►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!  (อ่าน 94894 ครั้ง)

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เจ้าหมา น่ารัก น่าฟัด อยากไปฟัดด้วย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ได้แต่ถอนหายใจ อ่านแล้วเครียดจังค่ะ  :ling3:

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
เป็นหลิวซูจริงๆหรอ โอยยยย

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ

เทียนอี้กกกอดซิ่นเฉิงให้หลับใหลไปในอ้อมแขนแกร่งของตนตลอดทั้งคืน ครั้นตื่นมา ซิ่นเฉิงก็ระลึกชาติได้ว่าเหตุใดตนถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเทียนอี้นัก นั่นเป็นเพราะเมื่อชาติแรก เขากับเทียนอี้มีสายสัมพันธ์เกาะเกี่ยวกันอย่างมิอาจตัดขาด ถึงกระนั้นก็ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าในใจของเขารักใคร่ใครอีกคนเมื่อได้พบหน้ากับเจี้ยนสืออีกคราในวันที่กองทัพจะยาตราสู่ทะเลทรายและมุ่งลงใต้

แท้จริงแล้ว ก้นบึ้งในจิตใจนั้น เขารักเจี้ยนสือต่างหาก...

ทว่าซิ่นเฉิงกลับปฏิเสธความรู้สึกนั้น เพราะนั่นเป็นความรู้สึกของหลิวซู หาใช่ของเขา แม้จะเป็นเทพชั้นผู้น้อยอันมีหน้าที่ในโรงครัวสวรรค์กลับมาเกิด แต่ซิ่นเฉิงก็บอกกับตนเองว่าคนที่เขาเป็นคือซิ่นเฉิง บุรุษแห่งทะเลทราย หาใช่เทพชั้นผู้น้อยผู้นั้นไม่
ครั้นบอกกับตนเองอย่างนั้นก็เก็บความรู้สึกหลากหลายไว้ในใจเพียงลำพัง แต่งกายและเตรียมตัวให้พร้อมสู่การกลับไปเหยียบยังดินแดนมาตุภูมิ

เครื่องประดับนักรบของเผ่าถูกสวมใส่ทุกชิ้นไม่เว้นแม้แต่เครื่องประดับผม เส้นผมยาวสลวยที่มักจะถูกปล่อยสยายเสมอถูกรวบขึ้นด้วยสองมือหยาบหนา ก่อนจะถักเป็นเปียยาว ใบหน้ายามเส้นผมถูกรวบรัดช่างสร้างความแปลกตาให้แก่ผู้พบเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเทียนอี้ที่จ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ซีกหน้าของชายหนุ่มหาได้งดงามน่าทนุถนอมเช่นหลิวซู อีกทั้งผิวพรรณก็หยาบกระด้าง เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผล กระนั้นกลับชวนให้มองเป็นอย่างมาก เสน่ห์ที่ไม่อาจเชื่อว่าจะมาจากบุรุษผู้นี้พร่างพรายออกมาราวกับละอองเกสรของบุปผาฟุ้งกระจาย แต่แล้วก็ต้องได้สติกลับคืนเมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามาหาพร้อมกับบางสิ่งในมือ

“สิ่งนี้ข้าคืนให้เจ้า”

นั่นคือเครื่องประดับผมของเผ่าที่มีเขี้ยวสุนัขป่าห้อยประดับ มันเป็นของที่เทียนอี้ได้มอบไว้ให้ เทียนอี้รับกลับคืนมา ทว่าก็ไม่ได้เก็บไปอย่างที่ควรจะเป็น กลับเอาประดับผมข้างกับเครื่องประดับอีกชิ้นของซิ่นเฉิงเสียอย่างนั้น เมื่อเสร็จสิ้นถึงพูดขึ้น

“มันเป็นของเจ้า”
“ข้าไม่ใคร่รับไว้” แม้จะไม่ได้ใส่อารมณ์ แต่น้ำเสียงและใบหน้าก็บ่งบอกว่ารำคาญใจ

เทียนอี้ไม่ถือสา ยิ้มรับเล็กน้อย “อย่างไรเสีย ข้ากับเจ้าก็ไม่ได้เจอกันชั่วนิรันดร์แล้ว ถือว่าเป็นของต่างหน้าจากข้า หากเจ้าไม่ต้องการ ก็ทิ้งมันไป”

พอได้ยินเช่นนั้น คนดื้อดึงก็ไม่พูดอะไรต่อ ยิ่งได้สบสายตาของเทียนอี้ด้วยแล้ว ในใจของเขาก็ปวดแปลบขึ้นมา

ไม่ได้เจอกันชั่วนิรันดร์... คำนี้นั้นช่างบีบรัดหัวใจยิ่งนัก แม้ไม่ได้จากตาย แต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้เหลือแสน

ซิ่นเฉิงจึงไม่พูดอะไรอีก เดินไปหาพ่อบ้านเหลียงที่นำดาบวงพระจันทร์ประจำกายของเขาที่เทียนอี้เก็บไปมาคืนให้ บัดนี้ชายหนุ่มเป็นนักรบแห่งเผ่าทะเลทรายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ภาพที่เห็นนั้นคือตัวตนที่แท้จริงของซิ่นเฉิง เขาพอใจกับภาพสะท้อนของตนเองในยามนี้ แต่สำหรับเทียนอี้แล้ว มันช่างตอกย้ำว่าอีกฝ่ายหาใช่เจ้าแมวป่าในจวนของเขาอีกต่อไป กระนั้นก็ต้องเก็บความรู้สึกในใจไว้ ขณะที่เทียนอี้เองก็หาใช่เจ้าหมาของซิ่นเฉิงเช่นกันยามที่สวมเกราะแม่ทัพใหญ่ ดำรงตำแหน่งผู้นำทัพเคียงคู่เจี้ยนสือนำพลไปปราบปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวารี

ราวกับเรื่องราวในอดีตชาติวนกลับมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้พวกเขาจะพลาดพลั้งไม่ได้ เพราะโชคชะตาของพวกเขาแขวนไว้กับชะตาชีวิตของปีศาจตนนั้น หากทำสำเร็จ พรที่เหล่าเทพอสูรพึงได้คนละข้อก็จะสัมฤทธิ์ผล ความหวังที่จะได้กลับเป็นเทพยังมี จึงจำเป็นที่จะต้องชนะเท่านั้น

แต่กับเทียนอี้แล้ว เขาไม่ได้อยากใช้พรนั้นเพื่อกลับเป็นเทพ แต่อยากขอพรเพื่อให้ได้อยู่ครองคู่กับคนตรงหน้ามากกว่า ทว่า...ซิ่นเฉิงอยากกลับทะเลทราย เขาคงใช้พรเพื่อการนั้นไม่ได้

เขาไม่ได้เห็นแก่ตัวถึงขนาดต้องฝืนบังคับให้อีกฝ่ายอยู่กับตนโดยปราศจากความสุขเช่นนั้น หากซิ่นเฉิงจะอยู่กับเขา ก็ขอให้เป็นเพราะชายหนุ่มต้องการด้วยตนเองจะดีกว่า

คำอำลาไม่มีระหว่างทั้งสอง เทียนอี้ฝากฝังซิ่นเฉิงไว้กับพ่อบ้านเหลียงที่ดูแลทัพเสบียงกรัง ส่วนตนก็นำทัพทหารในจวนไปเป็นแนวหน้าคู่กับเจี้ยนสือ แม่ทัพอื่นๆ และเหล่ากุนซือต่างมาร่วมศึกในครั้งนี้ บรรดามนุษย์ซึ่งเป็นข้ารับใช้ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตาม ภายในกองทัพจึงมีแค่ซิ่นเฉิงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นมนุษย์

กระนั้นก็หาได้เป็นปัญหาเพราะซิ่นเฉิงไม่ได้ก่อกวนผู้ใด เขาเอาแต่ครุ่นคิดในใจเมื่อควบอาชาเหยียบย่างผืนทรายอันเป็นแผ่นดินเกิด

ไม่อยากกลับ...

เป็นเสี้ยวความคิดหนึ่งที่แวบเข้ามาในใจเท่านั้น ก่อนจะมลายหายไปเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเจี้ยนสือที่นำไพร่พลทหารจากสังกัดจวนตนเองมาสมทบ

ดวงตาคมชำเลืองมองมนุษย์หนุ่ม เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวเต็มยศก็รับรู้ได้ทันทีว่าซิ่นเฉิงคิดจะทำการใด และก็ไม่แปลกใจหากเทียนอี้จะปล่อยอีกฝ่ายไป ในใจคิดว่าดีเสียอีกที่ซิ่นเฉิงจากไปได้ เพราะเขาจะได้ไม่ต้องสับสนระหว่างชายหนุ่มผู้นั้นกับหลิวซูอีก
ชำเลืองมองเพียงครู่ก็ควบม้าจากไป ไร้ซึ่งถ้อยวจีใดทั้งสิ้นเช่นกัน ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ใส่ใจ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อฉับพลันก็รู้สึกว่าในใจปวดแปลบขึ้นมา

การเมินเฉยนั้น...ช่างสร้างความปวดร้าวยิ่งนัก

แต่ก็แสร้งทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความรู้สึกนั้นเป็นของหลิวซู เขาบอกกับตนเองไว้อย่างนั้น ก่อนที่จะเข้าร่วมขบวนทัพมุ่งหน้าลงดินแดนทางใต้ไป


 
ที่หมายของกองทัพคือการมุ่งหน้าลงใต้ แต่ที่หมายอันดับแรกของเทียนอี้คือการนำซิ่นเฉิงไปส่งยังเผ่าทะเลทรายที่ปักหลักอยู่ไม่ไกลจากแคว้นเฟิงฝู เพราะต้องใช้เส้นทางเดียวกันอยู่แล้วจึงไม่ได้รีบร้อน เมื่อพลบค่ำก็ออกคำสั่งให้ขบวนทัพหยุดเดินเท้า ก่อนจะสั่งทหารตั้งกระโจมเพื่อใช้พักผ่อนสำหรับค่ำคืนนี้

แม้จะต้องกลับทะเลทรายและกลายเป็นอื่น แต่เทียนอี้ก็ยังเรียกหาให้ซิ่นเฉิงมานอนร่วมกระโจม ในยามกลางวัน ดวงอาทิตย์ส่องแสงแผดเผาจนทะเลทรายผืนนี้แทบมอดไหม้เป็นจุณ แต่เมื่อราตรีกาลคืบคลาน ความหนาวเย็นกลับเข้าครอบงำราวกับจะแช่แข็งให้สิ่งมีชีวิตสูญสิ้น ซิ่นเฉิงเป็นมนุษย์ ต่อให้มีชีวิตอยู่ในทะเลทรายมาโดยตลอดแต่ก็ไม่อาจนอนค้างอ้างแรมกลางทรายเลยได้ จำเป็นต้องมีที่พำนัก

ชายหนุ่มก็หาได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่เข้าไปในกระโจมแม่ทัพใหญ่ในทันที หลังจากมื้ออาหารเย็นก็มานั่งหลบอยู่ยังมุมหนึ่ง ครั้นหาตัวไม่เจอ เทียนอี้ที่เพิ่งกลับถึงกระโจมหลังจากประชุมกับเหล่าแม่ทัพเสร็จก็เดินหาให้วุ่น ก่อนจะมาพบว่าซิ่นเฉิงนั่งเดียวดายอยู่ที่เนินทรายไม่ไกลนัก

“เดินทางมาทั้งวัน เจ้าไม่เหนื่อยหรือ?”

เดินตรงมายังอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยปากถาม เมื่อหันไปมอง ซิ่นเฉิงก็เห็นว่าบัดนี้เทียนอี้อยู่ในร่างของเทพสวรรค์ แสงจันทร์สาดส่องอาบแสง ความงดงามที่ปรากฏให้เห็นช่างเย้ายวนสายตานัก

ทว่า...ไม่ใช่ในยามนี้ ซิ่นเฉิงหาได้อยากชื่นชมอีกฝ่ายในอารมณ์นี้

ในอารมณ์ที่ตอกย้ำตลอดว่าพวกเขาจะต้องพรากจากกันตลอดกาล...

เห็นคนตรงหน้าไม่ตอบ เทียนอี้ก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะพูดออกมาอีก

“ราตรีนี้เหน็บหนาวนัก ยิ่งอยู่กลางทะเลทราย สายลมก็หนาวกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เสื้อผ้าของเจ้าน้อยชิ้น หากนั่งอยู่เช่นนี้ ข้าเกรงว่าเจ้าจะป่วยไข้เอา”

ที่มานั่งด้วยเป็นเพราะห่วงเรื่องนี้นั่นเอง

“ข้าเกิดและโตที่ทะเลทรายมาทั้งชีวิต หากป่วยไข้ง่ายๆ ข้าคงไม่มีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้” น้ำเสียงแหบห้าวตอบกลับไป

เทียนอี้รู้ว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไร ซิ่นเฉิงก็ไม่มีวันที่จะเชื่อฟัง ดังนั้นจึงเอื้อมมือไปปลดเอาผ้าคลุมของตนออก แล้วตวัดคลุมร่างของคนข้างกายโดยไม่พูดพร่ำ

คนถูกจู่โจมหันมามองอย่างระวังตัว พอเห็นว่าสิ่งที่เทียนอี้ใช้คลุมกายเขาคืออะไรก็ชะงักงันไป

“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าราตรีนี้เหน็บหนาว เจ้าต้องรักษาความสมดุลของธาตุในร่างกายไว้”
“มอบผ้าคลุมแก่ข้า แล้วเจ้าไม่หนาวหรือไร”
“ข้าไม่เป็นไร หากหนาว ข้าจะกอดเจ้าเอง”

เป็นการเปิดโอกาสให้เทียนอี้เสียอย่างนั้น ซิ่นเฉิงมุ่ยหน้า ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะป้อคำหวานใส่เช่นนี้ ออกจะรู้สึกประดักประเดิดไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ขณะที่เทียนอี้พูดไปตามใจคิดเป็นเพราะตระหนักว่าอีกไม่นานก็จะไม่ได้พบพาน ดังนั้นเขาจึงขอกระทำตามใจตนเอง

“ข้าว่าข้าเริ่มหนาวขึ้นมาแล้วล่ะ”

นั่งไปได้เพียงครู่เดียวโดยไร้ซึ่งบทสนทนา เทียนอี้ก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา ไม่รอให้ซิ่นเฉิงอนุญาตด้วยก็กระเถิบเข้ามารวบร่างแกร่งของมนุษย์หนุ่มไปโอบกอดไว้

แม้จะมีวรยุทธแต่ก็หาได้บอกปัด นอกจากจะหันไปส่งสายตาเขียวๆ ให้อย่างขุ่นใจ

“ได้ใจมากไปแล้วกระมังเจ้าหมา เห็นข้าใจดีด้วยหน่อย หาใช่ว่าเจ้าจะกอดข้าเมื่อใดที่ต้องการก็ได้”
“หากไม่ได้กอดเจ้าตอนนี้ ข้าจะได้กอดเจ้าตอนไหนกันอีก”

เทียนอี้เถียง ทั้งที่เป็นคนไม่ชอบถกเถียงแท้ๆ แต่ยามนี้กลับกลายเป็นคนเอาแต่ใจขึ้นมา

ซิ่นเฉิงก็หาได้รังเกียจหรอก เข้าใจความรู้สึกเทียนอี้ดี เขาเองก็อยากจะกระทำตามใจเช่นกัน ไหนๆ ก็จะไม่ได้พบกันอีกแล้ว แต่เมื่อคิดว่าหากกระทำตามใจจะเป็นการผูกรั้งเงื่อนที่คล้องระหว่างตนและเทียนอี้ให้แน่นยิ่งขึ้น เขาก็ไม่ยอมทำตามใจคิด ได้แต่นั่งนิ่งให้อีกฝ่ายกอดเท่านั้น

นั่งนิ่งๆ ยอมโดยง่ายก็ดีอยู่หรอก หากแต่เทียนอี้อยากให้ซิ่นเฉิงมีปฏิสัมพันธ์กับเขามากกว่านั่งเฉยเป็นรูปปั้นมากกว่า จึงได้ร้องบอกออกไป

“เจ้าจะไม่พูดคุยกับข้าหน่อยหรือ? นั่งนิ่งราวกับก้อนหิน แม้จะตัวอุ่น แต่ก็ทำให้ข้าอดคิดไม่ได้ว่าเจ้ามีแต่ร่างไร้วิญญาณ”
“คนกระทำตามใจตนเองเช่นเจ้ามีหน้ามาพูดอีกหรือไร” ซิ่นเฉิงค้อนขวับ ท่าทางเอาเรื่องนั้นช่างน่าเอ็นดูในสายตาของเทียนอี้เหลือเกิน

“ข้าคงได้กระทำตามใจกับเจ้าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะใจดีกับข้าบ้างไม่ได้หรือ? ก็รู้อยู่แก่ใจว่าข้าคิดกับเจ้าเช่นไร”

คราวนี้เปิดเผยความในใจออกมาอย่างไม่ปกปิด คำพูดที่เทียนอี้ได้เอ่ยไว้เมื่อราตรีก่อนผุดพรายขึ้นในหัว

ข้ารักเจ้า... ไยซิ่นเฉิงจะจำไม่ได้กัน

คิดแล้วในอกก็เต้นระส่ำขึ้นมา ขณะที่เทียนอี้เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ใบหูแล้วกระซิบเสียงพร่า
“หรือจะต้องให้ข้าบอกอีกทีว่าข้ารักเจ้า?”

คนถูกกระซิบใส่ยื่นมือไปดันใบหน้าหล่อเหลาของอดีตเทพสวรรค์ออกห่าง
“อย่าได้ใจให้มันมาก ตั้งแต่รู้จักกับเจ้ามา ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าช่างเจ้าเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้”

เจ้าเล่ห์จริงอย่างที่ถูกปรามาส กระนั้นเทียนอี้ก็หาได้สะทกสะท้าน เขาไม่ได้ทำเช่นนี้บ่อยนัก แต่เพราะคิดว่าไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้วในเวลานี้จึงไม่ปิดบังความต้องการของตนเองอีกต่อไป นั่นก็เพราะคิดว่าบางทีซิ่นเฉิงอาจจะเปลี่ยนใจ ไม่กลับไปยังทะเลทรายแล้ว

แต่ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ดวงหน้าของเทพอสูรผู้นี้ยามอยู่ในร่างอดีตเทพจะหล่อเหลาน่าเชยชมเพียงใด ทว่าซิ่นเฉิงก็ไม่ยอมใจอ่อน

“เงียบปากไปเสีย แล้วอยู่เฉยๆ ข้ามีเรื่องให้ต้องขบคิด”

เรื่องนั้นก็คือเรื่องของเทียนอี้นั่นแหละ จู่ๆ มาทำให้เขาสับสนเช่นนี้มันใช้ได้เสียที่ไหนกัน ไหนจะความรู้สึกลึกๆ ของหลิวซูที่มีต่อเจี้ยนสือจนมาทำให้เขาหวั่นไหวอีกล่ะ เป็นอย่างนี้ เขาก็ปวดศีรษะหนึบเสียจนแทบแตกเป็นเสี่ยงแล้ว

เทียนอี้ที่ถูกตัดเยื่อใยย่นปากเล็กน้อย ครั้งนี้อยู่ในร่างอดีตเทพเพราะต้องแสงจันทร์จึงแสร้งทำหูลู่เพื่อเรียกร้องความสงสารไม่ได้ จึงได้แต่ชำเลืองมองแล้วออกปากเรียกอีกฝ่ายเท่านั้น

“เฉิงเฉิง...”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
"เฉิงเฉิง..."
ก็ยังไม่ตอบรับอยู่ดี
“เฉิงเฉิง...”
“ข้าไม่เสวนากับเจ้า”

ยังไม่ทันจะได้พูดสิ่งใดต่อเลย ซิ่นเฉิงก็โพล่งออกมาเสียแล้ว ครั้นหันไปมองหน้า อีกฝ่ายก็ปั้นหน้าบึ้งตึงปั้นปึ่ง แสร้งไม่ยอมพูดจาอีกระลอก แม้กระทั่งถามว่า...

"เพราะเหตุใดกัน"

...พร้อมกับทำสีหน้าหงอยเหงา ส่งสายตาเว้าวอน ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ประสงค์

เทียนอี้ทั้งหมั่นไส้และมันเขี้ยวในคราวเดียวกัน เขาทำดีด้วยก็เพราะรักหรอก ที่อยากให้สนใจนั่นก็เพราะอีกไม่นานก็ต้องลาจาก ไยซิ่นเฉิงถึงได้ใจร้ายกับเขาถึงเพียงนี้กัน

มันเขี้ยวจนสุดจะทน ก่อนตัดสินใจเอื้อมมือไปจับซีกแก้มของคนข้างกายที่นั่งเหม่อมองไปยังท้องฟ้ามืดมิดเบื้องหน้า ออกแรงบิดเล็กน้อย ซิ่นเฉิงหันมามองตาขวางด้วยหงุดหงิด พลันสะบัดหน้าหนี ทว่าเทียนอี้ก็ไม่ยอมแพ้ คว้าแก้มนุ่มบนใบหน้าคร้ามมาไว้ในมืออีก คราวนี้ไม่ใช่เพียงข้างเดียว แต่ใช้มือสองข้างบิดทั้งสองแก้ม อีกทั้งออกแรงดึงยืดจนใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษทะเลทรายยืดย้วย อีกทั้งยังบานและกลมเหมือนตะกร้าสานสำหรับตากอาหารแห้ง

"อำอันไออ๋องเอ้า! (ทำอันใดของเจ้า!)"

ยิ่งริมฝีปากขยับส่งเสียงไม่ชัดเจนออกมา ใบหน้านั้นก็ดูน่าขบขันมากกว่าน่ากลัวเสียอีก

ช่างน่าเอ็นดูนัก เจ้าแมว...

น่าเอ็นดูจนทนไม่ไหว จนต้องประทับจุมพิตลงมาอย่างมิอาจหักห้าม ซิ่นเฉิงเบิกตาโตเล็กน้อยด้วยตกใจ ครั้นจะฟาดฝ่ามือที่มีลมปราณใส่ก็ยับยั้งไว้ได้ด้วยนึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้ายังบาดเจ็บอยู่ จึงได้แต่โวยวายเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระเท่านั้น

“เจ้าจะได้ใจมากเกินไปแล้ว! ประเดี๋ยวข้าก็ฆ่าเจ้าเสียหรอก!”
“หากจะต้องตายด้วยน้ำมือเจ้าในยามนี้ ก็คงเป็นความตายที่สุขล้ำ”

ไม่ยักรู้ว่าเทียนอี้จะยกยอป้อคำหวานได้ฉกาจถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นชายฉกรรจ์ แต่ซิ่นเฉิงก็อดร้อนวูบวาบที่ใบหน้าไม่ได้ เขาคงเป็นบ้าไปแล้วที่หลงเพ้อไปกับคำหยอดเมื่อครู่นั้น

แต่สำหรับเทียนอี้ สิ่งนั้นใช่เพียงคำหยอกเย้า เป็นความรู้สึกที่อยู่ด้านในซึ่งเขาเผยออกมาให้รับรู้ ก่อนมันจะทวีมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงหลุบสายตาหนีเล็กน้อย ใบหน้าไม่ได้แดงเรื่อเฉกเช่นดรุณีแรกแย้ม แต่อาการนั้นก็บ่งบอกว่ากำลังเขินอาย

ถึงกับครองสติไว้ไม่อยู่ด้วยซิ่นเฉิงน่าเอ็นดูเกินทน คว้าร่างของคนตรงหน้ามาประกบปากมอบจุมพิตให้อีกครั้งจนได้ ซิ่นเฉิงที่แม้จะขัดขืนบ้างในตอนแรกก็จำต้องยินยอมเมื่อได้ยินเสียงกระซิบพร่าเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหนาที่ฉกชิมรสหวานจากเรียวปากของเขาอยู่

“นอกจากเจ้าแล้ว จะมีผู้ใดที่ทำให้ข้าหลงใหลได้มากถึงเพียงนี้อีกกัน”

ที่หลุดพูดออกมาราวกับละเมออย่างนั้นเป็นเพราะในหัวลืมสิ้นไปหมดว่าดวงใจผูกรักมั่นกับหลิวซู ในเวลานี้ ในหัวของเขามีแต่ภาพใบหน้าของซิ่นเฉิงเท่านั้น และรักใคร่มากขึ้นทุกขณะอย่างไม่อาจยับยั้งได้อีกต่อไป

ซิ่นเฉิงเองก็เช่นกัน ต่อให้ไม่ได้พูดหรือเอ่ยความรู้สึกใด แต่เขาก็มั่นใจว่าความอบอุ่นที่อบอวลในอกนั้นเรียกว่าความเสน่หา
ดวงตาสบประสานเมื่อถูกจับจ้อง ก่อนเขาจะเอื้อนเอ่ยออกมาบ้าง

“ต่อให้เจ้ารั้งข้าไว้เพียงใด ข้าก็จะไม่อยู่กับเจ้า”

คำพูดร้ายกาจ หากแต่ดวงตาช่างหยาดเยิ้ม หากไม่ได้รับซึ่งชีวิตอมตะแล้วล่ะก็ เทียนอี้คงขาดใจตายเมื่อได้สบแววตาของซิ่นเฉิงในยามนี้เป็นแน่

“ข้าจะรั้งเจ้าไว้แค่ตอนนี้เท่านั้น ขอแค่ตอนนี้...จงเป็นของข้า มองแต่ข้า และมอบใจให้กับข้า”

เทพอสูรว่าอย่างเอาแต่ใจ ฉกชิมริมฝีปากของซิ่นเฉิงอีกครา ปลายลิ้นสอดเข้าไปเกี่ยวกระหวัดตักตวงความหวานล้ำราวกับว่านี่จะเป็นจุมพิตครั้งสุดท้าย ซิ่นเฉิงโอบแขนรอบลำคอ จูบตอบรับด้วยเสน่หา ไม่ว่าจะอยู่ในร่างของเทพอสูรหรืออดีตเทพ เขาก็ยินดีทุกครั้งที่ถูกเทียนอี้สัมผัสเรือนร่าง

ทั้งสองดื่มดำในมธุรสจุมพิต ไม่สนใจซึ่งสรรพเสียงรอบข้าง ปล่อยให้ความรู้สึกของก้นบึ้งในจิตใจได้ทำตามประสงค์

ใต้นภามืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์และหมู่ดาว บุรุษทั้งสองต่างมอบความรู้สึกผูกพันให้แก่กันโดยปราศจากสุ้มเสียง

ห่างไปจากบริเวณนั้นไม่ไกลนัก เจี้ยนสือที่กระสับกระส่ายมาตั้งแต่เมื่อหัววันจำต้องเดินตามหามนุษย์ผู้เดียวที่เดินทางร่วมขบวนทัพมาด้วยเพราะรู้ดีว่าสาเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยคือซิ่นเฉิง เขาอุตส่าห์แสร้งทำเมินเพราะไม่ต้องการรู้สึกหวั่นไหวด้วย แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเสียงในใจเขาเอาแต่ร้องเรียกหาอีกฝ่าย หากแต่เมื่อพบเจอก็กลับต้องยืนนิ่งค้างเป็นหิน

ภาพของบุรุษทะเลทรายผู้นั้นกอดก่ายแลกเปลี่ยนจุมพิตกับอดีตสหายสนิททำให้เขาขบกรามอย่างขุ่นแค้น มือทั้งสองข้างกำแน่นจนร่างกายสั่นเทิ้ม ภาพของหลิวซูผุดพรายขึ้นมา ขณะที่ในจิตใจดำดิ่งสู่ก้นบึ้งของความริษยาจนเขาคำรามออกมาในใจ

ไม่ว่าจะหลิวซูหรือซิ่นเฉิง ก็จะไม่มีผู้ใดเป็นของเจ้า!

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 20: ก้นบึ้งในจิตใจ[2]

เมื่อครั้งได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่เทียนอี้และเจี้ยนสือทำผิดพลาดในศึกปราบปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวารี อีกทั้งยังแสร้งทำลายเมืองบาดาลเพื่อตบตา จนเป็นเหตุให้องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษด้วยการส่งเหล่าทหารในกองทัพไปจุติเป็นเทพอสูรยังดินแดนมนุษย์ ขณะที่แม่ทัพใหญ่ผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่ทั้งสองถูกตรวนขังไว้ในคุกโลกันต์ตราบนิจนิรันดร์ หลิวซูก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตั้งแต่บัดนั้น แค่ได้ยินว่าพ่อบ้านประจำโรงครัวสวรรค์ซึ่งมีหน้าที่คุมเสบียงกรังของกองทัพถูกลงทัณฑ์ด้วยเป็นหนึ่งในกองทัพของเทียนอี้และเจี้ยนสือ เขาก็ใจหายมากแล้ว พอได้ยินว่าเทพสวรรค์ทั้งสองต้องมีชะตากรรมเช่นไร ก็ยิ่งใจเสียมากขึ้นไปอีก
ถูกจองจำชั่วกัปชั่วกัลป์ เกิดไม่ได้ ตายไม่ได้ อยู่ต่อก็ไม่ได้ อย่างนั้นช่างทรมานกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า

เหนือสิ่งอื่นใด เทพทั้งสองที่ต้องโทษเป็นคนรักของเขา แม้ว่าความรักที่มอบให้นั้นจะต่างกัน กับเจี้ยนสือเป็นรักหมดใจโดยไม่หมายสิ่งตอบแทน กับเทียนอี้เป็นรักดั่งญาติมิตร แต่ไม่ว่าจะรักอย่างใด เขาก็ไม่อาจทนเห็นทั้งสองถูกจองจำทุกข์ทรมานอย่างนี้ได้

ดังนั้นหลิวซูจึงออกอุบาย รับหน้าที่เป็นคนส่งผลไม้ทิพย์ให้เทพทั้งสองยังคุกโลกันต์โดยอ้างว่าคงไม่มีเทพธิดาในโรงครัวสวรรค์องค์ใดหมายจะเหยียบย่างที่คุมขังแห่งนั้น เขาเป็นเทพบุรุษเพียงองค์เดียวในโรงครัวแห่งนี้จึงน่าจะเหมาะสมกว่า เท่านั้นก็หาได้มีผู้ใดขัด มอบหมายหน้าที่ให้เขารับผิดชอบแต่โดยดี

หลิวซูไปเยือนยังที่แห่งนั้น ครั้นได้เห็นสองเทพถูกตีตรวนพันธนาการ สารรูปไร้ซึ่งสง่าราศีเมื่อครั้งยังเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ หยดน้ำตามากมายก็ไหลพรากอาบใบหน้า ปากพร่ำบอกว่าจะหาวิธีช่วยทั้งคู่ออกมา หากแต่เทียนอี้ซึ่งเป็นห่วงหลิวซูมากกว่าสิ่งอื่นใดกลับห้ามปราม ทว่า...เจี้ยนสือกลับคิดเห็นในทางตรงกันข้าม

“ในเมื่อมันผู้นั้นอยากช่วย ข้าก็จะไม่ปฏิเสธ”
บทสนทนาเกิดขึ้นเมื่อคล้อยหลังหลิวซูไปแล้ว ทำเอาเทียนอี้ที่ถูกตีตรวนอยู่ข้างกันเหลือบมองใบหน้าของสหาย
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียวเจี้ยนสือ ความผิดของเจ้ากับข้าครานี้ก็นับว่าสาหัสมากพออยู่แล้ว ทำไพร่พลต้องประสบเคราะห์กันมากมาย อย่าคิดจะดึงซูซูเข้ามาเกี่ยวข้อง”

ถูกพูดอย่างนั้นใส่ ไยเจี้ยนสือจะไม่รู้กันล่ะว่าเป็นเพราะเทียนอี้มีใจปฏิพัทธ์ต่อเทพผู้นั้น เขารู้มานานแล้ว รู้มาตั้งแต่ที่เห็นอีกฝ่ายเทียวไปมาหาสู่ยังโรงครัว และที่เขาทำดีด้วยก็เพราะเห็นว่าหลิวซูเป็นที่เอ็นดูของสหายเท่านั้น เมื่อรู้ว่าหลิวซูมีใจปฏิพัทธ์ต่อตนถึงได้เปลี่ยนเป็นอื่น สำหรับเขา...สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวเขา ชื่อเสียง เกียรติยศ คือสิ่งที่ล้วนปรารถนามากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น การถูกจองจำเช่นนี้ช่างเสื่อมเกียรติ ถ้าจะต้องดับสิ้นหรือสูญสลาย อย่างน้อยก็ขอให้มีชื่อจารึกไว้ว่าแม่ทัพสวรรค์นามเจี้ยนสือผู้นี้หาได้ยอมศิโรราบให้แก่ผู้ใด ไม่เว้นแม้แต่องค์เง็กเซียนฮ่องเต้

“ในเมื่อเจ้านั่นหลงรักใคร่ต่อข้า ข้าก็จะใช้ให้เป็นประโยชน์”
เจี้ยนสือหาได้ฟังสักนิด ความมืดเข้าครอบงำจนหลงมัวเมาไปหมด พลันทำให้เทียนอี้ต้องส่งเสียงขู่ต่ำออกมา
“ข้าขอเตือนเจ้า...อย่ายุ่งกับหลิวซู”

มีเพียงรอยยิ้มร้ายผุดพรายบนใบหน้าเจี้ยนสือเป็นคำตอบเท่านั้น เขาไม่ตอบรับว่าจะฟังคำหรือไม่ แต่รอยยิ้มนั่นล่ะคือคำตอบแล้ว

เมื่อตั้งใจเช่นนั้น เจี้ยนสือก็อ่อนโยนกับเทพชั้นผู้น้อยผู้นี้ราวกับพลิกฝ่ามือ จากที่เคยรังเกียจเดียดฉันท์ก็สนทนาพาทีด้วยถ้อยคำหวาน แม้ทุกครั้งจะถูกเทียนอี้ขัดและคอยเตือน แต่หลิวซูซึ่งเป็นเทพไร้เดียงสากลับมีใจเอนเอียงไปทางเจี้ยนสืออย่างมิอาจหักห้าม

ครั้นหลงกลในเล่ห์เพทุบายก็กำแหงถึงขั้นลักขโมยเอาคฑาดอกบัวทองคำของเจ้าแม่ซีหวังหมู่มาปลดผนึกให้กับเทพทั้งสอง กับเจี้ยนสืออาจเป็นเรื่องดี แต่กับเทียนอี้แล้ว เขาหาได้เห็นด้วยสักนิด เมื่อเห็นว่าหลิวซูกระทำการเช่นนี้ก็ต่อว่าออกมาอย่างหัวเสีย ขณะที่เจี้ยนสือหลบหนีไปทันทีที่เป็นอิสระ ไม่ใคร่สนใจหลิวซูอีกต่อไป จะมีก็แต่เทียนอี้เท่านั้นที่ไม่ยอมไปจากสวรรค์ด้วยเป็นห่วงเทพชั้นผู้น้อยองค์นี้

“เจ้าทำเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าผิดกฎสวรรค์ โทษของการปลดปล่อยนักโทษเป็นอย่างไร ไม่รู้หรือ?”

รู้สิ...รู้ มันคือการที่ดวงจิตของเทพต้องดับสูญ

“เจ้าถูกเจี้ยนสือล่อลวงแล้ว รู้บ้างหรือไม่!?”

ประโยคต่อมาอาบไปด้วยความไม่พอใจ เรื่องนั้น...หลิวซูก็รู้ดี ก่อนที่หยาดน้ำตามากมายจะไหลอาบใบหน้า

“ข้ารู้ว่าท่านแม่ทัพเจี้ยนสือหลอกใช้ข้า แต่ที่ข้าทำไปก็เพราะข้ารักเขาจนมิอาจหักห้ามใจตนเองได้ ครั้นเห็นเขาต้องทนทุกข์ทรมาน ข้าก็เจ็บร้าวไปทั้งอก แม้แต่เห็นท่านต้องถูกจองจำ ข้าก็มิอาจทนมอง ต่อให้รู้ว่าผิดหรือจะต้องดับสูญ ข้าก็ไม่สนทั้งนั้น ขอแค่ให้พวกท่านปลอดภัย”

ไม่ใช่ให้เทียนอี้ปลอดภัยหรอก แค่เจี้ยนสือผู้เดียวต่างหาก

เทียนอี้รู้ดีว่าสิ่งที่หลิวซูทำนั้นเป็นไปเพื่อใคร เขาขบกรามแน่น ไม่เคยโกรธเคืองสหายผู้นี้เลยตั้งแต่จุติมา หากแต่ครั้งนี้กลับขุ่นแค้นในความเห็นแก่ตัวของเจี้ยนสือยิ่งนัก ทว่าก็หาทำสิ่งใดได้นอกจากพาหลิวซูหลบหนีเท่านั้น

“ไปกับข้า ข้าจะปกป้องเจ้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ถึงจะไม่อยากไปด้วยรู้ว่าตนจะกลายเป็นตัวถ่วงให้เทียนอี้ได้หลบหนีลำบาก กระนั้นก็จำต้องไปด้วยถูกสั่งแกมบังคับ

แต่...เพียงเทพชั้นสูงที่ถูกปลดระวางจากตำแหน่ง ไยจะสู้อภินิหารขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ได้ เมื่อพระองค์ใช้เนตรทิพย์มองเห็นการกระทำของเทพทั้งสามในการปกครอง ก็พลันส่งเทพองค์อื่นมาจับกุม ต่อให้หนีไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียวก็มิอาจหนีได้พ้น

เทียนอี้และหลิวซูถูกจับตั้งแต่ยังหนีไม่พ้นเขตสวรรค์ เจี้ยนสือที่หลบหนีไปเกือบถึงแดนมนุษย์ยังถูกลากตัวกลับมา โทษทัณฑ์ของการตระบัดสัตย์ อีกทั้งยังพดเท็จสร้างเรื่องหลอกลวงนับว่าหนักหนาแล้ว แต่การหลบหนีออกจากคุกโลกันต์นั้นร้ายแรงยิ่งกว่า และความผิดฉกรรจ์จะตกอยู่ที่ใครไม่ได้นอกเสียจากหลิวซู

โทษนั้นคือต้องสูญสลาย ดวงจิตกลายเป็นผุยผง ดับสิ้นไม่ได้เวียนว่ายตายเกิดอีก ทว่า...ด้วยเห็นว่าที่ทำไปเป็นเพราะมีรัก
เทียนอี้มีรักให้หลิวซู หลิวซูมีรักให้เจี้ยนสือ ขณะที่เจี้ยนสือรักเพียงตนเอง

แต่เทพมิอาจมีรัก... นั่นเป็นกฎ ความผิดย่อมต้องทวีคูณ

หากให้ดับสูญไปคงจะง่ายดายนัก องค์เง็กเซียนฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้หลิวซูไปจุติเป็นมนุษย์ เพื่อให้ได้กลับมารักและผูกพันกับเจี้ยนสือและเทียนอี้อีก ต่อให้ความทรงจำลบเลือนก็มิอาจช่วยการใดได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาบรรจบ ส่วนสองเทพได้รับการให้อภัยจากการจองจำตราบนิรันดร์ให้จุติเป็นเทพอสูร รูปลักษณ์สวยงามแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์

ทว่า...นั่นหาใช่ความเมตตาขององค์เง็กเซียนไม่ พวกเขาจะต้องหมุนเวียนมาพบกับหลิวซูอีกครั้ง และทนทุกข์ทรมานกับบ่วงที่ผูกรัดคอของทั้งสาม

ความตายจะพลัดพราก ความรักจะสร้างทุกขเวทนาแสนสาหัส และวนเวียนไม่รู้จบสิ้นตราบนิรันดร์

สิ่งนั้น...ทรมานสาหัสสากรรจ์เสียยิ่งกว่าถูกจองจำในคุกโลกันต์เสียอีก

แต่นั่นคือสิ่งที่สวรรค์ลิขิตมาแล้ว ผู้ใดก็มิอาจฝืน

จนกว่าสวรรค์จะเมตตา เมื่อนั้นใจของทั้งสามคงได้เป็นอิสระจากกัน...
-------------------------
ไหนใครว่าพี่งูเป็นพระรอง อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว มันเป็นตัวร้ายชัดๆ 555

ช่วงนี้หนูแดงจะอัปช้านิดนึงนะคะ ต้องไปเร่งปิดต้นฉบับอีกเรื่องนึงให้ออกทันงานหนังสือก่อน
แต่จะพยายามไม่ดองนานนะ แค่ไม่ได้อัปทุกวัน มาวันเว้นวันเฉยๆ ไรงี้ รอกันหน่อยเน้อ
เย็นนี้จะมาแปะตัวอย่างตอนหน้าให้นะคะ ฝากฟีดแบ็กให้ล่วยยย

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
โอ้พี่งูทามมายทามอย่างงี้งี้งี้

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ หมามุ้ย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kawaiichibi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เคยเชียร์พี่งู แต่ตอนนี้เชียร์หมาน้อยแล้ว พี่งูนิสัยไม่ดีเอง ชิชิ :beat: :beat:

ออฟไลน์ PAiPEiPEi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-3
พี่งูคะใจน้องตอนแรกสู้สุดใจเลยนะนั่งวิดน้ำกลัวเรือล่ม   แต่สัมผัสได้ตอนนี้เหมือนน้ำปริ่มจะมิดหัวเเล้วค่ะเหมือนพี่งูจะคว่ำเรือด้วยตัวเอง โถ่!!!!!!   รอติดตามกันต่อไป

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
พี่งูเอ๋ยยยย คะแนนติดลบไปแล้วตอนเนน้ ว่ายน้ำกลับเรือพี่หมาดีกว่า ดูท่าว่าจะไม่ล่มมมม  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พวกตำแหน่งสูง ๆ นี่ต้องไร้หัวใจ โหดร้าย เลือดเย็นใช่ไหม

ออฟไลน์ Mengjie_JJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
ตอนนี้ไม่ชอบเฉิงเฉิงละ

เอาให้แน่นะ ชอบพี่หมาก็ต้องชอบแค่พี่หมาพอ

อย่าหลายใจ

 :katai1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
แล้วพี่งูค่อยมาหลงรักหลิวซูในโลกมนุษย์ใช่ไหม บนสวรรค์ไม่รัก  :ling1:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 21: สัตว์เลือดเย็น[1]

แม้จะถูกหลอกใช้และทำร้ายจิตใจอย่าวแสนสาหัส แต่หลิวซูก็มิอาจจะเกลียดชังเจี้ยนสือได้ ด้วยหัวใจที่มีแต่รักในแม่ทัพสวรรค์องค์นั้นเต็มเปี่ยม ครั้นอุบัติมาเป็นมนุษย์ เขาก็ยังคงรักเจี้ยนสือไม่เสื่อมคลาย รักเสียจนปฏิเสธที่จะดื่มกินน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อลบเลือนความทรงจำ ด้วยต้องการจะจดจำเจี้ยนสือเอาไว้

ทว่า...ถึงจะไม่ดื่มกินน้ำแกงยายเมิ่ง แต่เจี้ยนสือซึ่งบัดนี้อุบัติมาเป็นเทพอสูรก็ไร้ซึ่งรูปลักษณ์ดั้งเดิมให้จดจำ ร่างกายสวยงามอันเป็นที่ภูมิใจมลายสิ้น แปรเปลี่ยนเป็นครึ่งมนุษย์ ครึ่งงูจงอาง สร้างความขนลุกขนพองให้กับผู้พบเห็นยิ่งนัก ไม่ว่ามนุษย์ใดได้พบพานก็เป็นอันต้องนิ่งค้างเป็นหินด้วยหวาดเกรงทุกครั้งไป ขณะที่เจี้ยนสือรังเกียจภาพลักษณ์ของตนในยามนี้สุดขั้วหัวใจ

เพราะมีจิตใจน่ารังเกียจ เห็นแก่ตัว เจ้าเล่ห์เพทุบาย เป็นอสรพิษร้ายที่คร่าชีวิตผู้อื่นได้โดยไม่สนใจไยดีเพียงเพราะประโยชน์ของตนเอง ครั้นอุบัติมาเป็นเทพอสูรจึงกลายเป็นเช่นนี้

แม้เวลาจะล่วงผ่านไปหลายร้อยปี เจี้ยนสือก็มิอาจรับสภาพตนที่เป็นเช่นนั้นได้ เอาแต่กักขังตนเองอยู่ในจวน แม้จะถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฟิงฝู แต่เขาก็หาได้สนใจปฏิบัติหน้าที่ไม่ วันหนึ่งๆ เอาแต่ร่ำสุราเมรัย ตัดพ้อต่อว่าสวรรค์ที่ลงโทษเขาได้ทุกข์ทรมานแสนสาหัสเช่นนี้

กระทั่ง...หลิวซูกลับมา

บุตรชายสกุลหลิวอันเป็นตระกูลคหบดีจากแคว้นข้างเคียงเป็นตัวแทนบิดานำโอสถมาแลกเปลี่ยนกับน้ำดื่มที่แคว้นเฟิงฝู เมื่อมนุษย์พอจะคุ้นเคยกับเหล่าเทพอสูรที่มายึดเอาดินแดนอันสมบูรณ์ไปเป็นของตน การแลกเปลี่ยนต่างๆ ก็ถือกำเนิดขึ้น

หลิวซูในร่างมนุษย์ที่ยังมีความทรงจำเมื่อครั้งเป็นเทพชั้นผู้น้อยใจเต้นระส่ำนักที่จะได้เจอกับผู้เป็นที่รัก เมื่อจัดการหน้าที่ของตนเสร็จก็ตามหาเจี้ยนสือ หากแต่ก็ต้องผิดหวังที่เห็นเจี้ยนสือเปลี่ยนผันไปจากเดิม

ไม่ใช่รูปลักษณ์...แต่เป็นความโอหังอวดดีที่เคยมีมาแต่ก่อน

บัดนี้เขากลายเป็นเพียงเทพอสูรที่วันๆ เอาแต่เมาหัวราน้ำ หลิวซูไม่อาจทนเห็นภาพนั้นได้ไหว หากแต่ครั้นยื่นมือเข้าไป กลับถูกปัดป้องอย่างไม่ไยดี

“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า เจ้าคงสมเพชข้ามากสินะถึงได้เสแสร้งทำดีกับข้าเช่นนี้!”
เสียงไหสุราขว้างลงพื้นเสียจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงดังระคนกับเสียงตะคอกลั่น หลิวซูมองใบหน้างูจงอางของอีกฝ่ายด้วยแววตายากจะอ่าน ก่อนขยับริมฝีปากขึ้น

“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ ข้าน้อยหาได้เคยเสแสร้งกับท่าน”
“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด! มายุ่งวุ่นวายกับข้า เจ้าต้องการสิ่งใด! ล้างแค้นหรือ? ฮึ! ได้! ที่ข้าเป็นเช่นนี้ก็สาแก่ใจเจ้าแล้ว!”

เจี้ยนสือยังคงแผดเสียง อีกทั้งยังเดินเซตุปัดตุเป๋มาผลักเอามนุษย์หนุ่มล้มกระเด็นไปอีกทาง น้ำตามากมายเอ่อปริ่มขอบตาของหลิวซู อีกไม่นานมันคงจะทะลักออกมาแน่ ทว่าหลิวซูกลับกล้ำกลืนเอาไว้ ที่เจี้ยนสือเป็นเช่นนี้เพราะขาดไร้ที่พึ่ง เขาจึงได้มีอารมณ์เกรี้ยวกราด

หลิวซูบอกกับตนเองเช่นนั้น ดันตัวลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจปัดฝุ่นผงที่เปรอะเปื้อนอาภรณ์
“ข้าน้อยไม่ได้คิดเช่นนั้น การที่ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือเป็นอย่างนี้ ข้าน้อยเองก็ปวดใจยิ่ง”
พูดพลางดวงตาก็ประกายวาวด้วยน้ำตาสีใส

เจี้ยนสือมองอย่างไม่เชื่อ จากนั้นก็แผดเสียงออกมาอีกครา
“ไปให้พ้นหน้าข้า! ออกไปจากจวนข้า!”

สิ้นเสียงก็ก้าวเดินหมายจะเข้าไปในเรือน ทว่าก็ต้องเซล้มด้วยความมึนเมามิอาจทำให้ทรงตัวได้ดีนัก หลิวซูเห็นดังนั้นขึ้นเข้ามาประคอง ทว่าก็ถูกเจี้ยนสือผลักไสอีก
“ไปให้พ้น!”

คราวนี้ไม่อาจทนไหว น้ำตาอาบไหลนองหน้า

“ต่อให้ท่านผลักไสข้าอีกเพียงใด ข้าน้อยก็จะอยู่ข้างท่าน”
น้ำเสียงสั่นระริกทำให้เจี้ยนสือชะงักไปครู่ ความเงียบงันเข้าครอบงำ ก่อนที่หลิวซูจะเอ่ยออกมาอีก
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ ได้โปรดอย่าผลักไสข้าน้อยอีกเลย ท่านก็รู้ว่าข้าน้อยคิดเช่นไรกับท่าน”

“เจ้าก็แค่หลงมัวเมาเมื่อครั้งที่ข้ามีรูปกายงดงาม เวลานี้มาวนเวียนใกล้ตัวข้าเป็นเพราะเจ้าต้องการแก้แค้น”
เจี้ยนสือยังคงคิดในแง่ร้าย หากแต่หลิวซูกลับส่ายศีรษะปฏิเสธ
“ต่อให้ท่านมีรูปลักษณ์อย่างไร หัวใจของข้าน้อยก็ยังคงรักมั่นเพียงท่าน”

ไม่เพียงแต่คำพูดเท่านั้นที่สื่ออย่างซื่อตรง แววตาและจิตใจของหลิวซูเองก็ซื่อตรงเช่นกัน เจี้ยนสืออับจนคำพูด ในยามนี้ เขารู้สึกราวกับมีก้อนเหนียวหนืดอุดตันในลำคอจนไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ ออกไปได้ ยิ่งได้ยินเสียงสั่นเครือของหลิวซูดังเข้ามาในโสตอีก ความแข็งกระด้างก็พลันอ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งต้องไฟ

“ข้าน้อยรักท่าน และจะรักมั่นคงเพียงท่าน แม้ท่านจะเป็นปีศาจ ข้าน้อยก็จะรักท่าน”

ข้าเคยใจร้ายกับคนผู้นี้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

เจี้ยนสือถามตนเอง มือเกือบจะยื่นออกไปประคองใบหน้าอาบน้ำตาของคนตรงหน้าอยู่แล้ว ทว่าก็ชะงักเอาไว้ด้วยไม่ต้องการทำร้ายอีกฝ่ายอีก เขาทำร้ายหลิวซูมาพอแล้ว คนมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นเขาไม่สมควรจะได้ความรักจากผู้ใด

“กลับไปเสียก่อนที่ข้าจะใช้คมเขี้ยวนี้ฝังพิษลงในกายเจ้า”
เจี้ยนสือแค่นพูดออกมา ก่อนจะลุกพรวดแล้วเดินหนีกลับเข้าเรือนด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้หลิวซูมองตามด้วยหัวใจที่ร้าวราน
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ...”

เสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกจากเรียวปาก ล่องลอยไปตามลม แม้แต่ผู้ที่ปิดประตูลงดาลขังตนเองอยู่ในเรือนใหญ่ก็ได้ยินชัดเจน
เจี้ยนสือที่ยืนพิงประตูอยู่ขบกรามแน่น ในใจครุ่นคิดอย่างสับสนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

หลิวซู... อย่าดีกับข้าไปกว่านี้เลย



 
ซิ่นเฉิงตื่นมาในอ้อมกอดของเทียนอี้ เมื่อคืนนี้ลมหนาวในทะเลทรายไม่อาจทำร้ายเขาได้ด้วยความอบอุ่นจากกายใหญ่ของเทพอสูรสุนัขป่าโอบล้อมเรือนร่างเอาไว้ พลันเขาก็ดันตัวขึ้นนั่ง ยกมือขึ้นคลึงศีรษะที่ปวดหนึบเล็กน้อยจากการฝันถึงอดีตชาติตนในราตรีที่ผ่านมา

หลิวซูรักมั่นในเจี้ยนสือไม่เว้นแม้แต่ตอนถือกำเนิดใหม่...

เขาตระหนักได้อย่างนั้น พลันก็ไม่มั่นใจเล็กน้อยว่าความรู้สึกของหลิวซูที่มีต่อเจี้ยนสือจะกลับมาอีกหรือไม่ เพราะในบางครั้งที่เขาใกล้ชิดกับเทพอสูรผู้นั้น บางคราก็ใจเต้นระส่ำ บางคราก็ปวดร้าว ราวกับว่าก้นบึ้งในจิตใจยังคงหลงเหลือความรู้สึกของหลิวซูอยู่ แต่...ในชาติที่แล้ว หลิวซูไม่ยอมดื่มน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อลบเลือนความทรงจำ แต่เหตุใดชาตินี้ถึงได้ดื่ม อีกทั้งเขายังเกิดมาโดยไม่มีรูปร่างหน้าตาเช่นเดิมอีก?

ซิ่นเฉิงอดประหลาดใจไม่ได้ ก่อนที่ความคิดนั้นจะมลายหายไปเมื่อคนข้างกายผุดลุกขึ้นนั่ง

“ตื่นแล้วหรือ?”
“อืม”
ซิ่นเฉิงตอบรับแผ่วเบา ขณะที่เทียนอี้ยื่นใบหน้ามาเกยไหล่เอาไว้
“เมื่อคืนนี้หลับสบายดีหรือไม่?”

หากตอบว่าไม่คงเป็นการโกหก ซิ่นเฉิงจึงพยักหน้ารับไป ทำเอาเทียนอี้ว่ากระเซ้า

“เจ้าจะหลับสบายทุกราตรีหากอยู่ในอ้อมกอดข้า”
จากนั้นก็ฝังจมูกเปียกชื้นลงมายังซีกแก้ม ทำเอาซิ่นเฉิงย่นคิ้ว
“หากจะเกี้ยวข้าแต่ฟ้าสาง เจ้ารีบสวมเครื่องแบบแล้วไปประจำการเถิด เจ้าหมาขี้เกียจ”

ทั้งที่ถูกก่นด่า เทียนอี้กลับหัวเราะด้วยพึงใจ พลันฝากรักไว้ที่ริมฝีปากหนาของซิ่นเฉิงอย่างแผ่วเบา
“ราตรีนี้ ข้าจะกกกอดเจ้าอีก”

จะกกกอดอีกกี่ราตรีก็สุดแท้แต่ใจเจ้า...เพราะหลังจากนั้น เจ้าจะไม่มีโอกาสอีก

สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ซิ่นเฉิงไม่อยากพูด จึงไม่ได้โต้ตอบใดๆ ปล่อยให้เทียนอี้ได้กระทำตามใจ ก่อนที่ขบวนทัพจะเริ่มเดินทางอีกครา



 
การเดินทางรอนแรมของกองทัพเทพอสูรผันผ่านไปหลายทิวาและราตรี บรรดาทหารต่างรีบเร่งฝีเท้าด้วยต้องการกลับคืนสู่สวรรค์ในเร็ววัน เดิมพันของพวกเขานั้นมีเพียงความตายกับการได้กลับคืนเป็นเทพเท่านั้น แม้จะไม่อาจรู้ได้เลยว่าการไปปราบปีศาจจะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ แต่ในความคิดของพวกเขา มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง

หากต้องเป็นเทพอสูรต่อไป สู้ตายเสียดีกว่า ชีวิตอมตะจะมีค่าอย่างไรก็ช่าง ดับสูญไปก็ถือว่าหมดทุกข์กรรม หากได้กลับสวรรค์ก็ถือเป็นเรื่องดี

การเดินทางโดยไม่คิดแม้จะหยุดพัก ยกเว้นช่วงกลางคืนนั้นเป็นการดี แต่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับมนุษย์แต่ผู้เดียวอย่างซิ่นเฉิง ถึงเขาจะเกิดและโตในทะเลทราย แต่ร่างกายต้องอากาศร้อนบ้าง หนาวบ้าง ก็ทำให้เขาครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมา ในวันนี้ดูเหมือนจะครั่นเนื้อครั่นตัวมากเสียหน่อยด้วยเขาออกอาการกระสับกระส่ายและเหนื่อยอ่อนมาตั้งแต่ตื่นนอน ก่อนจะทวีมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเข้าสู่ช่วงสาย เขากลัวเหลือเกินว่าจะป่วยไข้ระหว่างทาง ทว่าเคราะห์ดีที่รอดมาได้จนถึงกลางคืน เมื่อได้หยุดพัก เขาก็คิดเอาเองว่าหากได้พักผ่อนคงจะอาการดีขึ้น

หากแต่...การที่ไร้ซึ่งเทียนอี้กกกอดยามหลับใหลนั้น มิอาจทำให้เขาข่มตานอนได้เลย ราตรีนี้ กองทัพสังกัดจวนของเทียนอี้มีหน้าที่เฝ้าเวรยาม เขาจึงต้องกระจายกำลังไพร่พลเฝ้าตรึงกำลังในรอบบริเวณ ส่วนตนก็นำกองทหารม้าตรวจตราความเรียบร้อยในรอบนอก กว่าจะกลับมาก็รุ่งสาง ซิ่นเฉิงเข้าใจเรื่องนั้นดี แต่ถึงอย่างไร มันก็น่าหงุดหงิดใจไม่ใช่น้อยที่ต้องนอนบนที่นอนซึ่งถักทอจากหนังสัตว์เย็นเยียบเพียงลำพัง

เพราะไม่อาจข่มตาหลับจึงตัดสินใจผุดลุกขึ้น ออกจากกระโจมมาด้วยหมายจะนั่งเล่นฆ่าเวลาให้เริ่มง่วงแล้วค่อยกลับไปนอน ทว่าการเดินเตร็ดเตร่ในยามวิกาลของเขาขณะที่ทหารส่วนใหญ่เข้าสู่ห้วงนิทรากันหมดแล้วช่างสร้างความประหลาดใจให้กับเทพอสูรผู้หนึ่งซึ่งบังเอิญผ่านมาเห็นยิ่งนัก

ผ่านมาเห็น...ไม่หรอก ไม่ได้ผ่านมาเห็น เพราะรู้ว่าเทียนอี้ไม่อยู่ถึงได้มาดู โดยไม่คิดว่าจะเจอซิ่นเฉิงออกจากกระโจมมาพอดิบพอดีเช่นนี้

“ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน จะไปเที่ยวเล่นที่ใดหรือเจ้าเหมียว?”
เป็นเสียงของเจี้ยนสือในร่างของอดีตเทพ เขายังคงดูงดงาม แต่ซิ่นเฉิงหาได้ใส่ใจเรื่องนั้นแล้ว
“เจี้ยนสือ...” ปากครางร้องเรียกชื่ออีกฝ่าย
เจี้ยนสือเผยอยิ้ม “ข้าเอง ตกใจหรือไรที่เจอข้าในยามนี้”

ไม่ได้ตกใจหรอก เพียงแต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอ

“เจ้ามีเรื่องอันใดถึงได้มายังกระโจมของเทียนอี้?”
ซิ่นเฉิงถามออกไปด้วยสงสัย คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายให้ผุดพราย
“ข้าจะมาเยี่ยมเยือนสหายไม่ได้หรือ?”
“เจ้าไม่ได้นับเทียนอี้เป็นสหายแล้วกระมังหากข้าจำไม่ผิด”

การรู้ทันของบุรุษทะเลทรายตรงหน้าทำให้เจี้ยนสือแค่นหัวเราะออกมา

“ได้ ในเมื่อเจ้าถาม ข้าก็จะบอกตามจริง แท้จริงแล้ว ข้ามาหาเจ้า”
ซิ่นเฉิงก็พอรู้อยู่ อย่างเจี้ยนสือน่ะหรือจะญาติดีกับเทียนอี้ ในสถานการณ์อย่างนี้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“แล้วมาหาข้าด้วยการใด?” คำถามนี้ก็ถามออกไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ

เจี้ยนสือมองหน้าอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้
“เจ้านอนไม่หลับหรือ?”

เป็นจริงอย่างที่เจี้ยนสือว่า ซิ่นเฉิงจึงให้ความเงียบเป็นคำตอบ พลันอีกฝ่ายก็ออกปากมาอีก
“หากนอนไม่หลับ จะไปท่องทะเลทรายยามราตรีกับข้าแก้เบื่อหน่ายไหม อาชาของข้าใคร่ให้เจ้าขึ้นขี่ยิ่งนัก”

อันที่จริงไม่ควรตอบรับ แต่ซิ่นเฉิงหาได้เห็นว่าจะเสียหายอย่างไรจึงได้เดินเข้าไปหา เจี้ยนสือยกยิ้มพึงใจเพราะนั่นคือการตอบรับจากอีกฝ่ายโดยไร้สุ้มเสียง



 
อาชาตัวสีดำมะเมื่อมควบออกไปกลางทะเลทราย ลมเย็นปะทะเข้าที่ใบหน้า เมื่อครั้งที่ยังอยู่ในทะเลทราย ซิ่นเฉิงมักจะท่องราตรีด้วยการพาพี่น้องร่วมสาบานไปโลดแล่นบนผืนทรายมืดมิดเช่นนี้เพื่อชมจันทร์และหมู่ดาวอยู่เสมอ กลิ่นไอของทะเลทรายทำให้เขาคิดถึงพวกพ้องยิ่ง เขาเงยหน้าขึ้นรับลมเย็น สายตาจ้องมองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ทอประกายแสงสีเงินยวง แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็ต้องมลายหายไปเมื่อเจี้ยนสือที่ควบม้าอีกตัวมาขนาบข้างทำลายความเงียบ

“เผ่าของเจ้าก็บูชาดวงจันทร์สินะ”
“ดูจากเครื่องประดับของข้า เจ้าก็น่าจะรู้” ซิ่นเฉิงตอบโดยไม่มองหน้า

สิ่งนั้นเจี้ยนสือก็รู้ดีแก่ใจเช่นที่ซิ่นเฉิงบอก แต่ที่ถามเช่นนี้เป็นเพราะจะชวนสนทนาต่างหาก
“ในเมื่อเผ่าของเจ้าบูชาดวงจันทร์ เจ้าเองก็คงจะชื่นชอบดวงจันทร์ยิ่งนัก”
“อืม”
“แล้วก็คงจะชื่นชอบร่างของข้ายามต้องแสงจันทร์เช่นกัน”

ประโยคนี้มีนัยยะแฝง ซิ่นเฉิงหันไปมองผู้พูดขณะที่เจี้ยนสือยกยิ้มบางๆ ภาพนั้นชวนมอง ทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของซิ่นเฉิงเต้นระส่ำ ทว่า...ที่เต้นนั้นไม่ใช่เพราะซิ่นเฉิง แต่เป็นเพราะความรู้สึกของหลิวซูที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจต่างหาก

หลิวซูพึงปรารถนาที่จะได้รับรอยยิ้มนี้จากเจี้ยนสือมาเนิ่นนานแล้ว...

ยิ่งระลึกได้ถึงอดีตชาติมากเท่าไร ความรู้สึกของหลิวซูที่มีต่อเจี้ยนสือก็ทวีมากขึ้นทุกครา ก่อนซิ่นเฉิงจะกดทุกความรู้สึกนั้นให้กลับคืนสู่ที่เดิม พลันถามออกมา

“เจ้าต้องการจะพูดสิ่งใดกันแน่”
เมื่อเปิดโอกาสเช่นนี้ เจี้ยนสือจึงออกปาก
“เจ้าชื่นชอบร่างนี้ของข้าใช่หรือไม่?”

เจี้ยนสือยังคงเอ่ยถามคำถามเดิมออกมาอีก ซิ่นเฉิงจึงตอบรับไปตามตรง
“รูปลักษณ์งดงาม ไม่ว่าผู้ใดก็ชื่นชอบเสน่หากันทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น...หากข้าคืนร่างเทพอสูร เจ้าก็คงรังเกียจข้าล่ะสินะ”

คราวนี้คนฟังถึงกับย่นคิ้วยู่ให้เจี้ยนสือได้พูดออกมาอีก
“ร่างเทพอสูรของข้าน่ารังเกียจยิ่งนัก ต่างจากเทียนอี้ที่มีเส้นขนฟูฟ่องชวนให้สัมผัส เกล็ดลื่นมือ อีกทั้งยังเย็นเยียบคงจะไม่สบายมือของเจ้า”

สิ่งนั้นก็ถูกต้อง แต่ซิ่นเฉิงหาได้คิดอย่างนั้น
“ต่อให้เจ้ามีรูปลักษณ์เช่นไร ข้าก็หาได้รังเกียจ เจ้าอย่าคิดเช่นนั้น”

คำตอบช่างเป็นที่น่าพอใจสำหรับเจี้ยนสือนัก เขาส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ เหลือบมองยังคงข้างกายด้วยรอยยิ้มที่ผุดพรายมากขึ้นกว่าเดิม

“ข้าคิดเช่นไรกับเจ้า เจ้ารู้ใช่หรือไม่?”
ไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดถึงเข้าเรื่องนี้ แต่ซิ่นเฉิงก็ตอบ
“เจ้ามีใจปฏิพัทธ์ต่อข้า”

ถึงจะไม่เคยรักใคร่สตรีใดหรือมีคู่ครองมาก่อน แต่ซิ่นเฉิงก็หาใช่บุรุษที่ไม่ประสา เพียงเห็นท่าทาง สีหน้า น้ำเสียง และการกระทำของเจี้ยนสือก็พอจะดูออก แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นไปอย่างกระด้างกระเดื่องก็ตาม ขณะที่เจี้ยนสือจะว่าสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าจะเลิกข้องเกี่ยวกับเทียนอี้แล้วมาเป็นของข้า”
ที่ถามเช่นนั้นเพราะรู้ว่าซิ่นเฉิงกับเทียนอี้มีความสัมพันธ์ใด แม้ว่าจะคลุมเครือ แต่กลิ่นสาบสุนัขป่าที่อบอวลในกายของซิ่นเฉิง อีกทั้งยังภาพการจุมพิตในวันนั้นที่ประจักษ์มากับตาก็เป็นสิ่งที่ชัดเจนแล้วว่าซิ่นเฉิงคิดอย่างไรกับอดีตสหายรัก

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก เขาระอาเล็กน้อยที่ได้ยินคำถามนี้
“เจ้าชวนข้ามาท่องทะเลทรายเพื่อถามเรื่องนี้หรือ?”

ใช่... เจี้ยนสือไม่ได้ตอบรับ แต่มองตาแล้ว ซิ่นเฉิงก็รู้ได้ หากคำพูดนี้ ผู้ถูกถามคือหลิวซู คนฟังก็คงจะดีใจไม่น้อย แต่กับซิ่นเฉิง เขาหาได้ดีใจไม่ เพราะเขารู้ดีว่าในใจเขามีผู้ใด

เทียนอี้...ในใจมีแต่เทียนอี้เท่านั้น

ต่อให้ความรู้สึกของหลิวซูในอดีตชาติจะฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาเพียงใด แต่เขากลับปรารถนาแต่เทียนอี้ จะด้วยเหตุผลใดนั้นก็หาได้ใส่ใจไม่ เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อเทียนอี้ เป็นเพราะเขาคือซิ่นเฉิง หาใช่หลิวซู

เพราะคิดอย่างนั้นถึงได้พูดออกไป...

“ฟังข้านะเจี้ยนสือ ต่อให้เจ้าอัปลักษณ์กว่านี้เพียงใด ข้าก็หาได้รังเกียจ ข้ายินดีที่จะผูกมิตรไมตรีกับเจ้าเฉกเช่นสหาย แต่หากถามข้าเรื่องรักใคร่แล้ว ใจของข้ามิอาจเป็นของเจ้า”

การถูกปฏิเสธตามตรงทำให้รอยยิ้มของเจี้ยนสือมลายหายไป มีเพียงเสียงหัวเราะที่ดังออกมา หากแต่นั่นเป็นการหัวเราะด้วยสมเพชกับโชคชะตาของตน

“นั่นก็เพราะใจของเจ้ามีแต่เทียนอี้”
ซิ่นเฉิงไม่ปฏิเสธ ให้สายลมที่พัดผ่านส่งเสียงหวีดหวิวเป็นการขานรับ

เท่านั้น หัวใจของเทพอสูรงูจงอางก็ปวดร้าว เขามองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

“หากเจ้ามีใจให้กับเทียนอี้ แล้วเจ้าจะไปจากมันเพื่อการใด”
ซิ่งเฉิงไม่ให้คำตอบกับคำถามนี้ เพราะเขาไม่อาจพูดได้ แม้แต่คำว่า ‘รัก’ ที่ใคร่จะมอบให้เทียนอี้ก็ยังมิอาจเปิดปาก แล้วจะบอกได้อย่างไรว่าที่จะจากไปเป็นเพราะในชาติก่อนๆ เขาคือหลิวซู
“เจ้ามีเหตุผลที่จะเดินทางลงใต้ ข้าเองก็มีเหตุผลของข้า”

คำตอบกำกวมบ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใคร่บอก เจี้ยนสือก็ไม่ซักไซ้ถาม ไม่ใช่เพราะไม่อยากรู้ แต่เขาเจ็บปวดเกินกว่าจะรับฟังเรื่องใดได้อีก

ความเจ็บปวดนี้...เป็นความรู้สึกเดียวกับครั้งที่สูญเสียหลิวซูไปไม่ผิดเพี้ยน

การนิ่งงันของเจี้ยนสือทำให้ซิ่นเฉิงคิดว่าการท่องราตรีคลายเบื่อหน่ายในราตรีนี้ควรจะสิ้นสุดลงเสียที พลันก็ออกปากชักชวน
“ขอบน้ำใจเจ้ามากที่พาข้ามาท่องทะเลทราย ข้าง่วงนอนแล้ว ใคร่อยากกลับไปพักเต็มที”

ที่พูดมานั้นหาใช่การตัดบทเพียงอย่างเดียว ชายหนุ่มอยากพักจริงๆ ด้วยจู่ๆ ก็เกิดรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวกว่าเดิมขึ้นมา

เห็นทีจะต้องรีบกลับไป...

ซิ่นเฉิงบอกกับตนเองอย่างนั้น มือกุมบังเหียนมั่น หมายจะควบม้าออกไป ทว่าความวิงเวียนก็ประดังประเดเข้ามาเสียก่อน ทำเอาร่างที่นั่งคร่อมอยู่บนหลังม้าโคลงเคลง เจี้ยนสือเห็นท่าทางประหลาดของอีกฝ่ายก็ร้องเรียก

“ซิ่นเฉิง”
ยังไม่ทันจะได้พูดต่อ สติของซิ่นเฉิงก็ดับวูบกะทันหัน ร่างใหญ่ตกจากหลังม้า ฝุ่นทรายตลบปกคลุมร่างนั้น ทำเอาเจี้ยนสือถึงกับเบิกตาโพลง
“ซิ่นเฉิง!”

จากนั้นก็รีบควบม้าเข้ามาใกล้ ทิ้งตัวลงมาประคอง พลันสัมผัสได้ว่ากายเนื้อของอีกฝ่ายร้อนรุ่มดั่งเพลิงผลาญ เท่านั้นหัวคิ้วของเทพอสูรก็ย่นยู่ฉับพลัน ก่อนจะรีบอุ้มซิ่นเฉิงขึ้นพาดกับหลังม้า ดีดตัวขึ้นนั่งประจำที่แล้วควบม้ากลับไปยังค่ายทหารอย่างรวดเร็ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-09-2017 09:11:04 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 21: สัตว์เลือดเย็น[2]

การที่จู่ๆ แม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือก็อุ้มร่างไม่ได้สติของมนุษย์เพียงผู้เดียวในกองทัพย่อมหาใช่เรื่องดี เหล่าทหารยามที่ประจำการอยู่หน้ากระโจมของเจี้ยนสือล้วนแตกตื่น ปกติแล้วมนุษย์ผู้นี้อยู่ในการดูแลของเทียนอี้ แต่ในยามนี้ถูกเจี้ยนสืออุ้มเข้าไปในกระโจมของตน คงจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นใครบางคนถึงไปตามรองแม่ทัพหมิงจูที่พักผ่อนอยู่ในกระโจมไม่ไกลกันนักมา

ทันทีที่รู้เรื่อง หมิงจูก็รีบมายังที่หมายพร้อมกับพ่อบ้านเหลียงเพราะคาดเดาเอาว่าจะต้องมีเหตุร้าย ซึ่งก็จริงเสียด้วยเมื่อเข้ามาด้านในกระโจมของผู้เป็นสหายแล้ว เขาก็พบว่าซิ่นเฉิงในตอนนี้นอนคุดคู้อยู่บนหนังสัตว์ในสภาพสั่นเทาไปทั้งร่าง
"เจ้านั่น...ป่วยไม่ใช่รึ?"

เป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากปากของหมิงจู พลันใบหน้าสุนัขจิ้งจอกก็ตึงเครียด แต่ผู้ที่ดูจะเป็นกังวลยิ่งกว่าคือเจี้ยนสือ
ก็ผู้ใดเล่าจะคิดว่าแค่ล่อลวงไปตากลมเย็นยามราตรีจะทำให้ซิ่นเฉิงเป็นถึงขนาดนี้ โดยหารู้ไม่ว่าอาการครั่นเนื้อครั่นตัวนั้นมีมาตั้งแต่เมื่อช่วงกลางวันแล้ว

"แล้วเจ้าจะทำอย่างไร"

หมิงจูถามออกมาอีกเพราะการที่ซิ่นเฉิงป่วยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ในทะเลทรายไม่มีโอสถเพียงพอต่อการรักษาแน่หากซิ่นเฉิงป่วยหนัก อีกทั้งสภาพอากาศก็เลวร้าย อย่างดีก็อาจจะป่วยยาวนาน อย่างร้ายก็อาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้เกิดขึ้นทั้งสองอย่าง เพราะมันจะกลายเป็นชนวนเหตุให้สหายของเขาวิวาทกันอีกได้

หากแต่ไม่มีความเห็นจากเจี้ยนสือ เขายืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ จ้องมองร่างกายสั่นเทิ้มของชายหนุ่มที่นอนคุดคู้อยู่บนที่นอนตรงหน้าแล้วก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าหากปล่อยไว้เช่นนั้น ซิ่นเฉิงจะต้องป่วยหนักแน่ จึงหันไปสั่งพ่อบ้านเหลียงอย่างรวดเร็ว

"ไปเตรียมโอสถมาให้ข้า"
ถึงต้องใช้เวลารักษานานอย่างไรก็จะรักษา อย่างน้อยก็ขอให้ได้เยียวยาอาการก่อนที่จะหนักหนากว่านี้

ไร้ซึ่งถ้อยวจี พ่อบ้านเหลียงรีบร้อนทำตามสั่ง เมื่อผลุบหายออกไปจากกระโจมแม่ทัพแล้ว หมิงจูก็โพล่งออกมาอีก
"หนาวสั่นเช่นนี้ จำเป็นต้องทำร่างกายของเจ้านั่นให้อบอุ่น"

แล้วผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายนั่นอยู่ไม่ใช่การทำให้ร่างกายอบอุ่นหรือไร?

เจี้ยนสือหันไปมองสหายด้วยรำคาญใจ ทันทีที่รู้ว่าร่างกายของซิ่นเฉิงหนาวสั่นเพราะพิษไข้ เขาก็ใช้ผ้าห่มที่มีห่อหุ้มร่างกายให้ความอบอุ่นแก่ซิ่นเฉิงอย่างรวดเร็ว แต่มันไม่ช่วยอะไรก็เท่านั้น

สายตาที่สหายมองมานั้นทำให้หมิงจูพลันรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่จึงรีบเปิดปาก
“ข้ารู้ว่าเจ้าทำแล้ว แต่การห่มผ้าอย่างนั้นไม่ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นได้ดีนักหรอกนะ”
“เจ้าจะให้ข้าเดินลมปราณเข้าสู่ร่างกายเลยไหมล่ะ” เจี้ยนสือถาม สีหน้าหงุดหงิดเกินทน
“หากเจ้าเดินลมปราณ มีหวังเจ้ามนุษย์นั่นได้ไปเยือนปรโลกแน่”

ลมปราณของเจี้ยนสือเป็นลมปราณเย็นด้วยธาตุหลักของเขานั้นคือหยิน เหตุเป็นเพราะความเป็นเทพอสูรกึ่งงูจงอาง จึงไม่อาจคงธาตุหยางในร่างกายได้ดีนัก

ยืนนิ่งอยู่เพียงครู่จึงได้หันไปหาหมิงจู
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเจ้าแล้วกันที่เดินปราณให้ซิ่นเฉิง”

หมิงจูคิดขึ้นมาได้ว่านี่ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้ซิ่นเฉิงรอดชีวิตได้ ถึงจะไร้ซึ่งโอสถเพียงพอ แต่การใช้วรยุทธ์ทำให้ธาตุในร่างกายสมดุลก็พอจะช่วยรักษาอาการป่วยอยู่บ้าง พลันระบายลมหายใจออกมา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นเขาล่ะสินะ

ไม่อยากทำก็จำเป็นต้องทำเพื่อไม่ให้สหายผิดใจกัน ครั้นหมิงจูก้าวเข้าไปใกล้ ความอุ่นร้อนจากร่างกายแผ่ซ่านให้ซิ่นเฉิงได้สัมผัส เขาก็ผวาคว้าเอาเส้นขนของหมิงจูกำไว้ในมือแล้วดึงเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว

“เจ้าหมา...”

ปากร้องครางเสียงแผ่วออกมา หากแต่ ‘เจ้าหมา’ ที่ร้องเรียกนั้นหาใช่หมิงจู แต่กลับเป็นเทียนอี้ แม้จะไม่มีผู้ใดอธิบาย แต่เจี้ยนสือและหมิงจูก็รับรู้ได้

หมิงจูหันไปมองหน้าสหาย ขณะที่เจี้ยนสือมีสีหน้าน่ากลัวขึ้นมา พลันเดินเข้ามาหา รั้งร่างของซิ่นเฉิงขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดพลางว่าเสียงต่ำ

“หากร้องเรียกกันเช่นนั้น ก็จงตายให้อ้อมกอดของข้าแล้วกัน”
“ไร้เหตุผลเกินไปหน่อยกระมังเจี้ยนสือ” หมิงจูรีบปรามทันที

ทว่าก็ไร้ประโยชน์ด้วยเจี้ยนสือในครานี้หวงแหนคนในอ้อมแขนที่หนาวสั่นกว่าเดิม อีกทั้งยังเดือดดาลขึ้นมาอีกต่างหาก
“ใจของเจ้าจะเป็นของผู้ใดไม่ได้ หากเจ้าไม่มอบให้ข้า ก็จงอย่ามอบให้ผู้ใด”

ประโยคนี้เป็นการพูดกับซิ่นเฉิงที่มีสติไม่สมประดี หมิงจูมองแล้วก็เห็นว่าคงจะไม่เป็นการดีแน่หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้น

ในขณะเดียวกัน เทียนอี้ที่ได้รับรายงานจากทหารม้าเร็วนายหนึ่งที่พ่อบ้านเหลียงส่งไปบอกข่าวเรื่องของซิ่นเฉิงก็รีบควบม้ากลับมายังค่ายด้วยความรวดเร็ว เขาทิ้งตัวลงจากหลังม้าที่หน้ากระโจมของเจี้ยนสือ เดินอาดๆ เข้ามาด้านในโดยไม่สนใจว่าทหารยามจะร้องปรามอย่างไร เมื่อเห็นซิ่นเฉิงสั่นงันงกอยู่ในอ้อมแขนของเทพอสูรงูจงอาง ข้างกันนั้นมีหมิงจูยืนเกลี้ยกล่อมให้ปล่อยซิ่นเฉิงอยู่ ก็พลันชักดาบออกจากฝัก ชี้ไปข้างหน้าทันใด

“ปล่อยเฉิงเฉิงก่อนที่ข้าจะบั่นคอเจ้า”
เจี้ยนสือมองสหายด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ไร้ซึ่งคำพูด หากแต่อ้อมแขนกลับกอดรัดร่างของมนุษย์หนุ่มแนบแน่นกว่าเดิม

“เจี้ยนสือ...ข้าบอกให้ปล่อย!”
นานครั้งที่เทียนอี้จะเดือดดาล แต่เมื่อระงับโทสะไม่อยู่แล้ว เขาก็กลายเป็นผู้ที่น่ากลัวทีเดียว แต่ไม่ใช่กับเจี้ยนสือ ต่อให้เทียนอี้น่าเกรงขามกับผู้อื่นเพียงใด เขาก็หาได้สั่นสะท้านแม้แต่น้อย

“ข้าไม่ปล่อย”
เจี้ยนสือตอบกลับ ทำเอาเทียนอี้แผดเสียงลั่น
“เจ้าจะทำให้เฉิงเฉิงตาย!”
“หากเขาจะตาย เขาก็ตายในอ้อมกอดของข้า”

ยิ่งพูดยิ่งไม่ฟังกัน เทียนอี้แทบอดใจไม่ไหวที่จะสะบัดดาบไปสังหารสหายผู้นี้ แต่ก็เกรงว่าโทสะของเขาจะทำให้ซิ่นเฉิงเป็นอันตราย อีกทั้งหูก็ได้ยินเสียงพึมพำจากคนในอ้อมแขนของเจี้ยนสือที่ครางร้องเรียกว่า ‘เจ้าหมา’ ไม่หยุดหย่อน ก็ทำให้เขาไม่อาจทำการใดได้ นอกจากจะสบตากับเจี้ยนสือเขม็ง ปากแค่นเสียงต่ำออกมาเท่านั้น

“เจ้าคิดจะสังหารเฉิงเฉิงเช่นเดียวกับที่สังหารหลิวซูเพราะไม่ได้ครอบครองอย่างนั้นหรือ?”
เพียงคำถามตรงๆ เพียงคำถามเดียวก็ทำให้เจี้ยนสือชะงักงัน ภาพในอดีตลอยเวียนเข้ามาในภวังค์ ก่อนที่เขาจะเหลือบมองยังใบหน้าของซิ่นเฉิงที่บัดนี้ซีดเซียวกว่าเดิม อีกทั้งยังหนาวสั่นจนตัวสั่นเทิ้ม พลันลังเลใจขึ้นมา

การปล่อยให้ซิ่นเฉิงตายในอ้อมแขนเขาอย่างที่ลั่นวาจาไปตอนแรกมันเป็นการดีแล้วหรือ?

แน่นอนว่าไม่ เขาจะต้องเจ็บปวดกว่าเดิมแน่ ที่สำคัญ เขาหาได้ต้องการให้ซิ่นเฉิงถูกความตายมาพลัดพรากไปเสียหน่อย แต่หากไม่ถูกความตายมาฉุดคร่า ก็ถูกเทียนอี้พรากไปอยู่ดี

ไม่ว่าทางใด ซิ่นเฉิงก็จะถูกแย่งชิงไปจากเขาทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ใจของซิ่นเฉิงเองที่ไม่เคยคิดจะเป็นของเขา...

เป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด เขาอยากจะสังหารให้ซิ่นเฉิงสิ้นใจเสียให้รู้แล้วรู้รอด เขาไม่จำเป็นต้องสนใจความรู้สึกผู้ใดนอกจากตนเองด้วยซ้ำในเมื่อเขาเป็นอสรพิษที่มีแต่ผู้คนรังเกียจ แต่ก็ไม่อาจทำได้ด้วยนึกถึงคำพูดของซิ่นเฉิงขึ้นมา

‘ต่อให้เจ้าอัปลักษณ์กว่านี้เพียงใด ข้าก็หาได้รังเกียจ...’

หัวใจที่เย็นเยือกของเจี้ยนสืออุ่นร้อนขึ้นมา จะมีมนุษย์สักกี่คนกันที่ไม่ผลักไสเขาเช่นนี้?

ในตอนนี้เองที่ตระหนักได้ว่าสิ่งที่อัปลักษณ์ที่สุดหาใช่รูปลักษณ์ของเขา หากแต่เป็นจิตใจที่เอาแต่คิดจะช่วงชิงและครอบครองของเขาต่างหาก ความรู้สึกของผู้ใดหาได้สำคัญ ความรู้สึกของเขาคือสิ่งที่ควรเทิดทูน แม้แต่คนที่รักก็ฆ่าได้ เป็นเช่นนี้...มันหาใช่ความสุขที่เขาปรารถนา

เจี้ยนสือจำต้องคลายอ้อมแขนออกจากร่างของมนุษย์หนุ่ม วางลงอย่างเบามือลงบนที่นอน ทันทีที่เป็นอิสระ ซิ่นเฉิงก็คุดคู้ห่อตัวเองพลางสั่นเทา ขณะที่เทียนอี้รีบเก็บดาบเข้าที่เดิมแล้วรีบก้าวเข้าไปอุ้มอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขนแทน

บัดนี้ เจี้ยนสือผละออกมา หลบทางให้เทียนอี้ได้พาชายหนุ่มออกจากกระโจมได้สะดวก ส่วนซิ่นเฉิงที่ได้รับความอบอุ่นจากกายใหญ่ก็ผวาเข้าซุกตัวลงในแผงอกกว้างอย่างโหยหา ภาพนั้นช่างสร้างความร้าวรานให้กับเจี้ยนสือยิ่งนัก แต่สิ่งใดก็ไม่ทำให้เขาปวดร้าวได้เท่ากับคำพูดของอดีตสหาย

“เจ้ามันเป็นสัตว์เลือดเย็น จากนี้ไป อย่าได้เข้าใกล้คนของข้าอีก”

สิ้นเสียง เทียนอี้ก็พาร่างของซิ่นเฉิงหายออกไปจากกระโจม เหลือแต่เพียงเจี้ยนสือเท่านั้นที่มองตามนิ่งด้วยความรู้สึกยากจะอ่าน ครั้นหมิงจูยื่นมือไปสะกิด เจี้ยนสือก็ปัดออกเต็มแรง
“อย่ามายุ่งกับข้า!”

หมิงจูพ่นลมหายใจออกมา เขาจนปัญญาที่จะช่วยเหลือแล้ว คงจะยื่นมือเข้าไปแทรกมากกว่านี้ไม่ได้ จึงได้แต่จากมาโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้เจี้ยนสือทรุดตัวลงนั่งยังฟูกนอน ฝ่ามือลูบไปตามหนังสัตว์ที่ทิ้งร่องรอยอุ่นๆ ของซิ่นเฉิงไว้อยู่

เขาเลือดเย็น... สิ่งนั้นเป็นความจริง
แต่ในความเลือดเย็น... เขาก็มีหัวใจเช่นกัน

มีหัวใจที่พร้อมจะรักหากซิ่นเฉิงชายตามองเขาบ้าง

สวรรค์... เหตุใดถึงต้องส่งซิ่นเฉิงมาให้เขารักทั้งที่ใจยังมีแต่หลิวซูกัน?
-------------------------------
หายไปหลายวัน กลับมาแล้วววว
ทนอ่านตอนนี้ให้ผ่านไปก่อนเน้อ ตอนหน้าพี่หมากับเจ้าเหมียวจะเริ่มหวานกันละ (ก็เห็นบอกงี้มาตั้งหลายตอนละ 555)
ส่วนใครที่สงสารพี่งูในตอนนี้ บอกเลยว่าไม่ต้องห่วงนะคะ ในตอนพิเศษ พี่งูได้น้องลำยองมาเยียวยาจิตใจ แปะตัวอย่างในตอนพิเศษด้วยนิดนึง
**********************
"เจ้าจะเมาเช่นนี้ทั้งปีเลยรึ?"
เจี้ยนสือถามด้วยน้ำเสียงขุ่นข้อง เขารำคาญใจนักที่เห็นเด็กน้อยในวันวานที่ได้ช่วยชีวิตไว้ในทะเลทรายเติบใหญ่เป็นชายหนุ่มที่เอาแต่เมาหัวราน้ำอย่างนี้ทุกวี่วัน

ซานเยว่หรี่ตามอง อันที่จริงก็ไม่ได้หรี่ หากแต่ดวงตาปรือเพราะกำลังเมามายได้ที่ พลันส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
"ข้าจะเมาจนกว่าจะตายไปเลย"

จากนั้นก็ส่งเสียงดังไปทั่ว หัวเราะร่วนราวกับเป็นบ้า

เจี้ยนสือมองแล้วก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมา ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขาสนใจมนุษย์ผู้นี้ ทั้งที่ควรจะปล่อยให้สิ้นใจกลางทะเลทรายตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแท้ๆ แต่ทว่า...

คิดแล้วก็นึกถึงภาพใบหน้าของเด็กน้อยมอมแมมที่พลัดหลงกับเผ่าขึ้นมา ใบหน้าจิ้มลิ้นนั้นยากที่จะปล่อยให้ตายอย่างเอน็จอนาถเหลือเกิน กลายเป็นว่าเขาต้องฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ช่วยให้เด็กนั่นรอด แต่ผู้ใดเลยจะคาดคิดมาก่อนว่าเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาจะกลายเป็นคนกะล่อน อีกทั้งยังสำมะเลเทเมาเช่นนี้

คิดแล้วก็มองหน้าของซานเยว่ที่ตอนนี้ร้องรำไปตามประสาอย่างระอาใจ ก่อนที่อีกฝ่ายจะมาทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิยังเบื้องหน้าเขา
"แล้วเจ้าล่ะ เป็นผู้ใด ไยข้าถึงได้พบเห็นเจ้าบ่อยนัก"

ที่พบเจอบ่อยเป็นเพราะเฝ้าตามดูอยู่ตลอด แต่เจี้ยนสือไม่พูดออกไป จ้องมองใบหน้าแดงเรื่อของอีกฝ่ายแล้วสูดลมหายใจเข้าปอด

ซานเยว่หัวเราะโดยไร้เหตุผล ก่อนจะยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง มืออีกข้างจุ่มเข้าไปในไหสาโทที่มีน้ำเมาเหลืออยู่ที่ก้นไห
"ข้าว่าจะพูดตั้งนานแล้ว ท่าทางของเจ้า อีกทั้งยังดวงตา ช่างดูเหมือนงูจริงๆ"

เจี้ยนสือเลิกคิ้วเล็กน้อย...ก็แน่ล่ะสิ เขาเคยเป็นเทพอสูรผู้มีศีรษะเป็นงูจงอางมาก่อนนี่

กระนั้นก็ยังไม่ปริปากใดๆ ออกไปอีก ตั้งใจว่าจะกลับสู่สวรรค์ด้วยป่วยการจะพูดคุยกับคนที่เริ่มครองสติไม่อยู่ผู้นี้
ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ผุดลุกไปไหน ซานเยว่ก็ส่งเสียงออกมาอีก

"แต่ข้าชอบงูนะ"
เจี้ยนสือชะงัก เอ่ยปากออกมาจนได้ "เจ้าน่ะหรือ?"
"อือ ข้าชอบงู"
"เพราะเหตุใด" ถามออกไปด้วยอยากรู้ ในใจอุ่นวาบขึ้นมา

เขาเพิ่งจะเคยได้ยินมนุษย์เอ่ยปากว่าชื่นชอบอสรพิษเป็นครั้งแรก หากแต่คำตอบของซานเยว่ก็ทำให้เทพหนุ่มต้องหน้าตึง
"เพราะอร่อย เจ้าเหยี่ยวเองก็ชอบ ใช่ไหมเจ้าเหยี่ยว!"

ประโยคแรกพูดกับเจี้ยนสือ ประโยคหลังพูดกับสัตว์เลี้ยงของตน

เจ้าเหยี่ยวสีขาวตัวเขื่องที่เกาะอยู่บนขอนไม้ส่งเสียงรับราวกับเห็นด้วย ทำให้เจี้ยนสือต้องกลอกตา

ชอบงูเพราะรสชาติโอชา เห็นข้าเป็นของแกล้มสุราหรือไร!?

ถึงตอนนี้จะไม่ได้เป็นงูจงอางแล้ว แต่เจี้ยนสือก็เผลอคิดว่าตนเป็นเช่นนั้นอยู่อย่างลืมตัว ก่อนจะผุดลุกจากโขดหิน
"ข้าหมดเรื่องจะเสวนากับเจ้าแล้ว"
หมายจะกลับสู่สวรรค์ ทว่าซานเยว่ก็รีบผุดลุกมาคว้าแขนไว้เมื่อเห็นว่าคนแปลกหน้ากำลังจะจากไป ก่อนจะกลายเป็นว่าเขาเซถลาไปชนกับแผ่นอกของเทพหนุ่ม

เจี้ยนสือมองด้วยสายตาเคืองขุ่น กลิ่นเหล้าฉุนกึ้กที่ลอยเข้าจมูกนั้นช่างไม่ชวนให้พิสมัยเสียเลย แต่ความคิดนั้นก็ต้องเลือนหายไปเมื่อสบกับดวงตาคู่สวยที่ซานเยว่เคยใช้มองเขาเมื่อครั้งยังเยาว์วัย มันยังคงความไร้เดียงสาอยู่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระรัวเร็วเมื่อขยับริมฝีปากพูด

"งูเช่นเจ้าข้าก็ชอบ"
"พูดราวกับอยากจะกินข้า"
"ถ้าเจ้าอนุญาต ข้าก็จะกิน กินเจ้า กินให้หมด กินงูของเจ้า...อึ้ก"

ที่บอกว่าจะกินเขานั้นพอเข้าใจได้ว่าพูดไปเพราะความมึนเมา แต่กินงูของเขานี่มัน...

เจี้ยนสือนิ่วหน้า ความร้อนแล่นพล่านไปทั่วร่าง
เจ้ามนุษย์ผู้นี้จะรู้หรือไม่ว่าเขาคิดอกุศลไปไกลจนไม่สมกับตำแหน่งเทพสวรรค์ที่ดำรงอยู่ไปแล้ว...
**********************
ถ้าตามเพจหนูแดงอยู่ ก็จะได้อ่านสปอยล์แบบนี้บ่อยๆ ค่ะ 555
ฝากฟีดแบ็กให้ด้วยนะ ตอนนี้อาจจะอัปช้าหน่อยเพราะติดภารกิจช่วงงานหนังสือ แต่จะพยายามมาอัปให้ค่า

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
สงสารพี่งู แต่อ่านจากตอนพิเศษตัวอย่างแล้วนางน่าสงสารกว่าเดิมอีก 555555  :m20:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
คนเลวที่รักเธอออ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
พี่งูเริ่มคิดได้ สวรรค์มีเมตตา ส่งน้องลำยองมาดามใจ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Realy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แหมะมีเรือผีผุดขึ้นในใจแวบๆ55555 :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 22: เสี้ยวอสูร

เทียนอี้ร้อนรนพาร่างของซิ่นเฉิงกลับมายังกระโจมตน พ่อบ้านเหลียงที่รออยู่ก่อนแล้วเพิ่งตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการเยียวยาอาการป่วยไข้ให้เสร็จเมื่อครู่ ก่อนที่จะเปิดทางให้ผู้เป็นนายได้วางมนุษย์หนุ่มลงหนังสัตว์นุ่ม

ซิ่นเฉิงยังคงสั่นเทา สติไม่สมประดี ทว่าปากกลับร้องเรียกแต่เจ้าหมาไม่ยอมหยุด น่าดีใจสำหรับเทียนอี้ที่จิตใต้สำนึกของคนตรงหน้าคะนึงหาแต่เขา หากแต่ไม่ใช่ในยามที่อีกฝ่ายสั่นเทาราวกับลูกนกแรกเกิด เทียนอี้ปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนตรงหน้าออก กายแกร่งคุดคู้ยิ่งกว่าเดิมด้วยหนาวทั้งในกายและผิวกายด้านนอก ก่อนที่เทพอสูรหนุ่มจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา

“ข้าจะเดินปราณให้เขาเพียงลำพัง เจ้าออกไปได้”

พ่อบ้านเหลียงอยากจะขันอาสาช่วยเหลือ แต่เห็นว่าเทียนอี้ไม่ประสงค์ให้ใครได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของมนุษย์หนุ่มจึงไม่ได้ทักท้วงใดๆ ยอมออกจากกระโจมไปแต่โดยดี

ครั้นกระโจมถูกปิดสนิทจนมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดมองลอดเข้ามาได้ ปราการที่บดบังช่วงล่างของซิ่นเฉิงอยู่ก็ถูกปลดเปลื้องออก การเดินปราณนั้นเป็นการขับไล่พิษออกจากร่างกายทางรูขุมขน ขณะที่พิษจะถูกขับออกมาทางเหงื่อ ที่ต้องเปลื้องผ้าก็เพราะต้องการให้พิษถูกระบายออกมาได้ดี

แม้จะรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป แต่เทียนอี้กลับรวมรวมสมาธิไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มือทั้งสองข้างพลันสั่นเทา ในใจสั่นไหวเมื่อนึกถึงครั้งที่สูญเสียหลิวซูไปขึ้นมา ตอนนี้เขารู้สึกเช่นนั้นอีกครั้งด้วยเกรงว่าจะสูญเสียซิ่นเฉิง น่าแปลกนัก ทั้งที่ไม่ใช่คนเดียวกัน แต่ในใจของเทพอสูรกลับรวดร้าวขึ้นมา จะว่าไปแล้ว การนึกว่าจะต้องสูญเสียซิ่นเฉิงนั้นสร้างความเจ็บปวดให้กับเขามากกว่าครั้งที่สูญเสียหลิวซูไปอีก อาจจะเพราะด้วยเขาไม่เคยยับยั้งชั่งใจในการมอบใจให้กับซิ่นเฉิงก็เป็นได้ ซึ่งต่างจากหลิวซูด้วยเขาตระหนักดีว่าในใจของหลิวซูมีผู้ใด หากจะพูดก็อาจจะต้องพูดว่าเพราะรักซิ่นเฉิงมากกว่า เขาถึงได้อยู่ไม่สุขเช่นนี้

เทียนอี้สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อตั้งสติ ก่อนจะจัดท่าของซิ่นเฉิงให้นอนราบหงาย ซิ่นเฉิงขดตัวอีกครั้งด้วยต้องการความอบอุ่น ทว่าเทียนอี้ไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น เอนกายลงเคียงข้าง วางฝ่ามือที่ปล่อยลมปราณออกไปลงบนหน้าหัวไหล่ ลูบไล้แผ่วเบาให้ไอร้อนจากฝ่ามือคลายความหนาวสั่นให้กับอีกฝ่าย

“เฉิงเฉิง...เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร”

ปากพึมพำ แววตาสั่นไหวระริก ขณะที่ซิ่นเฉิงซุกตัวเข้าหาขนนุ่มในทันที พลันเทียนอี้ก็บอกกับตนเองว่ารอช้าไม่ได้ สีหน้าซีดเผือดและริมฝีปากแห้งผากของซิ่นเฉิงน่ากลัวเกินกว่าจะรั้งรอ ก่อนที่เขาจะลากลูบฝ่ามือจากหัวไหล่ไล่ลงต่ำไปยังท่อนแขน เมื่อร่างกายร้อนผะผ่าวพอจะหยุดสั่นเครือลงบ้างแล้ว เขาถึงลากฝ่ามือไปยังอวัยวะส่วนอื่น

อันที่จริงแล้ว การเดินลมปราณนั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากขนาดนี้ แค่ใช้ฝ่ามือส่งผ่านปราณไปที่แผ่นหลัง เท่านั้นก็ช่วยให้ธาตุให้ร่างกายของผู้ป่วยกลับคืนสู่สมดุล แต่ที่เทียนอี้บรรจงเดินปราณให้เสียทุกสัดส่วนเช่นนี้หาใช่เพราะต้องการให้ซิ่นเฉิงได้หายกลับสู่ปกติในเวลาอันสั้นเพียงอย่างเดียว ทว่าเป็นเพราะเขาต้องการที่จะชำระล้างกลิ่นสาบงูของเจี้นนสือออกจากร่างนี้ด้วยต่างหาก

เขาจะล้างมันออกด้วยกลิ่นของเขา...

ความหวงแหนเข้าครอบงำเสียจนเทียนอี้ร้อนรุ่มในกายไปหมด แม้ปากจะไม่พูด แต่ในใจก็พร่ำพรรณนาออกมาราวกับสติวิปลาส

เฉิงเฉิงเป็นของข้า... เขาเป็นของข้า...

ไม่เพียงแต่พึมพำในใจ มือหนาก็เริ่มลากลูบไปตามหน้าท้องแกร่งอีกด้วย ไอร้อนจากร่างกายของซิ่นเฉิงที่แผ่กำจายออกมาราวกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ภายในทำให้เทียนอี้รับรู้ได้ว่าธาตุภายในนั้นแปรปรวนเพียงใด อันดับที่เขาควรทำคือทำให้ซิ่นเฉิงหยุดหนาวสั่น ทว่า...เมื่อฝ่ามือลูบไล้ผ่านผิวเนื้อไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขากลับอดรนทนไม่ได้ที่จะสัมผัสเรือนร่างของอีกฝ่ายด้วยริมฝีปาก

ปลายจมูกเปียกชื้นสัมผัสลงบนซีกหน้าก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ไล่ลงต่ำมายังลำคอและกกหู เทียวไล้วนอยู่อย่างนั้นไม่เลิกราราวกับกำลังพร่ำบอกด้วยการกระทำว่าหวงแหนคนที่อยู่ในอ้อมแขนมากเพียงใด

กลิ่นของเจี้ยนสือที่ทิ้งร่องรอยไว้ในยามตระกองกอดมนุษย์หนุ่มช่างชวนให้หัวเสีย แต่เทียนอี้ก็ทำได้เพียงระบายลมหายใจแรงๆ ออกมา แล้วเริ่มบรรจงจูบเพื่อกลบกลิ่นนั้นแทน

จุมพิตลงบนซีกหน้า ทว่าฝ่ามือกลับถูกลากลงมายังกลางหน้าท้องแกร่ง การกระตุกวูบน้อยๆ จากซิ่นเฉิงทำให้เทพอสูรสุนัขป่าไม่อาจหักห้ามใจให้กระทำเพียงดอมดมและจุมพิต เขาผละออกจากใบหน้าของชายหนุ่ม ไล่พรมจูบลงต่ำกระทั่งถึงยังแอ่งสะดืออย่างเชื่องช้า หากแต่ฝ่ามือกลับถูกดันขึ้นไปยังด้านบน หยอกเอินกับตุ่มไตเล็กๆ ที่แดงระเรื่อราวกับเมล็ดทับทิมเสียอย่างนั้น
ทั้งที่ควรจะนอนนิ่งด้วยสิ้นสติ ซิ่นเฉิงกลับมีปฏิกิริยาตอบรับกับสัมผัสนั้นขึ้นมาด้วยการแอ่นอกรับ อีกทั้งริมฝีปากแห้งผากก็ยังครวญเสียงแผ่ว น้ำเสียงแหบแห้งชวนให้กำหนัดในกายของเทียนอี้ก่อกำเนิด ทว่าก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากจะดันตัวขึ้นแล้วหันไปคว้าเอาถุงบรรจุน้ำมารินใส่ปากตน จากนั้นก็รินป้อนอีกฝ่ายด้วยการจุมพิต

หยดน้ำหลั่งริน ลำคอที่แห้งเป็นผุยผงก็ชุ่มฉ่ำ แต่สิ่งที่ชุ่มฉ่ำกว่านั้นคือส่วนล่างของมนุษย์หนุ่ม ครั้นเทียนอี้เหลือบมองก็เห็นว่าแก่นกายแข็งขืนขึ้นมา ส่วนปลายฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำหวานสีใส จากที่หมายจะเดินปราณให้ธาตุหยินหยางของซิ่นเฉิงสมดุล ก็กลายเป็นว่าลวนลามอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว

ไม่ได้ตั้งใจ... เทียนอี้ไม่อาจพูดคำนี้ได้เต็มปาก เขาใคร่จะครอบครองซิ่นเฉิงให้รู้แล้วรู้รอดด้วยต้องการประกาศว่าแท้จริงแล้ว ซิ่นเฉิงคือเจ้าแมวของเขา หาใช่ของเจี้ยนสือ ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ไม่มีสิทธิมาแตะต้องเรือนร่างเย้ายวนนี้ทั้งนั้น!

การเดินลมปราณจึงเป็นไปอย่างพิลึกพิลั่น ถ่ายทอดไออุ่นกระตุ้นธาตุในกายของชายหนุ่มให้สมดุลไป ขณะเดียวกันก็กินเต้าหู้[1]ไปอย่างเอร็ดอร่อย การดูแลคนป่วยของแม่ทัพเทพอสูรจึงกินเวลาไปนานเกือบชั่วยามหนึ่งเลยทีเดียว แต่การกระทำนั้นก็เรียกสติสัมปชัญญะของซิ่นเฉิงให้กลับมาได้เป็นอย่างดี

เปลือกตาบางค่อยๆ เปิดออกเมื่อร่างกายคลายพิษไข้ หากแต่ก็ไม่ได้คลายความร้อนรุ่มด้วยทันทีที่ลืมตาก็เห็นว่าเทียนอี้กำลังสาละวนวุ่นวายกับแก่นกายของตนอยู่ คราแรกที่รู้สึกหวามไหว ซิ่นเฉิงนึกว่าตนเองฝัน ทว่าพอเห็นร่างใหญ่อุดมไปด้วยขนฟูฟ่องก้มๆ เงยๆ ทั้งใช้มือรูดรั้ง ทั้งใช้ปากชิมไล้ เขาก็จะตระหนักได้ในอีกเสี้ยวพริบตาว่าความรู้สึกเสียวกระสันที่พร่างพรายมาตั้งแต่เมื่อครู่หาใช่ความฝัน แต่เป็นเพราะเขากำลังถูกลักหลับต่างหาก

เท่านั้นริมฝีปากแห้งผากก็เอื้อนเอ่ยออกมา

“เทียนอี้...เจ้า...ทำสิ่งใดน่ะ?”

หาได้ยากนักที่จะเอ่ยนามของคนตรงหน้าแทนคำว่าเจ้าหมา แต่ก็ไม่ควรถามว่าทำอะไรด้วยเห็นเต็มสองตาว่าเทียนอี้สาละวนกับการเดินลมปราณอยู่ หากทว่าตอนนี้เดินลมปราณผิดที่ผิดทางไปหน่อยก็เท่านั้น

เมื่อถูกเรียก เทียนอี้ก็เงยใบหน้าขึ้นมอง ทว่าก็หาได้ทำให้เขาหยุดมือได้ แม้ปากไม่ได้เลียไล้ แต่มือก็ยังคงรูดรั้ง “รู้สึกตัวแล้วหรือ?”

“หากไม่รู้สึก ก็คงไม่เห็นว่าเจ้ากำลังล่วงเกินข้าเช่นนี้หรอก” ซิ่นเฉิงตอบกลับพลางย่นคิ้ว
“ดีจริง ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่”
ซิ่นเฉิงย่นคิ้วหนักขึ้นไปอีก

ปากบอกว่าห่วง แล้วเหตุใดแววตาถึงมีความเสียดายแฝงอยู่กันเล่า!?

เทียนอี้เก็บอาการไม่มิดเลยทีเดียว คงเกรงว่าซิ่นเฉิงจะดุด่าแล้วออกปากห้ามให้วุ่นวายกับร่างกายตน เขาถึงได้ดูสับสนในความรู้สึกถึงเพียงนี้ แต่ก็ยินยอมที่จะหยุดยั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายส่งสายตาไม่พอใจมาให้

“ขออภัยที่ล่วงเกินเจ้า ข้าเพียงไม่อยากให้ร่างกายของเจ้ามีกลิ่นของเจี้ยนสือ”

คำสารภาพตามตรง ผนวกกับใบหูที่ลู่ลงอย่างสำนึกผิดโดยไม่รู้ตัวนั้น ทำให้ซิ่นเฉิงโกรธไม่ลง อีกอย่าง แม้ในยามนี้เขาจะมีอาการดีขึ้นจากการเดินปราณของเทียนอี้แล้ว แต่ก็หาได้หมายความว่าจะหายจากอาการป่วยไข้เป็นปลิดทิ้งเสียหน่อย ในตอนนี้เนื้อตัวก็ยังรุมๆ ด้วยพิษไข้อุ่นๆ เขาไม่มีอารมณ์จะมาผรุสวาทตำหนิใดๆ คนตรงหน้าหรอก

“ช่างเถิด ข้าหาได้ถือสา”

ไม่ได้ถือสาจริงอย่างที่ปากว่า ตอนนี้อยากจะพักผ่อนมากกว่า พลันซิ่นเฉิงก็ทิ้งตัวลงนอน ท่าทางอ่อนเพลียทำให้เทียนอี้ไม่กล้าแตะต้องหรือทำการใดตามใจต่อ จึงได้แต่ขยับกายมาทิ้งตัวลงนอนเคียงข้าง ดึงอีกฝ่ายเข้ามากกกอดในแผงอก ซิ่นเฉิงหาได้ปฏิเสธการกอดรัดนี้ ออกจะรู้สึกดีด้วยซ้ำเพราะการได้นอนในอ้อมอกของเทียนอี้นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เขานอนหลับได้สนิทในช่วงนี้
ทว่า...เขาหาได้หลับอย่างสบายหรอกเมื่อเทียนอี้ขยุกขยิกไม่หยุด ใช้ปลายจมูกชื้นๆ ดอมดมบ้าง ใช้ริมฝีปากจรดจูบบ้าง มือลูบไล้ไปยังส่วนนั้นส่วนนี้บ้าง นั่นช่างสร้างความรำคาญใจให้กับซิ่นเฉิงยิ่งนักจนต้องออกปากแหว

“อะไรของเจ้านักหนา หากจะก่อกวนข้าถึงเพียงนี้ ก็ไม่ต้องให้ข้านอนหรอกเจ้าหมาโง่!”

เทียนอี้ถึงกับชะงักกึก ท่าทางซิ่นเฉิงคงจะสุดทนแล้วถึงได้หลุดปากสบถออกมา พลันใบหูตั้งๆ ก็ลู่ลงจนดูน่าสงสาร
“บนตัวของเจ้ายังมีกลิ่นของเจี้ยนสืออยู่”

ไม่เพียงแต่ใบหูเท่านั้นที่ดูน่าสงสาร น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบาและถ้อยคำนั้นก็ฟังดูน่าสงสารไม่แพ้กัน

ที่แท้เหตุที่ขยุกขยิกไม่หยุดเป็นเพราะเรื่องนี้... แต่สำหรับซิ่นเฉิง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด มันล้วนแล้วแต่ทำให้กำหนัดที่เขาพยายามข่มลงไปอุบัติขึ้นมาอีกครา

ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าส่วนกลางของลำตัวเขามันชูชันชี้ฟ้าอยู่ ใจคอจะกระตุ้นเร้าจนเขาไม่ต้องได้พักผ่อนเลยใช่ไหม!?

“ข้าขออภัย”

แม้ซิ่นเฉิงจะไม่ได้ต่อว่าออกมา แต่สบสายตาขุ่นๆ นั่นแล้วก็รับรู้ได้ว่าซิ่นเฉิงไม่พอใจ ซึ่งนั่นก็สมควรอยู่หรอก เขาหึงหวงเสียจนหน้ามืดตามัว กระทำการทุกอย่างลงไปโดยหาได้คำนึงว่ายามนี้อีกฝ่ายป่วยไข้อยู่ สมแล้วที่โดนก่นด่า

หากแต่การที่เทียนอี้มีท่าทีสลดลงแล้วเอาแต่ตระกองกอดเขาโดยไม่ปริปากใดๆ ออกมาอีกนั้น ทำให้ซิ่นเฉิงที่มองอยู่ต้องพ่นลมหายใจออกมา

ไม่ว่าคราใด เขาก็พ่ายแพ้ให้กับท่าทางหูตั้ง หางตกของเทพอสูรตรงหน้าทุกทีสิน่า...

สุดท้ายแล้วก็ใจอ่อน...

“จะทำการใดกับร่างกายข้าก็ย่อมได้ แต่อย่าให้มันได้ใจมากเกินไปล่ะ ไม่เช่นนั้น อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าก่อน”

แววตาของคนฟังประกายวาว หากซิ่นเฉิงไม่ได้ตาฝาด เหมือนกับว่าจะเห็นหางฟูฟ่องเป็นพวงของเทียนอี้กระดิกระริกระรี้ด้วย
“ข้าจะไม่รบกวนเจ้า เพียงแค่กลบกลิ่นของเจี้ยนสือให้หมดไปเท่านั้น”
“สุดแต่ใจเจ้าจะประสงค์”
ซิ่นเฉิงว่าอย่างระอา ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก รอให้เทียนอี้ได้กระทำกับร่างกายเขาตามอำเภอใจ

ปลายลิ้นอุ่นร้อนไล้เลียไปตามอณูผิวคล้ำแดดของบุรุษทะเลทรายอีกครั้ง ทั้งที่แก่นกายควรจะอ่อนนุ่มลงไปแล้ว พลันก็กลับแข็งขืนขึ้นมาอีก เทียนอี้เข้าครอบครองท่อนเนื้อชูชันด้วยปากอีกครา โรมรันด้วยลิ้นร้ายเสียจนซิ่นเฉิงที่แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกใดๆ ต้องครางเสียงต่ำในลำคอ

ไม่เพียงเท่านั้น เทียนอี้ยังได้ใจ ใช้มือหนึ่งช้อนสะโพกของคนใต้ร่างขึ้นสูง สอดนิ้วเข้าชำแรกสำรวจไปยังปากถ้ำ ช่องทางคับแคบถูกเปิดออกเมื่อถูกกระตุ้นเร้าเสียจนเผลอไผล ครานี้ซิ่นเฉิงถึงกับกระตุกเฮือกเมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายแตะต้องไปยังเม็ดมุกที่ฝังลึกอยู่บนผนังถ้ำด้านใน ก่อนที่เสียงเฉอะแฉะลามกดังมาให้ได้ยินในโสตทีละน้อย

ซิ่นเฉิงครวญเสียงพร่า มือทั้งสองจิกกำเส้นขนนุ่มของเทียนอี้ที่ผวาคว้ามาไว้ในมือเอาแน่นอย่างไม่อาจทนไหว ก่อนที่สะโพกสอบจะยกลอยในอากาศเมื่อหลั่งรินมธุรสหวานล้ำกระเซ็นออกมาเป็นสาย เทียนอี้บรรจงเลียไล้คราบคาวนั้นบนหน้าท้องของซิ่นเฉิงจนหมดสิ้น แต่ก็ยังไม่ถอนปลายนิ้วออกจากช่องทางคับแคบทางด้านหลัง ครั้นได้เพียงครู่ก็ขยับอีกครา ซิ่นเฉิงที่แม้ว่าจะสุขสมไปแล้วครั้งหนึ่งก็กลับแข็งขืนอีกระลอก แก่นกายไม่รักดีชูชนคล้ายกับดอกตูมของบุปผชาติจวนเจียนจะแย้มกลีบเชื้อเชิญให้เทียนอี้ซึ่งปฏิบัติตัวประหนึ่งภู่ภมรได้ดอมดมอีกครา

เมื่อแลเห็นก็อดรนทนไม่ไหว ครั้งนี้บรรจงจุมพิตจากส่วนปลาย ลากไล้ปลายลิ้นไปจนถึงโคน กระตุ้นเย้ากระทั่งอีกฝ่ายเกิดกำหนัด ธาตุในร่างกายที่เกือบจะสมดุลดีแล้วในตอนแรกแปรปรวนอีกครั้งราวกับพายุคลั่ง ซิ่นเฉิงถูกปลุกปั่นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ก่อนที่ความอดทนจะสิ้นสุดลงด้วยเทียนอี้ไม่กระทำไปมากกว่านั้นเสียทีจนเขาเป็นฝ่ายต้องปริปากออกมา

“เจ้าหมา...ทำอะไรสักอย่าง”

คนถูกร้องขอชะงัก เหลือบมองราวกับว่าไม่เข้าใจเพราะก่อนหน้านั้น ซิ่นเฉิงเป็นคนพูดเองว่าอย่าให้เขาได้ใจให้มาก แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงเป็นฝ่ายเรียกร้อง?

นั่นคือการแสร้งเขลา เทียนอี้รู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด ขณะที่สายตาฉงนของคนตรงหน้าทำให้ซิ่นเฉิงจำต้องพูดออกมาอีกครา

“กอดข้า...”
“ข้าเคยลั่นวาจาไว้จะไม่รั้งเจ้าไว้ด้วยวิธีนั้น”

ไม่ใช่ไม่อยากกอด แต่เป็นเพราะได้ให้สัตย์วาจากับตนเองไว้แล้วว่าจะไม่กระทำการใดให้ซิ่นเฉิงต้องบอบช้ำ โดยลืมไปแล้วว่าเขาบอกไว้ว่าจะไม่ทำก็ต่อเมื่อซิ่นเฉิงไม่ยินยอม

“ทำเถิดน่า ข้าไม่ได้คิดเล็กน้อยเรื่องนั้น”
แต่คราวนี้ยินยอมด้วยความเต็มใจ...

“แต่ก็หาใช่สิ่งที่สมควรทำไม่ ข้ามีร่างเป็นเทพอสูร เจ้าคงจะไม่ยินดีนักหากต้องเสพสังวาสกับกายนี้”

แต่แล้วเทียนอี้ก็มีข้ออ้างในทุกคำพูดที่ซิ่นเฉิงตอบโต้ ทำเอาคนที่นอนราบอยู่สบถออกมาอย่างหัวเสียจนฟังไม่ได้ศัพท์ พลันดันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล เทียนอี้ถอนนิ้วออกจากกายคนตรงหน้า หมายเข้าไปประคอง ทว่าก็โดนป่ายปัดออกอย่างไม่ไยดี ก่อนจะเป็นฝ่ายต้องประหลาดใจเมื่อซิ่นเฉิงลุกขึ้นมาทิ้งตัวนั่งคร่อมร่างเขาไว้ พร้อมกับใช้สองมือโอบกอดรอบลำคอ มือข้างหนึ่งดึงทึ้งเส้นขนสีเงินยวงที่แผงคอทางด้านหลังให้เทียนอี้ได้เงยหน้ามอง

“หากเจ้าไม่กอดข้า ข้าจะเป็นผู้กอดเจ้าเอง”
“เฉิงเฉิง...”
“เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่ากายของข้ามีกลิ่นของเจี้ยนสือ แค่เพียงกลบกลิ่นของเจ้างูนั่นด้วยการเล็มไล้ มันจะไปช่วยการใดกัน ต่อให้กลิ่นของเจี้ยนสือจางหาย แล้วใจของเจ้าเล่า หายตะขิดตะขวงอย่างนั้นหรือ?”

พูดยังไม่ทันจบ น้ำเสียงขุ่นของมนุษย์หนุ่มก็แทรกขึ้น ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาว่า ต่อให้กลิ่นของเจี้ยนสือหายไปแล้ว เทียนอี้ก็ยังคงหัวเสียอยู่ แม้จะไม่ได้แสดงออกมาแต่ก็ยอมรับว่าหงุดหงิดใจไม่น้อย นั่นเพราะเขาไม่มีสิทธิอันชอบธรรมในการอ้างว่าซิ่นเฉิงเป็นของตนอย่างเต็มภาคภูมิ

“แต่เจ้าจะต้องเสียใจหากได้ร่วมรักกับข้า”

แต่ก็เป็นเทียนอี้ที่คิดเล็กคิดน้อย เสียใจที่ว่านั้นคือการได้ผูกมัดแล้วพรากจากกัน

ทว่ากับซิ่นเฉิง เขาเป็นบุรุษทะเลทราย แม้จะไม่ได้เก่งกล้าสามารถดุจเทพเซียน แต่เขาก็ใจเด็ดสมกับเป็นนักรบของเผ่าเร่ร่อน

“ข้าจะเสียใจหรือไม่ คนตัดสินใจคือข้า เจ้าไม่ต้องมาตัดสินใจให้” ซิ่นเฉิงว่าเสียงขุ่นออกมา ก่อนจะออกแรงกระชากเส้นขนในกำมือให้เทียนอี้ได้สบตาชัดๆ แล้วว่าเสียงต่ำ “แต่ตอนนี้ข้ารู้เพียงว่าต้องการร่วมรักกับเจ้าเท่านั้น”

ไม่ได้พูดว่า ‘เสพสม’ หรือ ‘เสพสังวาส’ แต่บอกว่า ‘ร่วมรัก’

เท่านั้น เทียนอี้ก็ทึกทักไปเองแล้วว่าหากได้กอดกับคนตรงหน้า มันจะเป็นการผูกพันที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักใคร่ หาใช่การเชยชมร่างกายของกันและกันเพื่อความอภิรมย์ตามสัญชาตญาณกำหนัดของมนุษย์ คิดแล้วก็ใจเต้นระส่ำขึ้นมา ก่อนที่เขาจะชั่งใจไปครู่กระทั่งซิ่นเฉิงพูดขึ้นมาอีก

“แล้วเจ้าล่ะ ที่กินเต้าหู้ข้ามาตั้งนานสองนาน ไม่ใช่เพราะอยากร่วมรักกับข้าหรือไร”
“ผู้ใดบอกเจ้ากันว่าข้าไม่อยากร่วมรักกับเจ้า”
เทียนอี้รีบแก้ตัวทันควัน ทำเอาซิ่นเฉิงมุ่ยหน้าหนัก
“เช่นนั้นเจ้ารั้งรอการใดอยู่”
“เพราะเจ้าป่วย”
“เจ้าเดินลมปราณพิลึกพิลั่นให้ข้า ข้าเลยมีอาการดีขึ้นแล้ว” เป็นซิ่นเฉิงแล้วที่เถียง

นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เทียนอี้รั้งรอหรอก แต่เป็นเพราะเหตุผลอื่นมากกว่า หนึ่งก็คือเกรงว่าการมีสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งจะเป็นการผูกมัดให้ซิ่นเฉิงที่อยากจะไปจากเขาลังเลใจขึ้นมา อีกหนึ่งก็คือ...รูปโฉมอันอัปลักษณ์ของเขา

ไยเทียนอี้จะไม่รู้ล่ะว่าซิ่นเฉิงหลงใหลในร่างอดีตเทพของเขาเพียงใด แต่เขาในตอนนี้อยู่ในร่างของเทพอสูร หากจะต้องร่วมรักกันก็คงจะต้องไปกลางแจ้ง ทว่าซิ่นเฉิงในยามนี้ยังคงมีไข้อยู่ คงจะกระทำเช่นนั้นไม่ได้

“ไว้เจ้าหายดีเมื่อไร ค่อยว่ากันอีกครา”
“ท่ามากนักนะเจ้าหมา” ซิ่นเฉิงแสร้งดึงขนอีกฝ่ายด้วยหมั่นไส้

เทียนอี้เริ่มจะเจ็บขึ้นมาน้อยๆ ในคราวนี้แล้ว ก่อนจะต้องยอมปริปากพูดออกมาเมื่อถูกซิ่นเฉิงเค้นถาม

“ทำเป็นเย้าข้า หยอกล้อกับร่างกายข้า แต่เมื่อข้าสมยอม เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่ปฏิเสธกัน คิดจะแกล้งข้าเล่นให้เป็นที่อับอายใช่ไหม!?”
“หาใช่เช่นนั้น ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้เจ้าได้ร่วมรักกับร่างกายเช่นนี้ต่างหาก”

พอได้ยิน ซิ่นเฉิงก็นิ่งงัน
“ร่างกายเช่นนี้?”
“รูปลักษณ์เทพอสูรที่เจ้าเห็นคงจะทำให้เจ้าตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย และมันคงจะไม่น่าพิสมัยด้วยหากจะต้องถูกร่างอัปลักษณ์นี้สมสู่”

ได้ยินความ ซิ่นเฉิงก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเทียนอี้ถึงได้ลังเล ก่อนจะถามเสียงเขียวออกมา

“ข้าเคยว่าเจ้าอัปลักษณ์หรือ? หรือมีผู้ใดเอ่ยกัน หากมีก็จงบอกข้า ข้าจะไปตัดลิ้นมันเสียให้สิ้น”

คำขู่ทิ้งท้ายอย่างไม่จริงจังทำเอาเทียนอี้หัวเราะในลำคอเล็กน้อย สิ่งนั้นคือการปลอบประโลมเขาใช่หรือไม่?

ใช่อย่างแน่นอน เพราะซิ่นเฉิงเองก็เผยอยิ้มออกมาเมื่อพูดจบเช่นกัน ก่อนที่มือซึ่งขยุ้มเส้นขนสีเงินยวงอยู่จะคลายออกมาสอดทางด้านในและลูบไล้ที่หลังคอของเทียนอี้แทน

“เป็นเจ้าที่ตำหนิตนเองว่าอัปลักษณ์ ข้าหาได้เคยพูด และก็หาเคยได้ยินผู้ใดพูดเช่นกัน ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ที่บอกเองว่ามีใจปฏิพัทธ์ต่อข้า เมื่อข้าเปิดโอกาสให้ เจ้าก็ควรจะคว้าโอกาสนั้นไว้ อย่าโง่เขลาให้มากนักเจ้าหมา”

“แต่มันจะดีหรือหากเจ้าต้องเป็นหนึ่งเดียวกับข้ ข้าเป็นเทพอสูร อันที่จริงต้องเรียกว่าอสูรเฉยๆ เสียด้วยซ้ำ คำกล่าวเรียกเทพนั้นเป็นเพียงยศฐาที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง”

ถึงกระนั้น เทียนอี้ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี ซิ่นเฉิงเพิ่งรู้ในตอนนี้ว่าคนที่หนักแน่นอย่างเทียนอี้หวั่นไหวได้อย่างมากเมื่อความรู้สึกนั้นเกี่ยวข้องกับความรัก พลันคนฟังก็พ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา แล้วใช้มือบีบปากกับจมูกยาวๆ ของเทียนอี้ในร่างเทพอสูรไว้มั่น

“ข้ายินดีที่จะเป็นเสี้ยวหนึ่งของอสูร หากคำว่ารักที่หลุดออกมาจากปากเจ้าเป็นเรื่องจริง”

ได้ยินแล้ว เทียนอี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะรั้งรออีกต่อไป แม้ซิ่นเฉิงจะไม่ได้เอ่ยคำว่า ‘รัก’ แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีใจตรงกัน

จุมพิตประทับลงมาบนเรียวปากนุ่ม สอดใส่ปลายลิ้น เกี่ยวกระหวัดกันอย่างโหยหา ท่อนแขนโอบกอดเรือนร่างเปล่าเปลือยของอีกฝ่ายมั่น ฝ่ามือเคล้นคลึงไปตามเนินเนื้อหนั่นหนักหน่วงรุนแรง ความยับยั้งชั่งใจมลายสิ้น เทียนอี้ยกร่างของซิ่นเฉิงให้ขึ้นสูงเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบเสียงพร่าบอกอีกฝ่ายที่ข้างใบหู

“จะกอดข้ามิใช่หรือ? ทำสิเจ้าแมว”

ถึงจะถูกยั่วเย้า แต่บุรุษทะเลทรายก็หาได้เขินอาย คำพูดที่คล้ายจะท้าทายทำให้เขาค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งลงบนแก่นกายอุ่นร้อนของเทียนอี้ที่ตั้งตระหง่านด้วยกำหนัดทีละน้อย ใบหน้าเหยเกตามความอึดอัดคับแน่นที่พร่างพรายเข้ามาในช่องท้อง ถึงจะเป็นบุรุษ ทว่าเขาก็หาได้เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายกับสตรีใดมาก่อน บุรุษเองก็เช่นกัน นับว่าเทียนอี้เป็นผู้แรกที่ได้ยลเย้าร่างกายของเขา

ครั้นส่วนปลายของความเป็นบุรุษเพศหายเข้าไปในร่างของคนตรงหน้า เทียนอี้ก็ประคองสะโพกอีกฝ่ายเอาไว้ให้ก่อนค่อยๆ กดลงอย่างเชื่องช้าจนสุดโคน ความเสียวกระสันพร่างพราย ซิ่นเฉิงครวญเสียงดังเฮือกออกมา พลันแววตาก็ประกายเย้ายวนชวนมอง สิ่งนั้นกระตุ้นกำหนัดของเทียนอี้ได้เป็นอย่างดี ยิ่งชายหนุ่มเคลื่อนไหวเป็นจังหวะทีละน้อยด้วยแล้ว เทียนอี้ก็สูญเสียซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง ครั้นเจ้าแมวร้ายควบสะโพกถี่เร็วกว่าเดิมอย่างหนักหน่วงรุนแรง ความอดทนทั้งหมดก็มลายสิ้น อดไม่ไหวที่จะเป็นฝ่ายจับร่างของซิ่นเฉิงให้นอนราบ ยกท่อนขาแกร่งทั้งสองพาดไว้บนบ่า จากนั้นก็เคลื่อนสะโพกเข้าหาเอวสอบกระชั้นถี่

เสียงครวญหวนระคนเสียงหายใจหอบหนักดังแผ่วมาให้ได้ยินไม่หยุด อีกเพียงนิด ทั้งคู่ก็จะสุขสมอภิรมย์แล้ว ทันทีที่สวรรค์พร่างพรายขึ้นในภวังค์ราวกับฟ้าเปิด ทั้งสองก็ผวาเข้ากอดกันแนบแน่นราวกับกลัวว่าจะถูกพรากจากกัน ในอกของเทียนอี้ยามนี้พร่างพรายไปด้วยคำว่ารักที่เปี่ยมล้น

รัก...เขารักซิ่นเฉิง รักมากกว่าผู้ใด

คนผู้นี้คือเสี้ยวหนึ่งของอสูรเช่นเขา...

ขณะที่ซิ่นเฉิงเองก็ซุกใบหน้าลงกับเส้นขนนุ่ม มือขยุ้มขนบนบ่าแกร่งเอาไว้ประหนึ่งเด็กเล็กๆ ที่ยังคงติดผ้าคลุมผืนโปรดของมารดา พลันในใจก็อุ่นวาบขึ้นมาเมื่อเทียนอี้กระซิบเสียงพร่าลงมาที่ข้างหู

“ซิ่นเฉิง...ข้ารักเจ้า”

เป็นการพร่ำบอกจากใจจริง บัดนี้ในใจของเทียนอี้หาได้มีเงาของหลิวซูทับซ้อนใบหน้าของซิ่นเฉิงอยู่เลยแม้แต่น้อย หัวใจของเขาทั้งหมดถูกมอบให้กับซิ่นเฉิงไปเสียสิ้น ขณะที่หลิวซูถูกเก็บเอาไว้ลึกสุดใจ

เมื่อพลัดพรากจากกันไปแล้ว ก็ขอให้เหลือเพียงแค่ความทรงจำ ณ เวลานี้ เขาจะมองแต่ซิ่นเฉิงเพียงผู้เดียวเท่านั้น

ซิ่นเฉิงไม่ปริปากใดๆ ออกมา ซุกใบหน้าเข้าหาอีกฝ่ายมากกว่าเดิม แรงขยุ้มเส้นขนที่ทวีมากขึ้นนั้นเป็นคำตอบให้กับเทพอสูรผู้นี้แล้วว่าชายหนุ่มเองก็คิดสิ่งใด

รัก...

ข้าก็รักเจ้าเช่นกัน เจ้าหมา...


[1] เป็นสำนวนเปรียบเปรย มีความหมายว่าลวนลาม



มาเต็มตอนแล้วค่ะ เปลี่ยนชื่อตอนนิดหน่อยเพื่อให้เข้ากับเนื้อหาในเรื่องเพราะก่อนหน้านั้นอัปตัวอย่างที่เว็บอื่นไปแล้ว
ส่วนพี่หมากับน้องแมว กว่าเขาจะได้เสียกันก็ปาไป 3 ใน 4 ของเรื่อง ลีลาเหลือเกิ๊นนน! 555
แต่พี่หมาหล่อล่ำ ขนฟู หูตั้ง หางกระดิก หื่นนิดๆ พอเป็นกระษัย เล่นท่ายากอีกต่างหาก ให้อภัยได้ 555

ตอนนี้หวาน ตอนหน้าก็หวาน หวานให้น้ำตาลขึ้นตา ให้มดตายกันไปเลย
ฝากฟีดแบ็กกันด้วยนะคะ กรีดร้องกันเต็มที่ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาแปะตัวอย่างตอนใหม่ให้ค่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Realy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คงไม่ใช่ว่าน้ำตาลหวานขึ้นตาแล้วเบาหวนตามมาติดๆน่ะ o18 :laugh:

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
พี่หมานี่เล่นตัวสุดๆบอกเลย

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
ไม่น่าป็นหลิวซู
ในที่สุดดดดดด ทั้งคู่ก็ผูกพันทางกาย
แล้วจะเป็นไงต่อเนี่ย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด