Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)  (อ่าน 27162 ครั้ง)

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
หายไปนานนะ คิดถึง เปิดมาได้อ่านพ่อแง่แม่งอนแล้ว ชุ่มชื่นหัวใจละ
สวัสดีปีใหม่ไรท์นะ ขอให้สุขภาพแข็งแรง
 :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ AevvAewww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ฮือออไปกันใหญ่แล้ว แอบน้อยใจแทนเปที่แบบจุนเอาแต่คิดถึงค.รู้สึกของต้น แต่ไม่นึกถึงค.รู้สึกเปเลย
 แต่เปก็นิสัยแบบนั้นแหละ ส่วนน่ารักของเปก็มี แต่แค่คิดว่าเปโชคดีที่มีเพื่อนแบบยาดานะ ถ้าเราเป็นเพื่อนกับเปคงทนนิสัยบางอย่างไม่ได้อะ ฮืออ ;-;

แน่นอนว่าเราเชื่อในเซนส์ยาดานะ แบบต้นคงคิดกับเปแค่เพื่อนจริงๆ

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
เพราะคิดสวนทางกัน เหมือนจะใกล้กันหน่อยก็โดนให้มีอันต้องกระเจิงทุกที ว่าแต่เหมือนไอ้มุมแอบนอยด์กันนี่มันน่ารักดีเนาะ 555

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
HomeMate
Casting: Jun x Pae
Writer: Kajidrid

Home*Mate [17]



“กู....โอเค
แล้วมึงก็ไม่ต้องทำแบบนี้ตั้งแต่แรกด้วย
กูก็ผิดที่พูดไม่เคลียร์เอง แล้วก็...กูก็รู้แหละว่าไม่ควรไปหวังให้มึงช่วยเรื่องความรู้สึกกู
ต่อให้มึงไม่ช่วย หรือไม่เปิดทางให้ กูก็ไม่โกรธมึงนะไอ้จุน”

“แต่มึงซึมใส่กูนี่”

“ก็แววมันชัดว่าเค้าไม่ได้คิดอะไรกับกูเลย ขนาดเป็นเพื่อนก็ยังดูให้เป็นเพื่อนห่างๆ แบบเพื่อนของเพื่อนอ่ะ กูก็แป้วๆ แต่ว่า.. กูชอบเค้านี่หว่า”

“อย่าบอกกูดิ”

“ก็ไม่รู้จะบอกใคร นอกจากมึง”

“กูก็ชอบ”

“ชอบใคร?.....อย่าบอกนะว่าเป”

“อือ กูจะบอก มึงยังบอกกูได้เลย กูก็บอกมึงได้เหมือนกัน”
“กูชอบเค้า”

“ไอ้จุน”

“กูชอบเปล”


ไอ้พวกนี้....
คุยกันเบาๆ ไม่ได้หรอวะ?
ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องมาได้ยินด้วย ทำไมวะเนี่ย
ไอ้เหี้ยแก้มนี่ก็จะร้อนวูบวาบทำห่าอะไร
ก็แค่ มีคนบอกว่าชอบเป
ก็แค่....ผมเองครับ ผมคือเปล
เป็นผมนี่เอง ที่ผู้ชาย 2  คนนี้รู้สึกชอบ

ระเบียงห้องชั้น 4 นี้ แม่งไม่ได้ไกลเกินระยะได้ยินเสียงจากหน้าในซอยคอนโดเลย
ในกลางดึกที่ร้านข้าวต้มปิดประจำสัปดาห์ ไร้เสียงหมาเห่า การเปิดอกคุยกันของพวกเขา ไม่มีทางเป็นความลับของจักรวาลแน่ๆ

ผมจ่อมตัวนั่งลงตรงพื้นที่ว่างกลางดงต้นไม้ของนายค้ำจุน หัวใจผมเต้นโครมคราม แก้มยกขึ้นเป็นระยะหลังจากที่ฝืนแรงดึงของมุมปากได้

ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นที่หมายปองต้องใจชายหนุ่มแบบนี้ จุดไหนที่เป็นเสน่ห์วะเนี่ย? แต่ช่างเรื่องนี้ไปก่อน ตอนนี้ผมกำลังคิดไม่ออกว่าควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อความรู้สึกของนายค้ำจุน

จะว่าลำเอียงก็ยอมรับครับ
ความรู้สึกชอบของนายต้นสน ผมไม่แปลกใจ เพราะพอจะเดาได้จากการกระทำของเจ้าตัว และคำพูดบางอย่างที่เขาจงใจสื่อมาถึง
แต่กับนายค้ำจุนเนี่ย....บอกตรงๆ ว่าไม่รู้จะตอบรับแบบไหนดี
เขาชอบผมตรงไหน ตอนไหน และชอบแน่หรอ?
ทำไมการกระทำมันดูสวนทางเหลือเกิน
หรือว่าเขาเป็นพวกซึนเดเระ?

แล้วผมล่ะ? ชอบเค้ามั้ย?
ที่ใจเต้นโครมๆ ที่นั่งยิ้มอยู่นี่ มันแปลว่าชอบไม่ใช่หรอวะ?
หรือแค่รู้สึกดีที่ตัวเองมีเสน่ห์ล้นจนลากคนมาชอบได้
ถ้าเป็นอย่างหลัง ผมก็ต้องยิ้มภูมิใจในเสน่ห์ตัวเองตั้งแต่ที่นายต้นสนมาเอาอกเอาใจจนเกินพอดีแล้วสิ

“ชอบกูแน่หรอวะ?” ผมปรึกษากับตัวเอง
“เอาวะ ไม่ได้บอกต่อหน้า ก็จะถือซะว่าไม่เคยได้ยินก็แล้วกัน วันไหนมันบอกตรงๆ ก็ค่อยคิดว่าจะตอบยังไง”
“เหี้ย ยุงบินสูงจังวะ ต้องอยู่สูงขนาดไหนยุงถึงไม่ขึ้นมากัดวะเนี่ย วุ!” ผมบ่นๆ แล้วแหวกม่าน กลับเข้าห้องมาเผชิญหน้ากับกลิ่นน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ยังคงหลงเหลืออยู่อย่างเจือจาง

ปาร์ตี้ซีฟู้ดจบไปแล้ว จานชามก็ได้รับการล้างแล้ว ขยะเปียกก็ถูกแบกลงไปทิ้งแล้วโดย 2 ชาย สิ่งที่ผมน่าจะทำได้ดีที่สุดก็คือการอาบน้ำและนอน

“เอ้าคุณ” คนที่เปิดประตูห้องเข้ามาทักผมแบบงงๆ

“อื้อ ผมไง ทำไมอ่ะ”

“นึกว่าอาบน้ำแล้วซะอีก”

“กำลังจะอาบ เมื่อกี้พักพุง อิ่ม”

“อ้อ...เบียร์มั้ย”

“ไม่ไหวแล้วอ่ะ คุณยังดื่มไหวหรอ เหมือนจะซัดไปหลายกระป๋องแล้วนี่”

“ได้อีกนิดหน่อย หมดกระป๋องนี้ก็พอแล้ว คุณไปอาบน้ำสิ พรุ่งนี้ทำงานไม่ใช่หรอ? เดี๋ยวก็ตื่นสาย”

จู้จี้จังวุ้ย...ผมขมวดคิ้วด่าเขา แต่ยอมปิดปากเงียบ และเดินไปหยิบชุดนอน ผ้าเช็ดตัว เพื่อเข้าไปอาบน้ำ 

เหมือนจะได้ยินเสียงเกากีตาร์และร้องเพลงเบาๆ ผมแก้ผ้าไปพลางเงี่ยหูฟังเสียงเพลงของเขาไปพลาง
ผมแปรงฟันเบาๆ ขยับข้อมือสะบัดขนแปรงอย่างออมแรง เพื่อให้ได้ยินเสียงเพลงแผ่วๆ ของเขาได้ชัดขึ้น
ฟังแล้วไม่รู้หรอกครับว่าเพลงอะไร ร้องว่าอะไรก็ได้ยินไม่ถนัด
แต่ผมว่ามันเพราะดี
ผมจ้องเงาสะท้อนตัวเองในกระจกตรงหน้า นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมอมยิ้มและใจแช่มชื่นขึ้นทันตา

“พ่อจีบแม่ยังไงน่ะหรอ ร้องเพลงจีบ”

“แล้วแม่ก็โดนตกหรอ”
“นั่นสิครับ ทำไมให้พ่อจีบติดง่ายๆ”

“ก็หลายเพลงอยู่นะ กว่าจะจีบแม่ติด นั่นก็เล่นตัวประมาณนึงแล้ว”

“ใช่ๆ ถ้าเล่นตัวกว่านี้ พ่อว่าพ่อจะเปลี่ยนคนแล้ว ลูกค้าประจำอีกโต๊ะก็น่าจะเล็งๆ พ่ออยู่”

“อ่ะโหหหหห หล่อออออ”
“นั่นสิ พ่อต้องหล่อมากแน่ๆ แบบเป็นคนฮอตในหมู่สาวๆ”

“ตัวเรียกแขกเลยแหละ”

“พ่อก็เว่อ โม้ลูกไปได้ไม่อายเลย”
“ป๋อม เปล ฟังแม่ดีกว่า พ่อโม้”
“พ่อเค้าร้องเพลงเดิมๆ ทุกครั้งที่กลุ่มแม่ไปร้านอาหารกัน แม่ก็เลยได้ยินเพลงเดิมอยู่เพลงเดียวทุกครั้งที่ไปร้านนั้น จนวันนึงไปอีกร้านก็ได้ฟังเพลงนี้อีก หันไปดูคนร้อง ก็เจอพ่ออีก ก็เลยไปถามพ่อว่าร้องเป็นแค่เพลงเดียวเนี่ย จะทำมาหากินยังไงต่อ”

“โหยย แล้วพ่อตอบแม่ว่ายังไง”
“นั่นสิครับ พ่อตอบว่าไงครับแม่”

“ไม่รู้”

“อ้าวววว?”

“อื้อ พ่อตอบแม่ว่าไม่รู้ ยังไม่ได้เรื่องทำหามากินยังไงต่อ แต่ว่าร้องเพลงอื่นได้นะ”

“...แค่อยากให้คุณฟังเพลงนี้ซ้ำๆ ตลอดไป เพราะเป็นเพลงที่ผมร้องได้ดีที่สุด...
พ่อตอบแม่แบบนี้แหละ”

“โอ้ยยยยย เลี่ยน เป ลุกๆๆๆ อย่านั่งตรงนี้เดี๋ยวมดกัน”

“เจ๊ป๋อมอย่าผลักดิ เจ๊ป๋อม รอเปลด้วยดิ”


ผมหัวเราะตามเรื่องราวในความทรงจำ ผมรู้สึกพองความสุขอย่างประหลาด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความทรงจำที่กำลังนึกถึง หรือเพราะเพลงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ดีแต่กลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น


เสียงร้องเพลงที่คลอด้วยกีตาร์หายไปแล้วตอนที่ผมอาบน้ำเสร็จ นายค้ำจุนนอนตัวยาวบนโซฟา เขาละสายตาจากหน้าจอมือถือมามองหน้าผมที่ยืนมองหน้าเขา

“มีอะไรรึเปล่าคุณ
ทำไมจ้องผมแบบนั้น”

“เหมือนได้ยินเสียงกีตาร์”

“อ่อ ผมเล่นเอง หนวกหูหรอ”

“ไม่นี่”

“........”

“.......”

แล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรครับ ผมเป็นฝ่ายขยับสายตาหนีก่อน ผมเลี่ยงไปเปิดม่านแล้วก็มองฝูงต้นไม้ที่เขาเลี้ยงไว้ที่ระเบียง

“เอ่ออ... เหมือนมันเยอะขึ้นเลยเนอะคุณ”

“อื้ม ผมเพิ่งแยกกระถางออกมา ตั้งหลายถาด ต้องรอโตกว่านี้อีกนิดถึงขายได้”

“อ้อ ถ้าขายได้เยอะๆ ก็ดีเนอะ ต้นพ่อต้นแม่มันจะได้ดีใจ”

“อื้อ พ่อแม่มันก็คงดีใจแหละ แต่ผมดีใจกว่านะ มีเงินเลี้ยงข้าวคุณไง”

“เวอร์มั้ยคุณ แค่เลี้ยงข้าวผม 50–60 บาท ไม่ต้องรอขายต้นไม้ได้หรอก”

“50 บาทยังไม่ได้กุ้งเผาเลยนะ กินกุ้งแห้งแทนได้มั้ยล่ะ” ผมหดหน้าจากม่านมาเหล่มองเขาอีกรอบ เข้าใจแล้วว่าจงใจกวนตีนกันครับ เพราะเขายิ้มรอไว้ก่อนเลย ผมยิ้มปนหัวเราะนิดๆ แล้วก็วกเข้าห้องนอนตัวเอง โดยมีคำส่งท้ายจากเขาว่า

“เพลง everlasting น่ะ เผื่ออยากรู้”

คืนนี้ เพลงที่ผมฟังก่อนนอนมีชื่อเพลงตามที่เขาบอก แต่มันจะใช่เพลงที่เขาร้องไว้รึเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน


Home*Mate


ชีวิตผมกลับสู่ร่องปกติแล้วครับ มันไม่เงียบๆ เหงาๆ แปลกแล้วหลังจากที่ผมกับนายค้ำจุนพูดคุยเล่นหัวกันเหมือนเดิม เรายังมีนายต้นสนมาสร้างเสียงกรนในห้องนอนนายค้ำจุน เรามีต้นไม้มาขออาศัยยืนหลับไม่กี่คืนในห้อง และเรามีมื้ออาหารหรูหรากว่าข้าวต้มหน้าปากซอยถึ่ขึ้นนิดหน่อย

คืนนี้กำลังจะเป็นอีกคืนที่ผมได้กินมื้อเย็นหรูหรา  นายค้ำจุนบอกว่าจะเลี้ยงอาหารญี่ปุ่น ซึ่งผมดักทางไว้แล้วว่าห้ามเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเด็ดขาด ซึ่งเขาแค่ยักไหล่หัวเราะครับ

นายค้ำจุนขายไม้ล็อตใหญ่ได้อีกครั้ง ลูกค้าก็ไม่ใช่หน้าใหม่หรอกครับ คุณปาล์มนั่นเอง ล็อตนี้เขาสั่งไม้โขดร้อยกว่าต้นเลยครับ คละสายพันธ์กันได้และไซส์กลางหน่อย เลยไม่เปลืองพื้นที่พักไม้มากนัก แต่ก็ไม่รอดพักค้างอ้างแรมที่ห้องผมอยู่ดี

เรารับนัดส่งมอบต้นไม้ที่บ้านคุณลูกค้าเลยครับ เนื่องจากว่าอยู่ใกล้ๆ กับคอนโดผม เลยสะดวกกว่าไปนัดรับที่ร้าน นายค้ำจุนไม่อยากให้ไม้ช้ำ ทั้งที่รูปร่างพวกมันสมบุกสมบันจะตาย ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาเอาตะเกียงไหนส่อง ถึงได้มองว่าไม้โขดที่หน้าตาเหมือนกะลามะพร้าวขรุขระพวกนี้บอบบางน่าถนอม

บ้านคุณลูกค้าอยู่แถวสุขุมวิทตอนกลาง เขาให้แผนที่ร่างๆ มา แต่ผมผู้ฉลาดกว่ากูเกิลแมพย่อมพานายค้ำจุนไปถูกอยู่แล้วครับ

“ทำไมซอยดูเงียบแบบนี้อ่ะคุณ มาถูกป่ะเนี่ย”

“ถูกสิคุณ เนี่ย ตรงไปอีกนิดก็น่าจะถึง”

“น่าจะ? น่าจะเนี่ยนะ เฮ้ย ถ้าไม่ชัวร์ก็ไม่ควรให้เข้ามามั้ยอ่ะคุณ เกิดเป็นซอยตันทำไงเนี่ย ถนนซอยก็แคบ รถสวนก็เบียดกันสีข้างถลอกแล้วอ่ะ ไหนเอาแผนที่มาดู”

“ไม่ต้อง ขับไปเถอะน่า บอกว่าถูกก็ถูกดิ”

“กลัวมั่วแล้วผมจับได้ล่ะสิ เอามาดู”

“ก็บอกว่าถูกไง!” ผมเถียงกลับ ยืดแผนพี่กระดาษรวมถึงมือถือที่ผมเปิดเทียบเส้นทางมาไว้แนบอกตัวเอง ซ้ำยังยกขาขึ้นเป็นเกราะกำบังอีกชั้นหนึ่ง

“มั่วก็แค่ยอมรับว่ามั่ว เราตั้งหลักกันใหม่ก็ได้ ไม่ต้องทำท่าเป็นนางเอกโดนพระเอกลวนลามหรอกน่า คุณไม่ได้ตัวเล็กน่าถนอมสักหน่อย”

“เกี่ยวไรกับนางเอกพระเอกอ่ะ แล้วถ้าผมที่ตั้งการ์ดขนาดนี้เป็นนางเอก คุณก็น่าจะเป็นผู้ร้ายนะ ไม่ใช่พระเอกอ่ะ ห่างชั้นมากเหอะ”

“หึ...”
 
ผมล่ะเกลียดอาการสะอึกหัวเราะของเขามากครับ

“คุณก็ไม่ใกล้นางเอกเถอะ”

“ผมก็ไม่ได้อยากเป็นนางเอกนี่ คุณมาเปรียบก่อนเอง”

“ปกติคุณก็เถียงนี่ แต่นี่ไม่เถียงเรื่องเป็นนางเอก แสดงว่ายอมรับ”

กวนตีนมั้ยครับ?
แล้วงงมั้ยครับว่าเรามาเถียงกันเรื่องนี้ได้ไง
ผมจะง้างปากเถียงกลับ แต่ก็นึกได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สาระสำคัญวันนี้ ก็เลยก้มหน้าเช็คเส้นทาง แล้วก็โป๊ะเช๊ะครับ

“ถึงแล้วคุณ!!” รถเบรกเอี๊ยดทันทีที่ผมจิ้มปลายนิ้วไปสู่รั้วบ้านหลังหนึ่ง

กะด้วยสายตาแล้ว เราเข้ามาในซอยเพียงครึ่ง ส่วนอีกครึ่งที่เหลือ คือกำแพงของบ้านนี้ที่ทอดยาวไปจนสุดทาง

“ใหญ่เหี้ย”

“นั่นดิ กำแพงยาวพอๆ กับบ้านคุณเลย”

“หรอ? เออ ก็จริง
พื้นที่เยอะแยะ ทำไมไม่เพาะต้นไม้เองเนอะ มาซื้อให้เปลืองเงินทำไม”

“บางคนก็ไลฟ์สไตล์รวยไงคุณ
แล้วถ้าไม่มีคนแบบนี้ คุณจะขายใครไม่ทราบ ต้นไม้ที่ไม่น่าแพงแต่เสือกแพงของคุณน่ะ”

“เยอะแยะ” นายค้ำจุนยื่นหน้ามาตอบแล้วก็จอดรถเทียบหน้ารั้วเพื่อลงไปกดกริ่ง เขาวานให้ผมโทรฯ หาลูกค้าให้หน่อย แน่นอนว่าใช้โทรศัพท์เขานะครับ

“อ่ะ สวัสดีครับ คุณปาล์ม
ไม่ใช่ครับ ผมเป จุนกดกริ่งหน้าบ้านอยู่น่ะครับ
ใช่ครับ พวกผมเอง นี่จอดรถอยู่หน้าบ้าน
ครับ เอามาด้วยแล้ว แต่ไม่ครบนะครับ เดี๋ยวต้นเอาล็อตที่เหลือตามมา
ครับ อ่อๆ โอเค งั้นเดี๋ยวพวกผมเข้าไปเลยนะครับ”

คุณลูกค้าบอกให้ขับรถเข้าไปได้เลย ตรงไปตามทางปูนก็จะเห็นโรงเรือนเล็กๆ อยู่ จอดตรงนั้นได้เลย รออยู่
ผมถ่ายทอดสารที่ได้รับให้กับนายค้ำจุนได้ฟัง เขาพยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ขึ้นประจำที่คนขับ ทันทีที่รั้วเหล็กกึ่งทึบเปิดอ้าออก เราก็ได้เห็นโรงเรือนเล็กที่เขาบอกตั้งตระหง่านรอการเข้าเยี่ยมเยือน

และแล้วหน้าที่นับสต๊อกก็ตกเป็นของผมโดยที่ไม่ได้ร้องขอ นายค้ำจุนกับคุณลูกค้าเขายืนแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์กันอยู่ครับ แหม...ไอ้พวกเจ้าคนนายคน ช่วยสนใจคนใช้แรงงานด้วยโว้ยยยย!

“ 38  40 42  อ่ะ....เอ้อ ต้น ถึงได้แล้วอ่ะ” ผมรับโทรศัพท์แล้วทักถามเข้าประเด็นทันที ระดับนี้ไม่ต้องสวัสดีกันเพื่อถักทอมารยาทแล้วครับ นายต้นสนบอกพิกัดตัวเองมาปุ๊บ ผมก็บอกเส้นทางถัดมาปั๊บ ซึ่งไม่ยากเลยครับ เขาอยู่ปากซอยแล้ว ผมบอกให้ตรงเข้ามาจนกว่าจะเห็นรั้วสีไม้โอ้ค และกำแพงยาวๆ แบบที่หารั้วบ้านถัดไปไม่เจอ นั่นแปลว่าถึงที่หมายแล้ว

“ใหญ่เหี้ย” เชื่อแล้วครับว่านายค้ำจุนกับนายต้นสนเป็นเพื่อนรักกันและมีประสบการณ์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถอุทานได้เหมือนกันขนาดนี้ ไม่ใช่แค่คำอุทานนะครับ สีหน้าด้วย

“มาดิ จุนอยู่โน่นนนนน” ปากผมยื่นมาก ผมรู้ตัว และนายต้นสนก็สนุกกับการมองผมมาก ผมรู้ตัว

“เปหิวมั้ย เราแวะแม็กซ์แวลู่ระหว่างทาง มีแซนวิชติดรถอยู่”

“ก็หิวแหละ แต่จะเก็บท้องไว้กินอาหารญี่ปุ่นแพงๆ เอาให้คนจ่ายกระเป๋าแห้ง”

“อ่อ ได้ เอาเลย ไม่ต้องเกรงใจ”

“หือ? เห้ย ผมไม่กะจะแกล้งต้นนะ ไม่เอาๆ งั้นไม่ถล่มแล้ว”

“ถ้าเป็นไอ้จุนจ่ายคนเดียวจะแกล้งหรอ”

“แน่ดิ สนุกจะตาย ตอนเห็นหน้างกๆ ต้องควักกระเป๋าหยิบแบงก์พันหลายๆ ใบ”

“แกล้งผมก็ได้นะ
ก็....เพื่อนกัน
ผมก็เพื่อนเปเหมือนกัน....นี่”

“โหย.....
ละ....แล้วก็ไม่บอกแต่แรกว่าชอบโดนกระทำ
เตรียมตัวเลยครับคุณต้นสน คุณโดนผมถล่มแน่ กินไรดีว้า
จู่ๆ ก็มีเจ้ามือเสนอตัว อืมม เนื้อย่างก็ดีนะต้น หรือซูชิดี ชาเขียวนี่มีแบบพรีเมี่ยมมั้ยวะ
อืออออ พอมีคนเลี้ยงแล้วนึกไม่ค่อยออกเลยว่ะ”

ตอแหลดีจริงๆ เลยตัวผม
ผมเดินวนไปมาพลางพูดเมนูที่อยากกินออกมา
จริงๆ แล้วผมนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าผมอยากกินอะไร ผมก็แค่พูดออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับสายตาจริงจังของนายต้นสนที่มองตามผมทุกฝีก้าว

เขาคงรู้ ว่าผมสัมผัสความรู้สึกที่เขาแอบเอาไว้ได้ และเขาก็คงรู้ว่าผมกำลังเลี่ยงที่จะรับรู้ความรู้สึกเขาอย่างตรงไปตรงมา

ตราบใดที่เขาไม่เปิดเผยออกมาตรงๆ เขาก็จะไม่ได้คำตอบตรงๆ จากผม

นอกจากคำว่า “แฮ่... เราชอบเป” เขาก็ไม่เคยพูดความรู้สึกตรงๆ กับผมอีกเลย เสียงจริงจังที่ได้ยินอีกครั้งก็แค่ตอนที่เขาคุยกับเพื่อนสนิทเขาเรื่องที่ชอบผม และเพื่อนเขาก็บอกว่าชอบผมเหมือนกัน

ผมไม่รู้ว่าระหว่างเพื่อนรักสองคนนั้นวางเรื่องความรู้สึกที่มีต่อผมไว้ตรงไหนของเส้นความสัมพันธ์พวกเขา

แต่ตอนนี้ ผมดีใจที่นายต้นสนไม่แสดงความรู้สึกที่มีต่อผมตรงๆ
ผมไม่อยากทำร้ายเขาต่อหน้าเพื่อนรักเขา
ผมไม่กล้าทำร้ายเขาต่อหน้าเพื่อนรักเขา
ผมไม่ต้องการเป็นรอยเปื้อนในเส้นความสัมพันธ์ของเพื่อนของพวกเขา

ผมเป็นห่วง.....ผมห่วงความรู้สึกค้ำจุน


cut


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
ครึ่งปีที่ไม่ได้เจอกัน มันนานมากเลยนะคะ เราเข้าใจถ้าคนอ่านจะจำโครงเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว แต่ย้อนอ่านตอนก่อนหน้าก็ไม่ใช่เรื่องหนักเนื้อหาเท่าไหร่เนอะ แฮ่

ขออภัยที่หายไปนานมาก แต่ก็ยืนยันคำเดิมว่าเรายังเขียนนิยายอยู่ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2020 23:48:18 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
โหย....ดีใจที่มาต่อจ๊ะ เงียบหายไปนาน ไม่รู้ว่าป่านนี้ต้นไม้นายค้ำจุน โตจนทะลุเพดานไปแล้ว อิอิอิ
แหม... ค้ำจุน มีการบอกกับเพื่อนไปว่า ชอบเปล เหมือนกัน ดักทางเพื่อนไว้ก่อนละสิ
ต้นสน.. เข้าใจนะ ว่าจีบเปลไม่ติดแต่ก็น่าสงสารนะ เพราะการชอบใครสักคน ก็อยากให้เขาชอบตอบ
เปล... สนใจรายละเอียดของค้ำจุนไปเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว นั่นแหละ ที่เขาเรียกว่าแอบชอบแล้วละ อิอิอิ
 :z2: :z2: :z2:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ดีใจที่มาต่อ..มาบ่อยๆนะคะกลัวตันไม้มันตาย

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
แต่งง ซ้อมพูดไว้ตอนเค้าบอกชอบแค่นี้พอแล้วล่ะ เปเอ้ยยย  :hao3:

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [18]



แม้จะได้เงินก้อนโต แต่เสี่ยค้ำจุนจุนเจือผมด้วยก๋วยเตี๋ยวเรือหลายชาม ยอดใช้จ่ายมื้อนี้ห้าร้อยกว่าบาทเท่านั้น เทียบกับการทำหน้าที่ชี้พิกัดซื้อขายแล้ว....ก็สมน้ำสมเนื้อแหละครับ

ดูเหมือนว่านายค้ำจุนจะเชื่อว่าผมเป็นนางกวักของร้านต้นไม้เขาจริงๆ สังเกตุจากการพกพาผมไปในทุกการค้าขายล็อตใหญ่ รอบนี้ก็ได้มาหลายหมื่นครับ

ระหว่างที่กำลังเล็งว่าจะซื้อขนมถ้วยกลับไปกินที่ห้องด้วยดีมั้ย ยังไงๆ มันก็ของกินที่มักถูกขายคู่กัน นายต้นสนก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาครับ เป็นประเด็นที่ผมไม่เคยรับรู้มาก่อน

นายต้นสนถามเพื่อนเขาว่า
“จุน แล้วตกลงที่ว่าจะไปดูห้องใหม่แถวกำแพงเพชรล่ะ?”

ห้องใหม่อะไรวะ?
ผมที่หันหลังให้พวกเขาอยู่และยืนห่างออกมาพอสมควรเพื่อมาเลือกซื้อขนมถ้วยยอมรับตรงๆ เลยว่าไม่สนใจขนมถ้วยใดๆ แล้วครับ
ผมสืบสาวเรื่องราวของนายค้ำจุนจากคำถามสั้นๆ ของเพื่อนเขาแล้วได้ความว่า นายค้ำจุนกำลังหาที่อยู่ใหม่ เขาคิดจะย้ายออก

เอ๊ะ!  แล้วสัญญาเช่ากับผมล่ะ เซ็นกันไว้ตั้ง 6 เดือนไม่ใช่หรอ นี่ก็เดือนที่....5 เอง

ผมหมดอารมณ์หารสหวานเคลือบลิ้นเอาดื้อๆ ทำเพียงแค่เดินออกมารอพวกเขาหน้าร้าน ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรจากนายต้นน  ทำเหมือนไม่ได้รับรู้ความคิดที่นายค้ำจุนซ่อนเอาไว้

ผมพยายามทำเหมือนว่าไม่มีอะไรกำลังเปลี่ยนแปลง


Home*Mate


เช้านี้ผมตื่นมาเจอคนอู้งานครับ
วันนี้เป็นวันที่ผมจองคิวแม่บ้านให้มาทำความสะอาดที่ห้องเอาไว้ นายค้ำจุนก็เลยลางานเพื่อคอยยืนห้ามปรามแม่บ้านไม่ให้มายุ่งกับระเบียงต้นไม้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยใช้วิธีง่ายๆ เช่น กำชับนิติไว้ก่อนออกไปทำงานในวันนัดนั้นๆ หรือเขียนโน้ตตัวโตๆ แปะไว้ที่หน้าต่างระเบียงบานยาวว่า ‘ไม่ ต้อง ทำ ความ สะ อาด ระ เบียง’ หรอกนะครับ เราทำมาหมดแล้ว แต่ระเบียงต้นไม้ของนายค้ำจุนก็ไม่เคยอยู่ในสภาพเดิมตามที่เขาจัดวางไว้เลย

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เดือนที่แล้ว เขาก็ลางานเพื่อมาเฝ้าแม่บ้านทำความสะอาดห้อง

“ดีคุณ” มันเป็นคำทักทายตอนเช้าของเราครับ แปลได้หลายอย่างแล้วแต่อารมณ์

“อื้อ ดีคุณ
ลาเฝ้าต้นไม้อีกแล้วหรอ”

“ต้องเฝ้า หรืออยากเห็นผมงี่เง่าอีก ติดใจหรอ” พูดมาเองแล้วเขาก็ขำตัวเองครับ ผมหันไปขำด้วยนิดหน่อยแล้วก็เดินยัดเสื้อเข้าในกางเกงไปพลางระหว่างทางเข้าครัว

เช้านี้มีขนมปังปิ้งทาแยมส้มสองชิ้นครับ สงสัยพ่อครัวขี้เกียจ
พอเห็นว่ามีอะไรให้กิน ผมก็หันมองหน้าเขา
“แค่นี้หรอ”

“อือ ไม่พอหรอ กาแฟมั้ย”

“ไม่ๆ พอ เดี๋ยวผมไปซื้อที่ออฟฟิศเอา”

“อ่อ” เขารับคำ แล้วก็เดินเข้ามาในครัวแคบที่มีตัวผมยืนแทะขนมปังปิ้งอยู่ เขากางศอกมาดันให้ตัวผมหลบไปจากพิกัดปลายทางของเขา ใช่ครับ ครัวมันแคบ มันไม่เหมาะกับการมายืนเบียดกัน แต่ผมก็ขี้เีกียจเกินจะย้ายตัวเองเพื่อเพิ่มความสะดวกให้เขา

เราก็เลยยืนเบียดกันอยู่หน้าซิงค์ คนหนึ่งแทะขนมปัง อีกคนชงกาแฟอย่างกระมิดกระเมี้ยน

“แล้วคุณจะอยู่ห้องทั้งวันหรอ” ผมถามระหว่างที่ยืนกัดขนมปังไปเรื่อยๆ

“เดี๋ยวอยู่กำกับแม่บ้านเสร็จจะไปข้างนอก”

“ไปไหน ซื้อของหรอ” ผมถามต่อโดยที่ไม่ได้มองหน้าเขา
“พวกกระดาษทิชชู่มันหมดแล้วอ่ะคุณ ฝากซื้อเข้ามาก่อน ฉุกเฉินๆ เดี๋ยวเสาร์นี้ค่อยไปซื้อของเข้าห้องกัน คุณว่างใช่มั้ย” ยังคงเป็นผมที่พูดยาๆว อยู่นานสองนาน แต่พอรู้สึกได้ว่าคู่สนทนาไม่ตอบโต้ ผมเลยหันไปมองหน้าเพื่อขอคำตอบ

นายค้ำจุนไม่ได้ตอบอะไร เขาจิบกาแฟที่มันน่าจะร้อนพอควร แล้วก็คาแก้วไว้ที่ริมฝีปากอยู่แบบนั้น ราวกับกำลังใช้เครื่องเคลือบกระเบื้องชิ้นนี้อุดปากตัวเอง

ผมไม่เค้นอะไรต่อ ใช้มือแหวกเขาออกจากการขวางทางผมกับตู้เย็นแล้วก็รินน้ำเปล่าดื่มตามปกติ

ที่ทำเหมือนไม่มีอะไรกำลังเปลี่ยนแปลงมาตลอดอาทิตย์หนึ่ง ช่างสูญเปล่า
แต่ผมก็จะใช้ชีวิตของผมไปตามปกติ เพราะแม้จะกระโตกกระตาก หรือพยายามฝืนการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไร ผลลัพท์ก็คงไม่เปลี่ยน อีกอย่าง ผมไม่รู้ว่าผมจะ ‘ไม่ปกติ’ ไปเพื่ออะไร


.


ยาดาเป็นเพื่อน หรือเป็นแม่ เป็นพี่สาวผม ก็ไม่แน่ใจนัก แต่ทันทีที่เพื่อนคนนี้เห็นหน้าผม
คำถามตรงประเด็นก็วิ่งชนผมทันที

“เครียดอะไรเรื่องคุณค้ำจุนหรอ”

อะไรกัน? หน้าผมมันชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ? แล้วถ้าชัดเจนนัก ทำไมแย้มปากเอาคำตอบจากนายค้ำจุนไม่ได้

“เปล่านี่” ผมโกหก

“โกหก” แล้วก็โดนจับได้ทันทีครับ

ผมถอนหายใจดังๆ เดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดคอม แสร้งดูคิวงาน แสร้งเช็คข่าวสารประจำวัน แสร้งหาปากที่ใช้ประจำไม่เจอ แสร้งทำนั่นนี่ทุกอย่างแล้ว ยาดาก็ยังยืนค้ำหัวกอดอกมองหน้าผมอยู่เหมือนเดิม

“เฮ้อออออ” ผมถอนหายใจดังกว่าเดิม เท่านั้นแหละครับ ยาดาลากเก้าอี้ทำงานส่วนตัวมานั่งประกบอยู่ข้างผมทันที


“ก็ จะครบกำหนดที่เซ็นสัญญาเช่าห้องแล้วไง
แล้วก็...เหมือนเค้าจะหาที่อยู่ใหม่
ก็แค่เค้าจะไม่อยู่กับเราแล้ว แค่นั้นแหละดา”

มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยครับ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่ากำลังเสียใจมากเลย


Home*Mate


เราอยู่กันเงียบๆ มากขึ้น
จริงๆ แล้วที่มันเงียบกว่าปกติ ก็เพราะว่าผมไม่ค่อยพูดอะไร และเขาก็ไม่ได้ชวนคุยเพิ่ม เราต่างคนต่างเก็บตัวอยู่ในห้องนอน แม้เขาจะเตรียมอาหารเผื่อผมเหมือนเดิม ซื้อของเข้าห้องเผื่อส่วนของผมเหมือนเดิม แม้ผมจะมาช่วยเขาตอบแชทลูกค้าที่ถามหาต้นไม้ในเพจเฟสบุ้คอยู่บ้าง แต่ผมรู้ว่า เขาและผมต่างก็รู้ดีแก่ใจ่าอะไร อะไร ที่เคยเหมือนเดิม กำลังจะหายไป

วันนี้วันอาทิตย์ นายค้ำจุนมีนัดกะทันหันขึ้นมาครับ เขาจะไปแหล่งผสมดินของเจ้าของโรงเรือนหนึ่ง ซึ่งพิกัดอยู่จ.สมุทรปราการ

ตัวช่วยที่ดีที่สุดของเขาก็คือผมน่ี่แหละครับ
แน่นอนว่าเขาขับรถ ปักหมุดไว้ท่ี่กูเกิลแมพ แต่ผมก็เป็นคนทำความเข้าใจเส้นทางให้อยู่ดี
เราใช้เวลาขับรถมาตามเส้นทางแค่ 20 นาทีก็ถึงที่หมายแล้วครับ
เป้าหมายปลายทางอยู่ในหมู่บ้านเดี่ยวแบรนด์ดัง นายค้ำจุนบอกบ้านเลขที่กับเจ้าหน้าที่รปภ.ตรงจุดตรวจ แล้วก็ผ่านฉลุยเข้าโครงการมา เพราะว่าเจ้าของบ้านเขาแจ้งไว้แล้วว่าจะมีแขกมาหา

ตัวบ้านเดี่ยวและพื้นที่โดยรอบทำให้ผมต้องเช็คมายด์เซ็ทตัวเองครับ
คำแรกที่เขาบอกคือ จะไปเอาดิน ใครจะไปคิดล่ะครับว่าบ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้จะอนุญาตให้ใครก็ไม่รู้มาขุดดิน

ดูเหมือนนายค้ำจุนจะมองออกว่าผมกำลังงงงวยหนักๆ เขาเลยหัวเราะก่อนจะอธิบายเพิ่ม

“บ้านพี่ก้องกับพี่อ้อไง”

“อ๋ออออ” ไปอย่างนั้นแหละครับ สมองยังหาเรฟเฟอเรนซ์ไม่เจอเลย ผมเห็นนายค้ำจุนหัวเราะหนักแล้วก็ดับเครื่องยนต์เพื่อโทรศัพท์แจ้งเจ้าของบ้านว่าแขกมาถึงแล้ว ในขณะที่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าพี่ก้องกับพี่อ้อคือใครหว่า?

.

“เข้ามา เข้ามาก่อน
มาเลยยย โอ้ยพี่ก้องแมว แมว แมว แมวออกแล้ว!!!
จุนเข้าไปเลย ไม่ต้องถอดรองเท้า
เอ้า แล้วนี่ยืนนิ่งทำไม เข้ามาสิ” ผู้หญิงคนนี้คือพี่อ้อครับ พอได้เห็นหน้าและเห็นลีลาการพูดเก่งๆ แล้ว ผมก็นึกออกเสียทีว่าเคยเจอพี่ 2 คนนี้ที่ไหน

พวกเขาคือพ่อค้าแม่ค้าแคคตัสที่นายค้ำจุนสนิทและเคยแวะไปตามหาต้นไม้ที่ร้านเขาในดึกๆ คืนหนึ่ง โดยหนีบผมไปด้วย

พี่อ้อคนนี้คือคนที่ถามผมว่าไปโดนตัวไหนมา ฮ่าๆๆๆ นึกถึงความซื่อของตัวเองที่ไม่เข้าใจภาษาวงการนี้แล้วก็ขำดีครับ

พอรู้แล้วว่าใครเป็นใคร ผมก็สำรวจขนมนมเนยที่พี่อ้อเอามาประเคนตรงหน้าอย่างสบายอกสบายใจครับ ส่วนนายค้ำจุนหายไปทางข้างบ้านที่เป็นพื้นที่โรงเรือนขนาดย่อม 2 โรงติด และพื้นที่รกๆ อีกหย่อมหนึ่ง เดาว่าเป็นหย่อมดินหย่อมหญ้า

“เปดื่มกาแฟมั้ย หรือว่าน้ำอัดลม”

“กาแฟครับ แต่เปทำเองได้นะครับ พี่อ้อไม่ต้องลำบาก”

“โอ้ยบ้านพี่ ให้เปทำเองพี่น่าจะลำบากกว่าเดิมนะ หรือเรารู้ว่าเครื่องชงกาแฟอยู่ไหน แก้วอยู่ไหน หือ?” เออก็จริง ผมหัวเราะแฮะ แล้วก็นั่งทำตัวให้สมกับเป็นแขก

บ้านนี้น่ารักมากครับ สัดส่วนของบ้านทำออกมาได้อย่างลงตัวชนิดที่ว่าผมมาบ้านนี้ครั้งแรก แค่ปราดตามองเฟอร์นิเจอร์ก็รู้ฟังค์ชั่นของพื้นที่เลย

“โอ๊ะ พี่ก้องนี่ครับ” ผมชี้สิ่งที่สะดุดตาเข้าแล้วก็ส่งสายตาถามนายหญิงของบ้าน พี่อ้อชะเง้อดูสิ่งที่ผมสนใจก่อนจะตอบอย่างไม่ตื่นเต้น

“อื้อ พี่ก้อง”

ที่ผมสนใจก็คือนิตยสารเกี่ยวกับ Cactus & Succulent ที่มีหน้าพี่ก้องอยู่ในวงกลมเล็กๆ มุมขวาบน

เมื่อเจ้าของบ้านไม่ได้แสดงท่าทีว่าห้ามอ่าน ผมก็เลยหยิบนิตยสารเล่มนั้นขึ้นมาพลิกอ่านข้างในดูครับ

ส่วนมากเป็นภาพต้นไม้สายพันธ์ตามหน้าปกแหละครับ หลากหลายมาก แปลกตาก็มาก น่ารักก็ยิ่งมากเข้าไปใหญ่ แล้วผมก็เจอเรื่องราวของพี่ก้องที่ถูกขยายเป็นเรื่องราว 2 หน้า กำลังจะจดจ่ออ่าน พี่อ้อก็ยื่นกาแฟหอมฉุยมาตรงหน้า

“ขอบคุณครับพี่อ้อ”

“จ้า ไหน อ่านอะไร อ๋อ พี่ก้อง
ไม่อ่านของค้ำจุนล่ะ พี่ว่าน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ”

“ห๊ะ? เรื่องค้ำจุนหรอครับ”

“อื้อ
นี่ อยู่เล่มนี้มั้ง ไม่ก็เล่มอื่น แต่ดีกว่าอ่านเรื่องพี่ก้องเยอะ พี่ก้องเขาสายไม้ตกทอด”

คืออะไรวะ ไม้ตกทอด แต่ช่างมันเถอะ
ผมยิ้มขอบคุณเจ้าของบ้าน แล้วก็วางเรื่องราวของพี่ก้องลงก่อน เพื่อจะหาเรื่องราวของนายค้ำจุนที่ผมไม่เคยรู้ ไม่เคยอยากรู้ แต่ตอนนี้กระหายจะเรียนรู้เหลือเกิน


ปวริทธิ์ กุศลานนท์
ที่ผ่านมา 5 เดือนกว่า ผมแทบไม่รู้จักเขาเลย



cut


มาแล้วค่าาาาาาา
ขอแจ้งข่าวนิดนึงนะคะ

สืบเนื่องจากการเว้นช่วงลงไว้นานมาก หลายครั้งแล้ว และคิดว่าน่าจะผิดกฎเล้า และอาจถูกลบกระทู้นิยายออกไป (ซึ่งแน่นอนว่าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลยยยยย)
ฉะนั้น เพื่อรองรับความเสี่ยงกรณีเกิดเหตุการณ์กระทู้ถูกลบไป จึงขอรบกวนผู้อ่านทุกท่านที่อยากติดตามงานเขียนเราต่อ ติดตามเพจเฟสบุ้คเราไว้หน่อยนะคะ เพื่อแจ้งข่าวสารให้ทราบว่าเราลงนิยายไว้ที่ไหนอีก เฟสบุ้ค สแลช saturdayseriess

ขอบคุณค่ะ

ตอนต่อไป น่าจะปีหน้านะคะ ส่งท้ายปีนี้กันด้วยความค้าง...มั้ยนะ?

 :katai3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2020 23:44:38 โดย kajidrid »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1


เจ้าเปเอ้ยยยย  แลดูความคิดเองอีกแล้วจะกลับมาอีกแล้ว  :ling3: 


นี่ไม่ได้คาดหรอกแต่เชื่อว่านายจุนต้องหอบน้องไปด้วยแน่ๆ 55555555555  :katai2-1:  :katai2-1:


ขอบคุณค่าสำหรับตอนใหม่ รอตอนต่อไปเสมอจ้า  :L2:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2:  back

แต่...มาแบบค้างคามาก  แถมตอนต่อไปต้องรอถึงปีหน้าเลยอ่ะ   :sad4:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
คิดถึงมากมาย ดีใจที่กลับมาแล้ว
 :เหอะ1: :เหอะ1: :เหอะ1:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
โอ๊ะ โอ น้องเปจะได้รู้เรื่องอะไรของนายค้ำจุนน้าาา

 :pig4:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รวดเดียวจบบ รีบมาอีกน้าาาา

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Home*Mate [19]

นายค้ำจุนเป็นคนดังคนหนึ่งครับ
เขาเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนรักและอนุรักษ์ต้นไม้
ของรักของเขาคว้ารางวัลมากมาย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เขาเป็นเด็กม.ปลาย จากจังหวัดราชบุรี

นอกจากความดังเรื่องเด็กเลี้ยงต้นไม้เก่งแล้ว เขายังเคยมีผลงานในวงการบันเทิงด้วยครับ
เขาเคยเล่นหนังสั้น เป็นพระเอกตอนช่วงวัยรุ่น
เคยเป็นพระเอกเอ็มวีด้วย
แล้วก็ยังเป็นนักเรียนทุนขององค์กรเอกชนระดับชาติชื่อดังด้วยครับ
ทำไมผ่านอะไรมาเยอะจังวะ?

“เด็กคนนี้น่ะ อะไรได้เงินแล้วไม่ขัดใจตัวเองนัก เค้าก็ทำ”  พี่อ้ออธิบายขึ้นมา สงสัยสีหน้าและหัวคิ้วของผมจะแสดงออกชัดเกินไป

ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือกองย่อมๆ ที่มีเรื่องราวของนายค้ำจุดสอดแทรกอยู่เล่มละ 2-4 หน้า รู้สึกปวดสายตาหนึบขึ้นมาทันที พี่อ้อผู้เป็นเจ้าของบ้านและเจ้าของหนังสือพวกนี้หัวเราะผมในลำคอ

“ขยันเนอะ จุนเนี่ย”

“งกล่ะมั้งครับ”

“ก็จะไม่เถียงหรอกนะ แต่เค้ามีเหตุผลที่ต้องงก แล้วก็ค่อนข้างระวังตัวเรื่องเงินๆ ทองๆ แหละน้า”

“ทำไมหรอครับ จุนเคยโดนโกงหรอครับ”

“อื้อ และถ้าไม่ใช่คนใกล้ตัว ก็คงไม่เซมากขนาดนี้”
“เมื่อก่อน จุนเป็นเด็กขี้โม้ พูดมากจนพี่ยังรำคาญในบางทีเลย”
“พอเกิดเรื่อง ก็เก็บปากเก็บคำอย่างที่เห็นนี่แหละ กวนตีนขึ้นด้วย”

“มันเกิดอะไรขึ้นหรอครับพี่อ้อ”

“ก็นะ ก็ผ่านมานานแล้ว น่าจะเล่าได้ล่ะมั้ง”
“พี่ชายเค้าโกงเงินที่บ้านไปน่ะ จริงอยู่ที่มันก็ไม่ได้ทำให้จุนกับน้าลวัลย์ลำบากอะไรนัก แต่เค้าก็เจ็บใจน่าดู แผลใหญ่เชียวแหละ ฝ่ายพี่ชายก็นะ....ทำได้ลงคอ”

“พี่ชายจุนโกงเกินแม่กับจุนหรอครับ โอ้โห ไม่ดีเลย”

“พี่ชายอุปการะด้วย จุนเค้าไม่ได้เจ็บใจเพราะทำร้ายเค้าหรอก เค้าเจ็บใจที่ทำร้ายแม่เค้าได้ลงคอ น้าลวัลย์เค้าก็จะออกจะรักฝ่ายนั้นเหมือนลูกแท้ๆ”

“อ่อ ซับซ้อนได้อีก” ผมพึมพำ กลับไปแช่สายตาที่หน้ากลางของนิตยสารเก่าๆ ตรงหน้า รูปเด็กชายปวริทธิ์ยังชัดดีอยู่ เค้าโครงหน้าเด็กชายคนนี้คือนายค้ำจุนที่ใช้ชีวิตร่วมห้องกับผมมาเกือบ 6 เดือนไม่ผิดแน่ เด็กคนนี้ยิ้มเห็นฟันเป็นระเบียบ ในมือถือประคองกระถางต้นไม้ที่มีเจ้าฟรองซัวร์สักสายพันธ์หนึ่งชูคอและโขดอยู่อย่างสวยงาม ด้านหลังมีแม่ลวัลย์ซึ่งผมจำหน้าได้แม่น ข้างๆ แม่มีผู้ชายมาดเท่ และเด็กผู้ชายอีกคนยืนยิ้มอยู่ไม่ห่าง

พวกเขาคือครอบครัว หากผมมองภาพนี้แล้วนิยามด้วยคำสั้นๆ แบบนี้ก็คงไม่ผิดเพี้ยนนัก แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากพวกเขายิ้มอิ่มใจระหว่างที่ถูกถ่ายรูปนี้ ทำให้ผมรู้สึกเศร้าแทนเด็กชายปวริทธิ์อย่างบอกไม่ถูก

“พี่อ้อ แล้วคนนี้ พ่อค้ำจุนหรอครับ”

“อื้อ จ้ะ
เสียไปตอนช่วงจุนเอนทรานส์ล่ะมั้ง ถ้าพี่จำไม่ผิดนะ โชคดีที่พี่ก้องไปเจอซากเข้าให้ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะเป็นรูปเป็นร่างเหมือนทุกวันนี้รึเปล่า”

“แย่มากเลยหรอครับ”

“เท่าที่พี่เห็นก็คือแย่นะ แต่เปลองถามเค้าดูสิ
ป่านนี้แล้ว พี่ว่าเค้าพร้อมจะเล่าเรื่องราวของเค้านะ ถ้าคนถามอยากรู้จริงๆ และเค้าอยากให้รู้จริงๆ น่ะ”

จะเล่าให้ผมฟังหรอ?
ในเมื่อเรา...ไม่ได้สนิทกันมากมาย
อีกอย่าง.... เดี๋ยวจะเป็น ‘คนอื่น’ กันแล้ว


Home*Mate


เราชวนกันแวะคอมมูนิตี้มอลล์แถวบ้านพี่ก้องพี่อ้อ เพื่อซื้ออาหารพร้อมทานติดมือกลับคอนโดกันครับ เพราะว่าตอนนี้ใกล้ค่ำแล้ว แม้ว่าเจ้าของบ้านจะคะยั้นคะยอให้อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันสุดแรง แต่นายค้ำจุนก็ยืนยันว่าไม่อยากรบกวนมากกว่านี้ เราก็เลยต้องจบที่การหาซื้อกิน จะซื้อของสดกลับไปปรุงอาหารกินเองคงหิวตาย ต่อให้นายค้ำจุนไม่หิวตาย ผมก็จะโชว์หิวตายให้เขาดู

“คุณๆ ขนมปังนี้ด้วยดิ อร่อย” ผมดึงแขนเขาไว้ รั้งให้อีกฝ่ายเอี้ยวตัวมามองของในมือที่ภูมิใจนำเสนอ

“ปังหมูหยอง?”

“อื้อ อร่อย”

“หรอ”

“อื้ออออ อร่อย”

“เอาดิ แต่ถ้าผมกินแล้วไม่อร่อย คุณต้องรับผิดชอบกินเองให้หมดนะ”

“ก็บอกว่าอร่อยไง” ผมยืนยัน ย้ำด้วยการย่นคิ้วแข็งขัน อีกฝ่ายใช้หางตามองแล้วก็ไม่ได้ห้ามลาภปากใดๆ

หากใครสงสัยว่าทำไมผมต้องขอความเห็นเขาด้วย อยากกินอะไรก็ซื้อไปสิ ผมก็จะทวนที่มาของการกึ่งขออนุญาตนะครับ เราหาร 2

“เอาน้ำจิ้มสุกี้แบบไหน” ครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายหันมาถาม ในมือเขามีขวดน้ำจิ้มสุกี้ 2 ยี่ห้อดัง นายค้ำจุนยกมือซ้ายทีขวาที เพื่อให้ผมเลือกสะดวก

“อันนี้” ผมให้คำตอบแล้วชี้ไปที่ขวดในมือซ้าย และมันก็บินกลับไปยืนที่เดิมครับ ส่วนอีขวดในมือขวาบินไปยืนโอ่อวดตัวในรถเข็น
“แล้วถามเพื่อ?”

“เพื่อไม่เลือก...
...ก็คุณติดหวาน” เขาหันมาแก้ตัวเมื่อเห็นผมยู่ปากพร้อมเอาเรื่อง
“ผลไม้มั้ย” พ่อบ้านจำเป็นหันมาขอความเห็นผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมส่ายหน้า แล้วก็เดินนำเขาไป ให้มันรู้ซะบ้างว่าอย่ามาทำให้ผมอารมณ์ขุ่น

ผมไม่ได้งอนเขานะครับ แต่แสดงอำนาจให้รู้ว่าใครเหนือกว่า

เราได้มื้อเย็นสำเร็จรูป ของใช้ในบ้าน เครื่องปรุงติดตู้เย็น และผลไม้ที่ผมไม่ได้เลือก ระหว่างมุ่งหน้ากลับคอนโดกัน นายค้ำจุนก็พูดเรื่องสำคัญขึ้นมาด้วยใบหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย

“เหมือนว่าสัญญาเช่าห้องจะหมดสิ้นเดือนนี้นะ”

“..............”

“คุณเอาไง”

ทำไมมันถึงกลายเป็นผม ที่ต้องหาคำตอบว่า....เอาไง


.

คุณ เอา ไง

ไอ้ประโยคนี้มันหมายถึงอะไรบ้างวะ?

คือขอความเห็น? หรือว่าโยนให้ผมตัดสินใจเปรี้ยงเดียวจบไปเลย? หรือชวนหารือ หาทางออก?

แต่นั่นมันปัญหาของเขาไม่ใช่หรอ?
ถามผมทำไมกัน เขาอยากเอาไง ก็เอางั้นแหละ


ผมไม่ได้ตอบอะไรเขา
เราแยกย้ายกันเข้าห้องนอนเมื่อกินข้าว ล้างจาน และอาบน้ำกันแล้ว

ผมปล่อยให้ 3 คำ ของเขารบกวนช่วงเวลาก่อนนอนของผม และตามมาหลอกหลอนผมในความฝัน

“อยู่กับผมต่อเถอะคุณ อยู่ด้วยกันนะจุน” ในฝันผมพูดแบบนี้กับคนที่ผมรู้จักหน้าดีแม้ว่าเขาจะยืนหันหลังให้

ในฝันอันเดียวกันนั้น นายค้ำจุนเดินออกจากห้องไป เสียงฝีเท้าเขาดึงก้องไปทั่วโสตประสาท ผมยืนใจสลายประจันหน้ากับประตูสีไม้โอ้ค ห้องนี้ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย

บ้าเอ้ย! ฝันบัดซบ!!


Home*Mate


สิ้นเดือนมาถึงเร็วกว่าที่คิดมากๆ 

เวลาเดินเร็วเสียจนผมไม่สามารถหาคำตอบหรือทางออกให้กับคำ 3 คำที่ถูกโยนมาแบบกระทันหันได้เลย

คุณ เอา ไง....

“เอาไงดีวะ?” ผมปรึกษากับตัวเอง นิ้วมือขยับขึ้นลงเบาๆ บนแป้นคีย์บอร์ด แม้สายตาผมจะจับจ้องไปที่จอมคอมพิวเตอร์ที่มีเนื้องานรออยู่ตรงหน้า แต่ผมก็เอาสมองทุ่มเทคิดอยู่แค่ว่า เอาไง?

“เป....”
“เป!!!”

ผมถูดกระชากเสียงเรียกจากเพื่อนรัก ยาดาเลื่อนตัวเองและเก้าอี้มาขนาบข้างแล้วยื่นหน้ามาถาม

“เหม่อมากไรมาก
เป็นอะไร ไหนเล่ามาให้หมดสิ”

“ก็......”

“อย่าบอกว่าไม่มีอะรไ หน้ามันฟ้อง
เรื่องคุณค้ำจุนหรอ ใช่ป่ะ ใช่ป่ะ?”

“เออ ก็เรื่อง นั่นแหละ
เรื่องจุน”

“คุณค้ำจุนทำไม ป่วยหรอ? หรือมีปัญหาอะไร เอ้า! ไม่รีบเล่าล่ะ?”

“อยากรู้เกินไปมั้ยดา..
ก็จะเล่าอยู่นี่ไง จี้อยู่ได้
คือ สิ้นเดือนนี้ก็ครบสัญญาเช่าห้องเราแล้ว จุนก็เลยถามว่าเอาไงดี”

“หือ? ถามใคร
ถามเปหรอว่าเอาไงดี”  ยาดายังประหลาดใจกับเรื่องนี้เลยครับ

“อือ สักอาทิตย์ก่อน จู่ๆ ก็ถามว่าใกล้หมดสัญญา เราจะเอายังไง”

“ถามเปว่าเปจะเอายังไงเนี่ยนะ?
เฮ้ยยยย เค้าอ่อยเปอ่ะ!”

อ่อยพ่องงงงงงงง!

ผมใช้สายตาสบถ ดันยาดาและเก้าอี้มีล้อกลับไปที่โต๊ะแล้วก็ลุกไปเข้าห้องน้ำทั้งที่ไม่ได้อยากขับถ่ายใดๆ ครับ

หรืออ่อยจริงวะ
อ่อยในความเข้าใจของผม คือเขาถามความเห็นผมและพร้อมจะทำตามที่ผมแนะนำ เช่น ถ้าผมบอกว่า ต่อสัญญาอีก 6 เดือนสิ เขาก็จะเซ็นชื่อในสัญญาโดยง่ายและไม่ไต่ถามเรื่องราคาค่าเช่าที่อาจจะปรับขึ้นแต่อย่างใด

แต่มันก็แค่ความคิดของผมฝ่ายเดียวนั่นแหละ ไม่แน่ว่าเขาจะเป็นอย่างที่ผมคิดเสียเมื่อไหร่

การล้างมือเอื่อยและพยายามหาคำตอบรังแต่จะสิ้นเปลืองน้ำเปล่าๆ ผมถอนหายใจหอบใหญ่เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าเย็นนี้จะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง

.

หลังเลิกงานวันนี้ผมตรงดิ่งกลับคอนโดโดยไม่แวะสังสรรค์กับร้านสะดวกซื้อเลย แม้จะตะหงิดในอยู่ว่าของกินเริ่มหมดแล้วและอาจต้องลงมาซื้อของกินหน้าแถวๆ คอนโดอีกรอบก็ตาม

ผมมุ่งมั่นมาก ผมจะยื่นข้อเสนอให้เขาสัญญาแต่ขอปรับราคาค่าเช่าห้องใหม่ เซ็นสัญญากัน 6 เดือนเหมือนเดิม และพอหมดสัญญาค่อยคุยกันใหม่ ถ้าเขาโอเคกับเงื่อนไขนี้ เราก็อยู่ด้วยกันต่อไป แต่ถ้าไม่...เรื่องราวก็เดินมาตอนจบในที่สุด

และด้วยความมุ่งมั่นที่น่าจะมากเกินไป ผมก็เลยกลับถึงคอนโดเร็วมาก และก็ตามคาดครับ ในตู้เย็นไม่มีอะไรให้นำมาพอทำกินรองท้องได้เลย สิ่งที่ผมได้ดีที่สุดระหว่างรอคุยกับนายค้ำจุนก็คือ....นอน

ตื่นอีกทีก็ฟ้ามืดแล้วครับ ผมตื่นเพราะร้อน และไม่ใช่เวลานอนที่ร่างกายคุ้นเคย กำลังจะลุกมาเปิดไฟในห้องก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน ผมก็เลยนั่งฟังอยู่เงียบๆ

มันคือเสียงนายค้ำจุนกับต้นสนครับ หัวข้อที่เขาคุยกันอยู่ก็คือ จะบอกผมยังไงดีเรื่องย้ายออก

งั้นก็เท่ากับว่าเขาตัดสินใจแล้วว่าไม่แยกย้ายจากกันไป แล้วเขาจะมาทิ้งคำ 3 คำให้ผมขบคิดมาทั้งอาทิตย์ทำไมกัน

กูยังไม่ได้บอกเป แต่ก็ไม่ต้องบอกก็ได้มั้ง ทุกอย่างก็ตามสัญญาเขียนไว้หมด
ต่อให้หายไปหมดนี่ เขาก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้น
มันก็อัดกันไปจริงๆ นั่นแหละ ที่นี่ไม่ไหวจริงอย่างที่มึงพูดก็ใช่


นี่คือสิ่งที่ผมจะได้ยินครับ
นี่คือคำพูดนายค้ำจุนทั้งนั้นเลย

ผมรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว
เพื่อนร่วมห้องคนเดียวที่ผมได้มี เขาจะไปแล้ว

ผมโอเค ผมบอกตัวเองแบบนั้น และผมก็เชื่อแบบนั้น อย่างน้อยๆ ผมก็กำลังพยายามเชื่อเสียงในหัวตัวเองที่พร่ำบอกตัวผมอยู่ว่าผมโอเค ผมโอเค

เมื่อเชื่อว่าตัวเองโอเคแล้ว ผมก็จัดผมเผ้าให้เข้าที่ เปิดไฟในห้องนอน แล้วก็เปดประตูออกมาแสดงตัวตนให้อีก 2 คนได้รับรู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่กันลำพัง


“เอ้า คุณ.....
กลับ กลับมานานแล้วหรอ?” นายค้ำจุนถามผมด้วยสีหน้าอึ้งๆ เขามองสภาพผมอย่างสำรวจ ผมก็ไม่ได้เยินมากนะ อาจเสื้อยับกางเกงเบี้ยวหัวยุ่งนิดหน่อยเท่านั้น

“อื้อ ไม่ได้แวะไหน ก็เลยถึงห้องเร็ว
แล้วนี่...นัดกันมาทำอะไรรึเปล่า?” ผมถามพลางใช้สายตาเผื่อคำถามไปให้ต้นสนด้วยอีกคน

“ไม่ไม่ ไมได้นัดทำอะไรเลยเป
ผมตามมากินข้าวเย็นเฉยๆ เปกินข้าวเย็นรึยัง กินข้าวต้มกันมั้ย” ต้นสนบอกแผนพร้อมชวน ส่วนนายค้ำจุนก็ยังมองหน้าผมนิ่งๆ เหมือนเดิม

“อ่อออ ก็ยังไม่ได้กินนะ ตื่นก็เพราะหิวนี่แหละ
เอาสิ กินข้าวต้มกันก็ได้”

“โอเค งั้นไปกันเลยมั้ย ทุ่มกว่าแล้ว เปหิวแล้วใช่มั้ย” คนช่างพูดก็ยังเป็นต้นสนเหมือนเดิม นายค้ำจุนยังเอาแต่เงียบมองหน้าผมเหมือนเดิม

เอาวะ จะได้จบๆ ผมตัดรำคาญความรู้สึกที่ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่ แล้วก็โพล่งพูดไปด้วยสีหน้าที่พยายามเกร็งให้นิ่งที่สุด

“ผมเลี้ยงเอง เลี้ยงส่งคุณไง หมดสัญญาแล้วคุณจะย้ายออกแล้วนี่”

“...............”

“ไปสิ เต็มที่เลยนะต้น ไม่ต้องเกรงใจ”

พวกเขาอื้งไป จากนั้นต้นสนก็มองเพื่อนรักมันอย่างเลิ่กลั่ก ส่วนนายค้ำจุนขมวดคิ้วเพ่งมองผม แวววตาเขาเต็มไปด้วยคำถาม และถ้าผมไม่ได้คิดไปเองมากไป ผมว่าผมเห็นความเจ็บปวดส่งมาจากสายตาคู่นั้น

“ต้น มึงกลับไปก่อนได้ป่ะ กูต้องเคลียร์กับจ้าของห้องหน่อย” ทันทีที่ผมขยับจะเดินนำพวกเขาออกนอกห้องที่พื้นที่ไม่ถึง 40 ตรม. แห่งนี้ นายค้ำจุนก็ก้าวมาขวางหน้าไว้ เขาสั่งแกมขอร้องเพื่อนโดยไม่หันไปมอง ส่วนเพื่อนเขาก็รับคำอย่างว่าง่าย เอ่ยลาผมพร้อมกับสั่งเสียว่า “คุยกันก่อนดิเป ใจเย็นๆ คุยกันนะไอ้จุน”

เสียงยางรองเท้าเสียดสีกับทางเดินค่อยๆ ห่างไกลออกไปจนในที่สุดก็ไม่ได้ยิน นายต้นสนไปแล้ว ในห้องก็เหลือแค่เรา

ผมขยับหนีมานั่งโซฟา จงใจคว้ารีโมททีวีเพื่อเปิดหาเสียงไล่ความเงียบ แต่นายค้ำจุนก็ตามมาคว้ารีโมทไปจากมือผม แล้วก็ยืนกอดอกบังทีวี

“คือคำตอบคุณแล้วหรอ” เขาถามเสียงเบาๆ น้ำเสียงไร้ความโกรธเกรี้ยว

“คำถามอะไรของคุณเนี่ย”

“ผมเคยถามคุณไว้ว่าคุณจะเอายังไงเรื่องหมดสัญญาเช่าอยู่ แล้วก็ถามเมื่อกี้อีกรอบว่า นั่นคือคำตอบคุณแล้วหรอ”

“ผมตอบอะไรตอนไหน”

“คุณจะเลี้ยงส่งผม”

“ก็!”

“ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วหรอเปล”

ทำไมนายค้ำจุนถึงเก่งเรื่องตั้งคำถามใส่ผม แต่ห่วยแตกเรื่องบอกคำตอบของตัวเองแบบนี้วะ?

ผมถอนหายใจอีกหอบนึง รู้สึกตันไปหมด ไม่รู้ว่าจะคิดตามที่เขาถามแล้วพยายามหาคำตอบมาให้ดีไหม เราเป็นอะไรกันล่ะ? สำคัญต่อกันอย่างไรหรือผมถึงต้องทุ่มเทพยายามดิ้นตามทุกการบีบคั้นหรือตั้งคำถามของเขา

“แล้วคุณล่ะ ไม่อยาก”

“ผมอยากให้เราอยู่ด้วยกัน”


Cut


ห้าเดือนที่หายไป .... มาต่อด้วยความไม่แน่ใจว่ามีคนอ่านเรื่องนี้อยู่มั้ย แต่เรื่องนี้ยัังไม่จบและเราก็จะเขียนต่อไปค่าาา
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ใครต่อไม่ติด ลืมไปแล้วว่าตอนที่แล้วจบตรงไหน ลองไต่ไปอ่านด้านบนนะคะ หน้านี้แหละค่ะ

^6^

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :z2: :z2: :z2:
ดีใจกลับมาต่อแล้ว ก็คอยแวะมาดูตลอดว่าเปล จะทำต้นไม้ของจุนพังไปเท่าไหร่นะ
หายคิดถึง แม้ว่าจะมีคำที่สะดุดหลุดหายไปหลายคำบ้าง แต่ก็ไม่สะกิดใจ อิอิอิ
ยังคอยอยู่เสมอจ้า ช่วงนี้โควิดระบาดหนัก ไรท์รักษาสุขภาพด้วยนะจ๊ะ +1
 :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
คำพูดที่ได้ยินครึ่งๆกลางๆ ลับหลังนี่ เป็นประเด็นมานักต่อนัก

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back

กลับมาเล่าต่อแล้ว ก็มาบ่อย ๆ นะจุนเป 

มาหายยยยยยยยมาหายยยยยยย  แบบที่ผ่านมา ไม่เอาน้า

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ลุ้นมากว่าสองคนนี้จะเข้าใจกันไหม ดีใจที่จุนพูดออกมาตรงๆสักที แล้วก็ปล่อยให้เปลคิดมากตั้งนาน

 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
เอาล่ะ!!!!!  เจอประโยคก่อนจบล่ะ มันต้องงี้ดิ๊ ชัดเจนไปเล้ยยย :katai2-1:  :katai2-1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
คุยกันดีๆ :z3:

ออฟไลน์ HamsteR

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
แวะมาทักทายและให้กำลังใจนักเขียนนะครับ (แม้ว่าจะหายไปนานม๊ากมากกกก 55)

เป็นเรื่องราวที่อ่านแล้วไหลลื่นมาก ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆพัฒนาของตัวละครอย่างจุนกับเปลที่เริ่มต้นจากผู้เช่า
แล้วเติบโตไปเรื่อยๆโดยอาศัยเวลาเป็นตัวขับเคลื่อน บวกกับการกระทำต่างๆที่เป็นตัวกระตุ้นควารู้สึกให้ก่อตัว
อีกอย่างที่ผมชอบคือการหยิบเอาความสัมพันธ์ของครอบครัว ที่ว่าวันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องแยกจากอ้อมอกพ่อแม่
แล้วไปมีชีวิต ใช้ชีวิต เรียนรู้ที่จะต้องอยู่ให้ได้ในสังคม

จริงๆอย่างพิมพ์อะไรเยอะๆกว่านี้ก็กลัวจะเวิ่นจนผมจะงงซ้ะเอง 555
เอาเป็นว่า.... จะรอติดตาม ค้ำจุนกับเปล ต่อไปนะครับ

 o13 o13 :katai2-1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รีบมาต่ออีกนะ อย่าหายไปนานๆ

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
เพิ่งเข้ามาอ่านครับ  สนุกมากอ่านรวดเดียวจบเลย
รอคอยตอนต่อไปอย่างจดจ่อนะครับ  อยากรู้ว่ามันเป็นความสัมพันธ์ของเปจุนจะคลี่คลายออกมาอย่างไร

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [20]

“นั่นคือคำตอบคุณแล้วหรอ”

“คำถามอะไรของคุณเนี่ย”

“ผมเคยถามคุณไว้ว่าคุณจะเอายังไงเรื่องหมดสัญญาเช่าอยู่ แล้วก็ถามเมื่อกี้อีกรอบว่า นั่นคือคำตอบคุณแล้วหรอ”

“ผมตอบอะไรตอนไหน”

“คุณจะเลี้ยงส่งผม”

“ก็!”

“ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วหรอเปล”

“แล้วคุณล่ะ ไม่อยาก...”


“ผมอยากให้เราอยู่ด้วยกัน”

ทีวีส่งเสียงสปอตโฆษณาเข้าหู แต่ประสาทรับรู้ของผมไม่สามารถแปลความหมายจากเสียงที่ได้ยินได้เลย ค้ำจุนไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก เขาแค่นั่งลงบนโซฟาที่ปลายอีกฝั่งหนึ่ง

เหมือนเราทั้งคู่จะอยู่คนละฝั่ง แต่ที่จริงแล้วเราก็นั่งอยู่ข้างกันแหละครับ

“อื่อออออ” ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาต่อ ตอนนี้ทีวีกลับเข้าสู่รายการบันเทิงแล้วครับ แต่ผมก็ไม่รับรู้เนื้อหาอะไรอยู่ดี
“เหมือนเราต้องคุยกันให้ชัดนะ คุณว่าไง” ผมเปิดประเด็น นายค้ำจุนที่มองผมอยู่ก่อนแล้วรีบพยักหน้าทันที

“ระหว่างเรา มันต้องคุยกันให้ชัดเท่านั้นแหละ เพราะคุณชอบคิดอะไรไปเอง แล้วผมก็ไม่ได้ถนัดเข้าใจไอ้ที่คุณคิดด้วย”

แหม่เว้ย ช่างเป็นคู่สนทนาที่น่าคุยด้วยเหลือเกิน ผมหรี่ตามองและพยายามข่มความขุ่นไว้

“คุณจะเอาไงเรื่องอยู่กับผม  หมายถึง เช่าห้องผมอ่ะ” ผมพัลวันถามออกไปด้วยความซื่อตรงที่สุด นายค้ำจุนยักไหล่ใส่แล้วก็ให้คำตอบ

“ก็บอกไปแล้วไง ผมอยากให้เราอยู่ด้วยกัน
ซึ่งแปลว่า” เขารีบพูดต่อทันทีที่ผมเริ่มอ้าปากพูด
“ผมอยากเช่าห้องนี้ต่อ”

“อ่าว....แล้ว.....” แล้วที่ผมได้ยินคืออะไรวะ? ผมไม่ได้ฝันนะ ผมได้ยินนายค้ำจุนกับเพื่อนรักของเขาคุยกันจริงๆ เรื่องย้ายออกจากห้องนี้

“แล้วอะไรของคุณ” ผมขมวดคิ้วถาม สายตาดูค่อนข้างไม่ชินกับสีหน้าโง่ๆ ของผม

“แล้วที่ผมได้ยินล่ะ?”

“คุณได้ยินอะไรล่ะ?”

“ก็คุณกับต้นุคุยกันเรื่องย้ายออก คุณพูดเองว่าแออัด แล้วยังด่าผมลับหลังด้วยว่าผมไม่ใส่ใช่อะไรหรอก”

“อ่อออ ก็คือได้ยินเท่านี้ แล้วก็เลยอยากใช้โอกาสนี้ไล่ผมออกจากห้องล่ะสิ”

“ไล่อะไรกันเล่า? ผมไม่เคยคิดแบบนั้นสักหน่อย ผมก็อยากให้คุณเช่าห้องต่อเหมือนกัน...นี่”

นายค้ำจุนกระตุกมุมปากยิ้ม ผมเห็นเต็ม 2 ตา

“งั้นก็อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม .... เนอะ” คราวนี้เขายิ้มทั้งปากทั้งตาทันทีที่ผมพูดจบ ผมก็เลยยิ้มตอบ แต่ว่าความสงสัยมันยังไม่หายนี่สิครับ ก็เลยต้องขอความกระจ่างเสียหน่อย

“จุน แล้วที่คุยกับต้นคืออะไรอ่ะ”

“อ่อ เรื่องเด็กๆ” เขาตอบ คำตอบชวนให้งงแต่ผมไม่งงแล้วครับ ผมเข้าใจว่าเขาหมายถึงต้นไม้
“ผมหมายถึงต้นไม้น่ะ ห้องนี้ไม่เหมาะจะเอาต้นไม้มาพักไว้แล้วค่อยจัดส่งอย่างที่ไอ้ต้นมันเตือนมาตลอดจริงๆ แหละ ขนขึ้นขนลงก็ลำบาก ยังเคยลำบากไปถึงคุณด้วยเลย ผมก็เลยต้องหาโรงเรือนอื่นเพิ่มไว้พักต้นไม้ที่ย้ายมาจากราชบุรี พวกต้นที่สูงกว่าครึ่งเมตรน่ะ ส่วนไม้เล็กๆ ก็ยังใช้ระเบียงเป็นโรงเพาะได้อยู่ ไม่มีปัญหา”

“อ่ออออ ที่ว่าย้ายออก ก็คือย้ายต้นไม้หรอ?”

“อื้อ”

“แล้ว คุณต้องไปหาโรงเรือนอื่นเพิ่มหรอ ก็เสียเงินอีกน่ะสิ”

“ใช่” ทำไมดูไม่หวงเงินเลยว่ะ หรือว่าเขาได้ขึ้นเงินเดือน ผมจำได้ครับว่าเขาเป็นคนที่ใช้เงินอย่างคุ้มค่าขนาดไหน ขนาดที่คนงกๆ อย่างผมยังคิดว่าเขาาขี้เหนียวเลย แต่พอเป็นเรื่องต้นไม้นี่ไม่เคยมีคำว่าสิ้นเปลืองเลยสินะ นี่คนหรือรุกขเทวดาวะ?

“แล้วหาได้รึยังล่ะ?” ผมสนใจถามต่อ นายค้ำจุนก็เลยเล่าให้ฟังเสียยาวเลยครับ

สรุปแล้ว โรงเรือนใหม่มีแคนดิเดท 1 ที่ ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าไม่ควรเรียกว่าเคนดิเดท แต่มันคือที่เดียวที่ช่วยให้เขารอดจากวิกฤตต้นไม้ล้นห้องครับ โรงเรือนที่ว่าก็คือบ้านพี่ก้องกับพี่อ้อ รุ่นพี่ในวงการที่เขาสุดซี้นั่นแหละครับ

ระหว่างที่นายค้ำจุนกำลังเพลิดเพลินกับการเล่าโปรเจคขายต้นไม้ล็อตใหญ่ให้ผมอยู่นั้น ท้องผมก็ส่งเสียงร้องแสดงความหิวชิบหาย เราก็เลยกินมื้อค่ำง่ายๆ กันที่ร้านข้าวต้มหน้าคอนโดครับ ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องเลี้ยงตามที่ลั่นวาจาเอาไว้  ยอมรับว่าค่อนข้างเจ็บใจที่เขาเสือกจำได้ทั้งหมดที่ผมพูด แต่ก็เลี้ยงครับ เพราะผมไม่ใช่คนผิดคำพูด

ประโยคสุดท้ายก่อนเดินตัวปุยเข้าห้องนอน ผมบอกกับเขาว่า เดี๋ยวจะให้ยาดาร่างสัญญามาให้เซ็น

และประโยคที่สุดท้ายที่เขาพูดส่งผมเข้านอนก็คือ “สัญญาอยู่ด้วยกัน 1 ปีนะเปล”

Home*Mate

อารมณ์ดีเหลือเกินนะ
ผมจัดให้วลีนี้อยู่ในกลุ่มถากถางครับ โดยเฉพาะเวลาที่มันออกมาจากปากยาดา
แต่เอาเถอะ ผมโตแล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่สูงปี๊ด เพราะฉะนั้นผมจะไม่ตอบโต้

“หน้าบานได้อีกอ่ะคนเรา
นี่มันคุณเปผู้มีความรักรึเปล่าน้า?
ไม่สิ ไม่ใช่ นี่คือคุณเปผู้ได้รับความรักกลับมาต่างหาก”

“ดา....หยุดเถอะ เตือนครั้งที่ 3 แล้วนะ” ในที่สุดผมก็ต้องออกโรงปกป้องภาพลักษณ์ของผมที่ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไป

“จ้าๆ คุณเปไม่ใช่คนอินเลิฟแต่อย่างใด คุณเปแค่ตกหลุมรักที่คนเช่าห้องเขาขุดไว้ให้เห็นโต้งๆ เท่านั้นเองงงงง” พลังปอดเหลือล้นล่ะสิถึงได้พูดประโยคยาวๆ แล้วยังลากเสียงยาววววววไม่รู้จบได้ขนาดนี้

การเตือนครั้งที่ 4 ของผมคือการเหล่มองแล้วก็ริบกาแฟที่เป็นคนซื้อให้เพื่อนคืนกลับมาครับ ดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าถ้าปากแจ๋วกว่านี้จะอดแดกนะครับเพื่อน ยาดาก็เลยยอมหยุดแซว

เธอวิเคราะห์ว่านายค้ำจุนต้องคิดลึกซึ้งกับผมแน่ๆ ครับ ไม่อย่างนั้นพ่อค้าผู้ไม่ยอมเสียเปรียบใครไม่น่าจะยอมเสียค่าเช่าคอนโดรายเดือนต่อ แล้วก็ยังต้องเพิ่มต้นทุนด้วยการเช่าโรงเรือนสำหรับพักต้นไม้เพิ่มอีก ซึ่งก็ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายหลักร้อยหลักพัน

แม้ผมจะค้านไปแล้วว่า เขาตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะว่าจำนวนต้นไม้ใหญ่เขาเยอะเกินไป ขณะที่ต้นไม้เล็กๆ ตรงระเบียงก็ไม่ได้ลดลง อีกทั้งในห้องนอนเขาก็ยกพื้นที่ให้ต้นไม้ไปครึ่งหนึ่งโดยเขายอมมาปูฟูกนอนเดี่ยวๆ ที่ข้างเตียงผมแทน

ถ้าจะหาเจ้าของห้องใหม่ ที่ยอมให้ผู้เช่ามาเบียดพื้นที่ห้องนอนด้วย และยอมให้มีต้นไม้มากมายในห้องซึ่งแน่นอนว่ามันมาพร้อมปัญหาเศษดินที่รกตาตาตีนด้วย ก็ไม่ใช่หาง่ายๆ นะครับ

สรุปแล้ว ผมก็คือผู้เลอค่าและตรงตามที่เขาต้องการทุกซอกหลืบนั่นเอง

ไอ้ขุดหลุมหลัก ตกหลุมหลงใดๆ ที่ยาดาหยิบมาแซวนั้นมันเรื่องไร้สาระ

กำลังเถียงเพื่อนอยากออกรสอยู่ในความคิดคนเดียว โทรศัพท์ผมก็มีสายเรียกเข้าครับ

ชื่อคนโทรมาทำให้ผมรีบกดรับทันที

“อื้อคุณ” นายค้ำจุนโทรมาครับ อยากรู้จังว่าเขาโทรหาผมทำไม มีเรื่องอะไรสนุกๆ ให้ช่วยรึเปล่าหว่า?

“หือ? เสาร์-อาทิตย์นี้หรอ ไม่มีงานนะ” เขาถามว่าสุดสัปดาห์นี้ว่างมั้ย
“บ้านคุณ ที่ราชบุรีน่ะหรอ? เอาสิ ไปได้ๆ”
“เอ่......” ผมฟังข้อเสนอจากปลายสายแล้วเหล่มองเพื่อนอย่างครุ่นคิด
“เดี๋ยวจะถามให้ก็แล้วกัน แต่ว่ามันมีประโยชน์อะไรหรอคุณ ให้ชวนไปด้วยเนี่ย”
“อ่อออออ” นายค้ำจุนอยากให้ชวนยาดากับวราห์ไปด้วยครับ เพราะว่าคู่นี้เขาไปปรึกษาเรื่องของชำร่วยงานแต่งกับนายค้ำจุนเอาไว้ เจ้าของโรงเรือนเลยอยากให้ไปชี้สเปกต้นไม้หน่อยว่าพันธ์ไหนและไซส์ไหนที่ชอบบ้าง

“แล้ว...ผมไปนี่จะช่วยอะไรคุณได้หรอ” ผมถามย้ำหาจุดยืนตัวเอง ปลายสายตอบมาแค่ว่า ‘แม่ทำไข่พะโล้หมูสามชั้น อยากให้คุณไปหา’ อื้อ! งานสำคัญขนาดนี้ขาดผมไม่ได้สิ

“ใครอ่ะ คุณค้ำจุนหรอ” เพื่อนถามทันทีที่ผมวางสาย เธอรีบคว้าแก้วกาแฟเอาไว้เต็ม 2 มือ

“อื้อ ค้ำจุน”

“ว่า?”

“ต้องบอกดาด้วยรึไง สนใจเกินไปป่ะเนี่ย?”

“หวงคุณค้ำจุนหรอ”

“หวงดาแทนวราห์ต่างหาก นี่เตรียมงานแต่งถึงไหนแล้วล่ะ ไม่มีอะไรหลุดแพลนใช่ป่าว”

“จ้า ออนแพลนทุกอย่าง อ้อ! ยังไม่ได้คอนเฟิร์มของชำร่วย”

“มิน่าล่ะ
ค้ำจุนชวนไปโรงเรือนที่ราชบุรีเสาร์นี้ ว่างมั้ย
เค้าอยากให้ดากับวราห์บอกเรื่องสเปกต้นไม้หน่อยว่าไอ้ไซส์เล็กๆ เนี่ยจะเอาพืชอวบน้ำหรือแคคตัส หรือว่าไม้บอนไซ”

เพื่อนผมพองตามองผมอย่างประหลาดใจมากครับ แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ยาดายิ้มอย่างปลื้มปริ่มแล้วก็พูดจนผมต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจเสียเอง

“เปรู้เรื่องต้นไม้เยอะขนาดนี้เลยหรอเนี่ย”

นั่นสิ ผมรู้เรื่องต้นไม้เยอะขนาดนี้เลยหรอ?

ผมไม่ตอบอะไรเพราะรู้ว่ายาดาไม่ได้ถาม เธอแค่อุทานความประหลาดใจของตัวเองเท่านั้น แต่ผมก็ไม่ได้บอกเพื่อนหรอกนะครับว่าตัวผมเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน

เรา 2 คนดื่มด่ำกับกาแฟหลังอาหารเที่ยงในร้านกาแฟเล็กๆ ใกล้ออฟฟิศอีกเพียงครู่ก็ชักชวนกันกลับไปทำงานตามเวลา

Home*Mate

วันเสาร์มาเยือนแล้วครับ เวลาช่างเดินทางรวดเร็วเสียจริง ผมยังจำได้ว่าเมื่อ 2-3 วันก่อน ผมตัดสินใจซื้อรองเท้าใหม่ เน้นเลือกคู่ที่คิดว่าจะเดินในโรงเรือนนายค้ำจุนได้สะดวกกว่าร้องเท้าแตะคู่เดิม คู่ใหม่นี้หุ้มเท้าขึ้นมาหน่อยครับ น่าจะกันเศษดินหรือหินลี้ลับแทรกตัวมาตำฝ่าเท้าได้  นี่ผมไม่ได้ตื่นเต้นเกินไปใช่มั้ย

“เสร็จยังอ่ะคุณ จะได้โทรบอกไอ้ต้นให้ออกจากบ้านมันได้แล้ว”

“อ่าว นึกว่าต้นจะไปรถเราซะอีก” ผมสืบสาวเรื่องราวไปพลาง เช็คของในกระเป๋าสะพายของตัวเองไปพลาง มีหมวกด้วยครับ ไม่ได้เห่อเลยจริงๆ

“ไม่ รำคาญมันชอบสอดหน้ามาคุยนั่นนี่ เราไปรถผมกัน 2 คนก็พอ”

“อ้ออออ แล้วนัดต้นที่ไหนล่ะ”

“ปั๊มที่เราแวะพักคราวก่อนนั่นแหละ หรือคุณอยากไปรถมันล่ะ” เสียงเขาแข็งๆ ผมก็เลยไม่ท้าทายอะไร

“เสร็จแระ พร้อม ไม่น่าจะลืมอะไร อ๊ะๆ น้ำเปล่าด้วย ห้ามลืม ช่วงนี้ผมเหมือนจะป่วยๆ อ่ะคุณ เพลียง่ายมาก ดาก็เลยบอกว่าให้ดื่มน้ำเปล่าเยอะขึ้น แล้วก็นอนเยอะๆ หน่อย”

“อ่าว... งั้นไม่ต้องไปมั้ยคุณ ไปไข้ขึ้นที่บ้านผมหรือระหว่างทางจะป่วยไปกันใหญ่”

“เฮ้ย!  ไปดิ ล่มแผนได้ไงคุณ นัดคนไว้ตั้งเยอะ แม่คุณก็ทำไข่พะโล้รอไว้แล้ว ผมไม่ป่วยจริงๆ”

“จริงนะ?” พร้อมกับคำถามย้ำ มือนายค้ำจุนเร่มาวัดไข้ที่หน้าผาก แก้ม และลำคอผมทันที แต่แทนที่ผมจะรั้งตัวหนี กลับยืนนิ่งให้เขาวัดไข้ไปซะงั้น

“งั้นติดยาลดไข้กับวิตามินซีไปด้วย เดี๋ยวแวะปั๊มตรงทางด่วนแล้วคุณก็ซื้ออะไรกินนิดหน่อยแล้วกินวิตามินซีนะ ไม่รู้มันช่วยมั้ย แต่ก็ไม่ได้สร้างผลเสียอะไรนี่ ตามนี้เนอะ”

“ก็...อื้อ
ตามนั้นก็ได้” ผมรับคำอย่างว่าง่าย เดินมาสวมรองเท้าคู่ใหม่ หันไปยิ้มกับนายค้ำจุนที่เดินตามมาชมว่าร้องเท้าเท่เชียว ผมเดินนำหน้าเขาออกจากห้อง ด้วยอาการหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ

เชี่ยเอ้ย! หรือผมจะป่วยกะทันหันจริงๆ?

จากที่ไม่ป่วยไข้อะไร ผมคิดว่าผมกำลังป่วยกะทันหันครับ ในรถก็อุณหภูมิปกติ กำลังดีสุดๆ แต่นายค้ำจุนกลับทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบๆ ด้วยการเอาเสื้อคลุมที่เขาติดรถไว้เป็นประจำมาห่มให้

กูไม่ได้ป่วยโว้ยยยยยยย

“เป พูดง่ายๆ หน่อยสิ ห่มไว้เถอะน่าจะได้ไม่เป็นไข้”

“ก็ผมไม่ได้ป่วยไง”

“ก็กันไว้ดีกว่า”

“กันอะไร?!”

“กันป่วยไง”

“ก็ผมไม่ได้ป่วยไง”

“ก็กันป่วยไง”

โอ้ยยยยยยยย กูร้อน!
ผมฮึดฮัดถลกเสื้อปาทิ้งไปเบาะหลัง แน่นอนว่าคนขับหันมองแบบไม่พอใจสุดๆ แต่ผมก็ลอยหน้าลอยตาใส่

“จุนฟังดีๆ นะ ผมไม่ป่วย ไม่มีไข้ ไม่ได้เป็นไรอะไร แค่พักผ่อนน้อยก็เลยเพลียเฉยๆ แต่ก็นอนเต็มอิ่มมากเมื่อคืน
ทีนี้ก็ปล่อยผมสนุกกับทริปชมต้นไม้กินไข่พะโล้ฟรีได้แล้ว”

สีหน้าเขานิ่งไป มองหน้าผมสลับกับถนนข้างหน้า จากนั้นก็พยักหน้าอย่างยอมเข้าใจเสียที

ก็แค่เนี้ยยยยยย!

อาการคิดไปเองว่าผมป่วยเกิดขึ้นอีกรอบตอนที่เราแวะปั๊มที่นัดกับนายต้นสนเอาไว้ นายค้ำจุนสาธยายอาการป่วยของผมที่เขาคิดเอาเองให้เพื่อนรักเขาฟัง ผมก็เลยได้รับความห่วงอันแสนใหญ่โตจากนายต้นสนด้วยอีกคน แต่รายนี้พูดรู้เรื่องกว่าค้ำจุนมากครับ ปฏิเสธครั้งเดียวรู้เรื่อง

เรารอยาดากับวราห์ไม่นานนัก เมื่อรวมพลครบ 5 คน กับรถ 3 คัน และเตรียมช้อปปิ้งขนมกันอย่างตามใจตัวเองแล้วก็ออกเดินทางสู่ฟาร์มแคคตัสของนายค้ำจุนกันครับ

ผมคาดหวังว่าทริปนี้มันจะต้องสนุก และก็อิ่มหมีพลีมันสุดๆ แต่ดูเหมือนว่าผมจะหวังเกินไปหน่อย เพราะจู่ๆ นายค้ำจุนก็พูดขึ้นมาสั้นๆ ว่า

“ขากลับ คุณกลับกับไอ้ต้นนะ ผมค้างบ้านแม่”


cut


มาต่อแล้วค่าาาาา
ฝากติดตามค้ำจุนกับเปลต่อไปด้วยนะคะ  :mew2:


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ขอบคุณที่กลับมาต่อครับ
หวังว่าจะได้อ่านตอนต่อไปเร็วๆ :) :) :)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด