►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!  (อ่าน 94893 ครั้ง)

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
จะเป็นยังไงต่อไป  :katai1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

ออฟไลน์ Kawaiichibi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
 
บทที่ 26: มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา

ความรู้สึกที่บังเกิดต่อซิ่นเฉิงนั้นยังคงอบอวลในใจของเจี้ยนสือ ราตรีนั้นผันผ่าน แต่นัยน์ตากลับเอาแต่จับจ้องไปยังมนุษย์หนุ่มในทุกท่วงท่าอิริยาบถ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะกระทำสิ่งใด ล้วนแล้วแอบลอบมองตลอดทั้งสิ้น ขณะเดียวกันเจี้ยนสือก็อดคิดไม่ได้เลยว่าอันที่จริงซิ่นเฉิงหาได้มีส่วนใดละม้ายคล้ายคลึงกับหลิวซูเลยสักนิด แม้ว่าคราแรกจะคิดไปว่าคล้ายก็ตาม ทว่าเมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่

ส่วนใดกันเล่าที่คล้าย?

ใบหน้าอย่างนั้นหรือ? หรือจะเป็นอุปนิสัยดื้อดึง ไม่ยอมอ่อนข้อให้ผู้ใด?

ล้วนแล้วแตกต่างจากหลิวซูโดยสิ้นเชิง แต่...เหตุใดกันนะ เขาถึงได้รู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายเหมือนกับอดีตคนรักราวกับเป็นคนคนเดียวกัน

เจี้ยนสือมิอาจหาคำตอบให้กับตนเองได้เลยแม้สักนิด ได้แต่บอกตนเองว่าให้ตัดใจจากมนุษย์ตนนั้น ก่อนที่ความวุ่นวายจะบังเกิดและกลายเป็นบ่วงรัดคออีกบ่วงหนึ่ง เพราะเพียงหลิวซูคนเดียว ชีวิตเขาก็วุ่นวายไม่จบไม่สิ้น มิหนำซ้ำยังจะต้องผจญกับความน่าอดสูวนเวียนไม่จบไม่สิ้นดั่งคำประกาศิตของเง็กเซียนฮ่องเต้อีกด้วย

เทพอสูรงูจงอางทอดถอนหายใจ หลุบมามองมือของตนซึ่งบัดนี้เป็นมือของร่างเทพสวรรค์ที่ต้องแสงจันทร์หลังจากที่เขายืนรับลมเย็นในยามราตรีมาชั่วขณะหนึ่ง

หากมือคู่นี้ไม่ได้เป็นอาวุธร้ายที่ทำลายหลิวซู ป่านนี้เขาคงจะได้มีความสุขกับเทพสวรรค์ชั้นผู้น้อยตนนั้นไปแล้ว

ข้าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ดีหลิวซู...

รำพึงในใจไปก็เท่านั้น ไร้ซึ่งคำตอบจากทั้งปวงเทพและปีศาจ เจี้ยนสือตัดสินใจกลับเข้ากระโจมเพื่อไปพักผ่อน วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันที่ซิ่นเฉิงไปจากที่นี่ อย่างน้อยเขาก็จะเป็นสหายที่ดี บอกลาอีกฝ่ายก่อนที่จะไม่ได้พบพานกันตลอดกาล

สองขาก้าวย่ำไปบนผืนทราย มุ่งหน้าสู่กระโจมของตนเอง ใจพร่ำบอกตนเองไม่หยุดหย่อนว่าให้เลิกคิดถึงทั้งหลิวซูและซิ่นเฉิง
ทว่า...สวรรค์กลับไม่เป็นใจเลยสักนิด

ครั้นเดินเข้ามาใกล้กับกระโจมของหมิงจู พลันฝ่าเท้าก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของบางสิ่ง เจี้ยนสือชะงักฝีเท้าทันที ค่อยๆ ก้าวไปหลบหลังกระโจม เงี่ยหูฟังเมื่อได้ยินเสียงกระซิบพร่าของใครบางคนดังแว่วมา

“ให้เป็นเช่นนี้ดีแล้วใช่ไหมรองแม่ทัพหมิงจู”
พ่อบ้านเหลียงซึ่งไม่สบายใจกับสิ่งที่บังเกิดขึ้นในระยะนี้ลอบมาพบกับหมิงจูในยามวิกาล ขณะที่หมิงจูพยักหน้าตอบรับอีกฝ่าย
“เป็นเช่นนี้ล่ะดีแล้ว”
“แต่ท่านแม่ทัพเทียนอี้...”
“ข้ารู้” หมิงจูว่าเสียงเครียด “ข้ารู้ว่าเจ้านั่นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ทั้งทิวาและราตรีเอาแต่คะนึงหาเจ้าแมวตัวแสบนั่น ข้าเห็นอาการจะเป็นจะตายของเทียนอี้แล้ว”

ประโยคออกจะติดรำคาญสักเล็กน้อย พ่อบ้านเหลียงได้ยินก็ระบายลมหายใจออกมา เทียนอี้เป็นดั่งที่หมิงจูว่าจริงๆ เพราะตั้งแต่ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้สังหารมารดาของซิ่นเฉิง เจ้ามนุษย์หนุ่มนั่นก็หาได้อยากพบพานกับเทียนอี้เลยแม้แต่น้อย ต่อให้เทียนอี้พยายามเข้าหา แต่ก็มิอาจเข้าหน้าได้ติด ถูกมองเมินเสียจนพานให้อดคิดไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงชิงชังน้ำหน้าไปแล้ว และเพราะเทียนอี้หาได้มีอุปนิสัยชอบตอแยผู้ใด เมื่อถูกหมางเมินเช่นนั้นก็ไม่ใคร่จะไปก่อกวนใจให้ถูกรังเกียจเดียดฉันท์มากกว่านี้ ดังนั้นในยามนี้ คนที่ลงแดงเพราะถูกพิษรักแล่นพล่านเข้าสู่หัวใจจึงมีแต่เทพอสูรสุนัขป่าเท่านั้น

ในฐานะคนสนิท พ่อบ้านเหลียงอดเป็นห่วงไม่ได้ กินก็ไม่กิน นอนก็ไม่นอน ถามสิ่งใดก็ไม่ตอบไม่มีปฏิกิริยา เป็นเช่นนี้คงได้ช้ำรักจนตัวตายเป็นแน่

แต่...พ่อบ้านเหลียงคงจะลืมไปกระมังว่าเทพอสูรเช่นพวกเขาไม่มีวันตาย นอกจากจะสูญสลายกลาย กายเนื้อกลายเป็นเถ้าธุลี จิตวิญญาณล่องลอยไปมาในระหว่างสามภพภูมิ

“บางทีข้าก็คิดว่าท่านกับข้าอาจจะตัดสินใจผิด”
หมิงจูชะงักงันกับคำพูดนี้ หัวคิ้วเรียวเข้มในร่างของเทพสวรรค์ขมวดมุ่น ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจู่ๆ พ่อบ้านเหลียงก็เกิดลังเลขึ้นมาทั้งที่คิดแล้วว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลดีต่อสหายของเขา จนอดไม่ได้ที่จะถาม
“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น”
“หากเจ้ามนุษย์นั่นจากไป ท่านแม่ทัพเทียนอี้ก็ต้องเป็นทุกข์ ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือก็เช่นกัน ไหนจะเจ้ามนุษย์นั่นอีก และข้าก็เห็นว่าต่อให้ซิ่นเฉิงจากไปก็ไม่ช่วยการใด ไม่ว่าอย่างไร ทัณฑ์สวรรค์นั้นก็จะต้องบังเกิด”

หมิงจูนิ่ง เขาก็คิดเช่นนั้น แต่...
“ไม่ลองก็ไม่รู้ ลองให้ซิ่นเฉิงจากไปก่อนเถิด บางทีอาจจะได้ผลก็ได้”

พ่อบ้านเหลียงก็อยากให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เขาเหนื่อยกับการเห็นอดีตสหายแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพสวรรค์ต้องมาผิดใจกันเพราะรักคนผู้เดียวกันแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจวางใจได้อยู่ดี

ทัณฑ์นั้นเป็นประกาศิตขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เมื่อฝ่าบาทตรัสแล้ว ทุกสรรพสิ่งล้วนบังเกิด มีหรือที่ทั้งสามจะฝืนโชคชะตาได้

“แต่ข้าว่ามันไม่น่าได้ผลนะขอรับท่านรองแม่ทัพ เพราะซิ่นเฉิงก็คือหลิวซู...”
จู่ๆ ก็เอ่ยชื่อของอดีตเทพชั้นผู้น้อยออกมา หมิงจูส่งเสียงร้องดังชู่เป็นสัญญาณให้เงียบ ก่อนจะรีบกระซิบกระซาบ
“เอ่ยเช่นนั้นออกมาได้อย่างไรกันพ่อบ้านเหลียง หากผู้ใดมาได้ยินเข้าจะเป็นเช่นไร”

พ่อบ้านเหลียงสำนึกได้ในตอนนี้ แม้ว่าจะเป็นยามวิกาล เหล่าทหารล้วนแล้วแต่อยู่ในนิทรา แต่ก็ใช่ว่าประตูหน้าต่างจะไร้ซึ่งหูหรือช่อง เขาจึงรีบสงบปากสงบคำ ขณะที่หมิงจูส่ายหน้าน้อยๆ

“เอาเถิด จะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ช่าง แต่เจ้าต้องจำไว้ เรื่องนี้จะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้เป็นอันขาด ต่อให้เจ้าหรือข้าจะต้องสูญสิ้นกายเนื้อ ก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้ใดรู้ โดยเฉพาะเทียนอี้กับเจี้ยนสือ เข้าใจหรือไม่?”

พ่อบ้านเหลียงพยักหน้า ปากขานรับเป็นมั่นเหมาะ ก่อนที่ทั้งสองจะยุติบทสนทนากันเพียงเท่านี้ แยกย้ายกลับไปยังที่ของใครของมันด้วยเกรงว่าหากยืนสนทนาไปนานกว่านี้จะเป็นพิรุธให้ผู้อื่นสงสัยได้ โดยหารู้ไม่ว่าภายใต้เงามืดห่างออกไปไม่ไกลนัก บทสนทนานั้นล้วนแล้วเข้าหูของเจี้ยนสือหมดสิ้น

ร่างใหญ่ของเทพอสูรงูจงอางสั่นสะท้านน้อยๆ เมื่อครู่ที่เขาได้ยินเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ!?

เจี้ยนมือแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นโครมครามราวกับสวรรค์จะพินาศด้วยเงื้อมือปีศาจ

ซิ่นเฉิง...ก็คือหลิวซูกลับมาเกิด
ไม่จริงใช่หรือไม่!?

เขาถามตนเองซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายครั้ง ใจอยากจะไปเค้นถามเอาความจริงจากหมิงจูและพ่อบ้านเหลียงด้วย แต่หากทำเช่นนั้น มีหวังเทียนอี้ก็ต้องรับรู้ข้อเท็จจริงนี้ด้วยแน่ อีกอย่าง เขามั่นใจเหลือเกินว่าเรื่องเช่นนี้ เทพอสูรทั้งสองคงไม่เอาพรรค์นี้มีพูดเล่นเป็นแน่

ซิ่นเฉิงคือหลิวซู...

ซิ่นเฉิงคือหลิวซู!

พร่ำบอกกับตนเองเวียนไปวนมาไม่หยุดหย่อน ร่างกายก็ยิ่งสั่นระริกมากขึ้น

มิน่า... เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่ามนุษย์ผู้นั้นคล้ายคลึงกับหลิวซูเหลือเกิน ทั้งยังรู้สึกเสน่หา แท้ที่จริงแล้วก็คืออดีตคนรักของเขากลับชาติมาเกิดนั่นเอง

เจี้ยนสือไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี ทั้งดีใจ ทั้งตกใจ สับสนอลหม่าน ผสมปนเปกันไปหมด

แต่จะอย่างไรก็ช่าง บัดนี้เขารู้แล้วว่าซิ่นเฉิงคือผู้ใด พลันขาก็ก้าวไปอีกทิศทางหนึ่ง ไม่ได้กลับสู่กระโจมของตน หากทว่ามุ่งหน้าสู่กระโจมของใครบางคนที่หลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา



 
เทพอสูรงูจงอางมาหยุดยืนอยู่ที่หน้ากระโจมของคนที่ใจถวิลหามานับร้อยปีแล้ว เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะหลบแสงจันทร์เข้าไปในกระโจมนั้น พลันร่างกายงดงามก็แปรผันเป็นครึ่งเทพครึ่งอสูรอีกครา กระนั้นเจี้ยนสือก็หาได้ใส่ใจ ก้าวย่องแผ่วเบาตรงไปยังร่างกำยำที่นอนหลับอยู่บนหนังสัตว์นุ่ม ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ดวงตาจับจ้องไปยังใบหน้าคร้ามผ่านความมืดมิด แม้ว่าจะไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ แต่ดวงตาสีเหลืองอำพันของงูจงอางในยามนี้กลับมองเห็นใบหน้าของซิ่นเฉิงได้อย่างชัดเจน

ไร้ซึ่งความอ่อนหวาน ปราศจากความนุ่มนวลใดๆ กล้ามเนื้อเป็นมัดทั่วทั้งกาย อีกทั้งยังดูดื้อด้านไม่น่าคบหา...ล้วนแล้วไม่ใช่หลิวซูเลยสักนิด

แต่เจ้าคือหลิวซู...

เจี้ยนสือรำพันในใจ ดีใจยิ่งเสียจนน้ำตาไหลเอ่อคลออยู่ยังขอบตา ดีใจยิ่งกว่าที่ตนได้รู้ว่าอีกฝ่ายคืออดีตคนรักก่อนเทียนอี้ แม้ว่าก่อนหน้านั้น ซิ่นเฉิงจะมีสัมพันธ์ใดๆ กับเทียนอี้แล้วก็ตาม

แต่ในยามนี้...

ตั้งแต่เวลานี้...

ซิ่นเฉิงจะเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว...

มือใหญ่วางลงบนหน้าท้องแกร่ง ลูบลากแผ่วเบาให้สัมผัสเย็นเยียบจากฝ่ามือระนาบไปตามผิวของซิ่นเฉิง ครั้นสัมผัสได้ถึงไออุ่นมนุษย์และความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ ความกำหนัดก็พร่างพรายไปทั่วสรรพางก์กายมากพอๆ กับความคะนึงหาอดีตคนรัก เจี้ยนสือกลืนน้ำลายลงคอ เผลอส่งเสียงดัง ‘ชี่’ ออกมาตามประสางูอย่างพึงใจกับสัมผัสนั้น แม้ใจจะเกรงว่าเสียงนั้นอาจทำให้ซิ่นเฉิงตื่น แต่ความปรารถนาที่จะได้ครอบครองเรือนร่างเย้ายวนนั่นกลับมากกว่าสิ่งอื่นใด

มาก...เสียจนกลืนกินความผิดชอบชั่วดีในใจเขาไปจนหมดสิ้น

ปลายลิ้นเรียวเล็กแลบออกมา ใบหน้าโน้มลงต่ำไล้เลียผิวหนังตั้งแต่หน้าท้องไล่ขึ้นไปจนถึงลำคอ ไออุ่นนี้ช่างเป็นสิ่งที่เขาโหยหาเสียเหลือเกิน

โหยหามาแล้วกว่าร้อยปี... มันเป็นไออุ่นของหลิวซู

เจี้ยนสือซึมซาบทุกความรู้สึกจากร่างกายของซิ่นเฉิง ครั้นเลื่อนใบหน้าเข้าแนบซอกคอได้ ริมฝีปากก็หมายจะจรดจูบ ทว่าก็ต้องนิ่งชะงักไปเมื่อแผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกของบางสิ่งที่เย็นกว่าเกล็ดเรียบลื่นของเขา ก่อนที่จะรู้สึกเจ็บน้อยๆ เมื่อสิ่งนั้นทิ่มแทงเข้ามา

“หากเจ้าแตะตัวข้าอีกแม้เพียงส่วนเดียว เจ้าได้ถูกถลกหนังออกมาตากแห้งแน่เจ้างู”

สิ่งที่อยู่ในมือของซิ่นเฉิงคือมีดสั้นที่ครั้งหนึ่งเจี้ยนสือได้มอบไว้ให้เขาป้องกันตนเองหากเจี้ยนสือคิดจะทำอันตราย ในครานั้น ซิ่นเฉิงคิดว่าเป็นการพูดเย้าเล่น ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ใช้จริงๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ ขณะที่เทพอสูรงูจงอางชะงักงัน

ที่ชะงักไป หาใช่เป็นเพราะเกรงว่าตนจะถูกมีดนั้นแทง แต่เป็นเพราะได้สติกลับคืนมา ทว่าก็ยังมิอาจควบคุมกำหนัดที่หมายจะครอบครองเรือนร่างของอีกฝ่ายได้ จึงค้างอยู่เช่นนั้นจนคนใต้ร่างเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา

“ลุกออกไป”

เสียงนั้นราบเรียบและเย็นเยือก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

เจี้ยนสือไม่อยากจะห่างกายนี้ เอ่ยออกมาเสียงแผ่ว
“ซิ่นเฉิง...”

คล้ายกับว่าจะร้องขอความเมตตา ทว่าซิ่นเฉิงกลับตัดเยื่อใยทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ

“หากไม่ลุก เห็นทีเจ้ากับข้าคงจะได้นองเลือด”

เจี้ยนสือสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรง ชักจะไม่พอใจแล้ว กำหนัดอะไรที่มีอยู่ก่อนหน้าอันตรธานหายไปเสียสิ้น

ทีกับเทียนอี้กลับอ้าแขนตอบรับ แต่กับเขากลับผลักไสไล่ส่ง เป็นเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!

“อย่าผลักไสข้าเพียงเพราะหมายจะแก้แค้นได้หรือไม่”


ได้ยินแล้วก็ย่นคิ้วยู่

แก้แค้นหรือ? เจ้างูพูดถึงเรื่องอะไรกัน?

แต่ไม่ต้องถาม เจี้ยนสือก็เปิดปากให้คำตอบแล้ว

“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือหลิวซูกลับชาติมาเกิด”

ซิ่นเฉิงถึงกับเบิกตาโพลง รู้ได้อย่างไรกัน!?

อยากจะถามนัก แต่ในยามนี้ต้องทำให้เจ้างูลุกออกไปจากร่างของตนก่อน มือหนายกขึ้นหมายจะผลักอกเจี้ยนสือให้ออกห่าง ทว่าก็ต้องหยุดค้างเอาไว้เมื่อเจี้ยนสือถามเสียงแผ่วออกมา

“หรือว่าชาตินี้เจ้าจะไม่มีใจให้ข้าแล้ว...ซูซู”

น้ำเสียงนั้น...ฟังดูช่างน่าสงสาร ในอกของซิ่นเฉิงซึ่งยังมีจิตใต้สำนึกของหลิวซูอยู่เต้นระรัวเร็วไปครู่ ทว่าก็แค่ครู่เดียว เพราะบัดนี้เขาตระหนักได้ว่าตนคือใคร เมื่อถูกถามเช่นนั้นจึงตอบไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ในชาตินี้ข้าคือซิ่นเฉิง เมื่อเกิดใหม่ก็มิอาจจำได้ว่าเคยรักเจ้า เลิกเรียกข้าว่าซูซูเสียที”

“แต่เจ้าคือหลิวซู คือคนที่เคยรักข้า เจ้าจะจำไม่ได้เลยหรือ?”

ในเมื่อถูกปฏิเสธ เจี้ยนสือก็ไม่ยอมรับ เสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องนิ่งงันไปเมื่อซิ่นเฉิงกดปลายมีดที่ยังจ่ออยู่บนแผ่นหลังเขาลงไปอีกจนจมูกได้กลิ่นคาวจากของเหลวบางอย่างที่ไหลซึมออกมาจากใต้ผิวหนัง

“ข้าบอกว่าข้าหาใช่หลิวซู ข้าคือซิ่นเฉิง และชาตินี้ข้าก็หาได้รักเจ้า เพราะข้าไม่ใช่อดีตคนรักของเจ้าอีกแล้ว อย่ากวนใจข้าเจ้างู”

ซิ่นเฉิงเป็นฝ่ายมีชัย ความรู้สึกใดๆ ในจิตใต้สำนึกของหลิวซูมิอาจทำให้เขาไขว้เขวได้อีก ขณะที่คำพูดนั้นช่างทำให้ใจของเจี้ยนสือร้าวรานราวกับถูกเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทง

เจี้ยนสือจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นเรื่องจริง หากแต่เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่ของซิ่นเฉิงแล้ว เขาก็มั่นใจได้ขึ้นมาว่าที่ได้ยินเมื่อครู่นั้นไม่ผิด

นี่ล่ะสิ่งที่คล้ายคลึงกับหลิวซู...ความแน่วแน่ที่ฉายประกายออกมาจากดวงตา

เมื่อรักก็รักมากยิ่ง เมื่อเกลียด ชิงชัง หรือรู้สึกอื่นใดก็สื่อออกมาอย่างชัดเจน ในยามนี้ ดวงตาของซิ่นเฉิงบ่งบอกชัดเจนว่าหาได้รู้สึกรักใคร่ใดๆ ต่อเขา

ใช่แล้ว...ไม่ได้รู้สึกเลยแม้แต่น้อย เจี้ยนสือแทบจะกลั้นใจตายไปตรงหน้าให้ได้ ทว่าก็มิอาจทำได้ด้วยมีชีวิตอมตะ จึงทำเพียงตัดพ้อออกไป

“ที่หาได้มีใจให้ข้าเช่นแต่ก่อนเป็นเพราะยามนี้ในใจเจ้ามีแต่เทียนอี้ล่ะสินะ”

เป็นซิ่นเฉิงบ้างแล้วที่นิ่งไป เขาอุตส่าห์ไม่คิดถึงใบหน้าของเจ้าหมาแล้วนะ ไยจะต้องมาพูดถึงให้คะนึงหาอีกกัน!

“แม้ว่าเจ้านั่นจะเป็นเหตุให้มารดาเจ้าต้องตาย เจ้าก็รักเจ้านั่นใช่หรือไม่?”

คำถามนี้ ซิ่นเฉิงเองก็เฝ้าถามตนเองมาหลายทิวาและราตรีแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านั้นที่แสร้งโกรธเคืองเทียนอี้ด้วยเหตุว่าเขาเป็นผู้สังหารมารดาของตนในทางอ้อมเพื่อที่จะได้จากไปโดยปราศจากความห่วงหาใดๆ ต่อกัน ทว่า...เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว เห็นทีคงจะเป็นไปได้ยากในเมื่อหัวใจของเขา...รักเทพอสูรสุนัขป่าตนนั้น

ต่อให้หลบหนีเพียงใดก็มิอาจปฏิเสธความรู้สึกในใจตนได้ ยิ่งถูกเจี้ยนสือถามก็ยิ่งชัดเจนจนเป็นที่ประจักษ์

อย่างไรก็รัก ไม่ว่าอย่างไร เทียนอี้ก็เป็นผู้เดียวที่เขาปรารถนาจะมอบเรือนร่างให้เชยชม

ความเงียบงันของซิ่นเฉิงคือคำตอบชัดเจนให้แก่เจี้ยนสือ คนถามสูดลมหายใจเข้าปอดราวกับจะสงบสติอารมณ์ ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดแสนสาหัส

“ในชาตินี้จะเป็นข้าที่เจ้าจะรักไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

ไยซิ่นเฉิงจะสัมผัสไม่ได้ว่าเจี้ยนสือปวดใจเพียงใด แต่...

“เวลาของเจ้าหมดสิ้นไปตั้งแต่ที่หลิวซูหมดลมหายใจแล้วเจ้างู หลิวซูที่รักเจ้าไม่มีอีกแล้ว มีแต่ข้าที่หาได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย”

คำพูดนั้นสัตย์จริง และก็ช่างเป็นคมดาบที่สับร่างของเจี้ยนสือให้แหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่เวลาของเขาจะหยุดหมุนเมื่อซิ่นเฉิงเอ่ยออกมาอีก

“ในชาตินี้ ใจของข้าเป็นของเทียนอี้”

เป็นครั้งแรกเช่นกันที่มนุษย์หนุ่มยอมรับความรู้สึกของตนกับผู้อื่น เจี้ยนสือซึ่งได้ยินถ้อยคำนั้นรู้สึกราวกับถูกตบหน้าเสียจนมึนงงไปหมด เขาผละออกจากร่างของอีกฝ่ายโดยไม่ต้องให้ซิ่นเฉิงเอ่ยซ้ำ นั่งนิ่งปราศจากซึ่งคำพูดอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่ซิ่นเฉิงซึ่งผุดลุกขึ้นนั่งตามเมื่อครู่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

“แต่แม้ว่าในชาตินี้ ข้าจะไม่ได้รักเจ้าเพราะข้าหาใช่หลิวซูอีกต่อไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสหายไม่ได้”

ที่พูดไปเช่นนั้นเป็นเพราะเขาเองก็หาได้รังเกียจเจี้ยนสือ เพียงแต่ต้องการให้อีกฝ่ายตระหนักได้ว่าตนเป็นใคร และสถานะใดที่เขามอบให้เจี้ยนสือได้

เทพอสูรงูจงอางเหลือบมองชายหนุ่มภายใต้ความมืด แววตาที่ประกายความเห็นใจนั้น เขาไม่ได้ต้องการเลยสักนิด มันจะไปมีประโยชน์อันใดถ้าหากไม่ได้ครอบครองดวงใจของอีกฝ่าย

จะไปมีประโยชน์ใดเล่าหากได้พบพานแต่ใจของหลิวซูหาใช่ของเขาอีกแล้ว!

ใจหนึ่งนึกอยากจะสังหารซิ่นเฉิงเสียให้สิ้น จะได้ไม่แปรใจไปรักผู้อื่น แต่ก็มิอาจกระทำผิดซ้ำเดิมได้ จึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำนนในลิขิตฟ้า ปล่อยให้ซิ่นเฉิงได้พูดอกมา

“เจ้างู...มีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา สองชาติก่อนของข้า ข้ารักเจ้า แต่ในชาตินี้ ข้าหาได้มีใจให้เจ้าอีกแล้ว เจ้าก็อย่าฝืนเลย ไม่ใช่เจ้าเพียงผู้เดียวหรอกที่เหนื่อย ข้าเองก็เหนื่อยล้าเช่นกัน”

เหนื่อยล้าเรื่องใด เจี้ยนสือพอจะเข้าใจ

เหนื่อยล้าในวัฏจักรแห่งรักที่มิอาจสมหวังได้แม้เพียงชาติหนึ่ง...

เขาเองก็ท้อใจแล้ว จึงพยักหน้ารับอีกครา ตอบรับไปโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

“หากเจ้าเอ่ยเช่นนั้น ข้าก็คงจะทำสิ่งใดไม่ได้อีก หากในชาติก่อนๆ ข้ารับความรู้สึกของเจ้า ป่านนี้เจ้ากับข้าคงมีความสุขร่วมกัน”
ซิ่นเฉิงไม่เอ่ยสิ่งใด มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ขณะที่เจี้ยนสือจ้องตอบราวกับพยายามจะบอกว่าในใจของเขายังรักหลิวซูมากมาย แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นกลับหาใช่คำบอกรัก แต่เป็นการบอกลา

“ขออภัยที่รบกวนและล่วงเกินเจ้า วันนี้ข้าเหนื่อยล้าเหลือเกิน เห็นทีคงต้องไปพักก่อน”

สิ้นเสียงก็หุนหันลุกออกไปนอกกระโจม ปล่อยให้ซิ่นเฉิงปิดเปลือกตาลง ระบายลมหายใจออกมาทีละน้อย

ตอนนึกจะมาก็มาเอง ตอนนึกจะไปก็ไปเอง หาได้ถามความสมัครใจของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่...เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อมิอาจสมหวังก็ควรจะกระทำให้ชัดเจน

ซิ่นเฉิงถือว่าการที่เจี้ยนสือรู้ความจริงนี้เป็นเรื่องที่ดี แม้ว่าในใจจะนึกสงสัยไม่น้อยว่าเจ้างูนั่นรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรมากเพียงไหนก็ตาม

หรือจะเป็นเพราะหมิงจู ไม่ก็พ่อบ้านเหลียง?

คงจะต้องเป็นเจ้าสองเทพนั้นเป็นแน่ กระนั้นซิ่นเฉิงก็หาได้คิดสิ่งใดอีก หมายจะไปต่อว่าทั้งคู่เมื่ออรุณรุ่งมาถึง แต่ในยามนี้ เขาหมายจะผ่อนคลายความเหนื่อยล้าในใจตนเองเสียหน่อย พลันก็ผลุบออกจากกระโจม ตั้งใจว่าจะไปเดินทอดน่องเล่นให้สายลมเย็นเยียบพัดพาเอาความเหนื่อยล้านี้ไป

ทว่า...ก็ต้องนิ่งงันเมื่อทันทีที่ออกมานอกกระโจมก็พบเข้ากับเทียนอี้

“เจ้าหมา...”

ริมฝีปากหนาเผยอเอ่ยเรียกคนตรงหน้า ขณะที่เทียนอี้ในร่างเทพสวรรค์ยืนมองเขานิ่งด้วยสายตาสับสนยิ่ง

เมื่อครู่เห็นเจี้ยนสือออกมานอกกระโจมของซิ่นเฉิงด้วยท่าทางฉุนเฉียว หรือว่า...

เกือบจะคิดต่อแล้วถ้าหากว่าจมูกไม่ได้กลิ่นคาวโลหิตจากมนุษย์หนุ่มตรงหน้า พลันก็ย่นคิ้ว เอ่ยขึ้น...
“ข้าได้กลิ่นเลือด”
ซิ่นเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย ตอบไปตามความจริง
“เลือดของเจ้างู เมื่อครู่เจ้านั่นเกือบถูกข้าถลกหนัง”

ถึงจะไม่อธิบายขยายความใดๆ แต่ก็ชัดเจนยิ่งว่าซิ่นเฉิงกับเจี้ยนสือหาได้มีอะไรเกินเลยกัน มิหนำซ้ำ ซิ่นเฉิงก็หาได้ยินยอมให้อีกฝ่ายกระทำการใดกับร่างกายตนด้วย ทำเอาเทียนอี้ที่นอนไม่หลับด้วยกระวนกระวายขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ จนต้องออกมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ละแวกกระโจมของคนรักกระทั่งเห็นเจี้ยนสือออกมาจากที่นั่นโล่งใจเป็นปลิดทิ้ง

สีหน้าผ่อนคลายประดับพรายบนดวงหน้างาม แม้ว่าซิ่นเฉิงอยากจะเลี่ยงการสนทนากับคนตรงหน้าแค่ไหน แต่ด้วยความคะนึงหาที่ฝังแน่นอยู่ในใจ ทำให้เขามิอาจจะหมางเมินได้อีก

“ไม่ต้องห่วง ร่างกายของข้ามันยังคงเป็นของเจ้า”

ทั้งยังเอ่ยพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปอีก...

สิ่งนั้น...เป็นสิ่งที่เทียนอี้อยากได้ยินมากที่สุดในตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขามิอาจทนการหมางเมินของซิ่นเฉิงได้อีกต่อไปแล้ว ต่อให้ต้องถูกโกรธเคืองอย่างงไร เขาก็ไม่สนใจ ถลาเข้าไปหา รวบเอาร่างกำยำเข้ามาโอบกอดในอ้อมแขนแน่น ซุกใบหน้าลงบนไหล่อีกฝ่าย กระซิบเสียงพร่าราวกับจะขาดใจ

“ข้าคิดถึงเจ้า...เฉิงเฉิง... คิดถึงเจ้า...”

เห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกวันแท้ๆ เพียงแค่ไม่ได้พูดคุยกันเท่านั้นก็ทำให้เทียนอี้คลั่งจนแทบเสียสติได้ถึงเพียงนี้ ซิ่นเฉิงรู้ตัวดีว่าควรจะปฏิเสธ ทว่า...เพียงความในใจของเทียนอี้แค่ประโยคเดียว หินผาตั้งตระหง่านในใจเขาก็พังทลายลงในทันใด ต่อให้ต้องจากไป ไม่ได้พบพานชั่วนิรันดร์ เขาก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า...

“ข้าเองก็คิดถึงเจ้า”

เทียนอี้คลายอ้อมแขนออกมามองหน้าของมนุษย์หนุ่มราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ครั้นเห็นดวงตาของซิ่นเฉิงมองจ้องมาที่เขานิ่งๆ แล้ว พลันก็ประจักษ์ได้ว่านั่นคือความสัตย์จริงในใจของอีกฝ่าย

“เฉิงเฉิง...”

เรียกได้เพียงชื่อ จากนั้นถ้อยคำทั้งหมดก็ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ เทียนอี้มิอาจทนกักเก็บความรู้สึกไว้ได้ไหวอีกต่อไปแล้ว ประทับจุมพิตลงมายังริมฝีปากหนาอย่างดุดันและโหยหา ขณะที่ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ปฏิเสธ จูบตอบรับ สองมือโอบประคองใบหน้าคร้าม สอดประสานเกี่ยวกระหวัดราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะสลายหายไปในอีกไม่กี่เสี้ยวนาทีข้างหน้า

หากมีพบย่อมมีพลัดพราก มีรักต้องมีจากลา ถ้าเช่นนั้นก่อนที่จะต้องจากลาหรือสลายหายไป ก็ขอให้จากไปทั้งที่ยังโอบกอดกันและกันอยู่เช่นนี้...

เป็นเพียงความปรารถนาของซิ่นเฉิงที่ไม่ยอมเปิดปากให้เทียนอี้ได้รับรู้ ในยามนี้ เขาขอแค่ได้รับความรักจากอีกฝ่ายก่อนจะจากกันไปเท่านั้น

ท่ามกลางผืนฟ้ามืดมิด มีเพียงดวงดาราและจันทราสาดทอแสงสว่าง สองบุรุษโอบกอดมอบจุมพิตแห่งรักให้แก่กันดุจดั่งนกยวนยาง[1]ครองรักตราบนิรันดร์...


[1] นกยวนยาง หรือนกเป็ดน้ำ ตามความเชื่อของจีนเชื่อว่านกชนิดนี้จะมีคู่ครองเพียงตัวเดียวตลอดชีวิต จึงเป็นที่มาของการเปรียบเทียบความรักของที่มั่นคงว่าเป็นความรักของนกยวนยาง

-----------------------------

หายไปนาน กลับมาแล้วค่ะ ลืมเนื้อเรื่องกันไปแล้วสินะ เพราะหนูแดงก็ลืม 5555555

ต้องไปอ่านใหม่ว่าตัวเองเขียนอะไรไป ถึงกลับมาเขียนได้ง่ะ XD แต่ต่อจากนี้จะกลับมาอัปแล้วค่ะ หมดสิ้นภารกิจอื่นแล้วเรียบร้อย ส่วนเรื่องนี้อีกไม่กี่ตอนก็จบละ

********
ลบข้อความการประกาศขายนิยายออกนะคะ
เรื่องยังอยู่ห้องนิยาย นิยายยังลงไม่จบ ห้ามประกาศขายในกระทู้ทั้งสิ้น และคนเขียนยังไม่ได้ขอไอดีขายของ ผิดกฏเล้านะ

Poes
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2018 15:39:44 โดย Poes »

ออฟไลน์ Akanasan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารเจ้างูอ่ะ แต่เจ้าหมาก็น่าสงสาร อ๊ากกกกก!!!!! :m31: :m31: :m31:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ไม่อยากให้เค้าแยกกันเลยยยย :ling1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
เจ้างู เจ้าหมา ถ้าปัญหามันเยอะขนาดนั้น....  3p ไปเล--// โดนตบ :hao7:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
นึกว่าออกมาจะเจอเจ้าหมาที่ได้ยินว่าเฉิงเฉิงคือหลิวซู รอดไป ตอนหน้าเจ้าแมวจะไปแล้วใช่ไหมคะ  :hao5:

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 27: ข้ารักเจ้า

เพียงจุมพิตเดียวก็มิอาจกักเก็บทุกความโหยหาของทั้งคู่ได้ ซิ่นเฉิงหมดสิ้นซึ่งความอดทนอีกต่อไป มือทั้งสองข้างที่ประคองใบหน้าคร้ามของเทียนอี้อยู่นั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นเหนี่ยวรั้งลำคอแกร่ง ออกแรงลากให้อีกฝ่ายกระถดถอยตามตนเข้าไปในกระโจม ขณะที่เทียนอี้ก็ไม่ขืนแรงแต่อย่างใด ปล่อยตัวปล่อยใจให้อีกฝ่ายได้ฉุดเข้าหาโดยดุษณี

ครั้นเข้ามาด้านใน รูปลักษณ์งดงามก็แปรเปลี่ยนเป็นเทพอสูร ศีรษะที่เหมือนกับมนุษย์กลายเป็นสุนัขป่า กระนั้นก็ไม่อาจทำให้ซิ่นเฉิงถอนริมฝีปากออกจากอีกฝ่ายได้ ต่อให้รูปร่างแปรผัน แต่หัวใจของเขาก็ยังมอบให้กับเทพอสูรตรงหน้านี้ บรรจงจูบอย่างดูดดื่มจนกระทั่งเทียนอี้เป็นฝ่ายที่มิอาจต้านทานความกำหนัดนี้ได้อีกต่อไป

เขาผลักร่างแกร่งของมนุษย์หนุ่มลงบนหนังสัตว์นุ่ม มือลูบลากไปตามเนื้อตัวอย่างกระหาย ยิ่งได้กลิ่นฉุนของงูก็ยิ่งลูบไล้หนักหน่วงราวกับปรารถนาจะกลบกลิ่นนั้นไปให้หมดสิ้น ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ปฏิเสธ ตอบรับการสัมผัสนั้นด้วยการส่งเสียงฮืมในลำคอ และยิ่งทวีมากขึ้นไปอีกเมื่อลำคอถูกปลายลิ้นอุ่นร้อนลากไล้ ก่อนจะลงต่ำมายังแผ่นอก เข้าครอบครองยังส่วนยอดของตุ่มไตเม็ดเล็ก

ความอ่อนไหวจากการถูกสัมผัสทำให้ซิ่นเฉิงเงยหน้าขึ้นอย่างสุดจะกลั้น ปากครางเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาเมื่อส่วนกลางของลำตัวถูกลูบไล้เสียจนแข็งขืน

“เทียนอี้...”
“หากเจ้าเรียกข้าด้วยน้ำเสียงเช่นนี้อีกครั้ง ข้าคงจะอดใจไม่ไหว”

เทียนอี้กระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู ลมหายใจอุ่นๆ นั้นเรียกให้ซิ่นเฉิงหันไปสบตา ก่อนจะว่าออกมาอย่างถือดี

“หากเจ้าอดใจไม่ไหว ก็ทำตามความปรารถนาของเจ้าเถิด”

ราวกับเป็นการท้าทาย ขณะเดียวกันก็คือการเชื้อเชิญ แล้วมีหรือที่เทียนนี้จะไม่สนอง เขาปรารถนาที่จะใกล้ชิดมนุษย์ผู้นี้มาหลายทิวาและราตรีแล้ว เท่านั้นมือก็ดึงทึ้งเอาอาภรณ์ที่ยังคงบดบังเรือนร่างของอีกฝ่ายออกเสียสิ้น สายตาทอดมองไปยังร่างเปลือยเปล่าอย่างเสน่หา ก่อนที่จะสอดมือเข้าไปลูบคลำส่วนที่อยู่ลึกสุดของร่างกาย ตั้งใจจะเปิดทางให้อีกฝ่ายพร้อมก่อนที่จะฝังร่าง
ใบหน้าของซิ่นเฉิงเต็มไปด้วยอารมณ์ซาบซ่าน ดวงตาที่แข็งกร้าวตลอดเวลา ในยามนี้อ่อนหวานเสียจนเทียนอี้อดไม่ได้ที่จะจูบประทับลงไป และนั่นก็เป็นการกระทำที่ผิดเพราะทันทีที่ทำเช่นนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเรียกร้องของอีกฝ่ายแว่วเข้ามาในหู

“อย่ามัวแต่หยอกข้าเล่นอีกเลย รีบกอดข้าเสียที”

แน่นอนว่าซิ่นเฉิงหมายถึงให้หยุดสอดแทรกนิ้วมือเข้ามาเสียที เรื่องนี้ทำไมเทียนอี้จะไม่รู้ ถึงอย่างนั้นก็ยังข่มความต้องการของตนเองเอาไว้ ไม่รีบร้อนเกินเหตุแม้ว่าจะอยากกอดอีกฝ่ายมากเพียงใดก็ตาม

“แต่หากไม่ทำให้เจ้าพร้อมก่อน เจ้าจะบาดเจ็บเอาได้”
“เทียนอี้... กอดข้า...”

แค่คำพูดสั้นๆ ที่ฟังดูแล้วออกจะเป็นคำสั่งมากกว่าขอร้อง เท่านั้นก็ทำให้เทียนอี้ถอนปลายนิ้วออกมา แล้วแทรกความเป็นบุรุษของตนเองเข้าไปกลางหว่างขาของอีกฝ่ายทันที

ความคับแน่นทำให้ซิ่นเฉิงเบ้หน้าเล็กน้อย เทียนอี้ชะงัก จุมพิตแผ่วเบาลงมายังหน้าผากราวกับปลอบประโลม ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะโอบแผ่นหลังอีกฝ่าย กระซิบบอกเสียงแผ่ว

“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”

ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่เทียนอี้ก็มิอาจวางใจได้ นิ่งค้างอยู่ในท่านั้นครู่ใหญ่กระทั่งรู้สึกว่ากล้ามเนื้อของซิ่นเฉิงผ่อนคลายความเกร็งแข็งลงแล้ว เขาถึงได้ค่อยๆ ขยับร่างกายทีละน้อย

ไม่นานนัก ความคับแน่นที่สร้างความเจ็บปวดก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียวซ่าน ซิ่นเฉิงครางกระเส่าออกมาทันทีที่ความหวานไหวพร่างพรายไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนที่จะต้องกอดร่างของเทียนอี้ไว้แน่นเมื่อแกนกลางของลำตัวถูกรูดรั้งด้วยฝ่ามืออุ่นร้อน

เคลื่อนไหวเชื่องช้าชวนให้รำคาญใจ แต่เมื่อเคลื่อนไหวเร่งไวขึ้น ซิ่นเฉิงก็ไม่เป็นตัวของตัวเองอีก มือขย้ำเส้นขนสีเงินยวงตรงบริเวณแผงคอของเทียนอี้ไว้มั่น มืออีกข้างโอบกอดร่างใหญ่ ส่งเสียงหายใจหอบกระชั้นราวกับว่าจะขาดใจ

เห็นซิ่นเฉิงเป็นเช่นนั้น เทพอสูรก็ยิ่งได้ใจ เร่งเร้าเสียจนมิอาจทนความเสียวซ่านนี้ได้อีก ของเหลวสีขาวหลั่งรินออกมาเปรอะเปื้อนหน้าท้องแกร่ง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าซิ่นเฉิงสุขสมกับรสสัมผัสนี้แล้ว เทียนอี้ใช้จมูกเปียกชื้นจูบประทับที่ข้างขมับ ก่อนที่จะหยุดนิ่งไป

“เจ้า...ยังไม่เสร็จเลยไม่ใช่หรือ?”

คำถามตรงๆ จากปากของซิ่นเฉิงทำให้เทพอสูรย่นคิ้วไปเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับ

“แล้วทำไมไม่ทำต่อ”
“เพียงแค่ได้กอดเจ้าไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว”

คำพูดนั้นช่างชวนให้อกข้างซ้ายเต้นระรัวยิ่งนัก ทว่าซิ่นเฉิงหาได้มีความสุขกับคำพูดนี้เท่าไร เขาเป็นบุรุษ ย่อมรู้ดีว่าการไม่ถึงฝั่งฝันนั้นมันสร้างความทรมานเช่นไร แม้ว่าเทียนอี้จะตั้งใจให้เขาสุขสมอยู่ฝ่ายเดียว แต่เขาก็ไม่ดีใจอยู่ดี

“ข้ามิใช่สตรี ไม่ต้องมาเยินยอ หากเจ้าไม่ยอมทำให้เสร็จ ข้าจะจัดการเจ้าเอง”

ไม่เพียงพูดเปล่า ยกมือขึ้นผลักร่างของเทียนอี้ให้ล้มลงนอนแล้วด้วย เทียนอี้ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเบิกตาโตเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงเป็นฝ่ายขึ้นมาคร่อมร่างตนเองไว้ทั้งที่ร่างของพวกเขายังประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ก่อนที่จะเป็นฝ่ายครางในลำคอบ้างเมื่อมนุษย์หนุ่มบนลำตัวนั้นค่อยๆ เคลื่อนไหวร่างกายทีละน้อย และเริ่มทวีการเคลื่อนไหวปั่นป่วนอารมณ์เขาเสียจนแทบคลั่ง

เทียนอี้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองโดยสมบูรณ์แล้ว มือเกาะเอาบั้นท้ายของคนบนตัวให้ขยับไปตามจังหวะให้มากขึ้น เสียงหายใจหอบกระเส่าของซิ่นเฉิงดังมาให้ได้ยินอีกคราเพราะการที่เขาเป็นฝ่ายรุกรานเทียนอี้นั้นมันทำให้ความเป็นบุรุษเพศแข็งขืนขึ้นมาอีก

กลิ่นอายของความหลงใหลซึ่งกันและกันหลั่งไหลอบอวลในกระโจมแห่งนี้ ก่อนที่เทียนอี้จะได้ยินเสียงของมนุษย์หนุ่มดังมาในโสต

“จดจำข้าเอาไว้ก่อนที่จะไม่ได้เห็นข้าอีก...”

แน่นอนว่าเขาจะต้องจดจำซิ่นเฉิงแน่...

จดจำไว้เสียขึ้นใจ...ว่าหัวใจของเขามิอาจรักผู้ใดได้อีกแล้วนอกจากคนตรงหน้านี้

“ข้ารักเจ้า...เฉิงเฉิง”

คำบอกรักกระตุ้นเร้าให้ซิ่นเฉิงขยับกายรุนแรง รอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่มุมปากราวกับพอใจที่ได้ยินคำนั้น

ราตรีนี้จะยาวนานเพียงใด แต่สำหรับบุรุษทั้งสองแล้ว มันคงจะสั้นเสียจนน่าใจหายเป็นแน่ถ้าหากทั้งคู่ตระกองกอดกันแนบชิดเช่นนี้ทั้งค่ำคืน...



 
แม้ว่าเมื่อคืนนี้จะกอดกระหวัดบอกรักกันหลายต่อหลายครั้งเพียงใด แต่เทียนอี้ก็มิอาจทำให้ใจของซิ่นเฉิงเปลี่ยนไปได้ ในเมื่อตั้งใจว่าจะไปจากเขาแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ซิ่นเฉิงก็จะไป

อันที่จริงเทียนอี้ไม่ควรที่จะห้ามปรามเพราะสิ่งที่ซิ่นเฉิงทำคือสิ่งที่ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำของเผ่าควรกระทำ ทว่าเมื่อตระหนักได้ว่าหากปล่อยให้อีกฝ่ายไป ทั้งชีวิตนี้ก็จะไม่ได้พบพานกันอีก เทียนอี้ก็มิอาจทำใจให้ยอมรับเรื่องนี้ได้ขึ้นมา

เขารักซิ่นเฉิง...

รักมากเกินกว่าจะปล่อยให้จากไปชั่วชีวิตได้...

พลันก็ละทิ้งหน้าที่ทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า ก้าวอาดๆ ตรงไปยังกระโจมของซิ่นเฉิงทันที ก่อนที่สายตาจะเหลือบมองไปเห็นชายหนุ่มซึ่งกำลังวุ่นวายกับการตระเตรียมข้าวของและไพร่พลให้พร้อมสำหรับการเดินทาง

ในการเดินทางครั้งนี้ ซิ่นเฉิงหาได้ไปแต่ผู้เดียว เขาได้คนจากเผ่าของอ๋องแห่งทะเลทรายติดตามไปด้วย เพราะการเดินทางในทะเลทรายเพียงลำพังนั้นหาใช่เรื่องง่าย อันตรายล้วนแล้วมีรอบทิศทาง แม้ว่าซิ่นเฉิงจะเกิดและโตในทะเลทรายมาตลอดชีวิต แต่ก็ใช่ว่าจะเอาตัวรอดได้โดยลำพังได้หากว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น ดังนั้นการมีคนติดตามไปด้วยล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ดีกว่านัก

กระนั้น...ก็ไม่อาจทำให้เทียนอี้วางใจได้ ยิ่งเห็นซิ่นเฉิงกระตือรือร้นที่จะจากไปถึงเพียงนั้นทั้งที่หนทางที่จะมุ่งหน้าไปก็เป็นทิศทางเดียวกันกับที่เขาจะยกทัพไป ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องได้พบพานกันอีกครา แต่ในใจเขาก็ว้าวุ่นเสียจนอยู่ไม่สุข ทั้งที่ท่าทีนิ่งเฉยแท้ๆ แต่กลับ...ร้อนรุ่มไปทั่วร่างราวกับว่าถูกไฟจากปรโลกเผาผลาญ

ดวงตาสีอำพันปรายมองไปยังร่างสูงของมนุษย์หนุ่มที่บัดนี้สวมชุดเกราะของนักรบเผ่า ช่างดูแปลกตานัก ตลอดเวลาที่รู้จักซิ่นเฉิงมา เทียนอี้หาได้เคยเห็นอีกฝ่ายในภาพลักษณ์นี้มาก่อน

ทั้งแข็งแกร่ง... ทั้งองอาจ...

ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ใจแข็งและดื้อดึงนัก เหตุนั้นเป็นเพราะซิ่นเฉิงคือนักรบ คือผู้ที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าทะเลทรายในภายภาคหน้า หากใจรวนเรแปรผันง่ายดาย อีกหลายร้อยชีวิตในเผ่าก็จะต้องไม่แปรปรวนไปด้วย ดังนั้นการที่เป็นผู้กุมชะตาชีวิตของผองพี่น้องทุกชีวิต เขาจะเอนเอียงไม่ได้

ทว่า...ต่อให้เทียนอี้ประจักษ์ในข้อเท็จจริงนั้นเพียงใด เขาก็ไม่ต้องการให้ซิ่นเฉิงจากไป ขายาวก้าวเข้าหา ปากเอ่ยถามคนตรงหน้าราวสุดจะกลั้น

“เฉิงเฉิง”

คนถูกเรียกหันมามอง ครั้นเห็นเทพอสูรสุนัขป่ายืนนิ่งอยู่ตรงหน้า เขาก็หยุดมือที่สวมเกราะปลอกแขนไปครู่หนึ่ง รอให้อีกฝ่ายได้
พูด

“ข้าจะขอถามเจ้าอีกครั้ง” เทียนอี้ว่า ก่อนจะสูดหายใจเข้าปอด เอ่ยออกมาอีก “เจ้าจะไม่ไปจากข้าได้หรือไม่?”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถาม เมื่อคืนที่ได้แนบชิดกัน เทียนอี้ก็ถามคำถามนี้ออกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว และทุกครั้ง ซิ่นเฉิงก็มักจะให้คำตอบเป็นความเงียบทุกที

ครั้งนี้ก็เช่นกันที่ความเงียบงันคือคำตอบจากซิ่นเฉิง... มีเพียงดวงตาเรียวเท่านั้นที่จับจ้องยังใบหน้าของผู้เป็นที่รัก

เทียนอี้... ใช่ว่าข้าอยากจะไป แต่เพื่อจะยุติเรื่องราวทั้งหมด เจ้ากับข้ามิอาจครองคู่กัน

ใจของชายหนุ่มอยากจะบอกไปเช่นนี้นัก เขาอยากจะบอกเหตุผลว่าเหตุใดถึงไม่สามารถอยู่ด้วยได้

เหตุผลนั้นก็เพราะว่าเขาคือหลิวซู หากอยู่ใกล้กันต่อไป พวกเขาก็จะต้องพบพานความเจ็บปวดอีกไม่จบไม่สิ้น สู้ให้สิ้นสุดไปตั้งแต่ชาตินี้เลยจะดีกว่า...

ทว่าก็ขบกรามแน่นบังคับตนเองไม่ให้พูดออกไปด้วยระลึกได้ว่าให้สัญญากับหมิงจูและพ่อบ้านเหลียงไว้ จะมีก็แต่เทียนอี้เท่านั้นที่ทำลายความเงียบงันขึ้นมาอีกครั้ง

“อย่างไรเสีย ทัพของข้าก็จะต้องยกพลลงไปทางใต้อยู่แล้ว เบาะแสของเผ่าเจ้าก็อยู่ที่ทางใต้ เหตุใดจึงไม่เดินทางไปพร้อมกันกับข้า”

เรื่องเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ซิ่นเฉิงก็ดึงดันที่จะเดินทางล่วงหน้าไปก่อนด้วยเป็นห่วงพี่น้องในเผ่าของตน จึงทำให้ต้องรีบมาตระเตรียมความพร้อมอย่างที่เห็น

“เจ้าก็มีหน้าที่ที่ต้องให้สะสาง ข้าเองก็เช่นกัน เจ้าทำตามหน้าที่ของเจ้าให้ดีเถิด ข้าก็จะไปทำหน้าที่ของข้า”

เหตุผลนั้นไม่ได้ทำให้ซิ่นเฉิงเปลี่ยนใจได้เลย เทียนอี้ออกอาการฮึดฮัดเป็นครั้งแรกที่ไม่อาจเอาชนะใจซิ่นเฉิงได้ อยากจะบังคับเหลือเกิน แต่กับมนุษย์ผู้นี้คงจะไร้ผล พลันก็ยอมอ่อนข้อลงอย่างไม่มีทางเลือก

“เฉิงเฉิง...อย่าไป ข้าขอร้อง หากจะไปก็ไปพร้อมกันกับข้าเถิด”

เทพอสูรยอมทิ้งทิฐิโดยสมบูรณ์ แม้จะเข้าใจเหตุผลของซิ่นเฉิงเพียงไร และถึงจะไม่เคยทัดทานเมื่ออีกฝ่ายต้องการจากไป แต่ในเวลานี้ เขาไม่อาจปล่อยมือจากซิ่นเฉิงได้อีกแล้ว หัวใจของเขาไม่แข็งแกร่งพอที่จะเห็นคนรักเดินจากไป ชาติก่อนนั้นเขาเคยเสียคนรักไปแล้ว ชาตินี้มีใจรักให้แก่ซิ่นเฉิง เขาก็จะไม่ยอมเสียอีกฝ่ายไปอีก อย่างน้อยการได้เดินทางไปด้วยกันก็เป็นการยืดเวลาที่จะได้เคียงข้างมากขึ้นไปอีก ไม่แน่ว่าในช่วงเวลานั้น เขาจะโน้มน้าวให้ซิ่นเฉิงยอมเปลี่ยนใจในภายหลังได้

ทว่า...ซิ่นเฉิงไม่อาจรีรอได้อีกแล้ว หากจะต้องไปพร้อมกับเทียนอี้ เขาก็ต้องรออีกฝ่ายจัดทัพซึ่งใช้เวลาอีกหลายชั่วยาม หรือไม่ก็อาจจะต้องเสียเวลาเป็นวันด้วยทัพของเขาก็ล้วนอ่อนล้าจากการเดินทาง สู้เขามุ่งหน้าไปก่อนจะเป็นการดีกว่าเพราะไม่อาจวางใจได้ว่าชีวิตเผ่าของตนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“ครั้งหนึ่งข้าเคยให้โอกาสเจ้าไปจากข้า เป็นเจ้าเองที่ไม่ไป คราวนี้อย่าหวังว่าข้าจะยินยอมให้เจ้าไป หากคิดว่าจะไปจากข้าตลอดชีวิตได้ เจ้าฝันเกินตัวไปแล้วเจ้าเหมียว”

ลดทิฐิคงยังไม่มากพอเพราะซิ่นเฉิงไม่ยอมตอบอะไร เทียนอี้แสดงอาการเอาแต่ใจออกมาราวกับควบคุมตนเองไม่ได้ หูทั้งสองตั้งชัน ดวงตาแข็งกร้าว ดูอย่างไรก็เป็นสุนัขเลี้ยงไม่เชื่อง ท่าทางนั้นควรที่จะให้ซิ่นเฉิงล้อเลียนยิ่งนัก ทว่าเมื่อเห็นแล้วกลับหัวเราะไม่ออก คับแน่นในอกเสียจนแทบหายใจไม่ได้

เทียนอี้...คิดว่าเขาอยากไปจากเทียนอี้ตลอดชั่วชีวิตหรือ?

คิดว่าเขาอยากจะให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้หรือ?

แต่ถ้าไม่ไป เขาก็จะต้องตาย และกลับมากำเนิดใหม่ เวียนว่ายสร้างความเจ็บปวดให้ทั้งกับเทียนอี้และเจี้ยนสืออีกไม่จบสิ้น เป็นเช่นนี้แล้ว จะให้เขาอยู่ต่อได้อย่างไร เขาไม่ได้ห่วงที่ตัวเองจะต้องตาย แต่เป็นห่วงว่าจะทำให้เทียนอี้เจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่างหาก สู้ให้ตัดใจจากเขาไปเสียแต่ตอนนี้จะดีกว่า ทุกอย่างจะได้จบสิ้นเสียที

ลมหายใจอุ่นร้อนถูกระบายออกมา ซิ่นเฉิงเม้มริมฝีปาก ก่อนจะก้าวเข้าหาเทพอสูรตรงหน้า มือข้างหนึ่งยกขึ้นกำเส้นขนสีเงินยวงที่แผงคอ ไล้ปลายนิ้วบนเส้นขนอ่อนนุ่ม พลันเสียงแหบห้าวก็หลุดลอดออกมาให้ได้ยิน

“ตลอดมานั้น ด้วยทิฐิและศักดิ์ศรีที่มี ทำให้ข้าไม่เคยคิดจะปริปากบอกเจ้า แต่ในเมื่อยามนี้ ข้ากับเจ้ามิอาจได้พบพานกันอีก ข้าจะขอพูดให้เจ้าได้จดจำไว้”

เสียงนั้นเงียบไปครู่ พลันก็แว่วมาเข้าโสตประสาทของคนฟังอีกครา

“ข้ารักเจ้า”

เทียนอี้นิ่งงัน ถ้อยคำนั้นหากเป็นในยามที่เขามีซิ่นเฉิงเคียงข้าง เขาคงจะดีใจอยู่ไม่น้อย แต่กลับมาพูดในยามที่กำลังจะจากไป ไม่รู้หรือไรว่ามันสร้างความทรมานใจให้กับเขามากเช่นไร

“ทั้งที่จะจากไป แต่กลับฝากคำพูดเช่นนี้ไว้ เจ้าคิดหรือว่าจะทำให้ข้านอนตาหลับได้อีก”

เทียนอี้หลุดปากออกมา ดวงตาจับจ้องยังใบหน้าคร้ามนิ่ง ก่อนที่แววตานั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นตัดพ้อ

“เจ้า...จะอำมหิตเกินไปแล้ว”

ซิ่นเฉิงยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ใช่... เขาอำมหิตที่พูดออกไปเช่นนี้ ทั้งที่ไม่ควรพูด แต่ก็พูดออกไป ไม่ได้คิดหรอกว่าเทียนอี้จะปวดร้าวแค่ไหน ในใจคิดเพียงแต่ว่าอยากจะบอกอีกฝ่ายเท่านั้นว่าเขาก็รักใคร่เทียนอี้ไม่ต่างกัน

“หากรักข้า...ก็อย่าไป ไปจากข้าชั่วครั้งชั่วคราว ข้าจะไม่ว่า แต่หากคิดจะจากไปชั่วชีวิต ข้ามิอาจทนได้”

ซิ่นเฉิงตอบรับด้วยรอยยิ้มเจือจาง ก่อนที่จะโอบรอบคอของอีกฝ่ายจนปลายจมูกเย็นชื้นแตะลงมาที่ปลายจมูกของเขา

“ข้าขอร้อง...”

เป็นเทียนอี้ที่พูดขึ้นมาอีก ทว่าซิ่นเฉิงไม่ตอบรับสิ่งใดแล้ว เพียงจรดริมฝีปากจุมพิตแผ่วเบา ก่อนจะผละออกมาสั่งการกับบรรดาคนติดตามที่อ๋องแห่งเผ่าทะเลทรายส่งมา

“อีกหนึ่งชั่วยามจะออกเดินทาง รีบเตรียมพร้อมให้ทันเวลาด้วย”

เสียงขานรับคำสั่งดังขึ้น เทียนอี้ยืนนิ่งงันเป็นหิน คำขอของเขามิได้ทำให้ซิ่นเฉิงละความตั้งใจเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกว่ารักเขา แต่เขาก็คงหาได้สำคัญเท่ากับชีวิตคนอื่นๆ ในเผ่า

ดวงตาสีดำพันจ้องมองมนุษย์หนุ่มตระเตรียมข้าวของจนเสร็จสิ้น ซิ่นเฉิงยกยิ้มให้กับเทียนอี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะกระโดดขึ้นหลังม้าและควบออกไปเบื้องหน้า

แม้จะรักมากเพียงใดแต่ก็มิอาจครองคู่...

แม้จะอยากเหนี่ยวรั้งไว้มากเพียงใด แต่หากใจของอีกฝ่ายหาได้อยู่กับเขา การยึดครองไว้ก็รังแต่จะสร้างความทรมานให้ทั้งสองฝ่าย...

เฉิงเฉิง... ต่อให้ข้ารักเจ้ามากเพียงใด แต่วาสนาของเจ้ากับข้าคงจะสิ้นสุดกันเพียงเท่านี้สินะ



 
ซิ่นเฉิงจากไปแล้ว เขาล่ำลากับท่านอ๋องก่อนออกเดินทาง พยักหน้ารับให้กับหมิงจูและพ่อบ้านเหลียงครั้งหนึ่งเป็นการสั่งลาก่อนที่จะเดินทางเรื่อยไปตามผืนทราย

การบอกลากับเทียนอี้นั้น...ไม่มีอีกหลังจากที่สิ้นสุดคำขอร้องของเทียนอี้ หากบอกลาไปอีกครั้งก็รังแต่จะทำให้ความรู้สึกห่วงหาของพวกเขายืดเยื้อ เขาจึงตัดสินใจไม่พูดคุยใดๆ กับเทียนอี้อีก เทียนอี้เองก็หาได้พูดสิ่งใดเช่นกัน ได้แต่มองซิ่นเฉิงจากไปเงียบๆ เท่านั้น

ส่วนเจี้ยนสือ... ซิ่นเฉิงก็หาได้บอกลาเพราะไม่เห็นหน้าค่าตามาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว

ใจคิดว่าเจี้ยนสือคงจะเสียใจที่ถูกตนปฏิเสธจึงไม่มาแม้แต่จะบอกลา ถึงแม้ว่าจะรู้สึกผิด แต่ซิ่นเฉิงก็อดคิดไม่ได้เลยว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่ไม่ต้องพบพานกับเจ้างูจงอางนั่นอีก เพราะไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีเช่นกันถ้าหากอีกฝ่ายจับได้ว่าบนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นของเทียนอี้ ด้วยนั่นเป็นการยอมรับกลายๆ ว่าหัวใจของเขามีแค่เทพอสูรสุนัขป่าผู้เดียวเท่านั้น
ทว่า...ถึงจะไม่อยากพบพานกับเจี้ยนสืออย่างไร อีกฝ่ายก็ดันมาปรากฏให้เห็นตรงหน้าขณะที่ควบม้าออกห่างจากเผ่าทะเลทรายนั้นมาได้หลายร้อยลี้ เสียงฝีเท้ามาที่ดังกุบกับมาตามผืนทรายและฝุ่นผงตลบคลุ้งทำให้ขบวนเดินทางหยุดชะงัก มองไปยังต้นเสียงทันควัน แล้วซิ่นเฉิงก็ต้องหรี่ตาลงมองร่างสูงใหญ่ของคนที่ควบม้าไล่ตามมาอย่างสงสัย ริมฝีปากเผยออ้าเอ่ยชื่อของคนผู้นั้น

“เจี้ยนสือ...”

เป็นเจี้ยนสือจริงๆ รูปลักษณ์งูจงอางนั่นหาได้มีผู้ใดในทุกภพเหมือนอีกแล้ว เจี้ยนสือควบม้ารี่เร่งเข้ามาหยุดตรงหน้า ครั้นเจ้าม้าสงบลงได้ ซิ่นเฉิงก็ออกปากถาม

“เจ้าตามข้ามาทำไม”

เหตุที่ถามเช่นนั้นเพราะเห็นว่าเจี้ยนสือมาแต่ผู้เดียว ขณะที่เจี้ยนสือหอบหายใจน้อยๆ ตอบกลับทันควัน

“เจ้าจะเดินทางไปทางใต้ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามีปีศาจสิงสถิตอยู่อย่างนั้นน่ะหรือ?”

ซิ่นเฉิงไม่ให้คำตอบ มองใบหน้าของเจี้ยนสือนิ่งขณะที่อีกฝ่ายอ้าปากพูดมาอีก

“อย่างน้อยก็ควรที่จะมีเทพอสูรที่รู้จักปีศาจตนนั้นดีเช่นข้าไปด้วย เผื่อมีเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา ข้าจะได้ช่วยเหลือเจ้าได้”

“เพียงเจ้าผู้เดียวจะช่วยเหลืออะไรได้กัน”

คำพูดของซิ่นเฉิงดูแคลนอยู่ไม่น้อย แต่เจี้ยนสือก็หาได้ถือสา หัวเราะในลำคอแล้วยกมือขึ้นชี้ที่หน้าตนเอง

“อย่าลืมสิว่าข้าเป็นใคร ข้าคือเจี้ยนสือ เทพอสูรผู้มีรูปลักษณ์เป็นงูจงอาง สิ่งใดที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้ผืนทราย เพียงเคลื่อนไหวเล็กน้อย ข้าก็รับรู้ได้ แม้แต่ฝีเท้าของกลุ่มคนที่อยู่ไกลไปหลายร้อยลี้ ข้าก็รับรู้ได้เช่นกัน แล้วเช่นนี้เจ้าจะพูดว่าข้าช่วยเหลืออะไรเจ้าไม่ได้อีกอย่างนั้นหรือ? ไม่แน่ว่าเผ่าของเจ้าอาจจะไม่ได้มุ่งหน้าลงไปทางใต้ก็เป็นได้”

ซิ่นเฉิงเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ เพราะเขาเองก็หาได้รู้แน่ชัดว่าเผ่าของเขามุ่งหน้าลงใต้ไปจริงหรือไม่ ในเมื่อเจี้ยนสือเสนอตัวมาถึงที่เช่นนี้ เขาก็จำต้องตอบรับเพื่อใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายแล้วล่ะ

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะยอมให้เจ้าไปด้วย แต่ขอบอกไว้ก่อน... หากทำรุ่มร่ามกับข้าอีก เจ้าได้กลายเป็นงูตากแห้งแน่”

เจี้ยนสือหัวเราะให้กับคำพูดนั้น ก่อนจะมองตามหลังซิ่นเฉิงที่ควบม้านำขบวนไป

ทำรุ่มร่ามกับเจ้าในยามนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อมีโอกาสเมื่อไร กลิ่นของเทียนอี้บนกายเจ้า ข้าจะกำจัดมันให้สิ้น...คอยดู
----------------------------------
หายไปนานมาก 555 ช่วงนี้อู้ๆ ค่ะ เป็นช่วงปิดต้นฉบับได้เรื่องนึงก็จะอู้ไปยาวๆ
เดี๋ยวหลังจากปิดเรื่องนี้แล้วก็จะอู้อีกเช่นกัน ฮา
คาดว่าอีก 3 ตอนจบ มีบทส่งท้ายนิดนึง ที่เหลือก็จะเป็นตอนพิเศษของพี่งูยาวๆ เลย
จะเอาลงให้อ่านกันส่วนนึงนะคะ เพราะเรื่องของพี่งูเนี่ย
เหมือนกับเรื่องขนาดกลางที่แยกออกมาอีกเรื่องเลยค่ะ รอกันเน้อ

สวัสดีปีใหม่ทุกท่านนะคะ ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้
ฝากติดตามต่อไปด้วยเน้อ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
สวัสดีปีใหม่ค่า
ยังคงติดตามต่อไปจ้า
 :pig4:

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
กลับมาแล้วววว

ออฟไลน์ VitamiN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
 :katai5:สวัสดีปีใหม่ค่าาาา
เฉิงเฉิงเอ้ยยย ยังจะให้เขาตามไปอีกเร้ออออ
แล้วมันก็ตัดกันไม่ขาดสิฟร้าาาา :serius2:

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 28: สิ้นเยื่อใยเสน่หา

กลิ่นบางอย่างหายไปจากโสตสัมผัสของเทียนอี้...

กลิ่นนั้น...ไม่ใช่กลิ่นทะเลทราย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของผืนทรายยังคงอบอวลอยู่รอบกายเขาเพราะบัดนี้เขาก็ยังอยู่กลางทะเลทราย แต่กลิ่นที่มันหายไปคือกลิ่นที่เขาคุ้นเคยต่างหาก

...กลิ่นของซิ่นเฉิง

เทียนอี้ใจหายอยู่ไม่น้อย เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะยอมปล่อยมือจากซิ่นเฉิงไปง่ายๆ เช่นนี้ และก็ไม่คิดเช่นกันว่าซิ่นเฉิงจะดื้อด้าน ดึงดันจะไปจากเขาให้จงได้ทั้งที่ในใจของชายหนุ่มเองก็มีเขาอยู่เต็มหัวใจ

มีเขาอยู่เต็มหัวใจ... ใช่ เทียนอี้มั่นใจเช่นนั้น หากซิ่นเฉิงไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อเขาแล้ว เหตุใดร่างกายจะเรียกร้องการสัมผัสจากเขาถึงเพียงนั้นเล่า

มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้ซิ่นเฉิงตัดสินใจเช่นนั้นแน่ และเทียนอี้ก็ค่อนข้างมั่นใจเสียด้วยว่าไม่ใช่เพราะเรื่องชีวิตของสมาชิกเผ่าทะเลทรายซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบิดาซิ่นเฉิง มันจะต้องเป็นเหตุผลที่มากกว่านั้น แต่เป็นเรื่องใด เทียนอี้ก็จนปัญญาที่จะตอบคำถามให้กับตนเองจริงๆ

แต่...จะเป็นเหตุผลใดก็ช่างมันเถิด ในเมื่อซิ่นเฉิงดื้อดึงที่จะไปจากเขา ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะดื้อดึงไม่ยอมให้ซิ่นเฉิงไปไหนบ้างก็แล้วกัน!

ตั้งแต่ถือกำเนิดเป็นเทพสวรรค์และเทพอสูรมา ไม่เคยมีครั้งใดที่เทียนอี้คิดจะแหกกฎสวรรค์อย่างจริงจังเท่าครั้งนี้ วูบหนึ่งคิดขึ้นมาว่าหากสบโอกาสเมื่อไร เขาจะหลบหนีออกจากกองทัพและตามซิ่นเฉิงไป ทว่าความคิดนั้นก็ต้องมลายกลายเป็นศูนย์เมื่อฉับพลันก็มีลางสังหรณ์ประหลาด

กลิ่นที่หายไป... ไม่ได้มีเพียงกลิ่นของซิ่นเฉิง แต่มีกลิ่นของ...

“ท่านแม่ทัพเทียนอี้!”

ยังคิดไม่ทันจบ เสียงเรียกของใครบางคนก็ดังขึ้น เทียนอี้เหลียวไปมองก็พบว่าเป็นแม่ทัพนายหนึ่งที่ดูแลกองทหารสังกัดจวนอื่น เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูตระหนกตกใจแล้ว เทียนอี้ก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ซึ่งก็จริงเสียด้วยเมื่อเทพอสูรตรงหน้าเอ่ยปากบอกออกมาทั้งที่เขายังไม่ได้ถาม

“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือหายตัวไป!”

กลิ่นที่หายไป...เป็นกลิ่นสาบงูของเจี้ยนสือ!

ตระหนักได้ในยามนี้นี่เอง พลันหัวคิ้วของเทียนอี้ก็ขมวดมุ่น ปากร้องถามออกมา

“หายไปไหน”
“ข้าก็ไม่รู้ ไม่มีผู้ใดรู้ เมื่อครู่ข้าให้พลทหารไปตามหาแล้ว ไม่เจอเลย”

เทียนอี้สูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะปล่อยมันออกมาเต็มแรง

หายไปไหนก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ...คงจะมีแต่เขากระมังที่รู้ว่าเจี้ยนสือหายไปไหน

เจ้างูเจ้าเล่ห์อย่างเจี้ยนสือจะไปไหนได้กันล่ะ นอกจากลอบติดตามซิ่นเฉิงไป

ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็จะไม่ยอมวางมือล่ะสินะ...

ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ถูกหมางเมินใส่ก็ไม่สน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้มา นั่นเป็นอุปนิสัยของสหายสนิทของเขา ทำไมเทียนอี้จะไม่รู้ แต่ถ้าหากว่าคนที่เจี้ยนสือติดตามไปนั้นเป็นผู้อื่นที่หาใช่ซิ่นเฉิง เขาก็คงจะไม่ร้อนใจอย่างเช่นตอนนี้ ก่อนที่จะโพล่งขึ้นมาทันควัน

“ข้าจะไปตามตัวเจ้านั่นกลับมา”

สิ้นเสียงก็หุนหันหมายจะไปขึ้นหลังม้า ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่ซิ่นเฉิงไปทันที ทว่าก็ต้องชะงักงันเมื่อหมิงจูและพ่อบ้านเหลียงที่ได้ยินเรื่องนี้เมื่อครู่รีบเร่งเข้ามาหาที่กระโจมเสียก่อน จังหวะเดียวกันกับที่เห็นเทียนอี้กำลังจะจากไปอีกคนพอดี เท่านั้นหมิงจูก็ร้องเรียกลั่น

“เจ้าจะไปไหนน่ะเทียนอี้!”

คนถูกเรียกหันมองเล็กน้อย แต่ก็ไม่วายกระโดดขึ้นหลังม้า

“ข้าจะไปตามเจี้ยนสือกลับมานำทัพ”
ตามเจี้ยนสือหรือตามผู้ใดกันแน่ เรื่องแค่นี้ เหตุใดหมิงจูจะดูไม่ออกว่าแท้จริงเทียนอี้กระวนกระวายใจเรื่องใด
“แล้วเจ้าจะทิ้งกองทัพไปอีกคนอย่างนั้นหรือ?”

คำถามนี้ทำให้เทียนอี้ที่เกือบจะบังคับม้าให้ควบออกไปหยุดความคิดไว้ทันควัน สายตาปราดมองไปยังหมิงจูที่เดินมาขวางอยู่ตรงหน้า ก่อนที่เทพอสูรตนนั้นจะพูดขึ้นมาอีก

“เจ้ากับเจี้ยนสือล้วนเป็นแม่ทัพใหญ่ เมื่อองค์เง็กเซียนมีพระบัญชาให้นำทัพไปปราบปีศาจบุตรของมังกรวารี ทัพเทพอสูรก็ย่อมต้องมีแม่ทัพใหญ่เป็นผู้นำ เจี้ยนสือจากไปก็ถือว่าหนีทัพ เหลือเพียงเจ้าที่ทุกชีวิตจะฝากฝังไว้ได้ แต่เจ้าก็จะไปอีกโดยไม่คิดถึงผู้อื่นที่อยู่เบื้องหลังเช่นนี้ มันใช้ได้หรือ?”

หมิงจูไม่ได้อยากจะต่อว่านักหรอก แต่ก็จำต้องพูดเพราะรู้ดีว่าเทียนอี้ไม่ได้หมายจะไปตามเจี้ยนสือกลับมาอย่างแท้จริง ที่จริงคือต้องการไปขัดขวางไม่ให้เจี้ยนสือเข้าใกล้ซิ่นเฉิงต่างหาก

“เพื่อมนุษย์คนเดียวแล้ว เจ้ายินดีที่จะทิ้งเหล่าทหารที่คอยรบเคียงข้างเจ้าตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นเทพสวรรค์ใช่ไหม”

แน่นอนว่าเทียนอี้มีคุณธรรมในใจ เขาย่อมไม่ทอดทิ้งผู้ที่ร่วมรบเป็นตายกับเขามาแน่ ต่างจากเจี้ยนสือที่แม้จะเก่งกาจเพียงใด แต่ก็คิดถึงประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก ในยามนี้ก็เช่นกัน ถึงขั้นทิ้งทหารสังกัดจวนตนให้เคว้งคว้าง ส่วนตนหลบหนีไปหามนุษย์ผู้นั้น ช่างเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ไร้คุณธรรมเสียจริง

เทียนอี้ตระหนักในคำพูดของรองแม่ทัพเทพอสูร แม้ว่าอยากจะตามไปขัดขวางเพียงใด แต่เมื่อคิดถึงหน้าที่ที่ตนต้องพึงกระทำแล้ว เขาก็ได้แต่นั่งนิ่ง กระทั่งหมิงจูพูดย้ำขึ้นมาอีก

“กองทัพของเราต้องการเจ้า...เทียนอี้ พวกเราจะได้กลับเป็นเทพสวรรค์อีกหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

เทียนอี้ปรายตามองหน้าสหาย ก่อนจะเหลือบมองไปยังเทพอสูรตนอื่นๆ ที่ทอดสายตาจับจ้องมายังเขานิ่ง ในแววตาของเทพอสูรเหล่านั้น...ล้วนแล้วมีประกายแห่งความหวัง

ดินแดนสวรรค์...

ดินแดนถิ่นกำเนิด...

ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะกลับไป รูปลักษณ์ที่น่ารังเกียจของเทพอสูรนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะสลัดทิ้ง สิ่งที่อยู่ในใจของเทพอสูรเหล่านี้ เทียนอี้รับรู้ดี ก่อนที่เขาจะยอมปล่อยมือออกจากบังเหียน ระบายลมหายใจออกมาอีกครา

“ข้าจะนำทัพเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
สุดท้ายก็เลือกที่จะปล่อยมือจากซิ่นเฉิง

หมิงจูมองสหายอย่างเบาใจที่เลือกทางนี้ แม้ว่าจะเห็นใจอยู่ไม่น้อยที่จำต้องสละความสุขเพื่อความถูกต้อง แต่นั่นคือสิ่งที่เทียนอี้ควรกระทำแล้ว

เทียนอี้ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับซิ่นเฉิงอีก... ถึงจะห้ามเจี้ยนสือไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ห้ามเทียนอี้ไว้ได้ ความลับที่ซิ่นเฉิงคือหลิวซูกลับมาเกิดนั้นต้องเป็นความลับต่อไป ไว้กลับไปเป็นเทพสวรรค์อีกครั้งได้เมื่อใด ค่อยบอกความจริงเรื่องนี้กับเทียนอี้ก็แล้วกัน
หมิงจูได้แต่คิดเช่นนั้นโดยหารู้ไม่เลยว่าในใจของเทียนอี้กำลังวางแผนการไว้

รบชนะ ปราบปีศาจได้ และได้พร... พรข้อนั้น เขาจะใช้มันเพื่อให้ได้อยู่กับซิ่นเฉิงชั่วนิรันดร์...



 
วันคืนผ่านไปจวบสัปดาห์แล้วที่ซิ่นเฉิงและพวกพ้องที่อ๋องเผ่าทะเลทรายส่งให้มาช่วยเหลือรอนแรมอยู่ในทะเลทรายเวิ้งว้างอย่างไม่รู้ทิศทาง แต่เป็นเพราะได้ความช่วยเหลือจากเจี้ยนสือ การเดินทางตามหาเผ่าของตนเองของซิ่นเฉิงจึงเป็นไปโดยง่ายกว่าที่ควรจะเป็น เพียงไม่กี่วันให้หลังจากนั้น ซิ่นเฉิงก็เผ่าของตนอีกครั้ง บิดาของเขาพาทุกชีวิตอพยพลงทางใต้ด้วยหมายจะหลบหนีเพราะเกรงว่าเทพอสูรจะตามมารังแกอย่างเช่นที่ใครต่อใครได้คาดการณ์ไว้ การตัดสินใจอันโง่เขลาทั้งหมดนั่นมิอาจบอกได้ว่าเป็นความผิดของบิดาที่กลัวเกรงจนอพยพไปไม่ถูกทิศเช่นนี้ แต่ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของซิ่นเฉิงเช่นกันที่ใจร้อน กระทำการบุ่มบ่ามโดยหาได้คิดถึงผู้อื่น ในยามนี้ ซิ่นเฉิงตระหนักซึ้งดีแล้วว่าตนควรวางตัวอย่างไร เพราะในเบื้องหน้าสืบไป เขาจะต้องเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของทุกคนในเผ่าแทนบิดา

กระนั้น การที่เขามาพบพานพี่น้องร่วมเผ่าอีกครั้งได้ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของเจี้ยนสือทั้งสิ้นที่ช่วยแกะรอยการเดินทางของเผ่าจากการสั่นสะเทือนของผืนทราย

รอยยิ้มประดับพรายบนใบหน้าคร้ามของมนุษย์หนุ่มยามได้พบเจอบิดาและน้องสาวฝาแฝด เขาโผกอดซิ่นจินอย่างคิดถึง โอบกอดเหล่าพี่น้องนักรบร่วมสาบานอย่างโหยหา เสียงร้องเรียกชื่อของบุรุษผู้นั้นดังไปทุกแห่งหน ไออุ่นแห่งครอบครัวหวนคืนกลับมา ทำเอาผืนทรายอันกว้างใหญ่นี้ไม่เคว้งคว้างอีกต่อไป

เจี้ยนสือได้เห็นรอยยิ้มของซิ่นเฉิงแล้วก็พึงใจนัก สิ่งนี้ล่ะที่เขาปรารถนาจะได้เห็น เพิ่งสำนึกตัวในครานี้ว่าตลอดมา รอยยิ้มของซิ่นเฉิงมีค่ามากกว่าอัญมณีเพียงใด

รอยยิ้มของหลิวซูก็เช่นกัน...

หากย้อนกลับไปได้ เขาจะเลือกทำให้หลิวซูได้แย้มยิ้มเพราะเขามากกว่าร่ำไห้ ทว่ากาลเวลาเปลี่ยนผัน อดีตมิอาจลบเลือนหรือแก้ไขได้อีกแล้ว เจี้ยนสือจึงได้แต่สาบานกับตนเองว่าต่อจากนี้ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ซิ่นเฉิงยิ้มให้เขาตลอดกาล

เสียงดนตรีพื้นเมืองของเผ่าทะเลทรายดังก้องไปรอบด้าน แสงจันทร์สาดส่องลงมายังผืนทราบ แปรเปลี่ยนให้ร่างอสุรกายของเจี้ยนสือเป็นเทพสวรรค์งดงาม เหล่ามนุษย์ที่หวาดกลัวเมื่อได้เห็นเขาในคราแรก บัดนี้กลับชื่นชมยินดีในรูปลักษณ์อันงดงาม เจี้ยนสืออดสูกับชะตากรรมของตนนัก ทว่าก็หาได้เก็บมาใส่ใจให้เป็นเรื่องใหญ่ เขาวางท่าทางนิ่งเฉย มือยื่นรับจอกสุราที่จากหัวบิดาของซิ่นเฉิงรินให้ยกขึ้นดื่มเป็นการตอบรับคำขอบคุณ ก่อนจะทอดสายตามองไปยังร่างสูงที่ร้องเล่นเต้นระบำกับเหล่าเด็กน้อยวัยซุกซนรอบกองไฟเป็นการเฉลิมฉลองที่อ๋องน้อยของเผ่าหวนคืนกลับมา

อ๋องน้อย... เมื่อมีศักดิ์นี้ติดตัวก็ย่อมแน่ว่าซิ่นเฉิงจะไม่กลับ

ซิ่นเฉิงในยามนี้ดูมีความสุขยิ่งนัก... มีความสุขเสียยิ่งกว่าอยู่ในจวนของเทียนอี้อีก ไม่ผิดแผกไปจากที่เขาคิดเลยว่าสถานที่ซึ่งเหมาะสมกับมนุษย์ผู้นั้นหาใช่สวนสวย แต่เป็นผืนทรายอันกว้างใหญ่

มองดูเสียเพลิน มุมปากก็เผลอหยักยิ้มขึ้นอย่างพึงใจ รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ซิ่นเฉิงก้าวอาดๆ มาทรุดตัวลงนั่งข้างกายเขา ยกถุงบรรจุน้ำดื่มขึ้นกรอกปากอั้กๆ ปล่อยให้เจี้ยนสือมองอย่างขบขัน

“แค่เต้นระบำเท่านี้ ถึงกับหมดเรี่ยวแรงเลยรึ?”

ซิ่นเฉิงวางถุงน้ำลง ยกมือขึ้นเช็ดที่มุมปากก่อนจะตอบรับกับคำพูดล้อเลียนนั้น

“หากเจ้าถูกเจ้าเด็กพวกนั้นเกาะแข้งเกาะขาไม่เลิกรา เชื่อว่าเจ้าก็คงมีสภาพไม่ต่างจากข้าเป็นแน่”

เจี้ยนสือหยักยิ้ม ดวงหน้าปรากฏเสน่ห์ที่ยากจะละสายตา แต่ไม่ใช่กับซิ่นเฉิง เพราะเขาทำเพียงชำเลืองมองครู่เดียวก็หันไปให้ความสนใจกับการดื่มน้ำดับกระหายต่อ ปล่อยให้คนมองได้มองต่อไปเงียบๆ

“แล้วเจ้าจะกลับคืนทัพเมื่อไร”
วางถุงบรรจุน้ำลงได้ ซิ่นเฉิงก็ออกปากถาม
“ถามราวกับว่าไม่อยากจะเห็นหน้าข้าแล้วอย่างนั้นล่ะ”
“หากข้าบอกว่าใช่ล่ะ”

ถูกซิ่นเฉิงหยอกเย้ากลับ เจี้ยนสือก็ทำหน้าไม่ถูก แต่เสี้ยวเวลาเดียวเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้ ก่อนจะหัวเราะในลำคอ

“คำตอบล่ะ?”
เจี้ยนสือทำเพียงชำเลืองมองเป็นคำตอบ ทำให้ซิ่นเฉิงเริ่มขมวดคิ้วและพอจะเดาอะไรๆ ขึ้นมาได้
“อย่าบอกนะว่า...เจ้าจะไม่กลับไปยังทัพแล้ว”

เป็นเช่นนั้น แค่สายตาที่เจี้ยนสือมองมา ซิ่นเฉิงก็อ่านออกจนถึงก้นบึ้งหัวใจ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาอย่างระอา

“เหตุผลที่เจ้าตามข้ามา คงไม่ใช่เพราะอยากจะมาช่วยข้าตามหาเผ่ากระมัง”

ในที่สุดก็รู้สักทีว่าเหตุผลที่เจี้ยนสือมาปรากฏกายอยู่ในทะเลทรายเวิ้งว้างนี้เป็นเพราะเขา เจี้ยนสือเองก็ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ในเมื่อ
คนตรงหน้ารู้หมดสิ้นแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายอีก

“เจ้าจะตามข้ามาด้วยเหตุผลใด ก็รู้แล้วมิใช่หรือว่าไม่ว่าอย่างไร ข้าก็มิอาจรักเจ้า?”

ซิ่นเฉิงเหนื่อยหน่ายกับการกระทำของเจี้ยนสือเหลือเกิน เขาว่าเขาบอกชัดเจนไปแล้วว่าหัวใจของเขามิอาจรักผู้ใดได้อีก เท่านี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?

ทว่า...เจี้ยนสือกลับตอบรับหน้าระรื่น

“ใช่ ข้ารู้”
“รู้... แล้วเหตุใดยังจะตามข้ามา”

เป็นสิ่งนี้ที่ซิ่นเฉิงสงสัยนัก ก่อนที่จะสะดุ้งน้อยๆ เมื่อฝ่ามือสากหนาของเจี้ยนสือเลื่อนมากอบกุมมือของเขาไว้ ซิ่นเฉิงหมายใจจะชักออกในทันที หากแต่อีกฝ่ายกลับกุมไว้แน่นพลางกระซิบเสียงพร่า

“เพราะข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้ารัก”

เรียวคิ้วสวยของคนฟังยิ่งย่นยู่มากขึ้นไปอีก
“แล้ว...”

“แต่ข้าต้องการให้ซูซูที่อยู่ในตัวเจ้ารักข้า”

ให้หลิวซูซึ่งอยู่ในรักก็หมายถึงต้องการให้เขารักนั่นล่ะ ซิ่นเฉิงนิ่งงัน ไร้ซึ่งคำพูดที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป เหนื่อยหน่ายใจกับการกระทำของเจี้ยนสือที่ตอแยไม่ลดละเหลือเกิน ที่ช่วยเขาตามหาเผ่าจนเจอก็นับว่าเป็นพระคุณอยู่หรอก แต่หากปล่อยให้เรื่องดำเนินต่อไปเช่นนี้ มีหวังในภายหน้า เจี้ยนสือคงจะนำความยากลำบากมาให้เขา... ไม่สิ พวกเขาสามคนอีกเป็นแน่

หากเป็นเช่นนั้น แล้วเขาจะยินยอมที่จะห่างกายเทียนอี้มาเพื่อการใด!?

ในยามนี้เองที่ชายหนุ่มชักมือออกจากการเกาะกุมสุดแรง เมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการ เขาก็รีบผุดลุกแล้วก้าวเท้ายาวๆ ออกไปจากวงล้อมของการเฉลิมฉลองทันที เจี้ยนสือมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วลุกขึ้นเดินตามไปติดๆ ก่อนที่จะมาชะลอฝีเท้าตรงที่พักสัตว์ ดวงตาคมทอดมองไปยังซิ่นเฉิงที่ร้อนรนปลดเชือกม้าตัวหนึ่งแล้วทำท่าจูงมาให้เขา

“ไป เจ้ามาจากที่ใดก็จงกลับไปที่นั่น”

น้ำเสียงกร้าวเล็ดลอดออกจากริมฝีปากหนา เจี้ยนสือมองใบหน้าคร้ามที่ฉาบพรายไปด้วยความกราดเกรี้ยวแล้วก็ปวดร้าวในอก ทว่าใบหน้ากลับมารอยยิ้มแค่นผุดพรายมาให้เห็น

“เมื่อข้าหมดประโยชน์ก็ผลักไส นี่สินะนิสัยมนุษย์”
“ต่อให้ข้าไม่ใช่มนุษย์ จะเป็นเพียงวิญญาณหรืออมนุษย์ชนิดใด ข้าก็ไม่ปรารถนาให้เจ้าอยู่ใกล้ๆ ข้า”

น้ำเสียงและแววตาของซิ่นเฉิงบ่งบอกชัดเจนว่าเขาพูดจริง เจี้ยนสือไม่อยากจะยอมรับเลยแม้แต่น้อย ความสุขที่อาบพรายชโลมใจเมื่อยามก่อนเหือดหายไปราวกับไอน้ำระเหย เขาพึงตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าในยามที่รักผู้ที่ไม่ได้รักตนนั้นช่างแสนเจ็บปวดเช่นไร ต่อให้ซิ่นเฉิงตัดสินใจถอยห่างจากเทียนอี้ แต่ก็หาได้มีที่ให้เขาแทรกแม้แต่น้อย

เจี้ยนสือก็ไม่ยอมขยับไปไหน ได้แต่แค่นเสียง มองหน้าของซิ่นเฉิงนิ่ง

“ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในใจของเจ้ามีแต่เทียนอี้ใช่ไหม”

ซิ่นเฉิงชะงัก สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง ว่าออกมาช้าๆ

“ใช่ ข้ารักเทียนอี้”

ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปกปิด เจี้ยนสือเองก็รู้ดีแก่ใจแต่ก็ยังออกปากถามให้ตนเองได้เจ็บช้ำ หยาดน้ำใสเอ่อคลอหน่วยตา รอบดวงตาและปลายจมูกแดงของแม่ทัพงูจงอางเรื่อขึ้นมาน้อยๆ ซิ่นเฉิงเห็นแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ ก่อนจะตรงไปหาและยื่นบังเหียนในมือส่งให้

“อย่าให้ข้ากับเจ้ามองหน้ากันไม่ติดเลยเจี้ยนสือ อย่างไรเสีย ข้าก็ยังอยากจะเป็นสหายกับเจ้า”

หมดหนทางที่จะดึงดันอีกแล้ว แต่เจี้ยนสือกลับไม่ยอมรับ ดื้อรั้นดึงดันอย่างสุดความสามารถ ครั้นเห็นซิ่นเฉิงพูดทิ้งท้าย...

“บุญคุณที่เจ้ามีต่อข้า ชาตินี้ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะชดใช้ให้เจ้าแน่ กลับไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด”

...จากนั้นก็หันหลังให้และเดินจากไป เท่านั้นเจี้ยนสือก็ตะโกนสุดเสียง

“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็รักเจ้า ต่อให้เจ้าเสือกไสไล่ส่ง ข้าก็รักเจ้า ได้ยินไหมหลิวซูว่าข้ารักเจ้า!”

ความเจ็บปวดของเขาพรั่งพรูออกมาเป็นถ้อยคำมากมาย สายตาที่จับจ้องยังซิ่นเฉิงนั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่เสน่หา แต่ทว่าก็แฝงไปด้วยความเจ็บปวดสุดจะพรรณนา ขณะที่ซิ่นเฉิงได้ยินแล้วก็ชะงักขาข้างที่ก้าวเดินและนิ่งงันไป

หลิวซูอย่างนั้นหรือ?... เจ้างูคงจะลืมไปแล้วว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นหาใช่คนเดิมอีกต่อไป

ไม่ใช่แม้กระทั่งใบหน้า...

ไม่ใช่แม้กระทั่งรูปร่าง...

ไม่ใช่แม้ชื่อแซ่และชาติกำเนิด...

เพราะชาตินี้นั้น เขาคือซิ่นเฉิงต่างหาก

“ข้าไม่ใช่หลิวซูของเจ้า”

ซิ่นเฉิงว่าเสียงเรียบ ย้ำความจริงอีกครั้ง สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เป็นการตอกย้ำให้เจี้ยนสือตระหนักได้ว่าไม่ว่าอย่างไร ในชาตินี้นั้นเขาก็มิอาจแทนที่เทียนอี้ได้ ในใจของคนตรงหน้าหาได้มีเขาอยู่สักนิด วันวานเป็นอย่างไร ชาติก่อนๆ นั้นจะรักมากแค่ไหน แต่ก็สายไปเสียแล้วที่จะครอบครองหัวใจของอีกฝ่ายดังเดิม

ใช่... บุรุษตรงหน้าหาใช่หลิวซู และหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอกแกร่งของซิ่นเฉิงนั้นก็หาได้มีใจเสน่หาเขาสักนิด

“ข้าไม่ได้รักเจ้า”

เป็นอีกประโยคหนึ่งที่ฉุดกระชากดวงใจของเจี้ยนสือให้แตกสลาย ความเจ็บปวดพร่างพรายจนแทบมิอาจจะหยัดยืนได้อยู่ ทว่าน้ำตาที่ควรจะหลั่งออกมานั้นกลับไม่มีสักหยด มีแต่ความโกรธเกลียดที่บังเกิดขึ้นในใจ

เขาสูญเสียหลิวซูไปแล้ว...ตลอดกาล

ไม่... จะไม่มีทางเป็นอย่างนั้น ไม่มีวันที่ข้าจะยกเจ้าให้ใครเป็นแน่ ไม่มีวัน!

ด้านมืดในจิตใจพร่างพรายเกาะกุมจิตใต้สำนึกอยู่หลายส่วน เจี้ยนสือจะระบายความรู้สึกนั้นออกมาด้วยการแสยะยิ้ม

“เจ้าคงจะยังไม่รู้ว่าหากปราบปีศาจซึ่งเป็นบุตรของเทพมังกรวารีตนนั้นได้ เหล่าเทพอสูรจะได้สิ่งใดเป็นการตอบแทน”

ฉับพลันก็พูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา แม้จะสงสัย แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้ถาม ได้แต่หันกลับมามองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ปล่อยให้เจี้ยนสือได้พูดต่อ

“พร... องค์เง็กเซียนจะทรงประทานพรให้พวกข้าหนึ่งประการ”

แล้วอย่างไรล่ะ... ซิ่นเฉิงอยากจะถามนัก แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปาก เจี้ยนสือก็ก้าวเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“เจ้าลองช่วยข้าคิดดูหน่อยสิว่าระหว่างใช้พรนั้นบังคับจิตใจเจ้าให้มารักข้า กับใช้พรนั้นสังหารเทียนอี้ให้สิ้น ปล่อยให้เป็นวิญญาณล่องลอยไปทั่ว ข้าจะใช้มันกับเรื่องไหนดี”

ซิ่นเฉิงถึงกับใบหน้าดำคล้ำไปหลายส่วนในทันที จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้เพียงฝ่ามือเขม็ง ก่อนที่จะแค่นเสียงโกรธขึ้งออกมา

“เจ้ามันชั่วช้า ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมากพิษสง เจ้าเล่ห์เพทุบาย กล้ากระทำการสกปรกต่ำช้าได้ถึงเพียงนี้”

เจี้ยนสือยกยิ้มรับคำบริภาษ ดวงตาประกายวาวความเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม

“เหตุนี้อย่างไรเล่า ข้าถึงได้มีรูปลักษณ์เป็นงู” จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งเชยปลายคางของอีกฝ่ายขึ้นอย่างถือวิสาสะให้ซิ่นเฉิงสบตาตนมากกว่าเดิม ก่อนที่ริมฝีปากจะเผยอ เปล่งเสียงราบเรียบออกมา “แต่ไม่ว่าข้าจะร้ายกาจเพียงใด ข้าก็ยังรักเจ้า”

เยื่อใยเสน่หาที่เจี้ยนสือมอบให้กับหลิวซูนั้นคงจะตัดไม่ขาดโดยง่ายกระมัง...

แต่สำหรับซิ่นเฉิง มันหมดสิ้นตั้งแต่หลุดปากบอกว่าจะสังหารเทียนอี้แล้ว แม้แต่ในยามนี้ ความเป็นสหายก็ยังไม่เหลือไว้

“หากเจ้าอยากจะให้ข้าทดแทนคุณให้ ก็จงเอาชีวิตข้าไปเลย ข้ากับเจ้าจะได้จบสิ้นกันเสียที!”

ซิ่นเฉิงหมดความอดทน ตะคอกออกมาสุดเสียง ก่อนจะปัดมือของเจี้ยนมือออก ทำให้อีกฝ่ายมองหน้าเขาแล้วหลับตาลงช้าๆ
เพื่อที่จะได้หมดทุกเยื่อใยเสน่หา เจ้าถึงกับยอมเอาชีวิตเข้าแลกเชียวหรือ?

“เจ้าไปเถิด กลับไปยังที่ของเจ้า อย่าได้มาข้องเกี่ยวกับข้าอีกเลย”

มนุษย์หนุ่มว่าเสียงแผ่ว เขาเหนื่อยแล้ว ทั้งเจี้ยนสือ ทั้งเทียนอี้ ไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับผู้ใดแล้ว เจี้ยนสือเองก็คิดที่จะปล่อยวางในยามนี้เช่นกัน พยักหน้ารับ ยอมล่าถอยไปแต่โดยดี ฉับพลันก็กระโดดขึ้นหลังม้า ทอดสายตามองไปยังซิ่นเฉิงที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยความเจ็บปวดอีกเป็นครั้งสุดท้าย

“แม้ข้าอาจจะรักเจ้าในวันที่สูญเสียเจ้าไปแล้ว แต่จงจำไว้ วันใดที่เจ้าปรารถนาจะอยู่เคียงข้างข้าขึ้นมา ขอเพียงบอกแค่คำเดียว เมื่อนั้นข้าจะไม่ละเลยเจ้าอีก”

คนฟังได้แต่ครางรับเสียงแผ่วในลำคอ ปล่อยให้เจี้ยนสือได้ควบม้าออกห่างไป

จบเสียที...

ความสัมพันธ์ที่สวรรค์ลิขิตให้ต้องทนทุกข์ทรมานร่วมกันมันจบลงเสียที...

ทว่า...คงไม่ได้เป็นดั่งใจนึกนัก เพราะพอเจี้ยนสือควบม้าออกไปได้ไม่เท่าไร พลันผืนทรายก็สั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ บางส่วนยุบยวบลงไปเป็นรูโบ๋ขนาดใหญ่ ซิ่นเฉิงมิอาจยืนหยัดอยู่บนพื้นได้โซซัดโซเซหาที่พยุงตนเองเป็นพัลวัน ขณะที่หูก็ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของบรรดาพี่น้องในเผ่าลอยตามมาให้ได้ยิน

มนุษย์เหล่านั้น...หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออาเพศใด จะมีก็แต่เจี้ยนสือเท่านั้นที่รับรู้ได้

นั่นมัน...!

เขาประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้วว่าสิ่งที่อยู่ใต้ผืนทรายนั้นคืออะไร ก่อนจะรีบควบม้ากลับมาดึงซิ่นเฉิงให้ขึ้นขี่ไปด้วยกัน

“มันเรื่องอันใดกัน!?”

ซิ่นเฉิงร้องถามเสียงดัง ใจไม่คิดหรอกว่าเจี้ยนสือจะรู้ ขณะที่เจี้ยนสือขมวดคิ้วย่นยู่ เนื่องจากจำการเคลื่อนไหวของ ‘บางสิ่ง’ ภายใต้ผืนทรายได้ดีว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวของ...

“บุตรของเทพมังกรวารี...”

น้ำเสียงแหบห้าวหลุดออกจากริมฝีปากหนา ซิ่นเฉิงขมวดคิ้วมุ่นไปครู่ ก่อนที่จะเบิกตาโพลงในเวลาต่อมาเมื่อเจี้ยนสือขยายความ

“ปีศาจมังกรที่พวกตามล่าอยู่ มันอยู่ที่นี่แล้ว”
------------------------------------
มาอัปไวหน่อย ให้เรื่องมันจำนวนตอนเท่ากับเว็บอื่นๆ ค่ะ ใกล้จบแล้ว ฝากด้วยเน้อ

ลบข้อความการประกาศขายนิยายออกนะคะ
เรื่องยังอยู่ห้องนิยาย นิยายยังลงไม่จบ ห้ามประกาศขายในกระทู้ทั้งสิ้น

BaoBao
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2018 16:09:22 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เจ้าหมามาช่วยน้องไวๆหน่อยยยยย รีบมาาาาา  :hao5:

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[1]

ตั้งแต่เกิดมา ซิ่นเฉิงหาได้เคยหวาดกลัวสิ่งใดเท่ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้านี้มาก่อน ดวงตาที่ทอดมองไปยังเหล่าพี่น้องชายหญิง ลูกเด็กเล็กแดง และคนเฒ่าคนแก่อันเป็นสมาชิกเผ่าของตนพากันวิ่งหนีตายจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เขาสับสนจนไม่รู้ว่าควรจะกระทำสิ่งใดก่อนดี ได้สติกลับคืนก็เมื่อเจี้ยนสือร้องบอกเสียงเครียด

“บอกให้คนของเจ้ามุ่งหน้าหนีไปยังทางเหนือ ทางนั้นมีกองทัพเทพอสูรอยู่!”

ในยามนี้คงต้องพึ่งเหล่าเทพอสูรให้ช่วยเหลือ สิ้นเสียง เจี้ยนสือก็ทิ้งตัวลงจากหลังม้า ยื่นบังเหียนให้ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

“ไป! ข้าจะไปสกัดมันไว้ พวกเจ้ารีบไป!”

ไม่พูดเปล่า ยังชักกระบี่จากข้างเอวออกมากระชับในมือมั่น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตนจะต้านทานไว้ก่อนหากเกิดเรื่องเลวร้ายกว่านี้ขึ้น

ซิ่นเฉิงพยักหน้ารับ ไม่รั้งรออีกต่อไป ควบม้าห้อตะบึงไปยังลานทรายเบื้องหน้า ปากร้องตะโกนก้อง
“ขึ้นม้า! มุ่งหน้าขึ้นเหนือ! ไปหากองทัพเทพอสูร! ขึ้นไปทางเหนือเร็วเข้า!”

เหล่านักรบเผ่ารับรู้ได้ทันทีว่าจะต้องทำหน้าที่ปกป้องดูปกป้อง ต่างร้อนรนพากันหาพาหนะเป็นการใหญ่ ขณะเดียวกัน พวกคนที่มิอาจหาพาหนะใดได้ก็วิ่งรี่ขึ้นไปยังทางเหนือ ตามแสงสกาวของดวงดาราที่ทอประกายอยู่เหนือฟากฟ้า

“ซิ่นจิน! เจ้ากับท่านพ่อรีบไป!”
เมื่อตามหาบิดาและน้องสาวฝาแฝดที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่เจอ ซิ่นเฉิงก็รีบสละอาชาไนยที่ตนควบอยู่ให้กับน้องสาว หญิงสาวซึ่งโอบประคองบิดาอยู่มองแฝดผู้พี่อย่างเป็นกังวล

“แล้วท่านพี่ล่ะ”
“ข้าจะตามไป รีบพาท่านพ่อไปก่อน”

ซิ่นเฉิงว่า มือดึงเอาดาบวงพระจันทร์ที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมากระชับไว้ทั้งสองมือ แต่...คำว่า ‘จะตามไป’ ของซิ่นเฉิงนั้นหาได้น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ ในฐานะหัวหน้านักรบของเผ่า มีหรือที่เขาจะยินยอมตามไปโดยง่ายถ้าหากพี่น้องของเขายังไม่ปลอดภัย

ซิ่นจินหวั่นใจยิ่งนัก เพิ่งได้พบพานก็มีแววจะต้องพลัดพรากอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?
“แต่ท่าน...”
“ข้าบอกให้ไป!”

รู้ว่าน้องสาวจะรั้งตนไว้ ซิ่นเฉิงจึงแผดเสียงสั่ง ซิ่นจินปิดปากสนิท ขณะที่บิดาซึ่งมองดูอยู่รีบร้องบอก

“รีบไปกันเถิดซิ่นจิน ประเดี๋ยวพี่เจ้าจะตามไป”

ในเมื่อบิดาเป็นคนพูดก็มิอาจจะขัดได้อีกต่อไป ซิ่นเฉิงรีบถลาเข้ามาช่วยผู้เป็นน้องประคองบิดาขึ้นหลังม้า ก่อนจะดันตัวนางให้ขึ้นซ้อน

“ซิ่นเฉิง...”

ขึ้นมาได้ก็เป็นบิดาที่เอ่ยเรียกเขา ทันทีที่หันไปมองก็พบว่าบิดามีสีหน้ากลัดกลุ้มอยู่ไม่น้อย เดาไม่ยากว่าภายในจิตใจของเขาเป็นกังวลยิ่งว่าจะไม่ได้เห็นหน้าบุตรชายอีก ซิ่นเฉิงก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าหากตนอยู่รั้งที่นี่เพื่อถ่วงเวลาให้ผู้อื่นหนี ตนจะมีโอกาสได้พบหน้าครอบครัวอีกหรือไม่ แต่กระนั้นก็ว่าด้วยน้ำเสียงขึงขัง

“ท่านพ่อ... ซิ่นจิน... ดูแลตนเองด้วย”

จากนั้นก็ตีเข้าที่บั้นท้ายของม้าเต็มแรงเพื่อให้มันออกวิ่ง ทอดสายตามองชายและหญิงที่รักยิ่งห่างออกไปอีกทางได้ครู่ ซิ่นเฉิงก็หันหน้ามาประจันกับปีศาจที่โผล่มาทำลายความสงบสุขโดยไม่ทันตั้งตัว ขณะที่เหล่านักรบคนอื่นๆ เองก็สละม้าให้เหล่าเด็กและผู้เฒ่าใช้เพื่อหลบหนี

ในเวลานี้... ผืนทรายยังคงสั่นสะเทือนไปทั่ว บางส่วนยุบฮวบเป็นหลุมโพรงใหญ่ สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับบรรดามนุษย์ที่ไม่เคยเจอะเจอกับปีศาจได้เป็นอย่างยิ่ง บ้างก็มีสีหน้าซีดเผือด บ้างก็มีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด พากันหาที่หยัดยืนให้อยู่กันเป็นพัลวัน ขณะที่สายตาก็สอดส่องไปทั่ว ด้วยไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ปีศาจตนนั้นจะโผล่มา

จะมีก็แต่เจี้ยนสือเท่านั้นที่ไม่ตระหนกตกใจใดๆ ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย จ้องมองการเคลื่อนไหวของผืนทรายที่จู่ๆ ก็ค่อยๆ หยุดการเคลื่อนไหวไป ทว่า...ยังมิอาจวางใจได้ เจี้ยนสือนิ่งงันเพื่อสัมผัสถึงการสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า ก่อนที่จะร้องบอกเสียงดังเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

“ถอยไป!”

เป็นการร้องบอกแก่มนุษย์ซึ่งเป็นนักรบเผ่าทะเลทรายซึ่งอยู่เยื้องไปทางขวามือไม่ไกลนัก หากแต่ไม่ทันการณ์ เพราะทันทีที่เขาร้องบอกเช่นนั้น แรงดันมหาศาลก็พุ่งทะลักผืนทรายขึ้นสู่ท้องฟ้าจนกระจายไปทั่ว พร้อมกับร่างของเหล่ามนุษย์ที่พวยพุ่งสู่ฟากฟ้า ตามมาด้วยเงาของสัตว์ขนาดใหญ่ที่โผทะยานขึ้นมา ก่อนที่เสียงกรงเล็บตวัดผ่านอากาศดังฉับจะดังแทรกขึ้นเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจระคนเจ็บปวดของผู้ถูกทะลวงร่าง

“อ๊าก!”

หยดโลหิตสาดกระเซ็นเป็นสาย ซึมลงสู่ผืนทรายท่ามกลางความประหวั่นพรั่งพรึงของเหล่ามนุษย์ ปีศาจตนนั้น...เป็นมังกรเกล็ดสีดำสนิท ดวงตาสีแดงดั่งเพลิงพิโรธ ครั้นมันได้กระซวกร่างของมนุษย์เหล่านั้นแล้ว มันก็กระชากเอาก้อนเนื้อสีแดงสดจากอกข้างซ้ายของมนุษย์เหล่านั้นโยนเข้าปาก ส่งเสียงครางฮืมในลำคออย่างพึงใจ ปล่อยร่างไร้วิญญาณให้ร่วงสู่พื้นอย่างไม่ไยดี

ซิ่นเฉิงตัวแข็งค้างเป็นหิน ความกล้าหาญที่เคยมีมากมายก่อนหน้ามลายหายไปสิ้น เหงื่อกาฬผุดไหลไปทั่วร่าง มองปราดเดียวก็รู้เลยว่ามิอาจเอาชนะปีศาจตนนี้ได้ ขณะที่ร่างของเจ้าปีศาจมังกรตนนั้นค่อยๆ ระเหยกลายเป็นไอและหดย่อลงมาอยู่ในร่างมนุษย์
ผิวกายสีดำทะมึน ดวงตาสีแดง ศีรษะมีเขายาวแหลมคม... ไม่ผิดแน่ บุรุษตรงหน้าเป็นร่างจำแลงของปีศาจมังกรตนนั้น!

ปีศาจมังกรเอียงคอสองสามครั้งราวกับยืดเส้นยืดสาย ก่อนที่แสยะยิ้มพรายจนเห็นฟันสีขาวที่ยังเต็มไปด้วยคราบเลือด
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ท่านแม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือ”

เสียงแรกที่เอ่ยออกมาคือการทักทายอดีตเทพสวรรค์อย่างเจี้ยนสือที่อยู่ไม่ไกล ใบหน้าคร้ามของคนถูกทักนั้นแลตึงเครียดขึ้นหลายส่วน พลันครางเรียกอีกฝ่ายออกมาบ้าง
“ม่านฉี...”

คนถูกเรียกเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย “ผ่านไปหลายร้อยปี ท่านก็ยังจำได้ดีว่าข้าเป็นใคร”

เหตุใดจะจำไม่ได้กันล่ะ ก็ในเมื่อบุรุษผู้นี้คือตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาถูกลงโทษจนตกสวรรค์ กลายเป็นเทพอสูรนี่!

แต่จะโทษว่าเป็นความผิดของม่านฉีผู้เดียวก็หาได้ถูกต้อง เป็นเขาเองต่างหากที่ชักชวนเทียนอี้ให้ปล่อยม่านฉีไป ด้วยเห็นว่าเป็นบุตรชายของเทพมังกรวารีอันเป็นสหาย โดยหาได้คิดว่าการที่ม่านฉีสังหารมนุษย์นั้นเป็นเพราะต้องการกินหัวใจเพื่อเสริมสร้างตบะให้แก่ตน

แท้ที่จริงแล้ว ม่านฉีต้องการเป็นใหญ่ในสามโลกภูมิหรอกหรือ!?

ไม่ต้องให้ผู้ใดมาอธิบาย เจี้ยนสือก็รับรู้ได้จากสิ่งที่เห็น เทพสวรรค์นั้น หากมีใจสกปรก ถูกความมืดเข้าครอบงำจนกลายเป็นปีศาจ ย่อมต้องการพลังงานจากมนุษย์เพื่อเสริมสร้างให้ตบะของตนแก่กล้า พลังอำนาจใดเล่าที่จะเพิ่มพูนขึ้นมาได้ในเพียงเวลาไม่กี่ร้อยปีเท่ากับการกินหัวใจของมนุษย์ ให้มาบำเพ็ญตบะเฉกเช่นเทพเซียนน่ะหรือ? ม่านฉีไม่ทำเช่นนั้นหรอก หากคิดจะทำตั้งแต่แรกก็คงจะไม่ลงมือสังหารมนุษย์เช่นนี้

เจี้ยนสือตระหนักได้ในครานี้ว่าเมื่อครั้งนั้น เขาไม่น่าเห็นแก่ความเป็นสหาย หว่านล้อมเทียนอี้ให้ช่วยเหลือบุตรมังกรวารีตนนี้เลย ดูตอนนี้สิ... เหลือคราบเทพอันใดอยู่อีกเล่า มีแต่ความเป็นปีศาจเท่านั้นที่พร่างพรายไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“เป็นอะไร แค่เห็นหน้าข้าก็ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือ?”
เป็นม่านฉีที่ทำลายความเงียบขึ้นมา เจี้ยนสือกดเสียงต่ำ
“เพราะละแวกนี้มีบ่อน้ำสินะ เจ้าถึงโผล่มาได้”
“เป็นเช่นนั้น ถึงตอนนี้จะเป็นปีศาจ แต่ข้าก็เป็นมังกรวารี มังกรน้ำก็ต้องพึ่งพาน้ำ”

เจี้ยนสืออดตำหนิตนเองไม่ได้เลยที่ไม่ฉุกคิดถึงเรื่องนี้ ในใจเอาแต่คิดที่จะตอแยซิ่นเฉิงจนลืมไปหมดสิ้นว่าเส้นทางที่พวกเขามุ่งหน้ามานั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด พวกมังกรวารีเหล่านี้ หากอยู่ใกล้แหล่งพลังงานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือปีศาจก็จะมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว

“เจ้าต้องการสิ่งใด”

อันที่จริง ใจของเจี้ยนสืออยากจะร้องบอกให้ซิ่นเฉิงรีบหนีไปมากกว่า ทว่าก็เกรงว่าจะทำให้ม่านฉีปรี่เข้าไปทำร้ายได้
ทำร้ายมนุษย์คนอื่น เขาจะไม่ใส่ใจ แต่ซิ่นเฉิง... อย่างไรก็ยอมให้ทำอะไรไม่ได้เป็นอันขาด!

“ข้าต้องการสิ่งใดงั้นหรือ?” ม่านฉีทวนคำถาม แค่นหัวเราะออกมา “ท่านก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าข้าต้องการสิ่งใด”

หัวใจของมนุษย์...

เจี้ยนสือรู้แล้ว แต่กลับเงียบงัน ปล่อยให้ม่านฉีได้พูดต่อ

“คราแรก ข้าก็หมายจะรอให้พวกมนุษย์โง่เขลาเหล่านี้ไปดื่มน้ำที่ข้าปล่อยพิษไว้ให้เป็นอัมพาตเสียก่อน มนุษย์ที่ดิ้นรนขัดขืนตอนถูกข้าควักหัวใจนั้น รสชาติไม่โอชาเท่าใดนัก สู้ให้พวกมันนอนนิ่งๆ แล้วค่อยควักหัวใจไม่ได้ แต่เห็นทีคงจะรอไม่ไหว ได้ยินว่ากองทัพของเหล่าเทพอสูรมุ่งหน้ามาหาข้าแล้ว แต่ก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เจอท่านที่นี่”

พูดมาอย่างนี้... ถ้าอย่างนั้นบ่อน้ำที่เทียนอี้เคยดูแลอยู่ วันดีคืนดีก็เกิดมีพิษก็คงเป็นเพราะม่านฉีนี่เอง

เจี้ยนสือหน้าดำทะมึนไปเสียเก้าส่วน เปล่งเสียงแข็ง

“หากเจ้าไม่หยุดคิดร้าย ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า”
“ไม่ละเว้น? หึ ต่อให้ข้าไม่คิด พวกท่านก็ไม่ละเว้นข้าอยู่ดี ได้ยินว่าองค์เง็กเซียนฮ่องเต้จะประทานพรให้พวกท่านคนละข้อหากสังหารข้าได้มิใช่หรือ? แล้วมีเหตุผลใดกันที่ท่านจะต้องละเว้นข้าด้วยหากหนทางกลับคืนสู่สวรรค์คือการปลิดชีพข้า”

เจี้ยนสือไม่เถียง ที่ม่านฉีรู้เช่นนี้ก็ไม่แปลก คำสั่งสวรรค์เป็นดั่งคำประกาศิต องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ตรัสออกมาเพียงประโยคเดียวก็ล่วงรู้กันทั้งสวรรค์และปรโลก ม่านฉีจึงหมายจะคิดชิงลงมือก่อนเป็นแน่

“แต่ก่อนที่ข้าจะลงมือกับท่าน ก็คงจะต้องลงมือกับเหยื่อเสียก่อน”
เจี้ยนสือเสียวสันหลังวาบไปทั้งร่าง หันไปมองยังซิ่นเฉิงอย่างรวดเร็ว ปากพลันร้องอ้าออกไปด้วยรู้ว่าม่านฉีหมายจะกระทำสิ่งใด
“ซิ่นเฉิง! หนีไป!”

ตัวปรี่เข้าไปหายังม่านฉีแล้ว ซิ่นเฉิงก็ได้สติ ร้องบอกพี่น้องของตนอย่างร้อนรนเช่นกัน

“วิ่ง! วิ่งไป! อย่าหยุดเป็นอันขาด!”

บุรุษฉกรรจ์ทุกชีวิตในที่นั้นต่างพากันจ้ำอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต ขณะที่เจี้ยนสือพุ่งเข้าสกัดปีศาจมังกรวารีไว้ ทว่า...สกัดไปแล้วจะได้ผลอะไร ในเมื่อบัดนี้เจี้ยนสือไร้ซึ่งอิทธิฤทธิ์ จะมีก็แต่เพียงวิทยายุทธ์ที่ติดตัวมาด้วยเท่านั้น เพียงตวัดดาบเข้าหา ม่านฉีก็สะบัดมือตัดในอากาศ ก่อเกิดเป็นพายุทรายขนาดย่อมพัดร่างของเจี้ยนสือกระเด็นไปอีกทาง ทว่าเจี้ยนสือไม่ยอมแพ้เพียงเท่านั้น รีบม้วนตัวผุดลุกขึ้นมา สวนแทงดาบไปยังร่างของอีกฝ่าย คมดาบตวัดผ่านผิวเนื้อ หยดโลหิตสีดำไม่ต่างหมึกปริซึม ม่านฉีหมุนกายหลบ ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นมา

“เจ้ามันแส่ไม่เข้าเรื่อง!”

ไร้ซึ่งคำพูดแสดงถึงความนับถือเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไป แต่เทพอสูรงูจงอางหาได้สนใจสิ่งนั้นแล้ว สบโอกาสก็พุ่งเข้าหา ตวัดดาบฟาดฟันไม่บันยะบันยัง ไม่ใคร่สนใจว่าร่างของอดีตเทพในยามนี้จะถูกทำลายสิ้นหรือไม่ ในใจของเขาคิดแต่เพียงถ่วงเวลาให้ซิ่นเฉิงได้ไปหาเทียนอี้เท่านั้น

ฝ่ายม่านฉีเห็นเหยื่อของตนกำลังจะหลบหนีไปก็หมายจะจัดการเจี้ยนสือให้สิ้น ทว่า...แม้จะมีซึ่งเพียงวิทยายุทธ์ติดตัว มิอาจเหาะเหินเดินอากาศได้ดั่งเก่า แต่แม่ทัพสวรรค์ก็คือแม่ทัพสวรรค์ จะหลบหลีกหรือใช้อิทธิฤทธิ์ใดปัดป้องให้เจี้ยนสือถอยห่าง อีกฝ่ายก็พุ่งทะยานเข้ามาอย่างเต็มกำลัง

เส้นผมสีดำปลิวไสวทุกครั้งที่เคลื่อนไหว เสียงคมดาบหวดในอากาศดังขึ้นทุกครั้งที่ก้าวย่าง ม่านฉีสบถออกมาอย่างหัวเสียที่มิอาจเข้าถึงมนุษย์พวกนั้นได้ จังหวะหนึ่งที่ถูกคมดาบเฉือนเข้าที่แขนอีกข้าง ม่านฉีก็สะบัดแขนเต็มแรงจนเจี้ยนสือถลาถอยไปอีกทาง

“บัดซบ!” มองโลหิตของตนแล้ว ดวงตาสีแดงก็ทวีมากขึ้นกว่าเดิม พลันแค่นเสียงต่ำ “เป็นเจ้าที่แส่เข้ามา แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่บุญคุณที่เจ้ามีต่อข้าแล้วกัน!”

อุตส่าห์คิดแล้วว่าจะปล่อยเจี้ยนสือไปก่อนเพื่อตอบแทนบุญคุณที่เคยเป็นตัวตั้งตัวตีในการเปิดช่องให้เขาหลบหนี แต่ในเวลานี้กลับลืมสิ้นแล้ว สิ้นเสียงก็กางแขนทั้งสองข้างออก ค่อยๆ ยกขึ้นในอากาศทีละน้อย พลันผืนทรายก็สั่นสะเทือนไปทั่วทุกอณู ก่อนที่อมนุษย์เรือนกายสีดำสนิทจะผุดพรายขึ้นมา เจี้ยนมือมองแล้วก็เบิกตาโต

อมนุษย์เหล่านี้... ไม่ใช่ว่าเป็นสมุนของม่านฉีหรอกนะ!?

ไม่ต้องรอให้ม่านฉีให้คำตอบ เจี้ยนสือก็รู้แล้ว เขาสังหรณ์ใจไม่ดีทันควัน มองหน้าปีศาจมังกรวารีที่แสยะยิ้มพรายอย่างมีชัย

“ลองดูว่าเจ้าจะปกป้องมนุษย์พวกนั้นได้หรือไม่!”

พลันก็แปรเปลี่ยนร่างเป็นมังกรตัวใหญ่ยักษ์ มุดดำดิ่งลงไปในผืนทรายให้เจี้ยนสือได้พรั่นพรึง

ไม่ว่าอย่างไร...

ไม่ว่าอย่างไรก็จะสกัดไว้ให้ได้ ไม่มีวันให้ตามซิ่นเฉิงไปได้แน่!

เสียงบางอย่างที่ลอยมาตามสายลมในยามค่ำคืนนั้นทำให้เทียนอี้ซึ่งควบม้านำทัพฝ่าทะเลทรายชะงักบังเหียน หยุดนิ่งเพื่อฟังเสียงนั้น ขณะที่หมิงจูที่ควบม้าไล่หลังมาขยับเข้ามาขนาบข้าง ร้องถามอย่างสงสัย

“มีสิ่งใดหรือ?”

เทียนอี้ไม่ตอบสิ่งใด ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้เงียบเสียงก่อน เท่านั้นรอบข้างก็ไร้ซึ่งสรรพเสียง ไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหว ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงขึ้นมา

“เจ้าได้ยินไหม”
“ได้ยิน? ได้ยินสิ่งใด”

เทียนอี้อยากตอกกลับนักว่า ‘ร่างเทพอสูรของเจ้าเป็นสุนัขจิ้งจอกแท้ๆ ไยหูถึงได้ไม่ดีเช่นนี้’ ทว่าก็หาใช่เวลาที่จะพร่ำพูดเรื่องนั้น ด้วยหวั่นใจเกินกว่าจะตำหนิหมิงจู เพราะเสียงที่เขาได้ยินผ่านทางสายลมละม้ายคล้ายกับเสียงผู้คนกรีดร้องร่ำไห้ก็ไม่ปาน

“มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”

เพราะไม่รู้แน่ว่าเป็นเสียงใด เทียนอี้จึงได้พูดไปเช่นนี้ และค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียวว่าทิศทางที่เขายกทัพมุ่งหน้าไปนั้นจะต้องเกิดสิ่งใดขึ้นแน่ หากแต่หมิงจูกลับถอนหายใจออกมา ว่าอย่างเหนื่อยหน่าย

“เป็นเพราะเจ้าวิตกมากเกินไปกระมัง หูถึงได้เพี้ยนไปหมดเช่นนั้น”

สิ่งที่หมิงจูพูดหาใช่การพูดโดยไร้ต้นสายปลายเหตุอย่างแน่นอน เพราะหลังจากที่ซิ่นเชิงจากไป เทพอสูรสุนัขป่าก็หาได้นอนหลับสนิทสักคืนไม่ แม้จะไม่พูดว่าคิดสิ่งใดแต่ไยเล่าสหายสนิทอย่างหมิงจูจะมองไม่รู้ว่าในใจของเทียนอี้นั้นคะนึงหามนุษย์หนุ่มผู้จากไปคนนั้นเพียงใด มิหนำซ้ำยังกลัดกลุ้มเป็นอย่างยิ่ง แต่หาใช่เพราะพรากจากซิ่นเฉิงตลอดกาล หรือเพราะว่าเจี้ยนสือแอบลอบตามไป แต่เป็นเพราะว่าเป็นเกรงว่าการมุ่งหน้าลงใต้ของซิ่นเฉิงนั้นจะทำให้เขาพบเจอเข้ากับปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวารีเขาให้อย่างไม่ทันตั้งตัวมากกว่า ลำพังเพียงเจี้ยนสือ จะปกป้องซิ่นเฉิงได้อย่างไร

และเพราะเหตุนี้ เทียนอี้ตัดสินใจยกทัพเหล่าเทพอสูรมุ่งหน้าลงใต้ทันทีในเพียงเวลาไม่กี่ชั่วยามหลังจากที่มนุษย์หนุ่มผู้นั้นจากไป ส่วนในยามนี้ที่จู่ๆ ก็บอกว่าได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง นั่นก็คงเป็นเพราะอุปทานเป็นแน่

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ถ้าหาได้ยินเสียงใดเลยแม้แต่น้อย“

ได้ยินหมิงจูว่าฉันนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของแม่ทัพใหญ่ก็ขมวดมุ่นอย่างตึงเครียด เขามั่นใจว่ามีเสียงบางอย่างถูกสายลมพัดพามาเข้าโสตประสาทอย่างแน่นอน พลันลางสังหรณ์บางอย่างก็ผุดพรายขึ้นมาในใจ พร้อมพร้อมกับใบหน้าของมนุษย์หนุ่มที่ฉายว่าเข้ามาในภวังค์

หรือว่าเสียงนั้นจะเป็นเสียงของ…

เขาไม่กล้าคิดต่อเลยแม้แต่น้อย เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ขึ้นมา มีหวังเขาคงได้ทอดทิ้งกองทัพเพื่อไปปกป้องซิ่นเฉิงโดยไม่รีรอ

เทียนอี้ก็อยากจะให้สิ่งที่เขาได้ยินเป็นเพียงการอุปทานของตนอย่างที่หมิงจูว่า

“ไปต่อกันเถิด เวลาไม่รั้งรอ มัวแต่ชักช้า ประเดี๋ยวเจ้าปีศาจตนนั้นก็หนีหายไปอีก ถ้าอยากจะกลับคืนสู่แดนสวรรค์เสียแทบแย่แล้ว”

หมิงจูค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียวว่าการไปปราบปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวารีในครั้งนี้จะต้องสัมฤทธิ์ผลเป็นแน่

เห็นความตั้งมั่นของรองแม่ทัพแล้ว เทพอสูรสุนัขป่าก็หาได้มีสิ่งใดจะทัดทานอีก หากแต่เมื่อมือทั้งสองกลุ่มเข้าที่บังเหียนอีกครั้ง หูก็พันได้ยินเสียงกรีดร้องนั้นมาอีกครา คราวนี้เขามั่นใจทีเดียวว่าไม่ได้อุปทานไปเองอย่างที่หลินจูได้กล่าวไว้ในตอนแรกเป็นแน่ เพราะหาใช่เขาผู้เดียวเท่านั้นที่ได้ยินเสียง หมิงจูและเทพอสูรตนอื่นๆ ก็ได้ยินเช่นกัน

รองแม่ทัพเทพอสูรเห็นใบหน้ามามองยังแม่ทัพใหญ่ทันควัน

“เสียงนั่น… หรือว่าจะเป็นเสียงที่เจ้าบอกว่าได้ยินเมื่อครู่?”

เทียนอี้ไม่มีคำตอบใดๆ ให้ นอกจากจะออกคำสั่งเท่านั้น
“รีบมุ่งหน้าลงใต้ประเดี๋ยวนี้”

แล้วก็เป็นเขาที่ควบม้าพุ่งทะยานนำไปเป็นผู้แรก ในใจเต้นระส่ำ รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่งยวด ขณะเดียวกันก็ภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ขอให้ไม่ใช่เสียงของคนจากเผ่าของซิ่นเฉิง… ขอให้ไม่ใช่เช่นนั้น…

หากแต่สวรรค์กับไม่เห็นใจเลยแม้แต่น้อย คำภาวนาของเขามิอาจสัมฤทธิ์ผลเมื่อสายตาทอดมองเห็นยังกลุ่มคนเบื้องหน้าที่พากันวิ่งหนีตายอลหม่าน เห็นเพียงแวบแรก เทียนอี้ก็ตระหนักได้ทันทีว่าเครื่องแต่งกายของผู้คนเหล่านั้นคือเครื่องแต่งกายของเผ่าทะเลทรายที่บิดาของซิ่นเฉิงปกครองอยู่ และยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อชายสูงวัยควบม้าเข้ามาใกล้ ด้านหลังของเขามีสตรีวัยไล่เลี่ยกับซิ่นเฉิง ดวงหน้าผุดผาดงดงามของหญิงสาวผู้นั้น มองปราดเดียวก็จำได้ทันควันว่าเป็นน้องสาวฝาแฝดของบุรุษที่เขารัก

“ท่านแม่ทัพเทียนอี้!”

แม้จะอยู่ในร่างของเทพสวรรค์ แต่บิดาของซิ่นเฉิงก็จำแววตาของเทียนอี้ได้ดีถึงได้ร้องเรียกไปเช่นนั้น พลันว่าละล่ำละลักจนแทบไม่เป็นคำ

“ชะ...ช่วยด้วย...ช่วยลูกชายของข้าด้วย!”

ใบหน้าคร้ามเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยตื่นตระหนก อีกทั้งยังซีดเผือด บ่งบอกให้รู้ชัดเจนว่าเกิดเหตุร้ายกับซิ่นเฉิงเข้าให้แล้ว เทียนอี้เองก็ตกใจไม่ต่างกัน สิ่งที่เขากลัวมากที่สุด...หรือว่าจะบังเกิดขึ้นแล้ว?

“เกิดสิ่งใดขึ้น!?”

น้ำเสียงทุ้มถามอย่างร้อนรน ขณะที่ผู้ถูกถามยังท่านจึงไม่เลิก
“ละ...ลูกข้า...ชะ...ช่วยลูกข้าด้วย…”

กลายเป็นว่าพูดไม่รู้เรื่องเสียแล้ว ทำให้เทียนอี้ต้องแผดเสียงใส่

“ข้าถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้น!?”

แทนที่จะตอบ ก็กลายเป็นว่าร่ำไห้ออกมาเรากับเสียสติ ความเข้มแข็งในฐานะผู้นำเผ่าอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน เป็นสิ้นจินที่ต้องปลอบประโลมบิดาและตอบคำถามแม่ทัพใหญ่ของกองทัพเทพอสูรแทน

“ปะ...ปีศาจ… ปีศาจเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ!”

นับว่าเป็นการตอบที่ไม่ตรงคำถามคำถามอย่างที่สุด แต่กระนั้นเทียนอี้ก็เข้าใจได้โดยฉับพลันว่าเกิดสิ่งใดขึ้น  พลันสันหลังก็เย็นวาบสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนจะรีบออกคำสั่งเร่งด่วน

“ให้ทัพหลังดูแลมนุษย์เหล่านี้และรั้งอยู่ที่นี่กับทัพเสบียง ส่วนที่เหลือจงรีบเร่งตามข้ามา!”

สิ้นเสียงก็ควบอาชามุ่งหน้าออกไปอย่างไม่คิดชีวิต หมิงจูที่ยังพรึงเพริดกับสิ่งที่ได้รับรู้เมื่อคู่มองตามหลังของสหายแล้วก็ได้แต่ประหวั่นพรั่นพรึงในใจ

หรือนี่จะถึงเวลาที่ลิขิตสวรรค์ไหลเวียนมาบรรจบอีกครั้งแล้ว?



ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 29: ลิขิตสวรรค์[2]


จะเป็นเพราะลิขิตสวรรค์หรือชะตากรรมอันน่าอดสู เทียนอี้ก็หาได้สนใจไม่ ในใจของเขามีเพียงแต่คะนึงว่าซิ่นเฉิงจะต้องปลอดภัยเท่านั้น เพียงเวลาไม่ถึงเค่อ เบื้องหน้าของเขาก็ปรากฎให้เห็นภาพของเราอมนุษย์ที่พากันไล่กวดมนุษย์กลุ่มหนึ่งอยู่ มนุษย์เรานั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเหล่านักรบของเผ่าทะเลทราย พลันเขาก็ตวัดง้าวในมือเข้าฟาดฟันอย่างไม่ปรานี พื้นทะเลทรายเกิดเป็นสงครามขนาดย่อมในบัดดล  เหล่าเทพอสูรพุ่งเข้าสังหารปีศาจเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง มนุษย์ที่กระเสือกกระสนหนีไปบางคนรอดชีวิตหวุดหวิด หากแต่บางคนก็มิอาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้

ทว่า...เทียนอี้หาได้สนใจมนุษย์เหล่านั้น เพราะสายตาของเขาเอาแต่มองอย่าเอาแต่มองหาซิ่นเฉิงเพียงผู้เดียวเท่านั้น
เจ้าอยู่ไหนเฉิงเฉิง… อยู่ไหนกัน!?

ขณะที่มือกำลังสังหารปีศาจเหล่านั้นให้ซึ่งไปทีละตน ในใจก็เอาแต่พร่ำไม่หยุดหย่อนด้วยเกรงว่ายอดดวงใจของตนจะได้รับอันตราย

ขอเพียงเจ้ามีชีวิตอยู่…

ขอเพียงเจ้ามีชีวิตอยู่เท่านั้น!

ขณะเดียวกันฝ่ายซิ่นเฉิงที่พยายามพาพี่น้องนักรบเผ่าร่วมสาบานหนีตายก็หายใจหอบหนัก ขาทั้งสองข้างแทบจะไร้เรี่ยวแรงในการวิ่งหนี ดาบวงพระจันทร์ที่อยู่ในมือคอยปัดวัดเฉวียนสังหารปีศาจบางตนที่พรุ่งเข้าหาเป็นระลอก แต่ถึงอย่างนั้นความพยายามของเขาก็เสียเปล่า เพราะพี่น้องของเขาหลายคนได้ถูกคร่าชีวิตไปเสียสิ้นแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าเกือบมีเพียงเขาผู้เดียวที่รอดชีวิต นั่นเป็นเพราะเจี้ยนสือได้คอยช่วยคุ้มกันอย่างใกล้ชิด แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำของเขานั้นเป็นการบ่งบอกให้ปีศาจมังกรวารีรู้ชัดแจ้งว่ามนุษย์ผู้นั้นมีความสำคัญต่อเทพสวรรค์งูจงอางเพียงใด อุปนิสัยชอบหยอกล้อกับเหยื่ออันโอชะและท้าทายอำนาจของสวรรค์ทำให้ม่านฉีมุ่งหมายจะลิ้มรสหัวใจของมนุษย์ผู้นั้นให้จงได้ ด้วยอยากรู้นักว่าหัวใจของผู้ที่ถูกเทพอสูรรับจะมีรสชาติหวานลิ้นเพียงใด

ครั้นสบโอกาสก็ส่งสัญญาณให้สมุนปีศาจถาโถมเข้าใส่เจี้ยนสือไม่ลดละเพื่อกันออกห่างจากซิ่นเฉิง เทพอสูรงูจงอางที่จู่ๆ ก็ถูกจู่โจมชะงักงัน มิอาจคอยไล่ตามหลังมนุษย์หนุ่มเพื่อปกป้องได้ชั่วขณะด้วยต้องขจัดอมนุษย์ที่เข้าขัดขวางเสียก่อน โดยหารู้ไม่ว่าเพียงเสียงลมหายใจเดียวก็ทำให้ม่านฉีเข้าถึงตัวซิ่นเฉิงได้ทันควัน ต่อให้ซิ่นเฉิงพยายามปกป้องตนเองเพียงใดก็มิอาจจะต่อกรกับปีศาจที่แม้แต่สวรรค์ก็ยังเกรงกลัวได้

ฝ่ามือหยาบกร้านเต็มไปด้วยกรงเล็บนอกยาวขวาเข้าที่ลำคอของมนุษย์หนุ่มเข้าอย่างจัง มือทั้งสองข้างของมนุษย์หนุ่มปล่อยดาบวงพระจันทร์ร่วงลงสู่ผืนทราย ขณะที่ตัวเขาถูกยกขึ้นสูงในอากาศ ก่อนที่ไปเล็บแหลมคมจะเจาะทะลุเข้าไปในผิวหนังจนโลหิตไหลซึมออกมา

ความเจ็บปวดและหายใจไม่ออกทำให้ซิ่นเฉิงชะงักงันในเสี้ยวนาทีนั้น เมื่อได้สติก็ดิ้นรนขัดขืนเพื่อหลบหนี หากแต่ก็ต้องชะงักไปอีกครั้งเมื่อมือข้างหนึ่งของม่านฉีทะลุล้วงเข้าไปยังหน้าอกข้างซ้ายเต็มแรง

อั้ก!

ซิ่นเฉิงร้องไม่ออก แต่รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าความเจ็บปวดที่ได้รับมานั้นมากมายเสียจนเกินจะพรรณนาออกมาเป็นถ้อยคำได้ ใบหน้าคร้ามคมเหยเกบูดเบี้ยวเมื่อมือของม่านฉีบิดไปมาในกายตน ดวงตาทั้งสองข้างพลันพร่าเลือน หากแต่ก็เห็นภาพใบหน้าคร้ามของบุตรเทพมังกรวารีฉายวาบอยู่ตรงหน้า

ม่านฉีแสยะยิ้มพึงใจที่ได้กลิ่นโลหิตสดๆ จากกายมนุษย์ ขณะที่สายตาของซิ่นเฉิงในยามนี้ชำเลืองมองลงต่ำไปยังหน้าอกของตนเอง มองมือและท่อนแขนที่เต็มไปด้วยเกล็ดมังกรสีครามกำลังฉีกกระชากผิวเนื้อหน้าอกข้างซ้ายของเขาด้วยร่างกายอันสั่นระริก

ความเจ็บปวดพร่างพรายเป็นเท่าทวี และเจ็บปวดเสียจนแทบจะขาดใจตายไปให้ได้เมื่ออีกฝ่ายล้วงลึกเข้ามากอบกุมเอาก้อนเนื้อที่เต้นตึกตักอยู่ในช่องอกไว้ในมือมั่น ก่อนจะออกแรงบีบเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

หัวใจ...

ปีศาจตนนี้กำลังจะควักหัวใจของเขา...

แม้จะอยากขัดขืนต่อสู้เพียงใด ซิ่นเฉิงก็มิอาจทำได้แล้วในขณะนี้ ได้แต่ข่มความเจ็บปวดยกมืออันสั่นเทาทั้งสองยกขึ้นจับที่ข้อมือของปีศาจมังกรเอาไว้ ขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะร่วนกับการได้หยอกเย้ากับอาหารอันโอชะเบื้องหน้า

“ข้าไม่ชอบหัวใจของมนุษย์ผู้ชายนัก หากไม่จำเป็นก็จะไม่คิดเอาใส่ปาก แต่สำหรับเจ้า ข้าจะละเว้นให้คนหนึ่งละกัน ดูท่าเลือดเนื้อของเจ้าคงจะหวานล้ำใช่น้อย มิเช่นนั้นแม่ทัพใหญ่แห่งแดนสวรรค์คงไม่หวงแห่งเจ้าถึงเพียงนี้”

ย่อมแน่ว่าแม่ทัพใหญ่ที่พูดถึงนั้นหมายถึงเจี้ยนสือ แต่ซิ่นเฉิงก็แทบไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีกแล้ว หยาดน้ำตาไหลพรากออกจากหางตา ความเจ็บปวดนี้มิอาจจะพรรณนาได้ ร่างสูงอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอีกต่อไป เหลือเพียงลมหายใจรวยรินส่งออกมาเป็นเสียงกระเส่าเบาๆ ให้ได้ยินเท่านั้น

ในช่วงที่ความเป็นความตายคลืบคลานเข้ามาในชีวิตนั้นเอง เทียนอี้ซึ่งไล่สังหารปีศาจสมุนของปีศาจมังกรวารีอยู่ไม่ไกลเห็นปราชญ์สายตามามองเห็นภาพนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ พลันก็เบิกตาโต ปากร้องเรียกคนรักสุดเสียง

“ซิ่นเฉิง!”

เขาจัดการสมุนปีศาจเหล่านั้นด้วยการตวัดง้าวอีกครั้งเดียวราวกับอิทธิฤทธิ์เมื่อครั้งยังเป็นเทพสวรรค์ก็พรุ่งพลาดเข้ามาในกาย ก่อนจะรีบควบม้าเข้ามาหาอีกฝ่าย กระโดดลงสู่พื้น ตวัดไล่ฆ่าปีศาจเหล่านั้นเพื่อเข้าถึงตัวคนรักในเวลาอันสั้นที่สุด

ซิ่นเฉิงได้ยินเสียงคุ้นหูก็ค่อยๆ ผินหน้าหันมองตามต้นเสียงด้วยความยากลำบาก ความหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจ ความกลัวตายบังเกิดไปทั่วจิตใต้สำนึกจนเขาต้องเรียกร้องขอความช่วยเหลือ

ทะ...เทียนอี้ ช่วย...ช่วยข้าด้วย...

มีเพียงริมฝีปากซีดเซียวเท่านั้นที่ขยับสั่นแผ่วเบา หากทว่าไร้ซึ่งเสียงที่จะเอื้อนเอ่ย ดวงตาทั้งสองข้างก็พร่ามัวลงทุกที ภาพสุดท้ายที่ได้เห็นอาจจะเป็นภาพเทียนอี้ที่วิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตระหนกเช่นนั้น

ลิขิตสวรรค์ที่กำหนดมาให้หลิวซูต้องตายจากเทพอสูรทั้งสองทุกชาติไป... คงถึงเวลาที่เวียนกลับมาบรรจบในชาตินี้แล้ว
จู่ๆ ก็หนักได้เช่นนั้น

จุดจบของหลิวซูคงเป็นเช่นนี้ล่ะสินะ ต่อให้ข้าถือกำเนิดใหม่เป็นซิ่นเฉิง แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจสลัดความเป็นหลิวซูออกจากกายได้เลยแม้แต่น้อย

ทั้งที่ตลอดมา เขาพยายามเป็นอย่างมากในการยุติลิขิตสวรรค์อันโหดร้ายนี้ แต่สุดท้ายแล้วสวรรค์ก็ไม่เห็นใจ

ในเมื่อสวรรค์โหดร้ายเช่นนั้น พอใจที่จะได้เห็นความทุกข์ทรมานของสามอดีตเทพ เขาก็จะยอมศิโรราบแล้ว...

แต่เทียนอี้ไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น พริบตาเดียวก็เข้าถึงตัวปีศาจมังกร สะบัดง้าวในมือตัดฉับเอาท่อนแขนที่ฉีกกระชากหน้าอกของซิ่นเฉิงอยู่ขาดสะบั้น โลหิตสีดำเข้มไหลทะลักท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดของปีศาจตนนั้นจนล้มไถลไปกับผืนทราย หากในจังหวะนั้น เทียนอี้ถลาเข้าสังหารก็ย่อมทำได้ แต่ทว่าภาพของซิ่นเฉิงที่ทรุดฮวบลงไปกับผืนทราบทำให้เขาเลือกที่จะพุ่งเข้าหาซิ่นเฉิง ก่อนที่จะพยุงมนุษย์หนุ่มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน

“ฉะ...เฉิงเฉิง...”

น้ำเสียงของเทียนอี้สั่นเครือมากพอๆ กับใจเขาที่หวั่นว่าจะเสียคนตรงหน้าไป ซิ่นเฉิงปรือตามองเทียนอี้ในร่างเทพสวรรค์ได้ครู่เดียวก็กระอักโลหิตออกมากองใหญ่ เป็นสัญญาณให้เทียนอี้รับรู้ว่าร่างกายของเขามิอาจทนกับบาดแผลฉกรรจ์บนร่างได้อีกต่อไปแล้ว

“ไม่ เจ้าต้องรอด เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายแน่ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะไม่ให้เจ้าตาย”

เทียนอี้ละล่ำละลักราวกับเสียสติ มือเอื้อมไปกดปากแผลไว้ไม่ให้เลือดทะลักออกมามากกว่านี้ พลันก็นึกโกรธตนเองที่มิอาจช่วยเหลืออะไรซิ่นเฉิงได้

หากเขาเป็นเทพ... หากเขายังมีอิทธิฤทธิ์... เขาจะไม่มีวันปล่อยให้ซิ่นเฉิงนอนจมกองเลือดอย่างทุกข์ทรมานเช่นนี้เป็นอันขาด!
คิดอย่างนั้นโดยลืมไปเสียสนิทเลยว่าม่านฉียังอยู่ทางเบื้องหลัง เมื่อถูกตัดแขนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ความโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งเป็นเพลิงแห่งโทสะมอดไหม้กายและจิตใจเสียเป็นจุณ ม่านฉีผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแผดเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกวาด

“เทียนอี้! ไม่ว่าจะกี่ร้อยปี เจ้าก็คิดร้ายต่อข้า แต่วันนี้เจ้าจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว! จงหายไปกับเจ้ามนุษย์ผู้นั้นเสียเถิด!”

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
เข้ามาอ่านเพราะเห็นปกหนังสือสวยมาก นึกว่าลงจบแล้ว ที่ไหนได้... :ruready

ออฟไลน์ Sistel2

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบบบบบ ชอบมากเรื่องที่มีขนปุกปุยเนี่ย ติดตามพี่งูเหมือนกัน ชอบ ๆ  o13

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด