที่โบกโบยมาลูบไล้ผิวเนื้อก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงเหน็บหนาวแต่อย่างใด ลมหายใจกระหืดหอบของทั้งสองคงจะเป็นสิ่งที่หลอมรวมร่างกายของทั้งคู่ให้ร้อนรุ่ม ไม่นานนัก หยาดหยดแห่งความอภิรมย์ก็หลั่งไหลออกมาพร้อมกัน

เทียนอี้หาได้สนใจคราบเปรอะเปื้อน เขาออกจะดีใจที่ได้ฝังส่วนหนึ่งของตนไว้ในกายของซิ่นเฉิง ก่อนที่จะตระกองกอดร่างที่ซบลงมาบนไหล่ด้วยไร้ซึ่งเรี่ยวแรงไว้มั่น พลางกระซิบเสียงพร่า

“หัวใจของข้า...จากนี้จะมีเพียงเจ้า”
ซิ่นเฉิงได้ยินชัดเจน พลางยกมือหยาบกร้านโอบกอดอีกฝ่ายแนบแน่น ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเช่นกัน
“ข้ารู้แล้ว”

เห็นทุกสิ่งด้วยสองตาหมดแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าต่อจากนี้ ในหัวใจของเทียนอี้จะมีแค่เขา หาได้มีหลิวซูดังเดิม เป็นเรื่องที่น่าดีใจยิ่งที่เทียนอี้รักเขาเพราะเป็นซิ่นเฉิง หาใช่ตัวแทนของผู้ใด

แต่แล้วความยินดีก็มลายหายไปเมื่อได้ยินเสียงของเทียนอี้ดังขึ้นมาอีก
“อีกครั้งได้ไหม”
“เจ้าหมาตะกละ”

คนถูกบริภาษหัวเราะรับคำก่นด่าแต่โดยดี ซิ่นเฉิงเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน พลันประทับจูบลงมาบนริมฝีปากนุ่มของเทียนอี้
“หากเจ้าตะกละเช่นนี้ เห็นทีข้าคงจะต้องเลี้ยงดูเจ้าเป็นอย่างดีเสียแล้ว”

หมายถึงจะกี่ครั้งก็ไม่อิดออดใช่หรือไม่?

เทียนอี้หูตาแพรวพราวทันควัน ก่อนที่จะเริ่มดำเนินบทเพลงรักให้ขับขานท่ามกลางทะเลทรายอีกครั้ง

ลมเย็นอาบไล้ผิวกาย สองร่างกอดรัดเกี่ยวกระหวัด มอบรักให้แก่กันครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับพรุ่งนี้ไม่อาจมาถึง

จนกว่าจะดวงจันทราจะลาลับและดวงตะวันจะทักทายในอรุณรุ่ง... พวกเขาก็จะไม่พรากจากกันตลอดทั้งคืน
-----------------------------
เมื่อคืนเขียนไม่จบค่ะ เผลอหลับไปก่อน เลยไม่ได้มาอัป ขออภัย ฮืออ
พี่หมานี่ไม่ว่าจะเป็นตอนอยู่ในร่างไหนก็แซ่บเนอะ ตอนแรกว่าหื่นนิดๆ ตอนนี้คิดว่าไม่ใช่ค่ะ
หื่นมากเลยทีเดียว ที่วางมาดมาตั้งนอน ตบะแตกเอาตอนนี้ 555
ฝากฟีดแบ็กไว้หน่อยนะคะ

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
แซ่บได้ใจอ่ะ สูบเลือดแปป ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
 :3123:กว่าจะกลับทะเลทราย ร่างเฉินๆคงพรุนเป็นแน่ :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
จะร่างไหนก็หื่นอ่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Daramin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ Kawaiichibi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขำหมาน้อย มีกลิ่นว่าตอนหน้าต้องมีมาม่าแน่นแน่ :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ Toon_TK

  • เ ด็ ก อ้ ว น
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ไม่เอามาม่าแล้วนะ อิ่มแล้ว

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 24: เผ่าทะเลทราย

ทุกครั้งที่อรุณรุ่งมาถึง กลิ่นกายของซิ่นเฉิงก็จะอบอวลไปด้วยกลิ่นของเทียนอี้

มากขึ้น...มากขึ้นทุกวัน

เป็นที่น่ากังวลใจแก่ผู้รับรู้ยิ่งนัก ทว่าก็หาได้มีผู้ใดเอ่ยออกไปด้วยเทียนอี้ได้บอกกับพ่อบ้านเหลียงและหมิงจูที่เป็นกังวลไว้แล้วว่า... ‘ไม่ว่าข้าจะผูกพันกับซิ่นเฉิงอย่างไร เขาก็จะไปจากข้าในท้ายที่สุดอยู่ดี’ นั่นจึงทำให้ทั้งสองพอจะเบาใจขึ้นได้ว่าซิ่นเฉิงยังคงรักษาคำพูดของตนเอง

แต่ก็ใช่ว่าเทียนอี้หาได้ทักท้วงหรืออ้อนวอนใดๆ ให้ซิ่นเฉิงอยู่ต่อ คราแรกที่คิดว่าเพราะซิ่นเฉิงตัดสินใจอย่างนั้น เขาจึงจะไม่เอ่ยห้ามใดๆ บัดนี้ถึงกับคุกเข่าร้องขอทุกครั้งที่ได้มีปฏิสัมพันธ์ลึกซึ้งทางร่างกายกัน ในเวลานี้ เขามิอาจอยู่ได้โดยปราศจากซึ่งชายหนุ่มข้างกายอีกต่อไปแล้ว

บุรุษทะเลทรายละม้ายคล้ายจะใจอ่อน ดวงตาวูบไหวทุกครั้งที่ได้ยินคำร้องขอ หากแต่เพราะเป็นชายชาตินักรบ หัวใจนั้นย่อมต้องเด็ดเดี่ยว เมื่อตัดสินใจและลั่นวาจาให้สัตย์กับพ่อบ้านเหลียงและหมิงจูออกไปแล้ว เขาจึงไม่เปลี่ยนใจใดๆ แม้ว่าในใจนั้นจะปรารถนาอยู่เคียงข้างกับเทียนอี้มากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็เพื่อรักษาชีวิตของตน อีกทั้งยังชะตาชีวิตของคนในเผ่าที่เขาจะต้องดูแลเมื่อได้ขึ้นเป็นผู้นำ เขาจึงมิอาจทำตามเสียงหัวใจตนที่เรียกร้องได้

เทียนอี้อับจนปัญญาแล้ว ต่อให้กรีดร้องวิงวอนจนขาดใจตายไปตรงหน้า ซิ่นเฉิงก็คงไม่เปลี่ยนใจ ดังนั้นจึงเลิกกระทำการโง่เขลา ใช้เวลาอันแสนน้อยนิดที่เหลืออยู่ตักตวงความสุขล้ำจากอีกฝ่ายเท่าที่จะทำได้

ทว่า...ถึงอย่างนั้นก็อดตัดพ้อออกมาไม่ได้ หลังจากที่เดินทางเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน กระทั่งเข้าหลับนอนในกระโจม เทียนอี้ก็กอดกระหวัดรุกรานร่างแกร่งของมนุษย์หนุ่มอย่างโหยหา ทั้งที่ได้กอดก่ายทุกค่ำคืนแท้ๆ แต่ไม่ว่าเท่าไรก็มิอาจเติมเต็มใจของเขาได้ เขารักใคร่ซิ่นเฉิงจนไม่อาจพรรณนาออกมาเป็นถ้อยคำ ได้แต่ปล่อยให้ร่างกายสื่อสารทุกความรู้สึกที่มีออกมา ครั้นเสร็จสิ้นซึ่งกิจสุขสม เทียนอี้ก็ตระกองกอดร่างเปลือยเปล่านั่น จ้องมองใบหน้าคร้ามคมของอีกฝ่ายพลางว่าเสียงแผ่ว

“ข้าอยากจะกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้เหลือเกิน”
“เจ้าก็กอดอยู่แล้วมิใช่หรือ?”
ถูกคนในอ้อมแขนท้วง เทียนอี้ก็พลันยกยิ้มออกมา
“ข้าหมายถึง...ตราบนานเท่านานต่างหาก”

เป็นซิ่นเฉิงบ้างแล้วที่เงียบนิ่ง เขารู้ความหมายโดยนัยของคำพูดนั้นดี และมั่นใจอยู่ไม่น้อยว่าประโยคถัดมาคงเป็นการตัดพ้อ
“แต่อีกไม่นาน เจ้าก็จะไปจากข้า”

นั่นปะไร ผิดจากที่คาดคิดไว้เสียที่ไหน ซิ่นเฉิงก็คงมีความเงียบงันเป็นคำตอบให้ดังเดิมเพราะสิ่งนั้นคือความจริง แต่ทว่าเพราะได้ผูกพันกับเทียนอี้อย่างลึกซึ้ง ทำให้บุรุษทะเลทรายผู้นี้ไม่อาจเอ่ยปากออกไปได้เลยว่า ‘ใช่’ โดยไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ด้วยในใจของเขาไม่ได้อยากพรากจากอ้อมอกของเทพอสูรที่อยู่ข้างกายแม้แต่น้อย

ซิ่นเฉิงนิ่งเงียบจนน่ากลัว เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

ยากเหลือเกิน...

ช่างยากที่จะบอกออกไปเหลือเกินว่าเขาต้องจำจากด้วยเหตุผลใด...

“ข้าก็ไม่ได้อยากจะทำเช่นนั้นนัก”
ซิ่นเฉิงว่าเสียงแผ่ว คงจะพูดได้เพียงเท่านี้ พลันมือก็เอื้อมไปดึงรั้งหางของอีกฝ่ายเล่น เทียนอี้สะบัดหางไปมาให้เจ้าแมวป่าได้ไล่จับเป็นการหยอกเย้า
“หากไม่อยาก แล้วเจ้าจะไปด้วยเหตุผลใด”

น้ำเสียงหาได้มีความตึงเครียดแม้แต่น้อย กระนั้นก็มีความเศร้าสลดแฝงเร้น ซิ่นเฉิงก็กะไว้อยู่แล้วล่ะว่าเทียนอี้จะต้องถาม เพราะเขาได้ถูกถามนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่จะให้บอกได้อย่างไรล่ะว่าที่ต้องจากไปเป็นเพราะเขาคือหลิวซูกลับมาเกิด และเขาก็ไม่ต้องการเป็นชนวนเหตุให้เทียนอี้กับเจี้ยนสือต้องวิวาทกันถึงขั้นแตกหักเฉกเช่นในอดีตชาติตามที่สวรรค์ได้ลิขิตโชคชะตาไว้ อีกอย่าง ถ้าบอกไปแล้วเทียนอี้เกิดคะนึงหาคนผู้นั้นขึ้นมา แทนที่จะคะนึงหาแต่เขาเช่นในยามนี้ เขาจะทำอย่างไร เขาอยากให้เทียนอี้ได้รักเขาเพราะเขาเป็นซิ่นเฉิงมากกว่า การบอกความลับไปนั้นช่างไม่เป็นการดีเอาเสียเลย

“ข้าเป็นบุตรชายคนเดียวของหัวหน้าเผ่า มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เมื่อสิ้นท่านพ่อไป ชีวิตของคนในเผ่าก็จะตกอยู่ในมือของข้า ข้าจำเป็นต้องดูแลพวกเขา”

ในที่สุดก็ได้เหตุผล เทียนอี้ไม่แปลกใจหรอกหากอีกฝ่ายจะพูดออกมาเช่นนี้ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนทะเลทรายที่มีศักดิ์ไม่ต่างอะไรจากอ๋องของแคว้นใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงเก็บความเอาแต่ใจของตนลงไปและพูดปลอบประโลมออกมา

“หากเจ้าจำเป็นต้องกลับไปก็ไม่เป็นไร อย่าได้ห่วงข้าเลย ข้าก็เพียงพูดไปอย่างนั้น ส่วนเจ้า เมื่อจากไปแล้ว ยามมีเรื่องใดก็จงส่งสาส์นมาตามตัวข้าแล้วกัน เมื่อนั้นข้าจะไปหาเจ้า”
“ถ้าหากข้าไม่มีธุระสำคัญอันใดล่ะ จะตามตัวเจ้ามาหาได้หรือไม่?”

ถูกถามเช่นนี้ เทียนอี้ก็เลิกคิ้วสูงเล็กน้อยอย่างขบขัน

“เจ้าก็ตามตัวข้าได้ ไม่ว่าจะคิดถึงหรืออยากเล่นหางของข้า ล้วนส่งสาส์นมาหาข้าได้ทั้งนั้น ไม่ว่าเจ้าจะอยู่แห่งหนใด ข้าก็จะดั้นด้นไปหา”

เป็นคำพูดที่ทำให้หัวใจของซิ่นเฉิงชุ่มฉ่ำเหลือเกิน มือที่จับหางฟูฟ่องของเทียนอี้อยู่ขยุ้มขยำมากขึ้น ก่อนที่กระโจมซึ่งไร้หนังสัตว์ปกคลุมยังส่วนบนจะเผยให้เห็นดวงจันทร์ที่ถูกเมฆก้อนใหญ่บดบัง ราตรีนี้เทียนอี้ใคร่จะรับลมเย็นจากทะเลทรายด้วยต้องการจะกกกอดซิ่นเฉิงให้หนำใจ จึงสั่งให้ทหารในสังกัดจวนตั้งกระโจมโดยใช้แค่หนังสัตว์มาขึงไว้เป็นทรงกลมเท่านั้น ครั้นแสงจันทร์สาดทอตกกระทบยังเรือนร่าง เทียนอี้ก็แปรผันอยู่ในร่างอดีตเทพ หางที่ถูกซิ่นเฉิงม้วนเล่นอย่างเพลิดเพลินหายไปเพียงเสี้ยวพริบตา มือสากหนากำเพียงความว่างเปล่า พลันชายหนุ่มก็ถามออกมา

“แล้วถ้าหากเจ้าไม่มีหางล่ะ ข้าจะส่งสาส์นมาตามตัวเจ้าไปได้หรือไม่?”
“ไยจะไม่ได้กัน”
“เจ้าจะมาเพื่อการใด ในเมื่อไม่มีหางให้ข้าเล่น”

เทียนอี้นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนใบหน้างดงามจะประดับรอยยิ้มเจ้าเลห์ พลันยื่นมือมาคว้าเอามือของซิ่นเฉิงไปกอบกำบางอย่างที่อยู่กลางลำตัว ขยับเข้าใกล้และกระซิบเสียงแผ่วที่ข้างใบหู

“ข้าไม่มีหางข้างหลัง เจ้าก็เล่นหางข้างหน้าก็ได้ หางนี้ก็ชื่นชอบยามถูกเจ้าหยอกเอินด้วยฝ่ามือยิ่งนัก”

ใบหน้าของซิ่นเฉิงถึงกับร้อนวูบเลยทีเดียว เพราะ ‘หางข้างหน้า’ ที่เทียนอี้ว่า ดูจะไม่อ่อนนุ่มอย่างที่ควรเป็นเสียแล้ว ทว่ากลับขยายพองออกมา อีกทั้งยังดุนดันอาภรณ์คล้ายกับว่าจะผงาดออกมารับลมข้างนอกเสียให้จงได้
เห็นอาการนั้นของเทียนอี้แล้ว ซิ่นเฉิงก็หัวเราะร่วน
“ได้ใจเกินไปแล้ว เจ้าหมาร้าย ข้าจะหักหางเจ้าเสียให้สิ้นเลยทีเดียว”

คนฟังแสร้งทำสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ก่อนจะหัวเราะในลำคอออกมา ขณะที่ซิ่นเฉิงยกยิ้มเจ้าเล่ห์

“แต่ก่อนจะหัก...ข้าจะทำอย่างอื่น”

สิ้นเสียง คนพูดก็กระถดถอยลงสู่เบื้องล่าง ปลายเล็บของมือข้างที่รูดรั้งแก่นกายแข็งขืนอยู่สะกิดตรงส่วนปลายเบาๆ แต่เพียงสัมผัสน้อยนิดก็ทำให้เทียนอี้ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าแลดูตึงเครียดขึ้นมา ขณะที่ก้อนเนื้อในใจก็เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ไม่เพียงแต่ใช้ปลายเล็บหยอกเอิน ยังแลบลิ้นเลียไล้ไปทั่วจนฉ่ำเยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ ดุนดันความแข็งขืนนั้นเข้าไปในโพรงปาก ดูดกลืนราวกับว่ามีรสชาติโอชาอย่างไรอย่างนั้น

เทียนอี้กำหนังสัตว์ที่ปูรองนอนอยู่แน่น ก่อนที่ความอดทนจะสิ้นสุดลงเมื่อเห็นซิ่นเฉิงช้อนสายตาฉ่ำหวานขึ้นมอง

เจ้าแมวป่าตัวนี้จะเย้าหยอกเขามากเกินไปแล้ว...

“อย่ากลั่นแกล้งข้าเช่นนั้น”

ถึงจะออกปากปราม แต่ก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงหยุดยั้งการกระทำนั้นได้เลย ขณะที่เทียนอี้นิ่วหน้าเสียจนเส้นโลหิตปูดโปนยังข้างขมับ

เขาจะทนไม่ไหวแล้ว...

พลันเอื้อมมือไปหมายจะดึงรั้งซิ่นเฉิง ทว่าก็ถูกเจ้าแมวตัวดีปัดป้องออก เทียนอี้ครางเสียงแหบพร่าในลำคอเมื่อกึ่งกลางของความเป็นบุรุษเพศถูกฟันคมๆ ขบกัดแผ่วเบาราวกับเป็นการลงโทษที่เขาไม่ยอมเชื่อฟัง

สวรรค์! ผู้ใดเล่าจะรู้กันว่าเจ้าแมวป่าตัวนี้จะร้ายกาจได้มากถึงเพียงนี้

เทพอสูรหนุ่มดันตัวขึ้นนั่ง มองร่างแกร่งที่กลืนกินส่วนกลางของลำตัวตนเองอย่างหลงใหล มือเอื้อมไปลูบยังท้ายทอยแผ่วเบาเพื่อจัดเส้นผมที่กระเซอะกระเซิงของอีกฝ่ายให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนที่ฉับพลันความอดทนจะสิ้นสุดลง เขารีบดันหน้าผากของซิ่นเฉิงไว้ พลางบอก

“ข้าจะไม่ไหวแล้วนะ”

เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายรีบผละออก มิเช่นนั้น เขาคงได้หลั่งหยาดหยดแห่งความอภิรมย์ออกมาเป็นแน่

ทว่า...ซิ่นเฉิงกลับไปถอยหนี ถูกเตือนเช่นนั้นก็กลับเร่งเร้าเสียจนอีกฝ่ายถึงกับต้องขบกรามแน่น

ทน - ไม่ - ไหว - อีก - แล้ว!

ความอดทนสิ้นสุดลงเท่านี้ รสชาติเฝื่อนอบอวลในโพรงปากของซิ่นเฉิงในเสี้ยวพริบตานั้น เจ้าแมวตัวร้ายยอมถอนริมฝีปากออกมาในคราวนี้ พลันช้อนตามองคนที่นั่งสูงกว่าอย่างยั่วเย้า เทียนอี้นึกเอ็นดูสุดใจจะพรรณนา เอื้อมมือไปดึงรั้งร่างมาชิดใกล้ กระซิบเสียงพร่า

“เจ้าตัวร้าย”

จากนั้นก็บรรจงจูบ สอดลิ้นเข้าไปตักตวงความหวานล้ำของกันและกัน...เนิ่นนานกว่าที่จุมพิตจะถูกพราก เทียนอี้รวบอีกฝ่ายมากอดแน่น ซุกใบหน้าลงบนหัวไหล่เต็มไปด้วยร่องรอยแผลเป็น พลางกระซิบเสียงเบา

“ข้าไม่อยากห่างเจ้าแม้เพียงช่วงลมหายใจเดียว...เฉิงเฉิง”



 
เรื่องการเปลี่ยนใจไม่กลับคืนสู่ทะเลทรายนั้น ซิ่นเฉิงเองก็คิดไว้อยู่บ้าง แต่ก็ยังลังเลอยู่ว่าควรจะตัดสินใจเช่นนั้นหรือไม่ ทว่าก็ไม่ได้พูดออกไปว่าในใจของเขานั้นขบคิดถึงเรื่องนี้ไม่เว้นวัน กระทั่งขบวนทัพของเหล่าเทพอสูรยกพลเคลื่อนผ่านตำแหน่งที่เผ่าทะเลทรายจากทุ่งหญ้ากว้างปักหลักอยู่ เมื่อนั้นเองที่ความคิดฟุ้งซ่านสิ้นสุดลง

ขบวนทัพหยุดพักชั่วคราวด้วยเทียนอี้มีคำสั่งเพราะหมายจะให้ซิ่นเฉิงได้ไปสอบถามเรื่องร่องรอยการเดินทางของเผ่าตนเอง
ซิ่นเฉิงกับเผ่าทะเลทรายนี้รู้จักสนิทสนมชิดเชื้อกันมาแรมปี ด้วยครั้งหนึ่ง เผ่าของซิ่นเฉิงเคยสวามิภักดิ์เข้ากับเผ่านี้เพราะเหตุว่าถูกรุกราน จึงจำต้องให้อ๋องซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าดูแลปกปักษ์ ครั้นสงครามระหว่างชนเผ่าเล็กชนเผ่าน้อยสิ้นสุดลง อ๋องผู้ยิ่งใหญ่จึงประกาศให้เผ่าอื่นที่เข้ามาสวามิภักดิ์เป็นอิสระ เผ่าต่างๆ ล้วนพากันอพยพกลับถิ่นมาตุภูมิอันเป็นบ้านเกิด จะมีก็แต่เผ่าของซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ยังคงวนเวียนอยู่ในทะเลทรายด้วยแผ่นดินสีทองแห่งนี้คือมาตุภูมิของพวกเขา

ทันทีที่ขุนนางกราบทูลท่านอ๋องให้ทราบว่ามีบุตรชายจากเผ่าทะเลทรายมาขอเข้าเฝ้า ท่านอ๋องก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ต้อนรับอย่างสมเกียรติ ครั้นปรายตาเห็นชายหนุ่มในชุดชนเผ่าอันคุ้นตา ชายวัยกลางคนก็ยกยิ้มร่าราวกับได้เจอสหายที่ไม่ได้พบพานมาราวสิบปี

“คำนับท่านอ๋อง”
“ข้ายินดียิ่งที่ได้พบกับเจ้าอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าบุตรชายของอาซิ่นจะเติบใหญ่ได้ถึงเพียงนี้”

‘อาซิ่น’ ที่ถูกเอ่ยถึงคือบิดาของซิ่นเฉิง เมื่อครั้งที่ท่านอ๋องของชนเผ่านี้ได้พบเขา ซิ่นเฉิงมีอายุเพียงแค่สิบขวบปีเท่านั้น
“แล้วนี่เจ้ารอนแรมมาตามหาเผ่าของเจ้าใช่หรือไม่?”

อีกฝ่ายถามออกมาอย่างรู้ทัน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นเมื่อซิ่นเฉิงพยักหน้ารับ

“ข้าน้อยไร้การปฏิสัมพันธ์กับคนของเผ่ามานานแรมเดือนด้วยมีเหตุจำเป็น ถึงคราวนี้หมายจะพบพานพี่น้องในเผ่าอีกครั้ง จำต้องรบกวนท่านอ๋องเพื่อสืบหาร่องรอยของพี่น้องข้าน้อยแล้ว”

คนฟังพอได้ยินมาอยู่บ้างว่าเหตุใดซิ่นเฉิงถึงออกจากเผ่าไป นั่นก็เพราะเขาไปล้วงคอเทพอสูรสุนัขป่าที่ยืนรออยู่ทางด้านหลัง
พลางนึกในใจว่าชายหนุ่มผู้นี้ช่างสิ้นคิดนักที่กล้ากระทำเรื่องโง่เขลา ขณะเดียวกันก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าช่างกล้าหาญ

กับเหล่าเทพอสูรแล้ว...นอกจากยอมสวามิภักดิ์โดยดุษณี จะมีมนุษย์คนใดเล่าที่กล้ากำแหงแข็งข้อด้วยถึงจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว เทพอสูรเหล่านั้นจะไม่ได้ดุร้ายอย่างที่ถูกเล่าขานเป็นตำนานสืบรุ่นมาก็ตาม

“ก่อนหน้านั้นข้าได้พบอาซิ่นอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพาคนมาขอเสบียงอาหารแลกกับน้ำดื่มที่นำมาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์”

นั่นก็คงจะตั้งแต่เมื่อครั้งที่ซิ่นเฉิงบุกเข้าจวนของเทียนอี้...

“ข้าก็แปลกใจอยู่ว่าเหตุใดถึงไม่เห็นเจ้า เห็นแต่ธิดาผู้ที่เป็นฝาแฝดของเจ้าเพียงผู้เดียว มารู้ภายหลังว่าเจ้าถูกแลกเปลี่ยนเป็นทาสอยู่ในจวนของท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฟิงฝู”

ถึงตรงนี้ ซิ่นเฉิงพอจะเบาใจ แสดงว่าตั้งแต่ที่ออกจากจวนของเทียนอี้ ซิ่นจินก็กลับไปยังเผ่ากับพี่น้องร่วมสาบานของเขา
“เอาล่ะ ข้าจะไม่มากความ จะบอกร่องรอยของบิดาเจ้า”

เห็นว่าตนพูดพร่ำไปเรื่อยเปื่อยอยู่นานก็ใคร่จะกลับเข้าเรื่องสำคัญด้วยเห็นว่าใบหน้าของชายหนุ่มที่มาใหม่นั้นรอฟังคำตอบเพียงใด ก่อนจะพูดออกมาอีก

“ครั้งนั้นที่ข้าได้พบกับอาซิ่น เขาบอกกับข้าว่าจะมุ่งหน้าลงใต้”
“ไม่ได้ขึ้นเหนือหรือขอรับ?”

ซิ่นเฉิงเลิกคิ้วสูง โดยปกติแล้ว ใกล้ช่วงวสันฤดู บิดาจะต้องพาคนของเผ่าขึ้นเหนือสิ เพราะทางเหนือเป็นทุ่งหญ้ากว้าง มีแหล่งน้ำในหน้าที่ฝนตกชุก เหตุใดถึงพาคนมุ่งลงใต้กัน ทั้งที่ไม่เคยไปมาก่อนแท้ๆ...

ความฉงนนั้นทำให้ซิ่นเฉิงนิ่วหน้าเครียด ขณะที่อีกฝ่ายส่ายหน้าน้อยๆ

“ข้าเองก็ได้ทักท้วงเช่นกันว่าเหตุใดจึงไม่ขึ้นเหนือ เพราะอีกไม่นาน ข้าก็จะพาคนของข้ากลับคืนสู่ทุ่งหญ้าเช่นกัน หากแต่บิดาเจ้าไม่ได้ให้คำตอบใด ข้าคาดคิดว่าคงหมายจะหาถิ่นฐานตั้งรกรากใหม่ หรือไม่ก็...” ว่าพลางหยุดชะงักไปเล็กน้อย เหลือบตาไปมองเทียนอี้ที่ยืนฟังอยู่แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม “อาจจะเกรงว่าเทพอสูรจะตามมาระรานเพราะเจ้าเป็นเหตุก็เป็นได้”
ประจักษ์ชัดแจ้งในตอนนี้ บิดาซึ่งหวาดเกรงเหล่าเทพอสูรแต่เดิมย่อมไม่พาคนในเผ่าขึ้นไปเสี่ยงชีวิตเป็นแน่ อีกทั้งคงจะไม่วางใจด้วยว่าซิ่นเฉิงจะไม่ก่อเรื่องใดๆ อีก ถึงได้เปลี่ยนเส้นทางอพยพเสียอย่างนั้น คงหมายจะไม่ให้เทพอสูรตามตัวได้

เป็นเทียนอี้บ้างแล้วที่ขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่เหล่ามนุษย์หลงคิดเสียหน่อย ท่านอ๋องแห่งเผ่าทะเลทรายตรงหน้านี้ก็รู้ดีเพราะเคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาอยู่บ่อยครั้ง แม้จะไม่ได้ชิดเชื้อแต่ก็ใช่ว่าเขาจะใช้ความเป็นเทพอสูรข่มเหงรังแก

ทว่า...ความหวาดกลัวนั้นเป็นของคู่จิตใจมนุษย์ ถึงจะรู้ดีว่าเทพอสูรอย่างเทียนอี้ไม่ทำอันตรายแก่ผู้ใด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเทพอสูรตนอื่นจะเป็นเช่นเขา การที่ซิ่นจินถูกส่งไปเป็นฮูหยินเพียงเพราะบิดาของนางรุกล้ำบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ได้ตั้งใจจนถูกข้ารับใช้ของเทียนอี้ขู่กรรโชกว่าจะเข่นฆ่า นั่นก็ชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือว่าเทพอสูรมิอาจวางใจได้

พลันเทียนอี้ก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา หากไม่เป็นเพราะพ่อบ้านเหลียงที่ออกอุบายหมายให้เขาตบแต่งฮูหยินเข้าจวน เขาก็คงไม่ถูกมองเช่นนั้น แต่อีกใจก็นึกขอบคุณพ่อบ้านเหลียงเช่นกัน เพราะหากไม่มีเรื่องเข้าใจผิดเช่นนั้น เขาก็คงจะไม่ได้พบพานกับซิ่นเฉิง
แต่ในเวลานี้ เรื่องนั้นหาได้สำคัญไม่ เมื่อได้ยินว่าบิดาของซิ่นเฉิงอพยพลงใต้ ในใจของเทียนอี้ก็พลันกังวลขึ้นมา

“ลงใต้... ดินแดนทางนั้นเป็นทะเล เป็นจุดหมายที่ข้าจะยกทัพมุ่งหน้าไป”
ซิ่นเฉิงรับรู้ได้โดยพลันว่าเทียนอี้ตั้งใจจะหมายถึงสิ่งใด

ดินแดนทางนั้นมีปีศาจที่ทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะเทือนสิงสถิตอยู่!

เป็นเขาบ้างแล้วที่กังวลขึ้นมา แม้แต่เหล่าเทพยังต้องหวาดเกรง แล้วหากเป็นมนุษย์ จะเหลือชีพให้ดำรงอยู่หรือ?
“ได้ความแล้วก็ไปพักผ่อนก่อนเถิด จากนั้นค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ”

ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะได้เป็นกังวลไปมากกว่านี้ เทียนอี้ที่ยืนฟังอยู่นานก็เป็นฝ่ายตัดบท

ท่านอ๋องไม่ทัดทานใดๆ เห็นดีด้วยกับเทพอสูรตรงหน้า
“กิ่นให้อิ่ม นอนให้หลับ หากต้องการความช่วยเหลือ ก็จงบอกข้า ขออย่าได้เกรงใจ”
“ขอบคุณท่านอ๋อง”

ซิ่นเฉิงยกมือคำนับ หมุนตัวหมายจะออกจากกระโจมของผู้มีศักดิ์ใหญ่กว่า ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าไปไหนได้ไกล เสียงของท่านอ๋องก็ดังขึ้น

“ท่านเทพอสูร...”
เทียนอี้หันไปมอง พลันท่านอ๋องก็ว่าขึ้นอีก
“ท่านใช่หรือไม่ที่เป็นผู้ดูแลบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทางตอนเหนือเมื่อสิบปีก่อน”

เขาไม่แน่ใจนัก แต่ก็จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าผู้ดูแลบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นมีรูปกายเป็นสุนัขป่าขนสีเงินยวง
“ใช่ เป็นข้าเอง”

ครั้นได้ยินอีกฝ่ายตอบเช่นนั้น ท่านอ๋องก็ยกมือขึ้นคำนับ

“เป็นวาสนาของข้าที่ได้พบพานท่านอีกครั้ง หากไม่ได้รับความเมตตาจากท่านในครานั้น ข้าและพี่น้องคงต้องมอดม้วยเป็นแน่”

เทียนอี้จำได้ดีว่าครั้งหนึ่ง เผ่าทะเลทรายเผ่านี้ก็เคยรุกรานบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อดื่มกิน หากแต่ถูกเขาขับไล่ เหตุนั้นเป็นเพราะ...
ยังไม่ทันจะได้คิดต่อ ซิ่นเฉิงที่ได้ยินเรื่องนั้นก็หันขวับมา
“เจ้าหรือที่เป็นเทพอสูรตนนั้น?”

เทียนอี้มองหน้าคร้ามคมของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก ขณะที่ซิ่นเฉิงใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะกับความจริงที่ได้รับรู้ ก่อนภาพความทรงจำในวัยเยาว์จะภายวาบขึ้นในหัว

เมื่อสิบปีก่อน เขามีอายุได้สิบขวบปี บิดาพาเผ่าของเขารอนแรมไปกับเผ่าของท่านอ๋องตรงหน้า อดอยากแร้นแค้นแสนเข็ญ
หลายชีวิตล้มตายอย่างน่าอนาถ ศึกสงครามระหว่างชนเผ่าคร่าชีวิตชายหนุ่มฉกรรจ์ไปมากมาย สตรีและเด็กต่างก็ล้มตายเพราะขาดน้ำและอาหารดำรงชีพ ครั้นมาถึงยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่พบเจอระหว่างทางที่อพยพขึ้นเหนือ บรรดาชาวเผ่าก็หมายจะดื่มกินน้ำดับกระหาย ทว่าก็ถูกเหล่าเทพอสูรขัดขวางและขับไล่อย่างไม่ไยดี

แม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่ได้หยดลงคอ... ซิ่นเฉิงในตอนนั้นลำคอแห้งผากเป็นผุยผง เด็กเช่นเขาแม้ว่าจะไม่ประสาเรื่องใดนัก แต่ก็จำได้ดีว่ามารดาที่ตระกองกอดเขากับซิ่นจินนั้นวิงวอนขอความเมตตาเพียงใด

 
‘ได้โปรด น้ำเพียงอึกเดียวก็ได้ โปรดเมตตาให้ลูกๆ ของข้าได้ดื่มสักนิดเถิด’
‘ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้ หากไม่อยากทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ก็จงไปจากที่นี่เสีย ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน’
‘เพียงหยดเดียวก็ได้ ได้โปรดให้ลูกข้าได้ดื่ม’
‘แม้แต่หยดเดียว พวกเจ้าก็ดื่มไม่ได้ จงไปซะ!’
 
ถ้อยคำนั้น ซิ่นเฉิงคำได้ไม่เคยลืม แม้ภาพความทรงจำของเทพอสูรตนนั้นจะเลือนรางด้วยเขาในตอนนั้นหน้ามืดวิงเวียนเสียจนสายตาพร่าเลือน ทว่าก็รับรู้ได้ว่านั่นคือเทพอสูรผู้ดูแลบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

และเป็น...สาเหตุที่ทำให้มารดาเขาต้องตาย

ครั้นถูกขับไล่ออกจากบ่อน้ำ เผ่าทะเลทรายก็รอนแรมในดินแดนอันแห้งแล้งนี้ไปอีกได้ไม่นาน ผู้คนต่างพากันล้มตาย มารดาของเขาซึ่งเดิมทีมีร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้วล้มป่วยหนัก เพียงไม่กี่ราตรีให้หลัง ร่างกายก็ซูบซีด ก่อนจะขาดใจตายไปต่อหน้า ซิ่นเฉิงจำใบหน้าผ่ายผอมของมารดาในวาระสุดท้ายได้ดี ยามนางพยายามยกยิ้มเพื่อแค่นคำพูดออกมานั้น เขายังคงจำได้ไม่ลืม
 
‘อย่าถือโทษโกรธแค้นท่านเทพอสูรผู้นั้น ที่เขาไม่เมตตา ท่าทีนั้นคือการเสแสร้ง เขามีเหตุที่ไม่อาจมอบน้ำให้เราดื่มได้’
‘แต่หากท่านแม่ได้ดื่มน้ำ ท่านแม่ก็จะไม่เป็นเช่นนี้!’
‘เฉิงเฉิง วาสนาของแม่มีเท่านี้ ต่อจากนี้เจ้าจงดูแลจินจินแทนแม่ เติบใหญ่ในภายหน้าก็ขอให้เจ้าดูแลท่านพ่อและพี่น้องของเราด้วย’
เปลือกตาของนางค่อยๆ ปรือปิดลง ซิ่นเฉิงในอายุเพียงสิบขวบปีตะลึงงันเมื่อเห็นมัจจุราชนำเอาวิญญาณของมารดาอันเป็นที่รักไปต่อหน้า ขณะที่ซิ่นจินร่ำไห้อยู่เบื้องหลัง
‘ไม่...ท่านแม่...ไม่!’

นางสิ้นใจไปทั้งที่บุตรชายยังคงเขย่าร่างอยู่ ซิ่นเฉิงไม่อาจยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้น เสียงร่ำไห้ของเขาดังระงมยิ่งกว่าผู้ใด ทำเอาบิดาที่ยืนมองอยู่มิอาจทนไหว เข้ามากอดลูกทั้งสองไว้ในอ้อมแขน กลั้นความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไป พลางเปล่งเสียงแหบแห้งที่สั่นเครือน้อยๆ ออกมา

‘ท่านแม่ของพวกเจ้าไปเป็นดาวบนฟ้าแล้ว จากนี้เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อนาง’
‘ไม่...ท่านแม่ยังไม่ตาย ท่านแม่ยังอยู่กับข้า! ฮือ...ท่านพ่อ! ข้าจะไปฆ่ามัน! เทพอสูรตนนั้น...ข้าจะฆ่ามันให้สิ้น!’

เด็กน้อยอาละวาดในอ้อมแขนของบิดา แต่เรี่ยวแรงนี้จะไปทำการใดได้ ขนาดจะดิ้นให้หลุดจากการเหนี่ยวรั้งของบิดายังทำไม่ได้เลย

ถ้าเช่นนั้น...เขาจะต้องเติบใหญ่เป็นบุรุษที่แข็งแกร่ง เป็นนักรบของเผ่าเพื่อที่จะได้สังหารเทพอสูรที่บังอาจพรากมารดาไปจากเขา

เทพอสูรน่ารังเกียจตนนั้น!



 
คิดถึงภาพนั้นแล้ว ร่างกายของซิ่นเฉิงก็พลันสั่นเทิ้มขึ้นมา เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนที่สร้างความเจ็บปวดในวัยเยาว์จะอยู่ใกล้ตัวถึงเพียงนี้ ก่อนที่จะมองหน้าเทียนอี้นิ่งและเปิดปากถามอีกครั้ง

“ใช่เจ้าหรือไม่ที่เป็นผู้ดูแลบ่อน้ำนั่น!?”

เทียนอี้นิ่งงัน เขาไม่อยากพูดเลยว่านั่นคือเขาเองเพราะพอจะรับรู้ได้แล้วว่าเหตุใดซิ่นเฉิงเคยเล่าไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาถามว่าไยจึงรังเกียจเทพอสูรและซิ่นเฉิงได้ให้คำตอบไว้ว่าเพราะเทพอสูรสังหารมารดาของเขา ที่แท้ก็เป็นเพราะซิ่นเฉิงคือชนเผ่าทะเลทรายที่มาบุกรุกบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น

“ใช่เจ้าหรือไม่!?”

ซิ่นเฉิงตะคอกออกมา ไร้ซึ่งความเกรงใจท่านอ๋องที่พยายามจะปรามด้วยเขาเองก็ตระหนักได้ว่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป ก่อนที่เทียนอี้จะยกมือเป็นเชิงห้ามให้ท่านอ๋องหยุดกระทำการใด สูดลมหายใจเข้าและว่าออกมา

“เป็นข้าเองที่ดูแลบ่อน้ำนั้น”

เขามีเหตุผลที่ไม่อาจให้มนุษย์ดื่มกินน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ท่านอ๋องและผู้นำเผ่าทะเลทรายคนอื่นๆ ต่างรู้เรื่องนี้แล้ว หากแต่ดูเหมือนบิดาของซิ่นเฉิงจะยังไม่ได้เล่าข้อเท็จจริงนี้ให้บุตรชายฟัง

ทว่า...ถึงจะมีพูดไปตอนนี้จะได้อะไร ในเมื่อซิ่นเฉิงที่ตกตะลึงไปชั่วครู่มองเขาด้วยแววตาผิดหวัง ในใจหนักอึ้งราวกับฟ้าถล่มใส่ ก่อนที่ความผิดหวังจะพร่างพราย พลันริมฝีปากแห้งผากจะเปล่งเสียงออกมา

“เป็นเจ้านี่เองที่สังหารท่านแม่ของข้า...เทียนอี้”
---------------------------
จะม่ากันอีกแล้วสินะหลังจากที่ถูกตอนหวานหลอกอยู่หลายตอน ว้อยยย ตบคนเขียนม๊านนน! #ผิดๆ 555
เริ่มเปิดเรื่องเข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้วค่ะ ตอนหน้าก็จะเริ่มเฉลยแล้วล่ะว่าหลิวซูตายเพราะเจี้ยนสือยังไง
แล้วเรื่องจะเป็นยังไงต่อ ช่วงนี้หนูแดงอัปช้าหน่อยเพราะติดภารกิจงานหนังสือแต่จะพยายามมาอัปต่อเนื่องนะคะ
ฝากฟีดแบ็กไว้ล่วย พรุ่งนี้จะเอาตัวอย่างตอนใหม่มาแปะให้จ้า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ปวดตับยิ่งนัก สองคนนี้จะคืนดีกันได้มั้ย

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Realy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หวานไม่ทันไรมาม่าห่อจัดมาเต็มเชียว :katai1: :z6:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอ้ย ม่าอีกแล้วอ่ะ ฮื้อออออ  :ling1:

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[1]

ไม่ว่าอย่างไร เทพอสูรกับมนุษย์ก็คงมิอาจบรรจบ ยิ่งซิ่นเฉิงได้รู้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามารดาของเขาถูกพรากไปเพราะคำสั่งของเทียนอี้ ความหมางเมินก็ปรากฏพร่างพรายให้เห็น แม้ว่าเทียนอี้ที่เพิ่งจะรู้ว่าตนกระทำการใดผิดได้เข้าไปอธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่าเหตุที่ต้องห้ามมิให้เหล่ามนุษย์ที่รอนแรมข้ามทะเลทรายดื่มน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเพราะเมื่อครั้งนั้น ปีศาจอันเป็นบุตรชายของเทพมังกรวารีได้ระรานด้วยการปล่อยพิษไว้ หมายจะคร่าชีวิตของทุกสรรพสิ่งที่ดื่มกินน้ำนั้นเพื่อเสริมพลังให้ตนเอง

แค่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ เทียนอี้ก็รู้สึกแย่อยู่แล้ว หากปล่อยให้ต้องมีมนุษย์คนใดตายเพราะความประมาทของเขาอีก เขาคงไม่มีหน้าไปพบผู้ใด ดังนั้นจึงจำต้องสั่งห้ามและขับไล่ชนเผ่าทะเลทรายที่วิงวอนขอน้ำดื่มอย่างจำใจ แม้ว่าในใจนั้นนึกสงสารและเวทนามนุษย์เหล่านั้นสุดแสนจะทานทนก็ตาม แต่หากปล่อยให้ได้ดื่มน้ำ นั่นจะกลายเป็นการทำให้เหล่ามนุษย์ที่ดูอ่อนล้าไปเยือนยมโลกเร็วขึ้น

จนถึงบัดนี้ เทียนอี้ก็ยังคิดว่าตนตัดสินใจไม่ผิด ไม่เช่นนั้น เขาคงจะไม่ได้เห็นซิ่นเฉิงมายืนอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ ทว่าซิ่นเฉิงกลับไม่ยอมรับ แม้ว่ามนุษย์หนุ่มจะรับฟังและเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยทั้งเทียนอี้ ทั้งอ๋องแห่งเผ่าทะเลทรายและเทพอสูรตนอื่นๆ ช่วยกันอธิบาย กระนั้นก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงยอมปริปากพูดกับเทียนอี้เช่นเดิมได้เลย

ใช่ว่าไม่อยากพูด แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เขาถือโอกาสใช้เรื่องนี้เป็นการตัดสัมพันธ์กับเทียนอี้แล้วกลับทะเลทรายเลยก็แล้วกัน เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เลือกที่จะจากไปอยู่แล้ว หากจากไปโดยยังมีพันธะผูกพัน ไม่แน่ว่าบ่วงที่รัดคอพวกเขาเอาไว้ด้วยกันอาจจะรัดแน่นขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้ และถ้าเป็นเช่นกัน สิ่งที่เขาทุ่มเททำมาทั้งหมดก็เสียเปล่า

เพราะอย่างนั้นจึงยังคงวางท่าทีหมางเมิน แสร้งขุ่นเคืองเทียนอี้ต่อไป หมิงจูกับพ่อบ้านเหลียงก็เลิกช่วยพูดแล้วด้วยทั้งสองตระหนักได้ว่านั่นอาจจะเป็นอุบายของมนุษย์หนุ่ม จะมีก็แต่เพียงเทียนอี้เท่านั้นที่ไม่รู้ ตามตอแยอธิบายข้อเท็จจริงไม่เลิกรา ทว่า...เมื่อถูกซิ่นเฉิงพูดใส่หน้าว่า...

“ข้าไม่มีวันบรรจบกับผู้ที่สังหารมารดาข้า เรื่องที่ผ่านมา ขอให้เจ้าคิดว่าเป็นความฝัน”
...เทียนอี้ก็พูดอะไรต่อไม่ออก

ให้เขาคิดว่าเป็นความฝันอย่างนั้นหรือ? จะไปทำได้อย่างไรกันล่ะ!

ในใจปวดหนึบ แต่ก็มิอาจทำอะไรได้ ซิ่นเฉิงก็คือซิ่นเฉิง เมื่อคิดหรือตัดสินใจทำสิ่งใดแล้ว ต่อให้เอาเชือกมามัด เอาไม้มาโบย ก็มิอาจเปลี่ยนใจมนุษย์หนุ่มได้ เทียนอี้จึงต้องล่าถอยไปขบคิดว่าจะทำการใดต่อดี

แต่...จะทำการใดก็คงไม่ทันการ เพราะหลังจากที่สลัดเทียนอี้หลุด ซิ่นเฉิงก็เอ่ยปากลาท่านอ๋องเผ่าทะเลทรายด้วยหมายจะเดินทางไปตามหาเผ่าของตนในวันรุ่งขึ้น เทียนอี้อยากจะขัดนัก อีกทั้งอยากจะไปด้วยเพราะใจคิดเป็นห่วงว่ามนุษย์ตัวคนเดียวอย่างซิ่นเฉิงจะได้รับอันตราย ทว่าก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเขาบอกกับอีกฝ่ายว่าจะมาส่งยังเผ่าทะเลทรายที่ปักปลักอยู่ละแวกนี้เท่านั้น ซึ่งคำพูดของเขาก็ถือเป็นที่เสร็จสิ้นแล้ว ต่อให้พูดสิ่งใดออกไปอีก ซิ่นเฉิงก็คงไม่รับฟังและยอมรับง่ายๆ ดังเดิม จึงได้แต่ร้อนใจ หาวิธีที่จะเหนี่ยวรั้งซิ่นเฉิงได้เพียงลำพัง

มนุษย์หนุ่มรู้ว่าเทียนอี้หมายจะทำการนั้น เขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะพบหน้ากับแม่ทัพเทพอสูรสุนัขป่าทั้งวันทั้งคืน ไม่นอนร่วมกระโจมอย่างเคย แต่กลับไปนอนร่วมกระโจมกับพ่อบ้านเหลียงและบรรดาทหารผู้รับผิดชอบกองเสบียงกรังแทน
ในคืนแรกที่ไร้อ้อมกอดของเทียนอี้โอบรัดช่างไม่คุ้นเคยสำหรับซิ่นเฉิงเอาเสียเลย เขานอนกระสับกระส่ายอยู่ครู่ใหญ่จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว ลุกออกจากกระโจมมานั่งตากลมเย็นเยียบบริเวณเนินทรายไม่ไกลจากจุดที่เหล่าเผ่าทะเลทรายและกองทัพเทพอสูรพำนักเท่าไรนัก

ราตรีนี้ ใจช่างว้าวุ่นเหลือเกิน ทั้งเรื่องของเทียนอี้ที่อีกไม่นานก็จะต้องพรากจากกัน ทั้งเรื่องของเผ่าตนที่อยู่แห่งหนใดก็มิอาจรู้ได้ ความกังวลเกาะกุมจิตใจจนพานให้ร่างกายอ่อนล้า

ซิ่นเฉิงทรุดตัวลงนั่งบนผืนทรายละเอียด ดวงตาทอดมองไปยังความมืดมิดของทะเลทรายเวิ้งว้างเบื้องหน้า พลันหลับตาลงช้าๆ หมายจะให้สายลมที่พัดโบกโบยนำพาเอาความเหนื่อยอ่อนนั้นไป หากแต่ทำเช่นนั้นได้ไม่นานก็ต้องลืมตาขึ้นเมื่อหูได้ยินเสียงสวบสาบดังมาจากทางด้านหลัง คราแรกนึกว่าเป็นเสียงฝีเท้าของเทียนอี้จึงหมายจะลุกหนี ทว่าพอได้ยินเสียงทุ้มที่เอ่ยทัก เขาจึงชะงักและนั่งอยู่อย่างเดิม

“นอนไม่หลับหรือ ถึงได้ออกมานั่งเล่นตามลำพังเช่นนี้?”

เป็นเสียงของเจี้ยนสือ วันนี้ผืนฟ้าไร้เมฆบดบัง จันทราสาดแสงลงสู่พื้นดินได้อย่างเต็มที่ ร่างกายอันอัปลักษณ์ของเจี้ยนสือจึงแปรเปลี่ยนเป็นร่างงดงามของอดีตเทพ กระนั้นก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงสนใจแต่อย่างใด เขาเพียงเหลือบมองแล้วผินหน้ากลับมาทางเดิม

“เย็นชากับข้าเสียจริงนะ”

คนถูกเมินว่าเย้า ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ตอบโต้ จึงทรุดตัวลงนั่งข้างๆ

“นอนไม่หลับเพราะเทียนอี้ล่ะสิ”

เมื่อนั่งได้ก็พูดต่อ สิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้รับคำแต่อย่างใด ถึงจะเงียบงันเป็นคำตอบ แต่กลับทำให้คนถามปวดร้าวในใจขึ้นมาทีละน้อยด้วยเขารู้ดีว่าเหตุใดมนุษย์หนุ่มถึงได้มานั่งซึมเซาอยู่คนเดียวเช่นนี้

"เจ้ารู้เหตุผลที่เทียนอี้ไม่ให้มนุษย์ดื่มน้ำในครั้งนั้นแล้วใช่หรือไม่?”
เจี้ยนสือทำลายความเงียบอีกครั้ง คราวนี้คนถูกถามพยักหน้ารับทั้งที่ไม่ได้หันไปมอง
“ถึงจะรู้ความจริงแล้ว แต่เจ้าก็ยังจะหมางเมินกับเจ้านั่นเช่นนี้หรือ?”

ถามคล้ายกับว่าเป็นห่วงดั่งเช่นใครต่อใครพากันถามซิ่นเฉิง แต่สำหรับเจี้ยนสือแล้ว ความเป็นห่วง เขามีให้เพียงคนตรงหน้าเท่านั้น หาได้อยากให้คนตรงหน้าคืนดีกับสหายตนแต่อย่างใด

“แล้วมีเหตุอันใดที่ข้าจำจะต้องไปผูกมิตรกับเจ้าหมากันล่ะ ในเมื่ออีกไม่นาน ข้าก็จะไปจากพวกเจ้า”
เป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากริมฝีปากของมนุษย์หนุ่ม ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หันไปมองหน้าเจี้ยนสืออยู่ดี

“ก็ไม่รู้สิ เห็นพวกเจ้าสนิทชิดเชื้อกัน ข้าก็นึกว่าพวกเจ้ามีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน”

เทพอสูรงูจงอางแสร้งพูดแทงใจดำทั้งที่รู้ดีว่าระหว่างเทียนอี้และซิ่นเฉิงเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ซิ่นเฉิงเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจจึงแสร้งทำหูทวนลม คนมองส่งเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วเบาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไร้การตอบโต้ ก่อนจะพูดขึ้นมาอีก

“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อ เผ่าของเจ้าใช้เส้นทางใดไปก็มิอาจรู้ เจ้าว่าจะออกตามหา แต่ลำพังเจ้าตัวคนเดียว จะไปทำการใดได้กัน มิวายจะตายเป็นศพไร้ญาติเอาระหว่างทาง”
“จะทำเช่นไรก็เรื่องของข้า”

ซิ่นเฉิงไม่อยากจะเสวนาด้วยเท่าไรนัก เพราะนึกรำคาญใจขึ้นมาแม้ว่าคำพูดของเจี้ยนสือจะถูกต้องและมันจะแฝงไปด้วยความเป็นห่วงในถ้อยคำและน้ำเสียงกระด้างก็ตาม ทว่าเจี้ยนสือกลับตอแยไม่เลิก

“หากเหนือบ่ากว่าแรงที่เจ้าจะกระทำเพียงลำพัง จะให้ข้าช่วย ข้าก็ยินดี”

สิ่งที่หยิบยื่นให้หาใช่น้ำใจ หากแต่เป็นความประสงค์ของเขา เมื่อคิดว่าซิ่นเฉิงจะต้องกลายเป็นผีไร้ญาติ เจี้ยนสือก็มิอาจทนได้

“ข้าจะไว้ใจเจ้าได้เช่นไร?”
“ข้าเคยทำร้ายเจ้าหรือไร กับคนของเจ้า เผ่าของเจ้า ข้าก็ไม่เคยทำร้ายสักครั้ง ไม่เหมือนกับเจ้านั่นที่แม้จะขับไล่เพราะหวังดี แต่ก็เป็นเหตุทำให้แม่ของเจ้าต้องตาย”
“แต่เจ้าสังหารหลิวซู... สังหารคนที่เจ้ารักถึงสองครา เป็นเช่นนี้ ข้าจะไว้ใจได้อย่างนั้นหรือ?”

ซิ่นเฉิงหันหน้าไปมองในคราวนี้ เจี้ยนสือยกยิ้ม ไม่ใช่เพราะขบขัน แต่เป็นเพราะสมเพชตนเองที่อีกฝ่ายหาได้วางใจเขาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังพูดแทงใจดำเขาอีกต่างหาก ทั้งที่แสร้งหลงลืมไปแล้ว ก็ยังถูกขุดคุ้ยอดีตที่ไม่อาจลืมเลือนได้ขึ้นมา เจี้ยนสือเข้าใจ...เขาก็น่าจะไม่ถูกวางใจอยู่หรอก ทำผิดถึงสองหนเช่นนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจให้อภัยได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะหลิวซูซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำ

กระนั้นเจี้ยนสือก็กลั้นความกระอักกระอ่วนในใจที่ถูกพูดตอกหน้ามาตามตรงลงไป และเอ่ยกับซิ่นเฉิงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่ข้าไม่เคยทำร้ายเจ้า และจะไม่มีวันทำ ข้าไว้ใจได้อย่างแน่นอน ไว้ใจข้าสิ”

ซิ่นเฉิงไม่โอนอ่อนตามไปด้วยโดยง่าย เพราะเขาไม่ใคร่ที่จะข้องเกี่ยวกับเทพอสูรตนใดอีกด้วยคิดจะตัดขาดแล้ว ทว่าเมื่อคิดดูดีๆ ในการครั้งนี้ เขาจำต้องมีผู้ช่วยเหลืออย่างที่เจี้ยนสือว่า ตัวคนเดียวเช่นเขาคงมิอาจค้นหาเผ่าของตนได้เจอแน่ ครั้นจะออกปากขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋องของอีกเผ่าก็เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่มากเกินไป จึงไม่ใคร่จะรบกวนอีก พลันออกปากไปอีกครั้ง

“หากข้าต้องการให้เจ้าช่วย เจ้าก็คงจะไม่ช่วยข้าโดยไม่มีสิ่งตอบแทนสินะ”
เจี้ยนสือยกยิ้ม ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปาก แต่นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายตอบว่า ‘ใช่’

“เช่นนั้นเจ้าอยากได้สิ่งใดเป็นของตอบแทน”

เจี้ยนสือขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับขบคิด ปล่อยให้ความเงียบงันลอยคว้างอยู่รอบข้างครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงออกมา
“จุมพิต” เว้นจังหวะไปชั่วครู่ให้ซิ่นเฉิงได้ขมวดคิ้ว ก่อนจะว่าอีก “เพียงจุมพิตของเจ้าแค่ครั้งเดียว ข้าก็ยอมตายแทนเจ้าแล้ว...เจ้าเหมียว”

ฉวยโอกาส... คำนี้อาจจะใช้บริภาษอสรพิษร้ายตนนี้ได้เป็นอย่างดี ซิ่นเฉิงฟังแล้วก็รำคาญใจยิ่งนัก ขณะเดียวกัน ในใจลึกๆ ของเขาก็เต้นระส่ำ ซึ่งชายหนุ่มรู้ดีว่าอาการนั้นหาได้มาจากความรู้สึกของเขา หากแต่เป็นความรู้สึกของหลิวซูในก้นบึ้งของจิตใจต่างหาก ทว่าก่อนที่เขาจะได้ระงับอาการนั้นเสร็จสิ้น เจี้ยนสือก็ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนห่างกันเพียงหนึ่งฝ่ามือและกระซิบถามเสียงแผ่วเสียแล้ว

“ว่าอย่างไรล่ะ เพียงจุมพิตแค่ครั้งเดียว แลกกับการที่ข้าช่วยเหลือเจ้า เจ้าจะยอมไหม”

ซิ่นเฉิงสบดวงตาสีนิลกาฬคู่นั้นนิ่ง ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ อีกทั้งดวงตาก็นิ่งเรียบ ทว่าก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายกลับเต้นระรัวหนัก

เขาต้องระงับอาการนี้...

เขาต้องหยุดความรู้สึกของหลิวซู!

ใจของหลิวซูตอบรับคำพูดนั้นไปเรียบร้อยแล้ว แต่สมองของซิ่นเฉิงกลับพร่ำปฏิเสธ กระนั้นปากก็มิอาจเปิดอ้าได้ด้วยหลิวซูซึ่งอยู่ภายในกายของเขาเรียกร้องสัมผัสจากคนตรงหน้า ขณะเดียวกัน ความเงียบงันก็ทำให้เจี้ยนสือหลงคิดไปว่ามันคือการตอบรับ จึงได้โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้อีก ครั้นปลายจมูกเกือบจะสัมผัสกัน เขาก็กระซิบออกมา

“หากไม่ตอบ ข้าถือว่าเจ้าตกลง”
สิ้นเสียงก็หมายจะครอบครองริมฝีปากของอีกฝ่าย

ไม่!

ซิ่นเฉิงร้องบอกกับตนเอง พลันยื่นมือออกไปดันใบหน้าของอีกฝ่ายออกห่าง เจี้ยนสือชะงักงันทันทีที่เห็นว่าถูกมนุษย์หนุ่มปฏิเสธ อันที่จริงเขาจะใช้กำลังหักหาญน้ำใจก็ย่อมได้ ต่อให้ร่างกายมีขนาดไล่เลี่ยกัน แต่พละกำลังนั้น ซิ่นเฉิงก็มิอาจสู้ ทว่าไม่คิดจะทำด้วยไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นครั้งก่อนหน้านั้นอีก

“เป็นข้าไม่ได้เลยหรือ?”
เจี้ยนสือถามเสียงแผ่ว ความหมายโดยนัยชัดเจนว่าเขามิอาจแทนที่เทียนอี้ได้เลยหรืออย่างไร ส่วนคนถูกถามก็ไม่ตอบ ได้แต่พูดไปอีกเรื่อง

“หากเจ้าประสงค์จะช่วยข้า ก็จงช่วยด้วยความเต็มใจเพราะข้าไม่มีสิ่งตอบแทนใดๆ ให้ทั้งนั้น ถ้าคิดว่าการช่วยเหลือข้าเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ เจ้าก็ไม่ต้องหยิบยื่นน้ำใจใดๆ ทั้งนั้น ข้าไม่ถือสาและจะไม่วิงวอนต่อเจ้าหรือผู้ใดด้วย”
พูดจบก็ผุดลุกขึ้น ก่อนจะทิ้งท้ายไว้อีกประโยค
“และจงจำไว้ให้ดีว่าข้าคือซิ่นเฉิง หาใช่หลิวซู ข้าจะไม่มีวันยอมให้พวกเจ้าได้แย่งชิงกันง่ายๆ ชีวิตและร่างกายนี้เป็นของข้า”

สิ้นเสียงแล้วก็เดินจากไป ปล่อยให้เจี้ยนสือมองตามหลังก่อนจะหัวเราะในลำคอ

ช่างดื้อดึงได้เหมือนกับคนผู้นั้นเสียจริง...

ถึงจะมีเสียงหัวเราะ แต่นั่นก็เจือปนไปด้วยความเจ็บปวด ฉับพลันก็นึกถึงใบหน้าของหลิวซูขึ้นมา

หากคนที่เขาหมายจะจุมพิตคือหลิวซู คนผู้นั้นย่อมต้องดีใจจนเนื้อตัวเต้นอย่างแน่นอน

เจี้ยนสือระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนทิ้งตัวลงนอนราบไปกับผืนทรายอย่างไม่สงวนท่าที สายตาจ้องมองดวงจันทร์ที่เคลื่อนคล้อยไปทีละน้อย แล้วหลับตาลง คะนึงหาใครบางคนที่คิดถึงอย่างสุดหัวใจ อีกทั้งการถูกผลักไสเมื่อครู่ก็ทำให้เขาระลึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อในอดีตชาตินั้น เขาเองก็เคยผลักไสใครบางคนอย่างไร้เมตตาเช่นกัน

คนผู้นั้นทำให้ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน...ซูซู



 
การทำร้ายจิตใจของหลิวซูดำเนินอย่างต่อเนื่องทุกวี่วัน แต่แทนที่หลิวซูจะเข็ดหลาบที่ถูกเจี้ยนสือขับไล่ไสส่งทุกครั้งที่แวะเวียนไปหาที่จวน เขากลับยังเทียวไปมาหาสู่ ทั้งยังเอาของไปฝาก แม้ว่าในท้ายที่สุด สิ่งของเหล่านั้นจะถูกเจี้ยนสือขว้างทิ้งอย่างไม่ไยดี แต่ก็ไม่มีวันใดเลยที่หลิวซูจะไม่สรรหาของที่ดีเลิศที่สุดไปมอบให้แก่เทพอสูรตนนั้น

วันนี้ก็เช่นกันที่ชายหนุ่มมือของติดไม้ติดมือไป หากแต่ครั้งนี้หาใช่ของที่หาซื้อมาจากพ่อค้าแดนไกลเช่นทุกที ทว่าเป็นของที่เขารังสรรค์ขึ้นเพื่อเจี้ยนสือโดยเฉพาะ

ครั้นเจี้ยนสือรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบนพื้น เขาก็รู้ได้ทันทีจากจังหวะการก้าวเดินว่าแรงนั้นมาจากหลิวซู พลันก็รีบผุดลุกขึ้นจากโขดหินในสวน หันหลังหมายจะหนีกลับเข้าเรือนใหญ่ แต่ก็ไม่ทันการณ์เมื่อหลิวซูโผล่หน้าเข้ามาให้เห็นเสียก่อน

“อย่าเพิ่งไปขอรับท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ”
ไม่เพียงแต่ร้องเรียก ยังวิ่งถลาเข้ามาหาอย่างรวดเร็วอีกด้วย
เจี้ยนสือปรายตามอง ใบหน้าขึ้งโกรธพลางถามเสียงขุ่น
“มีเรื่องอันใด”
“ข้ามีบางสิ่งอยากจะให้ท่าน”

เป็นคำพูดที่หลิวซูเอ่ยเช่นทุกวัน เจี้ยนสือขมวดคิ้วมุ่นมากขึ้นไปอีก

“ยังไม่เข็ดอีกหรือ? เจ้าก็รู้ว่าต่อให้มอบสิ่งใดให้ข้า ข้าก็จะขว้างมันทิ้ง”
เป็นเช่นนั้น... หลิวซูรู้ แต่กระนั้นก็ยังหยักยิ้ม
“หากท่านแม่ทัพใคร่จะขว้างทิ้งก็ไม่เป็นไร เพราะข้าตั้งใจจะให้ท่าน ท่านรับไว้ในมือ ข้าก็ถือว่าท่านรับน้ำใจข้าแล้ว”

ช่างเป็นคำพูดที่โง่งม อีกทั้งยังฟังดูน่าสงสาร และใช่ว่าเจี้ยนสือจะไม่รู้สึกอะไรกับการกระทำร้ายกาจของตนอย่างนั้น แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

“อะไร”
ถึงจะลงเอยที่ขว้างปาสิ่งของทิ้ง แต่ปากก็ยังเอ่ยถามด้วยใคร่รู้ว่าหลิวซูมีสิ่งใดมาให้ อีกฝ่ายยกยิ้มกว้าง ก่อนหยิบเอากล่องขนาดยาวกว่าฝ่ามือออกมาตรงหน้า
“ท่านแม่ทัพลองเปิดดูสิขอรับ”

เจี้ยนสือจำต้องรับไว้เพราะทนความใคร่รู้ของตนเองไม่ไหว และเมื่อเปิดกล่อง เขาก็ต้องเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นว่าในกล่องนั้นบรรจุมีดสั้นที่ด้ามมีดสลักเป็นลายงูพันเกี่ยวกระหวัดปลายด้ามไว้ พลันสายตาก็เบนไปมองผู้มอบอย่างไม่เข้าใจ

“ข้าเพียงคิดว่าหากสิ่งของที่ข้ามอบให้นั้นเกี่ยวข้องกับตัวของท่าน ท่านแม่ทัพคงจะไม่ขว้างทิ้ง” พูดพลางลูบท้ายทอยป้อยๆ ก่อนจะว่าต่อเมื่อเห็นว่าเจี้ยนสือไม่พูดอะไรออกมา “ข้าปรารถนาจะมอบของขวัญให้ท่านมานานแล้ว แต่ท่านไม่รับไว้ หวังว่าครั้งนี้ท่านแม่ทัพจะไม่ปฏิเสธน้ำใจ ข้าเป็นผู้ออกแบบมันด้วยตัวเองเลยทีเดียว อีกทั้งยังคอยดูแลให้ช่างตีดาบและช่างสลักทำงานออกมาให้ประณีต ข้าตั้งใจทำมาให้ท่านจริงๆ”

ฟังแล้ว ก้อนเนื้อเย็นชาในอกข้างซ้ายของเจี้ยนสือก็เต้นระส่ำ โลหิตเย็นเยียบก็พลันอุ่นร้อนขึ้นมาทีละน้อย ดวงตาประกายวาวอย่างพึงใจ อีกทั้งยังฉายแววออกมาให้เห็นว่าดีใจเป็นอย่างยิ่งที่หลิวซูมอบของสิ่งนี้ให้จนเผลอหยักยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ทำเอาคนที่มองอยู่อดไม่ได้ที่จะเอียงคอถาม
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือขอบหรือไม่ขอรับ?”
“ชอบ...” เผลอตอบไปอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบปั้นหน้าขึงขังแล้วตอบเสียงดัง “ไม่!” แต่ก็ไม่ได้ขว้างทิ้ง เก็บลงกล่องแล้วถือไว้ในมือมั่น

ท่าทางนั้นทำให้หลิวซูยิ้มกว้างออกมาเสียจนน่าบาน เจี้ยนสือหมั่นไส้ระคนเอ็นดูยิ่งนัก ทว่าก็ทำได้เพียงแสดงท่าทีร้ายกาจออกไป

“ยิ้มอะไรอยู่ หมดธุระก็กลับไปได้แล้ว ข้ารำคาญ!”

หลิวซูพยักหน้ารับ หมุนตัวจะกลับออกจากจวน แค่เจี้ยนสือรับของขวัญจากเขาไว้ เท่านี้เขาก็กิ่นอิ่มนอนหลับไปอีกหลายราตรีแล้ว

หากแต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ก้าวไปไหนไกล สายตาของเจี้ยนสือที่มองตามหลังอีกฝ่ายอยู่ก็พลันสั่นระริก วูบหนึ่งเกิดรู้สึกว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายจากไปไหน จึงเผลอก้าวเข้าไปหาและคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้โดยไม่รู้ตัว ครั้นหลิวซูหันมา ก็กลายเป็นว่าเทพอสูรผู้นี้เลิ่กลั่กแทน ยิ่งหลิวซูไม่ได้คำตอบว่าตนถูกเหนี่ยวรั้งไว้ทำไม ดวงตากลมก็ยิ่งเบิกโตขึ้นไปอีก ซึ่งมันช่างเย้ายวนให้เจี้ยนสืออดเอ็นดูเป็นอย่างมากไม่ได้

“เจ้าช่างรบกวนจิตใจข้ายิ่งนัก”
เขาแค่นเสียงลอดไรฟัน หลิวซูเป็นกังวลขึ้นมาด้วยกลัวว่าตนจะเผลอทำอะไรให้อีกฝ่ายรำคาญใจ แต่ก่อนจะคิดอะไรออก เขาก็ถูกคนตรงหน้าดึงเข้าไปแนบชิดเสียแล้ว

“ทำเช่นนี้แล้วข้าจะหักห้ามใจตนเองได้อย่างไร”

 
 
 

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 25: ข้าคือซิ่นเฉิง[2]

เป็นจริงดั่งที่ปากว่า ตลอดเวลาที่ทำตัวร้ายกาจใส่นั้นเป็นเพราะเขาสำนึกผิดที่ทำให้หลิวซูต้องโดนโทษทัณฑ์จากสวรรค์ แต่ยิ่งปฏิเสธหรือผลักไสเท่าไร หลิวซูก็ยิ่งทำดีกับเขามากเท่านั้น จนประตูบานใหญ่ที่ปิดกั้นหัวใจของเขามาโดยตลอดพังทลายลงเป็นผุยผง

ไม่ไหว...ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

ความเสน่หาที่เก็บซ่อนไว้ในใจนั้นมิอาจกักเก็บไว้ได้อีกแล้ว...

ก่อนที่หลิวซูจะได้ตั้งตัว ริมฝีปากของเจี้ยนสือก็ทาบทับครอบครองเรียวปากของอีกฝ่ายลงมา

เพราะโดนฉกฉวยจุมพิตโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มนุษย์หนุ่มจึงมีปฏิกิริยาต่อต้านตามสัญชาตญาณระวังภัย มือทั้งสองผลักไสคนตรงหน้าออก เมื่อเป็นอิสระ สีหน้าตกใจของหลิวซูก็พร่างพรายให้เห็น

“ทะ...ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ”

ด้วยเป็นจุมพิตแรกในชีวิต ชายหนุ่มจึงทำอะไรไม่ถูก รวมถึงแสดงสีหน้าออกไม่ถูกเช่นกัน ทว่าสำหรับเจี้ยนสือแล้ว เขาหาได้คิดว่าการกระทำนั้นเป็นเพราะความไม่ประสา แต่เป็นเพราะรังเกียจเดียดฉันท์เขาต่างหาก

“ปากก็เอาแต่พร่ำบอกว่าไม่รังเกียจ ที่แท้ก็แค่คำลวง!”
น้ำเสียงเยือกเย็นเล็ดลอดผ่านไรฟัน มันฟังดูปวดร้าวและโมโหในคราเดียว

“ขะ...ข้าหาได้คิดเช่นนั้นเลยขอรับ” หลิวซูเข้าใจว่าถูกเข้าใจผิดจึงรีบออกปาก
“ถ้าไม่เพราะรังเกียจข้า แล้วไยจึงผลักไสเมื่อข้าจุมพิตเจ้ากัน”
“คือ...ข้า...เป็นเพราะข้าไม่เคย”

หลิวซูว่าไปตามตรง ใบหน้าร้อนผะผ่าว เขินอายสุดจะทานทนที่ต้องพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจี้ยนสือฟังเลยแม้แต่น้อย เขาปักใจเชื่อไปแล้วว่านั่นมันก็คือ...

“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำแก้ตัวของเจ้าเช่นนั้นหรือ? เห็นข้าโง่เขลามากหรือไร!” แผดเสียงออกมาเต็มกำลัง

หลิวซูสะดุ้งเฮือก ครั้นเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของเจี้ยนสือก็ใจคอไม่ดี
“มะ...ไม่ใช่... ไม่ใช่เช่นนั้นเลยขอรับ เป็นเพราะข้าน้อยไม่เคยได้รับจุมพิตจากผู้ใดถึงได้ตกใจเช่นนั้น หาใช่เพราะรังเกียจท่านแม่ทัพแต่อย่างใด”

เพราะไม่อยากให้เจี้ยนสือโกรธจึงละล่ำละลักบอก ทว่าเจี้ยนสือในครานี้จะไปฟังสิ่งใด ต่อให้การกระทำที่ผ่านมาของมนุษย์ตรงหน้าชัดเจนแค่ไหนว่ารักใคร่เขายิ่งกว่าชีวิต แต่คนที่มีบาดแผลในจิตใจอย่างเทพอสูรผู้นี้ก็หูหนวกตาบอดขึ้นมาฉับพลัน ไม่ใคร่ฟังการใดอีกแล้ว

“หุบปากของเจ้าเสีย ก่อนที่ข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้ง!”

ตวาดแหวขึ้นมาอีกคราแล้ว มือที่ถือกล่องไม้บรรจุมีดสั้นอยู่กำแน่นด้วยปวดร้าวในใจ

เพราะมีรูปร่างอัปลักษณ์เช่นนี้ ต่อให้หลิวซูพร่ำบอกว่ารักมากมายเพียงใด แต่สุดท้ายก็มิอาจสัมผัสเรือนร่าง...
เจี้ยนสือหันหลังให้หมายจะกลับเข้าจวน ทว่าหลิวซูที่ไม่ต้องการให้จากกันด้วยความขุ่นข้องรีบรี่เข้าไปรั้งแขนของอีกฝ่ายเอาไว้

“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ...”

เมื่อถูกเกาะแขน เจี้ยนสือก็ออกแรงสะบัดจนร่างเล็กของอีกฝ่ายกระเด็นกระแทกพื้นราวกับใบหน้าต้องพายุ
“ไปให้พ้นหน้าข้า! ออกไป!”

ไม่เพียงแต่ผลักไสอย่างรุนแรง ยังเข้ามาฉุดกระชากดึงทึ้งให้หลิวซูออกไปให้พ้นเขตจวนอีก
“ท่านแม่ทัพ...ฮือ...ท่านแม่ทัพขอรับ...”

คนถูกหิ้วแขนข้างหนึ่งลากไปตามพื้นร้องครวญพลางขืนร่างตนเองไว้ ใช่ว่าเพราะกลัวความเกรี้ยวกราดของเจี้ยนสือ แต่เพราะไม่อยากจะออกไป เขาอยากจะอยู่เพื่ออธิบายให้เจี้ยนสือได้เข้าใจเสียก่อน แต่ช่างไร้ประโยชน์ เจี้ยนสือเป็นดั่งคนโง่เขลา ไม่ฟังการใด อีกทั้งยังคิดไปเอง

ภาพเทพอสูรร่างใหญ่ดึงลากมนุษย์หนุ่มไปตามพื้นปูด้วยแผ่นหินช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ทำเอาทั้งทหารสังกัดจวนและเหล่าคนรับใช้ไม่กล้าที่จะห้ามปราม เว้นเสียแต่เทียนอี้ที่เฝ้ามองหลิวซูอย่างลับๆ มาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้เป็นที่รักและไม่มีวันถูกรัก แต่เขาก็มิอาจตัดใจ อีกทั้งยังเดือดดาลเสียร่างกายสั่นเทาเมื่อเห็นคนที่รักถูกทำร้าย

ทนดูอยู่นานจนมิอาจทนไหว ในที่สุดก็ต้องออกจากที่หลบซ่อน มือชักดาบออกมา รี่ถลาเข้าไปฉุดหลิวซูออกจากการถูกดึงทึ้งพร้อมกับตวัดปลายดาบไปยังสหายสนิท
“อย่าแตะต้องซูซูอีก!”

น้ำเสียงแหบห้าวของเทียนอี้เกรี้ยวกราดไม่แพ้กัน เจี้ยนสือชะงักงันไปที่เห็นอีกฝ่ายโดยไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาเมื่อพอจะเดาได้ว่าเทียนอี้โผล่มาเช่นนี้ได้อย่างไร

“เจ้าก็ช่างน่าสมเพชไม่ต่างจากข้า ทั้งที่รู้ว่าเจ้ามนุษย์นั่นหาได้มีใจให้ ก็ยังคงจะคอยเฝ้าตามราวกับเงา”

ที่พูดไปเช่นนั้นเพราะรู้ดีว่าหลิวซูคิดอย่างไร เคยบอกกับเขาแล้วด้วยซ้ำว่าหาได้เคยคิดกับเทียนอี้เป็นอื่น ต่อให้เทียนอี้ดีกับตนแค่ไหน แต่ก็เป็นได้เพียงผู้มีพระคุณเท่านั้น

ความจริงนั้นช่างแทงใจคนฟัง กระนั้นเทียนอี้ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แค่นเสียงออกมาอีก
“หากเจ้าแตะต้องซูซูอีกเพียงครั้งเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”

เทพอสูรมีชีวิตเป็นอมตะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากายเนื้อจะสูญสิ้นไม่ได้ เมื่อกายเนื้อถูกทำลาย ดวงจิตก็จะล่องลอย ไปสวรรค์ไม่ได้ ไปปรโลกไม่ได้ วนเวียนอยู่ในแดนมนุษย์ชั่วกัปชั่วกัลป์

ทว่า...เจี้ยนสือหาได้สนใจ เขายิ่งหัวเสียกว่าเดิมเมื่อเห็นเทียนอี้ออกโรงปกป้องมนุษย์หนุ่ม

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันถึงได้กล้ามาออกหน้าเช่นนี้!”

หลิวซูรักข้า เป็นของข้า ต่อให้ข้าใจร้ายอย่างไร เขาก็รักข้า เจ้ามีสิทธิ์มาสั่งห้ามให้ข้าไม่ให้แตะต้องเจ้ามนุษย์นั่นได้อย่างไรกัน!
ประโยคนั้นกู่ร้องอยู่ในใจโดยไม่ได้พูดออกไป หากแต่เพียงสบสายตา เทียนอี้ก็รู้ว่าเจี้ยนสือคิดเช่นไรอยู่ แต่แล้วอย่างไรล่ะ ตราบใดที่เจี้ยนสือไม่ตอบรับความรู้สึกนั้น เขาก็ถือว่าหลิวซูหาได้เป็นของคนตรงหน้า ถึงต่อให้เจี้ยนสือตอบรับ เขาก็จะคอยเฝ้าดูแลปกป้องเช่นนี้เรื่อยไป

“จะเป็นใครก็หาได้สำคัญไม่ ข้ารู้เพียงแต่ว่าเขาสำคัญสำหรับข้าก็เพียงพอ”
“เจ้าคนไม่เจียมตัว ช่างน่าขันนัก!”

แทงใจดำคนฟังไปอีกครา เทียนอี้แสร้งทำหูทวนลม ไม่ใคร่สนใจสหายสนิทอีก พลันหันไปประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้น
“เจ็บตรงไหนหรือไม่?”

น้ำเสียงของเขายังคงเต็มไปด้วยความห่วงใยเช่นทุกที ครั้นเห็นหลิวซูส่ายหน้าปฏิเสธ เทียนอี้ก็เบาใจ แต่ก็หาใช่ว่าการปฏิเสธนั้นจะเป็นเรื่องจริง หลิวซูย่อมไม่ปริปากพูดอยู่แล้วว่าเจี้ยนสือทำให้บาดเจ็บ ขนาดเจ้างูพิษตัวนั้นทำให้ตนได้รับโทษทัณฑ์จุติมาเป็นมนุษย์ เขายังไม่เคยพูดออกมาเลยสักคำว่าที่มีชะตากรรมเช่นนี้เป็นเพราะผู้ใด

เทียนอี้จึงหมายจะพาอีกฝ่ายกลับไปดูอย่างถ้วนถี่ที่จวน หลิวซูไม่อาจอยู่ที่นี่ได้แม้ใจจะอยากอยู่ จึงจำต้องทำตามคำพูดของคนตรงหน้าอย่างว่าง่าย ขณะที่สายตาเหลือบมองเจี้ยนสือซึ่งยืนมองอยู่อย่างกังวลใจ

เจี้ยนสือเองก็กังวลใจเช่นนั้น... ชั่ววูบหนึ่งที่เห็นเทียนอี้ดูแลมนุษย์หนุ่มเป็นอย่างดี เขาก็เกิดกลัวขึ้นมาว่าใจของหลิวซูจะเปลี่ยนผัน

เปลี่ยนจากเขาไปรักใคร่เทียนอี้...

ความหึงหวงเข้าครอบงำ มือข้างที่ถือกล่องไม้บรรจุมีดสั้นอยู่กำแน่นจนกล่องนั้นปริแตก เสียงดังเปรี๊ยะเรียกให้หลิวซูหันมามองอีกครั้ง เทียนอี้เองก็ได้ยินแต่หาได้สนใจ ทำเพียงกระซิบบอกคนในอ้อมแขนที่โอบประคองอยู่เท่านั้น
“ไปกันเถิด”
“แต่ว่า...”
“เจ้าเหนื่อยแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากจะพักผ่อน”

เทียนอี้ตัดบทราวกับรู้ดีว่าหลิวซูจะเอ่ยอะไร เขาไม่ต้องการให้หลิวซูคิดถึงเจี้ยนสือ ไม่ต้องการได้ยินคำพูดห่วงใยใดๆ เทพอสูรงูจงอางผู้นั้นจากกลีบปากสีสวยนี้อีก

ทว่า...การที่มัวจดจ่ออยู่แต่หลิวซูทำให้เผลอเปิดช่องว่าง เจี้ยนสือที่หงุดหงิดอยู่เป็นทุนเดิมเดือดดาลเพราะพิษหึงหวงอย่างไม่รู้ตัว ยิ่งเห็นหลิวซูไม่ปฏิเสธหรือผลักไสการสัมผัสจากเทียนอี้ คนมองก็ยิ่งทวีโทสะมากขึ้น

นอกจากข้าแล้ว ผู้ใดก็แตะต้องหลิวซูไม่ได้ทั้งนั้น!

คิดเช่นนั้นก็หมายจะสังหารสหายสนิทด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แต่เพราะไม่มีอาวุธติดมือจึงอ้าปากหมายจะใช้เขี้ยวซึ่งอาบไปด้วยยาพิษฝังลงไปยังร่างของอีกฝ่าย ต่อให้เป็นเทพอสูรด้วยกันก็ไม่อาจต้านทานความร้ายแรงของพิษได้ไหว ในใจของเขาตอนนี้มีแต่ความชิงชัง ต้องการให้เทียนอี้สูญสิ้นกายเนื้อ เหลือแต่ดวงจิตคอยเฝ้ามองโดยมิอาจแตะต้องคนของเขาได้อีกเท่านั้น

หากแต่ความตั้งใจของเขามิอาจเป็นผลเมื่อหลิวซูเป็นเห็นว่าเจี้ยนสือหมายจะทำสิ่งใด แม้จะมีร่างกายเล็กสันทัด แต่เขาก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักเทียนอี้ออกจากจุดเป้าหมายของเจี้ยนสือ ก่อนถลาเข้าไปแทนที่ ทำให้คมเขี้ยวนั้นฝังเข้ามาที่หัวไหล่ของเขาอย่างจัง

ความเจ็บปวดพร่างพราย เสียงหวีดร้องทำให้เจี้ยนสือคืนสติ เทียนอี้เองก็เพิ่งได้สติเช่นกัน เมื่อหันมาเห็นว่าหลิวซูถูกเทพอสูรงูจงอางฝังคมเขี้ยวลงมาบนร่าง เขาก็ส่งเสียงร้องก้อง
“ซูซู!”

เจี้ยนสือรีบถอนคมเขี้ยวออกในทันใด แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว พิษหลั่งไหลเข้าสู่กระแสโลหิต พริบตาเดียว ร่างของหลิวซูก็ทรุดฮวบลงกับพื้น มือและเท้าชาจนมิอาจขยับ นัยน์ตาพร่ามัว ริมฝีปากสั่นระริกเอ่ยเรียกชื่อของคนตรงหน้า

“ทะ...ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ...”
เจี้ยนสือรีบถลาเข้ามาหา ผลักเทียนอี้ที่ประคองร่างของมนุษย์หนุ่มอยู่ออกเสียจนกระเด็นไปอีกทาง สีหน้าดูหวั่นวิตกยิ่ง
“ซูซู ข้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ!”

ตั้งแต่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพสวรรค์ ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่เจี้ยนสือจะเสียขวัญได้ถึงเพียงนี้ ยิ่งสัมผัสฝ่ามือเย็บเฉียบของอีกฝ่าย เขาก็ใจไม่ดีด้วยเกรงว่าจะเสียคนตรงหน้าไป

“ข้าจะพาเจ้าไปรักษา”
ไม่พูดพร่ำแต่อย่างใด รีบช้อนร่างของหลิวซูขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน หมายจะพาไปหาหมอเทวดาซึ่งอยู่ในใจกลางตลาดของแคว้นเฟิงฝู แต่ไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนไกล เสียงของหลิวซูก็ดังแผ่วมาให้ได้ยิน

“ขะ...ข้าคงจะไม่รอด”
“ไม่ เจ้าต้องรอด พวกเจ้า! ไปเอาม้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ประโยคแรกพูดกับคนในอ้อมแขน ประโยคหลังร้องบอกทหารในจวน

เหล่าทหารรีบร้อนไปเตรียมการ ขณะที่หลิวซูยกมือสั่นเทาขึ้นแตะไปยังหน้าอกของเจี้ยนสือ
“หากสิ้นข้าแล้ว ทะ...ท่านอย่าได้วิวาทกับท่านแม่ทัพเทียนอี้อีกเลยได้หรือไม่?”
“จะมาพูดสิ่งใดตอนนี้ เงียบปากไป!”

เพราะเป็นห่วงมากเสียจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนเผลอตะคอกใส่ แต่ก็หาได้ทำให้หลิวซูสะทกสะท้านได้เลย เขายกยิ้มแผ่วขึ้นมา ซบใบหน้าลงบนแผ่นอกของเจี้ยนสือ

“ดีเหลือเกินที่ได้ตายในอ้อมกอดของท่าน”
ยิ่งฟังก็ยิ่งสร้างความปวดร้าวในใจของเจี้ยนสือเหลือเกิน เขาเห็นหลิวซูมีท่าทางนั้นก็เอาแต่พร่ำพูด...
“เจ้าต้องไม่เป็นไร ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย เจ้าก็ยังตายไม่ได้ เอาม้ามาเร็วเข้า!”

ประโยคหลังร้องเร่งเหล่าทหาร เมื่อเห็นม้าก็รีบก้าวฉับๆ ไป หมายจะรีบเร่งพาหลิวซูไปรักษาให้ทันเวลา แต่พิษจากเทพอสูรงูจงอางนั้นมีมากกว่างูซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานหลายพันหลายหมื่นเท่านัก หลิวซูรู้ตัวเองว่าร่างกายมิอาจทนรับไหวอีกต่อไปแล้ว จึงได้แต่กระซิบเสียงเบา

“ข้ารักท่าน...”
“อย่าหลับนะ” เจี้ยนสือบอก ก่อนจะรีบเดินไปขึ้นม้าที่ถูกเตรียมไว้
ทว่า...ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว หลิวซูเริ่มเพ้อออกมาโดยไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
“ข้ารักท่าน... ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ ข้ารักท่าน...”

แต่ตอนนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกิน...

ก้นบึ้งในจิตใจของหลิวซูบอกเช่นนั้น เขาเหนื่อยกับการรักเจี้ยนสือแต่เพียงฝ่ายเดียวแล้ว ต่อให้ทำดีมากเท่าไร ก็ไม่เคยได้รับรักตอบ นี่คงจะเป็นโทษทัณฑ์จากสวรรค์ที่เขาบังอาจละเมิดกฎที่ว่าเทพมิอาจมีรัก

ในเมื่อเทพมิอาจมีรัก ข้าก็จะขอไม่รักท่านอีกต่อไป และขอไม่เกิดเป็นหลิวซูผู้นี้อีก

ข้าจะไม่เกิดมาเป็นหลิวซูอีกเพื่อที่จะลืมว่าเคยรักท่านเพียงใด หากต้องถือกำเนิดใหม่ ข้าขอเป็นผู้อื่นที่ไม่รู้จักท่าน

ข้าจะไม่รักท่านอีกแล้ว...ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ

ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าในวาระสุดท้ายของชีวิต คนที่เพียรพยายามให้เป็นที่รักของเจี้ยนสือมาโดยตลอดจะถอดใจเอาในเวลานี้ หลิวซูหลั่งน้ำตา

นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาร่ำไห้ให้กับความรักที่มีให้แก่เจี้ยนสือ...

ขณะที่เจี้ยนสือเพิ่งรู้สึกตัวว่าคำบอกรักนั้นมีค่ามากมายเพียงใด ที่ผ่านมาเขาไม่เคยสนใจไยดีแม้แต่น้อย แต่เมื่อรู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ยิน เขาก็ได้แต่โทษชะตาฟ้าลิขิตที่กลั่นแกล้งเขา ยิ่งเห็นร่างในอ้อมแขนแน่นิ่งไป หัวใจของเขาก็แตกร้าวออกเป็นเสี่ยงๆ
“หลิวซู...”

เขาเรียกอีกฝ่ายที่หลับตาพริ้มด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองก็แผดเสียงออกมา
“หลิวซู! ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย ไยเจ้าถึงได้กล้าขัดคำสั่งข้า! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ตื่น!”

ร่างใหญ่ถึงกับเข่าอ่อน ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เขย่าร่างไร้วิญญาณที่กอดอยู่ แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบสนอง สิ่งนั้นชัดเจนว่าหลิวซูได้จากไปแล้ว กระนั้นมือใหญ่ก็ยังคงเขย่าร่าง หยาดน้ำตาที่ไม่เคยหลั่งให้ผู้ใดมาก่อนไหลรินอาบใบหน้าอันอัปลักษณ์ พร้อมกับความจริงที่ตอกย้ำ

เขาเป็นคนสังหารคนที่เขารัก...

“ไม่! หลิวซู! ข้าไม่ให้เจ้าตาย! ฟื้นขึ้นมา!”

เจี้ยนสือแผดเสียงแห่งความเสียใจออกมา ร่ำไห้ตัดพ้อต่อว่าสวรรค์ที่ลิขิตโชคชะตาของเขาให้เป็นเช่นนี้ แขนกอดร่างเย็นเยียบไร้วิญญาณของมนุษย์หนุ่มแน่น ขณะที่เทียนอี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นราวกับว่าโลกทั้งใบของเขาได้ดับสลายไปแล้ว

หลิวซูจากไปแล้ว...

โทษทัณฑ์จากสวรรค์ไยถึงได้สร้างความปวดร้าวให้เทพอสูรทั้งสองได้มากถึงเพียงนี้
ไยถึงไม่ได้มีเมตตาต่อกันบ้างเลย...



 
เจี้ยนสือสะดุ้งเฮือก ครั้นลืมตาตื่นก็พบว่าตนยังคงนอนราบอยู่ที่ผืนทะเลทรายดังเดิม

เขาเผลอผล็อยหลับไป...

ร่างใหญ่ดันตัวขึ้นนั่ง อดครุ่นคิดไม่ได้ว่าเหตุใดถึงได้ฝันถึงเหตุการณ์นั้นทั้งที่ไม่ได้ฝันถึงมานานมากแล้ว

อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางมากเกินไป ถึงได้ฝันประหลาดเช่นนี้...

เขาปลอบใจตัวเองอย่างนั้น แต่เมื่อจะดันตัวลุกขึ้นและกลับไปยังกระโจมของตนเอง เขาก็รู้สึกได้ว่าที่หางตามีหยาดน้ำไปอาบ ครั้นยกมือขึ้นลูบก็ตระหนักได้ว่า...
“ข้าร้องไห้?”

เป็นเช่นนั้น... เขาร้องไห้โดยไม่รู้ตัว จากที่หมายจะกลับสู่กระโจมก็จำต้องยืนนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดวงจันทร์และดวงดาราประดับด้วยรู้สึกเคว้งคว้างในใจอย่างสุดซึ้ง

ป่านนี้เจ้าอยู่แห่งหนใดกันนะ...

เจี้ยนสือรำพึงในใจ ฉับพลันภาพใบหน้าของซิ่นเฉิงก็ลอยเข้ามาในภวังค์โดยไม่มีสาเหตุ ทำเอาใบหน้างดงามยามต้องแสงจันทร์ขมวดมุ่น

หรือเจ้า...จะมาเกิดใหม่เป็นเจ้าเหมียว?

ไม่... เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้

เจี้ยนสือส่ายศีรษะเล็กน้อย สลัดความคิดฟุ้งซ่านนั่นออกไป หมุนตัวกลับสู่กระโจม แต่...ถึงจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง เขาก็ไม่อาจลบเลือนภาพใบหน้าของซิ่นเฉิงออกจากความคิดได้เลย อีกทั้งยังรู้สึกรักใคร่ขึ้นมาอย่างประหลาด

ความรู้สึกนี้นั้น...เป็นความรู้สึกเดียวกับที่เขามีต่อหลิวซูไม่ผิดเพี้ยน

เขายกมือขึ้นลูบใบหน้า ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

ไยข้าถึงได้มีความรู้สึกเช่นนี้กับเจ้ากันได้นะ?
------------------------------
หายไปหลายวัน กลับมาแล้วค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าเหมียวจะใจอ่อน
เจ้าเหมียวของเราหนักแน่นกับพี่หมามากๆ ถึงจะซึนไปหน่อยก็เถอะ ฮา
คิดว่าอีกไม่กี่ตอนก็น่าจะจบแล้วนะคะ เข้าสู่ช่วงท้ายแล้ว น่าจะไม่เกิน 5 ตอนแหละ แล้วหลังจากนั้นเราก็จะมาอ่านตัวอย่างตอนพิเศษของพี่งูกัน เอาลงประมาณ 3-4 ตอนนะ ที่เหลือไปต่อในเล่ม
ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยค่า เจอตัวอย่างพรุ่งนี้เน้อ
 

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
อยากให้เจ้าแมวไม่ใช่หลิวซู แบบเป็นคนอื่นเลยแล้วเป็นคู่แท้เจ้าหมา ส่วนหลิวซูยกให้พี่งูไปเถอะ แบบเขาเพิ่งรู้ใจตัวเองไง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด