►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!  (อ่าน 94590 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


-----------------------------------------------------------------------------------------

ครั้นเหล่าแม่ทัพเซียนแห่งสวรรค์ถูกขับไล่ด้วยกระทำผิด
เมืองมนุษย์จึงเป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายที่พวกเขามาสิงสถิต
หากแต่การพำนักในเมืองมนุษย์นั้นทำให้ร่างกายงดงามแปรเปลี่ยนเป็นอมนุษย์
มนุษย์ย่อมรังเกียจเดียดฉันท์เทพอสูร
กระนั้นก็ไม่อาจหนีพ้นด้วยเหล่าเทพอสูรนั้นครอบครองแคว้น
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแคว้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในทะเลทรายแห้งแล้งแห่งนี้
...บุรุษมอบแรงกายให้ได้ใช้งาน สตรีมอบร่างกายเพื่อสร้างทายาท

เมื่อได้รู้ว่าน้องสาวฝาแฝดถูกบิดาขายให้ไปเป็นฮูหยินของเทพอสูรตนหนึ่งแลกกับแหล่งน้ำอันน้อยนิด
‘ซิ่นเฉิง’ นักรบแห่งชนเผ่าเร่ร่อนก็โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก อาจหาญถึงขั้นบุกจวนแม่ทัพแห่งแคว้นเฟิงฝู

ยามได้ยินคนรับใช้แจ้งว่ามีหัวขโมยจากทะเลทรายบุกรุกหมายชิงเจ้าสาวยามวิกาล
‘เทียนอี้’ จึงไปดูหน้าหัวขโมยด้วยตนเอง
เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย วิญญาณของซิ่นเฉิงก็แทบหลุดจากร่าง
เทียนอี้เป็นสุนัขป่า!?
ตะลึงงันขึ้นไปอีกเมื่อเทียนอี้เสนอเงื่อนไขที่ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“หากเจ้าไม่อยากตาย ก็จงเลือกเอาว่าจะให้น้องของเจ้าเป็นฮูหยินของข้า หรือเจ้าจะมาเป็นฮูหยินเสียเอง”

-----------------------------------------------------------------------------------------

สารบัญ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2018 21:57:03 โดย Nov9th »

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
อารัมภบท

เมื่อครั้งทัพสวรรค์ได้รับบัญชาจากองค์เง็กเซียนให้ไปปราบกบฏเมืองบาดาลอันเป็นที่สิงสถิตของเทพมังกรวารีในโทษฐานที่จักรพรรดิเมืองบาดาลริอ่านแข็งข้อต่อคำสั่ง กล้าให้ที่พักพิงแก่เทพเซียนที่ผันตัวเป็นปีศาจสังหารมนุษย์ อีกทั้งยังต้องโทษจองจำนับหมื่นปี เหล่าแม่ทัพสวรรค์ก็ได้กรีฑาทัพไปตามรับสั่ง หากแต่เมื่อถึงที่หมาย บัญชาสวรรค์จากองค์เง็กเซียนกลับมลายสิ้นด้วยสายใยผูกพันดั่งมิตรสหายของจักรพรรดิมังกรวารีและบรรดาแม่ทัพสวรรค์ช่างแน่นแฟ้น อีกทั้งปีศาจที่ใช้เมืองบาดาลแห่งนี้เป็นที่หลบซ่อนตัวก็หาใช่ผู้อื่นไกล หากแต่เป็นโอรสของเทพมังกรวารี เท่ากับว่ามีศักดิ์เป็นหลานของเหล่าแม่ทัพ

แม้ไม่ควรให้สายสัมพันธ์นี้มาขัดต่อหน้าที่ กระนั้นความเป็นพี่น้องและสหายร่วมสาบานก็มิอาจตัดขาด เหล่าแม่ทัพสวรรค์แสร้งทำลายเมืองบาดาลทิ้งเสียย่อยยับ เปิดช่องทางให้สหายเทพมังกรของตนพาโอรสหลบหนีไปยังที่เร้นลับ ให้พ้นจากสายพระเนตรขององค์เง็กเซียน

ทว่า... พวกเขาคงลืมไปกระมังว่าองค์เง็กเซียนคือประมุขสวรรค์ เป็นจักรพรรดิของเหล่าเทพทั้งปวง การตบตานี้หรือจะทำให้หลงเชื่อได้โดยง่าย ครั้นเหล่าแม่ทัพสวรรค์กลับมาพร้อมกราบทูลการปฏิบัติหน้าที่ ครานั้นเองที่ทุกตนต่างต้องโทษกันถ้วนหน้า

‘กบฏสวรรค์’ เป็นคำกล่าวหาที่เสมือนกับตราประทับที่ผนึกแน่นอยู่กลางหน้าผาก เหล่าแม่ทัพสวรรค์ละอายแก่ใจยิ่งนัก แต่นั่นก็หาได้เป็นโทษที่สาสมกับการขัดพระบัญชาไม่ องค์เง็กเซียนทรงเนรเทศพวกเขาและเหล่าทหารในกองทัพออกจากเขตสวรรค์ ตัดขาดทุกความเมตตาทั้งปวงที่เคยมีมาตั้งแต่โบราณกาลเสียสิ้น

เมื่อสวรรค์ซึ่งเป็นประหนึ่งบ้านมิอาจหวนกลับได้ และเมืองบาดาลก็ถูกทำลายหมดทั้งสิ้นแล้ว สถานที่แห่งเดียวที่เหล่าแม่ทัพสวรรค์จะพำนักพักพิงจึงหนีไม่พ้นโลกมนุษย์ หากแต่เมื่อพากันลงมายังที่หมาย ทันทีที่ฝ่าเท้าสัมผัสแผ่นดิน ร่างกายของพวกเขาก็ถูกกองเพลิงห่อหุ้มไว้ อีกทั้งยังเผาผลาญรูปลักาณ์อันงดงามจนมอดไหม้ไม่เหลือชิ้นดี ทว่า...เทพสวรรค์ไม่มีวันดับสูญ เหล่าแม่ทัพจึงจุติใหม่อีกคราในร่างที่พวกเขาหาได้เคยคาดคิดมาก่อน

ร่างกายอันอัปลักษณ์... กึ่งมนุษย์ กึ่งสัตว์...

อมนุษย์...

มันเป็นการลงโทษจากสวรรค์!

เรือนกายแปรเปลี่ยนเป็นสรรพสัตว์ตามอุปนิสัยโดดเด่นของแต่ละคน กระนั้นก็หาได้สำคัญเท่ากับการที่พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตมีเลือดเนื้อและรู้จักความตาย

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เทพอสูร’

เหล่านั้นคือคำขานเรียกเทพตกสวรรค์ แต่ถึงอย่างนั้น บทลงโทษก็หาได้ยุติเพียงเท่านี้ นอกจากจะมีเรือนกายอัปลักษณ์แล้ว พวกเขายังถูกตราหน้าให้เป็นมลทินด่างพร้อมอีก ด้วยในสายตาของเหล่ามนุษย์หาได้มองว่าพวกเขาเป็นอดีตเทพเซียนแต่อย่างใด หากแต่คือเหล่าอสุรกายที่คอยเบียดเบียน ช่วงชิง และครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างไปจากมนุษย์ คุณงามความดีใดที่พวกเขาเคยสร้างไว้ให้มนุษย์เหล่านั้นเมื่อครั้งยังอยู่บนสวรรค์ถูกลบเลือนไปหมดสิ้น...

และจะถูกมองชั่วนิรันดร์อย่างรังเกียจเดียดฉันท์...เช่นนั้น...ตราบนิรันดร์

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 1: โจรทะเลทราย

เสียงฝีเท้าหนักๆ ของอาชาหนุ่มวิ่งย่ำไปบนผืนทะเลทรายสีทองดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ หากเป็นเพียงอาชาตัวเดียว เสียงนั้นคงจะไม่ชัดเจนเพียงนี้ แต่ด้วยเป็นเสียงฝีเท้าจากเหล่าอาชาคู่ใจของนักรบแห่งชนเผ่าทะเลทราย มันจึงดังกึกก้องไปทั่วอาณาเขตอันเวิ้งว้าง

กระนั้นก็หาได้ทำให้ชายหนุ่มผู้ควบม้าสีดำปลอดนำหน้าขบวนสนใจได้ ในหัวเขามีเพียงความตั้งใจเดียวเท่านั้นที่ผุดพรายเข้ามาในชั่วยามนี้

จะต้องกลับไปเค้นถามความจริงจากท่านพ่อ!

ใช้เวลาไม่นานนัก เหล่านักรบแห่งทะเลทรายก็มาถึงยังจุดหมาย เบื้องหน้าเป็นภาพของกลุ่มคนที่ถูกเรียกขานว่าเป็นชนเผ่าเร่ร่อนกำลังสาละวนกับการขนถ่ายถุงบรรจุน้ำที่ทำจากหนังสัตว์จากหลังเกวียนเทียมม้าและอูฐอยู่ แต่ทุกชีวิตก็ต้องหยุดเคลื่อนไหวลงทันทีที่ร่างสูงของชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลอ่อนทิ้งตัวลงจากหลังม้าคู่ใจ ก่อนจะแผดเสียงดังลั่นพร้อมกับสีหน้าเกรี้ยวกราด

“ท่านพ่อของข้าอยู่ที่ไหน!?”

ไร้ซึ่งสรรพเสียงตอบรับ ยิ่งทำให้สีหน้าและแววตาของชายหนุ่มฉกรรจ์ฉายความไม่พอใจออกมาอีก

“ข้าถามว่าอยู่ที่ไหน!? ซิ่นจินอยู่ที่ไหน!?”

ประโยคแรกถามถึงบิดา ประโยคต่อมาเป็นชื่อหญิงสาวที่เขารู้จักดี

จะไม่ให้รู้จักดีได้อย่างไรกัน ในเมื่อชื่อนั้นเป็นของน้องสาวฝาแฝดที่อาศัยครรภ์มารดาร่วมกัน นางหายตัวไปตอนที่เขาออกไปปล้นกองคาราวานเช่นนี้ หาใช่เรื่องที่เขาจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนได้ไม่

เมื่อโทสะพวยพุ่งมากกว่าเดิม คำตอบที่ซิ่นเฉิงต้องการก็ได้รับในบัดนั้นเมื่อคนที่เขาถามหาได้ปรากฎกายออกจากกระโจมผ้าซึ่งเย็บมุงด้วยหนังสัตว์

“เหตุใดต้องเสียงดัง จะตามตัวข้า เจ้าก็เพียงเดินเข้ามาที่นี่”
ชายวัยกลางคน ท่าทางอ่อนแอผู้นั้นคือบิดาของเขา และผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำชนเผ่าเร่ร่อนเผ่านี้

ครั้นซิ่นเฉิงเหลือบเห็น ก็พลันก้าวอาดๆ เข้าไปหา เสียงเครื่องประดับเงินที่สวมห้อยตามลำตัวแกร่งดังกระทบกันเป็นจังหวะการเคลื่อนไหว ก่อนจะหยุดลงเมื่อมีเสียงแหบห้าวของเขาดังกลบ

“ข้าได้ยินว่าท่านพ่อยกซิ่นจินให้เป็นฮูหยินของเทพอสูร มันหมายความเช่นไร”

ไม่รอช้า ซิ่นเฉิงถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ ตอนที่เขาเดินทางไปกับนักรบของชนเผ่าเพื่อออกปล้นตามวิสัย ยังไม่ทันจะได้พบเป้าหมาย ก็มีม้าเร็วมาแจ้งข่าวว่าน้องสาวฝาแฝดถูกส่งตัวไปยังแคว้นเฟิงฝู ซึ่งเป็นแคว้นที่ถูกครอบครองโดยเหล่าเทพอสูรที่ได้ชื่อว่าเป็นอสุรกาย แม้เขาจะไม่เคยพบพานเทพอสูรเหล่านั้นมาก่อน แต่ก็รู้ดีว่าคนเหล่านั้นหาใช่มนุษย์เฉกเช่นพวกเขาแต่อย่างใด หากแต่เป็นอมนุษย์ที่มีร่างกายบางส่วนเป็นสัตว์ และอีกบางส่วนเป็นมนุษย์ ครั้นได้ยินว่าซิ่นจินถูกยกให้ไปตบแต่งเป็นฮูหยินของชายที่นางไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์ ซิ่นเฉิงก็โกรธเสียจนคลั่ง แต่เมื่อได้ยินว่าชายที่จะมาเป็นสามีของนางเป็นอสุรกาย เขาก็ห้อตะบึงกลับมายังจุดพำนักของชนเผ่าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาเค้นความจริงจากบิดาอย่างที่เป็นอยู่นี้

“เจ้าได้ยินมาเช่นไร มันก็หมายความเช่นนั้น” ผู้เป็นบิดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ หากทว่าสร้างความเดือดดาลให้กับบุตรชายมากกว่าเดิม
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าท่านพ่อเอานางไปแลกกับน้ำเหล่านี้!” ตะเบ็งเสียงพลางชี้นิ้วไปยังถุงบรรจุน้ำมากมายเบื้องหลัง
อีกฝ่ายไม่ตอบใดๆ แต่ความเงียบนั่นแหละที่เป็นคำตอบชัดเจน

“ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร นางเป็นลูกของท่านนะ” ซิ่นเฉิงผิดหวังในตัวบิดาไม่น้อย สีหน้าโกรธเกรี้ยวเสียจนบูดเบี้ยวไม่น่ามอง
คนอาวุโสกว่าสบดวงตาเต็มไปด้วยโทสะของบุตรชายเพียงครู่ ก่อนว่าออกมา
“ซิ่นเฉิง เจ้าเห็นหรือไม่ว่าคนในเผ่าเราต้องอดอยากล้มตายกันมากมายเพียงใด เจ้าจะทนเห็นพวกเขา ทั้งคนเฒ่า สตรี อีกทั้งลูกเด็กเล็กแดงต้องขาดใจตายด้วยกระหายน้ำเช่นนั้นหรือ?”
“ก็เลยเป็นเหตุผลที่ท่านพ่อนำบุตรสาวตนเองไปแลกกับน้ำอย่างนั้นสิ”

ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ ตอบกลับมาจากชายวัยกลางคนตรงหน้าอีกครา ทำเอาซิ่นเฉิงบันดาลโทสะกว่าเดิม หากคนตรงหน้าหาใช่บิดาของเขา เขาคงจะไม่รอช้าที่จะชักดาบวงพระจันทร์เสี้ยวที่สะพายอยู่ข้างเอวออกมาสังหารเสียให้สิ้นแล้ว

เพราะทำไม่ได้จึงได้แต่จ้องใบหน้าหยาบกร้านของบิดาเขม็ง กดเสียงต่ำออกมา
“ท่านจะต้องเสียใจที่ทำเช่นนี้”

สิ้นเสียงก็สะบัดกาย เดินหนีไปอีกทางท่ามกลางสายตาของสมาชิกเผ่าที่มองเขาด้วยความหวาดหวั่นว่าหลังจากนี้ ซิ่นเฉิงจะกระทำการไม่คาดฝันขึ้นมา นั่นก็คือ...การไปช่วงชิงตัวซิ่นจินกลับมา

ไม่เว้นแม้แต่บิดาเองที่คิดเห็นเช่นนั้น ทันทีที่เห็นร่างสูงก้างจากไป ก็รีบร้องเรียกทันควัน
“เจ้าจะไปไหนกันซิ่นเฉิง”
คนถูกเรียกชะงักเล็กน้อย หันมามองด้วยแววตายากจะอ่าน ก่อนคำพูดของเขาจะทำให้ทุกคนที่ได้ยินแทบหยุดหายใจ
“ข้าจะไปพาซิ่นจินกลับ”

ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้แม้แต่น้อย ผู้เป็นบิดาไม่เห็นด้วย รีบเดินเข้ามาหาพลางร้องห้าม
“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้นะซิ่นเฉิง นางกำลังจะเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพเทียนอี้ คงเข้าพิธีสมรสอีกไม่กี่ราตรีข้างหน้า เจ้าจะช่วงชิงมาไม่ได้”

ซิ่นเฉิงส่งเสียงหึในลำคอ มุมปากยิ้มเย้ย “ช่วงชิงมาไม่ได้ เป็นเพราะท่านพ่อกลัวเช่นนั้นหรือ?”

ไม่ต้องตอบรับ เพียงแววตาที่มองมายังบุตรชายก็เป็นคำตอบแล้วว่าเขากลัวอมนุษย์ตนนั้นเพียงใด หากไม่เป็นเพราะเขาและสมาชิกในเผ่าหาได้รู้ว่าบ่อน้ำกลางทะเลทรายบ่อเล็กๆ ที่บังเอิญเจอขณะรอนแรมไปหาที่พำนักใหม่นั่นเป็นของเทียนอี้ หนึ่งในแม่ทัพเทพอสูรซึ่งครองแค้วนเฟิงฝูที่ได้ชื่อว่าเป็นแคว้นอันอุดมสมบูรณ์ท่ามกลางทะเลทรายแห้งแล้งแห่งนี้ เขาก็คงจะไม่ถูกทหารของเทียนอี้จับโทษฐานบุกรุก โทษของการขโมยย่อมร้ายแรงถึงชีวิต และเพื่อไม่ให้สมาชิกในเผ่าคนอื่นๆ ต้องสูญเสียเพราะความโง่เขลาของตน การสละสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับชีวิตของคนอีกหลายคนย่อมเป็นสิ่งที่ควรกระทำ
หาใช่ว่าเขาไม่เสียใจที่จะต้องส่งซิ่นจิน ธิดาคนเดียวไปเป็นฮูหยินของอมนุษย์ตนนั้น กระนั้นก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ หากแต่ซิ่นเฉิงหาได้คิดเช่นนั้นไม่ เมื่อเห็นบิดาไม่ให้คำตอบ เขาก็นึกคับแค้นใจ

“ไหนท่านเคยบอกกับข้าว่าซิ่นจินเป็นสิ่งล้ำค่าของท่าน นางมีใบหน้าละม้ายคล้ายท่านแม่ ไม่ว่าตัวต้องตายก็จะไม่ยอมเสียให้ผู้ใดไปอย่างไรล่ะ?”

ไม่สนใจแม้จะถามด้วยซ้ำว่าเทียนอี้ผู้นั้นคือใครกันแน่ หรือบิดาและสมาชิกในเผ่าคนอื่นๆ ถูกทหารอมนุษย์ของเทียนอี้พบเจอได้เช่นไร ในหัวของเขามีเพียงภาพดวงหน้าของซิ่นจิน...น้องสาวฝาแฝดของเขาที่ต้องรับเคราะห์แทนความโง่เขลาของบิดา

ถึงนางจะมีใบหน้าคล้ายคลึงกับผู้เป็นพี่ หากแต่กลับคล้ายมารดามากกว่าเสียอีก นางงดงาม แม้จะเป็นสตรีในชนเผ่าเร่ร่อน แต่ความงามของนางก็ไม่เป็นรองผู้ใด จึงไม่แปลกหากซิ่นเฉิงจะหวงนางมาก ก็นางเป็นทั้งน้อง และเป็นของล้ำค่าของเขาเช่นกันนี่ ตั้งแต่มารดาสิ้นไป ก็มีซิ่นจินนี่แหละที่เยียวยาจิตใจของเขาให้แข็งแกร่งเฉกเช่นทุกวันนี้ ขณะที่ผู้เป็นบิดาละเลยเขาราวกับไร้ตัวตน มาเป็นว่ามีประโยชน์เอาก็ตอนที่เขาเติบใหญ่และก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้านักรบของเผ่า ตอนนั้นเองที่บิดาเริ่มเรียกหาเขา แต่นั่นก็เป็นไปเพื่อการใช้งานเท่านั้น

“ซิ่นเฉิง...” ครั้นถูกบุตรชายพูดแทงใจดำ น้ำเสียงแห้งผากก็ครางเรียกชื่ออีกฝ่าย
ซิ่นเฉิงยิ้มเย้ย “ท่านตระบัดสัตย์” จากนั้นก็หันหลัง ก้าวเดินหนีไปยังกลุ่มนักรบทะเลทรายที่รู้ดีว่าหลังจากนี้ พวกเขาจะต้องทำอะไร ทว่าก็ต้องชะงักอีกคราเมื่อเสียงของบิดาลอยมาตามลม

“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เจ้าจะทำให้คนในเผ่าเราเดือดร้อน!”

ซิ่นเฉิงเหลือบไปมอง ขณะที่บิดายังคงพูดต่อ

“เจ้าจะขึ้นดำรงตำแหน่งแทนข้าในภายภาคหน้า ทำการสิ่งใดก็จงคิดถึงคนในเผ่าไว้ด้วย”

ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง คล้ายกับจะรับฟัง หากแต่ไม่ เขาก้าวเดินต่อไป ทำให้บิดาหมดสิ้นซึ่งความอดทน
“หากเจ้าขึ้นหลังม้า ข้าจะถือว่าเจ้าหาใช่คนของเผ่าอีกต่อไป!”
ซิ่นเฉิงหันขวับมามอง คำรามในลำคอเล็กน้อย ก่อนว่าเสียงเครียด
“ข้าจะรวบรวมคนและสร้างเผ่าของข้าขึ้นใหม่แอง”

จากนั้นก็กระโดดขึ้นหลังม้า เหลือบมองบรรดานักรบหนุ่มที่ร่วมปล้นเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายปี พลันร้องถาม
“ผู้ใดจะไปกับข้า ขอให้ขึ้นม้าประเดี๋ยวนี้!”

ชายฉกรรจ์พากันลังเลใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโดดขึ้นหลังม้าอย่างพร้อมเพรียง ถึงพวกเขาจะรักและเคารพบิดาของซิ่นเฉิงมากเพียงใด แต่เหล่าเด็กกำพร้าที่สูญสิ้นบิดามารดาจากความอดอยากกลับได้รับการอุ้มชูจากซิ่นเฉิง ฝึกวิชาศาสตราวุธ การขี่ม้า และการล่า มากกว่าได้รับความใส่ใจจากคนเป็นผู้นำเสียอีก เมื่อต้องเลือกระหว่างผู้ที่นับถือประดุจพี่น้องร่วมสายโลหิต กับผู้นำที่แทบไม่เห็นตัวตนของพวกเขานอกจากมองว่าเป็นนักรบที่จะต้องดูแลสมาชิกในเผ่าเท่านั้น จึงไม่เป็นการยากที่จะตัดสินใจเลือกซิ่นเฉิง

ซิ่นเฉิงกวาดสายตามองบรรดาสหายร่วมรบ พลันเชิดปลายคางขึ้นด้วยกระหยิ่มใจ ก่อนหันไปมองบิดา
“ท่านกับข้าสิ้นสุดกันเพียงเท่านี้”

ครั้นสิ้นเสียง ฝีเท้าของอาชาก็ควบทะยานออกไปยังผืนทรายเบื้องหน้า จุดมุ่งหมายคือแคว้นเฟิงฝูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้นัก ปล่อยให้สมาชิกคนอื่นๆ ในเผ่ามองตามด้วยประหวั่นใจว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า ขณะที่ผู้เป็นบิดาปวดร้าวในใจด้วยต้องเสียบุตรและธิดาอันเป็นที่รักไปเพราะความโง่เขลาของตน กระนั้นเขาก็จำต้องเดินหน้าต่อไป ออกปากสั่งกับสหายคนสนิทเสียงเบา

“บอกทุกคนให้รีบเก็บของ เราจะเดินทางกันเดี๋ยวนี้”

ที่แห่งนี้อยู่ไม่ได้แล้ว... การกระทำของซิ่นเฉิงจะนำภัยมาอย่างแน่นอน

อยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...



 
จะว่าแคว้นเฟิงฝูนั้นอยู่ไม่ไกลก็อาจจะคาดเดาผิดไปสักหน่อยนัก ใช้เวลาร่วมสองราตรีเลยทีเดียวกว่าจะมาถึงอาณาเขตแว่นแคว้น ซิ่นเฉิงไม่กล้าเข้าใกล้แคว้นนั้นไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ด้วยเขาจะต้องสำรวจให้ถ้วนถี่เสียก่อนว่าทางหนีทีไล่ของแคว้นนี้อยู่ที่ใดบ้าง เมื่อช่วงชิงซิ่นจินและพาหลบหนีออกมาแล้ว ทางไหนที่เขาและพรรคพวกจะไม่ถูกจับได้

ทว่า... เท่าที่เห็นดูเหมือนจะมีแค่ประตูทางเข้าแคว้นเท่านั้นที่เป็นทางเข้าออกแห่งเดียวของแคว้นนี้ เหนือประตูบานใหญ่ก็เต็มไปด้วยเหล่าทหารอมนุษย์ที่เฝ้าประจำการตามจุดต่างๆ ของรั้วหินสูงตระหง่าน

เห็นทีคงจะต้องปลอมตัวเป็นพ่อค้าแฝงกายเข้าไปสืบเสาะข้อมูลเสียก่อน จากนั้นค่อยสืบเสาะเรื่องราวของเทียนอี้จากทาสในนั้น...

ทาส... ถูกต้อง แคว้นเฟิงฝูนั้นถูกอมนุษย์ครอบครองมานานหลายร้อยปี ตอนยังเยาว์วัย ซิ่นเฉิงเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบต่อกันมาว่าอมนุษย์เหล่านี้เคยเป็นเทพชั้นสูงบนสวรรค์ หากแต่ต้องโทษกบฏจึงถูกขับไล่ จุติใหม่อีกครั้งในโลกมนุษย์ในฐานะเทพอสูร เพราะได้ครอบครอบผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในทะเลทรายแห้งแล้งแห่งนี้ บรรดามนุษย์ที่ทนต่อความแร้นแค้นไม่ไหวจึงเข้าสวามิภักดิ์ บุรุษยอมตกเป็นทาสให้ใช้แรงงาน สตรียอมมอบร่างกายเพื่อสร้างทายาทให้แก่อมนุษย์เหล่านั้นด้วยอมนุษย์ไม่มีผู้ใดเลยที่เป็นหญิง

น่าแปลก... แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้สนใจไม่ ทำเพียงแค่นหัวเราะออกมาเท่านั้น

เทพอสูรเช่นนั้นหรือ? เบียดเบียด พรากญาติพี่น้อง ช่วงชิงทุกอย่างของมนุษย์สมควรถูกเรียกว่าอมนุษย์ถึงจะเหมาะสมกว่า

ความคิดนั้นสิ้นสุดลงเมื่อเห็นดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยเข้ายามอุ้ย[1] ซิ่นเฉิงก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ปลอมตัวเป็นพ่อค้า ปิดบังอำพรางใบหน้าและคลุมศีรษะ แฝงกายเข้าไปในแคว้นเฟิงฝูกับคนสนิทอีกหยิบมือ พวกที่เหลือให้ซุ่มรออยู่ด้านนอกเพื่อให้รอพาหลบหนีเมื่อชิงตัวซิ่นจินมาได้สำเร็จ

การสำรวจแคว้นเฟิงฝูนั้นช่างเป็นไปอย่างยากลำบาก ด้วยเหล่านักรบชนเผ่าเร่ร่อนหาได้เคยเห็นบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน มันช่าง...แตกต่างจากผืนทะเลทรายที่เขาคุ้นเคยนัก ร้านรวงเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ผู้คนทั้งมนุษย์และเทพอสูรแต่งกายด้วยอาภรณ์แปลกตา ต่างจากอาภรณ์ที่พวกเขาสวมใส่ยิ่งนัก แม้จะตกใจกับบรรดาเทพอสูรที่มีรูปลักษณ์กึ่งสัตว์ กึ่งมนุษย์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมที่หลากหลายคละเคล้ากันไป แต่ที่ทำให้ตกตะลึงไปมากกว่านั้นก็คือ...ต้นไม้

ต้นไม้สีเขียวขึ้นกระจัดกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ของแคว้นเฟิงฝู มองแล้วเหมือนกับสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน นักรบหนุ่มที่แม้จะเคร่งขรึมถึงกับครางออกมาด้วยประหลาดใจไม่ได้ ขณะที่ซิ่นเฉิงหาได้สนใจเรื่องเหล่านั้น นอกจากจะมองหาสถานที่ซึ่งเป็นที่พำนักของอมนุษย์นามเทียนอี้

การค้นหาไม่ใช่เรื่องยากนักด้วยเทียนอี้เป็นหนึ่งในแม่ทัพคนสำคัญของแคว้นเฟิงฝู เพียงเอ่ยปากถามทาสรับใช้ของร้านโอสถในละแวกตลาด ก็ได้รับคำตอบว่าที่พำนักของเทียนอี้คือจวนแม่ทัพทางทิศตะวันตก ซิ่นเฉิงแสร้งเดินผ่านอยู่หลายครั้งหลายครา พลางพินิจว่าจวนใหญ่แห่งนี้ ถึงจะมีทหารรักษาการณ์รายล้อมอยู่รอบ แต่ก็หาได้ยากยิ่งสำหรับการลอบเข้าไปนัก ก่อนจะรีบหาที่ซ่อนตัวหลบ รอจนตะวันลาลับขอบฟ้าต่อไป



 
เมื่อผืนฟ้าทอแสงสีดำ นภาประดับดวงดาราประกายระยับ เสียงเคาะบอกว่าเป็นยามโฉ่ว[2]ดังแว่วมาให้ได้ยิน ซิ่นเฉิงกับพรรคพวกซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในซอกซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งค่อยๆ เผยเรือนกายออกจากความมืด ภายใต้ผ้าคลุมหน้ามิดชิดนั้น ต่างฝ่ายต่างพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณบอกว่าควรแก่เวลาแล้ว

แม้จะเป็นคนทะเลทราย แต่ก็หาได้ไร้ซึ่งวรยุทธ์ ซินเฉิ่งและสหายพากันใช้วิชาตัวเบาปีนไต่ไปตามหลังคาบ้านเรือนกระทั่งถึงอาณาเขตจวนของแม่ทัพเทียนอี้ ครั้นเห็นว่ารอบข้างปลอดสายตาจากทหารยาม ซิ่นเฉิงก็เป็นคนแรกที่กระโดดข้ามรั้วสูงเข้ามายังสวนด้านใน ทันทีที่พรรคพวกตามเข้ามา เขาก็ชี้นิ้วเป็นสัญญาณว่าผู้ใดควรไปทางไหน

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งไปที่เรือนทางซ้าย อีกคนไปทางขวา มีเพียงซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ยังอยู่ในสวนของเรือนใหญ่ เขาทอดมองไปยังสิ่งก่อสร้างที่ดับไฟเสียมืดสนิทตรงหน้าด้วยแววตามุ่งมั่น

ไม่เรือนไหนสักเรือนต้องมีซิ่นจินอยู่ข้างใน
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะพานางกลับออกมาให้จงได้!



 
กลิ่นสาบประหลาดลอยมาตามลม แตะเข้าจมูกของร่างกำยำภายในห้องหนังสือเข้าอย่างจัง ทำเอาอมนุษย์ที่นั่งอ่านตำราการศึกชะงัก วางสิ่งที่ถืออยู่ในมือลงเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอดและพินิจอีกครั้งว่าเมื่อครู่ เขาเข้าใจผิดไปหรือไม่ แต่เมื่อกลิ่นที่ลอยเข้ามาแตะจมูกนั้นช่างไม่คุ้น เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าในจวนนั้นมีผู้บุกรุก

ถึงพวกเขาจะอยู่ท่ามกลางทะเลทราย แต่กลิ่นทรายคละคลุ้งเช่นนี้ย่อมไม่ใช่กลิ่นของคนในแคว้นเฟิงฝูอย่างแน่นอน อีกทั้งกลิ่นนั้นก็หาใช่กลิ่นเทพอสูร หากแต่เป็นกลิ่นของมนุษย์

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่ได้กลิ่นนี้ ข้ารับใช้คนสนิทซึ่งมีใบหน้าเป็นจระเข้เองก็ได้กลิ่นเช่นกัน ไม่แน่ใจนักว่าความรู้สึกที่ไวเช่นนี้เป็นเพราะความสามารถซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเทพ หรือเป็นเพราะสัญชาตญาณสัตว์กันแน่ กระนั้นก็หาได้สนใจเมื่อพ่อบ้านเหลียงเอ่ยขึ้น

“จะให้จัดการเลยหรือไม่ขอรับ ท่านแม่ทัพ...”

ดวงตาเรียวสีทองอำพันชำเลืองมองผู้พูด พอจะเดาได้ว่าผู้ใดบุกรุกเข้ามายามวิกาล และมาเพื่อการใด เพราะกลิ่นนั้นช่างไม่ต่างอะไรจากกลิ่นของว่าที่ฮูหยินของเขาซึ่งเพิ่งถูกนำตัวเข้าจวนมาในวันนี้ ก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

“ปล่อยไปก่อน ให้กระทำการตามใจสักครู่ แล้วค่อยให้ทหารไปจัดการ”

เสียงนั้นเป็นของประมุขจวน...แม่ทัพเทียนอี้ ท่าทางเขาดูไม่ยี่หระกับสิ่งใด เมื่อสิ้นเสียงก็ทอดสายตาอ่านตำราบนโต๊ะอีกครั้ง ปล่อยให้พ่อบ้านเหลียงพยักหน้ารับคำและนั่งนิ่งเงียบๆ คอยรับใช้ใกล้ชิดอยู่เช่นเดิม




 
จวนแม่ทัพกว้างขวาง ใช้เวลานานอยู่โขทีเดียวในการสำรวจแต่ละห้องในจวนกว่าจะค้นพบว่าซิ่นจินถูกนำมาขังไว้ที่ห้องหนึ่งของจวนใหญ่ซึ่งซิ่นเฉิงสำรวจอยู่ เขาพบนางโดยบังเอิญเสียด้วยซ้ำ เพราะเสียงสะอื้นร่ำไห้ที่ดังลอดออกมาทำให้ชายหนุ่มไม่รอช้า ผลักบานประตูเข้าไป แล้วก็พบกับนางที่ฟุบหน้าอยู่กับฟูกนอน

ครั้นเอ่ยเรียก...
“ซิ่นจิน...”

หญิงสาวก็ผินหน้ามามองยังผู้มาใหม่ ทันทีที่เห็นบุรุษนิรนามในอาภรณ์ปกปิดหน้าตา นางก็จำได้ทันทีว่าชายผู้นั้นคือพี่ชายฝาแฝดของตน

“ท่านพี่” ร่างบางผุดลุก โผเข้าหาอีกฝ่ายอย่างร้อนรน “ท่านมาที่นี่ได้เช่นไร แล้วท่านพ่อล่ะ”
“เรื่องนั้นไว้ข้าจะตอบเมื่อพาเจ้าออกไปได้ ตอนนี้รีบตามข้ามาก่อนเถิด” ซิ่นเฉิงว่าเร็วๆ คว้าข้อมือของน้องสาวให้รีบก้าวตาม

ซิ่นจินไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องอยู่ต่อ ถึงนางจะไม่ขัดเมื่อครั้งบิดาเอ่ยปากแลกเปลี่ยนตัวนางกับชีวิตของคนในเผ่า แต่ก็หาใช่ว่านางอยากจะมาเป็นฮูหยินของอมนุษย์ผู้นั้น ต่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของนางจะดีขึ้น นางก็หาได้ยินดีไม่

การเป็นฮูหยินเพื่อสร้างทายาทอมนุษย์นั้นทำให้นางเหมือนไปเยือนปรโลกทั้งเป็น!

หากแต่การหลบหนีไม่ง่ายนักเมื่อเทียนอี้ซึ่งปล่อยให้พวกแมวขโมยจากทะเลทรายเดินเล่นอยู่ในจวนนานสองนานออกคำสั่งให้พ่อบ้านเหลียงสั่งการทหารเข้าจับกุม พรรคพวกของซิ่นเฉิงถูกจับได้เป็นอันดับแรก ก่อนที่ทหารพวกนั้นจะมาดักรอยังหน้าเรือนใหญ่ซึ่งเป็นเรือนหลักของแม่ทัพเทียนอี้

ทันทีที่เห็นทหารอมนุษย์ในร่างสรรพสัตว์กรูกันมาล้อม ซิ่นเฉิงก็ชะงักฝีเท้า ดันร่างของน้องสาวให้ไปหลบอยู่ทางด้านหลัง ขณะที่มือข้างหนึ่งดึงดาบวงเสี้ยวพระจันทร์ขึ้นมากระชับในมือแน่น หมายจะประหัตประหารอีกฝ่ายให้สิ้นซาก บัดนี้เขาคิดในใจแล้วว่าต่อให้ตัวต้องตาย เขาก็จะไม่ยินยอมให้ซิ่นจินตกเป็นของเทพอสูรเจ้าของจวนเป็นอันขาด

คิดเช่นนั้นก็ถลาเข้าหาเทพอสูรชั้นผู้น้อย เหวี่ยงกระหวัดดาบในมือด้วยท่าทางคล่องแคล่วและชำนาญ รูปร่างที่เล็กกว่าอมนุษย์เหล่านั้นทำให้เขาได้เปรียบในการหลบหลีก กระนั้นเรื่องพละกำลังก็ยังเสียเปรียบอยู่ หากแต่ซิ่นเฉิงก็สู้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี
สายตาคอยชำเลืองมองซิ่นจินซึ่งอยู่ในอารามตกใจเป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจว่านางยังปลอดภัย อีกทั้งสอดส่ายสายตาหาทางหนีทีไล่ไปด้วย โดยหารู้ไม่ว่าพรรคพวกของตนถูกจับไปแล้ว

เสียงเอะอะมะเทิ่งจากเรือนใหญ่ทำเอาเทียนอี้จำต้องวางมือจากตำราพิชัยอีกครั้ง ผุดลุกขึ้นพลางออกปากกับพ่อบ้านเหลียง
“ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าเหตุใดการจับเจ้าแมวขโมยถึงได้เสียงดังถึงเพียงนี้ พ่อบ้านเหลียง บอกให้ทหารนำแมวขโมยอีกสองคนนั่นตามข้าไปด้วย”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
สิ้นเสียงของพ่อบ้านเหลียง ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิทก็เคลื่อนออกจากห้องหนังสือ มุ่งหน้าตรงไปยังเรือนใหญ่ทันที



 
ผ่านไปเพียงครู่ ซิ่นเฉิงเริ่มรู้สึกตัวว่าการต่อกรกับอมนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่หาควรทำเลยแต่อย่างใด เพราะนอกจากเขาจะต้องใช้แรงต่อต้านอย่างมหาศาลแล้ว เขาอาจจะหมดเรี่ยวแรงพาซิ่นจินหนีได้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนแผนฉับพลัน ตั้งใจจะพาหนีแทน พร้อมกันนั้นก็สบถบ่นพรรคพวกที่หายตัวไป ไม่โผล่มาในเวลาคับขันเยี่ยงนี้ไม่หยุด

เจ้าพวกนั้น... ไม่ใช่ว่าถูกจับไปแล้วหรอกนะ

ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่หายไปนานขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะถูกจับได้แล้ว เพราะไม่เช่นนั้น เสียงต่อสู้ดังสนั่นขนาดนี้ก็ต้องได้ยินและตามมาช่วยเขาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพาซิ่นจินออกไปก่อน

“ซิ่นจิน!” คิดเช่นนั้นก็ร้องเรียกหญิงสาวที่หลบอยู่ไม่ไกล
นางถลาเข้ามาคว้ามือของพี่ชายที่ยื่นให้จับไว้อย่างรวดเร็ว เขากะใช้วิชาตัวเบาพานางหลบหนี หากแต่ยังไม่ทันจะได้ทำการใดๆ
น้ำเสียงทุ้มของใครบางคนก็ดังขัดขึ้น

“จะพานางไปโดยทิ้งคนของเจ้าไว้เช่นนั้นหรือ?”

ซิ่นเฉิงชะงัก หันไปมองแล้วก็ต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นว่าสหายร่วมรบถูกจับมัดมือไพล่หลัง เบื้องหลังมีทหารอมนุษย์ร่างโตคอยควบคุมอยู่อีกสองตน

“พวกเจ้า...” ครางออกมาด้วยประหวั่นวิตกเป็นยิ่งนัก
ขณะที่นักรบทะเลทรายพวกนั้นร้องตะโกนบอก
“หนีไปซะท่านพี่ ทิ้งพวกข้าไว้! อึ้ก!”

โดนทุบหลังไปทีหนึ่งโทษฐานเสนอหน้าพูดโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนพ่อบ้านเหลียงที่เป็นเจ้าของเสียงก่อนหน้าจะพูดขึ้นอีก
“หากข้าไม่สั่ง อย่าได้ปริปากออกมา”
“เจ้า!” ซิ่นเฉิงเห็นแล้วก็เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงจะเป็นพี่น้องร่วมสาบาน เขาก็ไม่ยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องได้ง่ายๆ

ตั้งท่าจะปรี่เข้าหาบุรุษผู้มีศีรษะเป็นจระเข้ด้วยหมายสังหาร หากแต่ยังไม่ทันขยับเขยื้อน เสียงแหบห้าวของผู้มาใหม่ก็ดังขัดขึ้นอีก
“หยุดการกระทำของเจ้าก่อนที่จะต้องมีใครสักคนเสียเลือดเนื้อดีกว่า เห็นอยู่ไม่ใช่หรือว่าเจ้าต่อกรกับพวกข้าไม่ไหว”
ซิ่นเฉิงหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเงาตะคุ่มสูงใหญ่ ครั้นเงานั้นเดินเข้ามาใกล้ยังใต้ร่มไม้ สายตาก็เห็นชัดเจนว่าผู้มาใหม่นั้นมีรูปร่างเป็นเช่นไร

ศีรษะใหญ่ ใบหน้าช่วงจมูกและปากยาว ใบหูทั้งสองข้างตั้งตรง เส้นขนสีเงินยวงดกฟูไปทั่วเรือนร่าง อีกทั้งทางด้านหลัง...มีหาง

สุนัขป่า!?

ซิ่นเฉิงขมวดคิ้วมุ่น คนตรงหน้าหาใช่เทพอสูรทั่วไปที่เขาพบเห็นเป็นแน่ ด้วยสัมผัสได้ถึงรัศมีน่าเกรงขามบางอย่างที่ต้องทำให้เขาต้องสั่นเทาไปทั่วทั้งร่างอย่างมิอาจควบคุม ยิ่งถูกดวงตาสีทองอำพันจับจ้อง เขาก็รู้สึกราวกับว่าวิญญาณถูกกระชากออกเป็นเสี่ยงๆ เลยทีเดียว

กระทั่งอีกฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้ง สติสัมปชัญญะของซิ่นเฉิงถึงได้กลับมาอีกครั้ง

“กล้าดีมากที่มาช่วงชิงตัวฮูหยินของข้าถึงในจวนเช่นนี้ ...เจ้าโจรทะเลทราย”

หรือนั่นจะเป็น...แม่ทัพเทพอสูรเทียนอี้!?

[1] ยามอุ้ย เท่ากับเวลา 13.00 น. - 14.59 น.

[2] ยามโฉ่ว เท่ากับเวลา 01.00 น. - 02.59 น.



**************

แอบเขียนยากนิดนึง

นึกอยู่นานว่าจะเล่าออกมายังไงให้ท่านแม่ทัพไม่ออกมาเป็นหมาไซบีเรียนฮัสกี้ 555

ถ้าชอบก็ฝากเม้นต์ให้กันหน่อยนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2017 21:38:20 โดย Nov9th »

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
โอ้ๆๆๆเนื้อเรื่องสนุกมากค่ะ

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
เป็นไซบีเรียนก็น่ารักดีออกนะครับ   55

แวะมาเยือนพันธมิตรนิยายจีนครับ   :katai2-1:

ออฟไลน์ kny

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-15
คิดถึงเทพของอียิปเลย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
จะเป็นสุนัขป่าไปตลอดกาลเลยใช่ไหมอ่ะ

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
จะเป็นสุนัขป่าไปตลอดกาลเลยใช่ไหมอ่ะ

นายของุบงิบไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวรออ่านไปเรื่อยๆ ก่อนเนอะ ^^

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ติดตามจ้า :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7
รู้สึกว่าซินจิ่นเกะกะอ่ะ ช่วยเอาออกไปให้พ้นๆที เห็นแล้วรำคาญลูกตา  :katai1: อ่อนแอเกินไป ใช้ชีวิตรอดมาได้ยังไง  :z6:

ส่วนแมวขโมยต้องเจอดี ที่บังอาจลักลอบเข้ามาในจวน  o18

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
น่าติดตามมาก ๆ รู้สึกได้ถึงความสนุก มาต่อตอนต่อไปไวๆ นะ

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 2: พยศ

“นางเป็นคนรักของเจ้าเช่นนั้นหรือ?”

ซิ่นเฉิงแทบหยุดหายใจ หูไม่ได้ยินเสียงของเทียนอี้ที่ถามมาเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย เอาแต่จับจ้องไปยังใบหน้าของสุนัขป่าอย่างตะลึงงัน ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นอมนุษย์ก็จริง แต่สำหรับการเผชิญหน้ากับเทียนอี้ เขารู้สึกราวกับว่า... เขากับอมนุษย์ตนนี้เทียบชั้นกันไม่ติด

ไม่...ไม่ใช่อมนุษย์ ตรงหน้าเขาคือเทพอสูรต่างหาก

นี่สิถึงจะเรียกว่าเทพอสูรได้อย่างเต็มปาก!

“ว่าอย่างไร ตอบคำถามข้ามาเจ้าโจร นางเป็นคนรักของเจ้าใช่หรือไม่?” เมื่อเห็นบุรุษชุดดำไม่พูด เทียนอี้ก็ถามซ้ำ
ซิ่นเฉิงพรั่นพรึงเสียจนลำคอตีบตัน เกิดเป็นนักรบทะเลทราย ปล้นกองคาราวานสินค้าและสังหารโจรทะเลทรายกลุ่มอื่น รวมถึงอริศัตรูมาก็มาก แต่หาได้เคยประหวั่นวิตกถึงเพียงนี้

เห็นซิ่นเฉิงไม่พูดเสียที ซิ่นจินซึ่งหลบอยู่ด้านหลังก็เกรงไม่น้อยว่าพี่ชายตนจะได้รับอันตราย นางเข้าใจว่าคนตรงหน้าตกอยู่ในภาวะตระหนก แม้จะกล้าหาญเพียงใด แต่ผู้มีอำนาจและชวนยำเกรงกว่ามาปรากฎตัวตรงหน้าก็ย่อมพูดไม่ออก เฉกเช่นเดียวกับนางยามได้เจอหน้าของเทียนอี้ครั้งแรก

ขนาดครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง นางก็ยัง...หวาดกลัว

กระนั้นก็ปริปากออกไปอย่างไม่รีรอ

“หะ...หามิได้เจ้าค่ะ ชายผู้นี้หาได้เป็นคนรักของข้าไม่ หากแต่เป็นพี่ชายฝาแฝดร่วมสายโลหิต ขอท่านแม่ทัพเมตตาด้วย”

ไม่พูดเปล่า ยังถลาออกมาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า วิงวอนขอให้เทียนอี้ยกโทษให้ที่ซิ่นเฉิงบุกรุกเข้ามาชิงตัวนางถึงในจวน เพราะนางรู้ว่าเหล่าอมนุษย์พวกนี้ ต่อให้มีเมตตาต่อมนุษย์ คอยอุ้มชูอุปถัมภ์เพียงใด แต่พวกเขาก็มีกฎระเบียบเคร่งครัดที่ต้องปฏิบัติตามเช่นกัน มนุษย์คนใดที่ไม่สามารถทำตามกฎเหล่านั้นได้ โทษอย่างเบาคือถูกเนรเทศ ส่วนโทษอย่างหนัก...ถูกประหาร

เพียงแค่ไปรุกล้ำบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ครอบครองของแม่ทัพเทียนอี้ โทษยังถึงตายยกเผ่า แล้วนี่บุกจวนอย่างอุกอาจ คงไม่ถูกตัดศีรษะขาด เสียบประจาน แล้วสับร่างเป็นชิ้นๆ ให้นกกากินหรือ?

เห็นดรุณีน้อยก้มศีรษะเสียจนหน้าผากติดพื้น เทียนอี้ก็ครางในลำคอเบาๆ
“พี่ชายฝาแฝด...”

ซิ่นจินเงยหน้าขึ้นมาพยักหงึกหงัก หยาดน้ำสีใสเอ่อปริ่มขอบตา สร้างความน่าเวทนาให้กับผู้พบเห็นยิ่งนัก นางเป็นหญิงงาม ไม่คู่ควรกับหยดน้ำตาเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ผู้เป็นพี่อย่างซิ่นเฉิงเองก็ไม่ต้องการเห็นนางร่ำไห้ ยิ่งไปกว่านั้น... นางไม่สมควรคุกเข่าให้กับชายที่บังคับใจนางให้มาเป็นฮูหยินเช่นนี้!

“ซิ่นจิน! เจ้าลุกขึ้นประเดี๋ยวนี้!”
ไม่เพียงโวยวาย ซิ่นเฉิงยังถลาเข้าไปฉุดให้ร่างของผู้เป็นน้องลุกขึ้น ขณะที่ซิ่นจินส่ายหน้ารัวให้เขาหยุดการกระทำนั้นด้วยเกรงว่าจะทำให้เจ้าของจวนโกรธ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้ผู้ใดเพื่อข้า ข้ามาช่วยเจ้า เท่ากับข้ายอมตายเพื่อเจ้า” ซิ่นเฉิงว่าด้วยน้ำเสียงดุดันฉะฉาน หงุดหงิดเต็มประดาที่เห็นคนตรงหน้าหวาดกลัวจนสั่นเทาทั้งที่เขาเองก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก

เทียนอี้มองด้วยความสนใจ บุรุษผู้นั้นกล้าหาญแม้จะดูโง่เขลาไปบ้าง ทำให้เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยใคร่รู้นักว่าซิ่นเฉิงจะทำอย่างไรต่อไป

“บิดาของเจ้าพาผู้คนบุกรุกบ่อน้ำของข้า แล้วเจ้าก็ยังจะบุกรุกจวนข้า ชิงตัวว่าที่ฮูหยินของข้าไปอีก กระทำการอุกอาจเช่นนี้ เจ้าคิดว่าสมควรรับโทษเช่นไร?”

ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ตอบรับ ซิ่นเฉิงกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เขารู้ดีว่าโทษทัณฑ์นั้นคือความตาย หาได้เคยมีมนุษย์ใดอาจหาญยกตนสูงเทียมเท่าเทพอสูรได้ด้วยเกรงต่อบารมี แต่ในยามนี้ เขา... เขาจะเป็นคนแรกที่ไม่ยอมคุกเข่าวิงวอนร้องขอเมตตาใดๆ จากปีศาจตรงหน้า

“เจ้าอยากจะทำเช่นไรกับข้าก็ทำ แต่จงปล่อยซิ่นจินและพี่น้องร่วมสาบานของข้าไป”

“ท่านพี่! รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา!”
“ท่านบ้าไปแล้วหรือ!?”
พี่น้องร่วมสาบานต่างกรีดร้องอย่างตกใจ ก่อนจะโดนทุบไปอีกคนละทีสองทีด้วยฝีมือของพ่อบ้านเหลียง พร้อมด้วยเสียงดุ

“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าถ้าไม่ได้อนุญาตก็อย่าปริปาก จับพวกมันมัดปากไว้ซิ”

ชายหนุ่มฉกรรจ์ถูกผ้ามัดปากเอาไว้ ซิ่นเฉิงมองแล้วก็กำมือแน่น เขาต้องรีบทำการใดสักอย่างเพื่อให้พวกพ้องของเขาเป็นอิสระ

“ปล่อยพี่น้องของข้าไป เจ้าสุนัขป่า...” ว่าเสียงต่ำออกมา อีกทั้งสรรพนามที่ใช้เรียกร่างใหญ่ตรงหน้าก็เจือความดูแคลน

เทียนอี้ไม่ชอบใจนัก แต่ก็หาได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา จะมีก็แต่ซิ่นจินเท่านั้นที่เกาะแขนพี่ชาย ปรามให้เขาสงบสติอารมณ์
“ท่านพี่... ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลย ข้าจะขอร้องท่านแม่ทัพเอง”
“เจ้าต่างหากที่อย่าพูด เจ้าเป็นน้องข้า พวกเขาก็เป็นพี่น้องข้า ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง” ซิ่นเฉิงหันไปขึ้นเสียงใส่

กล้าหาญเสียจริงๆ ด้วย...

เป็นที่น่าชื่นชมอยู่ไม่น้อย แต่ก็ดูโง่เขลาในสายตาของเทียนอี้อยู่ดี  ก่อนเขาจะชำเลืองมองไปยังทหารในการควบคุม

เพียงเหลือบมองแค่นั้น ทหารอมนุษย์สองนายก็ตรงไปยังซิ่นเฉิง พลันบังคับให้เขาทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของซิ่นจิน ขณะที่ซิ่นเฉิงดิ้นพราดด้วยไม่ยอม แต่จะไปสู้อะไรได้ สุดท้ายก็ต้องคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเทียนอี้ แววตาเจ็บใจฉายให้เห็น เทียนอี้เชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ย

“อยากจะทำอะไรกับเจ้าก็ทำเช่นนั้นหรือ... เจ้าพูดราวกับว่าเจ้ามีสิทธิ์เลือกอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้หรือว่าโทษของเจ้าที่บุกรุกจวนแม่ทัพคือความตาย?”
ซิ่นเฉิงไม่ตอบคำถาม พูดเพียงสิ่งที่ตนอยากจะพูด
“ปล่อยพี่น้องของข้า”

เสียงหัวเราะหึในลำคอจากเทียนอี้ดังมาให้ได้ยิน ก่อนเขาจะเมินคำพูดนั้นด้วยการสั่งทหาร
“เอาผ้าคลุมหน้าออก”

เท่านั้น ผ้าคลุมหน้าและศีรษะของซิ่นเฉิงก็ถูกกระชากออกไป รูปหน้าของเขาทำให้เทียนอี้นิ่งไปครู่ ยามได้ยลโฉมของซิ่นจินครั้งแรกหลังจากนางถูกคนสนิทพาตัวมาที่จวน เขาก็คิดว่านางงดงามไม่ใช่น้อย แต่ก็หาได้ชวนตกตะลึงเท่ากับใบหน้าของซิ่นเฉิง
เขาเป็นฝาแฝดของซิ่นจินก็ย่อมต้องมีใบหน้าละม้ายคล้ายนาง แต่ในความงดงามนั้นแฝงไปด้วยความผยองและถือดี ผิวหน้าคล้ำแดด คิ้วหนาเป็นเสี้ยววงพระจันทร์ สันกรามเป็นสันนูนเด่นชัดบ่งบอกความเป็นบุรุษเพศ อีกทั้งผมยาวสลวยดกดำ ทั้งหมดล้วนทำให้ซิ่นเฉิงดูต่างจากโจรทะเลทรายที่เทียนอี้คาดการณ์ไว้ไม่น้อย

เหมือนกับอาชา...แสนพยศ

เทียนอี้คิดในใจ ขณะเดียวกันก็สนใจซิ่นเฉิงมากขึ้นเป็นเท่าตัว
“เจ้ามีนามว่าอะไร”

ซิ่นเฉิงตอบคำถามด้วยการถ่มน้ำลายใส่ แม้ไม่โดนใบหน้าแต่ก็กระเซ็นไปเปื้อนชายอาภรณ์ ทหารอมนุษย์ที่เห็นเหตุการณ์นั้นกดร่างของซิ่นเฉิงลงไปกับพื้นเต็มแรงด้วยโมโหที่หยามเกียรติผู้เป็นนาย ส่วนซิ่นจินก็หวีดร้องออกมา พลันรีบเอ่ยนามของผู้เป็นพี่

“ซิ่นเฉิงเจ้าค่ะ เขามีนามว่าซิ่นเฉิง”

เทียนอี้ชำเลืองมองดวงหน้าของหญิงสาวที่เว้าวอนขอให้เขาออกคำสั่งให้ทหารปล่อยพี่ชาย พลันปรามออกมา
“ไม่เป็นไร ปล่อยไป”

ผู้เป็นนายสั่งมาเช่นนั้นก็จำต้องปล่อย ซิ่นเฉิงเงยใบหน้าบูดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดขึ้นมองเขม็ง ก่อนที่เทียนอี้จะทรุดตรงลงนั่งยองตรงหน้า ชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น มือเอื้อมไปเชยปลายคางของอีกฝ่าย เมื่อซิ่นเฉิงสะบัดหนีและทำทีจะกัด เทียนอี้ก็คว้าเอาปลายคางไว้มั่น จากนั้นก็บีบแน่น

“ซิ่นเฉิง ข้าจะให้เจ้าเลือก” น้ำเสียงเย็นเยือกเล็ดรอดผ่านคมเขี้ยวสีขาวมุก ก่อนคำพูดประโยคถัดมาจะทำให้ทุกชีวิตนิ่งงัน “หากเจ้าไม่อยากตาย ก็จงเลือกเอาว่าจะให้น้องของเจ้าเป็นฮูหยินของข้า หรือเจ้าจะมาเป็นฮูหยินเสียเอง”

ซิ่นเฉิงถึงกับเบิกตาโพลง ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่ตกใจไปตามๆ กัน

เจ้าอมนุษย์ตนนี้ช่าง...!

สายตาเกรี้ยวกราดฉายออกมาจากดวงตาสีนิลของซิ่นเฉิง จากที่ไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับเทพอสูรเหล่านี้อยู่แล้วด้วยนึกรังเกียจ ยามนี้เขาแทบจะสังหารคนตรงหน้าได้ด้วยมือเปล่าเลยทีเดียว

ปฏิกิริยาตอบสนองกระด้างกระเดื่องเรียกเสียงหัวเราะในลำคอให้เทียนอี้ได้เป็นอย่างดี

น่าสนใจมากจริงๆ...

ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน ว่าเสียงเรียบ
“ข้าจะทำตามข้อเสนอของเจ้า จะปล่อยพี่น้องของเจ้าไป แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามคนของเผ่าเจ้ากลับมาเหยียบแคว้นเฟิงฝูอีก ส่วนเจ้า...ต้องอยู่ที่นี่ เป็นทาสของข้า”

จะว่าโล่งใจก็ไม่สุดเท่าไรนัก แต่ได้ยินเทียนอี้ว่าอย่างนั้นก็พอเบาใจขึ้นมาได้บ้างที่เขาไม่คิดให้ซิ่นเฉิงเป็นฮูหยิน แต่ให้เป็นทาสแทน และคนที่ดูเหมือนจะโล่งใจที่สุดเห็นจะเป็นพ่อบ้านเหลียงที่ระบายลมหายใจออกมายาว

“ว่าอย่างไร เจ้าจะยินยอมรับข้อเสนอของข้าหรือไม่”
แผนแรกของเขาคือรอดชีวิตกลับออกไปพร้อมกัน แต่ในเมื่อเข้าตาจนเช่นนี้ ซิ่นเฉิงก็จำต้องสละตนเองเพื่อให้คนอื่นๆ รอด
“ข้าจะอยู่ ปล่อยพี่น้องของข้าไปซะ”
เทียนอี้พยักหน้า ออกปากสั่งการ “พาพวกเขาไปส่งนอกแคว้น ข้าวของของซิ่นจินก็ให้นางเก็บออกไปด้วย”

ไร้ซึ่งความอาลัยในตัวว่าที่ฮูหยินที่เพิ่งรับเข้าจวนวันนี้ พ่อบ้านเหลียงอยากจะทักท้วงเพียงใดก็จำต้องเก็บถ้อยคำเอาไว้ก่อนด้วยเหตุการณ์หลังจากนี้ค่อนข้างชุลมุน ซิ่นจินร้องไห้โวยวาย ไม่ยอมให้ซิ่นเฉิงตัดสินใจเช่นนี้ อีกทั้งสหายของแมวขโมยผู้นั้นก็ดิ้นพล่านไม่ยินยอมแต่โดยดีเช่นกัน กว่าจะจัดการได้เสร็จสิ้นก็ใช้เวลาไปหลายเค่อ[1]

ครั้นทหารพาตัวทั้งสามออกไปนอกจวน และเทียนอี้สั่งการให้ทหารนายอื่นพาทาสคนใหม่ไปยังเรือนคุมขังทางด้านหลังจวน พ่อบ้านเหลียงก็สบโอกาสเปิดปากขึ้น

“ท่านแม่ทัพขอรับ อย่าหาว่าข้ายื่นมือเข้าไปสอดเลย แต่ทำเช่นนี้จะดีหรือ? ท่านจำเป็นต้องมีทายาทสืบสกุล ปล่อยนางไปเช่นนั้น แล้วเอาตัวพี่ชายนางไว้ ข้าเกรงว่าจะ...”

“พ่อบ้านเหลียง” พูดยังไม่ทันจบ เทียนอี้ก็เอ่ยขัด เมื่ออีกฝ่ายเงียบ เขาก็ว่าต่อ “ข้าเข้าใจแล้วเรื่องทายาท แต่นางยังไม่ใช่สตรีที่ข้ามีใจปฏิพัทธ์ด้วย อีกอย่าง นางก็หาได้เต็มใจเป็นฮูหยินของข้า เจ้าจะให้ข้าขืนใจนางหรือไร”

แต่เดิม เขาก็ไม่ได้สนใจสตรีมนุษย์ใดอยู่แล้ว การที่ซิ่นจินมาที่จวนเขาได้ ล้วนเป็นการจัดการของพ่อบ้านเหลียงทั้งสิ้น ที่เขาไม่พูดขัดใดๆ ก็ด้วยไม่อยากจะถกเถียงเรื่องที่เคยพูดมาตลอดหลายร้อยปีซ้ำไปมาก็เท่านั้น เมื่อสบโอกาส มีหรือที่เขาจะไม่รีบให้นางไป แล้วเก็บ ‘เจ้าตัวน่าสนุก’ เอาไว้เลี้ยงดูแทน

“แต่ท่านแม่ทัพ ท่านก็รู้ว่าเทพอสูรหาได้มีสตรีแต่อย่างใด เราจำเป็นต้องสร้างกองทัพให้ใหญ่ขึ้น จึงจำเป็นต้องมีทายาท เทพอสูรตนอื่นวัยไล่เลี่ยกับท่านรึก็มีทายาทสืบสกุลกันถ้วนหน้าแล้ว แต่ท่าน...”
“ท่านก็ยังไม่มีทายาทไม่ใช่หรือพ่อบ้านเหลียง แม้แต่ฮูหยินก็ไม่มี”

เทียนอี้สวนขึ้น พ่อบ้านเหลียงก็ปิดปากฉับ เถียงต่อไม่ออก และเมื่อชื่อของใครบางคนหลุดออกจากปากของเทพอสูรหนุ่ม คนทักท้วงในคราแรกก็ยิ่งลำคอตีบตัน

“หากเจ้าจะบีบคั้นข้าให้มีทายาท เจ้าก็ต้องไปบีบคั้นเจี้ยนสือกับหมิงจูด้วย ทั้งสองเองก็อายุไล่เลี่ยกับข้า”

พ่อบ้านเหลียงอับจนคำพูด ได้แต่ระบายลมหายใจออกมา ปล่อยให้ผู้เป็นนายกลั้วหัวเราะเบาๆ และเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรทิ้งท้ายไว้อีก

จริงอย่างที่เทียนอี้ว่า เทพอสูรนามเจี้ยนสือและหมิงจูนั่นก็เป็นเช่นเดียวกัน ไร้ซึ่งทายาท แม้แต่ฮูหยินก็หาได้สนใจตบแต่ง แล้วเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะหาทางกลับขึ้นสวรรค์ได้อย่างไร

คิดแล้วจากนั้นก็ได้แต่พึมพำบ่นกับตนเอง

“ตัวเจ้าเองก็เช่นกัน เป็นตัวอย่างที่ดีไม่ได้ ยังจะหาญกล้าไปสั่งสอนท่านแม่ทัพอีก”




 
เมื่อตกอยู่ในสภาพจำยอม ซิ่นเฉิงก็พยายามจะคิดในแง่ดีว่าตกเป็นทาสก็ยังดีกว่าเป็นฮูหยิน และดีอย่างยิ่งด้วยพี่น้องของเขารอดชีวิตกลับออกไปจากแคว้นอสุรกายอย่างปลอดภัย แต่ก็รำคาญใจอยู่ไม่น้อยครั้นคิดว่าจะต้องพินอบพิเทา คุกเข่าและก้มศีรษะให้กับเจ้าหมาป่าขนฟูฟ่องตัวนั้น

น่าเจ็บใจนัก!

เพราะอย่างนั้น ซิ่นเฉิงจึงไม่อาจเข้าร่วมใช้แรงงานกับทาสมนุษย์คนอื่นๆ ในจวนได้ ถูกกักตัวอยู่ในเรือนคุมขังทาสเพื่อรอดูท่าที ผ่านไปหลายราตรี ก็หาได้เห็นว่าเขาจะมีท่าทางกระด้างกระเดื่องน้อยลงแต่อย่างใด อีกทั้งยังประท้วงด้วยการปฏิเสธความเมตตาจากเทียนอี้ ไม่แตะต้องอาหาร ดื่มเพียงน้ำเท่านั้น จนร่างกายอ่อนแรงทีละน้อย แม้จะอดอาหารบ่อยครั้งด้วยตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาคลุกคลีอยู่กับความอดอยาก แต่ก็ไม่อาจต้านทานความเป็นไปของวัฏจักรชีวิตได้ไหว

กระนั้น...ก็ยังแผลงฤทธิ์อยู่ดังเดิม พร้อมจะอาละวาดใส่ทหารผู้คุมทุกตนที่เข้ามาใกล้ นับว่าเป็นมนุษย์คนแรกเลยก็ว่าได้ที่ปั่นป่วนเสียจนจวนแม่ทัพเทียนอี้อลหม่านไปหมด

การไม่ปรากฏตัวเลยของทาสคนใหม่ทำเอาเทียนอี้ประหลาดใจ แต่ก็หาได้สนใจนักด้วยเขามีภาระหน้าที่ต้องจัดการมากมาย หากแต่ครั้นได้ยินว่าที่ซิ่นเฉิงไม่ได้ออกมาใช้แรงงานร่วมกับทาสคนอื่นๆ เป็นเพราะเขาอาละวาดไม่หยุด พ่อบ้านเหลียงจึงเห็นว่ายังไม่เหมาะสมที่จะเอามาใช้งาน หากยังพยศอยู่เช่นนี้ มีหวังคงได้ทำให้ทาสมนุษย์คนอื่นๆ วุ่นวายอย่างแน่นอน

และเมื่อได้ฟังความจากพ่อบ้านเหลียงว่าซิ่นเฉิงก่อวีรกรรมใดไว้บ้าง เขาก็ถามเสียงเรียบออกมา
“แล้วเขาอยากได้สิ่งใด”
“ท่านแม่ทัพยังต้องถามอีกหรือ? ย่อมแน่อยู่แล้วว่าเจ้าคนผู้นั้นต้องอยากเป็นอิสระ”

ได้คำตอบอย่างนั้น เทียนอี้จึงเปลี่ยนคำถาม
“ถ้าเช่นนั้น นอกจากเป็นอิสระจากข้า เขาอยากได้สิ่งใด”
“ข้าก็ถามแล้วเช่นกัน แต่เจ้านั่นทำเพียงจ้องมองข้าด้วยสายตากราดเกรี้ยว อีกทั้งยังเรียกข้าว่าเจ้าจระเข้เฒ่าอีก”
“จระเข้เฒ่ารึ?”
เทียนอี้จับจ้องไปยังผู้พูดทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับ เสี้ยวหน้าสุนัขป่าก็คล้ายจะมีรอยยิ้มขบขัน ก่อนมันจะหายไปในพริบตาเมื่อถูกอีกฝ่ายมองด้วยสายตาคล้ายตำหนิ

“เอาล่ะพ่อบ้านเหลียง ประเดี๋ยวข้าจัดการเอง”

เพราะคิดได้ว่าเขาได้รับของบางอย่างจากซิ่นจินในวันที่ส่งตัวนางและนักรบแห่งเผ่าทะเลทรายกลับออกไปนอกแคว้น นางได้ฝากห่อผ้าห่อหนึ่งให้กับซิ่นเฉิงไว้

ห่อผ้านั้น...คงจะเป็นเครื่องมือต่อรองกับชายหนุ่มได้ไม่มากก็น้อย



 
ซิ่นเฉิงนั่งพิงกำแพงด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก สายตาจับจ้องไปยังผู้คุมทางด้านนอกที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนมาตั้งแต่เมื่อหลายชั่วยามก่อน พลันเหลือบมองข้อมือและข้อเท้าซึ่งถูกโซ่ตรวนพันธนาการไว้

ทาสเช่นนั้นหรือ? ที่เขาเป็นอยู่นี่มันนักโทษไม่ใช่หรือไร?

นึกสังเวชในชะตากรรมของตนขึ้นมา ก่อนที่ความคิดนั้นจะมลายหายไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ พร้อมกับการทำความเคารพของผู้คุม เท่านั้นก็รู้ว่าผู้มาใหม่น่ะคือ...

“ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่กินข้าวกินน้ำแม้แต่วันเดียว คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ”

...เทียนอี้

มาถึงก็เอ่ยปากขึ้น ซิ่นเฉิงไม่พูดตอบโต้ใดๆ ทำเพียงมองอีกฝ่ายในอาภรณ์งดงาม ถักทอจากไหมชั้นดีนิ่งๆ เท่านั้น ก่อนจะนึกขบขันขึ้นมา

“หึ เจ้ายังจะต้องใส่เสื้อผ้าอีกหรือ? ข้าว่าสุนัขป่าเช่นเจ้าไม่จำเป็นต้องสวมใส่ของชั้นดีเช่นนั้นหรอก ทำเพียงยืนสี่ขาแล้วเห่าหอนก็พอ”
“เจ้า!” พ่อบ้านเหลียงที่ตามเข้ามาด้วยถึงกับหัวเสีย หลุดขึ้นเสียงออกมา แต่ก็เงียบไปเมื่อเทียนอี้ยกมือปรามโดยไม่พูดอะไร

ครั้นทุกอย่างสงบนิ่งดังเดิม เทียนอี้ก็ว่าออกมาช้าๆ “เนื้อตัวเจ้าเปรอะเปื้อนไม่น้อย กินอาหารแล้วชำระล้างร่างกายเสียหน่อย ข้าให้คนเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เจ้าเปลี่ยน”

สิ้นเสียง พ่อบ้านเหลียงก็ให้ทาสมนุษย์คนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่เป็นคนรับใช้นำเสื้อผ้ามาให้ มันเป็นเสื้อผ้าเช่นเดียวกับที่ทาสมนุษย์ในจวนสวมใส่

ซิ่นเฉิงชำเลืองมองแล้วแสร้งเมิน

มันเรื่องอันใดที่เขาจะต้องยินยอมทำตาม หากเขาทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่ายอมรับสถานะตนเองว่าเป็นทาสของเทียนอี้น่ะสิ เขาไม่ทำหรอก!

แม่ทัพเทพอสูรมองก็พอดูออกว่าชายหนุ่มหัวดื้อคนนี้คิดการใดอยู่ เขาก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ พลันล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อ หยิบอะไรบางอย่างออกมาพร้อมว่า

“หากเจ้าไม่ชอบเสื้อผ้านั้น จะสวมใส่เสื้อผ้าที่เข้ากับเครื่องประดับนี้ ข้าก็ไม่ว่า”

ซิ่นเฉิงเบนสายตาไปมอง ทันทีที่เห็นเครื่องประดับเงินร้อยระย้าเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเดือนหงาย เขาก็เบิกตาโพลง

นั่นมันเครื่องประดับผมของซิ่นจิน!

เขาจำได้เป็นอย่างดี เพราะเขาเองก็มีเครื่องประดับแบบเดียวกันอยู่ชิ้นหนึ่ง มันเป็นของต่างหน้าที่มารดาทิ้งไว้ให้เขากับน้องสาวคนละชิ้น แต่ของเขานั้นสูญหายไประหว่างการล่าสัตว์เมื่อครั้งที่เขาเป็นเด็กหนุ่มแรกรุ่น จึงมีแต่ซิ่นจินเท่านั้นที่มีเครื่องประดับนี้อยู่

นางให้เขาไว้ดูต่างหน้า...

ซิ่นเฉิงรับรู้ได้โดยไม่ต้องให้ผู้ใดมาบอก และก็รู้ดีเช่นกันว่าเทียนอี้คงไม่มอบให้โดยง่ายหากไม่มีเงื่อนไข
“เจ้าต้องการสิ่งใด”
“กินข้าวแล้วชำระล้างร่างกายเสีย เมื่อแต่งตัวเสร็จก็จงออกไปเอาเครื่องประดับนี้กับข้าที่ห้องรับรอง ส่วนเสื้อผ้าของเผ่าเจ้า ข้ามอบให้เป็นหน้าที่ของพ่อบ้านเหลียงดูแล”

แค่นั้นน่ะหรือ?

ซิ่นเฉิงสงสัย แต่ก็ไม่เอ่ยปากถาม เพราะทันทีที่สิ้นเสียงของเทียนอี้ ทาสรับใช้มนุษย์ก็ยกอาหารเข้ามาให้ เขาจึงไม่รอช้าที่จะกินมันเข้าไปโดยไม่สนว่าอาหารในถาดนั้นปรุงจากวัตถุดิบใดบ้าง ทั้งหมดเป็นไปอย่างเร่งรีบ เพียงเพื่อต้องการเอาเครื่องประดับนั้นกลับคืนมาสู่อุ้งมือตนในไวที่สุดเท่านั้น

เทียนอี้ปรายตามองอย่างพอใจที่ชายหนุ่มกินอาหารอย่างตะกรุมตะกราม คงเพราะร่างกายอดอาหารมาหลายวัน เมื่อได้ลิ้มรสก็รีบร้อนกินโดยไม่สนใจผู้ใด ก่อนเขาจะผละออกไปโดยมีพ่อบ้านเหลียงตามไปส่ง ครั้นจะแยกจากกัน พ่อบ้านเหลียงก็เอ่ยขึ้นมา

“ตามใจเช่นนี้มันดีแล้วหรือท่านแม่ทัพ”

เทียนอี้หันไปมอง “ม้าพยศก็ต้องใจดีด้วย หากเจ้าปราบม้าพยศด้วยการบังคับขี่มัน แทนที่จะให้หญ้าให้น้ำจนอิ่มหนำ เจ้าคิดหรือว่ามันจะยอมให้เจ้าขี่ มนุษย์ผู้นั้นก็เช่นกัน ถ้าข้าบังคับฝืนใจให้ทำตามคำสั่ง มีหรือที่เขาจะยอมทำตามโดยง่าย ปราบพยศม้าเช่นไร ปราบพยศมนุษย์ก็เฉกเช่นนั้น”

เข้าใจได้โดยพลันว่าเหตุใดแม่ทัพเทียนอี้ผู้เข้มงวดถึงได้ใจดีกับซิ่นเฉิงนัก ทั้งที่ฝ่ายนั้นไม่ได้น่าเอ็นดูเลยแม้แต่น้อย

“เมื่อเขาเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พามาหาข้า ข้าจะรอที่ห้องรับรอง”

เห็นว่าพ่อบ้านเหลียงไม่พูดใดๆ ออกมาอีกก็ปลีกตัวไปอีกทาง ปล่อยให้คนมองตามอดคิดไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงหาใช่ทาสมนุษย์คนใหม่ของจวนแม่ทัพแห่งนี้ แต่เป็นสัตว์เลี้ยงของเทียนอี้มากกว่า

ดูท่าทางเทียนอี้จะสนุกกับการปราบพยศมนุษย์หนุ่มคนนี้พอดูเลยทีเดียว...

[1] เค่อ ประมาณ 15 นาที


**************

หัวแล๊นแล่น เขียนรัวเลยค่ะ

ย่องมาอัพให้ตอนดึกๆ อีกตอนแล้วกัน

ตอนที่แล้ว อาเฉิงเป็นแมว ตอนนี้เป็นม้าซะงั้น

ตอนหน้าเป็นตัวอะไร เดี๋ยวคิดได้จะมาบอกนะ


ออฟไลน์ ice.sp0211

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โหยยยย คือดีต่อใจ รอดูน้องโดนปราบพยศ

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7
อยากให้แม่ทัพจัดหนักๆเลย เด็กอะไรปากไม่ดีเลย แบบนี้ต้องสั่งสอน  :z6: :z6: :z6: :z6: เอาให้หนักให้หลาบจำ  :m16:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พยายามเข้านะท่านแม่ทัพเทพอสูร

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
ซิ่นเฉิงมีอคติกับพวกอมนุษย์ ต้องโดนปราบพยศอย่างแรง

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
ท่านแม่ทัพใจดีอุตส่าห์ปล่อยคนแต่ใจดีไม่สุดนะนี่

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ backforred

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมากกก  :o8:
มาต่อไวๆนะ
 :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
มารออ่านด้วย สนุกอ่ะ

ออฟไลน์ PAtxxkMxxn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
จีดหนักๆซีกที55555

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย

การกระทำของซิ่นเฉิงล้วนเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานนัก ชายหนุ่มในชุดรูปทรงประหลาดตาก็ปรากฎให้เห็นในห้องรับรองของเรือนหลังใหญ่ เทียนอี้ซึ่งนั่งพินิจเครื่องประดับผมในมือละสายตาไปมองยังผู้มาใหม่ ครั้นเห็นว่าเป็นเจ้าม้าหนุ่มจอมพยศ เขาก็จ้องมองอย่างสำรวจ

เสื้อผ้าฝ้ายสีดำไร้แขนแนบชิดลำตัวอำพรางเรือนร่างของซิ่นเฉิง กางเกงผ้าฝ้ายสีเดียวกันตัดเย็บผสมผสานกับหนังสัตว์ รองเท้าสานจากหญ้าแห้ง เครื่องแต่งกายนี้บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าใด สำหรับซิ่นเฉิงแล้ว คงจะมาจากเผ่าทางเหนือซึ่งรอนแรมหนีหนาวมาทางใต้ ถึงได้ใช้หนังสัตว์ขนยาวในการประดับตกแต่งเป็นเครื่องนุ่งห่ม

กระนั้นก็หาได้สำคัญแต่อย่างใดเมื่อซิ่นเฉิงออกปากทวงถึงสิ่งของสำคัญของตน
“ไหนเครื่องประดับผมของนาง”
เทียนอี้ปรายตามอง ชูของในมือขึ้น
“ส่งมันมาให้ข้า”

น้ำเสียงที่ใช้ช่างหาได้มีความอ่อนน้อมเลยแม้แต่น้อย แต่เทียนอี้ก็ไม่ได้ต่อว่าใดๆ นอกเสียจากส่งมันต่อให้พ่อบ้านเหลียงนำไปมอบให้ชายหนุ่ม

ทันทีที่ได้รับมาถือในมือ ซิ่นเฉิงก็มีสีหน้ายากจะอ่านปรากฎให้เห็น ก่อนจะมลายหายไปเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมา
“ประดับผมของเจ้าเสียสิ ข้าได้ยินมาว่าเผ่าของเจ้า ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ล้วนตกแต่งเรือนกายด้วยเครื่องประดับเงิน”

คิดหรือว่าซิ่นเฉิงจะทำตาม เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง สายตาบ่งบอกชัดเจนว่าจะดื้อแพ่ง ทำให้เทียนอี้ต้องพูดออกมาอีก
“หากเจ้าไม่ใช้ก็ส่งคืนให้ข้าเก็บรักษาให้ก่อน”
“ข้าจะใช้”

สวนกลับในทันที ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะจับปอยผมสีดำขลับของตนเองออกมาปอยหนึ่ง และจัดการสานกันเป็นเปียเล็กๆ ครั้นพ่อบ้านเหลียงส่งเชือกให้มัด เขาก็จัดการด้วยความรวดเร็ว พลันเอาเครื่องประดับชิ้นนั้นไปเกี่ยวกับผมเอาไว้

บัดนี้ ซิ่นเฉิงกลายเป็นนักรบหนุ่มแห่งเผ่าทะเลทรายทางเหนือเต็มตัว รูปลักษณ์ต่างจากคราบแมวขโมยเมื่อหลายราตรีก่อนไม่น้อย เมื่อเนื้อตัวสะอาดสะอ้านไร้คราบเปรอะเปื้อน เขาเองก็เป็นหนุ่มรูปงามไม่ต่างจากน้องสาวฝาแฝดสักนิด เทียนอี้พึงใจที่ได้เห็นคนใต้อำนาจดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา

“ข้ากลับไปที่คุกได้หรือยัง”
เห็นว่าทุกอย่างเสร็จสิ้น ซิ่นเฉิงก็โพล่งขึ้นมา ดูก็รู้ว่าเขาไม่อยากจะอยู่ที่นี่สักเท่าไร

ไม่สิ... เขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเทียนอี้ต่างหาก ยอมรับว่าการอยู่ต่อหน้าของแม่ทัพเทพอสูรตนนี้ช่างทำให้เขาประหม่าเสียเหลือเกิน เทียนอี้เองก็รับรู้ได้ ทว่าธุระของเขายังไม่เสร็จสิ้น ก่อนเขาจะเอ่ยตอบ

“ข้ามีเรื่องจะต่อรองกับเจ้า”
“มีเรื่องอันใดก็จงรีบพูด”
น้ำเสียงสื่อออกมาอย่างชัดเจนว่ารังเกียจที่จะเสวนาด้วย ขณะที่เทียนอี้แสร้งทำไม่สนใจ
“ข้าต้องการให้เจ้าปฏิบัติตนเยี่ยงข้ารับใช้คนอื่นๆ”

เลี่ยงที่จะไม่พูดคำว่า ‘ทาส’ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เทียนอี้ก็หาได้คิดว่าเหล่ามนุษย์ที่มาสวามิภักดิ์กับตนเป็นทาส หากแต่เป็นคนมาช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ต่างๆ ในจวนให้เขามากกว่า แม้ว่าสถานะที่แท้จริงจะคือทาสก็ตาม จะพูดว่าเป็นเพราะเขามีเมตตาด้วยครั้งหนึ่งเคยเป็นเทพบนสวรรค์ก็ได้ ถึงได้มีความคิดเช่นนี้

ทว่าสำหรับซิ่นเฉิงแล้ว เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะ
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมเป็นทาสของเจ้าจริงๆ เช่นนั้นหรือ? ฝันไปเถิดเจ้าสุนัข!”

ก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าซิ่นเฉิงจะต้องมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างนี้ พลันเทียนอี้ก็หันไปพยักหน้าให้พ่อบ้านเหลียงนำสิ่งหนึ่งมาวางบนโต๊ะ
“ข้าก็ไม่อยากจะบังคับเจ้า ถึงได้บอกว่ามีเรื่องต่อรอง” ว่าพลางคลี่ห่อผ้าออกช้าๆ

ซิ่นเฉิงมองอย่างสงสัย ก่อนที่จะเบิกตาโตทันทีที่เห็นว่าภายในห่อผ้านั้นมีสิ่งใดอยู่

เครื่องประดับเงิน... ของเขา!

เป็นของที่เขาถอดทิ้งเอาไว้ก่อนปลอมตัวเป็นพ่อค้า แฝงกายเข้ามาในแคว้นเฟิงฝู

ความจริงแล้ว แค่เครื่องประดับเงิน ซิ่นเฉิงไม่จำเป็นจะต้องอยากได้คืนก็ได้ เขาจะสวมวิญญาณโจรทะเลทราย ปล้นชิงจากกองคาราวานมาอีกเท่าไรก็ย่อมได้หากได้รับอิสระ แต่ที่ไม่อาจละเลยได้เป็นเพราะ...

...สร้อยคอวงพระจันทร์เสี้ยว เขาได้รับมาเมื่อครั้งได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้านักรบ มันเป็นเครื่องหมายของการเป็นบุรุษเต็มตัวและการเคารพนับถือจากพี่น้องร่วมสาบาน

...สร้อยข้อมือ ผู้อาวุโสในเผ่ามอบให้ครั้งเติบใหญ่เข้าสู่ชายหนุ่มวัยแรกรุ่น เป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตและความเป็นอิสระจากการดูแลของครอบครัว

...สร้อยข้อเท้า ผู้น้อยในเผ่ามอบให้หลังจากเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้านักรบ นั่นหมายถึงการแสดงความนับถือและการขอฝากฝังชีวิตไว้ในอุ้งมือของเขา

ทั้งหมดล้วนมีคุณค่าทางจิตใจและจิตวิญญาณทั้งสิ้น มันเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เขาแข็งแกร่งเฉกเช่นทุกวันนี้

ทันทีที่เห็นเช่นนั้นก็ถลาเข้าไปหมายจะช่วงชิงกลับคืน แต่ก็ไม่อาจเข้าใกล้ด้วยทหารรับใช้ของเทียนอี้เข้ามาสกัดไว้เสียก่อน มีกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยด้วยซิ่นเฉิงไม่ยอมง่ายๆ

เทียนอี้เหลือบมอง ครู่หนึ่งซิ่นเฉิงถึงสงบลง เขาถึงได้พูดต่อ
“ห่อผ้านี้ น้องสาวของเจ้าฝากมาให้ ข้าจะคืนมันให้เจ้า แต่ต้องมีเงื่อนไข”

นั่นอย่างไรเล่า! เจ้าสุนัขป่าตัวนี้เคยให้อะไรเขาโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนกันบ้าง!

“อะไร!” ซิ่นเฉิงชักหัวเสีย ตะเบ็งเสียงออกมา

พ่อบ้านเหลียงคันปากยุบยิบ อยากจะตำหนิให้ระวังท่าทีไว้บ้าง แต่เห็นว่าเทียนอี้ไม่พูดอะไร เขาจึงไม่ปริปาก ปล่อยให้ผู้เป็นนายจัดการ

“ข้าจะมอบเครื่องประดับของเจ้าคืนให้อย่างละชิ้นต่อการเชื่อฟังครั้งหนึ่ง หากเจ้าเชื่อฟัง ปฏิบัติตนตามคำสั่ง เจ้าจะได้สมบัติของเจ้าคืน”

ซิ่นเฉิงส่งเสียงจึ๊ในลำคออย่างไม่พอใจ แต่ก็เข้าทางเทียนอี้เลยทีเดียวด้วยเขารู้ดีว่าคนอย่างซิ่นเฉิง ต่อให้ไม่อยากทำเพียงใด แต่เพื่อสิ่งที่ต้องการแล้ว เขาพร้อมจะแลกมาไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม

“หากเจ้ายอมรับเงื่อนไข ข้าจะให้พ่อบ้านเหลียงเป็นคนดูแล” ตัดบทเอาเสียอย่างนั้น
ถึงตอนนี้ ซิ่นเฉิงก็ต้องยอมรับแล้ว
“ได้ ข้าจะทำ”

เทียนอี้มองอย่างพอใจ พลันหันไปสั่งพ่อบ้านเหลียง
“ช่วยดูแลคนรับใช้คนใหม่ด้วย ตั้งแต่วันนี้ให้พาไปนอนในเรือนนอนของคนรับใช้”
“ขอรับท่านแม่ทัพ” รับคำสั่งเสร็จ พ่อบ้านเหลียงก็ตรงมายังชายหนุ่มพร้อมออกปาก “ตามมาสิ”

อย่ามาสั่งข้าเชียว เจ้าจระเข้เฒ่า...

สายตาที่ซิ่นเฉิงมองคนพูดเหมือนกำลังจะบอกอย่างนั้น แต่ไร้ซึ่งสรรพเสียง ทำเพียงเดินตามหลังพ่อบ้านเหลียงไปเท่านั้น ปล่อยให้เทียนอี้มองนิ่งๆ อยู่ครู่ พลันละสายตาและไม่ได้สนใจอีกต่อไป




 
ว่ากันตามตรง ซิ่นเฉิงไม่ชินเอาเสียเลยกับการได้นอนในเรือนนอนคนรับใช้เช่นนี้ การนอนร่วมกับคนอื่นอีกหลายสิบชีวิตไม่ใช่ปัญหา เมื่อครั้งที่เขายังมีอิสระ เขาก็คลุกคลีกับพวกนักรบคนอื่นๆ นอนกลางดิน กินกลางทรายด้วยกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้เขานอนไม่หลับนั้นเป็นเพราะฟูกที่นุ่มสบายเกินไปเสียมากกว่า คนที่นอนบนพื้นทรายอย่างเขามาตลอดชีวิต คุ้นชินกับฟูกเช่นนี้เสียที่ไหน

ดังนั้นราตรีแรกในการย้ายมานอนยังเรือนคนรับใช้ ซิ่นเฉิงจึงข่มตาหลับไม่ได้เลยสักนิด เมื่อไม่ได้นอน อารมณ์ก็ฉุนเฉียวหงุดหงิดง่ายกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ครั้นพ่อบ้านเหลียงพาออกมาสอนงานที่ต้องทำในจวนให้ ซิ่นเฉิงก็ทำไม่ได้ทุกงานไป ความอดทนต่ำถึงขีดสุด ทำได้ไม่เท่าไรก็ออกอาการอาละวาดเสียจนคนรับใช้คนอื่นๆ วงแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง ลำบากพ่อบ้านเหลียงอีกที่ต้องเข้ามาห้ามทัพเสียทุกคราไป อะไรไม่ว่า พ่อบ้านเหลียงก็ถูกซิ่นเฉิงแผลงฤทธิ์ใส่อีกด้วย

ก่อนหน้านั้นให้ไปตักน้ำจากบ่อน้ำมารดต้นไม้ในสวน ซิ่นเฉิงก็เกิดหงุดหงิดฉุนเฉียว ทิ้งถังน้ำลงพื้นเอาดื้อๆ เมื่อคนรับใช้คนหนึ่งทักท้วง ก็ถูกเขาคว้าถังน้ำใบเดิมมาสาดน้ำใส่ พอพ่อบ้านเหลียงเข้ามาห้ามปราม ซิ่นเฉิงก็จัดการเอาถังไม้นั้นแกว่งกระหวัดฟาดเสียอย่างนั้น เคราะห์ดีที่พ่อบ้านเหลียงมีวรยุทธ์ด้วยเดิมทีเองก็เป็นเทพบนสวรรค์จึงหลบหลีกมาได้ แต่ไม่หยุดเพียงเท่านั้น ซิ่นเฉิงอาละวาดทำลายสวนจนต้องเรียกเหล่าทหารเทพอสูรมากำราบ กว่าจะสิ้นฤทธิ์ก็เล่นเอาสวนพังไปเสียครึ่งแถบ

ช่างน่าปวดกะโหลกยิ่งนัก!

และไม่ว่าจะให้ซิ่นเฉิงทำงานใด เขาก็ไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุผลหลักคือเขาไม่อาจปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ พ่อบ้านเหลียงพยายามเข้าใจว่าเป็นเพราะซิ่นเฉิงใช้ชีวิตอย่างอิสระ เมื่อถูกกำหนดกฎเกณฑ์ก็อึดอัดจนคลุ้มคลั่ง แต่การที่อาละวาดมันเสียทุกงาน ทุกชั่วยาม และทุกทิวาราตรี มันทำให้เขาหมดความอดทนเช่นกัน

เรื่องความเกเรของคนรับใช้คนใหม่ของจวนจึงไปถึงหูท่านแม่ทัพ แม้ไม่อยากจะให้มีเรื่องรำคาญใจ แต่ถึงอย่างไร เทียนอี้ก็สมควรต้องรับรู้

“ข้าว่าท่านแม่ทัพต้องจัดการเจ้ามนุษย์ผู้นั้นเสียให้เด็ดขาดแล้วขอรับ เพราะท่านใจดี เอ็นดูเจ้านั่นมากเกินไป เลยทำให้ได้ใจ”
เทียนอี้รู้อยู่แล้วว่าสักวัน พ่อบ้านเหลียงจะต้องมาคุยกับเขาเรื่องนี้ เขาวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ ชำเลืองมองผู้พูด

“มันเป็นการฝึก”

ฝึกก็คือการปราบพยศ อย่างที่เทียนอี้เคยว่า ซิ่นเฉิงเป็นม้าหนุ่มจอมพยศ จะปราบพยศได้ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่สำหรับพ่อบ้านเหลียงแล้ว เขาคิดว่าไม้อ่อนคงจะใช้ไม่ได้ผลกับเจ้าม้าตัวนี้ สมควรอย่างยิ่งแก่การเอาไม้มาทุบให้หัวแบะเสียมากกว่า

“แต่ข้าว่าการที่ท่านแม่ทัพปล่อยให้เป็นเช่นนี้ รังแต่จะทำให้เจ้ามนุษย์นั่นได้ใจนะขอรับ ข้าว่าท่านทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะกำเริบเสิบสานไปมากกว่านี้ดีกว่า”

เทียนอี้เข้าใจความกังวลของพ่อบ้านเหลียงดี แต่เขาก็ไม่ได้เห็นว่ามนุษย์อย่างซิ่นเฉิงจะร้ายกาจอะไร ที่บุกเข้ามาในจวนเขายามวิกาลนั่นก็เพราะเป็นห่วงน้องสาวร่วมสายโลหิต ยอมสละตนเองเพื่อให้พรรคพวกรอด นั่นนับว่าเป็นความกล้าหาญอย่างยิ่งเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้เลยทีเดียว

“เจ้าไม่ต้องใส่ใจ ทำตามที่ข้าสั่งไปเถิดพ่อบ้านเหลียง”
เพราะคิดอย่างนั้นเลยไม่มีความเห็นใดอีก พ่อบ้านเหลียงเห็นก็เอ่ยปากท้วง
“แต่ว่า...”
“ประเดี๋ยวข้าจะไปที่ห้องหนังสือเสียหน่อย ราตรีนี้เจ้าไม่ต้องตามมาคอยรับใช้ ไปพักผ่อนเถิด” ตัดบทเอาเสียดื้อๆ

พ่อบ้านเหลียงเลยพูดต่อไม่ออก ได้แต่ระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

ท่านแม่ทัพเทียนอี้จะชะล่าใจเกินไปแล้ว...




 
คราแรกที่ตอบรับเงื่อนไขของเทียนอี้ก็เพราะคิดว่าแค่ทำตามที่อมนุษย์ตนนั้นต้องการ แลกกับเครื่องประดับชิ้นหนึ่งอะไรนั่น มันไม่ใช่เรื่องอยาก แต่ในความเป็นจริง ช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน ซิ่นเฉิงแทบจะกัดลิ้นตัวเองตายอยู่แล้วเมื่อต้องทำตามความประสงค์ของผู้เป็นนายที่เขาไม่เต็มใจยอมรับอย่างนั้น

สู้ไปขโมยมาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวแล้วหนีออกไปยังจะง่ายกว่าอีก!

ชายหนุ่มอดคิดอย่างนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ ยังไม่เพียงคิดอีกด้วย เขาจะทำมันจริงๆ

หลายราตรีที่ผ่านมานี้ ซิ่นเฉิงลอบสังเกตว่าทุกคืน เทียนอี้จะออกจากห้องรับรองไปยังห้องหนังสือ และใช้เวลาอยู่ในนั้นจนถึงยามจื่อ[1] จากนั้นถึงจะกลับเข้าห้องนอน ดังนั้น หากเขาจะไปขโมยมาและหนีออกจากจวนแม่ทัพ รวมถึงกลับสู่ทะเลทราย จึงมีโอกาสแค่ชั่วยามนี้เท่านั้น

ซิ่นเฉิงออกจากเรือนคนรับใช้เมื่อถึงเวลา สายตากวาดมองไปในความมืดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดพบเห็นเขา ครั้นเห็นทางสะดวกก็รีบทะยานไปยังเรือนหลังใหญ่ หมายจะเข้าไปในห้องนอนของเทียนอี้



 
กลิ่นสาบทะเลทรายลอยคละคลุ้งมาแตะปลายจมูก ต่อให้ผ่านการอาบน้ำชำระล้างร่างกายหลายต่อหลายครั้ง แต่เทียนอี้ก็จำได้ดีว่ากลิ่นนี้เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของซิ่นเฉิง ด้วยความที่กลิ่นเข้ามาใกล้เสียจนเตะปลายจมูก ทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่าเจ้าของกลิ่นคงจะมาเล่นสนุกในเรือนของเขากลางดึก ทำให้เขาต้องละความสนใจจากตำราตรงหน้า ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้และออกไปยังนอกระเบียง สูดหายใจเพื่อหาต้นตอว่ากลิ่นนั้นพัดมาจากทิศทางใด

“ห้องนอน...” เทียนอี้พึมพำ หน้าผากย่นยู่เล็กน้อยก่อนจะตรงไปยังทิศทางนั้น การที่ซิ่นเฉิงบุกรุกห้องนอนเขาคงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกเสียจาก...

คิดแล้วก็หัวเราะในลำคอด้วยรู้ว่าซิ่นเฉิงจะไปหาอะไรในห้องนอนเขา พลางพึมพำออกมาอีก

“เจ้าแมวขโมยตัวนี้ช่างไม่เข็ดหลาบเอาเสียเลย”




 
ห่อผ้าบรรจุเครื่องประดับต้องอยู่ที่ไหนสักที่ในห้องนอนของเทียนอี้!

แต่ซิ่นเฉิงที่บุกรุกเข้ามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ก็ยังหาไม่เจอเลยแม้แต่น้อย เขารื้อทุกตู้ ค้นทุกชั้น ไม่เว้นแม้แต่ซอกมุม ล้วนหาไม่เจอเลยสักนิดว่าห่อผ้าที่ซิ่นจินฝากให้อยู่ที่ไหน พานชวนให้หัวเสียขึ้นมาอีกจนต้องก่นด่าเจ้าของห้องออกมา

“ขุดดินฝังกลบหรืออย่างไรกัน เจ้าสุนัขหัวขโมย...”
เสียงนั้นเข้าหูของเทียนอี้ซึ่งอยู่ทางด้านนอกอย่างจัง

สุนัขหัวขโมยเช่นนั้นหรือ? เขานึกขันในใจ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ข้าว่าเจ้าต่างหากกระมังที่เป็นหัวขโมย ...เจ้าแมว”

ซิ่นเฉิงสะดุ้งเฮือก หันไปมองตามทิศทางของต้นเสียง พลันเห็นเงาตะคุ่มสูงใหญ่ทางด้านนอกประตูก็รีบหาทางหนีทีไล่ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาหมายจะหนีออกจากจุดที่อยู่ ทว่าก็ไม่ทันการ เพียงแค่จะกระโดดออกจากหน้าต่าง เทียนอี้ก็ผลักบานประตูเข้ามา ปรี่มาหาเขาด้วยความว่องไว คว้าข้อเท้าไว้ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะกระโดดลงจากขอบหน้าต่างได้เสียอีก

“เข้ามาทำสิ่งใดในห้องข้า”
ซิ่นเฉิงหันไปมองด้วยสีหน้าตื่นๆ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ
“ปล่อยมือออกจากข้าประเดี๋ยวนี้!”

เทียนอี้ไม่ปล่อย ขืนปล่อย เจ้าแมวตัวนี้ก็กระโดดหนีไปน่ะซี...

เขากระชากให้อีกฝ่ายกลับเข้ามาข้างในห้อง หมายจะสอบถามให้ได้ความว่าเข้ามาในห้องนอนของเขาเพื่อการใด ทว่าการดึงซิ่นเฉิงกลับเข้ามานั้น ราวกับเป็นการเปิดฉากการต่อสู้ ซิ่นเฉิงส่งหมัดใส่อีกฝ่ายทันที

กำปั้นหลุนๆ ที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าทำให้เทียนอี้ผงะถอย เมื่อปัดมันออก ซิ่นเฉิงก็จัดการปล่อยหมัดอีกข้างใส่ กลายเป็นว่าแม่ทัพเทพอสูรต้องปะมือกับมนุษย์หนุ่มอย่างจำยอม

ถึงจะรู้ว่าสู้ไม่ได้ในเรื่องของพละกำลัง กระนั้นซิ่นเฉิงก็ยังจะดื้อด้านสู้ ครั้นเห็นเทียนอี้หลบหลีกทุกกระบวนยุทธที่เขาสำแดงออกมาได้ชะงัด สีหน้าของซิ่นเฉิงก็กราดเกรี้ยว ขัดใจไม่น้อยที่ไม่อาจจะต่อกรได้ ก่อนจะเปลี่ยนจากการใช้หมัดมาใช้กรงเล็บ วิชามารที่เขาเรียนรู้จากผู้เฒ่าคนหนึ่งในเผ่าซึ่งอดีตเคยเป็นนักรบ

ฝ่ามือพุ่งไปคว้าคอเสื้อของเทียนอี้ ก่อนกระชากเต็มแรง ส่งผลให้อาภรณ์ขาดวิ่นเป็นชิ้น เทียนอี้ชำเลืองมอง เห็นตนเสียท่าก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่ควรจะหยอกล้อกับคนตรงหน้าอีกแล้ว จริงอย่างที่พ่อบ้านเหลียงพูด ใจดีด้วยมากไป อีกฝ่ายจะกำเริบเสิบสาน

ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะยั้งมืออีกต่อไป ทันทีที่เห็นซิ่นเฉิงพุ่งเข้ามาหาพร้อมกับวิชากรงเล็บมาร เขาก็คว้าเอาข้อมือข้างนั้นไว้ บิดไพล่หลังเสียจนอีกฝ่ายร้องโอดโอยออกมาเมื่อความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย อีกทั้งยังเตะตัดขาให้อีกฝ่ายทรุดลงไปกองกับพื้น ก่อนจะว่าเสียงเข้ม

“ถึงเวลาที่เจ้าต้องหยุดพยศเสียที”
ซิ่นเฉิงซึ่งเจ็บปวดจนใบหน้าเหยเกเหลือบมองอมนุษย์ตนนั้น ก่อนจะแค่นเสียง
“ข้า...จะไม่ยอมก้มหัวให้เจ้า ไม่มีวัน!”

ดื้อดึงเสียจนน่าจับโบยนัก!

“แต่มันถึงเวลาแล้ว” ถึงจะคิดเช่นนั้น เทียนอี้ก็ไม่อยากจะถือสาหาความใด ได้แต่บอกเสียงเรียบ พลันปล่อยมือออกจากร่างกำยำนั้น

ทว่า... การปล่อยให้ซิ่นเฉิงเป็นอิสระ แทนที่เขาจะเข็ดหลาบเพราะความเจ็บปวดที่เทียนอี้มอบให้ เขากลับไม่ยอมอ่อนลงง่ายๆ สบโอกาสก็พุ่งเข้ามาหา หมายจะทำร้ายคนตรงหน้าอีก

เทียนอี้หันกลับมาในชั่วพริบตา ยื่นมือออกไปตรงหน้า คว้าเอาลำคอแกร่งของซิ่นเฉิงไว้ พลันออกแรงบีบเสียจนคนที่คิดร้ายต่อเขาหายใจไม่ออก

ซิ่นเฉิงดิ้นพล่าน มือทั้งสองพยายามรั้งเอามือของเทียนอี้ออก ทว่าก็ไร้ประโยชน์เมื่อมันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าคล้ำแดดเริ่มซีดขาวด้วยขาดอากาศหายใจ จึงสะบัดขาเตะเข้าที่ช่องท้องของเทียนอี้เต็มแรง

ถึงจะความอดทนเป็นเลิศ แต่ถูกเตะเข้าไปอย่างนั้นก็ทำเอาจุกเหมือนกัน เทียนอี้คลายฝ่ามือออกเล็กน้อย ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะวาดกรงเล็บมารเข้าที่ใบหน้า หากแต่เทียนอี้หลบได้จึงพลาดไปโดนยังลำคอ

ขนสีเงินยวงกระจุกหนึ่งหลุดติดมือชายหนุ่มมา เทียนอี้เหลือบมองแล้วก็คำราม
“เจ้า...!”
ชักจะโกรธขึ้นมาเสียแล้ว อุตส่าห์ให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงดูเป็นอย่างดี แต่เจ้าแมวป่าตัวนี้ก็หาได้เชื่องขึ้นเลยแม้แต่น้อย ยังจะตอบแทนบุญคุณเขาด้วยการข่วนจนขนของเขาหลุดอีก

ช่างน่าทำโทษนัก!

ส่วนซิ่นเฉิง เห็นขนบริเวณลำคอของเทียนอี้หายไปกระจุกหนึ่งก็ยิ้มเยาะออกมาด้วยกำแหง
“ทำไมรึเจ้าหมาน้อย”

เทียนอี้หมดความอดทนแทบจะในทันที ส่งเสียงคำรามแล้วพุ่งเข้ามาหาอีกฝ่าย ซิ่นเฉิงหมายจะหลบ แต่คราวนี้เทียนอี้เอาจริง หลบไปก็เท่านั้นเพราะเขาถูกคว้าลำคอเสียเต็มแรง ก่อนจะถูกเหวี่ยงไปยังเตียง ตามมาด้วยร่างใหญ่ที่ทาบทับลงมา

เสียงลมหายใจกระหืดหอบดังออกมาจากอมนุษย์ออกมาคล้ายกับว่าสะกดโทสะที่พวยพุ่ง ซิ่นเฉิงพยายามขยับ ด้วยหายใจไม่ออกแต่ไม่เป็นผล ครั้นเมื่อสบดวงตาสีทองอำพัน เขาก็หยุดเคลื่อนไหวไปในทันที

สีหน้าของเทียนอี้ในตอนนี้หาใช่นิ่งเรียบอย่างที่เคยเห็นอีกต่อไป ทว่าดูกราดเกรี้ยว แยกเขี้ยวใส่ราวกับจะบอกว่าหากเขาไม่หยุดดื้อดึง คมเขี้ยวสีขาวมุกคู่นี้แหละจะฝังลงมาบนลำคอของเขาแล้วฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ จนจำซากเดิมไม่ได้

“อย่าดื้อรั้นกับข้า”

พอจะหายใจได้เกือบเป็นปกติแล้ว เทียนอี้ก็ว่าขึ้นเมื่อเห็นว่าสายตาที่ซิ่นเฉิงมองมาแฝงไปด้วยความหวาดกลัว

ใช่...หวาดกลัว ถึงจะกล้าเพียงใด แต่ทุกครั้งที่ถูกเทียนอี้จับจ้อง ลึกๆ ในใจเขาก็ประหวั่นพรั่นพรึงอมนุษย์ตนนี้อยู่ดี

ครั้นเห็นว่าการสั่งสอนสมควรพอแค่นี้ เทียนอี้ก็คลายฝ่ามือแล้วผละขึ้นนั่ง ซิ่นเฉิงไอโขลกหน้าดำหน้าแดงกระทั่งน้ำตาไหล เจ็บใจไม่น้อยทีเดียวที่สู้เทียนอี้ไม่ได้ ไม่เพียงแค่พละกำลังมากกว่าเขามหาศาล ยังจะมีวรยุทธที่เหนือชั้นกว่าอีกโข แม้จะมีร่างกายใหญ่โต แลดูคล้ายกับว่าจะเคลื่อนไหวได้เชื่องช้า ทว่าผิดถนัดด้วยเทียนอี้นั้นเคยเป็นเทพ ถึงจะสูญสิ้นซึ่งพลังตบะที่สั่งสม แต่ก็ไม่แปลกที่เขาจะยังมีวรยุทธสูงส่งติดตัวอยู่ เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เขาฝึกฝนจนแก่กล้าเสียก่อนที่จะกลายเป็นเทพเสียอีก อีกทั้งยังหวาดกลัวเทียนอี้จนร่างกายแข็งทื่ออีก เป็นความจริงที่ไม่อยากยอมรับแต่ก็จำยอมด้วยไม่อาจเลี่ยงได้

ช่างน่าเจ็บใจจริงๆ!

เทียนอี้จ้องมองมนุษย์หนุ่มด้วยสายตายากจะอ่าน ไม่รู้ว่าเขากำลังระอาใจอย่างที่พ่อบ้านเหลียงระอา หรือครุ่นคิดหาวิธีกำราบพยศอยู่กันแน่ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มหยุดไอแล้ว เขาก็เปรยออกมา

“หากเจ้ามีเรี่ยวแรงมากมายถึงเพียงนั้น รุ่งขึ้นให้มาพบข้าที่ลานกว้างของจวน ไม่ต้องไปกับพ่อบ้านเหลียง”

ซิ่นเฉิงไม่รู้ว่าเทียนอี้ให้เขาไปพบทำไม แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนักด้วยเจ็บแค้นเสียจนตามืดบอดเสียมากกว่า
“ข้าจะไม่ทำตามคำสั่งของเจ้า! โอ๊ย!” ถึงจะกลัว แต่ก็ไม่วายยอกย้อน พลางดันตัวขึ้นหมายจะลุก ทว่าเมื่อใช้ข้อมือที่ถูกบิดเมื่อดันตัวขึ้น ความปวดแปลบก็พร่างพรายจนต้องนั่งลงไปอย่างเดิม

เทียนอี้เห็นว่าข้อมืออีกฝ่ายแดงเถือกก็คว้าแขนข้างนั้นของซิ่นเฉิงไปพินิจ
“แค่กล้ามเนื้ออักเสบเล็กน้อย ใช้สมุนไพรประคบเพียงครู่ก็หาย ไปที่ห้องโอสถกับข้า ข้าจะประคบให้ ป่านนี้พ่อบ้านเหลียงคงเข้านอนแล้ว”

เห็นท่าทางนั้น ซิ่นเฉิงก็กระชากแขนกลับ
“ข้าไม่ต้องการความเมตตาจากสุนัขป่าอย่างเจ้า!”
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าดื้อดึงกับข้า” เทียนอี้ถามเสียงต่ำ
ซิ่นเฉิงชักสีหน้า “หากข้าจะต้องตาย ข้าจะยอมตายถ้าต้องวิงวอนขอชีวิตจากเจ้า”

คล้ายจะได้ยินเสียงถอนหายใจดังออกมาจากเทียนอี้

เอาเถิด ไม่อยากจะประคบสมุนไพรก็ช่าง ถ้าเช่นนั้นก็...

“กลับเรือนนอนไป รุ่งเช้า ข้าจะให้คนไปตาม”

...ไล่เลยแล้วกัน อยู่ด้วยนานๆ แล้วชักจะปวดกะโหลกอย่างที่พ่อบ้านเหลียงเป็นแล้ว

ไม่ต้องให้ไล่ซ้ำ ซิ่นเฉิงก็ไม่อยู่ต่อ ต่อให้ไม่ไล่ก็ไม่มีวันอยู่ เขารีบผุดลุกขึ้น ส่งสายตาเจ็บแค้นมาให้เทียนอี้ ก่อนจะพรวดพราดกลับออกไปในพริบตา

เสียงร้องโหวกเหวกด้วยความโมโหพร้อมกับเสียงกิ่งไม้ของต้นไม้บางต้นถูกทำลายลอยตามมาให้ได้ยิน ไม่ต้องถามก็รู้เลยว่าป่านนี้ซิ่นเฉิงคงจะระบายอารมณ์กับต้นไม้ในสวนเขาอยู่

นี่คงหมายจะให้สวนของเขาพินาศให้จงได้สินะ?

กระนั้นเทียนอี้ก็ไม่ถือสาใดๆ ทำเพียงยกมือขึ้นแตะลำคอบริเวณที่ขนหายไป พลางพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง

เจ้าแมวตัวร้าย...

[1] ยามจื่อ เท่ากับเวลา 23.00 น. - 00.59 น.



**************

แม่ทัพเทียนอี้มีมติแล้วค่ะว่าอาเฉิงเป็นเจ้าแมว

ตอนนี้เป็นแมวป่าสุดจะไม่เชื่องอยู่ เคืองที่กระชากเอาขนหลุดไปเป็นกระจุก

แต่อีกไม่นานคงได้กลายเป็นแมวน้อย

ถึงตอนนั้นคงถูกท่านแม่ทัพน้วยทั้งวัน 555



ป.ล.ใครเล่นทวิตเตอร์ ติดแท็ก #เสี้ยวอสูร นะคะ

เดี๋ยวนายไปสร้างเพจในเฟซบุ๊กกับสมัครทวิตก่อน

จะได้เอามาเม้าท์กันนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2017 22:08:15 โดย Nov9th »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ตาย ๆ  ปล้ำกันดุเดือดรุนแรงจนเตียงแทบพัง  แต่เทียนอี้นี่ใจอ่อนเหลือเกิน

ออฟไลน์ ice.sp0211

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ปราบพยศกันได้ดุเดือดจริงๆ

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
แมวพยศน่าดูเลย สงสัยจริงว่าจะปราบพยศยังไง

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
นี่เทพอสูรฆ่าแม่นายเอกหรือเปล่าดูโกรธ เกลียด จนหน้ามืดมาก

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด