พิมพ์หน้านี้ - Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: kajidrid ที่ 12-08-2017 00:01:29

หัวข้อ: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 12-08-2017 00:01:29
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

หัวข้อ: Re: Home * Mate (Inro)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 12-08-2017 00:06:37
Home * Mate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid



Intro


สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการลงทุนหรือเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ ก็คือ...การหลงรักมัน


Home*Mate


บรรยากาศมาคุระหว่างพี่สาวและแม่ ทำให้ผมหมุนตัวกลับขึ้นบันไดอีกครั้ง ทั้งที่ขาลงยังไม่สิ้นสุดดีด้วยซ้ำ
เจ๊ป๋อมกับแม่ถกเถียงกันในเรื่องนี้มาพักใหญ่ และแม้ว่าผมจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย แต่ผมก็เห็นแก่ตัวพอที่จะเดินหนีออกมา

เสาหลักของครอบครัวของผมเพิ่งก้าวสู่การเกษียณอายุการทำงาน แน่นอนว่าพ่อกับแม่ยังปรับสภาพไม่ได้ และยังคงช็อคสะสมอยู่ แต่ว่า พวกเราก็เห็นพ้องกันว่า ไม่ว่ายังไง ชีวิตก็ต้องก้าวเดิน

พ่อกับแม่จะกลับไปอยู่ที่อ่างทอง จังหวัดที่แม่เกิด
เจ๊ป๋อมจะอยู่ที่บ้านนี้ ที่อยู่มาตั้งแต่เกิด
ผมก็เกิดที่นี่เหมือนกัน โอเค ทางเทคนิคแล้วผมเกิดที่ห้องคลอดในโรงพยาบาลเหมือนชาวโลกอื่นๆ นั่นแหละ แต่ในศาสตร์ด้านดรามาติคอลแล้ว ผมเกิดที่บ้านนี้

“เป เป เป!!!!!”
“แกลงมาทำให้จบๆ ดิ๊”
“มาเลือกว่าจะอยู่ที่ไหน เสียงแกคือความหมายนะไอ้เป”
“เร็วๆ ให้ไว เจ๊เรียกไม่ได้ยินหรอ?”

นี่คือวาจาพิพากษ์แล้วล่ะมั้ง ผมถอนหายใจ เหล่มองประตูห้องให้แน่ใจว่ากูล็อคแล้วแน่ๆ จากนั้นก็เข้าห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำแล้วออกไปข้างนอกแม่งเลย จากที่คิดแค่จะลงไปหยิบขนม นม น้ำอัดลม มากินบนห้องไปพลาง ดูหนังไปพลาง แต่เมื่อความสงบของการอยู่บ้านหายไป ผมก็ไม่อยากอยู่ และถ้าจะต้องเผชิญกับความวุ่นวายแล้ว ผมจะเลือกจะให้สิ่งแวดล้อมภายนอกทำให้ผมวุ่นวาย ดีกว่าต้องรู้สึกแย่จากการถูกวุ่นวายจากคนในบ้านตัวเอง ผมไม่อยากรำคาญครอบครัว

ผมยังคงได้ยินเสียงเจ๊ป๋อมโวยวายหน้าห้อง แต่พักนึงก็เงียบเสียงไป คงเดาได้จากกลิ่นแชมพู หรือไม่ก็นิมิตได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัว แต่เชื่อเถอะ พอผมลงไปข้างล่าง เจ็ก็จะถลามาโวยวายโหวกเหวกบี้เอาคำตอบอยู่ดี

“อ้าว ไปไหนล่ะลูก เปล” นี่แม่ผมครับ สวย ใจดี สายบุญ อ่างทอง  แม่ผมเป็นแม่บ้าน ฉะนั้น เรื่องการดูแลบ้านจึงเฉียบคมมาก เรียกว่าเช้าเห็นอาหารเช้า สายได้ของว่าง เย็นได้สารอาหารครบ ความสะอาดและความเป็นระเบียบในบ้านไม่เคยต้องติติง

“ไปดูหนังข้างนอกครับแม่”
“ไปกับเปมั้ย”

“ไม่เอาล่ะ เปลดูหนังฝรั่งนี่ เอาแม่ไปดู แม่ไม่รู้เรื่องหรอก อ่านก็ไม่ทัน ในโรงหนังก็เสียงดัง”
“ไปคนเดียวได้ใช่มั้ย” ที่แม่ถามแบบนี้ ก็เพราะว่ากิจกรรมของผมกับพ่อ ก็คือการดูภาพยนตร์ครับ ทั้งดูแผ่นดีวีดีในบ้าน หรือไปดูที่โรงตามห้าง แต่วันนี้พ่อไม่อยู่บ้าน แม่คงกลัวผมเหงาหรือพิการกะทันหัน

ผมพยักหน้า ยิ้มให้แล้วกรอมหน้าแม่ไว้ในอุ้งมือ แล้วก็หอมแก้มครับ อ้อนกันเบาๆ แล้วก็ต้องรีบออกจากบ้าน ก่อนเจ๊มันได้กลิ่นผมแล้วออกล่าอีกรอบ

“เอ้าแม่”
“นั่นเปไปไหน”
“แล้วทำไมไม่ถามให้รู้เรื่องว่ามันจะอยู่ที่ไหน ถ้าเปมันอยากอยู่บ้านนี้แม่ก็ไม่ต้องไปอยู่ไหนหรอก”
“อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมก็จบแล้ว ทำไมพ่อแม่ต้องแยกตัวเนี่ย”
“มันอะไรนักหนา”

พี่สาวผมเป็นคนไม่น่ารักเท่าไหร่หรอกครับ แต่ที่ผมและแม่ไม่อยากเถียง ไม่อยากสู้ ทั้งด้วยเหตุผลและอารมณ์ ก็เพราะแม่และผมเข้าใจ ว่าคนที่ต้องรับหน้าที่เสาหลักครอบครัวต่อจากพ่อ ก็คือพี่ป๋อม


++++++++++++++++


“ไม่มีปัญหาครับแม่ หาได้แล้วครับ”
“ไม่แพง ไม่แพง”
“ครับ ครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ครับ”
“จุนรักแม่นะครับ”
“รอจุนนะครับ”
ผมตัดสายจากแม่แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
แถวนี้โคตรประหลาด ป้ายบอกอย่างนึง เงื่อนไขจริงดันเป็นอีกอย่าง
ป้ายบอกเข้าอยู่ได้เลย พอขนของมาเสือกต้องจ่ายนั่น มัดจำนี่เยอะแยะไปหมด

ผมเป็นผู้ชายไร้บ้าน
จริงๆ ก็ไม่เชิงนะ ผมมีบ้าน แต่บ้านอยู่ไกลจากที่ทำงานมาก เลยต้องหาหอพักที่ใกล้กับที่ทำงาน ไม่อย่างนั้นผมต้องตื่นตั้งแต่ตีสาม เพื่อเข้ากรุงเทพมาทำงานแน่ๆ

รอบนี้เป็นรอบที่ 5 แล้ว ที่ผมเจอหอพักไม่แฟร์แบบนี้
โลกใบนี้คงไร้เสียงหัวเราะมานานแน่ๆ ถึงได้สร้างเรื่องตลกให้ชีวิตผม เพื่อหัวเราะเยาะผมอย่างบ้าคลั่ง

และเมื่อวันนี้ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรกับการหาหอพักราคาย่อมเยา ผมก็ตัดสินใจกลับไปยังแหล่งทำมาหากินเสริมของผม และคืนนี้รวมไปถึงอีก2-3 คืนจากนี้ ผมคงต้องอาศัยห้องเพื่อนอีกตามเคย แม้ว่ามันจะเต็มใจให้อยู่ด้วยก็เถอะ แต่ผมไม่อยากรับเป็นน้ำใจอะไร มันจะค้ำคอกันต่อไปภายหน้าเปล่าๆ

ค่ำมากแล้ว ยอดขายวันนี้ก็พอรับได้ แต่ตัวทอปไม่ได้ออกโรงเลย ที่ขายได้ส่วนใหญ่เป็นเด็กๆ มากกว่า
ผมยืนฟังเสียงคนจอแจ เสียงอากาศโหวกเหวก รู้สึกท้อขึ้นมาดื้อๆ และก็เริ่มเอนไปทางคำถามจากแม่แล้วว่า ผมจะทำไปทำไม คำตอบมันดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่จับต้องได้ยากเหลือเกิน

ผมทำ ก็เพราะผมมีความสุข

“ขอโทษครับ อันนี้ต้นอะไร?” ผมหันไปตามเสียงทักถาม หน้าแผงวางต้นไม้เล็กๆ ในหลืบซอยแห่งหนึ่งของโครงการจตุจักร

“แคคตัสนี่แหละครับ สายพันธ์แมมมิลาเรีย อันนี้แมมขนนกสีขาวครับ ไม่มีหนาว ลองกุมๆ หัวเค้าได้”

“อ่อ”
“แล้วจะโตเยอะมั้ย มีดอกรึเปล่า”

“มีครับ ต้นนี้เค้าเคยให้ดอกมาแล้วด้วยนะ สีชมพู หายากนะครับ”

“อ่อ งั้นก็แพงสิ”

“ลูกค้ามองไว้งบประมาณไหน ผมจะได้แนะนำถูก ถ้ากลัวแพงล่ะนะ”

“จริงๆ ก็ไม่ได้กลัวแพง แต่ไม่อยากได้แบบราคาสูงแล้วไม่คุ้ม”

“จะเอาไปขายต่อหรอครับ งั้นหาอย่างอื่นดีกว่า”

“ทำไมล่ะคุณ”
“ผมจะซื้อไปเลี้ยงเองหรือขายต่อมันก็เรื่องของผมไง ขายก็ขายมา ขายแล้วต้องตามติดชีวิตมันนี่คุณจะมีเวลาพอหรอ ตลกแล้วเนี่ย คุณยังเลี้ยงขายเลย”

“จริงๆ ก็เรื่องของลูกค้า”
“แต่ถ้าจะเอาแมมไปขายต่อ คุณไม่น่าจะได้กำไรเท่าไหร่หรอกครับ”
“เค้าโตช้าหน่อย ชอบแดดจัดๆ แต่น้ำไม่ต้องเยอะ ถ้าตัวไหนออกดอกแล้วก็จะให้อยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่ให้ดอกสีขาว เป็นไม้ที่ใครๆ ก็หาได้”
“แต่ขนนกขาวตัวนี้ ให้ดอกสีชมพู มันหายาก”
“ถ้าคุณชอบ อยากเอาไปเลี้ยงให้คุณรู้จักรักต้นไม้ ผมก็ขายอยู่แล้ว”
“แค่อยากจะเตือน ว่าถ้าคุณรักแล้ว คุณจะไม่อยากขายมัน แล้วคุณก็เจอเรื่องตลกๆ ซะเอง”
“ผมถึงได้ถามว่า จะเอาไปขายหรอ จะได้แนะนำตัวอื่น”

“พูดมากชิบหาย”
“เอาตัวนี้ ขนขาวดอกชมพูนี่แหละ”

“ขนนกครับ”

“อื้อๆ ขนนก เท่าไหร่”
“อย่าบวกเยอะนะ ผมไม่ได้เอาไปขาย ผมเอาไปเลี้ยง”

“ผมไม่ขาย”

“เอ่าเห้ย”

เป เป ชั้นได้แล้วนะ แกได้รึยัง

ลูกค้าหันไปตามเสียงเรียก เขาหันมองผมอีกรอบ ขมวดคิ้วใส่แล้วก็สบถคำด่าไว้ ก่อนจะก้าวยาวๆ กลับไปหาคนที่เรียกเขา

กวน ส้น ตีน

ผมถูกด่า ขายของก็ไม่ได้ แต่ผมกลับยืนอมยิ้ม


“เฮ้ยจุน  ขายดีหรอวะ หน้าอิ่ม”

“บ้า ขายไมได้ยังเสือกโดนลูกค้าด่าว่ากวนตีนอีก”

“เอ๋า!”
“แล้วเค้าด่ามึงทำไม”

“ก็ กูไม่ขายไม้ที่เค้าอยากซื้อ”

“เอ๋า แล้วไมมึงไม่ขายไป หาตังค์ไม่ใช่หรอ”

“ก็  กูกวนตีน”

“เออว่ะไอ้ห่านี่ มึงแม่งกวนตีน”

 
ถ้าคิดจะลงทุน หรือเก็งกำไร ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ข้อห้ามก็คือ...ห้ามรัก




cut



สวัสดีค่ะ...แถ่นแท้นนนน เรามาต่อเรื่องใหม่แล้ว แม้ว่าคนอ่านหลายคนจะยังไม่รู้เลยว่าพี่โป๊ะน้องวิน พี่นำน้องธามจบลงแล้ว
ซีรีส์สามสมภารกินไก่ที่เขาเลี้ยงไว้เองปิดฉากได้ระยะหนึ่งแล้วค่ะ ใครไม่เคยอ่านก็ลองหากันอ่านดู เป็นเรื่องฟีลกู้ดทั้งนั้นค่ะ กล้าสาบาน

เรื่องใหม่นี้ ถือเป็นเรื่องใหม่ของเราจริงๆ เพราะไม่มีตัวละครก่อนหน้ามาเป็นนักแสดงสมทบอีกแน่นอนค่ะ  (ใครคิดถึงพวกเขาก็ย้อนอ่านเรื่องเก่าเอานะคะ)

แนวเรื่องของ โฮม*เมท ก็ตามชื่อเลยค่ะ
แน่นอนว่าต้องอบอุ่น อวลไปด้วยอ้อมกอดของคนที่มองไม่เห็น เอ๊ะ? ไม่ใช่สิ อวลด้วยความอบอุ่นจากคนในชายคาเดียวกันสิคะ ชื่อเรื่องปูมาขนาดนี้แล้ว

ฝากติดตามเรื่องใหม่ของเราด้วยนะคะ
จะพยายามมาอัพเดทแต่ละตอนอย่างสม่ำเสมอค่ะ

ขอบคุณค่ะ

กะจิ๊ดริด 



หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า (Inro)
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 12-08-2017 01:56:29
อย่างนี้แปลว่า นายเป(ล) ก็ออกจากบ้านแน่แล้วสินะ

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า (Inro)
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 12-08-2017 06:51:04
เปนการพบเจอกันของพระนายที่น่าประทับใจมากกกกก
 :mew5: :mew5: :mew5:

น้องเปดูน่าจะเฮี้ยวพอดู
ส่วนฝั่งพี่จุนก้ดูไม่เบา
สมน้ำสมเนื้อจริงๆค่ะคู่นี้

จะรอตอนต่อไปนะคะ
ปล.รอรวมเล่มพี่นำ พี่โป๊ะด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า (Inro)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 12-08-2017 13:13:52
ท่าทางจะได้อ่านการปะทะฝีปากและความกวนตีนอย่างสนุกสนานแน่เลยค่ะ555 รออ่านต่อๆ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า (Inro)
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 13-08-2017 00:49:41
พ่อค้ากับลูกค้าคู่นี้จะตีกันตายก่อนจะได้กันไหม 55555 :serius2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า (Inro)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-08-2017 17:57:30
กวนกันไปมาสินะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า (Inro)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 18-08-2017 18:43:12
เรื่องใหม่ๆ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 15-09-2017 23:54:20
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid



Home*Mate [1]


“พ่อ แม่ เปไปแล้วนะ”

“อื้อ ขับรถกันดีๆ นะลูก เป ป๋อม ถึงบ้านแล้วโทรบอกพ่อด้วย”

“ค่ะ อยู่นี่กันดีๆ ล่ะ แล้วเสาร์ – อาทิตย์หน้า มาหาใหม่”

“เหนื่อยก็ไม่ต้องขับรถกันมาบ่อยๆ หรอกลูก”​

“เปมันไม่เหนื่อยหรอกแม่ วันๆ ไม่ได้ทำอะไร ป๋อมนี่สิเหนื่อยตัวแทบขาด”

ผมมองหน้าพ่อกับแม่แล้วก็กรอกตาใส่พี่สาวที่มักเหนื่อยกว่าทุกคนบนโลกเสมอ เจ๊ป๋อมเป็นแบบนั้น เป็นคนที่ไม่ว่าภาระไหนของสังคม ก็จะอนุมานว่าจะทำให้เจ๊เหนื่อยขึ้นเสมอ

ยกตัวอย่าง การอยู่บ้านที่กรุงเทพกับผม ก็บ่นผมว่าต้องเหนื่อยดูแลผม ไหนจะทำงานบ้านอีก (เรามีแม่บ้านที่จ้างไว้) เหนื่อยเดินทาง (เจ๊ก็ไปทำงานของเจ๊เหมือนเดิม ผมไม่เคยขอให้ไปส่งสักครั้ง) เหนื่อยดูแลผม  (ข้อนี้ยืนว่าเจ๊ป๋อมเหนื่อยมโนครับ ผมไม่เคยได้รับการดูแลจากพี่สาว บอกไว้ตรงนี้เลย)

“ไปๆ กลับได้แล้ว”
“เป ขับรถดีๆ ลูก”

“ครับพ่อ” ผมยกมือไหว้ลาพ่อที่อ้อมแขนมาโอบบ่าอย่างชินมือ เรายิ้มให้กัน แล้วผมก็ส่งยิ้มให้แม่ที่หันมองซ้ายขวาเพื่อดูว่าจะยัดอะไรใส่รถพวกผมได้อีก

“เอากล้วยไปอีกมั้ยป๋อม”

“ไม่เอาแล้วแม่ เท่านี้ก็กินไม่ทันแล้ว”

“ฝากเพื่อนก็ได้ลูก”

“ไม่เอาค่ะ” สิ้นเสียงห้วนสั้น เราผู้ฟังทั้ง 3 คนก็รู้กันว่า อย่าไปเซ้าซี้เจ๊เพิ่มอีก ไม่งั้นจะมาคุกว่านี้

“จ้ะ จ้ะ ไม่เอาก็ไม่เอา”
“กลับกันเถอะลูก พ่อกับแม่อยู่ได้”​ แม่พูดแบบนี้หลายรอบแล้วครับ แต่บอกตามตรง ผมไม่อยากเชื่อหรอกว่าอยู่ได้

คือ...แม้ว่าตัวบ้านมันจะใหญ่โต แข็งแรง สไตล์บ้านทรงไทยประยุกต์ ซึ่งสร้างใหม่ทั้งหลัง รอบรั้วบ้านก็เป็นแปลงผัก สวนผลไม้ บ่อปลา และโรงเลี้ยงไก่ แต่ 30 กว่าปีที่พ่อทำงานที่กรุงเทพ และพาแม่ไปใช้ชีวิตชาวกรุงที่นั่น น่าจะทำให้แม่ต้องใช้เวลาปรับตัวกับที่นี่มากกว่า 1 เดือนนะ แต่นี่ พ่อกับแม่เพิ่งลงมติว่าจะกลับมาอยู่อ่างทองได้แค่ 2 อาทิตย์เอง

ผมเป็นห่วง และก็คิดถึง...มากด้วย

“เป ไปดิ เลิกร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวถึงบ้านมืดแล้วรถติดอีก อารมณ์เสีย”

“รู้แล้วน่า”

“แกก็รู้แล้วทุกเรื่องนั่นแหละ”

“พูดมาก” ผมค่อนขอดพี่สาวตัวเองแล้วก็ขึ้นรถ ทำหน้าที่สารถีพาพี่สาวที่ห่างไกลคำว่าแสนดี.... กลับบ้าน


บรรยากาศรอบตัวผมในบ้านนี้เปลี่ยนไป
ทุกอย่างเงียบขึ้นมาก แม้ว่าผนังกำแพงจะเป็นปูนแผ่นเดิมก็ตาม แสงสว่างในบ้านจากหลอดไฟดวงเดิมไม่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นได้เท่าตอนที่แม่เป็นคนเปิดไฟเรียกความสว่างให้

ทีวีหลังเดิมแท้ๆ  แต่ทำไมเสียงไม่ชัด ภาพไม่คม ละครที่เคยดูแล้วขำไปพร้อมกับพ่อ คืนนี้ก็ไม่สนุกเหมือนเดิม

“เจ๊ป๋อม”

“อืม ไร” พี่สาวผมปิดตู้เย็นเต็มแรงแขน ยืนพักขาพิงตู้เย็นระหว่างรอผมพูด ช่างเป็นท่าดื่มน้ำที่แมนมาก แมนกว่าผมก็เจ๊ป๋อมนี่แหละ

“อยู่คนเดียวได้ป่าว”

“ทำไม แกจะไปอยู่กับพ่อแม่หรอ?”

“ก็อยากดูว่าเค้าอยู่กันยังไง ห่วง” ผมบอกความจริงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งไม่ได้พูด

“เป”
“ชั้นก็ห่วงเว้ย แต่เราโตแล้ว แกโตแล้ว ชั้นก็โตแล้ว”
“ชั้นแก่แล้วด้วย 34 แล้วนะ  แกเองก็ด้วย ปีหน้าก็ 26”
“เข้าใจใช่มั้ยว่าพี่จะพูดอะไร”

“ก็รู้ แต่ก็อดห่วงไม่ได้นี่”
“แล้วเนี่ย เหม็นขี้ไก่แบบนั้นพ่อจะทนได้รึเปล่า แม่เองก็เถอะ ต้องไปก้มๆ เงยๆ เก็บผักสวนครัวมาทำกับข้าวอ่ะ ปวดหลังแย่”

“ห่วงแค่นี้?”
“แกก็เห็นว่าญาติเค้าแวะเวียนมาดูแลถี่ขนาดนั้น ไอ้ผักที่ปลูกๆ นั่นคงไม่โดนเด็ดมากินหรอก”

“แต่”

“อะไรอีก พูดมาให้หมดไอ้ลูกหมา”

“แต่เปไม่อยากอยู่กับเจ๊ป๋อมนี่”
“แม่งดุกู”

“ไอ้บ้า”
“ไม่ทำตัวเรี่ยราดน่าเตะ ใครจะไปเตะแก”
“หิวมั้ยเนี่ย อุ่นแกงแม่กินได้นะ”

“ไม่อ่ะ เจ๊ป๋อมอ่ะ หิวป่าว เดี๋ยวทำให้”

“ไม่อ่ะ”
“นอนเถอะ”

“อืม”​

นี่เพิ่งทุ่มกว่า บ้านในกรุงเทพเกือบชายขอบของผมกลับเงียบสงัดสิ้นดี

ผมรู้สึกว่า…ที่นี่ไม่ใช่บ้าน


Home*Mate


ชีวิตจำใจสันโดษของผม เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้นแล้วครับ ตั้งแต่ต้องอยู่กับเจ๊ป๋อมสองคนที่บ้าน เสาร์อาทิตย์ไปเจอหน้าพ่อกับแม่ที่อ่างทอง ซึ่งก็ไปบ้าง ไม่ได้ไปบ้าง จนตอนนี้ลดความถี่เป็นไปหาเดือนละครั้งแล้ว ผมเข้มแข็งขึ้นมาก อย่างน้อยเวลามองหมอข้าวก็เป็นหม้อข้าว ไม่ได้เป็นหน้าแม่

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในทางเลวร้ายก็มีครับ สาเหตุคือพี่สาวผมเอง คนเดียวล้วนๆ เลยครับ

“เป!”
“บอกแล้วว่าอย่าเอามาอะไรมาเกะกะทางเดิน นี่ของเล่นอะไรของแกอีก”

“เลโก้ไง ก็ต่อมาแต่ไหนแต่ไร”

“แล้วตรงนี้มันใช่ที่วางของเล่นแกมั้ย?”

“เจ๊ป๋อม นี่ไม่ใช่ของเล่นเปนะ นี่งาน”

“งานอะไร แกเป็นเเซลซัพพอร์ต แกไม่ได้เป็นนักออกแบบ หรือสถาปนิก ทำไมแกต้องมีเลโก้โมเดลอะไรบ้าบอนี่เต็มบ้านชั้นไปหมด”

“เออๆ เดี๋ยวเก็บ”
“ไปทำงานได้แล้ว สายแล้วป่ะเนี่ย”

“เก็บเลย ตอนนี้เลย”

“เดี๋ยวเก็บไง”

“เดี๋ยวของแกคือเมื่อไหร่ เก็บให้ชั้นเห็นเดี๋ยวนี้เลยเป”

“ไม่ เจ๊ไม่ใช่แม่ อย่าสั่ง”

“อ่อ”
“อ้อ ชั้นสั่งอะไรไม่ได้เพราะไม่ใช่แม่ เออ ใช่ ชั้นไม่ใช่แม่แก แต่นี่บ้านชั้น”

“บ้านเปเหมือนกัน”

“บ้านชั้น”
“ชื่อเป็นของชั้น พ่อโอนให้ชั้น เพราะฉะนั้น แกมาอาศัยบ้านชั้นแกก็ต้องทำตามที่ชั้นสั่ง เก็บของ”

“ไม่”

“ไอ้กาฝาก เก็บของ”

“.......” ผมหยุดมองหน้าพี่สาวทันทีที่ได้ยินคำแสลงหู เราเป็นพี่น้องกันครับ พี่น้องแท้ๆ เลย ผมไม่ใช่เด็กเก็บมาเลี้ยง ไม่ใช่เด็กอุปการะ แล้วก็ไม่ใช่ลูกของน้องสาวแม่พี่สาวพ่อที่ท้องกับหนุ่มไหนแล้วถูกเสือกไสกลับมาคลอดลูกก่อนหนีไปชุบตัวด้วยครับ

แต่ที่คำนี้แสลงหู สะเทือนใจ ก็เพราะเจ๋ป๋อมมันล้อผมมาตั้งแต่เด็ก และที่เอามาล้อได้ก็เพราะว่าผมไม่เหมือนพ่อแม่อย่างที่เจ๊ป๋อมโคตรจะเหมือน

และความเป็นลูกสาวคนโต พ่อก็รักชิบหาย แม่ก็ตามใจทุกอย่าง พอผมเกิดมาเป็นน้องชายยัยเอาแต่ใจคนนี้ ผมก็ตกอยู่ในสถานะทาสของเจ๊โดยไม่มีสิทธิปฏิเสธ

“บอกหะ”

“ไม่โว้ยยยยยยย” ผมตะโกนใส่หน้า เตะเลโก้ให้แม่งกระจายต่อหน้าต่อตาพวกบ้าระเบียบ ยืนส่งคางกวนส้นตีนสายตาเจ๊ป๋อมที่มองผมอึ้งๆ

ก็จะไม่อึ้งได้ยังไงล่ะครับ ผมไม่เคยขัดใจเจ๊เลย ไม่ใช่ว่ายอม แต่แม่จะมาไกล่เกลี่ยให้แยกย้ายกันไปเสมอ

“บ้านป๋อมใช่มั้ย ได้”
“งั้นอยู่ไปเลย อยู่จนซากกระดูกแม่งป่นปนกับฝุ่นในบ้านไปเลย เปไม่อยู่แล้ว!”  สิ้นคำที่ปนเปื้อนด้วยอารมณ์ของผมเอง เจ๊ป๋อมที่หน้าซีดเผือดก็เซถอยหลังไปนั่งโซฟา มือทาบอกบอกอาการตกใจจัดๆ แต่ผมไม่สนหน้าไหนแล้ว กดขี่กูนักใช่มั้ย ได้! กู ไป เอง


วันจันทร์ที่เป็นต้นสัปดาห์ เจ๊ป๋อมคงได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ผมล่ะอยากรู้เหลือเกินว่าพ่อกับแม่จะบอกว่าไง ตอนที่พี่สาวผมโทรบอกพวกเขาว่า “พ่อ แม่ ป๋อมทำน้องหาย”

นี่แหละครับ ที่มาที่ไปของการเป็นคนไร้บ้านของผม


Home*Mate


“เป แกนี่ยังไงวะ เอาไงเนี่ย” ยอดอ ย่อมาจากยาดา เพื่อนซี้ถามขึ้นระหว่างที่ผมกำลังนอนเหยียดตัวอยู่ในโซฟาในคอนโดของมัน

“ก็ไม่อะไรนี่”

“แต่ชั้นเริ่มอะไรแล้วเนี่ย แกกลับบ้านเถอะว่ะ”

“ทำไม  เรากินเปลืองหรอ?”

“ไม่เปลืองหรอก แต่ไม่อยากให้พี่แกเป็นห่วง”

“ป้าป๋อมนั่นไม่ห่วงเราหรอก ดาก็รู้” ผมคลายกังวลให้เพื่อนซี้ เธอชื่อยาดาครับ แต่เราชอบเรียกชื่อย่อกันและกันในกลุ่มเรียน

“จะไม่ห่วงได้ไง หมดเปแล้วเจ๊แกจะบ่นใคร ป่านนี้ปากเน่าแล้วมั้ง”
“ไปๆ กลับบาน แกอยู่ที่นี่มาจะเดือนนึงแล้วนะ”

“เออน่า เดี๋ยวกลับเอง”

“เดี๋ยวของแกนี่เมื่อไหร่วะ?” ผมถูกถามแบบนี้อีกแล้ว ทำไมหรอ? ผมจำเป็นต้องบอกตารางชีวิตของผมให้คนอื่นรู้ และทำตามแผนเพื่อให้คนอื่นพึงพอใจด้วยหรอ?

“ทำไมวะ?” ผมถามเพื่อนอย่างจริงจัง ลุกขึ้นนั่งบนโซฟามองยาดาที่ตาก็จ้องโทรศัพท์ในมือ ส่วนปากก็พูดอยู่กับผม มึงใส่ใจกูมากว่ะเพื่อน

“เดี๋ยวแฟนกูมา นั่นล่ะ ก็รู้ป่ะ?”

“อ่อ”
“งั้น...มาเมื่อไหร่ก็บอกกูไว้สิ กูจะได้ไปค้างบ้านเพื่อนคนอื่น”

“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่ากูจะติวกับแฟนกูเมื่อไหร่ป่ะวะ?”
“ประเด็นคือมึงมีบ้าน มึงก็ควรกลับบ้าน”
“เป มึงไม่ใช่คนที่ไม่มีที่ให้ไป ไม่มีที่ให้กลับ ไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยวนะ”
“มึงอย่าดราม่าว่าบ้านแตก หรือพ่อแม่ลอยแพดิวะ”
“ก็จริงที่อยู่กับพี่แล้วมึงอึดอัด แต่มึง..เค้าก็จู้จี้เพราะเป็นพี่น้องกันนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่คนใกล้ชิดกัน เค้าจะปากเปียกปากแฉะบ่นให้มึงมีระเบียบทำไม”

“ดา....มึงอย่ารีบแก่ได้มั้ย อย่าเพิ่งบ่น”
“เอาเป็นว่า เดี๋ยวกูไปหาที่อยู่ที่อื่น”

“ไม่อ่ะ มึงต้องกลับบ้าน กูถึงจะสบายใจ”

“ดา....”
“กูจะบ้ากลับไปได้ไง กูออกมาเอง กลับไปก็เสียฟอร์มแย่”

“ไม่เสียหรอก เจ๊ป๋อมบอกจะมารับ”

“หา? มึงรายงานพี่กูทุกอย่างเลยหรอ?”

“เออสิ ถ้าเรื่องถึงพ่อแม่มึงเดี๋ยวก็ยุ่งใหญ่”
“เก็บเสื้อเก็บผ้าได้แล้ว อีกแป๊บพี่มึงก็มา”

อื้ออ นี่กูอายุเท่าไหร่วะ?
โกรธพี่สาวแล้วหนีออกจากบ้าน
มาอยู่กับเพื่อน เพื่อนก็รายงานลับหลังให้พี่รู้ แล้วพี่ก็มารับกลับบ้าน
ชาตินี้กูจะได้โตมั้ย?
ผมได้แต่พ้อตัวเองอยู่เล็กๆ แต่ก็นั่นล่ะ คนที่จะตอบได้ว่าผมจะโตขึ้นเมื่อไหร่ ก็คือตัวผมเอง


บรรยากาศในรถไม่ได้แย่นัก เจ๊ป๋อมมองหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ใส่ความบูดบึ้งมาด้วย ผมก็เลยไม่อารมณ์พูดเพิ่ม เสียงเดียวในรถคันนี้ก็คือเสียงเพลงจากวิทยุ อ้อ มีเสียงแอร์คลอด้วยนิดหน่อย เสียงรถคันข้างๆ เสียงบีบแตร เสียงมอเตอร์ไซค์ที่ไม่รู้จะรีบไปจ้องไฟแดงที่สี่แยกทำไมก็มีแทรกซึมเข้ามาเหมือนกัน

“อ่ะ อ้าว...ไม่กลับบ้านหรอเจ๊ป๋อม” ผมทักถามขึ้นเมื่อเห็นว่ารถคันนี้ไม่ได้มุ่งไปยังถนนที่จะพาผมกลับบ้าน

“ก็กลับอยู่นี่ไง” พี่สาวผมตอบเสียงแบนๆ ฟังดูไร้อารมณ์ แต่ผมไม่กระจ่างไปด้วยหรอกครับ

“แล้วไปไหน นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้าน”
“เฮ้ย เปจำทางกลับบ้านได้นะ ทางนี้ไม่มีอยู่ในตำรา”

“เออน่า”

“เออน่าบ้าอะไร?” ผมสะบัดเสียงใส่อย่างอารมณ์เสีย ทีตัวเองล่ะพูดได้ เออน่า เดี๋ยวน่า เดี๋ยวก่อนน่า ไว้ก่อนน่า ลองเป็นผมพูดหรือผลัดเวลาแบบนี้สิ โดนด่าจนทะเลาะกันเลยเถิดแน่ๆ

“เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
“เนี่ย ดูทางไว้”
“จะได้ไปไหนมาไหนถูก”

ผมรู้สึกได้ว่ามันแปลกๆ ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาจำทาง แต่มันก็ไม่ได้ซับซ้อนหรอกครับ เราออกจากทางด่วนตรงชานเมือง เจ๊ป๋อมพามุ่งหน้าไปตามเส้นทางรถไฟฟ้าที่ทอดตัวเข้าสู่...จังหวัด...สมุทรปราการ

ผมขมวดคิ้ว เพ่งสายตามองดูป้ายที่ปากซอยที่พี่สาวเลี้ยวรถเข้ามา สุขุมวิทปลายๆ แล้ว ปากซอยตรงกับบันไดบีทีเอสพอดี เท่านี้ก็พอจะรู้แล้วครับว่าถูกพามาที่ไหน

ถ้าผมไม่ได้คาดเดาอะไรผิดไป ผมกำลังถูกนำมาปล่อยไว้ที่คอนโด


“ลงมาดิเป” ไม่ลงได้มั้ยล่ะ? แม่งเอาผมมาทำไม หรือว่าเจ๊ป๋อมนัดใครไว้ อาจจะเป็นคนที่จะมาเช่าก็ได้...มั้ง

คอนโดนี้ ที่บ้านผมซื้อไว้เมื่อปีที่แล้วครับ ความตั้งใจแรกที่ซื้อคือให้พี่สาวมาอยู่ เพื่อให้เดินทางไปทำงานได้สะดวก ออฟฟิศเขาอยู่แถวๆ นั้นแหละ แต่อสังหาฯหลังนี้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพราะเจ๊ป๋อมย้ายงาน ไปได้ดิบได้ดีในที่ใหม่ ซึ่งเดินทางจากบ้านใกล้กว่า คอนโดห้องนี้ก็เลยร้างคน

“มาดิเป” เสียงห้าวเรียกสติผมอีกรอบ จากที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ระหว่างมองต้นไม้ในโครงการ พื้นที่จอดรถ สระว่ายน้ำ และฟิตเนส ผมก็ต้องดึงสติกลับมาอยู่ที่หน้าพี่สาว ที่รวมความละม้ายคล้ายพ่อกับแม่ไว้ในหน้าเดียวได้อย่างลงตัว
“เนี่ยคีย์การ์ดลิฟท์ เข้าตึก เข้าโครงการ”
“ส่วนนี่คีย์การ์ดห้อง มี 2 ชุด เก็บไว้คนละชุด”
“ของอื่นของเป ค่อยทยอยเอามาก็แล้วกัน เสาร์อาทิตย์นี้ก็ได้”

“……………”

“รู้เรื่องป่ะเนี่ย?”

“นี่ชีวิตใครวะ” ผมโพล่งถามขึ้นมาเป็นคำถามแรก
“ป๋อมจัดแจงอะไรๆ หมดเนี่ย ใครขอ และขอใครรึยัง”

“ก็เปไม่อยากอยู่บ้านไม่ใช่หรอ?”
“ก็นี่ไง ก็อยู่คนเดียวไป จะนอนกอดขยะรกๆ จนเน่าตายก็ไม่มีใครเอาตีนแซะแกขึ้นมา ไม่ชอบหรอ?” ยัยคนโหดร้าย ผมมองหน้าพี่สาวระหว่างยืนอยู่ในลิฟท์ อยากตะคอกถามกันแรงๆ ว่านี่กูเป็นน้องมึงลืมไปแล้วหรอ? แต่คงไม่ถามออกไปหรอก ผมรู้ว่ายัยจิตโหดนี่จะตอบว่าอะไร

เสียงตึ๊งดังขึ้นให้พอรู้ว่าเราถึงที่หมายกันแล้ว ผู้หญิงไม่ใยดีการมีน้องชายเดินนำหน้าผมไปฉับๆ แต่ก็มีอาการเหลียวมองกลับมาเมื่อไม่ได้ยินเสียงก้าวเดินของผม พอผมดื้อขึ้นนิดนึงด้วยการไม่เดินตามคำสั่งพยักหน้าเรียก ยัยคนนี้ก็กดคางลงนิด เลิกคิ้วขึ้นหน่อย  เท่านี้ผมก็รู้แล้วว่าต้องรีบเดินไปหาครับ

“ห้องนี้ล่ะ”
“ดูดิ ก็น่าจะอยู่ได้สบายๆนะ ไม่แคบหรอก” ยัยโหดพูดพลางดันประตูให้เปิดอ้าให้เห็นห้องรับแขกได้สัดส่วน

ครับไม่แคบ ผมจำคอนโดนี้ได้ พวกเรามาดูห้องตัวอย่างด้วยกัน เลือกแปลนห้องด้วยกัน เลือกทำเล เลือกทิศทางในการหันหัวนอน แม่กับพ่อผมรอบคอบจะตาย ยิ่งลูกสาวคนเดียวจะแยกมาอยู่คนเดียวยิ่งต้องพิถีพืถัน แต่ความพิถีพิถันนี้ พวกเขาไมได้ตั้งใจเผื่อแผ่มาให้ผมหรอกครับ

เพราะฉะนั้น สีวอลเปเปอร์ที่ปูไว้ สีผ้าม่าน สไตล์เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวทั้งหลายที่พากันไปซื้อหาและสั่งทำมา .... มันจึงเหมาะเจาะจะเป็นห้องผู้หญิง

ซึ่งกูอยู่ไม่ได้เว้ย!!

“เออว่ะ ก็ลืมไป” เจ๊ป๋อมหัวเราะและเย้ยด้วยเสียงจากลำคอ
“เอาเถอะ อยากเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนเอา”
“เงินแต่งห้องก็คาอยู่ในบัญชีผ่อนกับแบงก์”
“ปกติชั้นกับพ่อจะโอนเงินค่างวดเข้าคนละครึ่ง”
“แต่ชั้นรู้ว่าเงินเดือนแกคงมาผ่อนคอนโดไม่ได้”
“เอาเป็นว่า จะผ่อนให้เหมือนเดิม ส่วนค่าใช้จ่ายในการประทังชีวิตเป เปจัดการเองก็แล้วกัน”

“…………..”

“แต่งห้องอย่าเกินงบล่ะ”
“เลือกให้ดีก่อนค่อยทำไปทีเดียวเลย”
“แต่อย่าบิวท์อินอะไรเยอะนักนะ แกมันขี้เบื่อ เดี๋ยวก็อยากเปลี่ยนนั่นนี่ เน้นเฟอร์ลอยเอาดีกว่า”
“ได้นะ”

“ป๋อมจะทิ้งเปหรอ?”
“ให้อยู่นี่คนเดียวหรอ”
“แล้วบ้านล่ะ”

“อยากกลับก็กลับได้นะ บ้านของเรา” เสียงนางฟ้าแม่งชวนให้รู้สึกแปลกๆ ว่ะ
“แต่ต้องอยู่ตามระเบียบของชั้น แกอยู่ได้มั้ยล่ะ?” นี่สินะเสียงจริงของยัยคนนี้

ผมเองก็อยากสู้ศึกนี้นะครับ ผมชอบอยู่บ้าน เพราะมีบริเวณให้ทำนั่นนี่เยอะไปหมด ห้องนอนก็ชอบทุกมุมรักทุกรู จู่ๆ จะให้ย้ายออกโดยไม่ร่ำลาเลย ผมไม่อยากยอมหรอก แต่...บ้านนั้นหมดความหมายลงไปเยอะมาก เมื่อไม่มีพ่อกับแม่ ครั้นจะให้ฝืนตัวเองให้ขยับตามกรอบของยัยพี่สาวใจโหดนี่ ผมก็อึดอัด ที่ผ่านมา ผมได้ทำตามใจเพราะผมมีแม่เป็นเกราะ มีพ่อเป็นกำแพงให้ แต่พอต้องใช้ชีวิตกันเฉพาะพี่น้องแล้ว สักวันต้องมีใครได้เลือดสาด และคนคนนั้นน่าจะเป็นผม

เอาล่ะ ... ผมจะคิดซะว่า นี่เป็นฤกษ์งามยามดีที่ผมจะได้โตขึ้นก็แล้วกัน


“โอเค อยู่ก็ได้”
“เสาร์นี้ช่วยขนของมาให้หน่อยแล้วกัน”

“โอเค”
“งั้น...ชั้นไปนะ” ปากก็เอ่ยลา แต่ขากลับไม่ก้าวออกจากห้องไป

“………….” ผมจะได้อยู่คนเดียวจริงๆ หรอ

“วิธีเซ็ทรหัสประตูมีนะ แต่จำไม่ได้แล้ว ถามนิติเอาก็แล้วกัน”
“เช้า-เย็น มีรถเซอร์วิสของโครงการด้วย แต่ไม่แน่ใจว่ากี่รอบแล้วก็เวลาไหน”
“แล้วก็ ทุกวันที่1 กับ 15 ลงคิวแม่บ้านทำความสะอาดห้องด้วยล่ะ”
“เปก็ต้องรู้ตัวเองว่าแพ้ฝุ่น อย่าหมักหมม”

“…………”  ผมไม่พูดอะไร แต่พยักหน้ารับ แต่พอพี่ป๋อมจะออกจากห้องไป ผมกลับรีบไปคว้าประตูเอาไว้
“เจ๊ป๋อม”
“เราไม่ได้เกลียดกันนะ ใช่มั้ย หรือเจ๊ป๋อมเกลียดเปจริงๆ”

“บ้า!”
“แกเป็นน้องชายชั้นนะ เราจะเกลียดกันได้ยังไง”
“แต่เปก็รู้ ใช่มั้ย?”
“ยิ่งโต เราก็ยิ่งต่าง”
“ยิ่งไม่มีพ่อกับแม่มาห้ามปราม วันนึงชั้นอาจจะฟาดหัวแกด้วยกระทะร้อนๆ ก็ได้”
“ชั้นไม่ใช่พี่ที่ดี ชั้นรู้ แต่ชั้นก็รู้ว่าน้องชั้นเป็นคนดี และมันเอาตัวรอดได้”
“อยู่ที่บ้านคนเดียว ชั้นก็กลัว ไหนจะกลัวขโมย ความเงียบ ผี สัตว์ประหลาดๆ อีก แต่ชั้นก็จะหาวิธีอยู่ให้ได้ โดยไม่ต้องให้น้องชายต้องเป็นห่วง”

“บ้านเรามีวงจรผิด แล้วมันก็เชื่อมกับมือถือด้วย เปจะคอยตรวจสอบนะ”
“เจ๊ป๋อมก็ กินเยอะๆ ด้วย ไม่มีเปอยู่ด้วย ใครจะคิดเมนูให้ป้าเค้าทำ”

“อืม รู้แล้ว ชั้นจะปาร์ตี้บ่อยๆ ให้ทีมมาทำงานที่บ้านด้วย น่าจะสนุก”

“โอเค งั้น เราแยกกันนะ”

“อืม ใช้ชีวิตซะนะ เปล”

ผมชื่อเล่นชื่อเปล เพราะชอบนอนเปล ผมไม่เคยหลับในอ้อมกอดของแม่หรือตักของพ่อ ผมติดเปลมาตั้งแต่เด็ก แม่ก็เลยให้ชื่อเล่นว่าเปล แม่อยากให้ผมแข็งแกร่งและอ่อนโยนจนสามารถโอบอุ้มชีวิตใครสักคนให้มีความสุขได้ในวงแขนผม

แต่สิ่งที่แม่กับพ่อไม่เคยรู้ก็คือ ผมเติบโตขึ้นมาโดยสนแค่เพียงว่าจะกอดตัวเองให้หลับลงอย่างปลอดภัยในอ้อมกอดของตัวเองได้อย่างไรบ้าง 


Home*Mate


“จุน...ลูก”
“จุน”
“ค้ำจุน”


“ครับแม่”

“เตรียมของเรียบร้อยรึยังล่ะ?”

“ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ แม่ก็เช็คให้เองไม่ใช่หรอ?”

“เอ้อ นั่นสิ”
“แล้วเด็กๆ ล่ะ จะไปหาที่ทางให้อยู่ได้แน่หรอลูก แม่ว่าไม่ต้องพาไปหรอก”

“ไม่ได้ไม่ได้”
“ยังไงก็ต้องไปอยู่ด้วยกันครับ”

“เอาเถอะ อย่ารักมากจนเจ็บตัวล่ะ หัดเข็ดซะบ้าง”
“ไปลูก ทานข้าวเย็น พรุ่งนี้จะได้ไปแต่เช้า เดี๋ยวพี่เขาไปส่ง”
“เรานี่ก็น้า บอกแล้วบอกอีกว่าให้ไปอยู่บ้านป้า ก็ไม่เอา จะอะไรกันนักหนานะเด็กสมัยนี้ จะต้องยืนเอง เดินเอง ทำเองตลอด”
“มันก็ดี...แต่ถ้าฝืนหรือเร่งเกินไปจนเหนื่อยล้าถ่านหมด มันจะไม่จบไม่สวยเอานา”

“เถอะน่าแม่”
“ไปครับ กินข้าวกัน”

“เอ้า ก็ไปสิลูก ลงมาจากห้องสักที”

“ครับ ครับ” ค้ำจุนรีบรับคำ ด้วยทั้งหิวเพราะถึงเวลามื้ออาหารและไม่อยากให้แม่ต้องเจอประเด็นเป็นห่วงเพิ่ม มื้อเย็นนี้อาจจะเป็นมื้อสุดท้ายที่เขาได้กินข้าวกับแม่ ที่บ้านสวนนี้ บ้านที่เขาเกิดและเติบโตขึ้นมา


ค้ำจุนได้งานที่กรุงเทพ ซึ่งหากวัดระยะกันด้วยหน่วยกิโลเมตรแล้วล่ะก็ เขาต้องเดินทางไปกลับที่ทำงาน-บ้าน 200 กิโลกว่าๆ ต่อวันหากจะงกค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยไว้เป็นเงินเก็บเงินออม แต่สุดท้ายความงกก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความสะดวกสบายที่หอมหวลกว่ามาก จึงตัดสินใจเช่าอพาร์ทเม้นท์ หรือคอนโดมิเนียมที่ราคาสมเหตุสมผล สำหรับอยู่อาศัยในวันทำงาน

เขาเพิ่งตกลงเช่าอพาร์ทเมนท์ใกล้ที่ทำงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จึงเก็บของใช้ที่จำเป็นเพื่อขนไปเข้าไปอาศัยในอพาร์ทเมนท์นั้น
เจ้าของอพาร์ทเมนท์ไม่อยู่ แต่คนดูแลเป็นคนจัดการเรื่องเอกสาร แล้วก็รับเงินมัดจำไว้แล้วด้วย เขาเก็บรายละเอียดทุกอย่างไว้ในความทรงจำ เพื่อจะได้บอกกับแม่ได้ทุกซอกหลืบ แม่จะได้ลดความเป็นห่วงลงบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้หงุดหงิดที่แม่ถามทุกแอ่งรูของอพาร์ทเมนท์ ก็แม่เหลือเขาคนเดียว เรามีกันแค่ 2  คนแม่ลูก ถ้าไม่ให้แม่ห่วงเขา แม่จะห่วงใคร และถ้าไม่มีความห่วงจากแม่ เขาก็ไม่ได้รับความห่วงใยจากใครแล้ว

“ต้มตำลึงที่จุนชอบไง”

“อ่อ จริงๆ ก็ชอบหลายอย่างนะครับ”

“ก็วันนี้ตำลึงข้างรั้วมุมหมาเยี่ยวงามดี แม่ก็เลยจัดให้ รู้ว่าจุนชอบ วิตามินสูงนะลูก กินซะ”
“ไปอยู่คนเดียวก็อย่าลืมหาข้าวเช้ากินด้วย มันสำคัญ”

“ครับ”

“แม่ว่าแม่เช็คของในกระเป๋าอีกรอบดีกว่า”

“แม่ มันเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เชื่อจุนสิ”
“นั่งเถอะครับ ทานข้าวกัน”
“เดี๋ยวจุนไม่อยู่ แม่จะทานข้าวเหงาปากนะ”
“มื้อนี้มานั่งคุยกันให้นานๆ ดีกว่า”

“เออ ก็ดีเหมือนกัน”
“แต่แม่น่ะไม่เหงาหรอก เพื่อนบ้านเยอะไป”

“ครับ ก็ถ้าแม่ว่างั้นนะ”
“วันนี้ไม่มีน้ำพริกหรอแม่”

“อ้อ มีๆ ลืมเลย คาครกอยู่” แม่ค้ำจุนปัดมือไปมากลบความอาย หญิงวัยกลางคนที่แสนอดทนคนนี้ลุกไปตักน้ำพริกกะปิที่ตำไว้ในครกหินที่ใช้มาเป็นสิบๆ ปี เธอนำมาขึ้นโต๊ะอาหารทรงกลมที่มีเก้าอี้ประกบวางถึง 4 ตัว แต่ใช้งานจริงเพียง 2 ตัวเท่านั้น

มุมห้องครัวนี้มีหลอดไฟแขวนไว้เพื่อเพิ่มความสว่าง ลูกชายเธอเป็นคนซื้อหามาแล้วก็ออกแบบแขวนไว้ เหมือนที่เขาออกแบบบ้านหลังนี้เองแล้วก็จ้างผู้รับเหมามาสร้างให้เมื่อ 3 ปีก่อน

ใจจริง เธอไม่อยากให้ลูกชายไปทำงานไกลบ้าน แต่ลำพังค้าขายต้นไม้มันไม่พอต่อกำลังใจในการหาเงินของลูกชายเธอ ทั้งที่เราก็ไม่ได้อยู่กันอย่างลำบากหรืออดอยาก แต่ค้ำจุนก็ยืนยันว่าเขาต้องทำงานหาเงินให้มากกว่านี้มาให้แม่

คุณลวัลย์มองลูกชายซดต้ดจืดตำลึงหมูสับอย่างเอร็ดอร่อย เธอคอยตักผักสดสำหรับจิ้มน้ำพริกกะปิให้ลูกชายเคี้ยวแกล้มข้าวและแกง ความสุขเธอมีเท่านี้จริงๆ

“ทานเยอะๆ ลูก”

“แม่ด้วย”

“โอ้ย แม่อิ่มแล้วเนี่ย จุนทานเผื่อแม่ด้วยไม่ใช่หรอลูก”

ชายหนุ่มอมข้าวพร้อมกับอมยิ้มให้แม่มอง เขารู้ว่าเธอห่วง แต่เขาก็ต้องโต ต้องแข็งแกร่ง ต้องเป็นหลักที่แข็งแกร่งสำหรับแม่ ต้องดูแลแม่ให้ดีกว่านี้ ให้สมกับที่รับปากพ่อเอาไว้
จะมายึดอาชีพชาวสวนไปจนตายคงไม่ได้ ยังไงก็ต้องหางานทำเพิ่ม หาเงินเพิ่ม แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องเป็นชาวสวนไปด้วย


หวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นการเริ่มต้นที่ดีของนายค้ำจุน


tbc...


ห้องเก็บของ : สวัสดีค่ะ  กะจิ๊ดริดเองค่ะ
มาต่อตอนที่1  แล้ว อ่านแล้วอาจจะรู้สึกสั้นๆ เอ๊ะ? สั้นหรอ? ก็น่าจะสั้นแหละค่ะ
สืบเนื่องจากโปรแกรมไมโครซอฟท์ของเราหมดอายุ ก็เลยต้องพิมพ์ใส่โน๊ตเอา เราก็กะความสั้นยาวไม่ถูกค่ะ
แต่กำลังจะแก้ปัญหาเรื่องโปรแกรมแล้ว เพราะฉะนั้น ปัญหาเรื่องนี้ก็จะหมดไป แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้เรามาลงตอนที่2ได้เร็วขึ้นหรอกนะคะ มันก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยเหมือนกัน

อ่านตอนที่1 กันจบแล้ว เราว่าคนอ่านก็น่าจะเดาได้เลาๆ แล้วว่าเรื่องนี้ให้อารมณ์ไหน สีอะไร ฤดูอะไร เราก็หวังว่าเราจะคุมโทนแสงสีเสียงของเรื่องนี้ได้คงเส้นคงวาเหมือนกันค่ะ จะไม่ลากดราม่า ไม่พาไปตกหลุมให้ใครต้องเจ็บช้ำใจ

เรื่องนี้ใสๆ วัยไหนก็อ่านได้อย่างแท้จริงค่ะ

ฝากติดตามเรื่องราวของเปลและจุนกันต่อไปด้วยนะคะ
^,^

หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: greenoak004 ที่ 16-09-2017 00:04:07
 :give2: :give2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 09-10-2017 23:25:00
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid


Home*Mate [2]



ผมดูดน้ำจนกักไว้เต็มถุงแก้ม เหล่มองเพื่อนสาวที่ห้าวมากในบางทีอย่างไม่ค่อยพอใจมันนัก ยาดาเป็นคนช่างซักถามจนน่ารำคาญสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีคำตอบชัดเจนให้กับประเด็นไหนๆ อย่างผม

“ก็อย่างที่บอกไง”

“ได้ยินแล้วไง แต่ทำยังไงล่ะ?”

“ก็เดี๋ยวก็รู้เอง ตอนนี้ยังไม่ได้จรริงจังอะไรมาก” เรากำลังคุยกันเรื่องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ครับ

ผม...ซึ่งได้อสังหาริมทรัพย์เป็นห้องชุดคอนโดมิเนียม 1 ห้อง พื้นที่ 38 ตร.วา แบ่งเป็นห้องนอนหลัก ห้องอยากทำอะไรก็ทำ ห้องรับแขก ห้องครัวแยกส่วน และห้องน้ำ

ผมคิดว่าตัวผมเนี่ย อยู่ในห้องกว้างแบบนั้นคนเดียวมันก็จะไม่ค่อยคุ้มพื้นที่สักเท่าไหร่ ก็เลยบรรเจิดความคิดเรื่องการปล่อยห้องให้เช่าขึ้นมา

แล้วตัวผมนี้ ก็จะซมซานไปอยู่บ้านกับเจ๊ป๋อมเหมือนเดิม

จริงอยู่ที่คนรำคาญกฎระเบียบแบบผม คงอยู่กับผู้หญิงบ้าความเป๊ะปังแบบเจ๊ป๋อมอย่างไม่มีความสุขนัก แต่ว่า... มันก็น่าจะดีกว่าการอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ

จริงๆ แล้ว...ผมเหงาครับ

หลังจากเจ๊ตัดสินใจเตะผมออกจากบ้าน ให้มาใช้ชีวิตอิสระเมื่อเดือนก่อน ผมก็รู้แล้วครับว่าความเหงาและเดียวดาย มันน่ากลัวมาก

“แล้วถ้าปล่อยเช่า แกจะไปอยู่ไหน” ยาดาส่งคำถามมาตอกย้ำความน่ารำคาญ แต่ผมก็ด่าเพื่อนไมได้หรอกครับ เพราะที่มันจู้จี้ถามนั่นนี่มากมาย ก็เพราะเป็นห่วงผม

“ก็....กลับไปอยู่กันบ้านกับป๋อม”

“ถามพี่ป๋อมแล้วหรอ?”

“ทำไมต้องถามวะ?”
“ก็บ้านเราเหมือนกันนะเว้ยดา” ผมเถียงด้วยข้อเท็จจริง พลางสะบัดมือเพื่อนออกจากแขน เธอจะมาพักมือเธอบนแขนเราแบบนี้ไม่ได้ แฟนเธอก็ดุมากไงเว้ย

“แต่พี่ป๋อมให้เปอยู่คอนโดไง ก็แยกสินทรัพย์กันแล้วนี่”
“งี้เงินค่าเช่า เข้ากระเป๋าใคร”

“กระเป๋าเราสิ”

“พี่ป๋อมเสียเปรียบแบบนี้ เค้าคงยอมให้กลับไปอยู่บ้านหรอก”
“ถ้าอยากกลับบ้านจริง ค่าเช่าก็ต้องเข้ากองกลาง แฟร์สุด”

“.........” ผู้หญิงเผด็จการนี่แม่งรู้ทันเหมือนกันหมดทั้งโลกมั้ยวะ? ผมขมวดคิ้วสงสัยใส่ใบหน้ารูปไข่ของเพื่อนสนิท ยาดาพ่นลมหายใจใส่แรงๆ แล้วก็หันไปสนใจโทรศัพท์ต่อ เรากินข้าวกลางวันกันอยู่ที่ร้านอาหารฟิวชั่น คือทำมันทุกเมนูประจำทุกชาติ

บรรยากาศมื้อกลางวันวันนี้ค่อนข้างจอแจ เพราะออฟฟิศผมอยู่ในอาคารสำนักงานย่านกลางเมืองครับ

ยาดายังคงทานมื้อกลางวันจานด่วนของเธอต่อไป ขณะที่ผมเริ่มคิดตามที่เพื่อนโน้มน้าวแล้ว...จริงด้วย ถ้าอยากกลับไปอยู่บ้านแบบแฟร์ๆ ผมก็ต้องแฟร์กับเจ๊ป๋อมก่อน ... แต่ว่า มันเป็นสินทรัพย์ผมนี่หว่า ถ้าได้ค่าเช่ามา มันก็ต้องเข้ากระเป๋าผม ก็ถูกแล้วไง!

“เอ๊ะ เป เปใช่มั้ย” หือ? เหมือนมีใครเรียก ผมสะดุดความคิดตัวเอง หันมองหาคนที่พอจะคุ้นตาบ้าง เผื่อว่าจะมีคนรู้จักมาเจอกันโดยบังเอิญ แล้วก็ได้เจอครับ

“อ้าว พี่ทัศน์ สวัสดีครับ”

“เฮ้ย หวัดดีๆ ไม่เจอนานเลย แต่เปยังเหมือนเดิมเลยนะ เห็นวูบเดียวก็รู้ว่าต้องใช่เป”

“โหยพี่ คือผมหล่อเหมือนเดิมใช่มั้ยครับ”

“เออ หล่อสุดไรสุดแล้ว”
“เป็นไงมั่งล่ะ” แกคงหมายถึงเรื่องงาน ผมยิ้มให้ดูก่อนจะบอกสั้นๆ

“ก็ดีครับ”

“แล้วได้เจอเพื่อนๆ รึเปล่า ออกไปแล้วไม่นัดเจอเพื่อนบ้างหรอ?”

“ก็นัดครับพี่ แต่ส่วนมากผมไปถึง พวกมันก็กลับบ้านกันไปบางส่วนแล้ว” ผมเคยทำงานที่บริษัทพี่ทัศน์ครับ ช่วยแกดูเรื่องรับเหมาระบบขององค์กรรัฐ แต่ตอนที่ผมออกมาอยู่ที่ใหม่ เราจบกันด้วยความรู้สึกดีมากครับ แกก็เลยยังเอ็นดูผมเรื่อยมา

“อ้อ พวกทีมเดิมของเปก็ยังอยู่กันเกือบพร้อมหน้า แต่พี่ก็หาคนเพิ่มอยู่นะ จังหวะขยับขยายได้ก็ต้องรีบทำอ่ะเนอะ”
“เอ้อ...มัวแต่คุยความหลัง เสียมารยาทเลย ทานข้าวกันต่อเถอะ ไว้มีอะไรก็อัพเดทกันนะน้อง”

“อ้ออ” ผมหันมองยาดาที่กำลังอ้าปากงับข้าวที่โป๊ะด้วยชิ้นปลาทอด 3 รสอย่างตั้งใจ

“คุยได้ๆ พี่ทัศน์ นี่เพื่อนผมเองครับ ออฟฟิศเดียวกัน คนนี้แหละที่ชวนผมมาทำที่นี่ ถ้าพี่ไม่โกรธที่มันดึงคนจากบริษัท ก็โอเคครับ คบกันได้  ฮ่าๆๆ” ผมผ่อนคลายบรรยากาศเพราะไม่อยากให้พี่ทัศน์ทำสีหน้าลำบากใจใส่ผม เพราะส่วนตัวแล้ว ผมรักและเคารพแกประหนึ่งว่าเป็นพี่ชายท้องเดียวกัน

“ค่ะพี่ ยาดาค่ะ พี่นั่งเลยค่ะ แจมมื้อกันเลยได้นะคะ ถ้าพี่ไม่รังเกียจ”

“เฮ้ย ไม่ๆๆ พี่มีนัด จองโต๊ะไว้แล้ว แต่เค้ายังไม่มากัน งั้นขอนั่งขำๆ แป๊บนึงนะ” แกบอกแล้วก็นั่งลงข้างผม

เราคุยกันเรื่องทีมเดิมที่ผมเคยทำงานด้วย หลายคนยังพูดถึงผมอยู่ และแน่นอนว่าพูดถึงในทางที่ดี ก็แน่ล่ะครับ ผมเป็นคนดีนี่นา และแล้วพี่ทัศน์ก็สะกิดต่อมรวยทางลัดของผมขึ้นมาจนได้

“ตอนนี้พี่กำลังสนุกกับอสังหาฯ เปสนใจมั้ย”

“เฮ้ยพี่ สนใจครับ” ผมตาลุกวาวระดับที่ยาดาหลับตาใส่ก็ยังสัมผัสได้ถึงแสงแห่งความงก

“พี่ไปซื้อที่ดินไว้ ติดทะเล ด้านหลังก็ติดถนนทางหลวงเลยนะ สร้างรีสอร์ทไว้แล้ว ที่เมืองเพชร”

“หรอครับ โหย ดีอ่ะพี่ เปไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยพี่ทัศน์ มีแต่คอนโดห้องเดียว”

“หรอ? อยู่เองน่ะหรอ เอ...พี่จำได้ว่าบ้านเปก็เดินทางไปไหนมาไหนสะดวกไม่ใช่หรอ?”

“ก็ไม่เชิงอยู่เองหรอกครับ ก็...” ผมเหล่มองยาดาที่ถลึงตาใส่หวังจะดึงสติผม แต่เพื่อนก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ค่อยมีสตินัก
“ก็ว่าจะปล่อยเช่าน่ะครับ”

“อื้มมม ก็ดีนะ พี่ก็ซื้อมือสองไว้หลายที่ ทั้งคอนโด ทั้งทาวน์โฮม ปล่อยเช่าเหมือนกัน”
“เอ้อ พี่เพิ่งรับคนใหม่มา รุ่นๆ เปนี่แหละ เค้ากำลังหาที่อยู่ เปลองคุยมั้ย”

“จริงหรอครับพี่ทัศน์ เห้ย! คุยๆ คุยครับ”

“ใจเย็น ถ้าคลิกกันก็โอเค เพราะว่าจุนก็มีเงื่อนไขอะไรนิดหน่อย”

“โอ้ยพี่ คนใหม่ที่บริษัทพี่ทัศน์หรอครับ งั้นมาเช่าห้องเปเลย มาเลย คนกันเองทั้งนั้น”
“ได้เลยพี่ ได้ พี่ให้เบอร์เปไปเลยครับ เบอร์เดิม เปให้ราคาพิเศษ”

“เฮ้ยจริงหรอ?”
“เฮ้ย ไม่ต้องให้พิเศษเพราะพี่แนะนำนะ เอาที่เข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ฝ่ายดีกว่า”
“ก็น้องพี่ทั้งคู่ด้วย”

“นั่นดิเป คุยก่อนมั้ยว่าเค้าหาห้องแบบไหน และรับได้ราคาเท่าไหร่”

“ใช่ๆ เปไปทำการบ้านก่อนว่าทำเลตรงคอนโดฯ เป เค้าปล่อยเช่าเดือนละเท่าไหร่”

“อ่อ...ครับ เดี๋ยวลองดูข้อมูล แต่พี่ทัศน์อย่าลืมเอาเบอร์เปให้เค้านะ จะได้ตกลงกัน”

“โอเค ใจร้อนเหมือนเดิมนะเรา”
“อ่ะ คู่นัดพี่มาแล้ว มีไรอัพเดทกันนะ เจอกันๆ หวัดดีครับ หวัดดี” แกรับไหว้อย่างทั่วถึงแล้วก็ตรงดิ่งไปยังผู้หญิงที่เดินมาตามการชี้นำของพนักงาน พอ 2 คนเจอหน้าและทักทายกันแล้ว ผมกับยาดาก็หันมาอยู่ในความสนใจของกันและกันอีกครั้ง

“เอาจริงหรอเป”

“ก็เอาจริงดิวะ”
“โอกาสมาแล้ว ไม่ต้องเสียเงินค่านายหน้าให้ที่คอนโดด้วย คนเช่าก็คัดแล้วระดับนึง เป็นเด็กใหม่บริษัทพี่ทัศน์อ่ะ โปรไฟล์เชื่อถือได้”

“ใจเร็วว่ะแก”

“เค้าเรียกว่ารู้จักคว้าโอกาส”
“อิ่มยังเนี่ย เอาไรอีกมั้ย”

“ไม่ อิ่มแล้ว”

“เค เก็บเงิน มื้อนี้เปจ่าย มื้อที่แล้วดาจ่ายแล้วนี่”

“ขอบใจว่ะที่แฟร์กับชั้น แต่แกแฟร์กับพี่สาวแกแบบนี้บ้างก็ดีนะ”

“ทำไมต้องแฟร์กับป๋อมวะ? เป็นพี่ก็ต้องเสียสละ ถูกต้องแล้ว”

“วุ ไอ้แคบ!” มันด่าผม แล้วก็เรียกบริกรมาคิดค่าเสียหาย มื้อนี้ก็เหมือนมื้ออื่นๆ ที่เรากินข้าวด้วยกันแหละครับ

ผมโชคดีที่มียาดาเป็นเพื่อน แต่มันโชคดีมากกว่าที่ผมยอมเป็นเพื่อนด้วย
ผมเป็นคนไว้ใจคนยาก ดูเผินๆ เหมือนจะเข้าถึงง่าย แต่นี่ก็เข้าวัย 25 ปีแล้ว เพื่อนสนิทยังนับได้ถ้วนใน 1 มือเลยครับ

2 ใน 5 คน เป็นแฟนกัน นั่นก็คือยาดาและวราห์ อีก 3 คนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าแกงค์เพื่อนบ้าน แต่พวกเขาก็แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเองแล้ว มีนัดเจอกันบ้างแล้วแต่โอกาส แต่ก็ต่อกันติดเสมอแหละครับ


Home*Mate


ราวครึ่งเดือน กว่ากราฟชีวิตผมจะเป็นไปอย่างที่หวังครับ
เช้าวันนี้มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา ปกติผมจะไม่รับ เพราะไม่ต้องการทำบัตรเครดิตใดๆ แล้ว แต่เช้านี้ผมจงใจรับโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม ที่มาจากความคาดหวังว่า ผมจะรวย

“ครับ”

“คุณเปรึเปล่าครับ”

“ใช่ครับ ใครครับ”

“อ่า พี่ทัศน์แนะนำมา เห็นว่าคุณเปปล่อยเช่าคอนโด ผมอยากดูห้องก่อน แล้วก็ขอพิกัดได้มั้ยครับ”

“โอเคครับ”
“เดี๋ยวผมแอดไลน์คุณนะครับ แล้วส่งอีเมลมาให้ผม ผมจะส่งรายละเอียดให้”

“เอ่อ...ขอรู้ทำเลก่อนได้มั้ยครับ”
“ถ้าไกลมาก ผมก็ไม่ไหว”

ไกลบ้าบออะไร 500 เมตรก็บีทีเอสแล้วครับพ่อคุณ ผมติในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรให้ผู้เช่าคนแรกเสียขวัญ

“คอนโดอยู่ในซอย... ปากซอยคือบีทีเอสสถานี...500  เมตรถึงตีนสะพานเลยครับ”

“หา?..​อยู่ย่านนั้นเลยหรอครับ เอ่อ...ก็ไกลนะ”

“ไม่ไกลนะ 20  นาทีก็ออฟฟิศพี่ทัศน์แล้ว คุณ...ผมก็ลูกน้องเก่าที่นั่น สะดวกครับ รับรอง” เชื่อกันหน่อยสิครับ ผมก็เคยอยู่ออฟฟิศนั้นนะ ส่วนตัวเลข 20 นาทีนี้ผมคำนวณจากเวลาเดินทาง/สถานีที่บีทีเอสให้ข้อมูลไว้แก่สาธารณชน

“อ่อ ผมอยากให้แถวๆ จตุจักร”

เอ่า ชิบหายแล้วคนละทิศเลย แต่ผมอยากปล่อยเช่านี่หว่า ทำไงดีวะเนี่ย

“อืม ถ้าอยากอยู่แถวนั้น กว่าคุณจะถึงออฟฟิศก็ช้ากว่าอยู่ทางผมนะ”
“คุณจะไปอยู่ทางจตุจักรทำไม”

“ผมขายของ”

“อ่อออออ ไม่ลำบากหรอก เสาร์อาทิตย์ก็ ไปขายของไง”
“คุณมาดูห้องผมก่อน เฟอร์ครบ พร้อมอยู่ คุณมาแต่ตัวกับเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวแค่นั้น รับรองอยู่ได้ และหาราคานี้ที่ไหนไม่ได้แล้วด้วย ผมเห็นว่าเราก็น้องพี่ทัศน์เหมือนกันหรอกนะ”

“เอ่ออออ”

“เอาน่ามาดูห้องก่อนก็แล้วกัน”
“แต่ก่อนอื่น รับไลน์ผมด้วยนะ แล้วส่งอีเมลมา เดี๋ยวผมส่งรูปห้องไปให้”

“โอเค  ครับๆ”

“โอเค เชื่อสิ คุณต้องชอบห้องผม” ผมปิดท้ายแบบที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะประทับใจ วางสายด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นมากๆ ว่า จะต้องปล่อยเช่าห้องนี้ให้ได้

ให้เช่าคอนโดแล้วเปจะอยู่ที่ไหน ... คำถามยาดาผุดขึ้นมาให้หัว
ไม่ยากเลย ผมตอบยาดาในใจ
เราก็กลับไปอยู่บ้านไง ก็ในเมื่อ บ้าน...คือวิมานของเรา


เช้าวันนี้ ผมออกจากคอนโดไปทำงานย่านสาทรด้วยหัวใจอิ่มเอม ผมจะมีเงินก้อนเงินเก็บ ดีล่ะ ผมจะมีเงินลงทุนในหุ้นกับกองทุนเพิ่ม ผมอาจจะออมเพิ่มได้อีกเดือนละหลายพันด้วย แล้วถ้าเจ๊ป๋อมถามถึงความเป็นธรรม ผมก็จะดีดเศษค่าเช่าให้ไปเป็นค่าปิดหูปิดตา เท่านี้ก็ไม่มีใครมีชีวิตลงตัวเท่ากับผมอีกแล้ว


ผมไลน์บอกข่าวดีให้ยาดารู้ มันดีใจด้วยแต่ส่งสติ๊กเก้อหน้าช็อคโลกมาให้ วันนี้เป็นวันอังคาร ยาดาอยากไปซื้อต้นไม้ที่ตลาดนัดกลางคืนที่จตุจักรเสียหน่อย เราก็เลยนัดกัน ส่วนไอ้วราห์นัดรับยาดาหลังจากซื้อต้นไม้เสร็จครับ

เอาล่ะ ...  ผมควรสร้างสิ่งมีชีวิตในคอนโดเสียหน่อย อย่างน้อยๆ ก็เพื่อให้ผู้เช่ารายแรกของผมเกิดความประทับใจ


ยังไม่ค่ำดี ผมกับยาดาก็มาถึงตลาดต้นไม้กลางคืนที่จตุจักรแล้วครับ
อืม...ว่าที่ผู้เช่าคนแรกคนแรกของผมก็เป็นพ่อค้านี่หว่า อยากรู้แฮะว่าขายอะไร แต่เอาไว้ค่อยคุยกันก็ได้ พวกเรานัดเจอกันเย็นวันเสาร์นี้ครับ  เขาส่งอีเมลมา ผมก็ส่งรูปไป พร้อมกับรายละเอียดห้อง สื่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ส่วนราคา ผมคิดว่าต้องคุยกันต่อหน้ามากกว่า เค้าอาจไปทำการบ้านเรื่องค่าเช่าห้องในย่านนี้มาแล้ว แต่ห้องผมพร้อมไงครับ พร้อมมาก เพราะฉะนั้น คำตอบก็น่าจะเป็นเยส


“เป ชั้นไปดูร้านประจำนะ ไว้โทรเรียก”

“เออๆ ไปเถอะ ไม่เอาด้วยแล้วคนเยอะชิบหาย” ผมบอก พลางใช้สายตาส่งยาดาไปตามทางที่หัวใจเรียกร้อง จะว่าเวอร์ก็ยอมรับนะครับ แต่เพื่อนผมคนนี้บ้าต้นไม้อย่างกับคนเสียสติ

ผมเลือกเดินเอื่อยๆ 2  มือล้วงกระเป๋า 2 ตามองซ้ายขวา ตามร้านเรียงรายทาง แล้วก็เจอเข้ากับสิ่งที่แปลกสำหรับผมจนได้

“ขอโทษครับ อันนี้ต้นอะไร?” ผมถามพ่อค้าคนเดียวในร้าน เขาเงยหน้ามองแล้วก็บอกสายพันธุ์

“แคคตัสนี่แหละครับ สายพันธ์แมมมิลาเรีย อันนี้แมมขนนกสีขาวครับ ไม่มีหนาว ลองกุมๆ หัวเค้าได้”

“อ่อ”
“แล้วจะโตเยอะมั้ย มีดอกรึเปล่า”

“มีครับ ต้นนี้เค้าเคยให้ดอกมาแล้วด้วยนะ สีชมพู หายากนะครับ”

“อ่อ งั้นก็แพงสิ” ผมเริ่มระแวงขึ้นมาแล้ว จำได้ว่ายาดาเคยบอก อะไรที่ประหลาดๆ หายาก ราคามันจะสูงเวอร์เสมอเลย

“ลูกค้ามองไว้งบประมาณไหน ผมจะได้แนะนำถูก ถ้ากลัวแพงล่ะนะ” พ่อค้าตอบ ดูแล้วคงไม่ชอบคำวิจารณ์ราคาเท่าไหร่ น้ำเสียงเค้าเริ่มไม่ค่อยเป็นมิตรแล้ว

“จริงๆ ก็ไม่ได้กลัวแพง” ผมแก้เก้อ
“แต่ไม่อยากได้แบบราคาสูงแล้วไม่คุ้ม” ผมไม่ใช่คนงกนะ แต่ผมใช้เงินอย่างคุ้มค่า

“จะเอาไปขายต่อหรอครับ งั้นหาอย่างอื่นดีกว่า” ทำไมต้องถามต่อด้วยวะ ก็แค่บอกราคามาแค่นั้นก็จบ ผมก็เริ่มไม่สบอารมณ์แล้วเหมือนกัน

“ทำไมล่ะคุณ”
“ผมจะซื้อไปเลี้ยงเองหรือขายต่อมันก็เรื่องของผมไง ขายก็ขายมา ขายแล้วต้องตามติดชีวิตมันนี่คุณจะมีเวลาพอหรอ ตลกแล้วเนี่ย คุณยังเลี้ยงขายเลย”

“จริงๆ ก็เรื่องของลูกค้า”
“แต่ถ้าจะเอาแมมไปขายต่อ คุณไม่น่าจะได้กำไรเท่าไหร่หรอกครับ”
“เค้าโตช้าหน่อย ชอบแดดจัดๆ แต่น้ำไม่ต้องเยอะ ถ้าตัวไหนออกดอกแล้วก็จะให้อยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่ให้ดอกสีขาว เป็นไม้ที่ใครๆ ก็หาได้”
“แต่ขนนกขาวตัวนี้ ให้ดอกสีชมพู มันหายาก”
“ถ้าคุณชอบ อยากเอาไปเลี้ยงให้คุณรู้จักรักต้นไม้ ผมก็ขายอยู่แล้ว”
“แค่อยากจะเตือน ว่าถ้าคุณรักแล้ว คุณจะไม่อยากขายมัน แล้วคุณก็เจอเรื่องตลกๆ ซะเอง”
“ผมถึงได้ถามว่า จะเอาไปขายหรอ จะได้แนะนำตัวอื่น”

“พูดมากชิบหาย”
“เอาตัวนี้ ขนขาวดอกชมพูนี่แหละ”

“ขนนกครับ”

“อื้อๆ ขนนก เท่าไหร่”
“อย่าบวกเยอะนะ ผมไม่ได้เอาไปขาย ผมเอาไปเลี้ยง”

“ผมไม่ขาย”

“เอ่าเห้ย”

เป เป ชั้นได้แล้วนะ แกได้รึยัง เสียงยาดาทำให้ผมชะงักนิดหน่อย เมื่อหันไปมองเลยเพื่อนเพื่อนห้าววิ่งมาหา ในมือว่างเปล่า แสดงว่ามันซื้อของใหญ่และแบกคนเดียวไม่ไหวเลยวิ่งมาขอแขนเสริม

ผมหันมองพ่อค้าอีกรอบ ตั้งใจจำหน้าไอ้นี่ไว้ให้ติดตา แล้วก็เอ่ยคำลาที่แสนจะน่าประทับใจ

“กวน ส้น ตีน”


Tbc


ห้องเก็บของ : ว้าววววว มาต่อแล้วค่ะ
หายหัวไปหลายเดือน ไม่ได้หายไปไหนเลยค่ะ สถิตย์อยู่ที่เดิม แค่ไม่ได้เข็นงานออกมาเท่านั้นเอง ขออภัยอย่างรุนแรงค่ะ
เชื่อว่าหลายคนลืมไปแล้วว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ไม่เป็นไรค่ะ ลืมก็อ่านใหม่ เพราะเพิ่งเริ่มเรื่องเท่านั้น

สปอล์ยเพิ่มเติม เพราะอยากให้คนอ่านนึกภาพตามได้ ตอนไหนที่เอ่ยถึงแคคตัสสายพันธุ์ไหน เราจะขอให้ชื่อทางการไว้ตอนท้ายนะคะ เผื่อไปหาดู อยากให้ทุกคนชื่นตาชื่นใจเท่านั้นเองค่ะ

สำหรับตอนนี้ แคคตัสที่เปถูกใจคือ mammillaria plumosa ค่ะ ลองหารูปเด็กหัวขาวนี้ในกูเกิลดูนะคะ

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะว่าว่าที่ผู้เช่าห้องรายแรกของเป จะมีอาการยังไงในวันแรกเจอ >,<

ปล.เราพยายามแปะรูปแคคตัสตัวเองแล้ว แต่ทำไม่เป็นค่ะ ขอโทษด้วย T^T

หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 17-10-2017 22:50:29
นุ้งเปย์ดูเหวี่ยงหวีนได้ใจดีขัง 5555
แรากฏพ่อค้าขายแคสตัสคือค้ำจุน
คนที่จะมาเปนรูมเมท ถ้าใช้จะฮาเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: NoteZapZa ที่ 18-10-2017 17:10:30
กรี๊ดดดด.....มาปัดหุมไว้ก่อนะคะ เดียวอ่านพี่โป๊ะจบรอบนร้จะตามมาอ่านเรท่องใหม่ค่ะ น่าก็วนอ่าน 3 พี่เค้าจนหลงรักแล้วหลงรักอีก ดีมารออ่านพี่เปล5555
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-10-2017 02:48:11
ไปเสิรชดูรูปน้องแคคตัสเหมือนบร็อคโคลี่เลยค่ะ น่ารัก ลุ้นๆตอนเขาเจอกันวันนัดดูห้อง เปจะกลับบ้านแล้วจะได้เจอกันยังไงคะเนี่ยถ้าจุนตกลงเช่า สนุกมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ รอตอนต่อไปค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 29-10-2017 19:38:31
 :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-10-2017 21:16:17
เปล คิดเองเออเอง
ปล่อยเช่า แล้วกลับไปอยู่บ้าน
โดยที่ไม่ถามพี่เลย

คนที่จะมาดูห้องเช่าก็เคยกวนตีนกันอีก   o22 o22 o22
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 13-11-2017 23:17:26
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid


Home*Mate [3]



“วอท!!!!!” คือดับบลิวเอชเควสชั่นในภาษาอังกฤษ และบางสถานการณ์ก็ทำหน้าที่เป็นคำอุทานครับ ผมรู้สิ ผมเรียนมา แต่ที่งงๆ อยู่นี่ก็เพราะไม่เข้าใจพี่สาวว่าจะส่งคำถามมาพร้อมเสียงอุทานทำไม

“ก็อย่างที่บอกไง”

“แล้วไง แกบอกอะไรชั้นก็ต้องยอมรับสิ่งนั้นหรอ?”

“เอ่า พูดงี้คืออะไรอ่ะเจ๊ป๋อม”
“เปอยู่บ้านไม่ดีกว่ารึไง เราได้เงินเพิ่มกันนะ บอกแล้วไงว่าแบ่งให้”

“ชั้นไม่สะดวก”

แปลว่าไรวะ?
มีเหตุผลอะไรที่ทำให้พี่ผมไม่สะดวกกับการกลับมาอยู่บ้านกันล่ะ?
นี่ก็บ้านผมเหมือนกันนะเว้ย แม้ว่าเจ๊ป๋อมจะยกคอนโดให้ผมแล้วก็ตาม

“ไม่สะดวกยังไง เปไม่ได้รบกวนอะไรป๋อมเพิ่มเลยนะ”
“ห้องก็ห้องเดิม ทุกอย่างเดิมหมดเลย แค่ขนเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวมาเท่านั้นเอง”
“อะไรคือไม่สะดวก”

“ก็...ไม่สะดวกก็คือไม่สะดวก”
“ชั้นชินกับการอยู่คนเดียวไปแล้ว”

“ไม่ใช่อ่ะป๋อม ไม่ใช่เหตุผล”
“พูดตรงๆ ดิ ว่าไม่สะดวกเพราะอะไร”

“อือ ช่างมันเถอะ”
“เอาเป็นว่า เปกลับมาอยู่ก็ได้ แต่จะมาคัดค้านอะไรไม่ได้แล้วนะ ชีวิตใครก็ชีวิตมัน”
“กลับมาอยู่ ก็อยู่ในที่ทางของเปก็แล้วกัน”
“แล้วก็...ค่าเช่าที่ได้มา ครึ่งครึ่ง ไอ้แบ่งมา20% ให้ชั้นเนี่ย ยังไม่พอค่าสปาเท้าเลย”
“ตามนี้นะ ขัดข้องก็ล้มดีล”

อะไรของเค้า?
ผมได้แต่ขมวดคิ้ว จิ้มคอหมูย่างเข้าปาก พร้อมกับมองตามพี่สาวที่เดินขึ้นห้องส่วนตัวบนชั้น 2 ของบ้าน

พื้นที่ตามโฉนดของบ้านนี้คือ 64 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 263 ตารางเมตร ถ้าเมตรนึงของมนุษย์เราแบบก้าวเวอร์ๆ เท่ากับ 1 ตารางเมตร เท่ากับว่า ผมห่างจากพี่ผมได้มากสุดถึง 262 เมตร ผมทำให้เจ๊ป๋อมอึดอัดส่วนไหนหรอครับ? เงาตอนพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกยังไม่ทับกันเลยเถอะ ต่อให้เจ๊สยายผมแล้วลมพัดโชยด้วยอ่ะ!

แต่ก็ช่างความงงมันเถอะครับ
ตอนนี้แผนลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของผมเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว
การกลับมาอยู่บ้านไม่ใช่ปัญหาแล้ว แม้พี่สาวจะพูดปาวๆ ว่าไม่สะดวกก็เถอะ
เหลือแค่วันพรุ่งนี้ ผมจะไปเจอกับผู้เช่ารายแรก เราน่าจะได้เซ็นสัญญาเช่าห้องกันหลังจากพูดคุยเรื่องเงื่อนไขต่างๆ กันแล้ว 1  ชั่วโมง จากนั้นผมก็จะกลับไปจัดการที่ห้อง ขนของออกมาแต่เนิ่นๆ ก็ดีเหมือนกัน ถึงจะยังไม่รู้แน่ว่าเขาจะเริ่มเช่าเมื่อไหร่ก็เถอะ แต่มันก็น่าจะเป็นเดือนหน้าสิ เพราะดูเหมือนจะหาห้องเช่าด่วนๆ อยู่ ไม่อย่างนั้นพี่ทัศน์คงไม่ลงแรงช่วย

ผมให้ยาดาช่วยเรื่องสัญญาเช่า เพราะมันรอบรู้และรอบคอบกว่าผมมาก และมันเป็นเพื่อนผม มันก็ต้องช่วยผม ผมปรึกษามันแล้วว่าให้จ่ายล่วงหน้า 3 เดือนก่อนดีมั้ย มันว่าไม่ดีหรอก ผมก็เลยให้มันเขียนในสัญญาไปด้วยว่าจ่ายล่วงหน้า 6 เดือน และมันก็ทำหน้าบูด ไอ้บ้านี่งกกว่าผมอีกหรอ? จะให้ผมเก็บล่วงหน้า 12 เดือนเลยหรอ? ไม่ดีนะ มันจะเอาเปรียบฝ่ายนั้นเกินไป

ผมนั่งฝันหวานอยู่ในม้าใกล้สวนไม้พุ่มที่พ่อจัดไว้ บ้านเราร่มรื่นครับ ต้นไม้เยอะ เพราะพ่อชอบ ดอกไม้ก็เยอะตามมาเพราะแม่ชอบ เรามีแปลงผักสวนครัวนิดหน่อยแล้วแต่แม่ปลูก แต่เราไม่มีโรงเลี้ยงหมู หรือเล้าไก่เหมือนบ้านแม่ที่อ่างทองหรอกนะครับ มันจะดูแลกันยากไปนิดนึง

จะว่าไป ผมก็ยังไม่เข้าใจพวกเขานัก ไม่เข้าใจว่าแม่จะย้ายจากบ้านนี้ไปใช้ชีวิตอีกรูปแบบนึงในอีกบ้านนึงทำไมกัน เราอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุขหรอ? พ่อก็ด้วย เบื่อจะอยู่บ้านนี้ขนาดนั้นเลยหรอ? ถึงต้องแยกห่างจากลูก 2 คนไปแบบนี้

ผมเคยถามแม่ แม่ก็บอกไม่อยากอยู่บ้านเบื่อๆ และอยู่บ้านนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำ นอกจากดูแลบ้าน ทำความสะอาด ทำอาหาร มันไม่สร้างรายได้หมุนเวียน ผมเคยเสนอให้แม่ทำข้าวกล่องขายออนไลน์ แม่ก็ว่ามันไม่ใช่ทาง

สุดท้ายผมก็หมดทางค้าน และต้องยอมรับระยะห่างที่พวกเขาเลือก

“น้องเป แตงโมมั้ย” ป้าพรยื่นหน้ามาถาม วันศุกร์เป็นวันแม่บ้านมาครับ และป้าพรแกดีอย่างตรงที่แกจะชอปปิ้งขนมนมเนยผลไม้เข้ามาให้ด้วย แน่นอนว่ายื่นใบเสร็จกับเจ๊ป๋อม จ่ายตามจริงครับ กินไม่กิน ชอบหรือไม่ชอบก็จ่ายเงินให้แก

“เอาครับ เอาๆ”
“แช่เย็นก่อนได้มั้ย”

“แช่ไว้ประเดี๋ยวนึงแล้ว แล้วน้องป๋อมล่ะ”

“บนห้องครับ”

“อ้อ คืนนี้ป้าไม่ค้างนะ ทำมื้อเช้าไว้ให้แล้ว อุ่นทานกันเองนะ บ่ายพรุ่งนี้ป้ามาดูแลความสะอาดให้”

“ครับๆ กลับเลยรึเปล่า เดี๋ยวเปตามไปล็อครั้วเลย”

“ใช่ๆ ป้ากลับเลย เทียวนี้แหละ” เทียวแปลว่าตอนนี้ เดี๋ยวนี้ครับ ผมได้ยินมาตลอด แกก็ไม่แก้คำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นสักที

ผมพยักหน้ารับรู้ แล้วก็เดินไปส่งแกที่หน้ารั้ว จากบ้านผมออกไปปากซอยที่ติดถนนใหญ่ชื่อว่าพัฒนาการ เพียง 300 เมตรเท่านั้นแหละครับ ป้าแกเดินจนคุ้นชิน ตรงปากซอยก็จอแจด้วยวินมอเตอร์ไซค์ เซเว่น โลตัสเอ็กเพรส และป้ายรถเมล์ ถ้าได้รับอันตรายใดๆ ระหว่างเดินทางนี่ต้องถือว่าคราวเคราะห์สุดๆ แล้ว

คืนนี้จบลงอย่างง่ายดายโดยที่ผมยังไม่ทันได้ทวนแผนเจรจาหว่านล้อมผู้เช่าห้องถึงรอบที่3 ดี ก่อนจะหลับไป ผมได้ยินเสียงพี่สาวพูดว่า เปไม่เข้าใจก็เรื่องของเป ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร เกี่ยวกับผมยังไง ผมจะไม่เข้าใจอะไร และพี่สาวผมคุยกับใคร แต่ก็นั่นแหละครับ เมื่อง่วง ก็ต้องนอน


Home*Mate


นี่ก็...ถึงเวลาที่นัดไว้แล้ว
ผมนัดว่าที่ผู้เช่าคอนโดที่ร้านกาแฟที่ใครๆ ก็รู้จัก ในห้างที่ใครๆ ก็รู้จัก เดินทางมาถึงห้างได้โดยขนส่งสาธารณะหลายสิ่ง เพราะฉะนั้น เขาก็ไม่น่าจะเลท และไม่ควรเลท

ผมโทรหายาดา เพราะมันต้องเอาสัญญาเช่าที่มันร่างให้มาให้ผม มันจะได้ดูเป็นมืออาชีพกันหน่อย ผมไม่อยากให้ใครว่าเอาได้ว่าไม่รู้จักโต

ยาดามาตรงเวลาเสมอ วันนี้มันมากับแฟนมัน วราห์
“เอ้า มาด้วยหรอ?” ผมทักวราห์ที่ส่งยิ้มให้อย่างหล่อ มันพยักหน้ารับแล้วนั่งลงตรงกันข้ามผม จากนั้นก็ช่วยสอดส่ายสายตาหาตัวนำเงิน

“นัดกี่โมงอ่ะเป”

“ห้าเย็น”

“ก็จวนแล้วนี่”

“อือดิ แต่เขายังไม่มาว่ะ แต่เฮ้ย ไม่ต้องรอเป็นเพื่อนเรานะเว้ย วราห์มีโปรแกรมไปไหนกันต่อก็ตามสบายเลย”

“ไม่เป็นไร ดาเขาห่วง”
“เดี๋ยวเราอยู่เป็นเพื่อน ช่วยกันมุง”

“เออ ขอบใจ” ผมก็ไม่คิดหรอกครับว่าอายุขนาดนี้แล้ว ยังต้องมีเพื่อนนั่งมุง เมื่อเพื่อนมีน้ำจิตน้ำใจ ผมก็เลยอาสาเลี้ยงน้ำ ซึ่งมัน 2  คนดีใจมาก  มันบอกว่านานๆ จะได้กินตังค์ผมสักที อะไรกันวะ? ผมเป็นคนมีน้ำใจกับเพื่อนเสมอนะ

ครู่เดียวที่กำลังนั่งมุงกันอยู่ (โดยที่วราห์เคร่งเครียดแทนผมมากถึงขนาดต้องงัดแว่นมาใส่) โทรศัพท์ผมก็สะเทือน ผมรีบกดรับแล้วส่งเสียงไปพร้อมกับรอยยิ้ม

“ครับ เปครับ”  ใช่เขาจริงๆ ด้วยครับ เขาคนที่ไม่เมมเบอร์ ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับเขาที่ผมรอ
“ชั้น2 ใช่ครับ ใช่ๆ”
“เอ๊ะ? พี่ทัศน์ ไม่เห็นเลยนะ”
“เฮ้ย นี่พี่ทัศน์มาด้วยหรอ? อ่อ....อ่อออ” ผมเริ่มงงแบบเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงแล้วครับ บุคคลนี้ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายว่าจะได้เจอ ผมกรอกตามองเพื่อนทั้งคู่ที่ยื่นหน้ามองผมอย่างอยากรู้อยากเห็น ส่งสัญญาณมือให้พวกมันนิ่งไว้ก่อน และเมื่อวางสาย ผมก็บรีฟสั้นๆ

“พี่ทัศน์มาด้วยว่ะ”
“มันญาติกันหรอวะ? ไม่เห็นรู้”

“พี่เขาอาจมาในฐานะตัวกลางไง งั้นเรากับวราห์เป็นพยานก็แล้วกัน”
“เนี่ย มันต้องมีคนลงชื่อพยานด้วยนะ” ยาดาออกความเห็นพร้อมกับชี้เป้าช่องว่างลงชื่อพยาน 3 คน (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องป่าวประกาศกันเยอะแยะ)

ผมนั่งรออยู่เงียบๆ ในหัวพยายามนึกเหตุผลของการมาที่นี่ด้วยของพี่ทัศน์ ซึ่งนึกยังไงก็นึกหาเหตุผลของแกไม่ออกครับ เว้นแต่ว่าเป็นญาติกันนั่นแหละถึงจะเข้าใจได้ว่าเป็นห่วงน้องนุ่ง

แต่ถ้าจะให้นึกแบบอกุศลหน่อย ก็...เสี่ยกับอีหนู
เฮ้ยยยยย แต่พี่ทัศน์เป็นผู้ชายนะเว้ย มีเมียมีลูกแล้วด้วย ... หรือมันไม่หวือหวาพอวะ ถึงต้องหาคอนโดกกอิหนูที่เป็นผู้ชาย

“เป” พี่ทัศน์ไม่ได้เป็นเพียงพี่ในมโนนึกของผมอีกต่อไป ตัวจริงที่สดกว่าโฟร์ดีปรากฏตัวขึ้นด้วยเสียงก่อน ตามมาด้วยร่างกายแสนสมาร์ท และใบหน้าหล่อภูมิฐาน .... สงสารเมียแกว่ะเห้ย ไม่น่าเล้ยยยยย

“ครับพี่ทัศน์”
“มาด้วยก็ไม่บอก”

“จริงๆ ก็ไม่ได้วางแผนไว้หรอก โตๆ กันแล้วน่าจะจัดการกันเองได้”
“แต่จุนมัน... เขาก็มีเงื่อนไขของเขานั่นแหละ” เอาใจอีหนูเกินไปป่าววะเนี่ย? ผมคิดในใจ ส่วนหน้าก็ส่งยิ้มให้พี่แกแบบฝืดๆ

“เออ พี่ทัศน์ครับ” ไม่ไหวครับ ไม่ไหว ผมไม่ชอบสงสัยโดยไม่ลองไต่ถาม

“อือ”

“พี่เป็นอะไรกับ...เขาล่ะครับ”

“หือ?”
“กับจุนน่ะหรอ?”
“พี่เป็นน้ามันน่ะ”

“อ้ออออออออออออออออออ” ผมน่าจะอ้อยาวไปหน่อย ยาดาถึงได้สะกิดกันดังเพี๊ยะ
“ก็ว่า ถ้าเป็นแค่พนักงาน พี่ก็ไม่น่าจะต้องมาประกบ”

“ยายจุนกับแม่พี่เป็นพี่น้องกัน พี่กับแม่มันก็เลยเป็นพี่น้องกัน มันก็พี่ก็เลยเป็นน้าหลานกัน งงมั้ย”

“ถ้าอธิบายแบบนี้ก็จะงงแล้วล่ะครับ” ผมตอบพลางหัวเราะ พี่ทัศน์ยิ้มยิงฟันขาวน่าหลงใหล รอยตีนกาที่หางตาบอกใบ้ให้ว่ากายหยาบแกเหยียบเลข 4  แล้ว

“พี่อยากให้จุนได้อยู่คอนโดของเปนะ จริงๆ”

“เปก็อยากให้เขาเช่าครับ”

“เห้ย งั้นก็ดีเลย จุนมันต้องอยากเช่าอยู่แล้ว”

“จริงหรอพี่ วันนั้นที่คุยกัน ดูเขาอยากอยู่โซนอื่นนะ”

“ก็นั่นแหละ เงื่อนไขเยอะ แต่พี่ไว้ใจเป ไม่อยากให้มันไปถูกเอาเปรียบมาอีก ไอ้นี่ก็ปากหนัก โดนหลอกเงินไปตั้งเท่าไหร่ก็ไม่ปริปากสักคำ น่าเตะ”

“ขอโทษก็แล้วกันครับพี่ผมน่าเตะ” อีกเสียงแทรกขึ้นระหว่างที่ผมกับพี่ทัศน์เมาท์กันอย่างเมามันโดยมียาดาและวราห์นั่งฟังตาแป๋ว

พวกผมทั้ง4 คนพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนจนเก้าอี้ส่งเสียงครืดลั่นร้าน ดีว่าคนไม่พลุกพล่านนัก

ผมมองหน้าหมอนี่ไม่ถนัดเท่าไหร่เพราะพี่ทัศน์ไปล้อมหน้าล้อมหลัง หมอนี่สูงพอๆ กับพี่ทัศน์ก็น่าจะสูงราว 180 นิดๆ ส่วนผมสูงหย่อนกว่าพี่ทัศน์เล็กน้อย

“หลงหรอจุน บอกแล้วว่าให้มารถน้า”

“ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งบีทีเอสมาแป๊บเดียว แค่งงๆ ในห้าง”
“แล้ว.....”

“อ้อๆ มาๆ รู้จักกันไว้”

“เป น้องๆ นี่ค้ำจุน หลานพี่”
“ค้ำจุน นี่เป นี่เพื่อนเป นี่ก็เพื่อนเป” แม่งช่างเป็นการแนะนำที่ทำเอายาดากับวราห์งงในจังหวะกันและกัน เพราะไม่รู้ว่าใครจะเป็นเพื่อนเปที่หนึ่งและเพื่อนเปที่สอง

ทั้งคู่ส่งยิ้มให้กับว่าที่ผู้เช่าห้องผม ส่วนผมยังคงมองหน้าเขาอยู่ เพราะเขายังมองหน้าผมอยู่

ราวกับว่าสติผมมันงงๆ อยู่พักนึง จากนั้นก็เหมือนถูกไฟฟ้าช็อตขึ้นมาดื้อๆ

“เฮ้ย ไอ้เหี้ยนั่นนี่”

“เอ้าคุณ!! พูดให้ดีๆ หน่อย”

“พี่ทัศน์!” // “น้าโจ้!!!”

“ไอ้นี่หรอ!!!”


อาการวางสีหน้าไม่ถูกมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ผมกดสายตาแช่มองสัญญาเช่าห้องชุดระยะยาวที่ยาดาร่างมาอย่างไร้โฟกัส ยาดากับวราห์มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก พี่ทัศน์เองก็ทำหน้าไม่ถูก

ส่วนคู่กรณีผมก็มีสีหน้าเลื่อนลอยไม่แพ้กัน

“เอาน่า”
“มันก็แค่....แบบ...”
“แบบบบ ไงดีอ่ะ เพื่อนเปว่ายังไงกันดี” ชายหลัก4 ถามหาตัวช่วยครับ คู่รักวัย20 กลางๆ ก็เลยมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่กกว่าเดิม

“อ๋อ ค่ะ มันก็แค่...แบบ....แบบ แบบ”
“แบบยังไงดีค่ะวราห์”

“เอ่อ ทานน้ำก่อนมั้ยครับ” วราห์ ไอ้บ้า!! กูไม่เลี้ยงน้ำแม่งหรอกนะ

ผมถอนหายใจออกมาในที่สุด จากนั้นก็พูดสิ่งที่ทุกคนหันมองผมตาโต

“คืนนั้นมัน....ก็อย่างที่พูดนั้นแหละ”
“ก็คุณกวนตีนจริงๆ”

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมไม่กวนตีนนี่ ผมไม่ได้เถียงอะไรคุณสักคำ”

“งั้น แปลว่าไม่โกรธ”

“ไม่ ใส่ ใจ น่ะ” กวนตีนกูอยู่สินะ ผมพยายามสะกดอารมณ์ พยายามหาเหตุผลที่ผมต้องมานั่งคุยกับไอ้พ่อค้าขายต้นไม้กวนส้นตีน เพื่อเงิน เพื่อเงิน เพื่อเงิน...แต่ว่า มันจะมีเงินเช่าห้องผมหรอวะ?

“งั้น คุณลองอ่านสัญญาเช่าดูก่อนก็แล้วกัน”

“เออๆ แบบนี้แหละดี”
“จุน ลองอ่านดู”
“พื้นที่ห้องก็กว้างขวางดีไม่ใช่หรอ จุนบอกเองนี่ มีระเบียง2ระเบียงด้วย”
“จะได้วางของ.....” พี่ทัศน์พูดเท่านี้แล้วก็สะดุดเหมือนคนเพิ่งนึกอะไรได้ จากนั้นแกก็พูดต่อ
“เด็กๆ จะได้อยู่ได้”

“เอ่อพี่ทัศน์ คอนโดเปเลี้ยงสัตว์ไม่ได้นะครับ”

“หึ” คนส่งเสียงหออึหึไม่ใช่พี่ทัศน์ครับ แต่เป็นหลานตัวเท่าควายไบซันของเขา ผมเหล่มองและได้พบกับการปรายตามองที่โคตรจะกวนส้นตีน

มันเกลียดผม ผมจะเกลียดมันให้มากกว่า กูต้องชนะเว้ย ชาตินี้กูจะแพ้แค่พี่สาวกูเท่านั้น ผมส่งกระแสจิตไปบอกไอ้คนสายตากวนตีน ไม่รู้มันจะเข้าใจมั้ย

“อ่านสัญญาดิ”

“ไม่”
“น้าโจ้ ผมว่าไปดูห้องก่อนดีกว่านะครับ ถ้าลงเงื่อนไขก็ค่อยคุยกันเรื่องค่าเช่า แล้วก็ค่อยทำสัญญา”

“เฮ้ยๆ”
“ผมเป็นเจ้าของสินทรัพย์ เท่ากับผมเป็นคนกำหนดเงื่อนไข ไม่ใช่คุณ”

“งั้นหาที่ใหม่เถอะครับน้าโจ้”
“ผมว่า เจ้าของห้องนี้ไม่น่ารัก อัธยาศัยดีน้อย”

โอ้ยยยยยย ไอ้เหี้ยยยยย
เปเว้ย เปเว้ยเป ใจเย็นเว้ย ปล่อยๆ เช่าไปมึงก็ชนะแล้วเว้ย ได้เงินไง ได้เงิน

“คือ....”
“คุณก็เห็นห้องแล้วไง ภาพผมก็ส่งให้ดูทุกมุม รายละเอียดพื้นที่ ทิศหันหัวนอนก็บอกหมด คุณโอเคแล้วนี่”

“ก็อยากเห็นกับตา”
“ไม่ได้หรอครับ งั้นก็ไม่เช่า”

“เฮ้ยคุณนี่มัน”

“ผมเป็นว่าที่ลูกค้า ผมต้องจ่ายเงินให้คุณ จะขอไปดูก่อนไม่ได้เลยหรอ”
“มันไม่ใช่ร้อยสองร้อยนะคุณ”

“เอาน่า”
“ดาว่า ไปดูห้องกันเถอะค่ะ”
“แล้ว...ถ้าต่อรองราคากันใหม่ ดาจะร่างสัญญาให้ใหม่ เอาแบบที่พอใจทั้ง2ฝ่ายเลยค่ะ”
“นะ ไม่อย่างนั้นก็เหี้ยห่าบ้าบอกันอยู่ตรงนี้ ไม่ดีค่ะ” เพื่อนผมซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในโต๊ะเสนอทางออกให้ และดูเหมือนความเป็นสุภาพบุรุษของพวกเราจะเสมอกัน ถึงได้ฟังยาดาและทำตามอย่างไร้คำคัดค้าน

“อ้อคุณ” จู่ๆ ควายไบซันก็หยุดเดินและหันมามองหน้าผม เขาจำต้องก้มหน้าลงนิดเพราะผมเตี้ยกว่า ไอ้นี่กระตุกยิ้มเหี้ยๆ แล้วก็บอกสิ่งที่เหี้ยกว่า

“ผมอยาก ทด ลอง อยู่ ก่อนสักเดือนนึง”
“คงไม่ขัดนะครับ”
“น้าผม คุณนิทัศน์เขาแนะนำมาน่ะ”

ไอ้เหี้ยยยยยยยยย กูไม่ให้มึงเช่าแล้วเว้ยยยยยย!!!!!


Tbc..


เปก็จะด่าเสียงยาวหน่อยๆ
จุนก็จะกวนตีนเสียงสั้นนิดๆ

ฝากติดตามกันด้วยนะคะ  เรื่องราวของผู้ชายที่ศีลเสมอกันเด๊ะ กวนมากวนกลับไม่โกง
และเมื่อคนไม่ยอมใคร ใครไม่ยอมคน ต้องมาป๊ะกันแหมแบบนี้ ผลลัพท์ความสัมพันธ์จะออกมาเป็นสีอะไร เชิญเดาค่ะ

ปล.ติดตามการอัพเดทได้จากเฟสบุ้คนะคะ กดไลค์กดติดตามกันได้เลยค่ะ
https://www.facebook.com/saturdayseriess/
ทวิตเตอร์ก็ @zaturn1389
แต่ไม่ค่อยได้ทวิตเรื่องนิยายหรอกนะคะ ติดตามเพจดีกว่า

เจอกันใหม่ตอนหน้า ไม่เกิน 1 เดือนจากนี้ค่ะ


หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-11-2017 09:59:47
พี่ป๋อมไม่ให้เปอยู่ด้วยแน่ๆต้องมาหารกันสองคน แต่จุนมีเด็กๆนี่หมายถึงต้นไม้หรือลูกคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-11-2017 12:43:52
เป เรื่องมาก ปากไว หัวร้อนง่าย เอาแต่ใจตัว (ไม่ค่อยมีระเบียบ)

จุน เรื่องมาก ฉลาด คิดมาก รอบคอบ
รอตอนต่อไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 27-11-2017 22:58:35
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid


Home*Mate [4]



หมอนี่ชอบห้องผม ผมรู้ ผมดูออก
ในฐานะเจ้าของสินทรัพย์ บอกได้เลยว่า ผมชนะแล้วโว้ยยยยย ชอบไปเลยมึง ชื่นชมให้สุด มองให้ถึงสุดซอก จ้องให้ถึงสุดมุม แล้วนายเปคนนี้จะเป็นคนดับความฟินในสายตาคุณมึงด้วยคำว่า ผมไม่ให้เช่า ฮ่าๆๆๆ สะใจโว้ยยยยยย วินาทีนี้ไม่มีอะไรน่าสะสมเท่ากับความผิดหวังของไอ้ค้ำจุนแล้วเว้ย!!

คิดไปงั้นแหละครับ ถ้าเขาตกลงเช่าขึ้นมา ผมก็พร้อมรับข้อเสนอ

“ไง จุน ดีใช่มั้ยล่ะ”

“ก็....ครับ” น้าหลานเขาคุยกันเงียบๆ แต่ก็นะ ด้วยพื้นที่ตารางเมตรที่เราอัดกันอยู่ 5 คน มันช่วยไม่ได้เลยครับที่ผม ยาดา และวราห์ จะได้ยินบทสนทนาไปด้วย

“ค้ำจุนอยู่คนเดียวหรอคะ? ดาว่าห้องอาจจะใหญ่ไปนะคะ”

“จริงๆ ก็มีชีวิตอื่นๆ มาอยู่ด้วยนะครับ”
“อาจจะให้อยู่ในห้องนอนเล็กนี่”

“ไม่เล็กนะคุณ” ผมรีบค้านคำคุณศัพท์ที่มันยัดเยียดให้ห้องนอนผม ใช่ครับ ตอนนี้ผมนอนห้องเล็กนี้ เพราะห้องใหญ่เจ๊ป๋อมตกแต่งไว้ให้ระริกระรี้สายตามาก
“เนี่ย เตียงพร้อม 5 ฟุต เล็กตรงไหน”
“ตู้เสื้อผ้าบิวท์อินอีกต่างหาก พร้อมอยู่สุดๆ เถอะ”
“นี่ขนาดห้องนอนเล็กนะเนี่ย”
“ห้องน้ำก็มีกั้นส่วนเปียกแห้ง คุณก็เห็น ครัวแยกด้วย มีประตูปิดกั้นกลิ่นพร้อมสรรพ ห้องมุมอีกต่างหาก มี2 ระเบียงให้ตากกางเกงได้18โหล”

“เป เวอร์แล้ว” วราห์เบรกเสียผมหัวทิ่ม ผมเลยยักไหล่ด้วยท่างทางกวนตีนแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ที่หันหน้าเข้าหาทีวีซึ่งติดตรึงกับฝาผนัง

“เฟอร์ฯ ลอยก็พร้อมอยู่ทุกอย่าง”
“เปไม่แงะอะไรออก เพราะงั้นหลานพี่ทัศน์ไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มเลยครับ หิ้วเสื้อผ้าก็อยู่ได้ จะหาได้จากที่ไหนอีก ห้องพร้อมอยู่แบบนี้”

“ก็จริง”
“แต่ผมไม่ใช้แปรงสีฟันที่คุณทิ้งไว้หรอกนะ อย่าเอามาบวกในราคา” ไอ้นี่ก็ขัดซะผมดูงกโคตรๆ เชียว ผมเหล่ไปเจอกับปรายสายตาของไอ้ค้ำจุน นึกสงสัยว่านี่คือสันดานปกติของมันรึเปล่า? หรือว่ากวนตีนเฉพาะกับผม และคนอื่นๆ ไม่รู้สึกกันบ้างหรอว่ามันกวนตีน หรือมีแต่ผมที่สัมผัสกมลสันดานส่วนนั้นของไอ้ค้ำจุนได้

“ก็ดีที่ไม่คิดจะใช้”
“พอดีผมรักสะอาดน่ะ เอาแปรงเล็บตีนไปแล้ว นี่บอกก่อนแล้วนะ เผลอเรอก็ช่วยไม่ได้”

ฮึฮึ หึหึ ฮ่าๆ ก็แล้วแต่ละครับว่าจะหัวเราะกันแบบไหน แต่ทั้งพี่ทัศน์  ยาดา และวราห์ กำลังลำบากลำบนกับการกลั้นขำ ส่วนไอ้ค้ำจุนส่งเสียงจิ๊อย่างน่ารำคาญ

“ไงล่ะคุณ”
“ก็ดูห้องแล้ว เซ็นสัญญาเลยมั้ย” มามะน้องจุน เดินมาตกหลุมพรางพี่เปซะดีๆ ผมส่งหน้าตาเป็นมิตรให้กับทุกคนที่หันมามอง แต่ก็มีแค่พี่ทัศน์ที่ยิ้มกลับมาอย่างจริงใจ อีกสามคนดูแขยงเหมือนเห็นธาตุแท้ว่าผมกำลังแยกเขี้ยว

“ไม่” ไอ้นี่แม่ง เคี้ยวยากจริงๆ ผมทำเป็นไม่ผิดหวัง ทั้งที่ในใจเริ่มกรุ่นๆ
“ก็ต้องอ่านสัญญาให้ละเอียดก่อนสิ อีกอย่าง ผมบอกไว้แล้วไงว่าจะ ทด ลอง อยู่ 1 เดือน” ไอ้ค้ำจุนย้ำ ส่วนอีก 3 คนที่เป็นสักขีพยานก็เหมือนจะรับรู้เรื่องราวและยอมรับเงื่อนไขนี้ไปด้วย นี่จะไม่มีใครเห็นว่ามันเอาเปรียบเจ้าของสินทรัพย์อย่างผมมากเกินไปหรอ ทำไมไม่มีใครค้านเลยวะ?

“เฮ้ยๆ คุณ”
“ก็เกินไปหน่อยนะ ไอ้เรื่องทดลองอยู่เนี่ย”
“นี่คอนโดนะ ไม่ใช่เซรั่มทดลองของแจก”

“ก็ยุติธรรมนะคุณ”
“รถยนต์ยังมีคันให้ลองขับ”

“งั้นคุณไปขออทดลองอยู่กับห้องตัวอย่างดิ”

“มีที่ไหนกันเล่า พูดเลอะเทอะ”

“นั่นไง คุณยังรู้ว่ามันไม่มี แล้วจะมาทดลองอยู่ห้องผมได้ไง”
“เยอะ”

“หึ” ไอ้หึเนี่ย สิ่งศักดิ์สิทธิประจำใจไอ้ค้ำจุนมันรึไง เอะอะก็หึหึหึ ไอ้บ้า ผมหันไปทำหน้าเหยเกใส่ประตูกระจกกั้นระเบียงใหญ่ ปล่อยคนบูชาหึได้หึต่อไป

“เอาล่ะ ดาว่า ถ้าไม่สรุป เราก็จะได้ดูอะไรตลกๆ ต่อไปไม่จบสิ้นนะคะ”
“ค้ำจุนคะ ตกลงพอใจห้องใช่มั้ยคะ ดาจะร่างสัญญาให้ใหม่”

“อ่อ ครับ”

“แต่คงทดลองอยู่ไม่ได้นะคะ”

“ครับ รู้ครับ” ก็พูดจารู้เรื่องนี่หว่า พูดดีๆ ก็เป็นด้วยเถอะ ทำไมพูดกับผมต้องกวนตีนใส่วะ? ระหว่างฟังยาดาคุยกับไอ้ค้ำจุนบนพื้นฐานของความปกติ ผมก็อดสงสัยขึ้นมาได้ หรือว่านายคนนี้มัน 2 บุคลิกระดับเริ่มต้น เรียกเบาๆ ว่าตอแหลนั่นแหละครับ

“แล้วค้ำจุนมีข้อแม้อะไรรึเปล่าคะ”

“ก็....ราคาครับ”
“ผมว่าค่าเช่าแพงไป”

“หมื่นห้า กับห้อง 38 ตร.ม. ห่างตีนรถไฟฟ้า 400 เมตร คุณรู้รึเปล่าว่าราคาตลาดเค้าปล่อยกันเท่าไหร่ 18 เคนะคุณ และนี่เฟอร์ฯ พร้อมยิ่งกว่าพร้อม เครื่องกรองน้ำดื่มยังมี” ผมว่าเข้าให้ ต่อรองเรื่องอื่นยังพอรับมาพิจารณาได้ แต่เรื่องเงินนี่ไม่ได้หรอกครับ

“ผมอยู่จริงๆ ก็แค่ครึ่งเดียวของพื้นที่ละมั้ง”
“งั้นน้าโจ้ จุนว่าเราหาห้องอื่นที่เล็กกว่านี้ และราคาสมเหตุสมผลกว่านี้กันเถอะ ถ้าน้าโจ้ว่าโครงการนี้ดี จุนอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่จุนไม่อยู่ห้องใหญ่แบบนี้ เหมือนจ่ายค่าเช่าให้แมงหวี่บินเล่น”

“เอาน่า เอาน่า”
“เอาว่าหมื่นห้าก็หมื่นห้า นะจุนนะ”
“น้าว่าโอเคเลย กว้าง โปร่ง เป็นสัดเป็นส่วน หน้าโครงการก็มีทั้งเซเว่น​ โลตัสเอ็กเพรส เดินไปนิดเดียวก็ปากซอย เจอรถไฟฟ้าทันที ทำเลมันโอเค”
“อีกอย่าง ห้องเค้าก็ใหม่”

“ไม่ใหม่นะครับ อย่างน้อยๆ แปรงสีฟันก็ใช้แล้ว” ไอ้ห่า บ้านไหนซื้อแปรงสีฟันมาวางทิ้งไว้เฉยๆ วะ ไม่แปรงฟันตามฟังค์ชั่นการใช้งานก็ต้องเอาไปแปรงๆ ขัดๆ อย่างอื่นมั้ยล่ะ?  แม่งอ้าง แม่งอยากกวนตีนผมไง คงอยากให้ผมผิดหวังสักสิ่งในโลกนั่นแหละ ไอ้บ้า ไอ้ขี้เอาชนะ

“ค้ำจุนเอ้ยยย”

“น้าโจ้ จุนจ่ายค่าห้องนะ ไม่ใช่น้า”
“หมื่นห้าค่าที่อยู่อาศัยแล้วจุนเหลือเงินเท่าไหร่ ค่าน้ำ ค่าไฟ โทรศัพท์”

“เฮ้ยๆๆ ผมติดไวไฟแล้วด้วย ถ้าจะใช้ต่อก็จ่ายรายเดือนเอาเอง” เห็นมั้ยครับว่าห้องผมพร้อม

“ค่าไวไฟรายเดือน นี่จุนยังไม่ได้ลองคิดค่ากิน ค่าเดินทางอีกนะ”
“หมื่นนึง”

“หา”
“ไม่หมื่นนึงหรอกคุณ หมื่นห้า”

“หมื่นนึง” หมอนี่ต่อราคาแข็งขัน

“หมื่นห้า”

“หมื่นนึง”

“เห้ยไอ้จุน” พี่ทัศน์เป็นฝ่ายห้ามศึกต่อราคาย่อมๆ ส่วนยาดากับวราห์จับจองที่นั่งตรงโต๊ะกินข้าวแล้วครับ ผมชำเลืองเห็นยาดาบีบๆ นวดๆ ไหล่ตัวเองด้วย สงสัยจะเบื่อและเมื่อยเต็มที วราห์เองก็นวดแฟนเต็มที่ แต่ก็คงบรรเทาอะไรไม่ได้มาก

“หมื่นนึง ถ้าได้ผมทำสัญญาล่วงหน้า 6 เดือน”
“จ่ายเลย”

“ถ้าอยู่ไม่ครบ 6 เดือน ผมไม่คืนเงินใดๆ ทั้งนั้นนะ”
“และอีกอย่าง ถ้าหมื่นนึง คุณใช้ห้องนี้ไม่เต็มพื้นที่นะ”
“หมื่นนึงที่ได้ไป คุณไม่มีสิทธิใช้ห้องนอนใหญ่”

“อ้าว”

“ไม่อ้าวล่ะ ก็หมื่นนึงมันราคาห้อง 24-26 ตร.ม.”
“นี่ผมไม่ได้เถรตรงขนาดวัดตารางเมตรที่แท้จริงด้วยนะ ผมหยวนกับคุณตั้งเท่าไหร่”
“ถ้าวัดจริงๆ อาจต้องห้ามใช้ระเบียงใดระเบียงหนึ่งก็ได้”

“แม่งงก”

“ผมจะไม่เถียงว่าผมไม่งก ไม่ใช่เพราะผมงกจริงๆ หรอกนะ แต่เพราะผม ไม่ ใส่ ใจ”  ลอยหน้าลอยตาด้วยครับ ถ้าทำท่านี้ต่อหน้าเจ๊ป๋อมผมจะโดนตบหัวทันทีเลย เชื่อสิ

“มันไม่ตลกไปหน่อยหรอคุณ”

“ไม่ เนี่ย เคาะแล้ว”
“หมื่นนึง จ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 6  เดือน ใช้พื้นที่ได้หมดเว้นห้องนอนใหญ่”
“ที่นี่มีบริการแม่บ้านทำความสะอาดด้วยนะ เดือนละ 2 ครั้ง เท่ากับไม่ต้องล้างส้วมเองให้ยุ่งยาก”

“เอาๆ ไปเถอะน่าจุน”
“6 เดือนจากนี้ค่อยคิดใหม่”
“น้าว่าโอเค”

“น้าโจ้ได้ค่าคอมฯ หรอครับ”

“เอ้า! ไอ้นี่”
“ก็มันดูโอเค น้าไม่อยากให้จุนไปเช่าอพาร์ทเมนท์ 3,000-4,000 แล้วก็อยู่ไม่คุ้มตังค์ ไหนจะโดนโกง เพื่อนข้างห้องน่ากลัวๆ สิ่งแวดล้อมไม่ดี วันดีคืนดีน้ำก็ไม่ไหล อะไรเยอะแยะไปหมด”
“ที่นี่มันเซอร์วิสคอนโด เราก็อยู่สบายหน่อย มีนิติดูแลความเรียบร้อย  มีความปลอดภัย”

“พอครับ พอแล้ว”
“โอเค น้าโจ้จะได้สบายใจ แม่ก็จะได้สบายใจด้วย เพราะไงก็ถึงกันอยู่แล้วนี่ครับ”

“เออๆ จะได้หมดห่วง”

“งั้น วานเพื่อนเปร่างสัญญาเลยนะ”

“ได้ค่ะ!” ยาดาตอบรับในทันที แล้วก็คว้าโน้ตบุ้คออกจากระเป๋า พวกที่เหลือค่อนข้างตะลึงกับการพกโน้ตบุ้คติดตัวมาด้วยของยาดา เธอชี้แจงเสร็จสรรพว่าห้องนิติมีปรินท์เตอร์ แต่เสียค่าปรินท์นิดหน่อย ซี่งไม่เป็นไร ทางเรา (ซึ่งก็คือกระเป๋าตังค์ผม) จะรับผิดชอบให้ .... ถามกูก่อนก็ได้ยาดา

เมื่อได้สัญญาที่ต่างฝ่ายต่างลงชื่อไปเก็บไว้ทั้ง 2  ฝั่งแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกันกลับครับ โดยที่ไอ้ค้ำจุนจะย้ายเข้าในวันพรุ่งนี้เลย เพราะฉะนั้น ของใช้ส่วนตัวของผมที่ยังเหลืออยู่ ก็ต้องระเห็จออกจากห้องภายในวันนี้ให้หมดสิ้น

วราห์เสนอว่าจะเอารถกระบะของมันมาช่วยขนของให้ แต่ผมไม่อยากกวนมันมากกว่านี้ เท่านี้พวกเพื่อนทั้งคู่ก็เสียเวลากับเรื่องของผมไปเกือบวัน ผมคะยั้นคะยอให้พวกเขากลับไป โดยรับปากว่าจะดูแลตัวเองเต็มกำลัง ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็จะให้เงินทำงาน .... จ้างครับ จ้าง พวกมันกลัวว่าผมจะไม่ยอมเสียเงินสักบาทในการโยกย้ายสัมภาระ แหม...ผมรู้หรอกนะว่าอะไรควรจ่าย อะไรไม่ควรจ่าย วู้!

“เอาล่ะ ก็มีแค่เสื้อผ้า ของที่โต๊ะทำงานทั้งหมด หนังสือการ์ตูน 2 ตู้เก็บ พระ ของใช้ในห้องน้ำ พวกจานชามไรนี่ให้แม่งใช้ไปเถอะ เอาบุญ” ผมปรึกษากับตัวเองหลังจากอยู่คนเดียวในห้องที่เริ่มคุ้นเคยแล้ว จากนั้นก็ลงมือเก็บของใส่ลังที่พับเก็บไว้ที่มุมห้อง เป็นโชคดีของผมที่ตอนขนของเข้ามาอยู่ ผมขี้เกียจแบกกล่องพวกนี้ลงไปทิ้ง

เก็บนั่นนี่ได้ครึ่งทาง ผมก็โทรหาพี่สาวครับ กะว่าจะให้เจ๊ป๋อมมารับกลับบ้าน ถ้าเอาเงินเข้าล่อ พี่ผมก็น่าจะเห็นดีเห็นงามไปกับผมด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าผมจะได้เป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์เหมือนที่เคยหวังไว้ว่าอยากลองสัมผัสความรู้สึก

“ทำงานนะลูกพ่อ ช่วยพ่อหาเงินนะลูกนะ” ผมไม่ได้บ้าหรอกครับ ผมแค่พูดกับห้องที่ไม่ใช่กล่องปูนเท่านั้น ผมมองห้องนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสายสัมพันธ์เป็นลูกผม
“เราจะรวย เราจะรวย”
“เออ ถ้าได้เงินก้อนมาอีก ไปดาวน์อีกห้องไว้แล้วปล่อยเช่าอีกดีมั้ยวะ? แม่งงงงง ดีว่ะ” ผมก็ฝันของผมไปเรื่อยแหละครับ  แต่เอ...ทำไมเจ๊ป๋อมยังไม่รับโทรศัพท์

ผมละมือจากการเก็บของไปพลาง รอพี่สาวรับสายเรียกเข้าไปพลาง เพื่อมาจดจ่ออยู่กับปลายสายที่เป็นพี่สาวใจร้ายของตัวเอง

อือ ไม่รับว่ะ
ทำไมวะ?
นี่วันเสาร์นะ ไม่ใช่วันทำงาน
หรืออาบน้ำ เข้าห้องน้ำ กินข้าว ไม่อยู่ใกล้โทรศัพท์
อ่ะ โทรเข้าบ้านก็ได้
แต่ก็ไม่มีใครมารับเสียงเรียกของผมอยู่ดี
ผมโทรมือถืออีกครั้ง คราวนี้โทรหาป้าพร ... ซึ่ง...​แกก็ไม่รับสายอยู่ดี
อืม คงมีธุระสั้นๆ กันนั่นแหละ เก็บของให้เสร็จแล้วค่อยโทรใหม่ก็แล้วกัน

ผมเก็บของเสร็จแล้ว แต่ก็มีอันต้องรื้อเสื้อผ้าใส่นอนออกมาใหม่จากกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดกลาง รื้อถึงผ้าเช็ดตัว ของใช้ในห้องน้ำ เพื่อจัดการทำความสะอาดตัวเอง หลังจากเก็บของจนเหงื่อออกเหนียวตัวไปหมด

คืนนี้ผมตัดสินใจค้างที่คอนโด เพราพี่สาวไม่รับสาย ครั้นจะเรียกแท็กซี่แล้วให้ขนของทุกอย่างนี่ขึ้นรถไป ผมว่าผมน่าจะต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มแบบไม่ค่อยสมเหตุสมผล ก็นอนค้างมันที่นี่แหละ

พรุ่งนี้ นายค้ำจุนถึงจะทยอยขนของเข้ามา เขาคงไม่มีอะไรมาก เพราะฉะนั้น ผมก็ไม่ต้องรีบร้อนย้ายออก เดี๋ยวจะอ้างไปว่าอยู่ทำความสะอาดห้องให้ก็แล้วกัน


Home*Mate


เช้าแล้ว
วันนี้เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่อากาศก็งั้นๆ ผมก็เลยตื่นซะงั้น
เอาเท้าแหวกม่านเพื่อตรวจสอบแสงแดด จากนั้นก็เช็คเวลาจากโทรศัพท์มือถือ มันเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้วครับ

9 โมงกว่าแล้ว ผมทบทวนเรื่องต่างๆ ที่ต้องจัดการ แล้วก็สะดุ้งตกใจ เพราะวันนี้ผมต้องย้ายออกให้เบ็ดเสร็จ แต่ผมยังติดต่อพี่สาวไมได้เลย แล้วก็ไม่รู้เวลาที่แน่นอนของนายค้ำจุนด้วยว่าจะย้ายของเข้ามากี่โมง

เอาไงดีวะกู?

ผมโทรฯ หาพี่สาวอีกครั้ง แต่รอบนี้ติดต่อไม่ได้แล้วครับ ป้าพรเองก็ไม่รับโทรศัพท์ผม
ผมเลยโทรหาพ่อกับแม่ และแน่นอนว่าพวกท่านรับสายตามปกติ ไม่มีน้ำเสียงร้อนใจใดๆ ที่จะสื่อส่อว่าพี่สาวผมได้รับอันตรายฉุกเฉินเลย

แล้วเจ๊ป๋อมไปไหน หรือโทรศัพท์แบทหมด หรือโทรศัพท์โดนฉกไป โทรฯเข้าบ้านก็ไม่รับสายเหมือนกัน ไลน์ไปก็ไม่อ่านเหมือนเดิม ลองเช็คเฟสบุ้คก็พอบว่าเจ๊ป๋อมไมได้อัพสเตตัสมาเกือบเดือน

พี่ผมหายไปไหนวะเนี่ย?
เป็นห่วงนะเว้ย!

“กลับไปดูก่อนดีมั้ยวะ? ค่อยเอารถป๋อมมาขนของ” รถพี่สาวก็เหมือนรถผมแหละครับ เพราะมันคือรถพ่อ รดครอบครัว ส่วนรถยนต์ส่วนตัวผมไม่มีหรอกครับ ไม่อยากควักเงินซื้อ

เมื่อปรึกษากับเสียงในหัวตัวเองและตัดสินใจได้แล้วผมก็เตรียมพุ่งออกจากคอนโดทันที แต่โทรศัพท์เครื่องเก่าแก่กลับส่งเสียงร้องขึ้นมา ผมคว้ามารับโดยไม่ดูว่าใครโทรมา ใจคิดว่าต้องเป็นพี่สาวแน่ๆ

“ป๋อม อยู่ไหนอ่ะ เปติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวาน ทำไมทำตัวแบบนี้”

“คุณ ผมเอง”

“เออ ผมเองแล้วไง พูดไม่เห็นรู้เรื่อง”
“หือ?”
“ใคร....ครับ”

“ผมเอง ค้ำจุน”
“ผมมาถึงแล้ว จะขนของขึ้นห้อง ขอกุญแจด้วย”

“เอ่อ...ถะ...ถึงแล้วหรอ”

“อือ” ปลายสายตอบมาด้วยเสียงโทนต่ำ

ผมเหลียวมองสัมภาระในห้องตัวเอง ....
เอาไงดีวะกู...
ผมนึกถึงพี่สาวที่ยังติดต่อไม่ได้
ยังไงดีวะเนี่ย?
ผมขานรับเสียงเรียกจากปลายสายที่ดูท่าว่าจะเริ่มหมดความอดทนลงทุกที
อะไรกันวะเนี่ย?!?

เอาวะ!!

ผมปดไปว่าผมมารออยู่ที่คอนโดแล้ว เพื่อดูความเรียบให้  บอกให้นายค้ำจุนรอสัก 5 นาที  เดี๋ยวลงไปรับ

วางสายปุ๊บก็กลั่นแรงตั้งแต่ตาตุ่ม ขนลากทุกกล่องทุกลังมาสุมไว้ที่ห้องเจ๋ป๋อม แบบนี้น่าจะรอดตัวไปได้ก่อน เพราะยังไงซะ นายค้ำจุนก็ไม่ใช้ห้องนอนใหญ่อยู่แล้ว

เรื่องจากนี้ค่อยว่ากัน

มารู้ตัวว่าเป็นคนคิดน้อยก็ตอนที่มาเห็นสัมภาระของเขาครับ
มันไม่ได้เยอะหรอก แต่ก็ไม่ได้น้อยๆ เลย
โดยเฉพาะ สิ่งมีชีวิตที่เราไม่สามารถสื่อสารกับพวกมันได้เข้าใจ ... อย่าง..แคคตัส(*)

“เอ่อออออ” ผมหุบปากไม่ลง ระหว่างประมวลผลอยู่ว่าจะถามเขาเรื่องอะไรก่อนดี

“ไม่ต้องช่วยขนก็ได้ ผมทำเองคนเดียวได้”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ได้คิดจะช่วยอยู่แล้ว สบายใจได้” ผมตอบไปอย่างคนปากเบาหัวไว
“เอ่อ...ล้อเล่นน่ะ”

“ผมรู้หรอกว่าอะไรคือล้อเล่น อะไรคือเอาตัวรอด” ผมขมวดคิ้วฉับเมื่อถูกโต้กลับ ส่งสายตากวนตีนและก็ได้รับสายตาแบบเดียวกันกลับมา ... นี่ผมส่งกระจกอยู่หรอวะ?

“หมด...หมดนี่เท่าไหร่”

“เอาแง่ไหนล่ะ? เชิงปริมาณ หรือเชิงคุณภาพ” ไอ้ห่า...โตมาด้วยการแดกข้าวหรือแดกตีนวะ อยากเปิดอกคุยด้วยมากเลย ผมตัดสินใจไม่ถามอะไรเพิ่ม เพราะคงไม่ได้คำตอบตรงๆ ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจคนที่โดนผมกวนตีนใส่เวลาอารมณ์ไม่ดีบ้างแล้วครับ

ผมช่วยแค่เปิดประตูกระจกหน้าลิฟท์ให้ทั้ง 2 บาน เพื่อให้เขาเข็นรถขนสัมภาระของเขาเข้ามาได้ จากนั้นก็เรียกลิฟท์ เปิดลิฟท์รอ กดชั้น แล้วก็รอให้ลิฟท์พาขึ้นไปยังชั้น 4 ที่ผมอาศัยอยู่

หมอนี่ไม่ตื่นเต้นกับภายในคอนโด เพราะเมื่อวานเขาก็เพิ่งมา แต่เมื่อวานนี้เราคุยกันเฉพาะเรื่องในห้อง แต่เรื่องส่วนกลาง เขาก็จำเป็นต้องได้ข้อมูลเอาไว้ เพราะค่าส่วนกลางเขาต้องเป็นคนจ่าย อ้างอิงตามการใช้ facilities

ทันที่ที่ปิดประตูห้อง นายค้ำจุนก็เขี่ยกระเป๋าเสื้อผ้า(เดาว่างั้นนะครับ) ลงจากรถเข็นเขา แล้วก็ปรี่มายังระเบียงใหญ่ทันที

ครืดดดดดด
“เฮ้ยๆ ทำไร?”

“จัดเด็กๆ” นายค้ำจุนเปิดตัวแคคตัสของเขาด้วยสถานะ –เด็กๆ – ครับ
“ทำไม”

“แต่เอาไว้ตากผ้า”

“จะใช้ทำอะไรก็เรื่องของผมดิ ผมเช่าแล้วไง เงินก็จ่ายแล้ว สัญญาก็มี คุณมายุ่งอะไรอีก”

แม่งเอ้ย!! ฉึกสัญญาตอนนี้ทันมั้ยวะ?  จะเถียงก็ได้ เพราะรับเงินมาแล้วจริงๆ เซ็นสัญญาไปแล้วด้วย แม่งเอ้ย

“แต่ไอ้ต้นๆ เนี่ย มันก็ดินเปรอะไม่ใช่หรอ”

“ผมดูแลได้น่า”

“มันจะไปทำท่อตันเอา ต้องแคร์ส่วนร่วมด้วยดิคุณ”

“โอ้....จู่ๆ ก็เรียนรู้งานสังคมสงเคราะห์หรอ?”

“กวนตีนเหลือเกินนะ ผมก็แค่บอก แต่จะทำอะไรมันก็เรื่องของคุณนั่นแหละ”

“ก็นั่นสิ แล้วคุณมายุ่งอะไรนัก”
“ของผมหมดเท่านี้แหละ คีย์การ์ดห้องกับลิฟท์คุณวางไว้ที่โต๊ะกินข้าวเลย ผมไม่มีอะไรที่อยากถามจากคุณแล้ว กลับได้เลยนะ” เป็นการไล่ที่ยาวเหยียดชิบหาย ผมก็ไม่อยากวุ่นวายกับเขานักหรอกน่า   แต่ว่า... แต่ว่า...

ของผมยังไม่ได้ขนออกเลย
เออว่ะ?
เขามีรถมา งั้นให้เขาขนของไปส่งที่บ้านได้มั้ยวะ?
ดุท่าทางแล้วก็ไม่ใช่คนเลวร้าย แค่ปากหมาเท่านั้นแหละ ผมรู้ ผมก็ปากหมา คนปากหมามักใจดี

ลองดูก็แล้วกัน

“เออคุณ”

“อืม” เขาตอบโดยไม่แบ่งปันความแยแสให้กับสิ่งรอบข้าง ตอนนี้นายค้ำจุนกำลังจัดวางถาดแคคตัสของเขาบนชั้นวางไม้ที่เขาประกอบกันขึ้นมาเอง ผมส่ายตามองอุปกรณ์ต่างๆ ที่ก็เรียกไม่ค่อยถูก บางอย่างก็ไม่รู้จัก  นี่ถ้าเขาหมดสัญญาเช่าแล้วห้องผมจะกลายเป็นป่ารึเปล่าวะ?

“ขับรถเป็นเนอะ”

“ก็แหง คุณคิดว่าใครจะบ้าเข็นรถกระบะนั่นมาล่ะ”

เย็นไว้เป เย็นไว้

“งั้น...คุณไปส่งผมที่บ้านหน่อยดิ”

“.......” เงียบครับ ผมไม่แปลกใจหรอกที่เขาจะเงียบใส่ เขากำลังถูกขอร้องโดยคนที่...เจอกันไม่กี่ครั้งแต่ก็สามารถนับการพูดดีต่อกันได้ถ้วนถี่

“คือ...ของผมบางส่วนยังอยู่ที่ห้องนี้ จริงๆ ก็เอากลับไปเมื่อคืนบ้างแล้ว กะว่าจะมาขนต่อวันนี้ ไม่คิดว่าคุณจะมาเร็วไง”

“แล้วคุณมาคอนโดยังไง รถเมล์หรอ?”

“อ้อ.....อือ”

“ไม่มีรถ?” เขาหันมาถาม

“มีรถของที่บ้าน แต่แบบ...ที่บ้านเขาก็ใช้ทำธุระ”

“แล้วถ้าผมไม่มีรถไปส่งคุณ คุณจะทำยังไง”

“ก็.....” ผมไม่ตอบได้มั้ยล่ะ? รู้ทันหรอกว่าถ้าตอบอะไรไป เขาก็จะให้ผมทำตามที่ผมตอบ แม่งเอ้ย
“ก็ปล่อยของไว้ที่นี่แหละ”
“ยังไง คุณก็ใช้ห้องนอนใหญ่ไม่ได้อยู่แล้ว”
“แต่...แต่ว่านะ คุณคงต้องทนรำคาญผมสักอาทิตย์ เพราะผมจะทยอยๆ ขนกลับไป อาจได้วันละกล่อง”

“..........” เงียบอีกครั้ง แต่รอบนี้ลุกขึ้นยืนแล้วหันมองหน้าผม มือที่ดูก็รู้ว่าเปื้อนฝุ่นดินจาง ๆ ปัดเข้าหากันกลางอากาศ ฟังจากเสียงแล้วเดาได้ว่าน่าจะนอยด์พอสมควร

“โอเค ผมรำคาญได้เท่านี้ มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“เอาสิ จะช่วยขนของไปส่งให้”

“ขอบคุณนะ  คุณนี่ก็เรียนรู้งานสังคมเร็วเหมือนกัน”

“เปล่า เรื่องเท่านี้จบป.4 ก็เข้าใจ”
“น้ำใจมันไม่มีต้นทุนหรอก”

ผมส่งสายตาดีใจให้เขาได้เห็น ไม่แสดงอาการสะทกสะท้านคำเหน็บแนมใดๆ และพุ่งไปเปิดปรตูห้องนอนเจ๋ป๋อมที่มีม่านแดงเสือดนกปกปิดแสงจากผนังหน้าต่างตลอดแนว

และทันทีที่นายค้ำจุนเห็นกล่องสัมภาระที่ต้องช่วยขนไปส่งผมที่บ้าน สีหน้าเขาก็แสดงออกมาทันทีว่าเสียใจมากที่เรียนรู้คำว่าน้ำใจตั้งแต่ป.4



Tbc...


(*)แคคตัส คือกระบองเพชรค่ะ กระบองเพชรส่วนใหญ่จะมีหนาม แต่ก็มีบางสายพันธ์ที่ผิวเรียบไร้หนามนะคะ

Talk: เอ๊ะ เหมือนจุนจะใจดีกว่าที่เปคิด? เหมือนเปจะน่ารำคาญน้อยกว่าที่จุนคาด?
ยังไงเนี่ย ยังไง
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยค่ะ

ย้ำกันอีกที เรื่องนี้ไม่มีอะไรเครียด 555555

หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 4 (271117)
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 27-11-2017 23:57:23
ตีกันไปตีกันมาสุดท้ายก้รักกันแน่ๆ เซ้นท์มันบอก
 :hao6: :hao6: :hao6:


หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 5 (111217)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 11-12-2017 23:45:43
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid



Home*Mate [5]

เขาขับรถนิ่มตูดดี เราเดินทางมาถึงบ้านผมโดยใช้เวลาขับรถชั่วโมงกว่า เพราะว่าเส้นทางที่มาบ้านผมเรียกว่าติดทุกแยกครับ ดูท่าทางเขาเมื่อยหัวเข่านิดหน่อย แต่ผมจะทำเป็นไม่เห็น หมอนี่ขับฟอร์จูนเนอร์รุ่นก่อนแปลงโฉมล่าสุด สีขาว ตีทะเบียนกรุงเทพ ผมไม่ได้ถามว่ารถเขาเองหรือเปล่า แต่เดาๆ เอาจากบริบทในรถคันนี้ ก็เชื่อได้ว่าเป็นรถของเขาเองครับ

ผมชี้รั้วบ้านตัวเองให้เขาได้เห็น แล้วก็บอกปลายทาง
“หลังนี้แหละ”

“อือ” ตอบเท่านี้แหละครับ ไม่ว่าจะผมจะพูดอะไร บอกอะไร แม้ว่าจะเป็นประโยชน์กับการเดินทาง เช่นบอกให้ระวังมอร์เตอร์ไซค์ บอกว่าไฟแดงเหลืออีกกี่วี บอกให้เลี่ยงเลนขวาเพราะมีขับแช่ เขาก็ตอบรับสั้นๆ ว่า...อือ

นายค้ำจุนจอดรถสนิทดีแล้วก็หันหน้ามองผม จ้องกันระยะใกล้ๆ กันแบบนี้ ไอ้นี่ถือว่าหล่อเชียว ติดว่าไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่ แววตาแข็งๆ มองกันเหมือนคนยังไม่เปิดเปลือกตามองเต็มที่ ไม่รู้ว่าเขาจะคิดว่าผมก็หล่อรึเปล่า เห็นแต่หัวคิ้วเข้าขยับ และลูกกะตาส่ายไหวไปมาเหมือนไม่รู้จะจ้องตาซ้ายหรือตาขวาของผมดี

“ถึงแล้วนี่”

“อื้อ  ถึงแล้ว หลังนี้แหละคุณ”

“ก็ลงดิ”
“ไม่ลงหรอ?”

เออว่ะ...ที่มองเพราะสงสัยเรื่องนี้อ่ะนะ? ก็ขอนั่งเพื่อร่ำลาและขอบคุณตามมารยาทหน่อยดิวะ พ่อแม่ผมสอนมาดีนะเฮ้ย!

“ก็....ขอบใจนะ”
“งั้นช่วยยก....”

ปีก ได้ยินเสียงปลดล็อคประตูด้วยครับ เจ้าของรถดึงเปลือกตาสูงขึ้นกว่าเดิม ดูก็รู้ครับว่ากำลังสื่อสารว่า ลงไปสิเว้ย

ผมถอนหายใจให้แม่งได้ยิน ทำหน้ากวนตีนใส่และลงจากรถ เปิดประตูหลังเพื่อยกกล่องสัมภาระของตัวเองด้วยตัวเอง แต่ก็หยุดมือไว้ก่อน เพราะเจ้าของรถตามลงมาด้วย

“ยกไม่ไหวหรอ?”

ถ้ากูตอบว่ายกไม่ไหวจะดูสำออยมั้ยล่ะไอ้ควาย
ตอนยกจากห้องและเอาขึ้นรถ ก็มีรถเข็นสัมภาระของเขาเอง และของส่วนกลางคอนโดมาเป็นเครื่องทุ่นแรง ตอนยกขึ้นรถก็ช่วยกันไง แล้วตอนเอาลงจะทำเองคนเดียวไหวยังไงล่ะวะ?

ผมไม่ตอบ คิดว่าเขาก็คงประมวลผลอยู่เหมือนกันว่าผมทำคนเดียวไม่ไหว
สุดท้ายแล้ว นายค้ำจุนที่รู้จักคำว่าน้ำใจตั้งแต่ป.4 ก็ช่วยผมยกกล่องสัมภาระลงจากรถ และแบกเข้าบ้าน

เช็ตแรกยังไม่ทันผ่านไป เซ็ตสอง เซ็ตสามจะเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะครับ?

ที่ว่าเซ็ตแรกยังไม่ทันผ่านไป ก็เพราะว่าผมเข้าบ้านไม่ได้
ผมโทรหาพี่สาว และก็แน่นอนว่าไม่รับสาย
อะไรกันวะเนี่ย!!!

สุดท้าย ผมก็ต้องพึ่งทางออกสุดท้าย

แม่นั่นเอง

ผมโทรหาแม่ เมื่อได้รับการตอบรับ ผมก็ถามตรงๆ อย่างไม่สนแล้วว่าใครจะกังวลเพิ่ม ใครจะโดนตีตูดลาย ใครจะได้รับความเสียหายและไม่มีโอกาสแก้ตัว

“แม่ครับ เปเอง”
“ป๋อมทิ้งบ้านไปอยู่ไหนไม่รู้ โทรหาก็ไม่รับสาย”
“บ้านก็ล็อค เปเข้าบ้านไม่ได้เนี่ย เปจะอยู่ยังไงครับแม่”

พ่นแล้วก็รอคำตอบ รอทางออก ซึ่ง...ก็ไม่คิดหรอกว่าครับว่าผมจะช็อคกว่าเดิม

“พี่ป๋อมเค้าไปรัสเซียไงลูก”
“เค้าเที่ยวพักผ่อนของเค้าไง”
“นี่ไม่ได้บอกกันหรอ ? พี่เค้าคงลืม ไม่ก็เห็นว่าเปอยู่คอนโดสะดวกสบายดีแล้วละมั้ง”
“ไม่เป็นไรลูกเป ไม่ต้องห่วงพี่เค้าหรอก”

คุณพระ....โลกผมทรุดลง 2 เซนติเมตร
แล้วผม...จะอยู่ยังไง?

“แม่ครับ เจ๊ป๋อมไปเที่ยวกี่วัน”

“อืมม สัก 1 ล่ะเป”

“อาทิตย์หรอครับ”

“เดือนสิลูก” แล้วก็หัวเราะเสียงอิ่มสุข

“งั้น...แม่ส่งกุญแจบ้านทุกประตูมาให้เปหน่อยได้มั้ยครับ”

“อยู่ที่พี่เค้าหมดล่ะลูก ก็บ้านนั้นเป็นของพี่เค้าแล้วไง เปก็ได้คอนโดไงลูก”
“มีอะไรรึเปล่าเป เบื่อคอนโดแล้วหรอ? งั้นมาอยู่อ่างทองกับแม่”

พูดจริงหรือพูดเล่นก็ไม่รู้ แต่ถ้าผมไปอยู่อ่างทองกับแม่จริงๆ ผมก็เป็นบ้าไปแล้วจริงๆ เช่นกัน
ผมตอบแม่ไปแค่ว่าไม่เป็นไรครับ แล้วก็บอกว่าอยู่คอนโดสะดวกสบายดีมากๆ ไว้ว่างๆ จะไปหา แล้วก็ขอให้สุขภาพแข็งแรงทั้งพ่อและแม่ เพื่ออยู่เป็นต้นไม้ใหญ่ให้กาฝากอย่างผมเกาะติดไปนานๆ

เมื่อวางสายและหันมองคนทื่ยืนเท้ารถเข็นขนของอยู่ข้างๆ ผมก็รู้สถานะตัวเองทันทีว่าไม่ใช่คนที่ถือไพ่เหนือกว่าอีกต่อไป

“เอ่ออออ” ผมเริ่มพูดก่อน ส่วนนายค้ำจุนเลิกคิ้วราวกับว่าใช้ประตูคิ้วและหูประตูเดียวกัน
“ผม ... คงต้องอยู่คอนโดอีกสักเดือนน่ะ”
“คุณ.......” แม่งขมวดคิ้วแล้ว หรือว่าหูจะปิดไปแล้วเหมือนกันวะ?
“อย่าเพิ่งย้ายมาอยู่ได้ป่ะ?”

หมอนี่ไม่พูดอะไร แต่ขยับปากเป็น 3 พยัญชนะในภาษาไทยว่า คอ วอ ยอ

ผมไม่รู้ว่าเขามีสระอาให้ผมรึเปล่า แต่สายตาผมที่จ้องปากเขาอยู่ มันถอดรหัสออกมาได้ตามนี้แหละครับ


Home*Mate


เมื่อเขียนสัญญาแล้ว รับเงินมาแล้ว ดีลก็คือดีลครับ
ห้องนี้มีผู้เช่าย้ายมาอยู่แล้ว ชื่อว่านายค้ำจุน ชื่อจริงๆ ตามที่ผมอ่านจากลายเซ็นก็คือ ปวริทธิ์ กุศลานนท์ เขาเช่าห้องนี้เพื่อการอยู่อาศัยเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งไอ้สัญญานี้ทำให้ผม ไม่มีคอนโดสำหรับอยู่อาศัยเป็นเวลา 6 เดือนเช่นกัน

และผมก็อยู่บ้านไม่ได้ เป็นเวลา 1 เดือน  แล้วผมก็จะซุกหัวนอนที่ไหนกันล่ะ?
เช่าห้องถูกๆ ?
นอนโรงแรม? แน่นอนว่าแพงไปไม่ผ่าน
ขออยู่กับเพื่อน...กวนกันมากไป ไม่ควร
ไปอยู่อ่างทองกับพ่อแม่ แล้วผมจะมาทำงานยังไง
 
“ดูเครียดนะคุณ”
“ยังไงก็กินไปก่อนเถอะ ค่อยคิด” คนที่นั่งตรงกันข้ามในร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเจ้าดังย่านนี้เอ่ยขึ้น เขาดูดน้ำจากแก้วเมื่อพูดเสร็จ ส่วนผมก็ยังคงคร่ำเครียดต่อ

“มันยากอะไรอ่ะคุณ”
“หาที่อยู่หรอ?”
“คุณก็...เอาเงินค่าเช่าที่ได้จากผมไปเช่าคอนโดอยู่สิ”

“เท่านั้นมันจะได้สักที่เอเคอร์”
“บอกแล้วไงว่าค่าเช่าที่คุณได้ตามสัญญา 6  เดือนน่ะถูกมากแล้ว ห้องตั้งกว้าง”

“เอ้า แต่ผมก็ไม่ได้ใช้พื้นที่ทั้งหมดนี่ ค่าเช่าเท่าที่ตกลงกันก็โอเคมากแล้ว”
“ไงๆ ห้องนอนใหญ่ก็ว่างตามสัญญา ผมไม่เข้าไปวิ่งเล่นหรอก รับรองได้”

“เออว่ะ?”

“......หือ?.....”

“จริงด้วย!”
“ห้องผมไง”
“เห้ย! คุณเช่าครึ่งเดียวไม่ใช่หรอ?”
“อีกห้องก็ว่างไง ผมก็อยู่ครึ่งที่เหลือก็ได้อ่ะดิ”

“หา??????”

ผมส่งยิ้มให้ รีบเอื้อมคว้ามือเขามาจับกุมไว้ ส่งสายตาแห่งความหวังไปให้ และก็เอ่ยคำพูดแสนธรรมดา เหมาะกับผู้เช่าธรรมดาๆ ของผม

“เราอยู่ด้วยกันนะ จุน”

แน่นอนล่ะครับว่าหมอนี่โวยวาย แต่เมื่อได้รับข้อเสนอใหม่จากคนไม่ธรมดาอย่างผม ไอ้ค้ำจุนก็ต้องยอม
หึ หึ หึ...  ข้อเสนอสุดพิเศษของผมก็คือ ไอ้เดือนละหมื่นที่มันจ่ายมาแล้วนั้น คือค่าเช่าสุทธิ หมายความว่า 6 เดือนที่เขาอยู่ที่นี่ ค่าน้ำ  ค่าไฟ ค่าไวไฟที่ห้อง มันไม่ต้องเสียเพิ่มแล้วครับ เขาครุ่นคิดนิดเดียวก็พยักหน้าตอบตกลง

พวกเราตบท้ายเพียงว่า 6 เดือนข้างหน้า ค่อยมาว่ากันใหม่

 
Home*Mate


“คุณ กินแล้วล้างดิ”

“........”

“คุณ”
“เห้ย คุณณณณ”

“รู้ววววววววววว” ผมสันดานออกแล้วครับ ผมอยู่กับนายค้ำจุนมาครบอาทิตย์พอดิบพอดี เช้าวันอาทิตย์อากาศแสนธรรมดาแบบนี้ มันต้องกินแล้วมานอนต่อที่โซฟาเท่านั้นครับ

มนุษย์ผู้เช่าห้องคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไปครับ
ข้อแรก เขาเจ้าระเบียบมาก น่ารำคาญกว่าเจ๊ป๋อมเสียอีก
ข้อสอง เขามีข้อห้ามเยอะแยะเสียจนทำให้คนที่เยอะสิ่งมาตลอดชีวิตแบบผมดูเป็นคนเรื่องมากระดับธรรมดา
ข้อสาม เขาเข้าใจยาก และเขาก็ไม่ใช่คนใช้คำพูดอธิบายบริบทสักเท่าไหร่ หมอนี่ชอบทำให้ยุ่งยากใจจนถึงขีดสุดก่อน แล้วค่อยเผยอปากบอกเหตุผลหรือสิ่งที่เขายึดเป็นหลักคิด และขอบอกเลยว่าหลักคิดเขาและผมต่างกันมาก

เขายึดการแบ่งปัน ส่วนผมยึดตัวเอง
ใครน่ารักกว่ากัน คงไม่ต้องบอกนะครับ

“รู้แล้วก็ทำดิ”
“ไม่ล้างทันทีจานชามมันติดกลิ่น เดี๋ยวก็ได้เน่าทั้งครัว”

“เดี๋ยวล้างเอง หมดเลย คุณไปเถอะ มีธุระไม่ใช่หรอ?”

“ผมไม่สบายใจจะออกจากห้องโดยที่ยังมีสิ่งปฏิกูลคาอยู่ เหมือนอึแล้วไม่ได้กดชักโครกอ่ะคุณ”
“ล้างดิ ผมทำให้กินแล้วคุณก็ต้องเป็นเก็บล้าง เรื่องง่ายๆ” ก็มันไม่ง่ายสำหรับผมนี่หว่า ทำไมอ่ะ ผมอยากล้างตอนที่ไม่มีจานชามใส่ของกินปรนเปรอตัวเองแล้วอ่ะ ทำไมต้องรีบล้างเลย ทำไม?

ผมละสายตาจากทีวีอัจฉริยะที่กำลังเปิดดูรายการเพลงเพื่อผ่อนคลายสมอง ผมมองนายค้ำจุนเพื่อย้ำให้เห็นว่ากูรำคาญแล้วนะ อย่าเยอะกว่านี้ได้มั้ยวะ? แต่สายตาที่ผมได้รับกลับมาก็เหมือนการส่องกระจกนั่นแหละครับ

เขากับผมไม่ใช่คนที่นิสัยเข้ากัน ไม่ใช่คนที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติได้ เขาไม่ตามใจผม ผมก็ขัดเขาได้ทุกเรื่องเหมือนกัน แต่เราต้องอยู่ด้วยกันเพราะเราทำสัญญาเอาไว้แล้ว

อีก 6 เดือน
ทนแค่ 6 เดือน
ผมท่องในใจระหว่างที่แช่สายตาจ้องกันอย่างไม่ลดละ และก็เป็นผมที่ลุกจากโซฟา  เดินเข้าส่วนครัวที่แยกตัวออกจากห้องนั่งเล่น และลงมือล้างจานจนเสียงดังโครมคราม

“ถ้าแตกแล้วเสียเงินซื้อใหม่ คุณจ่ายนะ”

การล้างจานด้วยเสียงสุภาพก็นุ่มหูดีนะครับ ไม่เคยทำก็ลองทำดู  ผมเป็นคนเรียนรู้เร็วเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ว่างกหรืออะไรหรอกครับ

กำลังสะบัดน้ำจากมือจนมันกระเซ็นไปทั่วอ่างล้างจาน ผ้าแห้งผืนเล็กก็ถูกมือใครคนหนึ่งส่งตัวมาตรงหน้าผม

“อะ...อะไร?”

“เช็ดซิงค์ดิ จะได้สะอาด”

“เฮ้ยยยยยยยยยยย” ผมกำลังจะด่าเพิ่ม นายค้ำจุนก็หัวเราะขำ ส่ายหัวระหว่างมองผมเหมือนมองเด็กทำอะไรเปิ่นๆ เขาไม่พูดอะไรต่อ แต่เหยียดแขนยาวยื่นมือใหญ่มาเช็ดอ่างล้างจานให้ โดยมีผมยืนมองอยู่ไม่ห่าง

“สะอาดมันต้องดีกว่าสกปรกอยู่แล้ว”
“เนี่ย ผมจับเวลาอยู่ คุณใช้เวลาล้างจานไม่ถึง 5  นาทีเลย”

“เพื่อ?”

“คุณจะได้รู้ไงว่าอย่าอิดออดให้มากความ อย่าทำเรื่องง่ายให้มันยุ่งยาก”

“เหอะ” ผมสะอึกหัวเราะใส่ เบี่ยงตัวหลบลี้ออกจากครัว แต่หมอนี่กลับรั้งแขนเอาไว้
“อะไรอีกอ่ะ ก็ล้างหมดแล้วไง หรือว่าต้องกดชักโครกให้ด้วย”

“เปล่า”
“ผมจะไปซื้อของ คุณไปด้วยกันดิ”

“เพื่อ?”

“ก็จะไปซื้อของสดทำอาหารระหว่างสัปดาห์”
“และคุณก็กินด้วย ก็ต้องหารกันดิ”

ไอ้ห่านี่งกกว่าผมอีกหรอวะ?
แล้วแบบนี้มันแฟร์รึไง ค่าน้ำค่าไฟค่าไวไฟที่ห้องเขาไม่ต้องจ่ายทั้งที่เขาก็ใช้ด้วย แล้วทำไมผมต้องจ่ายค่าอาหารแม้ว่าจะกินด้วย มันไม่แฟร์อ่ะ!!!

“อะไรนะ?”
“หาร หรอ?”

“อือ”
“ก็กินด้วยกัน”

“แต่น้ำไฟก็ใช้ด้วยกันป่าววะ?”

“ก็คุณยื่นข้อเสนอมาเอง อันนั้นมันแลกกับให้ผมยอมให้คุณกลับมาอยู่ห้อง ไม่นับ”

อะไรวะเนี่ย? ทำไมผมถึงกลายเป็นคนเสียเปรียบไปซะได้
ผมมองเขาอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก นายค้ำจุนก็เลยเพิ่มทางเลือกให้

“งั้นคุณก็ซื้อกินเอาเองละกัน”
“ไปล่ะ”

“เอ้ยๆๆๆ”
“ใจเย็นดิคุณ” ผมเป็นฝ่ายดึงแขนเขาไว้แทน ส่งยิ้มให้ แล้วก็ขอต่อรองเพิ่มอีกนิดหน่อย
“ก็ได้ๆ หารก็หารดิวะ ผมมันแฟร์ๆ อยู่แล้ว”
“งั้นผมคิดเมนูเองมั่งนะ และคุณทำ เพราะกินตามเมนูคุณมันเบื่อ แม่งเอะอะก็ไข่”

“อือ”

พอเขารับคำ ผมก็สลัดเขาทิ้งอย่างไม่ใยดี เพราะเข้าห้องไปเปลี่ยนจากกางเกงนอนเป็นกางเกงวอร์ม เปลี่ยนเสื้อนอนเป็นเสื้อย้วยตัวโปรด แล้วก็คว้ากระเป๋าตังค์และโทรศัพท์มาอย่างคนพร้อมเดินทางเต็มที่

นายค้ำจุนยืนปิดแอร์ ปิดโทรทัศน์ ปิดไฟ เปิดม่านเพื่อรับแสงยามสาย เขาสำรวจความพร้อมของผม มีอาการขำหึหึนิดหน่อย แต่ผมจะไม่ถือสาอะไร เพราะผมเป็นผู้ใหญ่พอ 

สถานที่ช้อปปิ้งก็คือห้างที่ใกล้ที่สุดแหละครับ พอหาที่จอดรถได้แล้วก็ตะลุยซุปเปอร์มาร์เก็ตกันเลย

ผมไม่ได้รีเควสอะไรที่ยากเย็นนักหรอกครับ แค่ขอให้มีผักในทุกเมนูที่เขาทำเท่านั้น น้ำมันประกอบอาหารขอเป็นน้ำมันมะกอก และขอให้ใช้เนื้อสัตว์แปรรูปให้น้อยที่สุด ไม่ใช่ว่ารักสุขภาพอะไรนักหนา แต่ผมเบื่อของพวกนั้นจากที่ออฟฟิศแล้ว

นายค้ำจุนเข้าใจอะไรง่ายดี และก็ทำตามอย่างไม่ได้บ่นอะไร ดูๆ ของที่เขาหยิบแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ เพราะเขาเป็นผู้ชายที่คุ้ยเคยกับการเลือกผัก เลือกเนื้อสัตว์มาก ราวกับเคยเป็นกุ๊กมาก่อนอย่างนั้นแหละ

“เออนี่คุณ”

“อือ”​

“ทำไมทำอาหารเก่ง”

“ก็ชอบกิน แต่จะให้ซื้อทุกอย่างก็หมดตังค์พอดี”
“ทำเองก็ไม่ได้ยากอะไร”

“หรอ?”

“อือ”

“นี่คุณ” ผมเรียกเมื่อเดินผ่านส่วนของเครื่องดื่ม

“อือ”

“เบียร์ป่ะ?”

“หารนะ” ผมชะงักจังหวะก้าวและหันมองเขาเพื่อด่า แต่หมอนี่กลับหันมาและหัวเราะรออยู่แล้ว ผมก็เลยรู้ว่าเขากวนตีนผมเล่น และที่ได้รู้เพิ่มอีกก็คือ ค้ำจุนหัวเราะแล้วยิ่งดูดี

“อายุเท่าไหร่วะเนี่ย กวนตีนเป็นวัยรุ่น”

“26 คุณล่ะ”

“ปีหน้าก็เท่าคุณปีนี้แล้ว” เอ้า งงดิงง ผมจ้องหน้าเขาเพราะอยากเห็นตอนหมอนี่ทำหน้าโง่ แต่เขาไมโง่ครับ

“อ้อ อือ”
“ไวน์ด้วยได้ป่ะ”

“ไงก็ได้ ยังไงก็หาร” ผมตอบแบบคนโตๆ เขาทำกัน แล้วเราก็ช่วยกันเลือกเบียร์และไวน์อย่างเพลิดเพลินเลยครับ กระเป๋าแหกมากๆ เลยเดือนนี้ ขอบอก

จบจากของสดต่างๆ ผมก็ขอเลือกซื้อของใช้ส่วนตัว หมอนี่ก็เช่นกัน เราก็เลยแยกกันทำธุระ แล้วนัดเจอกันที่รถในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้าครับ

และทั้งที่ตกลงแยกย้ายกันไปแล้ว ผมและเขากลับเจอกันตามร้านที่แวะ ทั้งร้านเสื้อผ้า รองเท้า ร้านของใช้ในห้องน้ำ เวชภัณฑ์ แม้กระทั่งร้านขายยา สรุปก็คือเดินซื้อของด้วยกันนั่นแหละ และทั้งเขาและผมคงเต็มกลืนหน้ากันและเต็มที่ เลยแยกกันไปนั่งจิบกาแฟ ผมเลือกกาแฟดังเจ้าตลาด เขาเลยเลือกร้านกาแฟเจ้าตลาดปั๊มน้ำมัน

สั่งกันละกันเพียงว่า อีกครึ่งชั่วโมงเจอที่รถ

1 อาทิตย์เต็มๆ ที่ผมต้องใช้ชีวิตร่วมกับนายค้ำจุน เขาไม่ใช่คนเลวร้าย ไว้ใจไม่ได้ และเห็นแก่ตัว เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องที่ดีคนหนึ่ง รู้จักเส้นส่วนตัว และก็มีเส้นส่วนตัวเช่นเดียวกัน

นายค้ำจุนรักต้นไม้ และมีอาชีพเสริมคือขายต้นไม้ออนไลน์ มีหน้าร้านที่จตุจักรทุกๆ คืนวันอังคาร ซึ่งผมรู้ก็เพราะว่าเคยด่ากันไว้ที่หน้าร้านเค้าในคืนวันอังคารหนึ่งของปี  แต่สัปดาห์ที่ผ่านมา เขาไม่ได้ไปเปิดร้านหรอกครับ บอกว่าเด็กๆ ไม่พร้อม

เรากลับถึงห้องตอนบ่ายแก่ๆ หน่อย ผมเปิดแอร์และเขาก็ปิดทันที หมอนี่เปิดม่านจนสุด เปิดประตูกระจกริมระเบียง ประตูกระจกกั้นครัว และประตูกระจกริมระเบียงเล็กในอีกทิศของห้อง พอเปิดหมดแบบนี้แล้วลมจะพัดโกรกห้องผมอย่างมากครับ เขาเปิดพัดลมเพิ่มความเย็น และเป็นคนจัดของกินเข้าตู้เย็น ผมก็เลยจัดของใช้ส่วนตัวของผมที่ซื้อมาให้เข้าที่บ้าง

ความเป็นระเบียบเนี่ย มันคงเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งล่ะมั้งครับ

“คุณ เย็นนี้จะกินอะไร?”

“ข้าวผัดกุนเชียง”

“กับแกงจืดก็แล้วกันนะ”
“แชร์กันดิ


Tbc


มาต่อแล้ววววววว
เรื่องนี้ไม่มีปมให้ตึงเครียดใดๆ นะคะ
อยากเขียนให้เป็นเรื่องที่อ่านเรื่อยๆ เพราะคนเขียนก็เขียนมาแบบเอื่อยๆ
จะพยายามมาต่อเรื่อยๆ นะคะ ไม่อยากหายไปนานแล้ว เราก็คิดถึงพื้นที่ของเราเหมือนกันอ่ะเนอะ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ อ่านกันอยู่ 3-4 คน ก็อย่าเพิ่งเหงากันนะคะ มีเราอยู่ด้วยก็เป็น 5 คนแล้ว
เจอกันใหม่ตอนหน้า ปีนี้แน่นอนค่ะ

หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 5 (111217)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 12-12-2017 10:08:58
 :katai2-1: ว้ายยย มาเห็นตอนที่ 5 แล้วซะงั้น มากอดคนเขียนค่ะ เนื้อเรื่องกำลังจะไปกันได้สวยเลย จู่ๆกลายมาเป็นเพื่อนร่วมห้องมีไปซื้อของเข้าห้องด้วยกันแล้วด้วย คริคริ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 (301217)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 30-12-2017 01:05:32
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [6]


“อยู่ด้วยกันหรอ?”
“ทำไมอยู่ด้วยกันได้”
“เราหมายถึง ทำไมเปถึงอยู่กับเค้าได้ล่ะ คุณค้ำจุนเนี่ย” ยาดาเป็นคนช่างถาม ผมรู้มานานแล้ว แต่เพิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่นิสัยที่ดีก็ตอนที่ตัวเองถูกคาดหวังว่าจะมีคำตอบ

ผมมองหน้าเพื่อนเงียบๆ ระหว่างกินมื้อกลางวัน ผู้คนคลาคล่ำพอสมควร ผมอิ่มแล้วส่วนยาดายังกินขนมอยู่

“เอ้า ไม่ตอบหรอ?”

“ก็ว่าจะไม่ตอบ”

“ทำไมล่ะ?”

“เราต้องตอบอะไรก่อน ระหว่างทำไมไม่ตอบ กับทำไมถึงอยู่กับจุนได้” ผมย้อนถาม น้ำเสียงคงขุ่นๆ ยาดาก็เลยรู้ตัวเสียที

“ก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอกนะ แต่เราสงสัยนี่นา เปไม่ใช่คนอยู่กับคนง่าย ไม่ใช่คนคบคนง่าย ไม่อย่างนั้นคงไม่ทนเป็นเพื่อนกับเราทั้งที่ก็รำคาญเราหรอก เพราะแกขี้เกียจหาเพื่อนใหม่ ถูกมั้ยล่ะ?”

“ตอบอันล่าสุดละกัน ถูกกกกกกกก”​ผมถูกตบปากจู๋เป็นรูปสระอูกลับมา ยาดาที่ยังไม่อิ่มเสียทีหัวเราะกับตัวเองแล้วก็ส่ายหน้าไปพลาง เขี้ยวขนมหวานไปพลาง ผมเปิดน้ำเปล่าอีกขวดทั้งที่ใจไม่อยากนัก เพราะมันเป็นขวดแก้ว เปิดแล้วดื่มไม่หมดก็เสียเงินอย่างไม่สมเหตุสมผล และยาดาก็ไม่ใช่คนที่ชอบดื่มน้ำเปล่าเสียด้วยสิ

“ย้อนไปตอบข้อแรกด้วยสิ”

“ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไร เลยไม่รู้จะตอบคำถามที่ขึ้นด้วยได้ทำไมยังไงดี”
“เราก็บอกไปแล้วไงว่าสุดวิสัย แล้วมันก็แฟร์กับห้อง และราคาค่าเช่าที่เราได้รับด้วย”
“คิดในแง่ดี เราไม่ต้องนั่งจิตตกว่าผู้เช่าจะทำห้องเราเละเทะรึเปล่าด้วยนะ มีแต่ได้กับได้”

“อ้อหรอ?” เพื่อนย้ำถามให้คิดอีกแล้ว ผมว่าดีมันก็ต้องดีสิ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรเสีย จะเสียนิดหน่อยก็ความเป็นส่วนตัว ซึ่งมันยังไม่มีเหตุการณ์อะไรที่จะชี้นำความรู้สึกนึกคิดผมไปทางนั้น ผมกับค้ำจุน ต่างคนต่างอยู่พอสมควร เว้นแต่ส่วนกลาง ก็คือห้องนั่งเล่นที่เจอหน้ากันบ่อย แต่ถ้าอยู่ห้องพร้อมๆ กัน เหมือนช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา นายค้ำจุนจะขลุกอยู่ที่ระเบียงมากกว่า เวลาที่เหลือก็คืออยู่ในห้องนอน

“ตามนั้นแหละ ไม่เชื่อก็ไม่รู้จะตอบอะไรแล้ว”

“แต่เปก็ไม่เป็นส่วนตัวนะ”
“แล้วอย่างเรื่องทำความสะอาดห้องล่ะ ที่นั่งเล่นอ่ะ ใครทำ ล้างจานอีก อาหารการกินต่อมื้อทำยังไง แยกกันกินหรอ? แต่ก็ต้องมีใช่มั้ยล่ะที่ชงกาแฟกิน ปิ้งขนมปัง ใช้ไมโครเวฟ ใช้เครื่องกรองน้ำ ห้องเปพร้อมอยู่ขนาดนั้น ยังจะแถมเจ้าของห้องให้อีกหรอ?”

“อันนั้นมันเล็กน้อยจนเราไม่รู้จะคิดเงินค่าเช่ายังไงอ่ะ”
“เออ ไหนๆ ก็ชูประเด็นนี้มาแล้ว”
“ดาช่วยคิดหน่อยดิว่าควรเก็บเงินค่าใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องยังไงดี”
“แต่ค่าไฟ เราก็หารสองนะ ค่าน้ำด้วย”
“แต่พวกเครื่องใช้ไฟฟ้ามันก็มีค่าเสื่อมอ่ะเนอะ”
“อ่อ แต่เราไม่เอารถที่บ้านมาใช้นะ ไปไหนก็อาศัยรถค้ำจุนเอา ล่าสุดก็ไปซื้อของเข้าห้องด้วยกัน”

“อื้อหือออออ”
“ผัวเมียมากอ่ะเป”

“เฮ้ย! พูดหมาๆ”
“ไม่ผัวเมียก็เยอะไป”
“ดาอ่ะ คิดมาก”
“เรายังไม่คิดอะไรเลย ก็คิดซะว่าอยู่กับเพื่อน”

“...........” ยาดายกน้ำดื่มจนหมดแก้วแล้วก็มองผมตาโต เพื่อนผมคนนี้คงตกใจสุดขีดที่ผมพูดคำนั้นออกมา

“....ที่ไม่สนิท”

“ก็แปลกสำหรับเราอยู่ดีที่เปเลือกทางออกแบบนี้”
“เอาเถอะ แล้วแต่จะบอก ยังไงคนที่รู้ดีที่สุดก็เปอยู่ดี”
“แล้วเรื่องเจ๋ป๋อมล่ะ ใกล้กลับมารึยัง”

“เออ อาจเป็นเพราะเราจะอยู่กับทางนั้นแค่สั้น ๆ”
“พอป๋อมกลับมา เราก็จะกลับบ้าน”

“เราก็ว่าแปลกอีกอยู่ดี”
“ปกติเจ๊ป๋อมของเปหวงถิ่นจะตาย ไม่เคยทิ้งบ้านไปไหนนานกว่าอาทิตย์นึง ขนาดนั้นมีพ่อแม่แล้วก็เปอยู่ที่บ้านด้วยนะนั่น แล้วตอนนี้คือบ้านไม่มีใครดูแลเลย จะกล้าไปเที่ยวนานขนาดนี้ได้ยังไง” 

“อย่าว่าแต่ดาเลย เราก็ว่าแปลก”
“แต่จะให้ถามใครล่ะ? เข้าบ้านยังไงไม่ได้ ป๋อมก็แสบชิบหาย ทำเหมือนจงใจตัดเราออกจากชีวิต น้องทั้งคนนะเว้ย แม่งทำได้ไงวะ?” ผมบ่นถึงพี่สาวอย่างหัวเสีย พอไม่สบอารมณ์ก็ต้องรีบหาของชินลิ้นใส่ปาก ซึ่งวินาทีก็มีแค่น้ำเปล่าค่อนขวดนั่นแหละครับ

วันนี้คือวันอังคาร และยาดาก็ชักชวนผมไปตลาดต้นไม้ตอนกลางคืนเหมือนที่ชอบชวน และผมตอบตกลงทันทีอย่างที่ชอบทำ ผมชอบให้เพื่อนยินดีปรีดาในกิจกรรมที่ชอบ เพราะขัดไปแล้วมันอารมณ์เสีย มันก็จะส่งผลถึงผมด้วยในที่สุดอยู่ดี มาเอะใจอีกทีว่าอาจจะได้เจอนายค้ำจุนก็ตอนที่ยาดาทักถาม

“เออ แล้วคุณค้ำจุนเค้าไปขายของมั้ยอ่ะ คืนนี้”

“อืมมม ไม่รู้แฮะ”

“เอ้า ก็อยู่ด้วยกัน”

“เอ้า! ก็บอกแล้วไงว่าต่างคนต่างอยู่”
“ถึงทางนั้นก็มีน้ำใจทำข้าวเช้าเผื่อเราทุกวัน แต่ เราก็ไม่ลดค่าเช่านะ เพราะวัตถุดิบที่เอามาทำ หารกันไว้แล้ว”​

“จ้า ๆ ก็ไม่ได้อะไรเลย”
“เปว่ายังไงเราก็เชื่อ”
“ที่ถามถึง เพราะเราจะกะให้เค้าลดราคาต้นไม้ให้ ไม่รู้เค้าจะมีที่เราอยากได้ขายรึเปล่า”

“แล้วอยากได้อะไรอ่ะ เห็นซื้อไปตั้งเยอะแยะเต็มไปหมด”
“แล้วไอ้พวกนี้มันแพงมากหรอ ถึงต้องขอลดราคาอ่ะ”

“ก็แล้วแต่สายพันธ์”
“เออ แล้วเปมีไลน์หรือที่จะติดต่อส่วนตัวกับคุณค้ำจุนมั้ย ขอหน่อยสิ จะถามเรื่องต้นไม้”

“อ่อ....”
“ขอเราถามเค้าก่อนแล้วกันนะ”

“หวงหรอ?” สีหน้ายาดาไม่ได้น่ายินดีที่ได้เห็นเลยครับ มันเป็นสีหน้าจับผิด รู้ทันและล้อเลียนในเวลาเดียวกัน
“ถามหมาๆ”
“แค่ไม่อยากโดนเค้าด่าว่าไม่รู้จักขออนุญาตเท่านั้นแหละ”
“เห็นหน้าตาดีแบบนั้น มันด่าเจ็บนะ”

“อ๊ะ ๆ ทางนั้นหน้าตาดีด้วย”
“ไปกันใหญ่แล้วมั้ยเนี่ย ต้องเมาท์ให้วราห์ฟัง สนุกแน่ ๆ”

“ไอ้หมาผู้หญิง เงียบๆ ไปเลย” ถ้าขึ้นสรรพนามนี้เมื่อไหร่เป็นได้รู้กันว่าผมไม่สบอารมณ์มากครับ ยาดาทำเป็นย่นคอส่งสายตาขอโทษ  บีบ ๆ ไหล่ ชูนิ้วก้อยให้สัญญาว่าจะไปเดินดูต้นไม้ด้วยกันเหมือนเดิม พอผมยอมพยักหน้าสัญญา ยาดาถึงได้ยอมเดินกลับคอกทำงานของตัวเอง

ห้าโมงกว่าแล้ว ใกล้ถึงเวลากลับบ้านเต็มที ผมตรวจเช็คตารางงาน เมื่อแน่ใจว่าลิสท์งานวันนี้ได้ลุล่วงไปหมดแล้วก็เริ่มเก็บของ ออฟฟิศนี้เป็นออฟฟิศเล็กๆ ครับ แต่ว่าให้ผลตอบแทนสูงผมถึงยอมย้ายมา

งานแรกที่ทำคืองานบริษัทพี่ทัศน์ เป็นสื่อสารองค์กร ทำหน้าที่เล็ก ๆ แต่บริษัทเขาโตเร็วแล้วก็เข้าตลาดหลักทรัพย์ ความช่างสื่อสารข้อมูลขององค์กรของผมก็เลยเข้าตาบริษัทนี้ซึ่งเป็นพีอาร์ คอนซัลท์ เล็กๆ แต่ส่วนมากจะได้ลูกค้ารายใหญ่มาดูแล

แม้จะไม่มีเข้าออกงานที่ชัดเจน แต่ก็มีกรอบปฏิบัติอยู่เหมือนกัน ยาดาถือเป็นรุ่นพี่ที่ทำงาน แต่เป็นเพื่อนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ปี.1  ผมก็เลยไม่อยากได้เพื่อนเพิ่มแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อนสนิทหรือเพื่อนในที่ทำงาน เพราะเธอทูอินวันแล้วครับ

เจ้าตัวเก็บของเสียงดังขึ้นเมื่อใกล้เวลาห้าโมงครึ่ง เป็นสัญญาว่าจะไปแล้วนะคะ ใครมีงานอะไรของวันพรุ่งนี้รีบเก็บตกกับดานะคะพี่ๆ และเมื่อไม่มีการเรียกร้องกันไว้ในจังหวะสุดท้าย ยาดาก็ฉุดผมออกจากออฟฟิศในเวลา 17.40 น.

“หิวมั้ยเป”

“ไม่ล่ะ”

“แล้วคุณค้ำจุนล่ะว่าไง วันนี้จะได้เจอมั้ย ขอคอนแทคยังไม่ให้เราเลยนะเป”

“เออลืม”
“ทำนั่นนี่เยอะแยะ”
“จะเอาไรล่ะ เดี๋ยวถามให้เลย”

“ทูเลีย”

“หือ? ทุเรียน? บ้าหรอ? ซื้ออตก.ดิงั้น”

“ไอ้บ้าเป”
“ทู...เลีย” ลากเสียงยาวใส่อีกต่างหาก ผมขมวดคิ้วรับสาร แต่ในหัวไม่สามารถแปลรหัสสารที่รับมาแล้วระลึกข้อมูลเบื้องต้นได้เลยว่าทูเรียที่ว่าหน้าตาเป็นยังไง

“เดี๋ยวถามก่อนละกัน ถ้ามันแพงก็อย่าใช้ความเป็นเพื่อนเราไปต่อรองล่ะ”
“ขอบอกเลยว่าหมอนี่ไม่ธรรมดา เค้าไม่ยอมลดให้ดาง่าย ๆ หรอก”​

“อะไร ได้ค่าคอมหรอ? ช่วยขายเนี่ย”
“กระเป๋าตังค์เดียวกันแล้วสิงั้น”

“ไอ้”

“จ้า จ้า เราไม่แซวแล้วก็ได้ ถึงมันจะสนุกดีก็เถอะ”
“เอามาสิ ไลน์คุณค้ำจุน”

ผมไม่อยากให้
ข้อแรก ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้เลย อยากต่อรองราคาก็ทำมันหน้าร้านไปสิ ทำไมต้องมีนอกใส
ข้อสอง ผมไม่รู้เรื่องต้นไม้เท่าไหร่ แต่ยาดาเขาชอบทางนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาถ้าหากว่ายาดาจะชอบไปคุยกับนายค้ำจุนมากกว่าเพื่อนชายสายแข็งกระด้างอย่างผม นี่ผมหวงเพื่อนนะครับ ไม่ได้หวงใคร

“เดี๋ยวบอกให้ว่าอยากได้”
“ไม่รู้วันนี้มาขายรึเปล่า”
“ดาอาจไปเก้อก็ได้ หรือไม่ก็ต้องหาจากร้านอื่น”

“แค่นี้ก็ช่วยกันไม่ได้”
“โอเค เราหาเองก็ได้”

“ก็ช่วยไง แต่ไม่อยากให้คาดหวังหรือโยนมาเป็นโจทย์เรา”
“เคนะ”

“เค”

ผมส่ายหน้าใส่อาการงอนของเพื่อน เราเป็นเพื่อนกันมาจนรู้แล้วครับว่างอนได้ก็ง้อตัวเองให้เป็น อะไรที่มันไม่สมเหตุสมผลก็ไม่ควรทำจนติดเป็นนิสัย

ว่าแล้วก็กดหน้าต่างไลน์นายค้ำจุนขึ้นมา หูแว่วได้ยินเสียงยาดาพูดว่า “ดึงเราเข้ากลุ่มก็ได้ไง ง่ายออก”

ผมเหล่มอง ส่ายหน้าให้พอรู้ว่าปฏิเสธ จากนั้นก็เดินนำหน้าเพื่อน มุ่งหน้าไปรถไฟฟ้าบีทีเอส

“คุณ” ผมทักไลน์ไป เดินขึ้นสะพานลอยไม่กี่ก้าว เขาก็ตอบกลับ
“ครับ ว่า?”
“เย็นนี้ไปจตุจักรมั้ย” ผมกรุยทางไปก่อน ถ้าเขาบอกว่าไม่ไป ผมจะได้ยกเรื่องต้นอะไรเลียๆ นั่นไปคุยที่ห้องแทน
“อืม ขายของ” .... “คุณจะมาหรอ?” ถามกลับซะงั้น ผมกลายเป็นคนต้องตอบคำถามไปเสียได้
“ยาดาไปซื้อต้นไม้”.... “ถามหาอะไรเลียๆ คุณมีรึเปล่า”
“มีหลายเลีย เอาเลียอะไร” ขำซะงั้น ผมหัวเราะพรืด หันมองเพื่อนว่าเดินตามมาอยู่รึเปล่า พอเห็นว่าผมหันมอง ยาดาก็รีบฉีกยิ้มแล้วเดินเขย่งเพื่อขอดูหน้าจอบ้าง แต่ผมไม่ให้ดู

“อย่ามาชูคอ เดี๋ยวจัดการให้ไงดา” ผมส่งเสียงดุ เดินตามทางเชื่อมมุ่งหน้ามาที่บีทีเอส
“เลียอะไรมั่ง ว่ามา” ผมตอบไลน์เขา หัวเราะอยู่คนเดียวด้วยความคิดต่ำตมนิดๆ
“อยากได้เลียอะไรว่ามา” นายค้ำจุนตอบกลับ โอเค ๆ เราจะต่ำตมไปด้วยกัน ฮ่าๆๆๆ

“ดา ต้นอะไรนะ ลืม” ผมหยุดแชทไลน์เพื่อแตะบัตรรถไฟฟ้า พอเดินผ่านที่กั้นมาแล้วก็หยุดรอคำตอบเพื่อน

“ทูเลีย”

“โอเค”  ผมรับคำ พอรู้ว่าผมก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์เรื่องอะไร และกับใคร อารมณ์เพื่อนก็ดีขึ้นทันทีครับ ถึงขั้นเดินลั้ลลาขึ้นบันไดได้เลย ปกติจะจับจองบันไดเลื่อนเสมอ

“คุณ ทูเลีย มีมั้ย แพงมั้ย เท่าไหร่” ผมถามไปเป็นชุด กะเก็งไว้ว่าถ้าได้ชุดคำตอบกลับมาจะได้บอกยาดาไปให้สิ้นเรื่องราว

“หลากหลาย เน้นอะไร โขด(*) ใบ ทรง” ตอบกลับมาแบบนี้ก็ต้องต่อความยาวกันล่ะสิ และผมก็ไม่อยากเป็นคนกลางแล้วด้วย ผมไม่ใช่คนอินกับต้นไม้ สงสัยต้องให้เค้าคุยกันเองแล้วมั้ง

ระหว่างที่กำลังนึกสงสัย นายค้ำจุนที่ผมคุยอยู่ก็โทรเข้ามาครับ

“คุณ ชอบยูโฟเบีย(**) หรอ?”

“หา” อันนี้ตอบไปแบบปฏิกิริยาอัตโนมัติเลยครับ ไม่ได้ไตร่ตรองก่อนเลยว่าอะไรเบียๆ ที่เขาพูดคืออะไร
“เบียร์อะไร เบียร์หรอ? ใช่มั้ยคุณ”

“ต้นไม้ ที่คุณถามถึงไง ทูเลียน่ะ คือยูโฟเบีย”
“เอ่อ....ไงดี สรุปว่าจะมาที่ร้านใช่มั้ย”

“อ้อ อื้อ ยาดาอยากได้”
“คุณอยู่รึเปล่าล่ะ?”

“อยู่ ผมรอที่ร้านนะ เดี๋ยวกลับห้องพร้อมกัน” แล้วก็วางครับ คือ...อะไรวะ?
ผมกลับเลยไม่ได้หรอ? ผมต้องอยู่ที่ร้านเขาจริงจังด้วยหรอ? ต้องกลับพร้อมกันด้วยงั้นสิ?
เฮ้ย ๆ ช้าก่อน ผมอยากกลับก่อนไม่ได้รึไง อีกอย่างผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะกลับห้องกี่โมง

วันนี้น่าจะเป็นอังคารแรกที่เราอยู่ห้องเดียวกันแล้วเขาไปประกอบอาชีพเสริม  ปกติแล้วนายค้ำจุนจะกลับถึงห้องราว 2 ทุ่มนิดๆ โดยที่มักจะกินมื้อเย็นมาแล้วเรียบร้อย หรือไม่ก็ซื้อกลับมากินที่ห้อง ส่วนมากเป็นอาหารสำเร็จง่ายๆ เช่นข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู อะไรเทือกนี้ พอสักสี่ทุ่มเขากะไปขลุกอยู่นอกระเบียงที่เป็นแหล่งซ่องสุมฐานกำลัง ซึ่งผมไม่เคยสนใจไปวอแวอยู่แล้ว ผมก็อยู่ในห้องนอนผม แต่ที่รู้เพราะได้ยินเสียงเลื่อนประตูกระจกครับ

“เป็นไรอ่ะเป ร้านคุณค้ำจุนไม่มีหรอ?”

“เห็นว่ามี ค่อยไปหา” ผมตอบสั้นๆ เคลื่อนตัวเข้าบีทีเอสที่มาจอดเกยประตู และก็ครุ่นคิดหาเหตุผลดีๆ เอาไว้อ้างหากต้องการกล้บห้องก่อนนายค้ำจุน 

ยาดาไม่ได้พาหลงหรอกครับ แต่พาวุ่นวายมาก แทนที่เราจะเดินเหินกันตามสะดวก แต่เพื่อนกลับเพิ่มขั้นตอนการเดินทางขึ้นมาอีกระดับ
จากที่ลงสถานีหมอชิด แทนที่จะเดินเข้าสวนจตุจักรไปให้สิ้นเรื่อง ยาดากลับพาผมขึ้นเอ็มอาร์ที นั่งย้อนมาลงสถานีกำแพงเพชร เพื่อจะเจอทางออกที่พบกับร้านขายต้นไม้พอดี​ โอเค ไม่ต้องเดินเมื่อย แต่ไอ้ทางเดินในเอ็มอาร์ทีมันก็ยาวไกลพอกันนั่นแหละ

“มาๆ ไวๆ ดิเป เราตื่นเต้นอ่ะ”
“ไม่เคยมีเพื่อนขายต้นไม้เลย ดีใจนะ”

“เว่อร์”

“จริงๆ นะเป มันไม่ใช่ศาสตร์ที่ทำกันได้ง่ายๆ นะ”  ก็จริงของยาดา อย่างผมเนี่ย จับต้นไม้ปลูกเป็นได้ตายทุกต้น ไม่รู้ทำไม แม่บอกว่ามือร้อน แต่ผมว่ามือผมก็ปกติ แม้จะยอมรับว่าไม่ใช่ใครก็ทำมาหากินกับต้นไม้ได้ แต่ผมก็ไม่คิดว่าอาการที่ยาดาชื่นชมนายค้ำจุนนั้นสมเหตุสมผลหรอกครับ ดูยังไงก็เวอร์อยู่ดี อยากให้วราห์เห็นตอนที่ยัยนี่บ้าผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองเหลือเกิน แต่วราห์คงไม่หึงหรอก วราห์เองก็เครซี่หนังสือมากกว่ายาดาอยู่ประจำ

“แล้วร้านคุณค้ำจุนอยู่ไหนอ่ะ”

ผมหันมองหน้าเพื่อน สายตาไร้คำตอบคงทำให้ยาดากระจ่างในทันที

เออว่ะ....ร้านนายค้ำจุนอยู่ตรงไหน?

ก็เดินๆ ดูไป
เจอก็เจอเองนั่นแหละ
อยู่ในนี้แหละ
หรือถ้าไม่เจอร้านหมอนั่น ดาก็ซื้อร้านอื่น
หรือมันพิเศษมาก ทั้งประเทศนี้มีขายอยู่ไม่กี่ต้นหรอ?

ถึงจะพูดแบบนั้นออกไป ผมก็รู้แก่ใจว่ามันไม่ได้หากันง่ายๆ หรอกครับ
ยาดาบอกให้ผมโทรไปถามพิกัด หรือไลน์ถามก็ได้ ให้เขาอธิบายมาว่าจากประตูนี้ของเอ็มอาร์ทีเนี่ย ต้องเดินไปทางไหน ระยะเท่าไหร่ถึงจะเจอกัน
แต่ผมเลือกจะไม่ไต่ถาม แล้วก็เลือกที่จะ เดินๆ ดูไป และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเมื่อยครับ
พลบค่ำนี้ผู้คนคลาคล่ำ นอกจากเดินหลบกันโดยใช้หูเป็นเซนเซอร์กันชนกับคนแล้ว ยังต้องคอยหลบรถด้วยครับ
บอกตามตรงว่าผมไม่ได้สุนทรีย์ไปด้วยเลย ที่มาด้วยเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกันและยาดาก็เป็นผู้หญิง ทุกครั้งที่มาด้วย พอวราห์มาสมทบแล้วผมก็จะกลับบ้าน แต่ครั้งนี้ดูเหมือนปลายทางมันจะต่างออกไปนิดๆ อย่างน้อยนายค้ำจุนก็ชวนให้ผมกลับห้องพร้อมกัน
นี่ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ทำให้ผมสุนทรีย์ไม่ออก ผมรู้สึกถูกบังคับ ซึ่งไม่ชอบเลยให้ตายเถอะ

“เป เราจำได้ว่าร้านคุณค้ำจุนเขาอยู่ฝั่งซ้าย”
“คราวที่แล้วเราเดินชิดซ้ายกันก่อน เพื่อจะไปให้ถึงร้านดัง แล้วเราก็แยกเข้าร้านไป เปก็เดินเปะปะอยู่แถวๆ นั้น พอเดินออกมา เปก็อยู่ร้านทางขวามือเรา เพราะงั้นต้องอยู่ฝั่งซ้ายถ้ามุ่งหน้าไปร้านดัง”
“เราเป็นคนออกมาหาเปเอง เราจำได้”

“โอเค งั้นเล็งซ้าย”

“ว่าแต่ เขาไม่เวียนที่กันใช่มั้ย?”

“เออว่ะ ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

แค่หานายค้ำจุนให้เจอในจตุจักรไนท์มาร์เก็ต ทำไมมันถึงยากแบบนี้วะ?
ผมเริ่มหงุดหงิด ถอนหายใจเสียงดัง พยายามข่มอารมณ์และเพิ่มความอดทนให้ตัวเอง และวางแผนไว้แล้วว่า ถ้าวราห์มาเมื่อไหร่ผมจะกลับทันที

ครืดดดดดด
โทรศัพท์ผมสั่นเตือนส้นๆ ลักษณะแบบนี้น่าจะเป็นข้อความรัวเข้ามา
พอหยิบมาดูก็เจอข้อความสวรรค์ครับ
นายค้ำจุนส่งรูปถ่ายหน้าร้านมาให้ รวมถึงรูปถ่ายฝั่งตรงข้ามของร้านมาให้ด้วย  ก็ยังดี อย่างน้อยก็จะได้มีจุดสังเกต
ผมยกหน้าที่ตามหานายค้ำจุนให้ยาดาแต่เพียงผู้เดียว ส่วนผมจะเดินตามเพื่อนไปเท่านั้น

“นั่นมั้ยอ่ะเป”

“ไหน? หือ? เออ ใช่มั้ง เดินไปดูดิ๊” ผมเออออ ไม่ได้สนใจเพ่งดูด้วยซ้ำว่ามีหัวคุ้นๆ ตา อยู่ในทิศทางที่ยาดาชี้รึเปล่า

แต่เราก็เจอกันครับ
นายค้ำจุนกำลังสาละวนพูดกับลูกค้าของเขากลุ่มนึงครับ คงอธิบายอย่างเมามันแน่ๆ มือไม้ถึงได้ช่วยกันสื่อสารเต็มไปหมด เขาหันมามองหน้าร้าน และก็สบตากับผมซึ่งยื่นทื่อๆ ปิดรูเข้าออกเล็กๆ ของร้านเขาไว้ ส่วนยาดาเดินแทรกตัวเข้าไปตามซอกเล็กๆ ที่กระบะวางต้นไม้เว้นระยะไว้ให้

“คุณ”

“อื้อคุณ” เราทักกัน แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรกันอีก

เขาหันไปพูดกับลูกค้าต่อ ที่ได้ยินคร่าวๆ ก็เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเหล่าต้นไม้พวกนี้ แดดร้อยน้ำร้อยได้เลย ถ้าหากมันเป็นโค้ดลับในวงการนี้ ก็ต้องบอกเลยว่าเป็นโค้ดที่เข้าใจได้ง่าย แต่เอาไปใช้จริง น่าจะยากพอตัว

ส่วนผม เดินประกบหลังยาดาและคอยทำหน้าเห็นด้วยเมื่อเธอยกต้นไม้นั้นนี้มาถามด้วยเสียงสองว่า น่ารักมั้ยเป .... เอ่อ ก็ต้นไม้อ่ะยาดา อันนี้ผมตอบในใจนะครับ

“นี่ๆ คุณค้ำจุนว่างแล้ว”
“ไปถามกัน”

“ก็ไปสิ” ผมบอกเพื่อนระหว่างโค้งตัวลงจ้องต้นไม้ที่ยืดตัวในกระถางเล็กๆ มีป้ายเล็กพอกัน ปักไว้ว่าหลายราคา

“เปเปิดประเด็นหน่อยดิ”

“ก็ถามไปสิ อยากได้ต้นอะไรเลียๆ ไม่ใช่หรอ”

“ก็......”
“เราก็เขินๆ ไง”

“อย่าเยอะว่ะ”
“ถามเอง” บอกยื่นคำขาด ส่งนิ้วชี้ของตัวเองไปเขี่ยหนามต้นกระบองเพชรต้นหนึ่ง หนามม้นหุบลงไปครับ เลยขอแตะดูหน่อยว่ามันแข็งหรืออ่อนยังไงแค่ไหน

“คุณ” คำทักและเสียงคุ้นหูเรียกให้ผมหันขวับไปทันที นายค้ำจุนยืนมองผม ดวงตาที่เบิ่งโตขึ้นหน่อยน่าจะแทนคำถามอะไรสักอย่าง

“อ้อ”
“อืม ยาดาอยากได้ต้นที่บอกน่ะ คุณแนะนำหน่อยสิ”

“อ้อ ได้สิ”
“คุณ....เอ่อ”

“ยาดา เรียกยาดานั่นแหละ” นี่ก็ถนัดจะประหลาดเหลือเกิน ผมหัวเราะหึเมื่อได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นของเพื่อน จากนั้นก็สนใจกระบองเพชรต้นถัดไป ผิวเขียวของต้นนี้เกลี้ยงหนาม มีก้อนขนผุดขึ้นมาดูนุ่มๆ เรียงตัวเป็นระเบียบตามสันเตี้ยๆ ของต้น

เออ ... อันนี้สวยว่ะ
ไอ้ฟูๆ นี่จะนุ่มมั้ยวะ?
ระหว่างดูความแตกต่างแต่ละต้นในกระบะนี้ ยาดาก็มาลากแขนผมไปให้ยืนอยู่ในวงเลคเชอร์เล็กๆ

“มาฟังดิเป จะได้ช่วยจำ”

“ทำไมเราต้องช่วยจำล่ะ? แกเลี้ยงแกก็จำเองสิ”

“เราจะเลี้ยงในออฟฟิศ”

“อ้าว ..... ได้หรอ?” คำถามหลังผมส่งให้นายค้ำจุนที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว เขาทำท่าคิดนิดเดียวก็ให้คำตอบ

“ทูเลียชอบแดดนะ ในออฟฟิศมีแดดหรอ”
“ถ้าวางริมกระจกก็อาจได้ แต่ก็ไม่เพียงพอ”
“พวกยูโฟเบียโชว์ ใบเค้าแกร่งนะ อัดแดดได้เลย ฟอร์มจะสวยด้วย”

“เอาต้นที่เลี้ยงในออฟฟิศได้ไปดิงั้น”​ผมเสนอทางเลือกให้เมื่อเพื่อนทำหน้าผิดหวังเพราะรู้สึกเห็นใจ ยาดาเป็นผู้หญิงเก่งที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกับสิ่งที่ผู้หญิงคู่ควรสักเท่าไหร่ เวลาเธอผิดหวังทีผมจะรู้สึกสงสารมาก
“ก็...เลียเลียเนี่ย มันเลี้ยงในออฟฟิศไม่ได้นี่ดา”
“หรือไม่ก็เอาไปเลี้ยงที่บ้าน เอามั้ยล่ะ?”
“ถ้าเลี้ยงที่บ้านต้องดูแลยังไงนะคุณ” ผมถามพ่อค้าที่จ้องผมอยู่ก่อนแล้ว หวังว่าเขาจะรับรู้ได้นะว่าผมกำลังถางทางช่วยให้เพื่อนสมหวัง

“ถ้าเลี้ยงที่บ้านก็ดีเลยครับ เค้าชอบแดด”
“รำไรก็ได้นะ แต่ต้องได้แสงธรรมชาติอย่างน้อยๆ ก็70%”

“คือยังไงหรอคะ 70%” ยาดาถามขึ้น รอบนี้หยิบต้นไม้เล็กๆ ในกระถางที่ปากกว้างไม่เกิน 2 นิ้ว ขึ้นมาส่องใกล้ตา
 
อ่อ...เจ้านี่นั่นเอง เลียเลีย อืม ไม่น่าจะชื่อนี้ แต่ผมก็จำชื่อมันไม่ได้อยู่ดี

“ก็ถ้านับ100% เท่ากับพระอาทิตย์ขึ้นถึงตก 70% ก็คือได้แดดตั้งแต่10 โมงเช้าเป็นไป ประมาณนี้อ่ะครับ 50% ก็ลดลงมาตามสัดส่วน คิดเร็ว ๆ ก็คือ แดดประมาณครึ่งวัน อะไรประมาณนี้”

“อ๋อออ”
“เข้าใจแล้วค่ะ นึกว่าความแรงกล้าของแดดซะอีก กำลังกลัวอยู่เลยว่าเราจะทดสอบความแรงของแดดยังไงดี”

คุยอะไรกันวะ? ทำไมผมไม่ค่อยรู้เรื่องเลย

“ดีนที่คุณค้ำจุนอธิบาย”
“ก่อนหน้าที่เราซื้อไป พ่อค้าก็บอกแค่เรื่องรดน้ำกี่วันครั้ง”

“อ้อ เค้าคงเชื่อว่าคนซื้อไปน่าจะรู้อยู่แล้วว่าพวกแคคตัสชอบแดดน่ะครับ”
“ยาดาลองดูต้นอื่นมั้ย ถ้าเลี้ยงในออฟฟิศก็เอาพวกไม้หนามไปก็ได้นะ แต่เป็นผู้หญิง อาจจะไม่ชอบ แบบรู้สึกโหดไป”

“ไม่ๆ ไม้หนามเราก็ชอบ”
“แต่เราเห็นราคาแรง เลยไม่กล้าซื้อไป”

“ไปเจอตัวไหนถึงว่าแพง”

“ก็วันก่อนนู้นไปซื้อร้านดังอ่ะ รู้จักใช่มั้ย ถามตัวด่างของยิมโนไป โหย เกือบพันแหนะ แต่ไซส์ใหญ่แล้วนะ เราเห็นมันสวยดี เป็นด่างๆ ก็ยิ่งดีใช่มั้ยล่ะ อ่านเจอมา แต่ไม่คิดว่าราคาจะแรงขนาดนี้ เค้าก็บอกว่าไม้เมล็ด เราก็งงๆ นะว่ามันพิเศษตรงไหนกันเล่า”
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 (301217)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 30-12-2017 01:11:24
เป็นตุเป็นตะ ต่อยหอย ผมนิยามอากัปที่พวกเขาคุยกันได้ราวๆ นี้ครับ พอเห็นว่านายค้ำจุนน่าจะดูแลเพื่อนผมได้ ผมก็มองต้นนั้นต้นนี้ของผมไปเรื่อยๆ และก็มาสะดุดตาที่ชื่อของต้นไม้ต้นหนึ่ง

ฟรองซัว
ชื่อมึงหล่อกว่ากูอีกต้นไม้เอ้ย
หน้าตาฟรองซัวก็ดูป๋าๆ หน่อยสำหรับผมครับ
เป็นต้นไม้ที่ดูก็รู้ว่ามีอายุแล้วแต่ก็สามารถอยู่ในกระถางปากกว้างราว 4 นิ้วได้ ส่วนต้นมีผิวขรุขระ แต่ก็มองเห็นยากนะครับเพราะใบแม่งยั้วเยี้ยไปหมด ดูแล้วน่าจะเหมือนไม้แข็งทั่วไป ส่วนใบเรียวยาวขอบเหมือนจะมีริ้วหยักนิดหน่อย สีเขียวและขาวปนกันไป

สวยดีว่ะ

“อย่างฟรองซัว ก็จะโตมาฟอร์มใหญ่กว่าทูเลียนะครับ”
“เป็นไม้ใบมากกว่าด้วย”
“ที่เปดูอยู่นั่นก็ฟอร์มสวย”

อ้าว แล้วทำไมต้องมาพูดถึงต้นที่ผมยืนส่องอยู่ด้วยวะ เมื่อมีคนพูดถึงของที่เรามองอยู่ มันก็มี 2  ทางให้เลือกครับ ทางแรกคือเลิกสนใจของนั้นซะ กับทางที่สองคือทำให้คนเสือกมาสนใจของที่เรามองอยู่ไปซะ และผมก็เลือกทางแรกครับ

ผมย้ายไปสนใจดูต้นอื่นแทน..... และ

“ส่วนต้นที่เปมองอยู่ อันนั้นแอมโบ”
“แต่บอกก่อนนะ พวกยูโฟเบียเนี่ยผมไม่ค่อยมีมาเยอะหรอก”
“ส่วนมากเอาไว้ที่โรงเรือนที่บ้าน”

“หรอ? คุณค้ำจุนมีสวนของตัวเองด้วยใช่มั้ย น่าไปเที่ยวจัง”

“เอาสิ เอาไว้เข้าที่เข้าทางแล้วผมบอกผ่านเปไป”
“เนอะ” ผมไม่ควรหันไปมองหน้านายค้ำจุนเลย แม้ว่าเขาจะพูดถึงผมแทบทุกคำก็ตาม

“เป ไปกันนะ”
“นะ ชวนวราห์ด้วย”

แล้วทำไมผมต้องไปเอี่ยวกับทริปดูต้นไม้ล่ะเนี่ย ผมไม่ได้ชอบพวกมันสักหน่อย

Home*Mate

สรุปแล้วยาดาได้แอมโบกลับไปครับ 1 กระถางถ้วน ซึ่งแม้ว่ผมจะอยู่ด้วยตั้งแต่คำถามแรกยันการตัดสินใจสุดท้าย ผมก็แยกเจ้าทูเลีย (จำชื่อได้แล้วครับ) แอมโบ และฟรองซัวไม่ค่อยออกเท่าไหร่ เอาเป็นว่ามาครั้งหน้าก็ลืมหมดแหละครับ

คนอยากได้ต้นไม้ ก็ได้ต้นไม้ไปแล้ว มีคนมารับพาส่งที่บ้านแล้วเหมือนเดิม ตอนนี้ผมได้รับเกียรติให้นั่งบนขอบฟุตบาธครับ พ่อค้าหน้าตาดูได้กำลังขายของอย่างขะมักเขม้น แต่ผมไม่ได้นั่งหง่าวง่วงอยู่คนเดียวหรอกนะครับ ผมมีคู่สนทนาเพิ่มแล้วครับ

“เป น้ำ”

“เฮ้ย ขอบใจมาก” หมอนี่คือเพื่อนนายค้ำจุนอีกที เขาปรากฏตัวขึ้นตอนที่ยาดากำลังสับสนว่าจะเอาแอมโบต้นไหนดี เขาชื่อต้นสน และเป็นคนพูดเก่งมากจนยาดาต้องเป็นฝ่ายหมดคำถามไปเอง นานๆ ผมจะเจอคนแบบนี้สักที

“แล้ววันนี้มาหาตัวไหนหรอ?”

“หือ? หาหรอ? อ๋อ....ก็เนี่ยแหละ หาจุน” ผมค่อนข้างแปลกใจว่าเขาเรียกหน่วยเพื่อนเป็นตัว แต่ก็ตอบไปตามความจริง ซึ่งมันทำให้นายต้นสนหัวเราะคิกคักครับ ผมขมวดคิ้วใส่แล้วก็ถามกลับ

“ขำอะไร?”

“มาหาไอ้จุนเนี่ยนะ ตอบมาได้ไง น่ารักชิบหาย” เฮ้ย ๆ ช้าก่อน ผมไม่ใช่คนที่เหมาะกับคำว่าน่ารักนะครับ

“เอ้า ขำอะไรวะ?”

“เฮ้ยๆๆ อย่าขึ้นดิ ใจเย็น”
“ที่ถามว่ามาหาตัวไหน หมายถึงต้นไม้ ไมใช่คน”

“ต้นไม้มันหน่วยเป็นตัวหรอ?”

“แล้วไอ้จุนมันหน่วยเป็นตัวได้ไง” พอโดนย้อนกลับผมก็ชะงักปากและหัวเราะคิกคักตามบ้าง จนได้ยินเสียง “เฮ้ย ไอ้ต้น” แบบเหวี่ยงๆ ดังมา ต้นสนเลยผละจากผมไปช่วยเพื่อนขายของ.....

อ่อ ไม่ใช่ครับ พวกเขาไม่ได้ช่วยกันขายของ นายค้ำจุนเรียกเพื่อนไปทำหน้าที่พ่อค้าหน้าหยกแทน

“คุณกินอะไรรึยัง? หิวมั้ย”
“เดินๆ ไปตรงนั้นมีขายของกินนะ ไก่ย่าง ทอดมัน ขนมโตเกียวไส้กรอกไข่หมา ยำๆ ไรพวกนั้น กินมั้ย”

“อ่ออ ดูหลากหลายเนอะ”
“งั้นเดี๋ยวผมไปดูดีกว่าว่ามีอะไรกินบ้าง คุณเอาอะไรมั้ย”

“ไม่เป็นไร ไอ้ต้นซื้อมาไว้ให้แล้วแหละมั้ง ปกติมันก็ซื้อเผื่อ”

“ไอ้จุน หิวก็ไปหาอะไรกินได้นะ คนน้อยๆ แล้ว เดี๋ยวป้าแกกลับบ้านกันหมดแล้วเนี่ย” คนหน้าร้านรูเล็กๆ ตะโกนบอกมาราวกับได้ยินที่พวกเราคุยกัน นายค้ำจุนมองหน้าผมเก้อๆ เขาเกาหัวแล้วหัวเราะกับตัวเอง จากนั้นก็จ้องหน้าผมแล้วเอ่ยชวน

“ไปหาอะไรกินกัน”

รอบข้างยังจอแจด้วยผู้คน รถที่วิ่งได้แค่ทางเดียว แต่ก็ยังมีรถเล็กแทรกรถใหญ่ตลอดเวลา คนเบียดกันเมื่อรถยึดพื้นที่ไปเกินครึ่ง แต่พอรถผ่านไปแล้ว ผู้คนก็ขยายอณาเขตการเดินของตัวเองกันทันที

ผมไม่อินกับที่แบบนี้ ผมไม่ใช่คนรักต้นไม้ ไม่ประทับใจกับเผ่าพันธุ์พิเศษของมัน แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าตลาดกลางคืนแห่งนี้ไม่ใช่โลกของมนุษย์ แต่เป็นโลกของพวกเขา...เหล่าต้นไม้

“อื้อ แล้วคุณไม่ชอบต้นไหนเป็นพิเศษหรอ”

“หือ?”
“อ่ออ..ก็มีนะ”

“ต้นไหน” เขาถามทันที สบตาแล้วรู้สึกเหมือนขากำลังคึกคักที่จะได้วัดความสามารถในการคาดเดา

“ต้นที่ดูอ่ะ ฟรองซัว ถ้าได้ยินชื่อไม่ผิดนะ”
“ใบเขียวๆ ขาวๆ”
“แพงป่ะ?” ผมถามและจ้องเขาเต็มตา นายค้ำจุนมองหน้าผมแล้วก็ก้มหน้าตักเส้นใหญ่ในน้ำเย็นตาโฟเข้าปาก

“แพงหรอ?”
“เฮ้ย ก็ดูธรรมดา จะเท่าไหร่เชียว”

“ก็มีค่าตัวอยู่นะ”
“หายากด้วย”
“ไม้เมล็ด คัดพ่อแม่เองเลย”
“เลี้ยงมาสัก 3 ปีได้มั้ง ต้นนั้น”

“แล้วเท่าไหร่อ่ะ ห้าร้อยอ่ะ”

“เก้าเถอะ”

“เก้าร้อย?”

“เก้าพัน”

หน้าผมคงสบถอะไรมากมายที่อีกฝ่ายตีความได้โดยง่าย เขาถึงได้แค่นหัวเราะและเชิดหน้าหยามผม หึ! คงภูมิใจในความแพงของต้นไม้แม่งมากสินะ ไอ้บ้า! เชิญพราวด์ไปเถอะ ตราบใดที่ไม่มีใครซื้อ มันก็แค่มูลค่าที่คนขายตีฟองล่ะวะ

ผมไม่เถียงอะไรด้วย เพราะผมไม่มีความรู้เรื่องต้นไม้ เถียงไปก็ประจานความไม่รู้ของตัวเองเปล่าๆ เรากินก๋วยเตี๋ยวกันจนหมด ขากลับร้านเดินผ่านรถเข็นขายขนมโตเกียวก็แวะซื้อด้วย อร่อยดีครับ หรือไม่ก็เป็นเพราะหิวจัดกว่าวันไหนๆ

กลับมาถึงร้าน ต้นสนก็ทยอยเก็บของแล้วครับ ตอนแรกผมคิดว่านายค้ำจุนจะโวยวาย เพราะลูกค้าก็ยังมีเดินผ่านไปมาอยู่ ทำไมต้องรีบเก็บขนาดนั้น เสียโอกาสขายของ แต่สุดท้ายก็สังเกตเห็นว่า แม้พ่อค้า 2  คนจะขะมักเขม้นกับการย้ายกระบะต้นไม้ลงรถเข็นอย่างเป็นระบบระเบียบ ก็มีลูกค้ามาทักถาม ทักทาย และมารับต้นไม้ที่จองไว้แล้วอยู่เรื่อยๆ แสดงว่าวิธีการขายของพวกเขามันลงตัวสำหรับพวกเขาเองแล้ว ดูทั้งคู่ไม่ทุกข์ร้อนสักเท่าไหร่หากว่าลูกค้าบางคนจะถามราคาแล้วก็ผ่านเลยไป 

“เดี๋ยวกูเอากลับบ้านเอง มึงกลับห้องไปเถอะ”
“เปจะได้พักผ่อนด้วย” ทำไม หน้าผมดูเหนื่อยมากหรอ? ผมเลิกคิ้วเหรอหราเมื่อชื่อโผล่ไปอยู่ในบทสนทนาของนายค้ำจุนและต้นสน

2 คนนี้มองหน้าผม แล้วก็หันไปมองหน้ากันเอง จากนั้นก็ดูเหมือจะเข้าใจกันได้เพียงแค่มองตาและพยักหน้าคนละครั้ง

เฮ้ย ๆ ช้าก่อน
ผมไม่ใช่เด็กอนามัยนอนดึกไม่ได้ ผมไม่ใช่คนอ่อนแรงเวลากลางคืนด้วย เฮ้ย ๆ กูก็อึดนะเว้ย อย่างน้อยผมก็เข้าใจตัวเองแบบนั้นมาตลอด

“คุณ ไปกันเถอะ”
“เอาไปไว้รถไอ้ต้น แล้วเราค่อยกลับห้อง”

“อ่อ อืม” แล้วทำไมผมถึงว่าง่ายนักวะ? เดาว่าคงเริ่มง่วง ๆ แล้วล่ะมั้ง

ผมเดินตามผู้ชายอีก 2 คน ที่วัยใกล้ ๆ กันไปยังรถของนายต้นสน ช่วยเขายกของขึ้นรถกระบะ คลุมผ้าให้ต้นไม้ดิบดี โบกมือลากันสั้น ๆ แล้วก็เดินตามนายค้ำจุนไปยังรถเอนกประสงค์ที่ใช้บริการมันบ่อย

“ง่วงก็หลับได้นะ ไม่ต้องหารค่าทางด่วนหรอก ผมจ่ายเองได้” แม่งเหน็บกู ผมเหล่มองระหว่างปิดประตูรถ ควักแบงก์50 และบังคับให้รับไป ไมได้ใจดีหรอกครับ แต่เพราะเขาเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวและขนมโตเกียวแล้ว เพื่อนเขาซื้อน้ำให้อีกต่างหาก ไม่รู้ว่าเขาลดราคาต้นไม้ให้กับยาดาเพราะเป็นเพื่อนกับผมด้วยรึเปล่า

เอาเป็นว่าผมไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนเอาเปรียบ

ระยะทางระหว่างจตุจักมาถึงคอนโดก็ไม่ได้ไกลมาก เราใช้เวลาไม่นานก็ถึงคอนโด และผมก็ใช้เวลาไม่นานในการตัดสินใจเปิดผ้าม่าน มองดูนายค้ำจุนดูแลต้นไม้ที่เขาเอาไว้ริมระเบียง

และกลางดึกคืนนี้เอง ที่ผมคิดว่าผมได้เห็นพ่อและแม่ของไอ้ฟรองซัวมูลค่าเก้าพันบาท มันหล่อเหมือนพ่อและมันก็ดึงดูดเหมือนแม่มันครับ



Tbc



(*) ไม้โขด ใช้เรียกไม้อวบน้ำที่มีรากหรือลำต้นเก็บสะสมน้ำจนอวบอ้วนเป็นพิเศษ
(**) ยูโฟเบีย หรือ EUPHORBIA เป็นไม้อวบน้ำชนิดหนึ่ง สายพันธ์หลากหลาย

ส่วนในตอนนี้มีชือสายพันธ์ขึ้นมา ก็มี ทูเลีย ชื่อทางการคือ EUPHORBIA TULEARENSIS
ฟรองซัว ชื่อทางการคือ EUPHORBIA FRANCOISII
และแอมโบ ชื่อทางการคือ EUPHORBIA AMBOVOMBENSIS

ใครอยากเห็นหน้าตาว่าประมาณไหนก็สามารถหารูปดูกันได้นะคะ
ยูโฟเบียเป็นไม้สายอึดค่ะ ลักษณะโขดก็แล้วแต่สายพันธ์และการเลี้ยงดู ตอนนี้มีการผสมข้ามพันธ์ (เรียกว่าไฮบริด) เพื่อให้เกิดสายพันธ์ใหม่ๆ หน้าใบสวยๆ ออกมา สวยงามน่ารักมากค่ะ (เสียงสอง)

พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 ( 301217)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-12-2017 21:33:31
อ่านแล้วอยากเลี้ยงแคคตัสเยอะๆมากค่ะ นี่ก็มีอยู่ตัวนึงไม่รู้พันธ์ไหน ถึกและทนมาก มีออกลูกจิ๋วๆหกเจ็ดอัน แต่ไม่เห็นมีดอก 555555
เหมือนว่าตอนนี้เขาจะเริ่มสานสัมพันธ์กันเล็กๆ และก็จะเป็นความเคยชินที่อยู่ด้วยกันทุกวันแบบนี้แน่ๆ ขอบคุณสำหรับตอนใหม่นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 ( 301217)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 31-12-2017 23:42:00
เรื่องน่ารักมากๆ
ชอบตอนเขาเรียกกัน คุณๆ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 ( 301217)
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 01-01-2018 01:14:26
ก้ว่าอ่านตอน6แล้วงงๆว่าทำไมมาอยู่ด้วยกันได้
สรุปคือเราอ่านข้ามตอน5ไปนี่เอง

ค่อยๆสานสัมพันธ์กันแล้วววว
ชอบเวลาเรียกกันว่าคุณๆ
มันดูให้เกียรติแล้วก้ดูมั้งมิ้งอยู่ในที
เรื่อยๆมาเรียงๆ ค่อยๆซึบซับกันไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวก้รักกัรเองละน้าาา
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 ( 301217)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 01-01-2018 17:53:08
ชอบนะค๊ะ อ่านเพลินเลย เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 ( 301217)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 03-01-2018 07:12:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 ( 301217)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-01-2018 12:54:59
เราเพิ่งเห็นเรื่องนี้ เปเปเอ๋ออ่ะ 555
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 ( 301217)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 05-01-2018 15:10:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 ( 301217)
เริ่มหัวข้อโดย: chap ที่ 05-01-2018 23:36:23
งือน่ารักมากๆ
ผู้ชายรักต้นไม้มีเสน่ห์จังค่ะ :hao7:
ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 ( 301217)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 08-01-2018 13:41:43
 :katai2-1: มีพัฒนาเรียกคุณกันด้วยล่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 ( 301217)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 30-01-2018 15:53:16
รออยู่น้า  :L2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 6 ( 301217)
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 31-01-2018 14:49:25
 o13
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 7 ( 020218)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 02-02-2018 21:50:54
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid


Home*Mate [7]

“เป!!!!” ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกกันอย่างกรรโชกและอาการทุบประตูห้องนอนปัง ๆ งัวเงียลุกขึ้นมาแล้วคว้าโทรศัพท์เพื่อดูเวลา นี่มันเพิ่ง 6 โมงเช้าเอง ทำไมต้องรีบปลุกกันด้วยวะ ผมก็ไม่ได้ต้องการรีบตื่นเสียหน่อย

ผมเดินแบกหัวมึนๆ จากอาการถูกกระชากตื่นมาเปิดประตูห้องนอน เพื่อต้อนรับหน้าบูดบึ้งของเพื่อนร่วมห้อง

“อาราย”

“นั่น....อะไร”
“ทำไมเป็นงั้น”

“อารายยยยยย”

“มาดูดิ!” หมอนี่เต้นทั้งตัวเต้นทั้งเสียง ผมไม่เคยเห็นเขาลุกลี้ลุกลนแบบนี้มาก่อนเลยครับ แต่ก็อย่างว่า เราอยู่ด้วยกันยังไม่ถึงเดือนเลย ก็ไม่แปลกหรอกที่ผมจะไม่เคยเหลี่ยมมุมของเขาอีกมาก

ผมยังยืนอิดออดอยู่หน้าห้องนอนตัวเอง ขณะที่หมอนี่เปิดม่านสีครามผืนใหญ่แทบสุดขอบข้างซ้ายขวา

“ดูดิเป”

“อะไรกันนัก” ผมบ่นเบาๆ เดินลากฝ่าเท้ามายืนแหกตามองระเบียงผ่านม่านกรองแสงสีขาว เอาหน้าผากชนไว้กับประตูกระจกเพื่อถ่ายเทน้ำหนักตัว สารภาพเลยว่าผมยังง่วงอยู่มาก ไม่อยากตื่นและไม่คิดว่าตอนนี้ผมกำลังตื่น

“ดูดิ” เขาฟ้องอีกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาฟ้องผม หรือผมเป็นต้นเหตุให้เขาหาคนฟ้อง
“เละไปหมด”

“ไม่เห็นอะไรเละเลย ก็เอี่ยมดี” ผมตอบตามที่สายตามัวๆ เห็น นายค้ำจุนทำหน้าช็อคมากที่ผมมองไม่เห็นสิ่งที่เขาเห็นตาคา หมอนี่ลากเปิดม่านกรองแสงจนสิ้นชายผ้าในสายตาผม เขาเลื่อนเปิดประตูกระจกด้านหนึ่งเต็มบาน แล้วลากแขนผมให้เอียงตัวมองสิ่งที่เขาฟ้องว่า –เละ-

“นี่ไง” หมอนี่ย้ำ ผมมองหน้าเขาด้วยสติที่เริ่มประกอบร่างใกล้สมบูรณ์ พยายามเบิกตากว้างสู้แสงยามรุ่งอรุณที่ค่อนไปทางทะมึนเพราะวันนี้เมฆหนา และก็เป็นอีกครั้งที่ผมทำให้เขาช็อค

“ก็ดีนี่ ไหน อะไรเละ”

“คุณ ไม่เห็นหรอ? ตาบอดรึไง”
“เห็นตาคาขนาดนี้”
“นี่ไง เละไปหมด คุณทำอะไรเขา”

เดี๋ยวนะ เขาไหน? เขาคือใคร? และผมน่ะหรอจะไปทำอะไรใครที่ระเบียงห้องตัวเอง โดยที่ผมไม่รู้ตัว และมองไม่เห็นซากหลักฐานที่เขาย้ำนักหนาว่าเละไปหมด
จะบ้าหรอ?

“เฮ้ย ใจเย็นนะคุณ”

“เย็นได้ไง ก็มันเละเทะไปหมดแบบนี้ เสียหายเยอะนะคุณ”
“คุณไม่เข้าใจหรอก ใช่สิ มันไม่สำคัญกับคุณนี่”

ไป กัน ใหญ่ มันคงเป็นอะไรประมาณนี้ล่ะมั้ง
ผมกรอกตา พยายามทำใจให้เย็นลงเพราะเห็นเขาโวยวายใหญ่โตราวกับเชื่อมั่นมากว่าคนที่ทำผิดคือผม ซึ่งผมยังไม่รู้เลยว่าทำอะไรผิด

“อะไรเสียหาย ถ้าคุณไม่พูดให้รู้เรื่อง ผมก็ประเมินไม่ถูกหรอกว่ามันมากหรือน้อย อะไรเละเทะด้วย ผมยังไม่เห็นอะไรเละเลย เขาก็ทำเป็นระเบียบดี”

“ใคร?!” เสียงเขียวกว่าใบไม้บนต้นห่าอะไรก็ไม่รู้ที่ริมระเบียงอีกครับ ผมเริ่มไต่สายตามองต้นไม้ทั้งหลายเหล่านี้และเริ่มเข้าใจว่านายค้ำจุนเดือดเรื่องต้นไม้ ใจก็นึกอยากอุทิศส่วนกุศลให้มันหากว่ามันเจ็บปวดนักหนา แต่ก็คิดได้ในวินาทีถัดมาว่าผมไม่มีส่วนบุญให้ใคร จากนั้นก็เสยลูกตามองหน้านายค้ำจุนที่ขมวดคิ้วบูดเบี้ยวใส่อยู่ไม่เปลี่ยน
“ผมถามว่าใครทำ? ใครมาห้องคุณหรอ? ทำไมมายุ่งกับเขา นี่ระเบียงผมนะ ในสัญญาก็มี แล้วทำไมคุณพาเพื่อนมาไม่บอกผม หรือไม่อยากบอกอะไรเพราะพาผู้หญิงมานั่นนี่ก็ควรบอกผู้หญิงของคุณสิว่าอย่ามายุ่งกับที่ของผม”

“เฮ้ยๆๆ ไม่มีใครพาใครมานั่นนี่ที่โน่นนี่นั่นทั้งนั้นแหละคุณ”
“คนที่ยุ่งกับระเบียงนี้ ก็มีแค่คุณ”

“ผมไม่มีทางทำเละเทะแน่!”

“ฟังให้จบดิวะ”
“มีแค่คุณกับแม่บ้าน”

“แม่บ้าน?”

“ใช่แม่บ้าน แม่บ้านของเรา”
“แม่บ้านมาทำความสะอาดห้อง เดือนละ 2 ครั้ง ตามสิทธิ์ ค่าส่วนกลางก็จ่ายไว้แล้ว เพราะงั้นต้องมาทำความสะอาดห้องสิ เรื่องง่ายๆ คุณต้องเข้าใจอยู่แล้ว”
“ใช่มะ?”

“..........”
“ผมจำได้ชัดว่าแจงคุณละเอียดแล้วนะว่าค่าส่วนกลางที่นี่ตารางเมตรละเท่าไหร่ และได้รับบริการอะไรบ้าง”
“ก็รถโครงการที่คุณนั่งไปบีทีเอสทุกเช้า ตอนเย็นด้วยถ้าคุณไม่กลับค่ำ และก็บริการทำความสะอาดห้องเดือนละ 2 ครั้ง กับซักรีดเสื้อผ้าที่ร้านรับจ้างและฝากวางที่ห้องนิติ”
“คุณต้องจำได้สิ เพราะตอนที่คำนวณค่าส่วนกลางกัน เถียงกันแทบตาย แล้วคุณเป็นคนวัดเองว่าพื้นที่ทั้ง 2 ระเบียงมันกี่ตารางเมตร เพราะคุณจะใช้พื้นที่ทั้ง 2 ระเบียง”
“คุณทำให้ผมต้องตากผ้าในห้องนั่งเล่นไง จำได้ยังอ่ะ?”

“อ่อ...”
“ใช่ เรามีแม่บ้าน”
“แต่แม่บ้านก็ไม่ควรทำเละเทะไง เฮ้ย ไม่ได้อ่ะ ต่อไปไม่ต้องให้ทำที่ระเบียง”

“ไม่ได้”
“ต้องทำ”
“เขาทำเละเทะในสายตาคุณ แต่คุณทำระเบียงเลอะเลอะในสายตาผมเหมือนกัน”
“เศษดิน คราบน้ำ เศษใบไม้ หินอีก ไอ้เม็ดๆ ไรนี่อีก แล้วนกก็แวะมาขี้อีก”
“ต้องทำดิ”

“แต่แม่บ้านทำเละ” ก็ยังจะเถียง ผมไม่เห็นมันจะเละเทะตรงไหน แต่ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว คุยกับเขาหน่อยก็แล้วกัน

“ยังไง ผมไม่เห็นความเละเทะนะ และแน่นอนผมไม่ได้ตาบอด แน่นอนว่าผมยังไม่ตื่นดีแต่ก็จำได้ว่าคุณด่า ผมไว้”

เขาถอนหายใจ ทำหน้าง้ำปากยื่น หมอนี่ก้มมองบรรดาต้นไม้ของเขาแล้วก็ถอนหายใจ เพื่อเริ่มต้นอธิบายสิ่งที่ผมไม่เข้าใจความสำคัญอะไรเลย
ซึ่งผมจับใจความได้ว่า บางต้นชอบแดด เขาก็จะวางไว้มุมซ้าย ไล่ระดับกันไป มีการกำหนดสีกระถางเอาไว้แล้วว่าต้องอยู่ใกล้กัน หรือเรียงลำดับกันจากขวาไปซ้ายหรือซ้ายไปขวา ไม้โขดและไม้ใบชอบแดดรำไรเขาจะไว้ทางมุมขวา บางต้นต้องการความฉ่ำก็จะมีถาดรองกระถางเอาไว้หล่อน้ำ ซึ่งแม่บ้านก็ทำให้มันเละเทะไปหมดเลย
สรุปแล้ว นิยามคำว่าเละเทะของนายค้ำจุน ก็คือ ถูกจัดวางไม่เหมือนเดิมครับ

บอกเลยว่าปวดกะบาลมากกับความจู้จี้ในเรื่องที่ผมไม่เห็นว่ามันสำคัญสักนิด

เรากลับเข้าห้อง ปิดประตูกระจก ปิดม่านกรองแสงแต่เปิดม่านหลักเอาไว้รับแสงตอนเช้า เขาอยู่ในชุดพร้อมไปทำงานแล้วแต่กลับไม่รีบออกจากห้องไปเสียที ผมก็เลยต้องถาม เพราะไหนๆ ก็ตื่นแล้ว

“แล้วนี่คุณไม่ไปทำงานหรอ?”

“เดี๋ยวลา จะจัดต้นไม้”

“หา?”

“เออ ใช่ ผมจะลางานเพื่อจัดต้นไม้ที่แม่บ้านทำไว้เละเทะ ไม่เห็นต้องตกใจ”
“แล้วทำความสะอาดครั้งต่อไป คุณเตือนผมด้วยนะ ผมจะลางานเพื่อคุมงานแม่บ้านอีกที”

“งี้เดือนนึงก็ต้องลางาน 2 วัน เอาจริงหรอ?” หมอนี่ท่าจะบ้า เป็นคนจัดความสำคัญเรื่องราวได้ประหลาดมาก

“จริง” เสียงดูงอนๆ แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะงอนแม่บ้านซึ่งคงไม่มีทางรู้ตัวแน่ๆ เขาไม่น่าจะงอนผม เพราะผมไม่ได้เตะต้องส่วนขอบรอบชีวิตส่วนตัวของเขาแม้แต่ปลายก้อย

“คุณก็อาบน้ำกินข้าวเช้าสิ เดี๋ยวก็สายหรอก”
“ผมทำโจ๊กไว้ให้”

อ้อ เฉพาะเรื่องอาหารการกินที่เขาเผื่อแผ่มาถึงผมนี่แหละครับ ที่ทำให้เราเกยขอบชีวิตกันและกันไว้นิดนึง

Home*Mate

สรุปแล้ว อาทิตย์นี้ นายค้ำจุนก็ลางานเต็มวันไป 1 วัน ผมคิดว่าเขาควรเดือดร้อนทางใจนิดหน่อย เพราะงานแบบเขา (อ่อ เขาเป็นวิศวกรด้านไอทีนะครับ) ถ้าขาดไปคนนึงก็น่าจะทำให้คนอื่นต้องมารับผิดชอบส่วนงานของตัวเองเพิ่ม ....ล่ะมั้ง ผมก็จินตนาการเอาเองน่ะครับ

ค่ำนี้ผมถึงห้องก่อนเขา ก่อนหน้านี้ เขาไลน์มาถามแล้วว่าจะกินอะไร ให้ซื้ออะไรเผื่อมั้ย ผมก็เลยตอบไปว่าผมกลับเร็ว ผมจะทำอาหารเอง ทางนั้นส่งอีโมติคอนสีหน้ามองบนมาให้ดู แหม่...ไม่รู้จักนายเปคนนี้ซะแล้วว่าจังหวะเขย่าขวดน้ำปลาเด็ดแค่ไหน

ผมไม่ต่อความ เพราะตัดสินใจทุ่มเทกับการปรุงรสต้มยำหมูสับน้ำข้นอย่างเอาจริงเอาจัง
ชิมครั้งแรก...จืดครับ
ครับที่สองที่สาม ก็ยังจืด
หรือว่าลิ้นผมด้านไปแล้ว?
ผมเทน้ำนะนาวคั้นสดที่ซื้อมาจนแทบหมดขวด จากนั้นก็ประโคมน้ำปลา แล้วก็คว้าพริกสดในตู้เย็นมาตีๆๆๆ ในถุงพลาสติกที่ห่อพริกไว้นั่นแหละ เพิ่งรู้เหมือนกันครับว่าโลกเราตอนนี้มีพริกสีเขียวอ่อน เหลืองอ่อน สีส้มอ่อน และสีชมพู แต่ก็ช่างหัวสีสันของพริกมันเถอะครับ ตอนนี้ข้าวสุกแล้ว

ผมทำไข่เจียวเพิ่ม กลิ่นหอมฟุ้งทำให้อดจะอุปมาตัวเองเป็นแม่ศรีเรือนรอสามีไม่ได้ แต่เมื่อความคิดถัดมาคือหน้าของนายค้ำจุนที่น่าจะถึงห้องเร็วๆ นี้ ฉากมโนต่างๆ ก็ดับทันที

แน่นอนสิครับ ผมจะเป็นเมียศรีเรือนของใครได้ยังไงกันล่ะ?

ตรึ๊ด เสียงดังขึ้นจากอีกฝั่งของประตูหน้าห้อง ตามด้วยเสียงกดรหัส 4 หลัก และนายค้ำจุนก็ก้าวสวนทางบานประตูเข้ามา พร้อมกับอาการเชิดจมูกดมกลิ่นฟุดๆ นี่ถ้าเป็นเพื่อนสนิทกันหน่อยก็จะอวดตัวว่า กลิ่นกูหอมล่ะสิมึง แต่เราไม่ได้สนิทกันครับ ผมเลยแค่หันมองแล้วยกยิ้มใส่

“กลิ่นดีอ่ะคุณ”
“กินได้เลยป่ะ?”

“หือ? อื้อ กินเลยก็ได้ คุณไปล้างหน้าด้วยน้ำล้างเท้าสิ”

“มะเหงก” เขาทำท่าประกอบด้วยครับ ส่งท้ายด้วยอาการหัวเราะในลำคอแล้วก็เดินเข้าห้องนอนเขาไป

ผมต้องจัดเคลียร์โต๊ะทานข้าวของเรานิดหน่อยครับ เพราะมันเป็นโต๊ะเอนกประสงค์ไปแล้ว พูดง่ายๆ คือโต๊ะวางทุกสิ่งของที่เราคิดว่าจะใช้ในอนาคตครับ ก่อนหน้านี้ ความรกของโต๊ะกินข้าวแทบไม่เป็นปัญหาเลย เพราะส่วนมากเราใช้คนละเวลา แต่เมื่อจะทานข้าวด้วยกันแล้ว ผมก็ต้องเป็นคนเคลียร์ เพราะอีกคนยังสาละวนกับการล้างหน้าด้วยน้ำล้างเท้า

“ไหนๆ หน้าตาเป็นยังไง ดูซิ”
“หูยยย ดูดีอ่ะคุณ”
“ทำอาหารเก่งเหมือนกันนี่หว่า”
“เดี๋ยวๆ ของแบบนี้มันสวยแต่รูปไม่ได้ ชิมก่อน”
“ซู้ดดดดด”
“หือ! เด็ด”

ครับ เขาดูเหมือนคนบ้า แต่ผมดันมองคนที่ดูบ้าพูดพล่ามคนเดียวแล้วเสือกยิ้มรับคำชมที่ไม่ค่อยเต็มประโยคไปซะได้

“โธ่คุณ”
“ผมก็ทำอาหารเป็นหรอกน่า แค่ขี้เกียจเตรียมวัตถุดิบแค่นั้น”

“อ่อ” เขาพยักรับคำอธิบาย เรานั่งตรงกันข้ามกันเพื่อทานข้าว สิ่งที่ทำให้เขาตาวาวก็คือความเผ็ดของรสชาติครับ
“เด็ดมากอ่ะคุณ”
“พริกอะไรเนี่ย”

“ก็พริกขี้หนูทั่วไป”
“เนี่ยดูดิคุณ เดี๋ยวนี้มีพริกสีสวยๆ ด้วยนะ”

“ไหน” นายค้ำจุนถามพลางควานช้อนกลางในถ้วยซุปใส่ต้มยำ เขากวาดจ้วงหาพริกสีสวยที่ว่า ดูเหมือนเขาเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน

ครืด!!!
จู่ๆ นายค้ำจุนก็ลุกขึ้นยืน เขามองต้มยำหมูสับน้ำขนสีส้มสวย จากนั้นก็สลับมามองหน้าผม แล้วก็อ้าปากหุบปากเหมือนคนบ้าจริงๆ จบด้วยการพรวดไปเปิดตู้เย็น

“คุณณณณณณณ!!!!”  เขาโหวกเหวกแล้วทิ้งตัวทรุดลงกับพื้นตรงประตูกระจกกั้นครัว 

“อะไร?”

“เป!!” เงยหน้ามาเรียกผมแล้วก็ทิ้งใบหน้าเหยเกไปมองพื้น

“ก็อะไรล่ะ?!”

“คุณฆ่าลูกผม!!!” ดูเหมือนว่าเขาจะร้องไห้ (อย่างน้อยๆ อาการเบะมันก็ทำให้คิดว่าน่าจะร้องไห้)

“ห๊ะ!”

สารภาพเลยครับว่าไม่เข้าใจอากัปกิริยาท้อแท้หมดกำลังใจที่นายค้ำจุนกำลังทำอยู่อย่างมาก
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโวยวายเรื่องอะไร ผมไปฆ่าใคร ฆ่าลูกเขาเนี่ยนะ? ไหนวะเด็ก? แม้แต่หัวยังไม่เห็นเคยโผล่มา หรือจะหมายถึงสัตว์เลี้ยง หมูน่ะหรอ? นี่เขาเป็น Pig Person หรอ? ผมไม่เคยสังเกตเห็นเลย ให้ตายเถอะ!!

ผมจำต้องละจากมื้ออาหาร เดินมานั่งยองๆ ตรงหน้าเขาแล้วตบไหล่เรียกสติ

“เฮ้ยคุณ”
“เป็นอะไรอ่ะ”
“ผมไปฆ่าลูกคุณเมื่อไหร่ คุณโอเคแน่นะ ดูเพี้ยนอ่ะ”

“ผมไม่โอเค ไม่ว่าเป็นใครที่เป็นผมก็ต้องไม่โอเค”
“คุณทำได้ไง”
“ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ ผมไม่เคยคิดระแวงคุณเลย ผมผิดเอง”

“โทษนะ ผมไม่รู้เรื่อง”

“อย่ามาปัดความผิด” อื้อหือออ ผมขอคอมเมนท์ได้มั้ยครับว่าอาการมันดูแพศยามาก
“คุณต้องรู้สิ มันไม่เหมือนกัน แล้วมันก็แยกกันอยู่”

“เอ่อออ” ทำได้แค่ลากเสียงยาวๆ แล้วคิดครับ แต่ผมก็คิดไม่ออกว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่
“คือออออออออออ” จนจะหมดลมหายใจแล้วผมก็ยังคิดไม่ออกเลยครับ
“อือออ”
“อื่ออออออออ”
“อื้ออออออออออออ”
“อื๊อออออออออ”
“อื่อออออ เอิ่มมมมมมมมมมมม”

“พอแล้วคุณ”
“ผมยังไม่อยากอึตอนนี้”

ไอ้บ้า! คิดได้ยังไงเนี่ย หาว่าผมกล่อมให้เขาปวดอึเนี่ยนะ!

“ทื่อๆ อย่างคุณ คงไม่รู้หรอกว่าสร้างความเสียหายให้อุตสาหกรรมขนาดไหน”
“คุณทำลายไลน์การผลิตชั้นเยี่ยมอย่างไม่เหลือซากเลย”
“อ้อ ก็เหลืออ่ะนะ แต่มันกอบกู้ไม่ได้แล้ว ทำอะไรไม่ได้เลย”

“เฮ้ยคุณ!” ผมตบแขนเรียกสติแล้วลุกขึ้นยืนพลางกอดอกก้มมองเขาที่ยังทรุดกรอมกับพื้น
“พูดให้รู้เรื่องดิ”
“อย่ามาบ้าบองอแงอะไรกับผมแบบนี้”
“โตหน่อย”

“ได้” เขารับคำท้าแล้วก็ลุกพรวดขึ้นมาจนผมต้องเงยหน้ามองเขานิดหน่อย

“คุณเพิ่ง ต้ม ฝักเมล็ดของแมมมิราเลียพลูโมซ่าดอกชมพูสุดสวยสายพันธุญี่ปุ่นและยังเป็นไม้เมล็ดที่ผมรอมันออกดอกเพื่อเพาะเมล็ดมา5ปี ให้ ผม กิน

โอ้ มาย .....

“มันไม่ใช่พริก ถึงจะทรงเหมือนกัน แต่สีมันก็บอกอยู่ว่าไม่น่าจะเป็นพริก ตอนจับมันคุณไม่แสบมือไง ไม่สังเกตเลยหรอ?”

แทบหมดลมหายใจเพราะไม่มีอะไรจะพูดครับ
แต่ผมควรพูดอะไรสักหน่อย ใช่มั้ยล่ะ?

อย่างเช่น

“เสียใจด้วยนะ คิดซะว่ามันไปสบายแล้วก็แล้วกัน”

“เปปปปปป!!!”

“ก็คนไม่รู้”
“ถ้าผมรู้ ผมจะทำหรอ?”
“ผมรู้ซึ้งเลยว่าคุณรักต้นไม้มาก ทำไม้ขายก็เก่ง ยาดามันก็ชมให้ฟังอยู่บ่อยๆ”
“เพราะฉะนั้น ถ้าผมรู้ว่าทำอะไรแล้วสร้างความเสียหายให้คุณ ผมจะทำหรอ? คิดดิ”

“............”

“คนไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า”
“ผมตั้งใจอย่างเดียวก็คือทำไอ้ต้มยำนั่นให้อร่อย แล้วมันก็อร่อยใช่มั้ยล่ะ?”

“อือ”

“ก็...ทำใจเถอะ แล้วก็กินมันเข้าไป เผื่อมันจะงอกในท้องคุณ”

“มะเหงก!” ทำท่าประกอบด้วยครับ รอบนี้ผมต้องยกแขนขัดมือเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นอาจถูกเขกหัวจริงๆ ก็เป็นได้

นายค้ำจุนนั่งลงที่โต๊ะทานข้าวอีกครั้ง มื้อเย็นค่อนไปทางค่ำของเราดำเนินต่อไป โดยมีพูดส่งท้ายที่ทำให้ผมแทบสำลักว่า

“เสือกอร่อย นะมึง ไอ้ลูกพ่อ”


tbc



พระเอกของเราเสียอาการแล้วตลกมากค่ะ 555555
จริงๆ นะคะ ฝักที่ติดเมล็ดแล้วของพวกตระกูลแมมมิราเลีย จะทรงเหมือนพริกขี้หมูเชียวค่ะ สีแดงเหมือนพริกขี้หนูก็มีนะคะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง ชมพู เขียว ส้ม แบบพาสเทล 55555 พวกฝักน่ารัก เราเห็นครั้งแรกเราก็คิดว่าพริก ทุกวันนี้ยังปล่อยให้คาต้นไม้ไว้ ไม่เด็ดออกมาเพาะเป็นต้นอ่อนต่อ เพราะมันเยอะมาก 55555

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

(http://1.bp.blogspot.com/-Fv0rBwkkKFc/UC_KF4QDMsI/AAAAAAAAZDo/rjqquQtT-gc/s1600/seedadd.jpg)
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 7 ( 020218)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 03-02-2018 07:36:19
 :jul3: :jul3: :jul3: :jul3:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 7 ( 020218)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 03-02-2018 16:24:42
 5555  โอ้ยยย ค่ดจี้
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 7 ( 020218)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-02-2018 23:32:17
ฮ่าาาาาาาาาาาาาาา ซดน้ำต้มลูกรักปลอบใจไปก่อนนะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 7 ( 020218)
เริ่มหัวข้อโดย: chap ที่ 04-02-2018 19:05:33
สงสารรรร5555555 :laugh:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 7 ( 020218)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 05-02-2018 14:47:33
 :laugh: พ่อ แม่ ลูก ชักจะเป็นบรรยากาศของครอบครัวมากขึ้นทุกที
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 7 ( 020218)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-02-2018 19:48:02
บรรยากาศคริบครัวมากๆค่ะ ไอ้เราก็ตงิดๆตอนทำต้มยำ ว่ามีพริกสีชมพูดด้วยเหรอออ เปปปปป นังฆาตกรรรร !!!  :hao7:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 7 ( 020218)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 16-02-2018 18:50:42
โอ๊ย ขอขำแรง ๆ โธ่ ลูก555
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 8 (010418)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 01-04-2018 15:16:33
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [8]


เดือนกว่าแล้วที่ผมอยู่กับเพื่อนร่วมห้องชื่อว่านายค้ำจุน ชีวิตผมก็ไปได้ดีตามจังหวะเนิบๆ เหมือนเดิม แต่ผมคงปล่อยให้มันไหลไปเรื่อยๆ โดยไม่เช็คปลายกระแสน้ำไม่ได้หรอกครับ กราฟชีวิตแบบนั้นมันน่าเบื่อเกินไป เพราะฉะนั้น ต้องอัพเดท

ผมโทรหาพี่สาว แน่นอนว่าโทรเข้าบ้านแล้ว ถึงได้โทรเข้ามือถือ แต่โทรแล้วโทรอีก พี่ป๋อมก็ไม่รับสาย เอ...หรือว่ายังไม่กลับจากที่ไปเที่ยวรัสเซีย เอาจริงๆ แบบไม่ได้แช่งเลยนะครับ ไปนานขนาดนี้ผมคิดว่าพี่ผมไปเลือกสถานที่ตาย ที่นั่นอาจจะมีเนินหิมะที่เจ๊ป๋อมถูกอกถูกใจ

ผมละความพยายามในการโทรหาพี่สาว แต่ไม่ทิ้งภาระกิจติดต่อพี่สาวไปทันทีหรอกครับ คนเราต้องมีแผนสำรอง และมักจะได้หยิบมาใช้เสมอ

ใช่ครับ ผมโทรฟ้องแม่

รอสายไม่นาน แม่บ้านมืออาชีพที่สุดจะน่ารักที่สุดก็รับสายผม คำทักทายยังคงเป็นคำที่ทำให้อยากอ้อนตักแม่เหมือนเดิม

“ว่าไง ลูกเปล”
“คิดถึงแม่รึยัง มาสอยมะม่วงที่สวนไปสิลูก เอามั้ย”  สำหรับแม่แล้ว ทุกความรู้สึกเชิงลบเยียวยาได้ด้วยของกินครับ

“แม่ครับ พี่ป๋อมเป็นไง”

“อื้อ ก็ถามพี่เค้าเอาสิเป หรือว่าทะเลาะกันอีกแล้ว”
“ฮื้อออออ มีกันเท่านี้ ไม่ตีกันสิลูก เราก็ยอมๆ พี่เค้าบ้าง” นี่ก็ยอมจนแซะซากตัวเองจากดินที่เจ๊แกถมฝังไม่ได้แล้วครับแม่ ยอมกว่านี้ไม่มีแล้ว

“แล้วเค้ากลับจากเที่ยวแล้วหรอ”
“ซื้ออะไรมาฝากแม่ล่ะ”

“กลับแล้วสิลูก เกือบอาทิตย์ล่ะมั้ง ก็พี่เค้าไปเดือนเดียว” คำว่าเดือนเดียวของแม่ กับเดือนเดียวของผมคงไม่เท่ากัน แม่จะรู้มั้ยว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในชีวิตผมบ้าง แต่ก็นะ อย่าให้รู้จะดีกว่า ผมเองก็ไม่อยากพึ่งพาพ่อแม่ไปตลอดชีวิตหรอก

“กลับแล้วหรอครับ”

“กลับแล้ว เห็นว่าเสาร์นี้จะมาหาที่สวน”
“เปลมาด้วยสิ ขับรถให้พี่เค้ามา พี่เค้าเหนื่อย หรือไม่ก็ผลัดกัน”

“อ่อ เดี๋ยวเปดูอีกทีว่าว่างมั้ย”
“แม่ครับ แล้วเจ๊ป๋อมทำงานรึยัง หรือพักร่าง เค้าบอกแม่มั้ย”

“เอ๊ ยังไง”
“ไม่คุยกันหรอลูก”
“พี่เค้าทำงานแล้วนะ ลาต่ออีกคงไม่ดี เปลไปหาที่บ้านก็ได้นี่ลูก หือ? หรือยังไง?”

“โอค อยู่บ้านใช่มั้ยครับ”
“งั้นเท่านี้ก่อนนะครับ เปกินข้าวเย็นก่อน”

“โอเคจ้ะ”
“อย่าลืมมาหาแม่นะ มะม่วงดกมาก”

“ครับ” ผมรับคำ หัวเราะส่งท้ายเพื่อเสริมอารมณ์แม่ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อวางสายแล้วก็หันมองหน้าคนที่นั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน คนที่สายตามองทีวี แต่ผมก็รู้ดีว่าหมอนี่ได้ยินตลอดการสนทนา

“คุณ”

“หือ?” เขาขานรับ แต่สายตายังดูทีวีอยู่ ผมไม่รู้ว่าเขาสนใจอะไรนักกับโฆษณาสินค้าที่ใช้ได้เฉพาะผู้หญิง ถึงมันจะบอกว่ามีปีก แต่ก็ต้องรู้สิว่ามันคนละปีกกับที่นกมี

“คุณณณ” ผมเรียกร้องความสนใจเพิ่ม รอบนี้นายค้ำจุนหันมาหา ไม่รู้เพราะสนใจคุยกับผม หรือเพราะปีกบินผ่านไปแล้วกันแน่

“ก็พูดสิ อยู่กัน 2 คนผมต้องได้ยินอยู่แล้ว มีอะไรก็พูดเลย”

“พากลับบ้านหน่อยดิ”
“นะ”

“................” เขาขมวดคิ้วสงสัย ลงมือปิดทีวี และนั่งตะแคงตัวมาทางผม จากนั้นก็ถามคำถามบ้าๆ

“โฮมซิกหรอ?”

“ซิกเตี่ยอะไร”
“ผมแค่ต้องคุยกับพี่สาวให้รู้เรื่อง”

“ค้างคากันเรื่องอะไรหรอ?” หมอนี่ถามต่อ ผมเลยถอนหายใจแล้วตอบสั้นๆ

“ผมคิดว่าพี่สาวผมไม่อยากให้ผมอยู่บ้าน”

“เค้าแสดงออกชัดหรอ?”

“ก็....เท่าที่เดาเอาก็ใช่”

“งั้นจะไปคุยอะไรกับเค้าล่ะ?”

“ก็ถามตรงๆ ว่าจะทำอะไรกันแน่ ทำไมต้องกันท่าไม่ให้ผมอยู่ที่บ้าน”
“เนี่ย .... ถ้าคุยกันรู้เรื่อง คุณก็อยู่ห้องนี้คนเดียวสบายใจเลยไป ไม่ดีหรอ?”

“แต่ผมอยู่กับคุณก็สบายใจดีนะ”

“.............” อะไรวะ? ทำไมจู่ๆ ผมก็กลายเป็นคนที่เขาไม่อึดอัดจะอยู่ด้วย ก่อนเซ็นสัญญาล่ะอิดออด มากท่า
“มีคนหารค่าอาหารด้วย” นั่นไง กูว่าแล้ว  พอผมกรอกตาทำหน้าเบื่อหน่าย นายค้ำจุนก็หัวเราะใส่แล้วบอกล้อเล่นๆ  แล้วก็ปุบปับลุกจากโซฟาไป

“เอ้าคุณ!”
“ไปไหนล่ะ?”

“เอ้า!! ก็คุณจะไปบ้านคุณไม่ใช่หรอ?”
“เอาสิ เดี๋ยวไปส่ง”

“อ่อออ” ทำไมทำตามที่ของ่ายจังวะ ใจดีหรือมีอะไรแอบแฝงป่าววะเนี่ย? ผมมองอย่างไม่ไว้ใจนัก แต่หมอนี่ก็แค่ผลุบเข้าห้อง ใส่เสื้อตัวใหม่ทับเสื้อกล้ามที่ใส่อยู่แล้วก็ยืนโยนกุญแจรถเล่น เป็นการเร่งเร้าผมให้เลิกทำหน้างงเสียที

วันนี้วันศุกร์ครับ เขาบอกว่าปิดงานเร็วเลยกลับมาตั้งแต่บ่ายสองโมง ส่วนผมทำงานปกติ แต่ผมกลับบ้านเร็วเพราะงานลูกค้าที่ดูแลเสร็จแล้ว ก็เลยบอกหัวหน้าว่าขอกลับคอนโดเลย จริงๆ อีกแค่ครึ่งชั่วโมงก็คือเวลาเลิกงานอย่างเป็นทางการแล้ว ก็เลยกลับบ้านเลยได้ ไม่น่าเกลียด 
 
เป็นเย็นวันศุกร์ที่รถค่อนข้างติด หรือจริงๆ แล้วก็ติดอยู่ทุกวันก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมนั่งเคียงหน้าคนขับ แช่คาร์บอนไดออกไซด์กันอยู่บนถนนศรีนครินทร์ เส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปบ้านผม ซึ่งห่างออกไปไม่กี่แยกไฟแดง แต่ความหนาแน่นของการจราจรทำให้เราหันมองหน้ากันหน่ายๆ

“หิวมั้ยอ่ะคุณ แวะปั๊มซื้ออะไรกินก่อนมั้ย” ผมถามขึ้นอย่างเกรงใจ เพราะนี่มันธุระส่วนตัวผม ส่วนเขาเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ

“ไม่อ่ะ ค่อยกินทีเดียวขากลับ”
“มีตลาดนัดหลังห้าง เดินมะ?”

“เอาให้รอดจากแยกนี้ก่อนค่อยว่ากัน” ผมตอบและปรับแอร์มาเป่าหน้า ส่วนคนขับกดปรับคลื่นวิทยุเพื่อหาเพลงที่ถูกใจ เป้าหมายของเขาคือคลื่นเพลงสากล เพลงที่บรรเลงอยู่ก็โด่งดังและเพราะจนผมและเขาอดใจไม่ได้ ต้องร้องคลอเคลียไปด้วย

Baby, I'm dancing in the dark with you between my arms
Barefoot on the grass, listening to our favorite song
When you said you looked a mess, I whispered underneath my breath
But you heard it, darling, you look perfect tonight

“เพราะเนอะ” เขาถามในสิ่งที่ผมแสดงออกชัดเจนมากกว่าเห็นด้วย

“อืม” ผมตอบในสิ่งที่เขาน่าจะมองทะลุปรุโปร่งได้ด้วยตาตัวเอง

และแล้วเราก็มาถึงบ้านแสนรักครับ
วันนี้ผมไม่ผิดหวังแน่นอน ผมต้องได้เจอพี่สาวผมแน่ๆ และจากนี้ไป ชีวิตปกติของผมก็น่าจะกลับมาเสียที

“เอ่อ...คุณเข้าบ้านด้วยกันมั้ย”

“จะดีหรอ?” ทำไมต้องลังเลด้วยวะ ชวนเขาเข้าบ้านมันผิดระเบียบอะไรด้วยหรอ? ผมขมวดคิ้วใส่ มองเมฆไร้แสงอาทิตย์แซมเซาะ แล้วก็มองหน้าเขาอีกรอบ

“จะตากยุงอยู่ข้างนอกหรอ เข้ามาเถอะน่า”

“อ่อ จริงๆ กะว่าจะรอในรถ แต่เข้าบ้านคุณก็ดีเหมือนกัน”
“หิวน้ำ”

“โอเค มาๆ เชิญๆ” ผมเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียง ไมได้ผายมือให้เขาเดินเยี่ยงเจ้าชายหรอกครับ ป้าพรที่รับจ้างดูแลบ้านไม่ได้มาเปิดประตูรั้วให้ผมค่ำนี้ แต่จักรยานสัญจรของแกจอดอยู่ใกล้ๆ รั้วสูง ผมก็เลยรู้ว่าแกอยู่ในบ้าน

พาแขกเดินผ่านสวนเล็กๆ ของพ่อแล้วก็อดหันไปมองปฏิกิริยาไม่ได้ และเขาก็ทำท่าทางอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ

นายค้ำจุนสนใจทุกอย่างที่หาอาหารด้วยการสังเคราะห์แสงครับ

ผมปล่อยเขาไว้ที่สวนต้นไม้ดอกไม้ของพ่อ แล้วก็เดินเข้าบ้านมาพร้อมกับเรียกหาเป้าหมายทันที

“เจ๊ป๋อม”
“อยู่ป่าวอ่ะ”
“ป้าพรครับ ป้า”
“อยู่ไหนกันอ่ะครับ”
“ป้า เปเอง”

“น้องเป” มีคนขานรับแล้วครับ แต่ไม่ใช่คนที่ผมต้องการ ผมเดินไปตามเสียงผ่านห้องโถงรับแขกย่อมๆ ทะลุไปยังครัวไทยในสไตล์อุปกรณ์ฝรั่ง

“ป้าพร”
“ทำมื้อเย็นหรอครับ”

“จ้ะ น้องป๋อมเพิ่งกลับ น่าจะอาบน้ำ”

“อ้อ”
“งั้น ป้าพรหุงข้าวเผื่อเพื่อนเปด้วยนะครับ พอดีให้เขามาส่ง”

“จ้ะ ได้ มีพออยู่แล้ว”
“ป้าทดลองหลายรอบแล้ว อร่อยเชียว” งงแหละครับ แต่ขี้เกียจถามอะไรแกต่อ ผมเดินขึ้นบันไดไปห้องส่วนตัวที่ยังเหลือของใช้ส่วนตัวอยู่บ้าง

ห้องนอนผมถูกทำความสะอาดตามความเหมาะสม เห็นแบบนี้ค่อยดีใจหน่อย ตอนแรกคิดว่าพอย้ายออกไปอยู่คอนโดตามที่ดรรชนีนางสั่งการแล้ว ห้องนี้จะเป็นห้องปิดตายเสียอีก

“เอ้า ลืมเลย ยุงแดกไปรึยังวะเนี่ย” ผมสะดุ้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไป....อื่ม....ไม่สิ นึกได้ว่าไม่ได้มาคนเดียว ก็จำใจวิ่งลงไปหน้าบ้านอีกรอบเพื่อเรียกคนบ้าต้นไม้ให้หลบยุง

แต่ไม่จำเป็นแล้วครับ นายค้ำจุนมานั่งหน้าเป็นอยู่ที่ห้องรับแขกแล้ว ตรงหน้ามีน้ำอัญชัญเย็นจัดวางประดับบารมี

“อ้าว กำลังจะไปตาม”

“ไม่ต้องลำบากหรอกคุณ ผมวางตัวเป็น” การวางตัวเป็นของเขา คือการรู้จักเลือกที่นั่งตรงชุดโซฟาด้วยตัวเอง บอกแม่บ้านขาจรว่าต้องการดื่มน้ำประเภทไหนงั้นหรอ? เท่านี้ก็ได้แล้วหรอเนี่ย ผมก็เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน

ผมหัวเราะใส่นิดหน่อยแล้วก็นั่งข้างๆ ซึ่งป้าพรชะโงกหน้ามาจากครัวแล้วก็เลือกให้ผมดื่มน้ำเปล่ารองท้องครับ

“ไม่ค่อยเห็นน้องเปพาเพื่อนมาบ้าน”

“ครับ เปไม่ชอบเปิดบ้านให้ใครเข้า”

“ไม่ใช่ไม่มีเพื่อนหรอคุณ” นายค้ำจุนดักคอแล้วก็หัวเราะใส่ ซึ่งมันก็ผสานกับเสียงหัวเพราะของพี่สาวผมพอดี

ผมเงยหน้าทางบันไดตามที่ได้ยินเสียงพี่สาวเยาะหยัน เราสบตากันครู่เดียว ผมก็ถูกเมิน

“มาทำไมล่ะเรา?” ไม่เจอน้องชายเดือนกว่า ทักทายเท่านี้แหละครับ ใจดีมากกกก(ประชด)

“มาดูบ้านดิ เผื่อป๋อมขายทิ้งเชิดเงินไปอยู่ต่างประเทศ”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกเป”
“ถ้าขาย จะแบ่งให้ จะได้หมดกรรมกันชาตินี้” แล้วก็โดนประชดกลับครับ ผมยู่ปากนิดหน่อยระหว่างมองหน้าพี่สาวเต็มตาหลังจากเจ๊ป๋อมนั่งลงตรงที่ประจำของตัวเอง
“มีอะไรก็ว่ามาเลย มาได้เวลากินข้าวเลยนะเนี่ย”

“ก็ไม่ได้อะไรใหญ่โต แค่จะกลับมาอยู่บ้าน เลยมาดูว่าป๋อมกลับจากเที่ยวรึยัง”
“เปไม่เอาเรื่องทั้งที่ป๋อมหนีไปเที่ยวแล้วริบกุญแจบ้านไปหมดก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

“.................” แม่มดนี่ไม่ตอบอะไรครับ เพียงแค่มองหน้าผมวูบเดียวแล้วก็แช่สายตาไว้ที่แขกบ้านแขกเมือง
“เพื่อนเปหรอ? ไม่เคยเห็น”

“ก็ไม่เชิง” ผมตอบเท่านี้ คนที่โดนมองหน้านานๆ ก็กุลีกุจอแนะนำตัวเอง

“หวัดดีครับ พี่...ป๋อม”
“ผมชื่อค้ำจุนครับ”
“เอ่อ เช่าคอนโดเปอยู่”​

“อ้อ”
“แล้วโอเคมั้ย” ทำไมเสียงใจดีงี้วะ?

“ก็ดีครับ”

“พี่ฝากเปด้วยนะ”

“เฮ้ย!”
“หือ?” ผมกับนายค้ำจุนอุทานพร้อมกันแต่คนละความรู้สึกแน่นอน ก่อนที่นายค้ำจุนจะทันได้หุบปากผมก็ลุกพรวดขึ้นแล้วลากพี่สาวออกมาหน้าบ้านทันที

เพื่อเคลียร์ครับ บ้านผมไม่นิยมความรุนแรง อย่างน้อยเจ๊ป๋อมก็ไม่เคยได้รับบาดแผลตามร่างกายจากผมเลย การแก้แค้นของผมส่วนมากออกมาในรูปแบบของการแย่งของโปรดเจ๊ป๋อมกินเท่านั้น

“ฝากบ้าอะไรป๋อม”

“ไม่บ้าหรอกเป ก็ดูไว้ใจได้นี่นา”
“ก็อยู่คอนโดมีความสุขดีไม่ใช่หรอ?”

“ก็ไม่ใช่เรื่องที่เอามาเป็นเหตุผลที่ไม่ควรกลับมาอยู่บ้านนี่”

“มีอะไรที่เกลียดเขารึเปล่า ค้ำจุนนั่นน่ะ”

“ก็ไม่เกลียดนี่ นี่ก็อยู่มาเดือนกว่า ก็ไม่มีอะไรที่ดูไว้ใจไม่ได้นะ”

“นั่นไง แล้วจะมาอยู่บ้านทำไม?”

“ก็บ้านเปเหมือนกัน”

“แต่เปไม่อยากอยู่กับพี่นี่”

“...............”

“อึดอัดไม่ใช่หรอ”

“..............”

“ลองไปอยู่กับตัวเองต่อก่อนเถอะ”
“ชีวิตเป ไลฟ์สไตล์เป การไม่ได้อยู่ที่บ้านไม่ได้หมายความว่าไม่มีครอบครัว”
“ชั้นเอง ก็กำลังปรับตัวหลังจากที่มีพื้นที่ส่วนตัวเพิ่มเหมือนกัน”

“.............”

“มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ กับการอยู่บ้านหลังใหญ่ คนเดียว ทั้งที่สามสิบกว่าปีที่ผ่านมามีแต่พ่อแม่แล้วก็เปเต็มไปหมด”
“ยิ่งไม่ใช่การตายจาก แต่เป็นการแยกไปทางที่เลือกกันเองอีกครั้ง”

“.............”

“มันยากนะเป ที่จะต้องเชื่อในความรักของครอบครัวทั้งที่รอบๆ ตัวว่างเปล่า”
“แต่เราก็ต้องอยู่ให้ได้”
“วันนึง เปมีเมีย แต่งงาน ก็ต้องแยกออกไปอยู่ดี”
“งั้นก็ไปสร้างถิ่นฐานตัวเองตั้งแต่วันที่เปแข็งแรง ยังหนุ่ม ดีกว่ามั้ยล่ะ?”

“ป๋อมไม่สบายรึเปล่า” ผมถามขึ้นบ้างหลังจากเป็นฝ่ายฟังมานาน
“เปถามจริงๆ นะ ไม่ได้ประชดอะไรทั้งนั้น”
“ทำไมถึงอยากอยู่คนเดียวนัก บ้านเบ้อเร่อ ถ้าเราไม่ขวางหูขวางตากันเอง ก็เหมือนอยู่บ้านคนเดียวอยู่แล้วนี่”​

“ถ้าเป็นชั้นที่ไม่สบาย ก็ดีนะสิ” พูดเท่านี้ก็สะบัดแขนหลุดจากมือผม แล้วก็เดินฉับๆ เข้าบ้านไป

พี่สาวผมรูปร่างบาง แต่เสียงห้าว นิสัยห้าว ความเป็นผู้นำสูงเพราะเป็นพี่สาวคนโตและสนิทกับพ่อที่เป็นพี่ชายคนโตของตระกูลอีกต่างหาก แต่พี่สาวผมก็บอบบางเหมือนผู้หญิงทั่วไปแหละครับ

แม้วันนี้ผมยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงที่พี่ป๋อมจริงจังกับการอยู่คนเดียว แต่สักวันนึงผมคงได้รู้ และในวันที่ผมรู้เหตุผลของพี่สาว ผมหวังว่าผมจะได้เห็นผลพวงของมันที่ตกแก่ผมด้วยเหมือนกัน แน่นอนว่าอยากให้เป็นเหตุผลเชิงบวก

ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนอารมณ์เร็วได้อย่างเหลือเชื่อ ผมมั่นใจว่าเดินตามเจ๊ป๋อมเข้าบ้านมาติดๆ ห่างกันก็ไม่เกิน5 ก้าว แต่สีหน้าที่เธอส่งยิ้มให้แขกบ้านแขกเมืองที่ยังค้างสีหน้าเหวอๆ ไว้นั้น ช่างแช่มชื่นเหลือเกิน ไหนล่ะคนที่ขมวดคิ้วพูดใส่หน้าผมเมื่อกี้

ผมตัดความหงุดหงิดออกไปและเริ่มต้นกินมื้อเย็นที่ค่อนไปทางค่ำ ฝีมือป้าพรอร่อยเหมือนเดิมครับ แต่รสมือแม่ผมเหนือกว่านี้มาก ผมไม่ได้เอ่ยชมป้าแก เพราะคิดว่าอาการเคี้ยวตุ้ยไม่พูดคำใดของนายค้ำจุนน่าจะแทนฟีดแบ็คทั้งหมด

สิ่งไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นเมื่อเจ๊ป๊อมชวนนายค้ำจุนคุยสารพัดสารพันเรื่อง ขณะที่ผมก็นั่งอยู่ที่โซฟาห้องรับแขกด้วย แต่เลือกจะแช่สายตาไว้ที่โทรศัพท์ ผมกำลังบอกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นในหัวผมให้ยาดารับรู้ แน่นอนว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้อ่านข้อความทันทีหรอกครับ ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจ เราสื่อสารกันแบบนี้ตลอด

“อื้อ สามทุ่มกว่าแล้ว ไม่กลับกันหรอ?”

“โอ๊ะ ดึกแล้วหรอครับเนี่ย”
“คุยกับพี่ป๋อมเพลินเลย”

“หรอ เออ ดี ว่างๆ มาคุยอีก”

“งั้น ผม...แอดไลน์ไว้นะครับ”

“อื้อ เอาสิ”

ชอบพี่กูป่ะวะเนี่ย?
บอกรึยีงครับว่าผมหล่อ ป๊อบปูลาร์มาตั้งแต่มัธยมต้นแล้ว และพี่สาวกับผมก็เกิดจากส่วนผสมที่ใกล้เคียงกัน
ผมแค่ขมวดคิ้วนิดเดียว แล้วก็พิมพ์บอกยาดาไปว่า “ไอ้ต้นไม้ของแกชอบพี่เรารึป่าวก็ไม่รู้ว่ะ แต่ดูสนใจมาก”  แน่นอนว่ายาดาไม่ได้อ่านข้อความนี้เหมือนกัน 

“กลับได้แล้วมั้งเป ดึกกว่านี้จะเหนื่อย” โดนไล่ครับ ผมละจากมือถือและเงยหน้ามองพี่สาวที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว  ด้วยสายตาที่ผมเดาความคิดไม่ถูก

“อื้อ” รับคำแล้วพยักหน้าชวนเพื่อน....ร่วมห้องให้กลับกันได้แล้ว นายค้ำจุนไหว้ลาพี่สาวผม ขณะที่ผมเพียงแค่แช่สายตามองเจ๊ป๋อมอีกครั้ง ใจคิดอยากชวนไปหาแม่ด้วยกันพรุ่งนี้ แต่ก็เกร็งปากเอาไว้ อาจจะด้วยความอยากดื้อบ้างล่ะมั้ง

ผมกับนายค้ำจุนเดินออกจากบ้านผมเองพร้อมกัน แต่ความรู้สึกเราน่าจะสวนทางกัน เขาอาจจะดีใจที่มีมิตรใหม่  ขณะที่ผมมีแต่ความไม่เข้าใจพี่สาวตัวเองติดตัวกลับมา

เกือบสี่ทุ่มแล้ว ผมง่วงเต็มแก่ แต่มนุษย์นกฮูกข้างๆ ตาแป๋วมากครับ กำลังจะผ่านห้างดังย่านนี้ไป นายคนนี้ก็เอ่ยชวนอะไรประหลาดๆ

“คุณ ผมขอแวะหลังห้างนี่หน่อยสิ”

“หือ? แวะทำอะไร?”

“ทำอะไรนิดหน่อย”

“ก็ไอ้ทำอะไรนิดหน่อยมันคืออะไรหรอ? โลกนี้ไม่มีเวิร์บทูอะไรนิดหน่อยหรอก บอกๆ มาเถอะ”

“จะดูต้นไม้” เขาเฉลยด้วยท่าทางรำคาญใจที่ผมเซ้าซี้ แม่งไม่รู้จักคิดบ้างหรอกว่าถ้าพูดให้เข้าใจแต่แรกก็ไม่เซ้าซี้ถาม ผมใส่ความขุ่นในสายตาเพิ่ม แต่ก็พยักหน้าตอบรับการทำอะไรนิดหน่อยของเขา

จากที่อิ่มกับมื้อเย็นที่บ้านมาแล้ว ผมต้องมาหาเครื่องดื่มจุ๊กจิ๊กมาเดินดูดแก้ปากว่างครับ เพราะถ้าปากว่างเมื่อไหร่ ผมเป็นต้องถามว่าร้านอยู่ไหน ต้นไม้อยู่ไหน สรุปรู้พิกัดหรือไม่รู้ ร้านชื่ออะไร ใครขาย ขายอะไร ขายตอนไหน เขามาตั้งร้านหรือยัง ซึ่งนายค้ำจุนด่ามาแล้วคำนึงครับว่ารำคาญ!

ผมเดินตามเขาด้วยอารมณ์ไม่เอนจอยที่สุด และในที่สุดก็ถึงที่หมายเสียที ร
ร้านขายแคคตัสใต้เตนท์ หน้าร้านกว้างประมาณ 2 เมตรได้ คนขายเป็นชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังยิ้มแย้มกับลูกค้าสุดใจขาดดิ้น

พี่ก้อง พี่อ้อ หวัดดีครับ
ผมได้ยินนายค้ำจุนเรียกแล้วยกมือไหว้คนคู่นี้ ผมก็เลยยกมือไหว้ตาม ก็จะทำไงได้ล่ะครับ มากับเขา สภาพที่ยืนซ้อนหลังเขาอยู่ก็ทำให้คนมองมารู้ได้ทันทีว่ามาด้วยกัน

“เฮ้ย ค้ำจุน” แล้วก็ยาวครับ พี่ผู้ชายคุยกับนายค้ำจุนยาวเลย ส่วนพี่ผู้หญิงก็ยิ้มไปด้วยบ้าง คุยบ้าง หันมายิ้มให้ผมบ้าง แต่นั่นไม่น่ากลัวเท่ากับ....พี่เขาชวนผมคุยเรื่องต้นไม้

“เพื่อนค้ำจุนใช่มั้ยคะ”
“ไปโดนอะไรมาล่ะ”

อื่มม...แม่งแปลว่าไรวะ? ผมไม่มีบาดแผลใดๆ ตามร่างกาย คงไม่ได้ทักถามถึงอุบัติเหตุหรืออาการบาดเจ็บใดๆ แล้วในโลกนี้เวลาถามว่าไปโดนอะไรมา มันต้องตอบกันยังไงวะ? ทำไมพวกรักต้นไม้ชอบคุยภาษาอมนุษย์

“คืออะไรหรอครับ?”

“อ๋อ...ฮ่าๆๆๆ ขอโทษๆ พี่เริ่มเบลอๆ น่ะ ดึกแล้ว”
“ตั้งใจจะถามว่า ไปเตะตาต้นไหนพันธ์ไหนมา ถึงได้มาที่นี่”

“อ๋อออ”​ กระจ่างแล้วครับ
“ไม่ได้โดนตัวไหนมาหรอกครับ ผมแค่มาเป็นเพื่อน”
“อื่ม จริงๆ คือค้ำจุนมาเป็นเพื่อนผมก่อน ไม่ๆ มาเป็นคนขับรถให้ผมก่อนครับ ผมก็เลยมาเป็นเพื่อนเขาด้วยขากลับ”

“จ้ะ ....พี่ว่าพี่น่าจะเข้าใจแหละ”
“นั่งในร้านก่อนมั้ย” เธอชักชวน ซึ่งไอ้ในร้านที่เธอบอกมันก็แค่โลกเสมือนครับ ด้านหลังที่เธอชี้ๆ เก้าอี้นั้นก็แค่พื้นที่โล่งแคบๆ ถัดไปก็ลานจอดรถแล้ว แต่เมื่อด้านหน้าของเธอคือหน้าร้าน ด้านหลังของเธอก็ต้องหมายถึงในร้านเป็นธรรมดา

ผมส่ายหน้าพร้อมโบกมือที่ยังถือแก้วน้ำแดงโซดามะนาวคาอยู่ไปมาเพื่อให้เธอรู้ว่าไม่เป็นไร ผมยืนได้ เมื่อเห็นสายตาที่เข้าใจตรงกันจากเธอแล้ว ผมก็เดินไปตามมุมต่างๆ เท่าที่พอจะมุดหัวเข้าไปได้ เพื่อส่องดูต้นไม้ที่ผมเริ่มคุ้นตากับมัน แต่ไม่รู้จักพวกมันเป็นรายตัว

พี่อ้อขายของเก่งน่าดู จำชื่อได้ทุกต้น บอกโพรไฟล์ได้หมดว่าเลี้ยงมากี่ปี มีเรฟเฟอเรนส์ดอกของแต่ละต้น รวมถึงต้นพ่อต้นแม่ของเด็กๆ ค่าตัวถูกทั้งหลายแหล่ด้วยครับ บรรจุไว้ในมือถือถนัดมือ

ผมฟังไปแล้วก็เพลิน และก็สะดุดหูเมื่อเธอเอ่ยชื่อต้นที่ผมจำได้

“นี่ฟรองซัวค่ะ”
“ต้นนี้ใบด่างขาวแดง ไม้เมล็ด ราคาแรงนิดนึง”
“หมื่นห้าค่ะ”

เชี่ยยยยยยยยยย!!!
ผมได้แต่ร้องอยู่ในใจ ทำไมมันแพงจังวะนั่น
เงินเดือนเด็กจบใหม่หลายๆ คณะเลยนะ
ใครจะมีเงินมาผลาญไปกับต้นไม้วะ ไม่มีหรอก

“พี่ลดได้เท่าไหร่อ่ะคะ”

มีด้วยเว้ยเฮ้ย!!
ผมหันขวับไปมองเจ้าของเสียง
เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่งตัวไม่หรูหรา แต่มีตังค์ติดกระเป๋ามาซื้อต้นไม้ถึงหมื่นห้า โอ้โหห โลกเว้ย! โลก

“อืมปีนี้ขายเท่านี้ค่ะ ปีหน้าก็ราคาขึ้นแล้ว”

“อ่ออ มันด่าง หนูเข้าใจ เมล็ดด้วยอ่ะเนอะ”
“กี่ปีแล้วคะ?”

แล้วบทสนทนายาวเหยียดก็เกิดขึ้นอีกรอบ ผมไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะควักเงินซื้อหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นผม ผมจะเดินไปกลับซื้อน้ำแดงโซดามาดูดอีกรอบ แน่นอนว่าไม่หวนไปร้านเดิมครับ แม่งโซดาแก่มาก แก่ที่ไม่ได้แปลว่าให้เยอะ แก่ที่แปลว่าหายซ่า

“คุณคุณ” หือ? ใครเรียกผมรึเปล่า
“คุณณณณณณ”
“เปปปปป” อ่อ เรียกผมนี่แหละครับ นายค้ำจุนเรียก ผมเดินไปหาเขาในร้านแล้วสบตากับเจ้าของร้านที่ส่งยิ้มให้ผม

“นี่พี่ก้อง”
“เค้ามียูโฟเบียเยอะนะ ไม้เมล็ดด้วย พี่เค้าเซียนเพาะเลย”
“ลองบอกยาดาให้มาดูสิ หรือเข้าเพจเค้าก็ได้”
“อยากได้ทูเลียไม่ใช่หรอ?”

อืม....บอกตามตรงว่างงตั้งแต่ยูๆ อะไรนั่นแล้ว ผมพยักหน้ารับส่งๆ หยิบมือถือมากดข้อความส่งถึงยาดา ถึงได้รู้ว่าเพื่อนคนนี้อ่านไลน์ผมแล้วตอบมายาวเหยียดแต่ผมยังไม่ได้อ่าน แต่ด้วยความที่กลัวจะลืมไอ้อะไรยูๆ เลยต้องรีบบอกต่อข้อความที่นายค้ำจุนฝากถึง แต่พอกดส่งเท่านั้นแหละครับ ยาดาก็โทรกลับมาทันที

“เฮ้ย อะไรเนี่ย ไม่หลับไม่นอน”

แหม คืนวันศุกร์ มันบอกมาว่างี้ครับ
ผมกำลังจะบอกมันเรื่องต้นไม้ ยาดาก็สวนขึ้นมาก่อนว่า อยู่กัคุณค้ำจุนมั้ย คุยหน่อย
ก็เอ๋อๆ นะครับ ว่าทำไมเพื่อนถึงไม่อยากคุยกับผม แต่ก็ส่งโทรศัพท์ให้กับนายค้ำจุนไปตามที่มันบอก แล้วก็ทำตัวเป็นใบ้ ยืนมองต้นนั้นต้นนี้ไปเรื่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมแช่สายตาอยู่ที่ไอ้ฟรองซัวบ่อยสุดและนานสุด

ไอ้ห่า แม่งหล่อ

“ไป เป กลับบ้านกัน”​ ไม่รู้ว่ายืนอยู่คนเดียวนานแค่ไหน นายค้ำจุนถึงได้ส่งเสียงดึงสติแบบนี้ ผมหันมองคนที่เรียก หมอนี่ชูถุงใส่ต้นไม้อวดในระดับสายตา

“ยังมีที่ให้วางอีกหรอคุณ” ผมทัก นึกไปถึงระเบียงห้องที่อัดแน่นด้วยไม้ในกระถางที่เขาจัดวางไว้เป็นระเบียบอย่างมีระบบ เขาหัวเราะเพียงในลำคอ มองหน้าผมแล้วก็โอบไหล่ พลิกตัวให้เดินกลับไปที่ลานจอดรถแทน

“ง่วงมากแล้วล่ะสิ โทษที”

พูดไว้เพียงเท่านั้น  ตั้งแต่นั้นมาสารถีของผมก็เงียบตลอดทาง
ผมหลับในรถ ทั้งที่ระยะจากห้างใหญ่ถึงซอยคอนโดเราจะไม่ถึงสิบกิโล ผมก็หลับได้ครับ ตื่นอีกทีก็ตอนที่เขาปลุก ห้าทุ่มกว่า โครงการคอนโดที่ผมอยู่ก็เงียบสงัดแล้วครับ มีแค่เสียงคนที่มานั่งกินข้าวต้มปากซอยคอนโดเท่านั้นที่ยังแว่วเข้ามาบ้าง

เราเดินตามกันเข้าห้อง เขาให้ผมอาบน้ำก่อนเพื่อที่จะได้นอนเลย ส่วนเขายังต้องกล่อมต้นไม้ให้หลับตามหน้าที่

เรื่องราวของวันศุกร์ที่บังเอิญกลับห้องเร็วนี้น่าจะจบลงในวินาทีที่ผมหลับตา แต่เรื่องไม่คาดคิดมันเกิดขึ้นได้เสมอ

มันมาอีกแล้วครับ....มันปลุกผมยามดึกอีกแล้ว
เสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างทรมาน ผลักผมออกจากโลกนิทรามาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกคืนแล้ว....


tbc...

แฮ่ หายไปเดือนกว่าเลย ตอนแรกว่าจะลงตอนแปดตั้งแต่กลางๆ เดือนมีนาแล้ว ด้วยความเป็นฤกษ์ดีบางอย่าง แต่ก็นะ ปั่นไม่ทันค่ะ งานราชล้นพ้นความสูงมากๆ เลยต้องจัดการทางนั้นก่อน ค่อยมาหาทางนี้ หวังจะไม่หายหน้าจากกันไปนะคะ นักอ่านทั้งหลาย
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 8 (010418)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 01-04-2018 15:58:44
นายค้ำจุนมีมุมละมุน ๆ ดีนะ เปก็...อืม...เหมือนว่าน่าจะมีปัญหาอะไรซักอย่าง ไม่ใช่พี่ป๋อมหรอกที่มีปัญหา แต่การอยู่กับนายค้ำจุนน่าจะช่วยให้ปัญหาบรรเทาลงหรือหายไปได้ คิดว่านะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 8 (010418)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-04-2018 19:14:10
ป๋อมน่ารำคานอ่ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 8 (010418)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 01-04-2018 19:41:26
ทำไมมีเสียงกรีดร้องไรด้วย :katai1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 8 (010418)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-04-2018 21:58:07
น่ารักดีคู่นี้ เรื่อย ๆ  ไม่หวือหวา แต่ก็ไม่เบื่อน่าติดตามจ้า
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 8 (010418)
เริ่มหัวข้อโดย: chap ที่ 13-04-2018 17:25:22
me//กรีดร้องโหยหวนรอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 8 (010418)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 14-04-2018 11:33:38
เข้ามาอ่านรวดเดียวเลยค่ะ สนุกมาก  :katai2-1:
จุนกับเปนี่อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ ก็เหมือนจะเริ่มสนิทกันแบบไม่รู้ตัว ว่าแต่เสียงกรีดร้องโหยหวนนั่น ไม่ใช่ว่าใครฆาตรกรรมบรรดาลูกๆของจุนหรอกนะ o22
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 8 (010418)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-04-2018 09:27:12
:pig4: ขอบคุณคนแต่งค่ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 8 (010418)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 05-05-2018 12:57:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 9 (170518)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 17-05-2018 00:05:46
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid


Home*Mate [9]


02.10 น.
หน้าจอมือถือบอกเวลาผมไว้แบบนี้ หัวใจที่เต้นรัวของผมยังไม่คลายจากอาการกระตุก ทำให้อากางัวเงียสมองไม่เกิดขึ้นเลยครับ ตอนนี้ผมมีสติเต็มร้อย มั่นใจรุนแรงว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป และสิ่งที่กำลังสัมผัสก็ไม่ใช่สิ่งตกค้างจากความฝันแน่นอน

มันเกิดขึ้นอีกแล้ว มันเกิดขึ้นจริง เสียงนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว

เสียงโหยหวนอย่างทรมาน.....

ผมลืมตาโพลงในห้องที่ปิดไฟมืดสนิท ห้องผมอยู่ชั้น 4  แต่เสียงกลับดังขึ้นมาถึง ซ้ำยังมีลักษณะที่ห่างไกลออกไปราวกับต้นกำเนิดเสียงโหยหวนนั้นถูกลากไปอย่างช้าๆ ยังไม่ทันได้สร้างภาพขึ้นในหัว เสียงหวีดสูงก็ดังประชิดพื้นที่คอนโดทันที!

“ห่าอะไรวะเนี่ย?” ผมสบถกับหัวใจตัวเองที่ยังเต้นโครม
“เสียงหมาป่าววะ?”
“เห้ย”
“แม่งงงงงงง” ผมเร่งหาข้อสรุป แล้วก็เคาะว่า ต้องเป็นเสียงร้องของหมาที่ถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมแน่นอน

ซึ่งมันเป็นไปได้สูง เพราะหนึ่ง แรงงานร้านข้าวต้มใกล้คอนโดนั้นดูเป็นพวกคึกคะนอง เป็นไปได้ว่าพวกนี้จะทำร้ายสัตว์ไม่มีทางสู้เพื่อระบายความแร้นแค้นทางอารมณ์ของตัวเอง และสอง แถวคอนโดมีหมาจรจัด แน่นอนว่ามันไม่มีผู้คุ้มภัยอยู่แล้ว ใครที่ไหนก็เตะพวกมันได้โดยไม่โดนหมายจับ

“ใช่แน่ๆ ไอ้ห่าพวกนี้” หัวใจผมเริ่มเต้นเป็นปกติ แต่อกผมบีบรัดรุนแรง ผมทนไม่ได้ ผมไม่ชอบเห็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอถูกรังแกแบบนี้ แม้จะไม่ได้ผูกพันธ์กับหมาแมวมากมาย แต่ผมก็ไม่ใช่พวกอยู่เฉย

ผมเงี่ยหูฟังเสียงหมาน้อยร้องอย่างทรมาน มันไม่ใช่แค่ตัวเดียวแน่นอนครับ นี่มันคือการทรมานหมู่ชัดๆ เป็นไปได้ว่าพวกจิตใจหยาบช้าพวกนี้ต้องทำร้ายมันเพื่อความสะใจทั้งฝูงแน่นอน

ห่าเอ้ย! ผมจะช่วยอะไรพวกมันได้บ้าง?

ผมหาเบอร์ด่วน วางแผนจะโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ แต่ก็หาหน่วยงานที่ตรงโจทย์ไม่ได้ ก็เลยคิดถึงเพจเฟสบุ้คขึ้นมา จำได้ว่าเคยเห็นผ่านตา เรื่องหน่วยงานเฉพาะกิจภาคประชาชนที่ตั้งขึ้นเพื่อดูแลสัตว์ไร้ที่พึ่ง

แต่นี่มันเรื่องด่วนนี่ ถ้าผมจะแจ้งเพจตอนนี้ ความช่วยเหลือก็ไม่ได้มาทันทีแน่ๆ แอดมินก็ต้องนอนนี่หว่า

งั้นก็...แจ้งไว้ พรุ่งนี้เช้าพวกเขาคงมาตามเรื่องอีกที
ถ้าจะส่งข้อมูลไว้ แน่นอนว่าผมต้องมีหลักฐานผู้กระทำความผิด!

“เอาวะ ถ่ายคลิป” ระหว่างที่เริ่มเห็นทางออก ผมก็ได้ยินเสียงมนุษย์ชายและหญิงส่งเสียงหัวเราะสอดแทรกเสียงแห่งความทรมานของหมาขึ้นมา

นี่พวกมึงทรมานมันแล้วยังกล้ายืนมองและหัวเราะอีกหรอ พวกเหี้ย!!

ไม่ได้ๆ ผมต้องมีหลักฐานทุกสิ่งอย่าง
คอยดูนะ ไอ้พวกนี้ต้องเข้าคุกทั้งแกงค์!!!

ผมพลันลุกออกจากเตียง ออกจากห้องนอนตัวเองและเคาะประตูห้องนอนข้างๆ แบบเบามือ เพราะผมกลัวไอ้พวกข้างล่างที่ทรมานหมาอยู่จะรู้ตัวแล้วสลายแกงค์ไป

แล้วทำไมไอ้คนที่นอนในห้องนี่แม่งไม่ตื่นสักทีวะ?
เคาะแรงก็ไม่ได้ เปิดไฟยิ่งไม่ได้ใหญ่ เดี๋ยวพวกข้างล่างมันจะรู้ว่ามีคนตื่นเพราะการกระทำต่ำทรามของมัน เสียแผนลอบเก็บหลักฐานหมด

ผมขมวดคิ้วขัดใจ ท่ามกลางความมืด ผมเรียกแสงจากจอมือถือ เข้าไลน์ แล้วก็โทรหานายค้ำจุนทันที หวังว่าหมอนี่จะไม่เปิดเสียงโทรศัพท์ในเบอร์โทรโข่งนะ

“คุณ” ผมกระซิบใส่โทรศัพท์เมื่ออีกฝ่ายรับสาย
“คุณ ได้ยินมั้ย”
“เปิดห้องหน่อย คุณ คุณณณณณณณณ”

ปึก!
ประตูห้องนอนนายค้ำจุนเปิดออก ทำเอาตัวผมเทไปตามบานประตู ใบหน้ายังไม่ตื่นดียื่นแทรกออกมา

“อะไร”
“ตีสอง”
“ใครตาย”

“ไม่ๆ ไม่ตาย”
“คุณฟังดิ ฟัง”

“อะไรอ่ะ” เมื่อผมกระซิบ เขาก็กระซาบกลับมาครับ ใบหน้างัวเงียยื่นออกมามากขึ้น แต่ตัวเขาก็ยังอยู่ในห้องนอนอยู่ดี

“ฟังดิ ได้ยินเปล่า เราต้องทำอะไรสักอย่างนะ”

“ก็อะไรล่ะ?”

“พวกร้านข้าวต้มแม่งทรมานหมาอ่ะ ได้ยินมั้ยล่ะ เนี่ยๆๆๆๆ” ผมยื่นมือไปตบอกเขาที่ซ่อนตัวในห้องเพื่อกระตุ้นให้เขาสนใจสิ่งที่ผมไม่อาจละเลย

ลูกกะตาเขาสู้โลกมากขึ้น แต่เนื่องจากเรามองหน้ากันในความมืด ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าสีหน้าเขาเป็นยังไง

“เฮ้ยๆๆ คุณ ทำอะไร?” ผมรีบคว้าตัวเขาไว้ เพราะจู่ๆ หมอนี่ก็พรวดออกจากห้องนอน

“เปิดไฟไง” เขาตอบ คงอึดอัดกับการมองไม่เห็นอะไรแบบนี้ แต่ผมรีบห้าม ดันอกยันตัวเขาไว้ให้อยู่ในห้องนอนตามเดิม

“ถ้าเราเปิดไฟ พวกที่ทำเรื่องเหี้ยๆ อยู่ก็จะรู้ตัวนะ”
“ไม่ได้คุณ”
“ผมต้องการหลักฐาน คุณมาช่วยกันส่องหน่อยสิ”

“ส่อง?”​

“ใช่ ส่อง”  ผมย้ำคำ ถือวิสาสะจูงแขนเขาออกจากห้องนอน และลากเข้าห้องนอนผมเอง

ห้องนอนผมติดริมถนนในซอย ร้านข้าวต้มห่างไปแค่ถนนเล็กในซอยกั้น ผมมั่นใจว่าถ้ามองจากผนังกระจกห้องผม ต้องได้หลักฐานเด็ดแน่ๆ แต่เราต้องทำงานเป็นทีมครับ

ผมลากเขามานั่งขดตัวที่ข้างเตียง ซึ่งขนาดผมยังนั่งลำบาก นายค้ำจุนก็คงต้องขดกระดูกมากกว่าผมแน่นอน แต่เพื่อสันติภาพสัตว์โลก เราต้องยอมลำบากครับ

“ผมจะถ่ายคลิปนะ คุณสอดส่องให้ก่อนว่าพวกมันมีกันเยอะมั้ย มุมตรงไหนดี”

นายค้ำจุนน่าจะเข้าใจ ผมเห็นเงาตะคุ่มๆ ของเขาขยับเปิดม่าน เขาโผล่หัวออกไป ครู่เดียวก็กลับมา

“เป็นไงคุณ มันเยอะมั้ย?”

“เป นอนเถอะ”

“เฮ้ย! ไม่ได้นะคุณ หมามันทรมาน คนเราเกิดมาเป็นคนได้เนี่ยก็โชคดีกว่าพวกมันมากมาย ทำไมต้องมาระบายอารมณ์กับมันอีก น่าสงสารมันนะ”

“มันไม่ทรมานหรอกเป มันชอบ”

“คุณจะบ้าหรอ? หมาที่ไหนชอบโดนทิ่มโดนเสียบแล้วลากไปลากมา ห่า โคตรทรามอ่ะ”

“หมามันชอบหรอกน่า นอนเถอะคุณน่ะ”
“อย่าสนใจเรื่องนี้อีก”

“เฮ้ยจุน ทำไมคุณใจดำแบบนี้อ่ะ?”

“เป ผมบอกครั้งสุดท้ายนะ นอน”

“ไม่!” ผมเสียงเข้มใส่ ตัดสินใจแง้มม่านแล้วโผล่หน้าไปดู เพื่อจะได้หามุมที่ถ่ายคลิปแล้วเห็นหน้าพวกจิตใจหยาบช้าทั่วทุกคน!

เหี้ยเอ้ยยย! 

สิ่งที่ลูกกะตาผมเห็นทำให้หัวใจสลาย ผมไม่คิดเลยว่านายค้ำจุนเห็นอะไรแบบนี้แล้วยังกล้าบอกให้ผมนอน

“เอาไงล่ะคุณ แยกย้ายมั้ยล่ะ”

“อืม” ผมตอบในลำคอ น้ำตาเอ่อคลอขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

มันเป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปกันหมดไป ทั้งโกรธ ทั้งอาย ทั้งสาปส่ง
เสียงที่ทำให้ผมเดือนร้อนนอนต่อไม่ได้ ก็คือ หมาผสมพันธุ์กันครับ

แน่นอนว่าในโลกนี้มีหมาที่โดนเสียบโดนแทงแล้วชอบอยู่ครับ

และสิ่งที่ผมควรทำที่สุด ก็คืออย่าใส่ใจเรื่องนี้อีก และนอนซะ อย่างที่นายค้ำจุนแนะนำ

ฮรืออออออ ไอ้พวกหมา ทำกูนอนไม่ได้มาหลายคืนแล้วนะ! 

“คุณ” ผมเรียกเงาตะคุ่มที่ยืดตัวขึ้นยืนหัวสูง

“อืมว่า?”

“อย่าหัวเราะล่ะ”

“ไม่ทันแล้วอ่ะ เมื่อยหน้าชิบหาย”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”​
และเสียงหัวเราะเลวทรามก็ดังขึ้นในห้องนอนของผม ถ่มรดหัวผมที่ยังขดตัวอยู่ในซอกเตียง

ไอ้ค้ำจุน ไอ้เลว!

พรึ่บ!
พลันแสงไฟในห้องก็สว่างขึ้น นายค้ำจุนยืนพิงขอบประตูที่เปิดอ้าไว้ เขากอดอก หันมองผมที่นั่งกอดเข่าแต่เงยหน้าหยีตามองเขาอย่างคั่งแค้น

“นอนเถอะ”
“ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้อีก”
“ผมจะไม่เล่าให้ใครฟัง”
“สัญญาเลย”
“เพราะมันฮามาก กลัวเล่าแล้วความฮาลดลงอ่ะคุณ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทรมานบ้าไรเนี่ย หมาฟิทเจอริ่งกันอ่ะ”
“โอ้ย! เรื่องของหมามันเถอะเป”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”​

ขอย้ำอีกครั้งนะครับ
ไอ้ค้ำจุน ไอ้เลววววววววววว!


Home*Mate


เช้าแล้วแท้ๆ แต่แม่งก็ยังรู้สึกเกลียดประสบการณ์ที่ได้รับเมื่อคืนนี้
ผมตื่นมาด้วยอารมณ์หม่นหมอง เอาตีนเขี่ยม่านเพื่อเช็คท้องฟ้าว่าจะช่วยกันมากน้อยแค่ไหนในวันนี้ และก็ได้คำตอบ

วันนี้ฟ้าหม่นครับ

เสียงกุกกักนอกห้องนอน ทำให้รู้ว่านายค้ำจุนยังไม่ออกไปทำงาน ผมก็เลยเช็คเวลา เพราะปกติ เวลาตื่นของผมคือเวลาที่นายค้ำจุนกำลังเดินทางไปทำงาน

“ทำไมวันนี้แม่งไปสายวะ?”
“หรือว่าแม่งงงงงง.....” ผมหารือกับตัวเองเพราะสถานะของผมคือนายเปลผู้ไร้เพื่อนคู่คิดครับ
“เอาวะ? ให้รู้ไปว่าแม่งจะไม่ยอมเลิก” เมื่อได้ข้อสรุป ผมก็แบกหัวอึมครึมขึ้นนั่ง และลุกจากเตียง

เปิดประตูห้องนอน
โผล่หน้าไปสบตากับคนที่กำลังเตรียมมื้อเช้าบนโต๊ะสารพัดจะใช้งาน
เขาส่งยิ้มให้
ผมพยักหน้าทักทาย
และ

“ผมรู้แล้วหมาตัวไหน?”

“..............” แม่ง ไม่จบสินะ ไอ้ค้ำจุนคนเลว ผมหันตัวเข้าห้องนอนต่อ เตรียมปิดประตูใส่ แต่หมอนี่รวดเร็วครับ  หรือจริงๆ แล้วผมอาจเคลื่อนตัวเชื่องช้าเกินไปเอง

“ล้อเล่นนนนนน”
“ทำไข่ดาว ไส้กรอกทอด ขนมปังปิ้ง”

“............”

“กำลังร้อนๆ”
“มากินเลยป่าว”

“ทำไมผมต้องกินเลยอ่ะ?”

“จะได้ออกไปทำงานพร้อมกัน”
“ดิ”
“หกโมงครึ่งแล้วเนี่ย เร็ว”

“คุณรีบก็ไปก่อนเลย”

“อยากเดินทางกับคุณ”

ผมยอมรับว่าเหวอครับ เพราะนึกเหตุผลไม่ออกว่าทำไมเขาถึงได้อยากเดินทางเคียงข้างไปกับผม เราไม่ได้เป็นมิตรกัน แม้จะไม่ใช่ศัตรูกันก็เถอะ
การไปทำงาน ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเกื้อหนุนกันและกันมาก่อน พูดง่ายๆ ก็คือ ปกติแยกกันไป ทำไมจู่ๆ วันนี้มาทำตัวง่อยใส่ ต้องมีคนคอยประคองอะไรทำนองนี้หรอ?

“ทำไมเราต้องเดินทางด้วยกันล่ะ?”
“เหตุผลอะไร?”

“ก็....ไม่มีอะไรหรอก” เขาว่างี้ครับ แต่ผมคิดว่าใครๆ ก็เดาได้ว่า ถ้าตอบว่าไม่ คือมี ถ้าตอบว่ามี ให้เตรียมหนีทันทีเพราะต้องเกี่ยวกับเรื่องเงินแน่ๆ

“ไม่มีก็ดี ก็ไม่เห็นต้องไปพร้อมกันเลย เข้างานคนละเวลา”

“ก็ จริงๆ ก็มีนะ”

“ผมไม่ให้ใครยืมเงิน เลิกคิดเลยคุณ”

“เฮ้ยยยยย” ไม่ส่งเสียงเปล่าครับ นายค้ำจุนรี่มาดึงผมออกจากห้องนอน มาเหวี่ยงไว้ที่โซฟา แล้วก็นั่งประกบ
“ไม่ใช่เรื่องเงินหรอกน่า”
“ผมรู้ว่าคุณงก”
“แต่อยากคุยด้วยเรื่องจัดทริปไปสวนแคคตัสผมที่ราชบุรี”

“..............” สายตาผมคงไม่เชื่อโลกมากแน่ๆ นายค้ำจุนถึงได้ยื่นหน้ามาสบตาใกล้ๆ เขาคงอยากย้ำความจริงใจ แต่สิ่งเดียวที่ผมเห็นก็คือ .... หมอนี่ขนตายาวชิบหาย ตาโคตรสวยเลย
“ทริปสวนแคคตัส?”

“อื้อ”
“ก็ ยาดาเพื่อนคุณไง เขาอยากไปนี่”
“เลยจะถามว่าเสาร์อาทิตย์ไหนที่ว่างกัน”
“ผมจะได้จัดรอบเดียว เอาให้คุ้ม ขี้เกียจเปิดสวนบ่อยๆ”

“แสดงว่ามีคนอื่นไปด้วย?”

“ใช่ ก็ลูกค้าหลายคนอยากไปเที่ยวแล้วแวะ อะไรแบบนี้อ่ะ”
“แต่ผมไม่ได้เปิดสวนให้ดูตลอดเวลาหรอก”
“แม่คงดูแลไม่ไหว ก็จะจัดเป็นรอบๆ เอา”
“เห็นว่าเพื่อนคุณสนใจ เลยมาถามก่อนว่าว่างเมื่อไหร่ ผมจะยึดเอาวันว่างของยาดาเป็นวันจัดทริป”

“อ่อ....”​ตามไม่ทันหรอกครับ เอาจริงๆ อือออไปงั้น

“ฝากไว้เป็นธุระคุณหน่อยนะ ถามให้ที” แล้วทำไมมันไม่ขอคอนแทคกันวะ? อ่อ ลืมไปว่าผมไม่ให้คอนแทคนายค้ำจุนกับยาดา ผมกลัวเพื่อนผมหลงเสน่ห์หมอนี่จนลืมชายวราห์ผู้จืดชืดคนนั้น

“โอเค ได้”
“งั้นคุณก็ไปทำงานตามสบายเถอะ”

“ไม่ได้ๆ ไหนๆ คุณก็ตื่นแล้ว ผมก็รอคุณตื่นแล้ว”
“ไปอาบน้ำแต่งตัวดิ ไปพร้อมกัน”

“เฮ้ออออออออ” ส่งเสียงเอือมไปงั้นแหละครับ สุดท้ายก็ลุกไปอาบน้ำ เพื่อมากินมื้อเช้าพร้อมเขาและออกไปทำงานพร้อมกัน ตามที่นายค้ำจุนวางแผนไว้เป๊ะเลย

และแน่นอนว่า......

“คุณๆ” เขายื้อข้อศอกผมไว้ระหว่างที่เราเดินออกจากคอนโดเพื่อมาโบกมอเตอร์ไซค์ไปบีทีเอส จริงๆ ระยะแค่นี้ก็เดินได้ แต่ขี้เกียจครับ

“อะไร?”

“ตัวนี้ป่ะ?” ผมหันมองตามทิศทางที่เขาชี้ เจอะกับหมาตัวนึงที่ยืนไม่ห่างพวกเรานัก มันเงยหน้ามองพวกเราเหมือนกัน

“อะไร หมามันทำไม?”

“ตัวนี้รึเปล่าที่คุณแอบดูเลิฟซีนมันเมื่อคืนอ่ะ”

ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ไอ้ค้ำจุน ไอ้เลวววววววว!


tbc...


มาต่อแล้วค่ะ
ตอนนี้สั้นๆ นะคะ
ตอนหน้าพบกันใหม่ กับนายค้ำจุนสภาพพ่อค้าภาคสนามค่ะ



หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 9 (170518)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 17-05-2018 02:47:19
ขำเปสุด ๆ อ่ะ นายค้ำจุนก็ช่างแหย่ 555 รอดูทัวร์สวนแคคตัสเลย คิดว่าน่าจะทำให้เปเห็นความเป็นนายค้ำจุนมากขึ้น คราวนี้น่าจะได้หลงเสน่ห์มั้ยนะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 9 (170518)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-05-2018 06:45:35
เชื่อจ๊ะ บางคนไม่เคยเห็นหมาฟีเจอริ่ง ก็คงจะเข้าใจอย่างที่เปคิดแน่ๆ
นี่ถ้าโผล่หน้าไปดูก่อน ก็คงไม่มีเรื่องน่าอายเกิดขึ้นนะ
 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 9 (170518)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-05-2018 10:33:06
5555555
เปน่าสงสาร อายไหมเปเอ้ยยย
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 9 (170518)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-05-2018 10:56:32
55555555555555555 อินี่ก็นั่งหัวเราะคนเดียวเหมือนบ้า จริงของค้ำจุนต้องเก็บเอาไว้ขำต่อ นี่อ่านจบก็นึกได้ก็นั่งขำจริงนะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 9 (170518)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 17-05-2018 14:22:32
เปเอ๊ยยยย  :laugh:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 9 (170518)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 18-05-2018 12:16:12
น่ารักนะ
แต่วิธีจัดย่อหน้า ขึ้นบรรทัดใหม่ ทำให้อ่านแล้วงงๆ ไม่รู้ว่าใครพูดแต่ละอัน
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 9 (170518)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-05-2018 22:51:56
 :pig4: :pig4: :pig4:

ขำอ่ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 9 (170518)
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 21-05-2018 10:59:54
โอ้ยยยยย
ขำมากกกก
ตอนแรกนี่ก้แตกตื่นตามเลย
สุดท้าย 5555555
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 9 (170518)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 02-06-2018 09:14:45
พึ่งได้มาอ่านน่ารักมากเลยครับ มาต่อเร็วๆนะครับ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 9 (170518)
เริ่มหัวข้อโดย: nnnnnyus ที่ 05-06-2018 10:30:08
แงงง ดีใจ วันนี้อยู่ดีๆ ก็คิดถึงหมาเจมขึ้นมา เลยลองหางานเรื่องใหม่ของคุณกระจิ๊ดริดดู ละก็เจอจริงๆ ติดตามนะคะ ชอบสไตล์การเขียนมากเลยค่ะ 
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 14-08-2018 00:31:12
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [10]



“สรุปเสาร์นี้นะ อย่าลืมบอกคุณค้ำจุนให้ด้วย” นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ผมได้ยินประโยคนี้ ยาดาเอ๋ย เราก็คนเหมือนกัน พูดภาษาเดียวกัน ก็ควรจะมั่นใจสิว่าพูดรอบเดียวผมก็เข้าใจ พอเห็นทำหน้าเฉยชาใส่ เพื่อนคนนั้นก็ขยับมายืนประชิดตัว ซ้ำยังเงยหน้ามองผมอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อคำตอบที่อยากให้ผมตอบทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

นั่นก็คือ

“อืม”

“ถ้าเปจำได้เราก็วางใจ ไม่อยากให้เก้อกัน มีหลายคนอยากจะไปเที่ยวสวนคุณค้ำจุนนะ เค้าดัง เปไม่รู้ก็อย่าเถียง”

ผมกรอกตาแทนคำพูดล้านแปด ยาดาจึงส่งเสียงถอนหายใจให้รู้ว่าเธอก็เอือมผมไม่แพ้กันหรอกน่า ผู้หญิงมักชอบเป็นฝ่ายชนะในทุกๆ สิ่งล่ะมั้งครับ ผมยอมแพ้ก็ได้ ผมเป็นผู้ชายนี่

“รู้แล้ว รู้แล้ว รู้แล้ว....
.....พูดทุกวัน ถามทั้งวัน เตือนตลอดวันยิ่งกว่าแมสเสจทวงหนี้บัตรเครดิตขนาดนี้
ไม่ ลืม หรอก” เมื่อสลัดเพื่อนให้พ้นจากโต๊ะทำงานได้ผมก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ บุญของนายค้ำจุนและยาดาเพื่อนรักคงมีมาก วันเสาร์ที่เป็นวันนัดหมายไปเที่ยวชมสวนแคคตัสของนายค้ำจุน ผมจึงได้คิวโล่ง ไม่ติดธุระใดๆ และไม่ติดงานเล็กงานน้อยของลูกค้าแม้แต่งานเดียว

นี่ก็ล่วงเข้ามาวันพฤหัสแล้ว พรุ่งนี้ก็เหมือนวันพรีสุดสัปดาห์ของพนักงานเงินเดือนอย่างผม แต่อย่าคิดว่าสบายเลยครับ บางครั้งงานก็วิ่งเข้าใส่จนแทบอยากให้โลกนี้ไม่มีวันศุกร์ ตอนนี้ผมกำลังจัดทำข้อมูลตามที่ลูกค้าขอเป็นพิเศษ รีบปั่นรีบส่งอีเมลแล้วค่อยรู้วึกสบายตัวหน่อย มองนาฬิกาอีกทีก็ 17.00 น. ให้ตายเถอะ ผมนี่ช่างขยันเสียจริง ทำงานจนแทบลืมเวลาเลิกงานไปเลยนะเนี่ย

“พี่ๆ ครับ เปกลับแล้วนะคร้าบบบบ” ต้องลากเสียงยาวเพื่อความน่าเอ็นดูครับ แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าลูกค้าที่อยู่ระดับบริหารทำแบบนี้ไม่ได้หรอก

“อ้าว”  เสียงสั้นๆ แบบนี้ ทำให้ขนลุกได้อย่างน่าประหลาดใจนัก ผมหันมองหัวหน้า เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ทำไม มีปัญหาอะไรนักหนา จากนั้นก็เอื้อนเอ่ยว่า – ครับพี่ –
“งานเย็นนี้ไม่ไปหรอเป” แกหมายถึงงานเลี้ยงขอบคุณสื่อมวลชน ซึ่งลูกค้ารายหนึ่งของเราจัดขึ้นครับ

“ก็อยากอยู่หรอกนะครับ แต่เปว่าทีมเราไปเยอะมากแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่ลูกค้าหลักเป”

“อ่อหรอ? ใครไปมั่งนะเย็นนี้”

“ครับ....ก็มี.....” ผมทวนชื่อทีมที่ไปดูลูกค้าและสื่อวมวลชนกลุ่มเล็กๆ ที่บริษัทพีอาร์เอเจนซี่แบบผมเป็นตัวกลางในการนัดหมายให้ หัวหน้าพยักหน้ารับรู้แล้วก็บอกข้อสรุปที่ทำให้ผมโล่งใจ

“เออว่ะเยอะแล้ว เปกลับบ้านเถอะ พรุ่งนี้ไปขายงานกับพี่ตามแผนเดิม โอเคนะ”

“ครับ” ผมรับคำ พาดสายกระเป๋าข้ามหัวตัวเองแล้วก็เดินออกจากออฟฟิศ วันนี้เพื่อนรักอย่างยาดามีนัดหมายแล้ว การกลับคอนโดของผมจึงค่อนข้างเงียบ ไร้เสียงชักชวนให้แวะห้างนั้น กินร้านนี้ ชอปลิปสติกร้านโน้นเหมือนที่เกิดขึ้นบ่อยๆ  นานๆ ทีได้มีเสียงเพลงเป็นเพื่อนเดินทางก็ดีเหมือนกัน

ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับเสียงเพลงจากหูฟัง และสเตปการเบียดผิวหนังกับผู้คนบนรถขนส่งมวลชนสาธารณะแบบผูกขาด ผมก็ถูกรบกวนครับ

“ครับ” อารามตกใจทำให้ผมกดรับสายทันที

“ผมเอง ไม่เป็นไร ไม่ต้องสุภาพ” จะให้เรียกไอ้เหี้ยตรงนี้มั้ยล่ะครับคุณ ผมถามปลายสายในใจ แต่ก็แค่ขานรับเขาสั้นๆ ทางปาก

“มีอะไรคุณ” อ่ะ ไม่สุภาพมากมายแล้วไง มีอะไรก็พูดๆ มาเถอะ จะสุนทรีย์ต่อเว้ย

“ก็ไม่มีอะไร”

“งั้นวางนะ”

“เดี๋ยวดิ เดี๋ยวๆๆๆ” เอ้า ก็ไหนว่าไม่มีอะไรไงเล่าครับคุณ ผมแซวในใจ มุมปากก็เพียงแค่ยกยิ้มเท่านั้น
“คืองื้อ...
เจอร้านอร่อยเมื่อวาน เย็นนี้คุณมากินด้วยกันสิ อร่อยมาก”

“หรอ เมนูคืออะไร”

“ก๋วยเตี๋ยว”

“ที่ไหน”

“จรัญฯ”

“ไม่ไปอ่ะ ไกล ผมอยู่บีทีเอสแล้ว
คุณกินไปเลย เดี๋ยวผมกินร้านแถวคอนโดเอา ไม่ต้องซื้อเผื่อนะ
ถ้าไปกับเพื่อนๆ ก็ไม่ต้องรีบกลับหรอก”

“........” เงียบแฮะ เงียบใส่ทำไมวะ? หรือสัญญาณหาย? ผมเบี่ยงโทรศัพท์จากข้างหูมามองดูหน้าจอ เห็นว่าปกติดีจึงแนบหูต่อ

“คุณ....ได้ยินมั้ย
เอาเป็นว่าต่างคนต่างกินนะ แค่นี้นะ
วางแล้วนะ เจอกันที่ห้อง” แล้วผมก็ว่าง ผมไม่รู้สึกว่าผมตัดรอนเขาเกินไปแม้แต่นิด และเขาเองก็เคยตัดบทสนทนาของผมรุนแรงกว่านี้

เราไม่ใช่คนที่ผูกพันกัน ไม่ใช่ใครที่ต้องรักษาน้ำใจกันและกันนี่ครับ

ผมจ่อมอยู่กับตัวเองและเสียงเพลง ไม่นานก็เดินทางถึงที่หมาย ต่อรถมอเตอร์ไซค์คละปเม็ดฝนปลายแถวอีกนิดหน่อยผมก็ถึงห้องโดยสวัสดิภาพ

และทันทีที่ถึงห้อง ฝนก็เทลงมาห่าใหญ่

“ชิบหายมั้ยล่ะจุน เปียกเป็นลูกหมาแหงๆ สมน้ำหน้า” แม้ปากจะพูดแบบนั้น ซ้ำยังยิ้มเยาะคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันใกล้ๆ แต่จิตใจผมก็หม่นลงจนน่าจะเป็นสีเดียวกับเมฆก้อนมหึมาที่ผมกำลังทอดสายตามอง

อืม...ถ้านายค้ำจุนเปียกกลับห้องมา คงน่าสงสารพิลึก ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นประเภทป่วยง่ายรึเปล่า แต่ผมคนนี้ป่วยง่ายมาก เพราะฉะนั้นผมจึงค่อนข้างระวังตัวเองในช่วงที่โรคระบาดชุกชุมหรือช่วงฤดูกาลเปลี่ยน

ถามเขาหน่อยก็แล้วกัน ผมสรุปกับตัวเอง เช็คเวลาบนฝาผนังก็พบว่า 2 ทุ่มครึ่งแล้ว น่าจะกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยย่านจรัญฯ เสร็จแล้วล่ะมั้ง

รอสายอยู่ไม่นาน อีกฝ่ายก็รับสายด้วยน้ำเสียงที่ผมคุ้นเคยดี

“ก็ไม่ว่าไง” ผมตอบเมื่อเขาทักมาว่า ...ไง...
“ทางนี้ฝนตกหนัก ผมก็...ไม่คิดว่าอย่างคุณจะพกร่มน่ะ อยู่ไหนแล้ว” เขาบอกพิกัดที่กำลังปักส้นเท้าอยู่
“หรอ....คุณจะให้ผมออกไปรับปากซอยมั้ย ตรงเซเว่น เดี๋ยวขับรถคุณออกไปรอ”
“หรอ...” เขาบอกว่าไม่เป็นไร เปียกแป๊บเดียวก็ถึงคอนโดแล้ว
“งั้น .... ก็... กลับดีๆ ล่ะ” ผมบอกเท่านี้และวางสาย สายตายังไม่ละจากสายฝนที่กระหน่ำตกลงมา ยอมรับว่าเป็นห่วงเขานิดๆ เพราะถ้าสลับตำแหน่งสถานการณ์กันบ้าง หากผมเป็นฝ่ายกำลังเดินทางกลับบ้านในเวลาที่ฝนเทกระหน่ำขนาดนี้ ผมจะดีใจมากที่มีใครสักคนยื่นมือมาช่วยบังฝนให้

แต่ก็ช่างเถอะครับ ถือว่าผมมีน้ำใจแล้ว แต่เขาไม่รับเอง ช่วยไม่ได้ ป่วยก็ช่วยไม่ได้แช่นกัน

ผมนั่งดูทีวีไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานเขาก็กลับห้องด้วยสภาพที่ไม่ผิดจากที่ผมคิดเดา คำแรกที่เขามอบให้หลังจากยื่นตัวห่อๆ บนพรมเช็ดเท้าหน้าห้องก็คือ...เปียกยันจู๋เลยคุณ!

แล้วยังไง? ผมต้องช่วยเช็ดจู๋และปั่นจู๋เขาให้แห้งหรอ? จำเป็นต้องบอกสภาวะจู๋กันด้วยหรอวะ?!

พอเขาเห็นเครื่องหมายคำถามกลางหน้าผากผม จึงได้สงบปาก ผลุบเข้าห้องนอนแล้วพรวดออกมาใหม่พร้อมกับผ้าขนหนูและชุดนอนและก้าวยาวๆ เข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้ผมงงอยู่กับตัวเองว่า สรุปแล้วผมต้องสนใจจู๋เขาต่อมั้ย?

ราวๆ 30 นาที เขาก็เดินตัวหอมออกมาจากห้องน้ำ

“ขอบคุณนะคุณ อุตส่าห์เป็นห่วง”

“หือ?” บอกตรงๆ ว่าตามไม่ทันครับ คือผมกำลังดูหนังอยู่ แล้วจู่ๆ เขาก็มากวนสมาธิกันด้วยคำขอบคุณแบบไร้ประโยคเปิดเรื่อง

“เอ้า ก็ขอบคุณที่คุณเป็นห่วง ที่จะไปรับผมที่ปากซอยไง”

“อ๋อ....
ไม่เป็นไรหรอก เพราะถ้าให้ออกไปรับ ก็รถคุณอยู่ดี ผมแค่ขับไป ขากลับคุณก็ขับเอง เช็ดเบาะเอง ลุ้นหาที่จอดที่คอนโดเอง ต้องจอดขวางแล้วเกิดซวยโดนมือเหี้ยๆ เข็นรถจนเป็นรอยก็รถคุณ”

“โอเค โอเค” คนพูดไม่ทันผมทำท่ายอมแพ้ในการต่อปากต่อคำ เขานั่งลงกับพื้น พิงโซฟาระหว่างเช็ดตัว  เมื่อเห็นว่าเขาเงียบปากแล้วผมก็ดูหนังต่อ แต่แล้วก็สะดุ้งสุดตัว เพราะ

“ฮ้าดดดดดดดดดดดดเช้ย!”

ไอ้เหี้ย ดังกว่านี้เสียงหมาสืบพันธ์กันในคืนนั้นแล้วครับ

ผมลูบอกปลอบใจตัวเองระหว่างมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา หน้าตาสุภาพไม่ได้ทำให้เขาจามอย่างสุภาพเลยหรอวะ?

“โทษๆ “ นายค้ำจุนบอกแล้วสูดน้ำมูกอย่างฟึดฟัด ผมเลยจำใจเลิกสนใจหนังที่ใกล้จบ แล้วลุกไปหาหยูกยามายัดใส่มือ

“ดักไว้เลยคุณ เป็นหวัดจะซวยเอา”

“ค้าบบบบบบบ” เขาขานรับด้วยคำสุภาพแต่น้ำเสียงกวนตีน ผมก็ยิ้มกวนตีนกลับไปและก็แยกตัวเข้านอน
“อื้อคุณ” แหมเว้ย นี่ก็ธุระเยอะจริง

“ว่า?” ผมหันมาขานรับ ตัวผลุบเข้าห้องแล้ว แต่ยื่นหัวออกมาคุยด้วย

“ผมจะกลับสวนพรุ่งนี้เลย คุณเป็นธุระพาเพื่อนคุณไปสวนผมหน่อยนะ เดี๋ยวให้ไอ้ต้นนำทาง”

“อ่อ เอางั้นหรอ?
จริงๆ ก็ได้แหละ แค่นัดจุดเจอกันให้ดีๆ
ผมว่าคุณแจกแผนที่บรรดาคณะลูกค้าคุณไว้ก็ดีนะ”

“อื้อ ให้ไปแล้ว แต่พวกเขาต่างคนต่างไป มีจะไปพร้อมกับเพื่อนคุณแค่อีก 3 คน ไอ้ต้นมันก็รู้แล้วว่าคนไหนบ้าง....
เอาเป็นว่า ผมฝากคันเพื่อนคุณกับคันไอ้ต้นหน่อย แค่นั้นแหละ ขับตามๆ กันมา”

“งั้นก็ไม่ยากอะไรนี่ แค่นี้ใช่มั้ย”

“อือ”

“งั้นนอนนะ”

“อื้อ ฝันดี”

“ฝะ......” กูต้องบอกฝันดีตอบกลับไปด้วยหรอวะ? ผมดึงสติตัวเองมาถาม มองหน้าเขาที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นและเงยหน้ามองผมชะงักปากตัวเองกลางอากาศ
“ฝันดี” แล้วผมก็พูดกลับไป ซ้ำยังยิ้มกลับไป เมื่อเขาส่งยิ้มมาให้ก่อน

อะไรวะ? ทำไมบรรยากาศดี
ทำไมใจฟู
อืม หัวใจคงยินดีที่ได้มิตรใหม่...ล่ะมั้ง

Home*Mate

เช้าวันเสาร์ที่ผมควรได้นอนตื่นสายตามโควตาวันหยุดสุดสัปดาห์ กลับต้องเริ่มต้นสบตากับพระอาทิตย์ตั้งแต่เช้า ร่วมก้บเพื่อนผู้ชอบทำลายเวลาพักผ่อนของผม และว่าที่สามีของเธอ

“ตื่นเต้น ตื่นเต้น” ฟังคำนี้มาเป็นล้านครั้งได้แล้วมั้ง ผมมองกระจกมองหลัง เพื่อสังเกตุสีหน้าของวราห์ที่รับหน้าที่ขับรถว่าเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อแฟนตัวเองเอาแต่ตื่นเต้นกับการไปพบชายอื่น เอ่อ ผมเวอร์ไปสินะ จริงๆ ยาดาอาจจะแค่ตื่นเต้นที่จะได้ไปเยือนสวนแคคตัสเท่านั้นก็ได้ ไม่ได้ดี๊ด๊าเพราะจะได้เจอนายค้ำจุนในสภาพเจ้าของสวนหรอก

“ท่าทางจะชอบจริงๆ นะเนี่ย”

“ช่ายยยย ไม่เคยไปโรงเรือนเลย เห็นแต่ในรูป
นี่วราห์ ถ้าดาเจอต้นที่ถูกใจ ขอซื้อได้มั้ย”

“ได้สิ ดาเลี้ยงเก่งแล้วนี่ ไม่มีที่ซื้อไปเลี้ยงแล้วตายแล้วใช่มั้ย เดี๋ยวก็เสียใจอีก”

“เป็นแล้ว เป็นแล้วสิ”

แฟนเขาจีบกันครับ
วราห์เป็นผู้ชายที่ดีครบทุกด้าน แต่ละด้านก็เลเวลแตกต่างกันไป และก็เหมาะเหม็งกับยาดาที่ไม่ใช่ผู้หญิงผู้หญิงที่ดีทุกด้าน แต่ด้านที่ดีของยาดาก็คือดีโดดเด่นเลยครับ

ผมไม่เคยเอ่ยถึงความระแวงอันมาจากพื้นฐานจิตใจต่ำๆ ของผมให้วราห์ได้รับรู้หรอกครับ ผมเชื่อว่ามันจะได้กลิ่นด้วยจมูกของมันเองว่ามูนมันมีจริงๆ ซึ่งสแกนจากจมูกกากๆ ของผมแล้ว กลิ่นจากฝั่งนายค้ำจุนนั้นไม่มีเลย และเพื่อนผมเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย แค่มีนิสัยโอเพ่นเท่านั้นเอง
 
“เขาแวะปั๊มล่ะเป” วราห์บอกผม ผมเลยผลักสายตามองท้ายรถคันหน้า จากนั้นก็พยักหน้ารับรู้และบอกให้วราห์แวะตาม

“สาวๆ เขาอยากกินขนมกันน่ะ พักแป๊บนึงนะ ส่วนพวกที่มากันเอง น่าจะตามหลังเราอยู่นะ” นายต้นสนมารายงานทันทีที่วราห์จอดรถเรียบร้อย พอผมพยักหน้ารับรู้ นายต้นก็โทรรายงานเพื่อนรักเขาทันที

ประโยคบอกเล่าที่มาเข้าหูหมาอย่างผม ทำให้ผมมองนายต้นสนดีขึ้นมากเลยครับ เขาเป็นคนมีแบบแผน รอบคอบ แล้วก็น่าเชื่อถือมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเขามาก กลายเป็นว่ารอบตัวผมมีแต่คนโตแล้วทั้งนั้นทั้งที่อายุพวกเราเท่ากันหมด

“มันช่วยแม่มันต้มน้ำเก็กฮวยรอ ไอ้จุนมันน่ารักแบบนี้แหละเป” เขาบอกผมเมื่อวางสาย ปิดท้ายด้วยการหัวเราะเอ็นดูเพื่อนจนตาหยีตีนกาขึ้นเป็นแพ

“ทำไมถึงต้องเก็กฮวยหรอ” ผมชวนคุยต่อ สายตามองไปไกลลิบๆ ที่หน้ามินิมาร์ท กลุ่มทัศนศึกษาสวนแคคตัสยังอออยู่หน้าร้านหมูปิ้ง

“ไม่รู้มันเหมือนกัน คงความคิดแม่”

“อ้ออออ....
แม่นายคะ..เอ่อ....แม่จุนใจดีมั้ย” ผมถามเพิ่มต่อเพราะเห็นว่าสาวๆ คงยังไม่เลิกรมกลิ่นควันหมูปิ้งกันแน่ๆ

“มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”​ ผมคงบรรยายอะไรที่ชัดเจนกว่านี้ไม่ได้แล้วครับ

จากความช่างพูดช่างคุยของนายต้นสน ทำให้ผมได้รู้ว่านายค้ำจุนเป็นลูกแม่ พ่อเขาเสียไปไม่นานนัก แต่ตอนที่ยังไม่เสีย นายค้ำจุนก็เป็นลูกแม่อยู่ดี
พวกเขาไม่ได้หย่ากัน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
แม้นายค้ำจุนจะเป็นลูกชายคนเดียวของพวกเขา แต่ก็มีพี่ชายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยมาเป็นลูกพ่ออีกคนตั้งแต่ยังเล็ก
แต่ดูเหมือนว่าสายใยของพี่น้องจะไม่ได้ถูกถักทอขึ้นตามสถานะที่ผู้ใหญ่ฝังเมล็ดไว้แม้แต่น้อย
ผมยอมรับว่าอึ้งกับประวัติดราม่าของเขาเหมือนกันครับ แต่นายต้นสนปิดท้ายเรื่องเล่าว่า
“ไอ้จุนมันก็ไมได้แคร์หรอก เตะมัน มันก็เตะคืน จุนมันคนซื่อ”

หึ เตะมาเตะกลับ....ครับ ซื่อมาก

เราขับรถออกจากปั๊มที่แวะระหว่างทางเพียงแค่15 นาทีก็ถึงสวนแคคตัสของนายค้ำจุนแล้วครับ
จากสภาพที่ผมเห็นด้วยตาแล้ว ผมคิดว่านี่น่าจะเรียกว่าสวนผลไม้มากกว่าสวนแคคตัส เพราะด้านหลังรั้วยาวนี้คือต้นไม้ให้ลูกไว้กินทั้งนั้น มะม่วงเอย ชมพู่เอย ฝรั่งเอย กล้วยด้วย มีเชอร์รี่ที่กอไม่เล็กแล้วอีกต่างหาก เราจอดรถตามที่นายต้นสนชี้นำไว้ ลงจากรถได้ก็บิดขี้เกียจและสบตากันนินทาเจ้าของบ้าน

ตัวบ้านเป็นปูนชั้นล่าง ไม้ชั้นบน รูปแบบร่วมสมัยไม่ประหลาดสายตาหรอกครับ

“มากันแล้วหรอต้น” เสียงผู้หญิงใจดีเรียกความสนใจพวกผมและคนอื่นๆ ภาพที่ผมเห็น ราวกับดึงให้ผมกลับไปเจอกับแม่ตัวเองที่จำต้องอยู่ห่างกันเหลือเกินครับ

บ้านที่มีแม่เนี่ย ดีจริงๆ นะครับ

“จุน...ค้ำจุนลูก
ลูกจุน เพื่อนๆ มากันแล้วแหนะ มาต้อนรับเพื่อนก่อนลูก เร็ว”

เปลลูก ลูกเปล คำเรียกแบบนี้ผมล่ะแสนคิดถึง

แล้วพระเอกของงานเปิดตัวสวนแคคตัสก็แสดงตัวเสียทีครับ มาในลุคเสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงสีน้ำเงินเข้ม

เขาเดินยิ้มออกมาทักทายทุกๆ คน  และเอียงตัวมาส่งยิ้มให้ผมที่ยืนอยู่หลังวราห์อีกที

“แม่ครับ นี่ไง เปล”

หือ? เขาแนะนำผมอ่ะ เห้ย! บอกเลยว่าประหลาดใจ
คือคนอื่นเยอะแยะ แต่เขาไม่ได้แนะนำกับแม่เลยว่าใครเป็นใคร ชื่ออะไร เขาพุ่งเป้ามาที่ผมคนเดียวเลย
“ที่เช่าคอนโดอยู่ด้วยกัน” อ่ออออ ที่แท้ก็แนะนำในสถานะนี้นี่เอง ตกใจผมด คิดว่าจะพิ...เศ...ษ

“อ่อ นี่เอง ลูกเปล”

ผมเชื่อแล้วครับว่าแม่นายค้ำจุนใจดีจริงๆ
ผมหันมองลูกชายผู้หญิงน้ำเสียงและหน้าตาใจดีคนนี้ ทางนั้นส่งยิ้มรออย่างอวดตัว
ผมส่งยิ้มให้อย่างขอบคุณ  แล้วก็ยกมือไหว้แม่อย่างเขินๆ ก่อนจะแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ

“สวัสดีครับแม่ เปลครับ เพื่อนร่วมห้องค้ำจุน”

“ฝากลูกแม่ด้วยนะ”

เอาล่ะ ถ้ามีโอกาส ผมจะอวดบ้านสวนแม่กับพ่อผมที่อ่างทองให้นายค้ำจุนได้เห็นบ้าง เขาต้องจะเจอซีนน่าประทับใจของบ้านผม เหมือนที่ผมกำลังประทับใจเขาและแม่เขาอยู่ตอนนี้แน่นอน

เปล....คือชื่อเล่นจริงๆ ของผมซึ่งไม่ค่อยมีใครเรียก อาจเพราะกระดากที่จะกระดกลิ้นหรืออะไรก็ตามแต่

แต่วันนี้ นายค้ำจุนทำให้ผมรักชื่อเล่นตัวเองอีกครั้ง

Home*Mate

สวนผลไม้ด้านหน้าคือตัวหลอกครับ และก็หลอกผมได้สำเร็จด้วยเพราะผมคิดไปแล้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ด้านหลังรั้วยาวแห่งนี้เป็นต้นไม้ให้ผลแน่นอน แต่ผมก็คิดผิดไป
เพราะว่าโรงเรือนแคคตัสของนายค้ำจุนนั้น....ใหญ่มากกกกกกกกก
และใหญ่เท่ากันหมดทั้ง 5 โรงเรือน
งบเท่าไหร่วะเนี่ย?
และได้กำไรกันเท่าไหร่วะเนี่ย!?

“ละลานตามากกกก”
“เป เราไปตามติดคุณค้ำจุนก่อนนะ อยากรู้ว่าอะไรเป็นอะไรมั่ง น่ารักๆ ทั้งนั้นเลย”
“วราห์ ไปกันเถอะ เร็วๆๆ” ยาดาได้ฉุดวราห์ผู้ไม่เคยมีปากเสียงปลิวไปแล้วครับ

เรียกได้ว่าแทบทั้งกลุ่มคนเกือบ 15 คนนี้โดนแคคตัสตกไปหมดแล้ว ส่วนผมยังยืนคว้างอยู่คนเดียวในโรงเรือนที่เพาะเมล็ด คนอื่นดูสนุกสนานกับการดูสายพันธ์นั้นนี้ แต่ผมไม่อินเท่าไหร่เพราะแยกมันไม่ค่อยออก อะไรมีหนามผมก็เรียกว่ากระบองเพชรหมดนั่นแหละ

แล้วผมจะแก้เบื่อตัวเองด้วยอะไรดี

“เป”

“หือ?” ผมหันไปตามเสียงเรียก พบกับนายต้นสนที่กวักมือเรียกให้ผมเดินไปมุมหนึ่งของโรงเรือนที่1แห่งนี้
“อะไรหรอ?”

“ไอ้จุนบอกว่าเปชอบ
พวกนี้ไง....ยูโฟเบีย”

“ยูโฟเบีย.....” ผมพยายามรำลึกว่ายูโฟเบียหน้าตาเป็นยังไงกันบ้าง นายต้นสนคงรู้ทันเลยยกตัวอย่างชื่อมาให้ชีวิตผมง่ายขึ้น

“ฟรองซัวส์”

“เออ ใช่ๆๆ ฟรองซัวส์” ผมตื่นเต้นจนตาเป็นประกายแล้วรีบเร่งฝีเท้าไปประชิดตัวนายต้นสน และก็รับความรู้จากเขาอย่างอัดแน่นในก้อนสมองเลยครับ

บ่ายสดๆ พวกที่เดินชมโรงเรือนกันก็กลับมาที่บ้านครับ ส่วนผมมานั่งรับลมคุยกับแม่และกินขนมไปครึ่งพุงแล้ว เนื่องจากความสนใจที่ผมมีให้กับแคคตัสนั้นน้อยมากครับ ฮ๋าๆๆ

มื้อกลางวันนี้แม่ทำราดหน้าหมูนุ่มเลี้ยงครับ แต่ก็มีบางท่านที่ชมโรงเรือนและซื้อแคคตัสเสร็จแล้วกลับไปเลย เหลือก็แค่รถคันผมและคันที่ต้นสนขับมาเท่านั้น 

พอแม่บอกนายค้ำจุนช่วยหั่นผักด้วย สาวๆ ที่มาชมต้นไม้นี่กินผักเก่งกันกะทันหันเลยครับ ผมไม่แปลกใจที่เขาเสน่ห์แรงต่อเพศตรงข้าม แต่ที่แปลกใจก็คือทำไมเขาถึงตอบรับได้นิ่งขนาดนี้ และสงสัยเพิ่มไปอีกว่าทำไมเขาถึงยังไม่มีแฟน เอ๊ะ หรือมีแล้วแต่ไม่ได้บอกคนนอกโลกอย่างผมกันหว่า?

“แล้วพี่จุนชอบราดหน้าที่สุดหรอคะแม่”

“หือ? จุนหรอ? รายนี้ชอบต้มตำลึงฉี่หมา” ฮ่าๆๆ เมนูรักษ์โลกชิบหายเลย สาวๆ ขำกันใหญ่ ผมเองก็ขำเหมือนกัน แต่ยาดากลับถามมากลางวง

“แต่ไม่เห็นเลี้ยงหมานี่คะแม่ แล้ว...เอาฉี่...ใคร”

“อยากกินก็ต้องฉี่รดเองนั่นแหละลูก
มื้อนี้เลยไม่ได้ทำให้กินกันเลย เพราะแม่ก็ไม่ได้อยากกินขนาดนั้น”

ฮ่าๆๆๆๆ ฉี่นายค้ำจุนมีค่าเบอร์นี้เลยหรอวะเนี่ย? ถ้ารอบหน้ามาแล้วได้กิน แสดงว่าเขาต้องฉี่แล้วส่งไปรษณีย์กลับมาที่บ้านแน่ๆ

เสียงหัวเราะชอบอกชอบใจทำเอานายค้ำจุนนั่งเขินหน้าแดง เขาปัดจมูกไปมา และแสร้งมองไปทางอื่น พอเห็นทุกคนคลายความบ้าจี้กันแล้วก็ชักชวนให้กินราดหน้ากันต่อ เสร็จแล้วเขาจะพาไปดูโรงเรือนสุดท้าย ซึ่งเป็นที่เลี้ยงไม้ที่เขาผสมเอง พัฒนาสายพันธุ์เอง ซึ่งไม่เปิดให้ใครไปดูง่ายๆ

น่าเสียดายสำหรับสาวๆ เพราะกว่าจะกินเสร็จ คุยเสร็จก็บ่ายคล้อย และแม่ก็ไม่อยากให้ขับรถถึงกรุงเทพเย็นมาก แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ เพราะนี่เท่ากับว่า -พี่จุน- ติดค้างการพาน้องๆ ดูโรงเรือนอีก 1​ โรง จะได้มีนัดครั้งหน้า

ส่งรถของนายต้นสนพ้นรั้วเสร็จ นายค้ำจุนก็รีบพาพวกผม 3 คนไปชมโรงเรือนกันเลยครับ คนที่ตื่นเต้นสุดก็คือยาดา แต่วราห์เองก็ว้าวไปหลายรอบเหมือนกัน ยาดาน่ะชื่นชมต้นไม้ที่สวยมาก ส่วนวราห์กำลังทึ่งในความคิดนายค้ำจุนครับ

เขาไม่ได้หวังว่าจะขายต้นไม้ที่พัฒนาสายพันธุ์นี้แพงๆ เพื่อร่ำรวย เขาหวังจะมีชื่อสายพันธุ์ของเขาเอง ที่เขาตั้งชื่อเอง ขึ้นบนทำเนียบพันธุ์ไม้ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป้าหมายสูงระดับนี้เลยครับ

และไม้ที่เขาพัฒนาก็สวยจริงๆ ผมไม่ใช่คอแคคตัส ผมยังรับรู้ได้

“อา...หรอครับแม่ ได้ครับ ได้ ผมกับดาอยู่ที่ราชบุรีครับ มาชมสวนแคคตัสกัน
...อ่า ใช่ครับ ที่เขาว่าจะใช้งานนั่นแหละครับ...
อ๋อครับ ได้ ได้ น่าจะเสร็จแล้วนะครับ ได้ ได้ ครับ เดี๋ยวเข้าไปหา”  วราห์วางสายและสบตากับพวกผมที่หันมองเขาอย่างพร้อมเพรียง จะไม่ให้มองได้ยังไงล่ะครับ ก็นอกจากนายค้ำจุนที่พูดเรื่องแคคตัสฉอดๆ อยู่นี่ก็ไม่มีใครแทรกเสียงไหนขึ้นมาเลย นอกจากเสียงโทรศัพท์ของวราห์

“อ๋อ...” เหมือนเจ้าตัวจะรู้แล้วว่าตัวเองควรบอกโลกคร่าวๆ ด้วย โลกก็อยากรู้เหมือนกัน
“บ้านผมมาสวนผึ้ง พอดีปลูกบ้านไว้ แกเลยโทรมาถามว่าจะแวะเข้าไปรึเปล่า พวกเราก็แพลนว่าจะแวะไปด้วยนั่นแหละ เป ไปเที่ยวบ้านผมต่อนะ”

“เอ่อ...​” ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ควรเอาตัวไปแทรกคู่ที่เตรียมตัวแต่งงานมั้ยล่ะไอ้เป ถึงผมจะเป็นเพื่อนของทั้งคู่ แต่ผมก็รู้ขอบเขตตัวเอง
“ไม่ดีกว่า ไปกันเถอะ เดี๋ยวเรากลับ......” แล้วผมจะกลับยังไงวะเนี่ย? ไม่มีรถแล้วนอกจากรถนายค้ำจุน
“เดี๋ยวเรากลับกับจุน”

“ผมค้างที่บ้านอีกคืนนะ คุณค้างด้วยกันสิ”

“เอ้อ โอเค เดี๋ยวเราค้างกับจุน ดากับวราห์ไปหาแม่เถอะ ตามนี้ๆๆ” ตามนี้บ้าบออะไร กูไม่ได้เตรียมตัวมาค้างอ้างแรมบ้านใครทั้งนั้นโว้ยยยยยยยยย!!

แม้จะสติสั่นๆ แต่ผมก็ยังยิ้มให้เพื่อนและยืนโบกมือส่งท้ายรถวราห์ไปจนสุดสายตา
ผมหันกลับมาเจอเจ้าของบ้านยืนหน้านิ่งกอดอกส่งสายตามาให้ ก็เลยกรอกตาอย่างไร้เดียงสาและพยายามต่อรอง

“คุณไปส่งผมที่ท่ารถหรืออะไรก็ได้ที่ผมกลับกรุงเทพได้หน่อยสิ”

“อ้าว ไหนว่าจะค้าง”

“ไม่ได้เตรียมตัวมาค้าง”

“ไม่เห็นต้องเตรียมตัว”

“เสื้อผ้าก็ไม่มี ของใช้ส่วนตัวก็ไม่มี ไม่คุ้นด้วย”

“ไม่คุ้นอะไร เรานอนห้องเดียวกันมาตั้งหลายเดือน
น่า....นอนค้างนี่แหละ เดี๋ยวเยี่ยวรดตำลึงไว้ พรุ่งนี้ให้แม่ทำให้กิน”

เขาอาจคุ้นกับผมเพราะอยู่ห้องเดียวกันมาหลายเดือน แต่ผมไม่มีคุ้นกับเขาแน่ๆ เพราะผมไม่นอนร่วมเตียงกับใครมา 20 ปีแล้ว

เพราะสำหรับผมแล้ว เตียงคือ อา ณา เขต ส่วน ตัว


cut


หายไปร่วม 3 เดือนเลยค่ะ ขอโทษที
ทางเวบไม่ลบเรื่องเราออกก็ดีใจมากแล้ว >,<

ตอนนี้ พบกับการร่วมเตียง (?) ครั้งแรกของเขาทั้งคู่ค่าาา
สำหรับนักอ่านที่จินตภาพโรงเรือนไม่ออก หาในกูเกิ้ลได้เลยค่ะ น่ารักๆ สวยๆ ทั้งนั้นเลย

อีกครั้งที่ต้องบอกกัน ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-08-2018 09:25:12
นอนด้วยกันจะเป็นยังไงน้าาา :laugh3:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-08-2018 11:17:01
นึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้มาต่อเสียแล้วคิดถึงงงงงง
ว่าแต่ค้ำจุนอย่าไปทำอะไรเปนะ ละเมอก็ห้าม อิอิ
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 14-08-2018 14:51:35
สองคนนี้ใครจะปิ๊งใครก่อนนะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 14-08-2018 17:48:41
น้องเปล หนูโตมาขนาดนี้โดยไม่ถูกใครกระทืบได้ยังไงคะลูก สกิลเรียกทีนสูงส่งเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 14-08-2018 22:15:10
เหมือนนน้องเปจะมีใจฟูๆหน่อยแล้ว
ส่วนทางจุนก้มีชวนกินข้าว ชวนค้างบ้าน
มันชักจะยังงัยๆแล้วนะคะคุณผู้ชมมมม

รอการร่วมเตียงกันคราวหน้านะคะ
ใครจะตกเตียงก่อนรอลุ้นเลย 5555
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-08-2018 09:19:48
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 17-08-2018 23:08:24
รอแคคตัสแตกหน่อ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 28-08-2018 16:18:38
เหวยๆๆๆ  มาลุ้นว่าใครจะหวั่นไหวก่อนกัน  :hao3:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 20-09-2018 13:55:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 20-09-2018 15:01:35
เปลติดนิสัยอยู่ในเซฟโซนมากเกินไปรึเปล่าพี่สาวถึงอยากให้ออกไปอยู่ข้างนอก ยิ่งเพื่อนสนิทที่มีน้อยๆอยู่ไปแต่งงานกันอีกเลยยิ่งน่าเป็นห่วง  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-09-2018 19:12:03
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 10 (140818)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 16-10-2018 11:32:39
ก๊อกๆๆๆ รออยู่น๊า  :mew1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 11 (161018)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 16-10-2018 21:16:34
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [11]



ท้องฟ้าเป็นสีครามเข้ม แซมด้วยริ้วสีส้มเส้นตรงขาดวิ่นเป็นระยะ สิ่งที่ผมมองอยู่นี้ตีความได้ว่าโพล้เพล้

บรรยากาศแสนเงียบแถวนี้ทำให้ผมโหยหาความอึกทึกจากเสียงรถราที่เคยรำคาญมันอย่างมากขึ้นมาทันที

“คุณ” ถูกเรียกแล้วครับ เสียงนายค้ำจุนดังมาจากหน้าห้องนอนของตัวเขาเอง ซึ่งตอนนี้มันถูกมอบหมายหน้าที่ห้องรับรองแขกอยู่ แขกก็คือผมครับ ผมที่หน้าหล่อเรียบหรูไทยสไตล์ นี่แหละครับที่เป็นแขก

“อื้อ ว่า”

“ไม่ว่าอ่ะ เสร็จยังอ่ะ? จะได้ใช้บ้าง” นายค้ำจุนตอบ ผมเลยระลึกได้ว่ากวนเวลาใช้ห้องส่วนตัวของเขามาเกือบชั่วโมงแล้ว

ผมใช้เวลาเกือบชั่วโมงทำอะไรในห้องนี้งั้นหรอครับ? ก็แค่หาชุดใส่นอน หาผ้าเช็ดตัว หาสกินแคร์ และหนังยางมัดผม ก็ช่วยไม่ได้ที่ผมด้านหน้าของผมมันออกจะยาวปรกหน้าผาก ผมไม่อยากให้ผมเปียก

“เสร็จแล้ว” ผมตอบในที่สุด แน่นอนว่าเช็คสภาพตัวเองว่าพร้อมเจอผู้คนเรียบร้อยแล้ว

ปึก! และประตูห้องก็เปิดเข้ามา ลูกกะตาเขาหยุดที่หน้าผากของผมอย่างจงใจด้วยครับ คิดว่าอีกเดี๋ยวแม่งคงล้อ

“ไงเหม่ง”

“เหม่งเตี่ยไรล่ะ อย่ามาซงมาแซว” ผมโต้กลับ ส่วนเขาแค่กระตุกลูกกระเดือกตัวเองจนเกิดเป็นเสียงค่อนแคะน่าหมั่นไส้
“ผมเอาเสื้อคุณมานะ จริงๆ ก็เอาทุกอย่างแหละ”

“กางเกงในด้วย?” หวงรึไงวะ? ก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้เตรียมตัวมาค้างคืน ผมตวัดตามอง เห็นสายตาล้อเลียนก็เลยไม่ต่อความยาว เถียงไปก็หิวกว่าเดิมเสียเปล่าๆ

“เกงในนี่ผมแกะเอาจากแพ็คใหม่”

“มีหรอ? ผมมีกางเกงในสำรองด้วยหรอ? จำไม่เห็นได้....
สงสัยแม่ซื้อเอาไว้มั้ง
ช่างเถอะ คุณหิวรึยัง ไปกินข้าวกัน”

“อื้อๆ หิว
ขอบใจที่รู้สักทีว่าแขกหิว” ผมบอกแล้วก็เดินดุ่มๆ ออกจากห้อง ลงบันไดลงมาสู่ชั้นล่างซึ่งมีทั้งส่วนที่โล่ง และห้องครัวที่เป็นสัดส่วนกะทัดรัด

“แม่ครับ หิวแล้ว” ผมอ้อนครับ ยอมรับอย่างไม่อาย แม่นายค้ำจุนหันมาส่งยิ้มให้แล้วก็กวักมือเรียก

“หิวก็มากินเลยลูกเปล
แม่ตำน้ำพริกกะปิ ผักต้มก็มี แล้วก็ทอดปลา ปลาตะเพียนนะลูก กินได้ใช่มั้ย”

“เปกินได้หมดเลยครับ กินทุกอย่าง”

“ขี้ล่ะ?” เสียงจากเปรตข้างบ้านแน่นอนครับ กำลังจะหันไปต่อว่าตามประสาสุภาพชนงกความสุภาพเสียหน่อย แม่ก็จัดการให้แล้วครับ

“ฮื้อ ไม่แซวเพื่อนสิจุน
อ่ะมา จุนตักข้าวให้เพื่อนด้วย เปลกินข้าวกล้องได้ใช่มั้ยลูก”

“เปกินได้ทุกอย่างเลยครับ” ผมยืนยันศักยภาพตัวเอง แม่ก็เลยยิ้มกว้างเผื่อไปถึงพระจันทร์บนฟ้าเลยครับ

“แกงจืดมะระหวาน ลองนะลูก เหมือนฟักนั่นแหละ”

“ครับ”

“ไข่เจียวก็ได้นะ เดี๋ยวแม่ทำให้เพิ่ม แป๊บเดียว

“โอ้ย เท่านี้ก็พอแล้วครับ”

“พอหรอลูก น้ำพริกเผ็ดนิดนึงนะลูกนะ”

“ครับแม่ โอ้ยแม่ เปแกะปลาเอง แม่ไม่ต้อง ไม่ต้องทำ กินข้าวครับ แม่กินข้าวพร้อมเปเลย นะครับ นะแม่นะ กินข้าวพร้อมกัน”

ถ้าผมเป็นนายค้ำจุน ผมคงถีบไอ้เหม่งคนนี้ตกเก้าอี้ไปแล้ว เพราะอาการประจ๋อประแจ๋แม่คนอื่น แต่สิ่งที่ลูกชายตัวจริงทำก็แค่ยิ้มไปเคี้ยวข้าวไปและ ไม่ลืมยื่นชามข้าวพูนชามของตัวเองมาตัดหน้าชิ้นปลาทอดเนื้อนวลเหลืองจากมือแม่ไปต่อหน้าต่อตาลูกขี้ประจบอย่างผม

มื้อนี้ก็ธรรมดาๆ นะครับ ไม่ได้มีกับข้าวกับปลาที่ผมไม่เคยกิน แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ การเกิดซ้ำของความสุขที่ผมเคยสัมผัสมาแล้ว...จากการกินข้าวร่วมกันของครอบครัวผมเอง

Home*Mate

ตึ๊ด ตื๊ดดดดดดดด ตื๊ด ตึ๊ด
แน่ใจนะว่านี่คือเสียงนาฬิกาปลุกผู้ชายวัยฉกรรร์ ฟังจากเสียงแล้วน่าจะเป็นรุ่นคลาสสิค รุ่นเดียวกับที่ปลุกแม่ผมให้ตื่นทุกๆ เช้า 
ผมลืมตาตื่นพลางสูดหายใจยาววววววพร้อมกับบิดขี้เกียจ พอเหยียดแข้งขาก็ชนกับมนุษย์อีกคนทันที ก็แน่ล่ะสิครับ นอนเบียดอยู่บนเตียงเดียวกันนี่

ผมหันมองเพื่อเช็คว่าเจ้าของเตียงตื่นมาโวยวายมั้ย แต่นายค้ำจุนก็แค่บิดตัวหนีเปลี่ยนท่านอนพร้อมกับสูดลมหายใจยาวเหมือนกัน

“คุณ” ผมทดลองเรียก เขาส่งเสียงอือกลับมาแต่ก็ไม่หันมาหาผม เดาว่าน่าจะไม่อยากตื่น
“จุน ไม่ตื่นหรอ”

“ยัง” เขาตอบ มีอาการขดตัวใส่กว่าเดิม คงไม่อยากให้ผมกวนแล้ว แต่ผมตามใจเขาไม่ได้หรอกครับ เพราะที่นี่บ้านเขา ผมตื่นเขาก็ต้องตื่น หาบทสรุปได้แล้วผมก็เลยเอาเท้าสะกิดเขาใต้ผ้าห่ม ปลุกแบบนี้น่าเอ็นดูจะตาย

“ตื่นดิ ผมตื่นแล้วอ่ะ” เงียบครับ
“ก็เสียงนาฬิกาปลุกคุณประหลาด
เนี่ย ผมตื่นเลย
กี่โมงแล้วอ่ะคุณ
ข้างนอกยังมืดอยู่เลย เนี่ยคุณ ดูดิ
เช้ามากๆ แบบนี้ คนแถวนี้เขาทำอะไรกันหรอ?”

“โอยยยยยยยยยย คุณ
ผมง่วง” เนี่ยล่ะครับคำตอบ ผมถีบผ้าห่มออกจากตัวเราทั้งคู่แล้วก็ลุกขึ้นนั่ง ส่องๆ มองหานาฬิกาแล้วก็หยิบมาแหกตาดู อ่อ ตี 4 ไงดีวะเนี่ย ตื่นมาแล้วด้วยสิ

“คุณ ทำอะไรกันดี”

“ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านอน
นอนเถอะคุณ นอนต่อ”

“แต่ตื่นมาแล้ว” ผมเถียงคนเสียงงัวเงีย และก็ถูกเถียงกลับมาด้วยเสียงที่โคตรงัวเงีย

“นอนนนนนนนนนน”

“วุ” ทิ้งไว้เท่านี้แหละครับ คนฟังก็น่าจะรู้ว่าผมว่าก็นอนสอนก็ง่ายหรือตรงกันข้าม

ตี4 ที่ราชบุรีมืดสนิทเลยครับ แต่ก็ใช่ว่าเงียบสงัดไปเสียหมด ผมออกจากห้องนอนมาไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบางอย่างในบ้าน เดาว่าน่าจะเป็นแม่นายค้ำจุน ก็เลยเดินลงมาข้างล่าง และก็เจอแม่ครับ

“เอ้า เปล ตื่นมาทำไมแต่เช้าลูก”

“นาฬิกามันปลุกน่ะครับ”

“อ่อ แล้วยังไงล่ะหือ?
มาทำกับข้าวเตรียมใส่บาตรกันมั้ย
หรือกลับไปนอนต่อก็ได้นะ เดี๋ยวแม่ไปปลุกมาใส่บาตร 
ทั้งคู่เลย”

“เปช่วยแม่ดีกว่า ปล่อยจุนมันนอนกินบ้านกินเมืองไปเถอะครับ” แม่เขาหัวเราะที่ผมล้อเลียนลูกชายเขาครับ เมนูคุณพระคุณเจ้าเช้านี้คือผัดถั่วฝักยาวใส่ไข่ ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ แม่บอกไม่ใส่วุ้นเส้นครับ กลัวอืด ส่วนข้าวก็คือข้าวหอมมะลิธรรมดา

ผมช่วยแม่นายค้ำจุนหยิบนู่นหั่นนี่จนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีก็ตอนแม่วานไปปลุกนายค้ำจุนให้ที เพราะนี่ 6 โมงเช้าแล้ว แม่ไม่ลืมกำชับให้พวกผมล้างหน้าแปรงฟันมาให้สดชื่นด้วย

สภาพเจ้าของห้องที่ผมเจอ ต้องเรียกว่า ‘ซากบางอย่าง’ ครับ ผมก็เพิ่งรู้ว่าเขาขี้เซาขนาดนี้ เพราะตอนที่อยู่ด้วยกันที่ห้อง เขาตื่นก่อนผมตลอด

“คุณณณณณ​ แม่ให้มาปลุก ไปใส่บาตรกัน”

“พระไดเอท”

“เอทพ่อง
เอทก็ต้องงดมื้อเย็นโน่น นี่มื้อเช้า พระต้องกิน”

“เค้าเรียกว่าฉัน”

“มีสติแล้วนี่ เถียงแทนพระได้
ตื่นแล้วก็ลุก หัวขวานหายแล้วเนี่ย นอนกินบ้านกินเมือง” ถากถางเขาไปก็นึกเยาะตัวเองไป เพราะที่ขุดมาด่าเขามันพฤติกรรมผมตอนอยู่กับพ่อแม่ทั้งนั้น

“คุณนี่ยิ่งกว่าไอ้ต้นอีก”

“ก็นะ ผมมันอัพเปอร์คลาส” ยกตัวไปงั้นแหละครับ ตอนนี้พูดอะไรก็ได้ขอแต่ให้เขาลุกจากการเป็นซากจมเตียงเสียที พอนายค้ำจุนลุกขึ้นนั่งอวดหัวยุ่งเหยิงของเขาแล้วผมก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟันครับ การใส่บาตรตอนเช้าที่ผมห่างหายไปหลายปีน่าจะเป็นกิจกรรมที่ตื่นเต้นจนผมสามารถเอาไปอวดกับยาดาได้

อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง......
สิ้นคำให้พรของพระ นิ้วเท้า 10 นิ้วที่เป็นหลักฐานบ่งชี้การถูกใช้งานมาอย่างสมบุกสมบันก็เคลื่อนที่หายไปจากสายตา ผมเงยหน้ามองตามไปจนถึงจุดหยุดพักถัดไปของขบวนพระ ซึ่งก็คือหน้ารั้วบ้านข้างๆ ที่ห่างไปเกิน 20 เมตร

“ไปลูก เราก็กินข้าวกันเถอะ
สายๆ จุนพาเปไปเก็บผลไม้เอากลับไปที่คอนโดกันนะลูก
มะม่วงสุกเยอะเลย หรือสอยเอาจากต้นไปกินก็ได้ มันๆ ไม่เปรี้ยวหรอก ฝรั่งก็มีนะเป” ผมล่ะลืมไปแล้วว่าที่นี่คือสวนแคคตัส เพราะแม่จัดมาให้แต่รายชื่อผลไม้ครับ

ผมยิ้มรับความใจดีของผู้หญิงคนนี้ไว้อีกหน ซึ่งเป็นหนที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่รู้แน่ชัดคือนี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

เกือบเที่ยง ผมก็ได้กินข้าวอีกรอบแล้วครับ นี่บ้านหรือร้านอาหารก็เริ่มจะสงสัยแล้วเหมือนกัน มื้อกลางวันนี้แม่นายค้ำจุนทำข้าวผัดกุ้งให้กินครับ ซดแกงจืดที่ทำไว้ตั้งแต่เช้าด้วย คล่องคอกันแล้วก็เก็บของย้ายถิ่นฐานกันเสียที

ในรถฟอร์จูนเนอร์ของนายค้ำจุนอุดมไปด้วยผลไม้พร้อมทาน อันนี้ผมเอมใจมาก แต่ส่วนที่คันหัวใจมากก็มีเหมือนกันครับ

“คุณ...” ผมรีบทักถามเมื่อเห็นของที่เขายังคงทยอยขนขึ้นรถ

“อือ ว่า”

“นี่อะไรอ่ะ?”

“ต้นไม้ไง”

“รู้ แต่มันใหญ่ไปมั้ยอ่ะ”

“ก็ต้นไม้โตไง”

“ก็เห็นแหละว่าต้นไม้โตแล้ว แต่มันใหญ่ไปมั้ยอ่ะ
ผมหมายถึง จะขนไปไหนหรอ”

“ห้องเรา”

ห้อง....เรา
ต้นไม้ใหญ่โตสูงเกือบเท่าผมพวกนี้ กำลังจะไปอยู่ใน .... ห้องเรา
แป๊บนะมึง กูตั้งสติไม่ทัน

ผมยั้งความคิดเขาด้วยการสัมผัสแนวแขนเขาอย่างแผ่วเบา อยากให้สื่อถึงความสุขุมเยือกเย็นอันไม่ใช่นิสัยของตัวเองให้เขาได้รับรู้

“ห้องเราหรอคุณ”

“อื้อ ก็เราเซ็นสัญญากันแล้วไง ก็ห้องผมเหมือนกันแต่เราก็อยู่ด้วยกัน เป็นห้องเราก็ถูกแล้ว”

“ไม่ๆ ผมรู้ความหมายของห้องเรา แต่ผมไม่คิดว่าต้นไม้จะอยู่ในห้องเราได้”

“อยู่ได้ มันอยู่ง่ายเลี้ยงง่าย อยู่ได้สบายคุณไม่ต้องห่วง”

“ผมไม่ห่วงต้นไม้หรอก ผมห่วงห้อง ผมว่าอยู่ไม่ได้อ่ะ”

“ทำไมไมได้อ่ะ”

ไอ้บ้า มันใหญ่ชิบหายไงโว้ยยยย!
แต่พูดออกไปแบบนั้น ผมอาจจนด้วยเหตุผลของพื้นที่ห้องทั้งหมดหักลบกับพื้นที่วางเฟอร์นิเจอร์แล้วพบว่ายังมีสัดส่วนเหลือจุดยืนให้ต้นไม้ทั้งหลายเหล่านี้ ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ผมต้องห้ามปรามเขาด้วยเหตุผลที่เขาคัดค้านกลับไม่ได้

“ก็....มันใหญ่เกินไป ตกกลางคืนคงผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาท่วมห้อง เราจะตายกันนะ

“........” เขาทำหน้าว่างเปล่า จากนั้นก็แหงนหน้ามองฟ้าแล้วก็ถอนหายใจจนอกยุบ

“หรือต้นไม้คุณมันผิดแผกจากต้นไม้ทั้งโลก มันให้ออกซิเจนตลอดวันหรอ”

“มันก็ปกติ แต่มันอยู่ได้ ในห้องน่ะ คุณไม่ต้องกังวลหรอก”

“ต้องกังวลดิคุณ ต้นมันใหญ่ สูงเกือบท่วมหัวเราแบบนี้ แล้วก็ไม่ใช่ต้นเดียว คุณจะวางตรงไหน ระเบียง 2 ด้านที่ยกให้คุณไปก็เต็มแล้ว ถ้าเอาพวกนี้วางอีก เอาง่ายๆ เลย ผมปั่นผ้ามาแล้วตากที่ไหน?”

“คุณๆๆๆ ใจเย็นดิ
พวกสูงๆ นี่ไปอยู่ห้องเราไม่กี่วันหรอก
มากสุดก็ 2 วัน มีลูกค้าสั่ง แล้วเขาจะมารับที่หน้าร้านจตุจักรเย็นวันอังคาร”

“อ่อออออ” ผมพยักหน้ารับรู้ แบบนี้ค่อยรับได้หน่อย นึกว่าแม่งจะมายืนต้นอยู่ในห้องเพดานสูง 2.5 เมตรซะแล้ว
“งั้นก็โอเค” พอใจเย็นลงได้ ผมถึงได้รู้ตัวว่ามือผมยังจับแขนเขา ส่วนมือเขาก็จับแขนผมไว้เหมือนกัน เรามองหน้ากันอึ้งๆ แล้วก็ผละออกจากกันโดนไม่ต้องหารือ เสียงแม่เรียกมาจากในบ้านเร่งให้นายค้ำจุนจ้ำฝีเท้าไปหา ส่วนผมยังยืนมองต้นไม้ใบเล็กพวกนี้อยู่ที่เดิม

ต้นอะไรวะ?
คุ้นๆ ว่าเคยเห็นตามที่ต่างๆ แต่ไม่เคยสนใจว่ามันคือต้นอะไร สายพันธุ์ไหน มีดอกหรือมีผลให้เก็บกิน หรือกินใบแก้เครียด

รอบนี้นายค้ำจุนออกมาพร้อมกับแม่ของเขา ฝ่ายผู้ใหญ่ส่งยิ้มหวานให้ผมแล้วก็ยื่นของฝากชิ้นสุดท้ายให้ผมเมื่อปลายเท้าเราเข้าใกล้กัน

“อะไรครับแม่” ผมถาม มือประคองปิ่นโตไว้อย่างรักใคร่ถนอม แพคเกจแบบนี้แน่นอนว่าต้องเป็นของที่กินได้

“ข้าวเย็นลูก แม่ทำให้เมื่อกี้เอง ถึงห้องก็อุ่นเอา เข้าไมโครเวฟก็ได้ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำกินหรืออกมาซื้อกินกัน”

“โอ้ยแม่ ไม่ต้องลำ...”

“งั้นไม่ต้อง”

“ขอบคุณครับแม่ เปจะกินให้เกลี้ยงเลย” ผมรีบพลิกลิ้น ยึดปิ่นโตกับข้าวมากอดไว้ทันทีที่ปากมารเอื้อนเอ่ย ส่งค้อนให้ไอ้บ้าต้นไม้แล้วก็หันมาส่งยิ้มประจบแม่ต่อ

การร่ำลาของแม่ลูกคู่นี้ไม่ยืดยาวครับ ออกจะกระชับเสียจนผมต้องเพิ่มความยืดยาดเข้าไปเสียเอง อย่างน้อยก็อยากให้แม่ได้พูดจนจบความตั้งใจก่อนที่เสียงสตาร์ทรถจะดังกลบหู 

กระจกรถฝั่งผมเลื่อนขึ้นอัตโนมัติตามอัตโนมือของนายค้ำจุน ผมเลยต้องรีบหดแขนที่กำลังโบกให้กับแม่ที่ยืนส่งเราหน้าบ้านเข้ามา ก่อนที่มันจะขาดไปต่อหน้าต่อตา

“รีบเหลือเกิน แทนที่จะให้แม่ได้พูดได้อวยพรให้สมใจก่อน”

“เดี๋ยวก็โทรหา ไม่ได้ห่างไกลกันนักหนาเลยคุณ” เขาเถียงคำสอนของผมด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ผมก็เลยถอนหายใจใส่ ปัดแอร์ให้ตรงหน้าตรงอก เปิดเพลงในรถฟังแล้วก็หันมองวิวข้างทาง

แม่เขาและเขา ทำให้ผมคิดถึงแม่ผม พ่อผม และพี่สาวผม
ผมไม่ได้โทรคุยกับพ่อแม่บ่อยนัก เหตุผลก็แสนง่ายที่มักถูกใช้โดยผู้คนทั่วไป .. ไม่มีเวลา.. ทั้งที่เราทั้งหลายมีเวลาเหม่อ มีเวลาเครียด มีเวลาผ่อนคลายด้วยการฟังเพลง  2-3 เพลงระหว่างขี้ แต่เรากลับไม่มีเวลาเพียงไม่กี่นาที ฟังคำอวยพร หรือคำแสดงความห่วงใยของครอบครัว

เรานี่ใจดำกันจริง
ไม่สิ ผมคนเดียวล่ะมั้งที่ใจดำ

ผมเบาเสียงเพลงในรถ หันมองคนขับที่ไม่ได้ว่าอะไรเรื่องเบาเสียงเพลง จากนั้นก็กดโทรศัพท์ โทรหาแม่กับพ่อครับ

เราคุยกันด้วยเรื่องราวเดิม กินข้าวแล้ว สุขภาพดีตามปกติ งานไม่เหนื่อยไป มีเวลาพักผ่อน ข้างบ้านก็ญาติกันทั้งนั้น แม่เพิ่งเก็บลูกมะกรูดจากต้น พ่อว่าจะปลูกตะไคร้เพิ่มอีก 2-3 กอ เหล่านี้ไม่ใช่บิ๊กเดต้าที่ใครจะเอาไปทำโยชน์ได้ในอนาคต มันเป็นเพียงเรื่องน้อยนิด ที่ทำให้หัวใจผมมีความสุขอย่างมหาศาลได้

“นี่คุณ....” ผมเปิดหัวบทสนทนา
“ครั้งหน้า เราไปบ้านพ่อแม่ผมที่อ่างทองกัน”​

“อื้อ” นายค้ำจุนตอบรับเบาๆ เขาเอียงหน้ามองผมช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เพียงพอที่ส่งยิ้มมาถึงสายตาผม เราเดินทางกันเงียบๆ เพื่อมุ่งหน้ากลับกรุงเทพ โดยที่ตั้งแต่เบาะกลางถึงเบาะหลัง เต็มไปด้วยต้นไม้ต้นสูงนอนยาวทับกันจนแทบแยกต้นกับใบไม่ออก


Home*Mate


บ่ายแก่ๆ วันนี้ของผมไม่ร่มรื่นเหมือนสีเขียวในรถที่หลอกหลอนลูกกะตาผมมาตลอดทางหรอกครับ

แน่นอนว่าบุญคุณข้าวแกงต่างๆ มันค้ำคอ ทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธการขอความช่วยเหลือจากเขาได้เลย แม้ว่าอยากจะค้านให้สุดตีนก็ตาม

นายค้ำจุน..ขอร้อง...ด้วยกิริยากวนตีนที่สุดในโลก ให้ผม ช่วย แบก ต้นไม้ ขึ้น ห้องเรา

และอาจจะเป็นความรู้บุญคุณที่พักและอาหารชั้นดีของผมก็ได้ ที่ทำให้ผมสั่ง ให้เขาเก็บต้นไม้ของเขา ไว้ในพื้นที่ของเขา ซึ่งก็คือห้องนอน

“แล้วผมจะนอนยังไงคุณ ตอนกลางคืนต้นไม้มันคายคาร์บอนไดออกไซด์คุณก็รู้”

“ก็นอนห้องรับแขก” ทางออกโคตรจะง่าย ผมล่ะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำให้เป็นปัญหา

“จะนอนยังไงไหว ร้อนตาย งั้นผมเปิดแอร์นะ ในห้องนอนผมก็ต้องเปิดแอร์ด้วย เปิดหน้าต่างให้ลมเข้าก็ฝุ่นอีก เสียงอีก ใช่มั้ยล่ะ เปลืองค่าไฟนะ คุณยอมหรอ ถ้ายอมก็ตามนั้น”

“เออๆๆๆ งั้นคุณก็นอนห้องผม”

“โอเค ดีล!”

นี่ผม ไม่ได้หงุดหงิดแล้วทำให้ต้วเองเสียเปรียบใช่มั้ยครับ?

Cut


มาแล้วค่าา จากตั้งใจจะลงเดือนละตอน กลายเป็นเว้นมา 2 เดือนแล้ว ขอโทษจริงจัง แม้ว่าจะขอโทษที่มาเขียนต่อช้าทุกครั้ง แต่ก็จะขอโทษต่อไปค่ะ55555

ขอบคุณคนที่ยังจำกันได้ คนที่รออ่าน คนที่ทวงถาม ทุกการสะกิดกันสำคัญเสมอค่าาาาา

รบกวนติดตามกันไปต่อ ตอนหน้าอาจจะมาช่วงวันหวยออกค่ะ  ^____^
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 11 (161018)
เริ่มหัวข้อโดย: chap ที่ 16-10-2018 21:46:06
เย้ มาต่อแล้ว
ชอบความค่อยเป็นค่อยไปของทั้งสองคนจังง
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 11 (161018)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-10-2018 10:17:11
 :katai2-1:  :katai2-1: อ่านแล้วรู้สึกว่ามันมีความรื่นไหลของความรู้สึกและการกระทำร่วมกันมากขึ้นยังไงก็ไม่รู้อ่ะ
ต่อไป เราจะเห็น2คนนี้นอนด้วยกันบ่อย ๆขึ้นอีกแน่ๆ (อันนี้แหล่ะที่ต้องการ 555555555555)  :hao7:  :hao7: :hao7:
 :กอด1:  :กอด1: ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ค่า
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 11 (161018)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 17-10-2018 16:17:46
แหน๊ ผลพลอยได้
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 11 (161018)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-10-2018 19:56:24
เกือบลืม ต้องย้อนกลับไปอ่านตอนต้นๆ นะ แต่ก็ขอบคุณที่มาต่อนะ
 :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 11 (161018)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-10-2018 23:11:24
เอ็นดูเปเป
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 11 (161018)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-10-2018 01:48:30
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 12 (051218)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 05-12-2018 21:34:51
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [12]



ทำไมนอนด้วยกันในห้องนอนผม มันช่างแตกต่างจากการนอนด้วยกันในห้องเขา อย่างสิ้นเชิง
ผมเองก็ไม่รู้ว่าในฐานะเจ้าของห้องนอนแล้ว เขารู้สึกอึดอัดกับสิ่งมีชีวิตอื่นนอกเหนือจากไรฝุ่นหรึอเปล่า แต่ผมอึดอัดครับ .... อึดอัดมากด้วย
ก็นะ....ผมใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมาตลอด ในบ้านมีแต่คนใน ไม่มีคนนอก หรือถ้ามี คนนอกก็เป็นแขกที่มีความเกี่ยวโยงทางสายเลือด และผมก็ยังมีหลุมหลบภัยส่วนตัวนั่นก็คือห้องนอน

แต่ในจังหวะชีวิตของผมตอนนี้ ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยราวกับนอนอยู่บนยอดภูเขาที่เหล่าอุกาบาตรกำลังพุ่งเข้าใส่ อาจจะดูเกินจริงมากไป แต่เชื่อเถอะครับ ขนาดนอนขดตัวหน้าซุกเข่ายังรับรู้ได้ถึงความเคว้งคว้างของจักรวาลนี้

“คุณ...โอเคมั้ยเนี่ย เป็นอะไรรึเปล่า
คุณ...คุณ!
เปล!!!”

เสียงเรียกของนายค้ำจุนดังเหมือนแสงจ้าที่ไม่มีใครสามารถหลีกหนีได้ ผมยอมเปิดเปลือกตาที่กำลังข่มปิดมันลงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ยอมเงยหน้ามองเขา สบตากับเขา และก็สาดสิ่งกวนใจให้เขาได้รู้

“ผมไม่ชอบให้ใครอยู่ในที่ส่วนตัวผมนี่!!!” ยอมรับครับว่า ขมวดคิ้วและยู่ปากยื่นตามความเคยชิน ถ้าใครคิดว่ามันสุดจะน่าเอ็นดูก็ช่วยไม่ได้ แต่ผมไม่ได้เจตนาเลยจริงๆ 

“ก็ว่า...นอนท่าประหลาด
นี่ถ้าคุณหลับท่านี้ รับรองตื่นมาปวดคอตาย
แล้วใครไปทำอะไรให้ ถึงได้เป็นงี้”  นายค้ำจุนถามกลับ ซึ่งผมได้คำตอบจากคำถามเขานี่แหละครับ นายคนนี้ไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นต้นเหตุให้ผมต้องนอนคุดคู้แบบนี้

“ก็คุณไง” ผมเฉลยและยืดตัวพลางพลิกนอนหงาย สบตากับเขาที่นอนคว่ำและเอียงหน้ามามองผม 
อ่านจากแววตาเขาแล้ว ไม่มีความรู้สึกผิดเจืออยู่เลยครับ ดูเขาสบายอกสบายใจที่ทำให้ผมอีดอัดได้ ใจหยาบจากเบื้องลึกจริงๆ ไอ้คนนี้!
“ก็คุณไง!!” ผมย้ำ รอบนี้ยันตัวขึ้นนั่ง เขาก็เลยต้องโก่งตัวขึ้นมานั่งตาม

“ผมทำอะไร?”

“ก็ห้องผมอ่ะ”

“ก็คุณชวนผมมานอนเอง
บอกแล้วไงว่านอนโซฟาก็ได้ แค่ต้องเปิดแอร์”

“ก็นี่แหละที่ต้องหงุดหงิด คุณใช้แอร์ 2  ตัว ที่ห้องรับแขก ที่ห้องคุณก็เปิดให้ไอ้ต้นไม้อีก แต่เวลาจ่ายหาร 2
ทำไมผมต้องมีส่วนในการจ่ายค่าไฟให้ต้นไม้คุณนอนด้วย”

“แค่นี้?
นี่นอนฮึดฮัดไม่ยอมหลับไปทั้งที่ก็ดึกมาแล้ว เพราะงกค่าไฟเนี่ยนะ”


“มันไม่ใช่แค่นั้นสักหน่อย
ผมไม่ได้งก
แต่คุณอ่ะ ทำให้ค่าใช้จ่ายเราเกินจำเป็น”

“...............” ฮึ คงอึ้งกับเหตุผลที่ไม่ว่าใครในโลกก็ยอมรับได้ล่ะสิ ผมเห็นเขาเงียบฟัง (คิดเอาว่าเขาฟังนะครับ) ก็เลยสร้างความน่าเชื่อถือต่อ

“ขายต้นไม้ได้กำไรเท่าไหร่ผมไม่รู้หรอกนะ แต่ผมก็ไม่เคยได้กำไรอะไรกับคุณด้วยซักหน่อย
ทำไมผมต้องจ่ายต้นทุนของต้นไม้พวกนี้ด้วยไม่ทราบ”

“งก”

“ไม่ได้งก” ผมเถียงคำจำกัดความที่เขายัดเยียด

“คุณมันงก
คิดเล็กคิดน้อย
คุยด้วยแล้วน่าเบื่อ
นอนได้แล้ว ผมง่วง”

“เอ้าเห้ย!
ผมนอนไม่หลับเวลามีคนอื่นอยู่ในห้องเว้ย”

“ทีคุณนอนห้องผม อาบน้ำบ้านผม ใช้ไฟบ้านผมเป่าหัวให้แห้ง กินข้าวบ้านผม ขี้บ้านผม เหยียบเอาดินทรายบ้านผมติดรองเท้ามาด้วย ผมคิดเล็กคิดน้อยอะไรมั้ยล่ะ?
แบ่งปันอ่ะ ไม่มีคำนี้ในพจนานุกรมส่วนตัวบ้างหรอ?”

“..........”

“ใจดำกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย
ช็อคว่ะ บอกตรงๆ”


ด่าจบก็นาบตัวนอนคว่ำ หันหน้าหนีไปในทางที่ไม่มีผมอยู่ในสายตาแล้วก็ไม่เคลื่อนไหวใดๆ ครับ
คือ....ยังไงวะ? สรุปแล้วผมต้องขจัดความอึดอัดเอาเองงั้นสิ นี่เขาจะไม่เอาตัวออกไปจากห้องผมจริงๆ หรอ?  สรุปแล้วเรื่องนี้ผมผิดเองที่คิดเล็กคิดน้อยสินะ อะไรวะเนี่ย?

ผมถอนหายใจ เอาตีนถีบเขาเบาๆ เพื่อส่งความไม่พอใจไปสู่ร่างกายเขาเสียบ้าง เผื่อว่ามันจะลดระดับความไม่พอใจในหัวผมลง แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามครับ หมอนี่สะบัดสะบิ้งตัวให้รู้ว่าก็ไม่พอใจเหมือนกัน แต่เขาก็ยังนอนอยู่นะครับ ไม่ได้ลุกไปไหน

ผมก็เลยถีบอีกรอบ ล้มตัวนอน ตะแคงหันหลังให้ ไม่รู้แล้วว่าเขาตอบโต้ผมยังไงบ้าง

จากที่คิดว่าคืนนี้คงไม่ได้หลับแน่ๆ เพราะอึดอัดเหลือทน ผมกลับค่อยๆ ง่วง หนังตาหนักขึ้นมาซะอย่างนั้น ผมคว้ามือถือมา หวังว่าจะอัพสเตตัสด่าเขาลอยๆ ยังไงเขาก็ไม่เห็นเพราะเราไม่ได้เป็นเพื่อนกัน แต่ยังไม่ทันได้กดโพสท์ ผมก็หลับไปทันที เปรียบไปก็ไม่ต่างจากกุ้งที่ถูกน็อกกลางอากาศ

Home*Mate

เช้านี้ผมตื่นสาย และพอตื่นสาย อะไรๆ ก็รีบ และเมื่อรีบ อะไรๆ ก็ช้า
ผมขยี้หัวแรงๆ ส่งท้าย ปิดไดร์เป่าผม ใส่แวกซ์จัดทรง  และเดินมาส่องโต๊ะกินข้าวที่ดูโล่งตากว่าปกติ ตั้งแต่อยู่กับนายค้ำจุนมา ผมมีมื้อเช้ากินเสมอเลยครับ เขาเคยแขวะว่าไม่อยากให้เสียของ ไหนๆ ก็ทำกินแล้ว ทำทานอีกหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้ ไม่มีทานมื้อเช้าจากความเมตตาของนายค้ำจุนครับ

สงสัยจะงอน
ตามใจแม่ง ในเมื่อเรื่องนี้ผมไม่ใช่คนผิด

ผมเปิดประตูดูในห้องนอนเขา ต้นไม้ใหญ่ที่ไม่สมควรจะมาอัดกันอยู่ในห้องแคบยืนกันอย่างไม่เป็นระเบียบรอบเตียงเขาเชียว
ผมว่าเราคิดถูกที่เมื่อคืนนี้ไม่มีมนุษย์หน้าไหนต้องมานอนรับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้นไม้ปล่อยออกมาสู่ห้องเล็กๆ  นี้
ม่านของห้องเปิดออกเพื่อให้แสงส่องเข้ามา แต่หน้าต่างกระจกยังคงถูกปิดเอาไว้
แล้วแบบนี้มันจะสดชื่นกันได้หรอ? ผมล่ะสงสัย
ก่อนออกไปทำงานด้วยกระเพาะโล่งโหวง ผมเปิดหน้าต่างในห้องนายค้ำจุนเพื่อให้ลมให้อากาศได้พัดผ่าน อย่างน้อยๆ ต้นไม้พวกนี้ก็ทนแค่ที่ที่แคบ ไม่ต้องทนร้อนไร้อากาศให้ฟอกทำความสะอาด

“หน้าบูดเชียว เมื่อวานเป็นไง” คำทักทายของยาดาทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า อาการหัวเสียของผมทำให้วันคืนดูยืดยาวกว่าวันปกติของคนอื่นเขา  นี่เมื่อวานผมเพิ่งจะมีความสุขสบายใจที่บ้านเขา แต่เรื่องดีๆ พวกนั้นก็ถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย เพียงเพราะผมหงุดหงิด พอรู้ตัวแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด แต่ผมก็ได้รับบทลงโทษที่หงุดหงิดไม่เข้าท่าแล้วนี่ครับ ก็ที่ไม่มีข้าวเช้าให้กินนั่นไง....

“ก็ดีตามยถากรรม”

“ตอบซะแก่” เพื่อนแซวเล็กน้อยแล้วก็ลากไปชงกาแฟในห้องครัวเล็กๆ ระหว่างที่รอให้กาแฟร้อนจัดกลายสภาพเป็นกาแฟอุ่น ยาดาก็ถามเพิ่ม
“เมื่อวานกลับถึงคอนโดกี่ทุ่มกันหรอ?”

“ไม่ดึกมาก”

“ก็น่าจะนอนพอนี่ แล้วทำไมวันนี้หน้าบูดมาแบบนี้ ปกติแกไม่ค่อยหงุดหงิดอารมณ์เสียนี่ เว้นแต่วันที่นอนไม่พอ”

“ก็....นะ” ผมลังเลที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนฟัง เพราะพอจะรู้เลาๆ แหละครับว่าเพื่อนจะเข้าข้างใคร

“คืออะไร ก็นะเนี่ย”

“ก็ ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไรเรื่องอะไร? เมื่อวานมีเรื่องที่ไม่มีอะไรและเรื่องที่มีอะไรล่ะสิ เล่ามาเลยเป”

“เออออออออ” ความต้องการระบายความหงุดหงิดและต้องการหาพรรคพวกทำให้ผมยอมเปิดเผยข้อมูล
“นายค้ำจุนของแกอ่ะดา กวนส้นตีน แม่งเปิดแอร์ให้ต้นไม้นอน ส่วนตัวเองก็มานอนเบียดกันอยู่บนเตียงกูเนี่ย
ไม่พอนะ ด่ากันว่างกอีกต่างหาก
และก็ทำตัวกวนตีน ข้าวเช้าก็ไม่ทำให้เผื่อ ปกติก็มีเผื่อให้ตลอด”

“อืม ตกลงแล้วเปไม่พอใจคุณค้ำจุนเรื่องอะไร กันแน่
เขาเปิดแอร์ให้ต้นไม้ หรือมานอนเบียด หรือไม่ทำข้าวเช้าไว้ให้”

“ทุกเรื่อง” ผมตอบชัดเจนแล้วก็ยกกาแฟขึ้นดื่มอึกใหญ่ และน้ำร้อนบ้าบอนี่แม่งก็แข็งขืนต่อโลกเหลือเกิน มันไม่ยอมอุ่นเสียทีครับ ลิ้นชาไปแล้วเรียบร้อย

“แล้วคุณค้ำจุนทำอะไรผิดหรอ เอาจริงๆ เรายังไม่เห็นมีอะไรเสียหายกับเป หรือกับห้องเลยนะ หรือว่าต้นไม้ใหญ่มาก”

“ก็ไม่ได้สูงเกินแบกหรือเกินฝ้าห้องหรอก แต่ดา...แกคิดดิ นี่มันห้องคนอยู่ จู่ๆ ก็แบกต้นไม้ขึ้นมาเก็บ เปิดแอร์ให้พวกมันซะเย็นฉ่ำ แล้วตัวเองมานอนเบียดคนอื่นเขาอ่ะ”

“คนอื่นที่ไหน ก็เปไง คุณค้ำจุนกับเปก็เหมือนเพื่อนกัน”

“โนๆๆๆๆๆ” ผมรีบปฏิเสธทันทีครับ สถานะนี้ผมไม่แอพพรูฟ
“ไม่เพื่อนอ่ะดา ก็แค่คนเช่าห้อง”

“แต่ก็อยู่กินกัน” เพื่อนคนนี้ก็ยังจะยัดเยียดสถานะแปลกระหว่างผมกับนายค้ำจุนมาให้ ซึ่งคำที่ใช้ก็ล่อแหลมเหลือเกินครับ

“ไม่อยู่กินกันดิดา”

“อ่ะๆ รูมเมทเป็นไง”

“ก็ไม่เชิง เออ ทำนองนี้ก็ได้” ผมยอมอ่อนข้อให้เพราะกลัวยาดาลากไปซื้อพจนานุกรมมาเปิดหาคำศัพท์ เพื่อนผู้หญิงที่สนิทของผมปลอบประโลมผมด้วยคำไม่รื่นหู ไม่เข้าข้างกันแต่อย่างใด เอาจริงๆ เหมือนมันด่าผมแบบเบาๆ มากกว่า พอสาแก่ใจแล้วก็พากันกลับไปเริ่มทำงานเสียที

“น้องเป” 10 นาทีเร็วกว่า 10 ปีแสงสำหรับผมครับ ยังวางแผนงานตัวเองไม่เสร็จสิ้นปี หัวหน้าก็เรียกหา ผมยืดคอไปสบตา แกก็สั่งงานเพิ่ม พิธีรีตองไม่ต้องมีหรอกครับ เปลืองโควต้าการใช้มารยาท
“ลูกค้าใหม่เรียกไปเสนองาน เปรับไปนะงานนี้ จริงๆ ก็ไม่ใหม่สำหรับเปหรอก”

“อ่อ ได้ครับ” ตอบรับไปทั้งที่ใจยังงงครับ หัวหน้าคงอ่านสีหน้าออกเพราะทำงานกันมาหลายปี แกหัวเราะอย่างครึ้มอกครึ้มใจอยู่คนเดียวก็อธิบายเพิ่ม

“บริษัทคุณนิทัศน์”

“เอ้า!!! โห เปดูแลให้เองครับ ดีลนี้” ผมรับคำหน้าชื่น และก็หน้าบานกว่าเดิมเมื่อหัวหน้าจัดทีม

“กับยาดาก็แล้วกัน น่าจะเข้าคู่กันได้ดี”

“คร้าบบบ / ค่า”

จากที่อารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเมื่อเช้า วันนี้ผมกำลังกลับคอนโดด้วยอารมณ์ดีอย่างยิ่งเลยครับ ได้ดูแลบริษัทพี่ทัศน์ก็เหมือนกลับบ้านเก่านั่นแหละ เออ เดี๋ยวพรุ่งนี้โทรหาแกหน่อยดีกว่าว่าทำไมไม่บอกกันหน่อยเลยว่าหาพีอาร์เอเจนซี่อยู่ คนกันเองขนาดนี้ หลานเขาก็อยู่กินกับผม....อืมมม เอาใหม่ หลานเขาก็อยู่ด้วยกันกับผม อืมมมม เออ ช่างมันเถอะ ยังไงก็หมายความถึงนายค้ำจุนที่อยู่ร่วมห้องเดียวกับผมนั่นแหละครับ

พูดถึงนายค้ำจุน ไม่รู้ว่ารู้เรื่องนี้ด้วยรึเปล่า ถ้ารู้อยู่แล้วนี่ต้องขอเตะปากหน่อยนึง หนักอยู่ทำซากอะไร

ผมครึ้มอกครึ้มใจมากจนโทรศัพท์หาเขาเลยครับ ปกติแล้วเราติดต่อกันน้อยมาก ไลน์คุยกันไม่บ่อย ส่วนมากถามเรื่องอาหารการกินและตกลงค่าใช้จ่าย

“เฮ้ยคุณ ผมเอง” ผมส่งเสียงทักทาย ขาก็เดินเนิบๆ ตามทางเชื่อมไปบีทีเอสกลางเมืองที่คนจะแน่นโคตรๆ ถ้าผมออกจากออฟฟิศช้ากว่านี้อีก 5 นาที

“อะไรอีก” เขาตอบมาแบบนี้ครับ แต่แค่เพียงคำสั้นๆ ผมก็ขุ่นขึ้นโดยไม่ต้องเป็นน้ำในโคลนที่โดนส้นตีนกวนไปมาได้ครับ นายเปลผู้ระดับอีคิวสูงลิบลิ่วผู้นี้ก็ได้แค่หัวเราะเอ็นดูความกวนส้นตีนของปลายสาย แล้วก็ตอบไปด้วยอารมณ์ที่ยังคิดอยู่ว่าดี

“เห้ย เป็นอะไรเนี่ยคุณ มิตรสหายอุตส่าห์โทรหานะ
เย็นนี้กินอะไร เดี๋ยวผมซื้อเผื่อ
ไม่คิดตังค์หรอก เลี้ยงๆ ผมอารมณ์ดี”

“มากหรอ?” เขาถามกลับมาสั้นๆ อีกแล้ว

“อื้มมมมมมมมมมมมม” สั้นมายาวกลับครับไม่โกง

“เก็บเงินที่จะเลี้ยงข้าวผมไปจ่ายค่าไฟเถอะ เดือนนี้มันคงจะแพงขึ้นสองสิบยี่สิบสตางค์แหละ เพราะต้นไม้มันใช้เปลือง” แล้วก็วางสายครับ

ไอ้เวรค้ำจุน ไอ้กวนส้นตีน ไอ้เลววววววว

จากที่อารมณ์ดีก็กลับมาบูดอีกแล้วครับ บูดมาก บูดที่สุด บูดจนเริ่มวางแผนฆ่าต้นไม้ต่อหน้าต่อตาไอ้ค้ำจุนเพื่อให้มันใจขาดเป็นวิ่นๆ แล้วตายลงตรงหน้าผมเลย นี่ผมลดตัวขนาดไหน ยอมให้ทั้งยาดา วราห์และพี่ทัศน์คิดว่าผมเป็นเพื่อนกับมัน ทั้งที่ผมเหนือกว่าตั้งมาก ผมเป็นเจ้าของสินทรัพย์นะเว้ย เขาก็แค่คนขออาศัย มีสิทธิ์อะไรมากวนตีนใส่ผมแบบนี้!!!!

“เฮ้ย เป เป็นอะไร” ยาดาที่เดินตามมาทันทั้งที่ออกจากออฟฟิศทีหลังผมสะกิดกันแรงๆ ด้วยการชกที่ไหล่ครับ พอผมหันไปมองหน้า เพื่อนก็ซีดลงพร้อมกับลูบไหล่เป็นการขอโทษเพราะคิดว่าผมหน้าบูดเพราะเจ็บจากแรงชกเมื่อครู่

ผิดแล้วเพื่อนเอ๋ย หมัดเจ้านกน้อยตัวเท่านั้นไม่กระเทือนมัดกล้ามของเพื่อนผู้แข็งแกร่งอย่างเราหรอก

“เฮ้ยดา ทำยังไงให้ไอ้ค้ำจุนออกไปจากห้องเราแล้วไม่ผิดกฎหมายบ้าง”

“ไอ้บ้าเป ทำไมคิดแบบนี้?” ถามหาสาเหตุมาก็ดี ผมจะได้มีเพื่อนช่วยคิด แผนจะได้รอบคอบ รัดกุม และผมไม่มีมลทินติดตัว

หลังจากเล่าพฤติกรรมย่ำยีอารมณ์ให้ยาดาฟังแล้ว เพื่อนคนนี้สรุปเพียงว่า “ก็แค่งอนกันน่า กลับห้องไปง้อ เดี๋ยวก็หายงอนกันและกันแล้วแหละเป ไม่ต้องคิดมาก”

ขอโทษนะยาดา หน้ากูมีรูขุมขนไหนชูป้ายไม่สบายใจเพราะใช้สมองมโนเยอะเกินไปงั้นหรอ?
เพื่อนไม่เข้าใจผมเลย ไม่มีใครเข้าใจผมเลย! 

ผมแยกกับยาดาเพราะไม่อยากอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ จริงๆ แล้วไม่มีต่อมอารมณ์ไหนอยู่ในภาวะมองโลกเชิงบวกแล้วครับ ผมแบกใบหน้าบึ้งบูดขึ้นบีทีเอส จับจ้องไปที่ใดก็ได้ที่ไม่สบตากับใครให้กลายเป็นประเด็นมองหน้าหาเรื่อง สูดลมหายใจเข้าออกแรงนิดหน่อยแต่ก็ยังไม่ถึงขึ้นทำให้เส้นผมของน้องนักเรียนที่ยืนอยู่ด้านหน้ากระจุยกระจาย

โหนอารมณ์อยู่พักนึงก็ถึงสถานีปลายทางคอนโดผมแล้วครับ
คิวมอเตอร์ไซค์ยาวไป กูไม่รอเว้ย!
ผมเดินเข้าคอนโด ซึ่งวัดจากปลายบันไดบีทีเอสถึงโครงการก็แค่ 400 เมตร ระยะเท่านี้กระจอกมากครับ เข้าตัวตึก เข้าลิฟท์ เดินมุ่งหน้าเข้าห้องมาตามทางเดินด้วยอารมณ์คุกรุ่น คิดเอาไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะเจอต้นไม้หรือเจ้าของต้นไม้ พวกมันต้องโดนทำลายล้างงงงง!!!

ปึ่ก ผมผลักประตูเข้าห้องหลังจากสัญญาดิจิตอลดอลล็อคส่งเสียงตอบรับรหัสผ่าน
สิ่งที่เห็นทำให้ความเดือดดาลพุ่งถึงขีดสุดครับ มันจะพีคไปถึงไหนวะเนี่ย!!!
ที่โล่งๆ ของห้องรับแขกกลายเป็นป่าไปแล้วครับ ต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ อะไรวะเนี่ย!

“เฮ้ย ทำอะไรน่ะคุณ” ผมกรรโชกเสียงถาม เดินเบี่ยงตัวหลบต้นไม้สูงไปยื่นหน้าเข้าเขตห้องนอนนายค้ำจุนครับ และไอ้ห้องนี่ก็ไม่ได้มีพื้นที่เพิ่มเลย ทั้งที่ต้นไม้ที่ยกออกไปวางที่ห้องรับแขกก็เยอะมากแล้ว
“ถามว่าทำอะไร?” ผมเค้นเสียงเข้ม แต่คนในห้องไม่พูดอะไร เขาพยักพะเยิดกับเพื่อนเขา ซึ่งก็คือนายต้นสน เพื่อช่วยกันพยุงต้นไม้ เขากำลังเคลื่อนย้ายพวกมันงั้นหรอ? ผมว่าไม่ใช่แล้วแหละ
“จุน คุณทำอะไร ผมถาม ไม่ได้ยินหรอ?”

“ได้ยิน”

“ก็ตอบดิวะ”

“ไม่ตอบ รำคาญคนใจคับ”

“แคบด้วยมึง คับแคบ พูดให้มันจบๆ”

“เสือกจะต้องสอนภาษาไทยกูตอนนี้หรอไอ้ต้น”

สงสารนายต้นสนที่สอนภาษาไทยไม่ถูกจังหวะจังครับ แต่ผมไม่มีแก่ใจปลอบใครหรอก ผมต้องการคำตอบจากนายค้ำจุน

“คุณทำอะไรเนี่ย ห้องรกไปหมดเลย”

“เรื่องของผมเถอะน่า เอาว่าค่าน้ำค่าไฟเดือนนี้ผมจ่ายเอง สมเหตุสมผลกับคนหน้าเงินอย่างคุณแล้วก็ถอยไป อย่าเกะกะ เดินเบาๆ ด้วยล่ะ ขี้เกลือร่วงจะลำบากแม่บ้าน”

“เฮ้ย! มันจะมากไปแล้วนะ”

“เทียบกับอะไร? ค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพื้นสึกหรอ ค่าอะไรอีกดี ค่าเสื่อมหลอดไฟ ค่าฝุ่นละอองเกาะม่าน ค่าอะไรอีก คิดมาให้หมดดิ คิดมาเลย!!!”

“ไอ้ค้ำจุน!!” ผมไม่เคยขึ้นไอ้อีกับเขาทางวาจาเลยครับ ไม่เคยถลกแขนเสื้อเชิ้ตพร้อมต่อย ไม่เคยปลดกระดุมเสื้อพร้อมชกใส่เขาแบบนี้เลย

ทั้งค้ำจุนและต้นสนดูจะตะลึงกับท่าทีของผมมาก สงสัยไม่เคยเห็นคนโกรธจัด แต่ผมคิดว่าผมสมควรโกรธเพราะเขาจงใจขยี้ยั่วอารมณ์ผมสุดๆ ต้นไม้พวกนี้เป็นพยานได้ เข้ามาสิวะ วัดกันสักหมัด ยังไงก็ต้องเจ็บทั้งคู่นั่นแหละ ใครมากกว่าน้อยกว่าค่อยว่ากันอีกที

“เฮ้ยเป ใจเย็นๆ ดื่มน้ำก่อนมั้ย เนี่ย เราซื้อน้ำเก๊กฮวยมาด้วย เจ้านี้อร่ยอใส่น้ำตาลน้อยด้วยนะ ดีกับสุขภาพ”

“ขวดละ15 บาท จะกินก็วางเงินไว้ด้วย” เขายังไม่หยุดครับ

“บ้าหรอไอ้จุน
กินได้เลยเป ฟรีๆ จริงๆ ผมซื้อมาเอง
มาเยี่ยมห้องเปก็ต้องมีของฝากเจ้าของห้องอ่ะเนอะ
ช่วยกันคิดกับไอ้จุนนี่แหละว่าเปน่าจะชอบ”

“ไม่ต้องพากูไปดาวตอแหลด้วยไอ้ต้น กูไม่รู้ไม่เห็นอะไร ไม่ได้เลือก ไม่ได้หวังดีกับคนงกหน้าไหนทั้งนั้น”

“คำก็งก สองคำก็งก ผมไปงกใส่คุณตอนไหนวะ?”

“คุณงกใส่ต้นไม้ไง จิตใจทำด้วยอะไร มันฟอกอากาศให้โลกนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจากสิ่งมีชีวิตไหนเลย คุณก็ไปติดต้นทุนค่าแอร์กับมัน เนี่ย ไม่เรียกงกแล้วเรียกอะไร”

“โอ้ย มันฟอกอากาศตามธรรมชาติอยู่แล้วมั้ยล่ะ มันเป็นวิถีดำรงชีพของต้นไม้เว้ยคุณ และที่ผมต้องพูดเรื่องค่าใช้จ่ายขึ้นมาเพราะคุณเอามันมาอยู่แบบผิดธรรมชาติต่างหาก คิดหน่อยสิโว้ย!”

“คิดแล้วสิวะ ถึงได้ถามหาน้ำใจจากคุณไง แต่แม่งก็ไม่มีเลย คนบ้าอะไรเนี่ย งกอากาศกับต้นไม้”

“ผมไม่ได้งกอากาศกับต้นไม้นะเว้ย พูดให้รู้เรื่อง ผมไม่ใช่เจ้าของอากาศเสียหน่อย ผมจะงกจะหวงในสิ่งที่ไม่ใช่ของของผมได้ยังไง ผมไม่ได้บ้านะ”

“อ้อหรอออออ!!”

“ก็เอออออออออออสิ!!!”

แล้วก็แข่งกันหอบครับ  นายต้นสนทื่ยืนตรงกลางฟังเราทั้งคู่อุดหูไปแล้วเรียบร้อย ผมแน่ใจว่าเสียงของเราทั้งคู่น่าจะดังไปถึงนอกห้อง น่าจะเข้าผนังห้องและเข้าหูเพื่อนข้างห้อง ในกรณีที่มีคนอยู่ในห้อง แต่ระหว่างที่หอบรอหายเหนื่อย ก็ไม่มีผู้เดือดร้อนท่านใดมาเคาะห้องด่า ผมเท้าเอวเตรียมเถียงกับเขาอีกยก แต่นายต้นสนกลับกางมือห้ามเราทั้งคู่

“พอเลยทั้งคู่
ไม่มีใครด่าใครแรงเกินเบอร์เลยจริงๆ
ไอ้จุน มึงไม่ได้พูดอะไรผิด แต่เปก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเหมือนกัน
มันเป็นเรื่องของต้นไม้ ซึ่งมึงฝืนเอาขึ้นห้องเอง มึงควรพูดกับเขาดีๆ ด้วย
ไม่ใช่เพราะเขาเป็นเจ้าของห้อง เพราะมึงก็ถือว่าเป็นเจ้าของห้องชั่วคราวด้วยเหมือนกัน แต่ที่อยากให้พูดดีกับเขาด้วย เพราะว่าเขาต้องร่วมเดือดร้อนไปกับมึงและต้นไม้ของมึง ทั้งที่เขาไม่ได้มีส่วนได้เสีย”

“แต่”

“ฟังกูให้จบเลย
ถ้าเขางกเกินเรื่องเกินราวจริงๆ เขาเตะมึงออกจากห้องไปแล้ว ไม่ช่วยมึงยกต้นไม้ขึ้นห้องเมื่อเย็นวานหรอก เขาแบ่งเตียงให้มึงนอนนั่นอีก ได้พูดขอบคุณเขารึยังล่ะ? ก็ยัง
เพราะอะไร เพราะมัวแต่ดับหูนอน แล้วสรรพสิ่งเสียงมันจะเข้าหัวมึงได้ยังไง ความจริงจะไปสะกิดแก้วหูมึงได้ยังไงล่ะว่ามึงเอาแต่ใจตัวเองเกินเหตุ”

“ก็”

“มึงนั่นแหละไม่เปิดหูเปิดตาเปิดใจอะไรเลย
ใครเขาแตะต้นไม้เข้าหน่อยก็โวยวาย แค่ไม่เป็นไปตามที่มึงคิดเอาไว้ก็ใช่ว่ามันเป็นเรื่องผิดพลาดมั้ยวะ
มึงรู้มั้ยเนี่ยว่าใครเปิดหน้าต่างห้องมึงเอาไว้เพื่อให้อากาศเข้า”

“ก็มึงไงไอ้ต้น”

“เปล่า กูขึ้นมาก่อนมึงเพราะปวดเยี่ยวมากกว่า พอกูจะไปเปิดหน้าต่างตามที่มึงพูดว่าห่วงอยู่ทั้งวันกรอกหูกูเนี่ย กูก็เห็นหน้าต่างเปิดอยู่แล้ว
ถ้ามึงห่วงอยู่ตลาดทั้งวันกับการลืมเปิดหน้าต่างให้ต้นไม้ มึงก็ต้องกราบเขาเลยล่ะ
มึงไม่ได้เปิด แล้วหน้าไหนจะมาเปิดให้ ถ้าไม่ใช่เป”

“ก็....เออ
คุณ เปิดไว้ให้หรอ” นายค้ำจุนหันมาถามผมดีๆ ริ้วความเจ็บแค้นหายไปจากสายตาแล้วครับ

“อืม พอดีเวลาเหลือเพราะไม่ต้องใช้เวลากินข้าวเช้า เลยถือวิสาสะไปดูในห้อง แล้วก็เปิดไว้ให้”

“ขอบคุณนะ”

“ก็เท่านี้!” นายต้นสนอัดเพื่อนด้วยวาจาอีกรอบ
“เปก็ กินน้ำเก็กฮวยได้นะ ชอบไม่ใช่หรอ ตอนไปโรงเรือนไอ้นี่ก็ชอบนี่นา ที่จุนช่วยแม่มันต้มน่ะ”

“อ้อ....อืม
ขอบคุณนะ” ผมขอบคุณลอยๆ ไม่ได้มองนายค้ำจุนอีกรอบ จากนั้นก็เดินเข้าห้องตัวเอง เพื่อคิดทบทวนดูว่าผมใจร้ายกับต้นไม้เขาขนาดนั้นหรอ ผมงกจนต้องโดนด่าขนาดนี้เลยหรอ คำตออบก็คือ งกนิดหน่อย ใจร้ายก็นิดเดียว จริงๆ ก็ไม่ได้งก ไม่ได้ใจร้าย แค่ไม่ได้บอกสิ่งที่คิดทั้งหมด ก็เท่านั้น

เมื่อคืนนี้ ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับต้นไม้เลยสักนิด แค่ไม่ชินกับการมีคนอื่นนอนร่วมห้อง แล้วก็พาลหงุดหงิด พาลอ้างเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้ป่าดงดิบข้างนอกห้องนอนนั่นอยู่กับเราไม่กี่วัน

และการมีคนอื่นในห้องนอน บนเตียงนอน ก็แค่ทำให้อึดอัด ไม่ได้ทำให้ตาย

ผมออกจากห้องอีกครั้งตอนจะไปอาบน้ำ เห็นอีก2คนเช็ครายการอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้สนใจครับ นายต้นสนทักถามว่าผมจะอาบน้ำหรอ เดี๋ยวเขาก็จะกลับแล้ว ขอโทษที่รบกวนจนดึก ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่ยิ้มให้เท่านั้น จริงๆ คือหิวข้าวครับ แต่ไม่ได้ซื้ออะไรเข้ามากินและก็ไม่อยากเสียฟอร์มคุ้ยหาของกินในตู้เย็น

อาบน้ำเสร็จก็เข้าห้อง ปิดไฟนอนทั้งที่เพิ่ง 3 ทุ่มกว่าเท่านั้น
หลอกอะไรก็หลอกได้ หลอกร่างกายตัวเองไม่ได้ครับ ปิดตายังไงก็ไม่หลับเสียที ผมก็เลยนอนเล่นมือถือ  ผ่านไปสัก20 นาทีก็มีเสียงเคาะประตูห้องนอน

ผมเปิดไฟและเปิดประตู เห็นนายค้ำจุนที่น่าจะเตรียมตัวอาบน้ำ เพราะเห็นมีผ้าเช็ดตัวพาดบ่า

“นอนแล้วหรอ?”

“ก็ อืม”

“ผม ขอโทษอีกทีละกัน”

“ไม่เป็นไร ช่างแม่งมันเหอะ”

“ยังไม่หายโกรธอ่ะดิ ก็อย่างที่ไอ้ต้นด่านั่นแหละ ผมหัวร้อนไปจริงๆ
ขอบคุณนะที่ให้นอนด้วยเมื่อคืน ไม่งั้นผมคงขาดใจตายเพราะไม่มีอากาศหายใจแน่ๆ”

“ผมรู้ กลางคืนต้นไม้มันคายคาร์บอนไดออกไซด์
แล้ว คืนนี้คุณจะนอนยังไง เหมือนมันเยอะขึ้นด้วยนี่ ต้นไม้น่ะ มันแตกตัวขยายพันธุ์เร็วขนาดนี้เลยหรอ”

“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่ๆ
วันนี้ไปเอามาเพิ่มน่ะ
ลูกค้าสั่งเยอะ ขนมาวันเดียวไม่หมด รถผมไม่ใช่รถบรรทุกอ่ะเนอะ”

“อ่อออ....งั้น....”

เห้ย! ผมกำลังจะชวนเขานอนที่ห้องอีกคืนอ่ะ เกิดอะไรกับจิตใจหยาบช้าขี้เอาแปรียบของผมกันเนี่ย?

พอยั้งปากตัวเองทัน ผมก็เตรียมปิดประตูห้องนอนอีกรอบ แต่นายค้ำจุนเอามือดันเอาไว้ก่อนครับ เขาจ้องผมตาไม่กระพริบ เม้มบดปากตัวเองอยู่ 2-3 รอบ แล้วก็เอ่ยออกมาในที่สุด

“ขอนอนด้วยอีกคืนนะคุณ”

มาเลยเพื่อนชาย....คิดว่าผมจะตอบทำนองนี้หรอครับ คิดผิดอย่างบัดซบมากครับ
ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่ก้มหน้ากระแอมไอ เงยหน้ามองผ่านจุดสบตาของเราไป และก็พยักหน้าอนุญาต

“ขอบคุณนะจุน” รอบนี้ไม่มาแค่ภาษาพูดครับ ภาษากายก็มา ในรูปแบบการใช้หลังมือเคาะแก้มผม ส่งยิ้มมุมปากและเดินผิวปากไปตามซอกหลืบต้นไม้เพื่อไปอาบน้ำ

ไอ้เหี้ยค้ำจุน!!
นี่มันแก้มอันบริสุทธิ์จากมือชายใดของกู!!!


Cut


โอ้ยยย หายไปเกือบสองเดือน ป่วยด้วย งานรุมด้วย อารมณ์ไม่มาด้วย หลายเหตุเลยค่ะ
แต่ยังไงก็มาแล้ว ตามอ่านกันข้ามปีอีกเรื่องนะคะ ^o^
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 12 (051218)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-12-2018 23:52:54
เกือบไปแล้ว 5555555555555555
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 12 (051218)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 06-12-2018 00:22:49
โธ่ เรานึกว่าหอมแก้ม เสียดาย
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 12 (051218)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 22-12-2018 15:25:23
เอิ่มมมม เอาจริงนะตอนแรกเรานี่ก็คิดเลยว่านิสัยคิดเล็กคิดน้อยของเปนี่เกือบเข้าข่ายเหมือนเห็นแก่ตัวเลยอ่ะ แล้วก็งงพฤติกรรมหลายๆอย่างของเป ตอนไปบ้านค้ำจุนก็ยังนอนร่วมห้องกันได้ พอกลับมา ไหงกลายเป็นแบบนี้  :hao4:
คนนิสัยอย่างนี้อยู่กับคนอื่นลำบากแน่ โดยเฉพาะเรื่องความงกที่ค้ำจุนพูด การแบ่งปันที่ค้ำจุนทำมาตลอดนี่แทบหมดความหมายในความคิดเราเลยอ่ะ กับ ประโยคนี้ของเป "ขายต้นไม้ได้กำไรเท่าไหร่ผมไม่รู้หรอกนะ แต่ผมก็ไม่เคยได้กำไรอะไรกับคุณด้วยซักหน่อย ทำไมผมต้องจ่ายต้นทุนของต้นไม้พวกนี้ด้วยไม่ทราบ" บางครั้งคำพูดที่ออกมาก็ทำร้ายจิตใจคนอยู่ร่วมกันเกิ้นนน  แต่พอ มาฟังที่ต้นอธิบาย ก็นะ เข้าใจเปมานิดหนึ่ง  :mew2: 

กว่าจะเข้าใจกันได้นี่เราว่ายังอีกยาวววว ถ้าไม่ใช้ค้ำจุนนี่ก็คิดแล้วว่าเปอยู่กับใครไม่ได้หรอก (เอาตอนดีๆหวานๆของตอนที่แล้วมาอ่านอีกรอบ 555555555)

หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 12 (051218)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-12-2018 20:12:30
ค้ำจุนกวนตีนเป ให้น้อยๆ หน่อยนะ สงสาร เรารู้ว่านายชอบแกล้งกะนะถ้าไม่รักจะใส่ใจหาเรื่องใกล้เหรอ อิอิอิ
ตอนนี้โดนต้นสนแย่งซีนไปซะ สมๆ ทั้งคู่เลย อิอิอิ
 :really2: :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 13 (060119)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 06-01-2019 01:10:10
HomeMate
Casting: Jun x Pae
Writer: Kajidrid

Home*Mate [13]



ถ้าผมรู้ว่าเจ้าเหล่าต้นไม้ที่มาหนาแน่นในห้องผม 2 วัน 2 คืน มีมูลค่า 5 หลักปลายๆ แล้วล่ะก็ ผมจะดูแลมันให้ดีกว่านี้ มีส่วนร่วมมากกว่านี้จริงๆ ครับ ให้ตายเถอะ ไอ้คนขายก็ไม่บอกกันเสียบ้าง

เย็นวันอังคารหนึ่งของปี ผมขอหัวหน้ากลับก่อนเวลาเพื่อไปร่วมเหตุการณ์ซื้อขายต้นไม้ที่ผมไม่รู้แม้แต่ชื่อของพวกมัน

สาเหตุที่สละตนขนาดนี้ก็คือตัวเลขเกือบ 6 หลักที่จะได้จากการขายต้นไม้นี่แหละครับ ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันจะราคาสูงขนาดนี้

เย็นวันนี้ ผมทิ้งยาดาไว้กับกองงานของเธอครับ ไม่รู้สึกผิดบาปอะไรอยู่แล้วเพราะนั่นมันงานยาดา ไม่ใช่งานผม ผมเคลียร์งานของผมหมดแล้ว บ่าย 4  โมงเท่านั้นที่ผมเด้งตัวออกจากออฟฟิศ เสียงสะท้อนจากการสนทนากับนายค้ำจุนเมื่อคืนนี้ยังดังก้องไปมาในห้วงความคิด

ขอบคุณคุณอีกทีนะ บลา บลา บลา เกือบแสนที่จะได้ ผมจะเอาไป บลา บลา บลา คงรู้ใช่มั้ยครับว่าข้อความไหนที่ฝังหัวผมแน่นและนานข้ามคืนขนาดนี้

เมื่อเช้า ผมถามย้ำเขาใหม่ ก็ยังเป็นตัวเลขเดิมครับ ผมก็เลยขออยู่ในเหตุการณ์ด้วย แม้เขาจะบอกว่ามีนายต้นสนเป็นพยานการซื้อขายอยู่เป็นประจำแล้วก็ตาม

เงินเกือบแสน มันต้องขอเห็นกับตากันหน่อยครับว่าไอ้ต้นไม้ใบเขียวพวกนั้นเสกสรรค์ให้ได้จริงๆ

ผมประดิษฐ์สถานการณ์ที่อาจจะได้เห็นขึ้นในหัวระหว่างการเดินทาง แม้การเดินทางจะไม่ได้ร้างผู้คนแต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความจดจ่อของตัวเองครับ แน่นอนว่าจดจ่อกับเรื่องเงินนี่แหละ ไม่นานเกินความคิดจะวิ่งไปไกลถึงหลักล้าน ผมก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ทางออกที่ 2 ของสถานีรถไฟใต้ดินกำแพงเพชร ระยะทางราว 200 เมตรข้างหน้า มีเงินเกือบแสน เอ้ย! นายค้ำจุนรออยู่ครับ

ผมโทรหาเขา บอกว่ามาถึงแล้ว เขาก็บอกให้รอที่สถานีรถไฟใต้ดินครับ เพราะเขานัดรับลูกค้าจุดนี้เหมือนกัน

หันรีหันขวางอยู่ไม่นานก็มีเพื่อนร่วมรอครับ เป็นใครก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พอบังเอิญสบตา ผู้ชายคนนี้ก็ยิ้มให้ ผมเลยพยักหน้าพลางส่งยิ้มกลับ

“คุณ” เสียงนายค้ำจุนไม่ผิดหรอกครับ นอนคุยกันเมื่อคืนอย่างยาวนาน หูผมไม่มีทางพลาดแน่นอน

“อื้อ คุณ” ผมทักกลับ หันหาอย่างมั่นอกมั่นใจ เมื่อสบตากันก็ยิ้มให้อย่างสดใส หุหุหุ ขอกูดูเงินเกือบแสนหน่อยเถอะวะ

“แป๊บนะ โทรหาลูกค้าก่อน” เขาบอกพลางกดโทรศัพท์ เมื่อแนบหูรอสาย เสียงเรียกเข้าของชายแปลกหน้าก็ดังขึ้น พวกเรา 3 คนสบตากันเพื่อปรึกษาหารือ ชายคนนั้นรับสาย ส่งเสียงทักว่าสวัสดีครับ นายค้ำจุนตัดสายและทำความรู้จักกับชายคนนั้นทันที

“คุณปาล์ม ใช่มั้ยครับ”

“ครับ คุณค้ำจุนใช่มั้ย?”

“ครับ
อ่อ...นี่เพื่อนผมครับ เปล”

“อ่อครับ ยินดีที่รู้จักทั้งคู่เลย ไปร้านกันเลยมั้ยครับ?”

“ครับ” ทั้งหมดทั้งมวลการสนทนาที่เกิดขึ้นผมไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ แต่ก็เดินตามพวกเขาไปตามกลิ่นเงินตรา 

คุณๆ ทั้งหลายครับ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
นายค้ำจุนได้รับเงินค่าต้นไม้ทั้งหลายเหล่านั้น เป็นจำนวน 8x,xxx บาท นี่เขาลดให้ลูกค้าหน้าตาเกือบดีเท่าผมไปด้วยนะครับเนี่ย
อะไรมันจะหาเงินได้เยอะในเวลารวดเร็วแบบนี้วะเนี่ย
คุณลูกค้าชื่อปาล์มยังไม่จากไปครับ เขามาตรวจของก่อน เช็คนั่นนี่ว่าตรงตามที่ตกลงซื้อขายกันไว้ ระหว่างนี้เราก็รอครับ รอให้รถของคุณลูกค้ามาโกยต้นไม้พวกนี้ไป

ระหว่างที่รอกันนี้ นายค้ำจุนก็จัดร้านเขาไปด้วย เนื่องจากนายต้นสนมาถึงพร้อมกับไม้เล็กไม้น้อยที่ราคาไม่สมขนาดสักพักนึงแล้ว
พวกเขาพูดคุยเรื่องต้นไม้กันต่อ มีการอัพเดทเทรนด์ปีหน้า ว่าตลาดต้นไม้ไปบูมที่สายพันธุ์ไหน ทำนองนี้แหละครับ ซึ่งแน่นอนว่านายค้ำจุนไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงเรื่องข้อมูลหลุดเข้าหูผมแล้วจะทำให้เทรนด์เปลี่ยน เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรที่พวกเขาพูดกันเลยครับ สักพันธุ์ก็นึกภาพไม่ออก

“แล้วรอบต่อไป ลงตัวไหนครับ” ลูกค้ากระเป๋าหนักถามพ่อค้าทั้ง 2 แต่ก็ไม่ลืมเผื่อแผ่รอยยิ้มเป็นกันเองมาให้ผม 

“ก็ไม้ไทยเหมือนเดิมแหละครับ จะเน้นพุ่มเตี้ยแล้วก็พวกไม้มงคล แต่ก็กำลังดูๆ พวกไม้โขดอยู่ ตลาดจัดสวนโตจริงๆ คุณยังมองออก และดั้นด้นหาแหล่งจนเจอเราเลย” พ่อค้านามว่าค้ำจุนตอบครับ คนไม่รู้เรื่องอย่างผมยังสัมผัสได้ถึงชั้นเชิงไอ้หมอนี่

“อื้อ โตจริงๆ ครับ ผมยังรับทุกงานไม่ไหวเลย
ถ้าไงก็อัพเดทกันด้วยนะครับ เพจไม่ค่อยเคลื่อนไหวเท่าไหร่เลย ดีว่าคุณต้นสนรับสาย ไม่งั้นคงไม่ได้เจอสวนคุณค้ำจุน”

“ครับ จริงๆ เรียกจุนกับต้น ก็ได้ ผมเองก็ไม่ค่อยชินเวลาใครเรียกชื่อเล่นเต็มยศ มันดูไม่เรียกเล่นๆ เท่าไหร่” นี่น่ะหรอเรื่องที่นายค้ำจุนเอาไว้ตกลูกค้า มุกห่าอะไรวะไม่เห็นตลก หรือจะโชว์ความถ่อมตัว คนไทยชื่อเล่น 2 พยางค์มีตั้งเยอะไป

“อ่อ ครับ
ผมชื่อปาล์มเฉยๆ พอมาเริ่มรับงานออกแบบสวน คนก็คิดว่าชื่อต้นปาล์ม นี่ถ้าผมเป็นนักค้าน้ำมัน ก็คงได้ชื่อเล่นว่าน้ำมันปาล์ม”

ฮ่าๆๆๆๆๆๆ นี่ไม่ใช่เสียงหัวเราะในหัวผมนะครับ พวกเขาเข้าใจมุกกันและกันแล้วก็พากันขำครับ แหม พอมีกลิ่นเงินเกือบแสนโอบล้อมบรรยากาศ อะไรๆ ก็ดูดีไปหมดแหละครับ

“อื้อ น่าจะคันสุดท้ายแล้วครับ” เมื่อคนงานของนายต้นน้ำมันปาล์ม เอ้ย! นายปาล์มเฉยๆ เดินมาส่งสัญญาณว่าการขนย้ายแล้วเสร็จ ลูกค้าเงินหนาคนนี้ก็เอ่ยลา พวกเขาแลกเบอร์กันแล้วเรียบร้อย ผูกมิตรกันอย่างแจ่มจิตแจ่มใจเบ็ดเสร็จ ก็แยกจากกันเสียทีครับ ผมล่ะยืนเกร็งอยู่ตั้งนาน กลัวโดยวัดภูมิปัญญาไปด้วย เห็นหน้าตาฉลาดแบบนี้ จริงๆ เป็นคนเข้าใจอะไรยากครับ

“อ่า คุณ” จู่ๆ นายค้ำจุนมองเห็นหัวกันอีกครั้ง เขาแช่สายตาที่หน้าผมแล้วก็เอ่ยประโยคที่ไม่คิดว่าจะได้ยินออกมาครับ
“ยืนนิ่งทำไม ช่วยกันจัดร้านสิ ไหนๆ ก็มาแล้ว ช่วยผมขายของคืนนี้ด้วยแล้วกัน เดี๋ยวเลี้ยงข้าว”

“หูฉลามหรอ?” ผมถาม ส่งสายตาเป็นประกายวิบวับ

“นี่คุณ อยู่กันมาตั้งนาน คิดว่าเสียเงินซื้ออวัยวะชิ้นเล็กๆ ของฉลามมากินด้วยราคาแสนแพงหรอ บ้าบอไปนะเป” แม่งยักคิ้วส่งท้าย ผมแกล้งเชิดหน้าหนีไปทางอื่น แต่ก็เจอใบหน้ายิ้มสายตาเย้าของนายต้นสนรออยู่ ก็เลยต้องชักหน้ากลับมาหานายค้ำจุนเหมือนเดิม

“ก็ได้ จัดอะไรยังไงมั่งอ่ะ”

“ยิมโน (*) นึกออกมั้ยหน้าตายังไง?”

“ไม่”

“แบบนี้” เขายกกระถางน้อยๆ มาชูให้เห็นในระดับสายตา ... เจ้านี่คือยิมโน รากศัพท์คืออะไรก็ไม่รู้เหมือนกันครับ สะกดยังไงก็ไม่กล้าประมวลเองในหัว เอาไว้ค่อยเปิดหาในเน็ตก็แล้วกัน ผมจ้องมองไอ้ตัวมีหนามแหลมบนกลีบอย่างตั้งใจ นายค้ำจุนคงสัมผัสได้ถึงภาวะพร้อมเรียนรู้ ถึงได้อธิบายต่อ
“เอากระบะที่มีไอ้พวกนี้ ไว้ตรงนั้น” มือไม้เขาช่วยกันทำงานเสียจนผมมองตามไม่ทันเลยครับ 
“แยกออกมั้ยคุณ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีป้ายเขียนบอกหรอ”

“มีสิ” เขาตอบหน้าตาย ส่วนผมนั้นเริ่มอยากฆ่าเขาให้ตายครับ พอรู้ว่ามีป้ายกำกับในแต่ละกระบะที่นายต้นสนยกลงจากรถเข็นแล้ว ผมก็เบาใจ และเดินไปสอดส่องสังเกตการณ์ เพื่อให้การมาอยู่ในที่แห่งนี้ วันนี้ เวลานี้ มีประโยชน์สูงสุด ผมไม่ได้หวังอะไรกับเงินเกือบแสนที่เขาเพิ่งได้รับหรอกนะครับ

“ยิมโม...ยิมโล....ยิมอะไรวะ ลืม” ผมพึมพำอยู่คนเดียว ระหว่างเปิดแฟลชจากมือถือเพื่อส่องหาชื่อไอ้ต้นไม้ที่เขาสั่งให้ผมช่วยยกมันไปโชว์ตัว

ไหนว่าเขียนกำกับไว้ไง ไม่เห็นเลย ย.ยักษ์สักตัวก็ไม่มี เพราะแม่งเขียนด้วยภาษาอังกฤษ

“อยู่นี่เป” นายต้นปรากฏตัวขึ้นพร้อมยื่นมือช่วยเหลือ ผมหันไปหาพร้อมส่งสายตายินดียิ่งไปให้ นายคนนี้ก็ส่งยิ้มกว้างกลับมาเช่นเดิม คงดีใจมากสิที่มีคนช่วยเพิ่ม ก่อนหน้านี้ที่เขาต้องขายของกับเพื่อนที่หน้าเป็นตูดและกวนตีนเป็นที่สุด เขาคงเหนื่อยน่าดู ต้นสนที่น่าสงสาร

“เฮ้ย ขอบใจนะ” ผมยิ้มอย่างจริงจัง ก้มมองชื่อที่นายค้ำจุนบอกว่าเขียนกำกับไว้แล้ว ….Gymnocalycium…. อืม ผมไม่คิดว่าตัวเองโง่หรอกนะครับที่หาพวกมันไม่เจอแม้จะมีป้ายกำกับไว้แล้วก็ตาม ไอ้ห่า ชื่อจะเขียนยากอ่านยากไปไหนวะเนี่ย
“เฮ้ยต้น แล้วพวกนี้มันก็ยิมโนเหมือนกันหมดหรอ”

“อื้อ พันธุ์หลักเดียวกันหมดเลย”

“หรอ เฮ้ยแต่มัน...”

“กระบะนั้นเอาออกมาวางหน้าร้านได้เลยเป แป๊บนะ ครับ...อ๋อๆๆ ต้นที่ฝากเปลี่ยนกระถางให้ใช่มั้ย เอามา เอามาสิครับ จะลืมได้ไง แล้ววันนี้ไม่เอาตัวอื่นด้วยหรอ หยดน้ำญี่ปุ่นมาแล้วนะ ดูมั้ยครับ” แล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่เป็นชื่อสายพันธุ์พวกแคคตัสพวกนี้ ซึ่งผมยิ่งฟังก็ยิ่งงงครับ

ผมมองยิมโนที่สีและรูปลักษณ์ไม่ค่อยเหมือนกันแต่ก็คล้ายกันอย่างไม่มั่นใจสักเท่าไหร จากนั้นก็ยกกระบะยิมโนมาตั้งไว้ที่โต๊ะเหล็กหน้าร้าน

“อุ้ย รอบนี้มาแล้วหรอคะ” น่าจะเป็นลูกค้าเดียวกันกับที่นายต้นสนหันไปรับหน้าเมื่อกี้ล่ะมั้ง เพราะก็ดูไม่มีลูกค้าอื้ออึงหน้าร้านเท่าไหร่ และเธอก็เป็นคนเดียวที่เป็นผู้หญิง นอกนั้นก็ผู้ชายแก่ๆ

“ครับ” พ่อค้าชื่อว่าค้ำจุนเป็นคนตอบ เขาเดินมายืนเบียดให้ผมพ้นห่างกระบะยิมโนครับ แหม บอกดีๆ ก็ได้ ไม่ต้องดีดกันทันทีแบบนี้หรอกน่า แต่ผมก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ ยืนฟังเขาคุยกับลูกค้าแม้ว่าเขาจะไม่ได้เชิญชวน ที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะสนใจใคร่รู้ข้อมูลต้นไม้นะครับ คือผมไม่รู้จะทำอะไรต่อ เพราะเป็นผู้แปลกปลอมที่สุดในย่านนี้ ผมผู้ไม่อินกับต้นไม้คนนี้ ยืนตรงไหนก็เปล่าประโยชน์ทั้งนั้นแหละ

“แล้วที่ถามไว้ เอามามั้ยคะ?”

“เรดไทเกอร์หรอ
เอามาแล้ว นี่ไง” เออ ก็อยู่ตรงหน้าทำไมมองไม่เห็นวะ อ่อ...ไม่ได้มอง ผมแซวเธอในใจครับ ก็เธอคนนี้ถามหาต้นไม้ที่เคยถามไว้ก่อนแล้ว แต่สายตากลับมองแต่หน้าพ่อค้าซะได้ ผมรู้ว่านายค้ำจุนหน้าตาดี แต่ก็ไม่คิดว่าจะล่อสายตาผู้หญิงขนาดนี้ โดยเฉพาะตอนที่เขาพูดถึงต้นไม้อย่างจดจ่อ .... ขนาดผมเป็นผู้ชาย ผมยังคิดว่าเขามีเสน่ห์ที่สุดแม้จะยืนประชันความหล่อกับยิมโนก็ตาม

“อ๋ออ... จริงด้วย ราคาเท่าไหร่คะ” เธอชี้เป้าหมาย แววตาดูมีความสุขเชียวครับ

“1,800 ครับ” และความสุขก็หายไปทันทีที่หญิงสาวคนนี้ปิดตาและถอนหายใจ แสดงว่าแม่งแพงมากแน่ๆ ลูกค้าจะด่าพ่อค้ามั้ยวะ ราคานี่กินฟูจิได้มื้อนึงเลย

“ต้นยังเล็กอยู่เลย ลดให้หน่อยไม่ได้หรอคะ”

“ลดให้ 50 บาท” ไอ้ห่านี่อยากขายของแน่หรอวะ? ผมล่ะสงสัย แต่ที่สงสัยกว่านั้นก็คือคุณลูกค้านี่แหละครับ

“โหยยยย
อยากได้จริงๆ อ่ะค่ะ มาถามหลายรอบแล้วก็น่าจะจำได้”

“ครับ จำได้
อยากได้ก็ซื้อเลยสิครับ
หรือสีด่างยังไม่สวยพอ
งั้นก็ต้องดูร้านดังแล้วแหละครับ ร้านนี้ก็มีเท่านี้”  นี่เขาโกรธลูกค้าหรอวะเนี่ย?  ไอ้บ้านี่เป็นพ่อค้าได้ยังไงวะ?

“ฮือออ” ผู้หญิงคนนี้คร่ำครวญครับ ผมล่ะไม่เข้าใจเลยว่าจะยื้ออารมณ์กันทำไม อยากได้ก็ซื้อสิ ไม่พอใจก็ไม่ต้องซื้อ ต่อราคาแล้วยังซื้อไม่ลงก็เชิดใส่พ่อค้าไปแม่งเลย ทำสิครับ ทำเลย!
“โอเค พันเจ็ดถ้วนก็ไม่ได้หรอคะ”

“พันแปดไปเลยไม่ได้หรอ ถ้าคิดว่าห้าสิบบาทมันไม่ได้มากมูลค่าขนาดนั้น”

“โหยยยยย พ่อค้าอ่ะ” เป็นผม ผมตบแม่งจริงๆ ครับ คนห่าอะไร กวนส้นตีน

“ฮึ ฮึ” นายค้ำจุนขำครับ คนห่าอะไรขำเหมือนสะอึก แต่ลูกค้าคนนี้กลับดูพึงใจแปลกๆ  เธอเล่นหูเล่นตาเล็กน้อย หันมองต้นอื่นๆ อีกนิด แล้วก็ปิดดีล

“รับไทเกอร์นี่แหละค่ะ
แถมลูกชุบด่างให้ด้วยได้มั้ยล่ะ”

“อ่อ ได้ เดี๋ยวแถมไปให้ครับ
ไม่ดูยิมเดนูดาตัมไปด้วยหรอครับ ตัวนี้ฟอร์มหนามสวยมาก สายพันธุ์ญี่ปุ่น”

“นี่หรอคะ”

“ครับ หนามหนามาก ฟอร์มสวย ผิวเต่งมันด้วย”

“สวยขนาดนี้จะค่าตัวเท่าไหร่ล่ะ”

“1,500”

“แต่ละตัวที่แนะนำนี่.....”

“สวยจริงๆ ครับ”  แล้วทำไมต้องมองหน้าลูกค้าด้วยวะ? ไม่ได้กำลังพูดถึงต้นไม้หรอ ผมผู้ยังยืนเป็นก้างขวางคอใครโดยไม่รู้ตัว ได้แต่มองหน้าหญิงชายคู่นี้สลับกันไปอย่างไม่คิดจะวางสายตา

“งั้น...ลดให้”

“อย่าต่อเลยครับ
เวลาพวกผมดูแลประคบประหงมก็ไม่เคยต่อรองอะไรกับต้นทุนพวกเขาเลยนะ
สวยผมก็บอกว่าสวย ไม่สวยผมก็ไม่โกหกว่าสวย
ถ้าชอบแล้ว เห็นแล้วอยากรับไปดูแลต่อ ก็ตามราคาแหละครับ”

“โอเคคคคค เอา 2 ต้นนั่นแหละค่ะ เจอกันอีกทีเดือนหน้าก็แล้วกันงั้น ตังค์หมด”

“ครับ เดี๋ยวหาตัวสวยๆ ไว้รอ
เรามีเพจแล้วนะ ไอ้ตัวนู้นมันดูแล น่าจะมีอะไรอัพเดทมากขึ้น
ฝากติดตามด้วยนะ ตามด้านหลังป้ายชื่อเลย”

“อ่ออ โอเคค่ะ เดี๋ยวติดตาม
แล้วถ้ามีเรื่องสงสัย ถามทางอินบ๊อกได้ใช่มั้ยคะ”

“ได้เลยครับ ไอ้ตัวนู้นมันว่างพอ”

“แล้วตัวนี้ล่ะคะ?”

“เอ๊ะ ครับ?”

“อ๋อ ตัวนี้เท่าไหร่” เธอชี้ที่กระถางเล็กๆ ใบหนึ่งในกระบะยิมโน ช่างเป็นการไขสือที่โจ่งแจ้งจริงๆ ครับ ผมรู้ว่านายค้ำจุนรู้ตัวว่าโดนจีบ และลูกค้าผู้หญิงคนนี้ก็รู้ด้วยว่ากำลังถูกบ่ายเบี่ยง

พ่อค้าจับกระถางที่ได้รับเลือกมาห่อด้วยกระดาษที่ตัดเตรียมไว้อย่างชำนาญ และก็ใส่ลงถุงพลาสติก จากนั้นก็ยื่นให้ลูกค้าที่หยิบเงินด้วยสีหน้าที่ทั้งชื่นใจทั้งปวดใจกับจำนวนเงินที่จ่าย

“ฝากดูแลด้วยนะครับ สังเกตเขาบ่อยๆ ถ้าเจออาการแปลกๆ ก็ถามมาได้เลย หรือเอามาให้ดูที่ร้านก็ได้”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอบอกส่งท้ายแล้วก็เดินจากไป นายค้ำจุนก้มลงมาสนใจต้นไม้ในกระบะอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ยกมาจัดวาง แล้วก็หันมองผม จากนั้นก็เอ่ยคำที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน

“จัดร้านเสร็จแล้วหรอคุณ”

“ร้านผมซะที่ไหน ก็แค่แวะมาดูเงินเกือบแสน”

“ฮึ” เสียงเหมือนสะอึกนี้ ไม่สามารถแปลได้ว่าเขากำลังหัวเราะได้เลยครับ แปลว่า -เยาะ- เท่านั้น
“ยังไม่เสร็จก็จัดต่อสิ เพิ่งห้าโมงกว่าเอง ทำงานให้คุ้มค่าข้าวที่จะเลี้ยงหน่อย”

“ถามจริงเหอะ จะพาไปกินอะไร?”

“อิ่มก็แล้วกันน่า”

“บอกมาก่อนดิ ร้านไหน ข้างทางไม่เอา” ผมยืนกรานความกระเพาะพรีเมี่ยมให้เขาได้รู้ อีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจใส่ แถมด้วยอาการส่ายหน้าใส่ และอบรมกันสั้นๆ ว่า

“กินแล้วก็ขี้อยู่ดี จะกินหรูอยู่แพงให้ได้อะไร ไปจัดร้านสิคุณ เร็ว”

โถ่เอ้ย! รู้งี้ไม่มาหรอก เงินก็ไม่ได้เห็นเพราะแม่งโอนให้กัน แถมต้องมาช่วยทำอะไรก็ไม่รู้ ผมบ่นในใจ แต่ก็ก้มหน้าก้มตาช่วยเขายกกระบะต้นไม้มาวางโชว์ตัว

จะว่าได้ความรู้ไปด้วยก็ไม่เชิงหรอกครับ แม้ว่าระหว่างจัดวางต้นไม้ตัวสวยอยู่นั้นนายค้ำจุนจะมาคอยบรีฟสั้นๆ เกี่ยวกับชื่อสายพันธุ์ จุดเด่น ระดับราคา ลักษณะทางประชากรศาสตร์ (เขาใช้คำนี้จริงๆ ครับ) ของลูกค้าที่น่าจะมาถามถึง แต่เป็นเพราะผมไม่ได้อิน ผมก็เลยไม่ได้ความรู้สักอย่าง

แต่ประโยชน์ของการพูดกรอกหูอยู่ร่วมชั่วโมงก็มีครับ อย่างน้อยๆ ผมก็สามารถผายมือให้กับลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่มาถามหาฮาโวเทีย (***) ได้ เก่งใช่มั้ยล่ะ?

ดึกคืนนี้  2 พ่อค้าดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พวกเขาผลัดกันหันมามองผมแล้วก็ส่งยิ้มให้ ผมว่าผมก็ไม่ได้ทำอะไรพิเศษให้พวกเขา และก็ไม่ได้หวังผลอะไร(มากนัก)จากการกระทำครั้งนี้ แต่ก็นั่นแหละครับ คนเก่งและดีอยู่ที่ไหนใครก็เอ็นดู ฮ่าๆๆๆๆ

รางวัลตอบแทนคนดีคนนี้ก็คือ ข้าวต้มรอบดึกครับ กับข้าวไม่อั้นด้วย เจ้ามือคือนายค้ำจุนและนายต้นสน แขกคนสำคัญคือผมแต่เพียงผู้เดียว

“อื้อคุณ ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อวาน ลืมไปเลย มัวแต่หัวร้อนกัน” ผมเปิดประเด็นใหม่หลังจากจัดการย้ำปลากรอบสามรสไปเกลี้ยง พร้อมๆ กับปูผัดผงกระหรี่ หมูสับผัดหนำเลี๊ยบ และหอยลายผัดพริกเผา ตอนนี้นายต้นสนกำลังเล็มผัดผักบุ้งไฟแดงอยู่ และยังมียำปลาดูกฟูรอเขาอยู่อีกจาน

“อื้อว่า” นายค้ำจุนตอบ เพิ่งรู้วันนี้แหละครับว่าเขาเป็นสายเบียร์ หมอนี่ข้าวต้มไม่ค่อยพร่อง กับก็กินไปพอประมาณ แต่เบียร์ 6 กระป๋อง ตรงหน้าเนี่ย....แน่ใจมั้ยว่ายังฟังรู้เรื่อง

“อีกหน่อยเราคงเจอกันถี่ขึ้นนะ”

“กว่านี้อีกหรอ? นี่ผมก็เห็นหน้าคุณทุกเช้าทุกคืนแล้วนะ”

“เออ กว่านี้อีก บางวันก็จะได้เจอ 3 เวลาหลังอาหารด้วยนะคุณ
คืองี้ ลูกค้าใหม่ผมเนี่ย คือบริษัทคุณ”

“.............”

“อ่อ ผมหมายถึงบริษัทพี่ทัศน์ไง”

“อ๋ออออ” ที่อึ้งนี่เพราะเบียร์แน่ๆ ถ้าตอนสติเต็ม เขาน่าจะเดาได้สิว่าผมหมายถึงบริษัทที่คุณทำงานอยู่
“สรุปเป็นบริษัทคุณหรอ ที่มาดูแลด้านไออาร์ (**)
แต่เราคงไม่ได้เจอกันบ่อยหรอก เพราะผมไม่ได้อยู่ฝ่ายอะไรที่เกี่ยวกับสื่อสารองค์กรเทือกๆ นั้น คุณคงเจออีกทีม”

“ก็รู้ แต่ถ้าผมแวะไปประชุมงาน รับบรีฟ หรืออะไรก็ตามแต่ เราไปกินข้าวกันนะ
บริษัทนี้ไม่ซีเรียสเรื่องเวลาพักนี่นา แล้วอีกอย่าง ระดับคุณด้วย คงไม่มีใครว่าหรอก”

“ระดับผม? ผมระดับไหนหรอ?”

“ก็...หลานเจ้าของ”

“พูดบ้าๆ” ไม่ด่าเปล่าครับ ผลักหัวกันจนตัวเอียง
“ผมก็แค่ระดับผู้จัดการโปรเจค เป็นหลานน้าโจ้แล้วยังไง ไม่เห็นเกี่ยว”

“อ่อๆๆ ไม่ชอบถูกมองเป็นเด็กเส้นสินะ”

“นี่คุณ....”

“เอาน่าเป เรื่องนี้อย่าไปย้ำมัน มันอุตส่าห์พิสูจน์ตัวทุกอย่างจนแทบกระอักเลือดตาย เชื่อมันเถอะ” นายต้นสนห้ามศึกฝีปากและอารมณ์เอาไว้ เขารินเบียร์ใส่แก้วแล้วกระดกอึกใหญ่ ผมก็เลยพูดต่อ

“ก็ไม่ได้อยากจะย้ำอะไร ผมแค่อยากมีเพื่อนกินข้าวเวลาเข้าไปที่บริษัทคุณ เอ้ย! บริษัทพี่ทัศน์ไง ก็อยากเมคชัวร์ว่าคุณยินดีมากินข้าวด้วยกัน”

“อ๋อ....เอาสิ ที่นี่ไม่ได้ซีเรียสเวลาพักอยู่แล้ว
คุณมาก็ดีนะ เดี๋ยวพาไปร้านประจำผม แต่เอ๊ะ คุณก็เคยทำงานที่นี่นี่นา อยู่นานกว่าผมด้วยมั้ง น่าจะรู้จักแถวนั้นดีกว่า”

“มันก็อาจจะมีอะไรเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ไง ไว้ค่อยไปลองกันว่าร้านประจำใครเด็ดกว่า คุณอย่าเพิ่งเฉลยนะว่าของคุณร้านไหน เอาไว้พาผมไปลอง ดีป่ะ?”

“อื้อ ก็ดี
เอาไรอีกมั้ย สั่งอีกได้นะ วันนี้ขายดี
รู้ป่ะ คุณนี่ก็เป็นนางกวักได้เหมือนกันนะเนี่ย
ขายต้นไม้กับไอ้ต้นมาหลายปี หายากนะที่วันนึงได้เงินแสนกว่าเนี่ย”

“ทำไมแสนกว่า?”

“ก็ออเดอร์ใหญ่ตอนเย็น และที่ขายหน้าร้านได้อีกหลายหมื่นเลย
ฮาตัวท้อปก็ขายได้ ยิมด่างขายได้ตั้งหลายต้น ไหนจะพวกยูโฟเบียอีก
เออ ไอ้ต้น กูเอาทูเรียตัวนั้นมาขายแล้ว ตั้งไป 2,500 แม่งได้ว่ะ บอนไซมึงก็ขายได้ตั้งหลายต้น โคตรรู้สีกดีอ่ะ
ถ้าไม่เรียกนางกวักแล้วจะให้เรียกอะไรล่ะ นางฟ้าหรอ? เนอะต้นเนอะ ” แล้ว 2 พ่อค้าก็มองผมตาเชื่อม ไม่ได้หลงเสน่ห์ผมหรอกครับ เดาว่าเมาเบียร์

“อ่อ ผมก็เลยได้กินข้าวต้มหน้าคอนโดสินะ
ได้ตั้งแสนกว่า เลี้ยงข้าวต้มผมเนี่ย สมเหตุสมผลหรอคุณ”

“สมสิ อย่าวัดกันที่ราคาถูกหรือแพงสิคุณ
มันอยู่ที่ความรู้สึก
ไงก็เถอะ ขอบคุณมากนะเปล

“หา อ่อ...อื้อ ไม่เป็นไร
ก็....เพื่อนกัน

เรา...ยกระดับความสัมพันธ์กันแล้วครับ


Cut


(*) ยิมโน = Gymnocalycium : แคคตัสสายพันธุ์หนึ่ง
(**) ไออาร์ = Investor Relation หรือ นักลงทุนสัมพันธ์
(***) ฮาโวเทีย = Haworthia : พืชอวบน้ำ เป็นต้นไม้ตระกูลเดียวกับแคคตัส


Happy New Year ย้อนหลังค่ะ
Welcoming 2019 ไปด้วยกันนะคะ อย่าเพิ่งจืดจางห่างเหินกับเรานัก อย่าใจร้ายกับเราเลย 5555

ตอนนี้มาต่อเร็วแล้วนะคะ เลขนี้เป็นเลขที่ชอบสุดด้วย
ผ่านก็เป็นนิยายเกิน1 โหลแล้ว พระนายของเราเพิ่งใกล้กันระดับ "เพื่อน" เท่านั้นเอง
โถๆๆ ความสัมพันธ์นี้ช่างเหมือนกับอัตราการเคลื่อนตัวของหอยทากจริงๆ

ฝากติดตามพัฒนาการของพวกเขาทั้งคู่ด้วยนะคะ
สำหรับคำอธิบายใน * นั้น หาได้ในกูเกิลเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 13 (060119)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 06-01-2019 01:38:22
เป็นเพื่อนกันแล้ว เมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันค๊ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 13 (060119)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-01-2019 11:12:59
ขำเป ตามไปดูเงินหมื่น แต่ไม่เห็นเพราะเขาโอนให้กัน อิอิอิ
แถมยังเลี้ยงข้าวต้มหน้าคอนโดอีก นึกว่าพาไปกินร้านหรู
ต้นสน.. นี่จอมชงเลยนะ มีแต่เปเท่านั้นที่ยังไม่รู้ตัว
 :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 13 (060119)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 06-01-2019 23:47:22
เป ขอร้อง 555555555555555555555
เป็นเพื่อนกันแล้วๆๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 13 (060119)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 08-01-2019 10:27:55

 :katai2-1: นี่ได้อยู่ด้วยกันก็แทบจะ 24 ชมเลยนะนั่น  แต่แค่เพื่อนค่ะ 5555555555 ไม่เป็นไรๆ เรารอไปเรื่อยๆได้
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 13 (060119)
เริ่มหัวข้อโดย: chap ที่ 08-01-2019 21:09:05
เพื่อนกันเนอะเพื่อนกัน  o18
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 13 (060119)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-01-2019 16:01:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 13 (060119)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-01-2019 02:49:10
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 13 (060119)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 14-04-2019 22:32:12
เอ็นดูน้องเปลนางกวัก
ชอบเวลาจุนเปลอยู่ด้วยกันมากๆเลยค่ะ
ถ้าครบหกเดือนแล้วเปลี่ยนสัญญาเป็นอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตเลยไหมจ๊ะ หุหุ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 14 (250519)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 25-05-2019 22:21:12
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [14]


การตาย กับการหลับเป็นตาย น่าจะคล้ายๆ กัน
ผมตื่นมาสักพักแล้วครับ แต่ว่ายังไม่ได้ลุกจากเตียง
ห้องนอนผมแท้ๆ แต่กลับมีเสียงกรนเซ็งแซ่ทั้งที่ผมกำลังตื่นอยู่
กรอกตาไม่กี่หน ผมก็ลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความมืด
เสียงกรนยังมีต่อเนื่อง มันไม่บางลงเลยแม้ว่าจะมีมนุษย์อีกคนลุกขึ้นนั่งบนเตียงเคียงกับผม

“หนวกหูเนอะ”

“อืมดิ” ผมตอบรับคำชวนวิพากษ์สถานการณ์ อีกคนที่ฟื้นสติแล้วหยิบโทรศัพท์มากดดู จากนั้นก็รายงานต่อ

“ตีสองอ่ะ ขอโทษนะคุณ”

“นั่นดิ” ผมตอบรับคล้ายๆ เดิม ไม่หันมองหน้าเขาเพราะในห้องที่เราอยู่กันนี้มันมืด

“เอาไงดีอ่ะ”

“ก็ต้องนอนต่ออ่ะ พรุ่งนี้ทำงาน”

“แต่ไอ้ต้น”

“ก็เออ นั่นดิ ไอ้ต้น” ผมรู้สึกหนักหัว อยากหลับต่อ แต่เสียงรกหูก็คงไม่หยุดลงง่ายๆ

“ปลุกมันไปนอนข้างนอกดีมั้ย”

“จะตื่นหรอคุณ ลึกขนาดนี้”

“ก็ออ นั่นดิ” นายค้ำจุนลอกคำผมบ้าง

ผมถอนหายใจ เขาก็ถอนหายใจในจังหวะเดียวกัน จบเสียงเฮ้ออันเหนื่อยหน่าย นายค้ำจุนก็วางแผนครับ

“ไปนอนห้องผมเถอะ”

“แต่มีต้นไม้”

“แค่นิดหน่อย ไม่ทำให้เราหายใจไม่ออกตายหรอกคุณ เดี๋ยวลากมาไว้หน้าโซฟาก็ได้  2 กระถางเอง
ไอ้ต้นมันไปไกลมากแล้ว เชื่อเถอะ ปลุกไม่ตื่นหรอก ต่อให้ตื่นมันก็หลับใหม่อย่างง่ายดาย แล้วก็กรนต่อ”

“งั้นไปนอนห้องคุณกันเถอะ” ผมเอออออย่างงัวเงีย ลุกจากเตียงตามแรงดึง เดินออกจากห้องตามแรงจูง และเอนตัวลงบนเตียงนอนในอีกห้องหนึ่งตามแรงผลัก

ผมไม่ใยดีว่านายค้ำจุนจะย้ายต้นไม้ไว้ที่ไหน พื้นเป็นรอยมั้ย แล้วเมื่อกลับเข้าห้องมาแล้วเขาจะนอนตรงมุมไหน ผมช่างแม่งมันทุกอย่างเพราะความง่วงและความเหนื่อยล้าจากการทำงานเล่นงานเอา


ตื่นมาอีกทีก็ค่อนไปทางสายแล้วครับ ดีว่าวันนี้ งานแรกของวันเกิดขึ้นที่บริษัทนายค้ำจุน เอ้ย! บริษัทพี่นิทัศน์ ผมนัดกับยาดาที่บริษัทลูกค้าตอน 10 โมงเช้า เรามีประชุมร่วมกันกับทีมพีอาร์องค์กรและทีมบริหารครับ

ผมตื่นเพราะเสียงคุยกันโหวกเหวกแว่วเข้าหู ตัดสินใจเปิดประตูมาอวดสติตัวเองจึงได้เจอกับไทยไฟท์คู่เด็ด

“มึงนั่นแหละไอ้ต้น ชีวิตกูกับเปจะดีมากถ้าเมื่อคืนมึงไม่ขัดขึ้นมา ลั่นขนาดนั้นจะให้พวกกูนอนกันต่อได้ไง กูนึกว่าแผ่นดินทรุด ครืดคราดเก่ง มึงตั้งใจเกิดมาเป็นใบผาลถากหน้าดินหรอ ครืดคราดอยู่ได้ทั้งคืน” ภาษาด่าอะไรวะเนี่ย ผมฟังไปงงไป นายต้นหันหน้าโกรธมามองผมแล้วก็สะบัดใส่ เอ่อ...โทษนะ คุณมึงกี่ขวบแล้วต้น

“ก็ปลุกกูสิ”

“ต้น มึง.....พูดออกมาได้ไง ปลุกสิ
มึงไม่รู้ตัวนี่ว่ากูเขย่ามึงแรงกว่าเซียมซีศาลเจ้า
พวกกูก็เหนื่อยกันมั้ย ง่วงก็ง่วง ยังต้องมาอีโวร่างเพื่อเรียกพลังปลุกมึงอีกเนี่ยนะ
เลิกงอแงได้แล้ว ไปเยี่ยวให้เสร็จๆ พวกกูต้องไปทำงาน”

“ใช่สิ!” ทิ้งไว้เท่านี้แล้วก็เดินอาดๆ ไปเข้าห้องน้ำ มีนายค้ำจุนถอนหายใจไล่ตูด เขาเบนความสนใจมาที่ผม เช็คเวลากับนาฬิกาเล็กๆ แล้วก็ส่งสีหน้าขอโทษ

“เอ่อ....คนมันจะกรนอ่ะคุณ อย่าไปว่าอะไรนักเลย ไม่มีใครอยากกรนจนกวนคนอื่นหรอก” ผมทำตัวเป็นกรรมการห้ามศึก

“ก็จะไม่ด่ามันหรอก ถ้าไม่มางอแงน่าเตะ” เขาเกริ่นที่มาที่ไปของอาการเม้งใส่เพื่อน

“ทำไมหรอ”

“มันมางอแงว่าพวกเราทิ้งมันไปนอนกกกัน 2 คน มาว้าเหว่ห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ ไอ้ประสาทแดก
น่าเตะปากมั้ยล่ะ ใครนอนกกใคร พูดหมาๆ ใช่มั้ยล่ะคุณ”

“เออ หมา ไม่ได้กกกันซะหน่อย ก็นอนปกติ”

“นั่นดิ”

แล้วก็เงียบครับ....ผมไม่รู้ว่าเขาเงียบลงเพราะอะไร แต่ผมเนี่ย เงียบไปเพราะนึกย้อนอยู่ว่าเมื่อคืนนอนยังไงวะ? แต่ตื่นมาก็รู้สึกปกตินะ

ตัวผม ซึ่งเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนคบใครยาก ตอนนี้กลับไม่รู้สึกประดักประเดิดใดๆ กับที่มีใครก็ไม่รู้ เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง มาแชร์พื้นที่ส่วนตัว
ผมไม่ได้หมายถึงนายค้ำจุนครับ ตอนนี้นายต้นสนเองก็ดูเหมือนชินชาหนังหน้าแล้ว เวลาพูดว่า คืนนี้ขอค้างด้วยนะเป

มื้อเช้าเช้านี้ ใครสนิทกับห้องนี้น้อยที่สุดเป็นคนทำ พรมแดงเลยทิ้งตัวลาดยาวสู่ปลายเท้านายต้นสนครับ ส่วนผมและเพื่อนของเขาก็นั่งรอกิน

สิ่งที่นายต้นสนบันดาลมาให้ตรงหน้าก็โอเคครับ พอกินได้ ขนมปังปิ้งกับนมที่ซื้อตุนติดตู้เย็นกันไว้ตั้งแต่ต้นเดือน

“แล้วมึงกลับบ้านมึงเลยมั้ย” นายค้ำจุนที่ยังกัดขนมปังปิ้งปาดแยมส้มคาปากอยู่ถามเพื่อน ส่วนผมซึ่งกินนำไปแล้วครึ่งแผ่นก็หันไปรอคำตอบของนายต้นสนเหมือนกัน

“เดี๋ยวจะไปบ้านพี่ปรีก่อน แกชวนไปดูฟรองซัวร์ แกผสมเอง เห็นว่าได้ด่าง”

“หรอวะ?” ไม่ใช่แค่เสียงหรอกครับที่ฟังก็รู้ว่าโคตรตื่นเต้น อาการแทบจะทิ้งขนมปังที่ห้อยอยู่ปลายขบฟันบอกกันได้ดี นายค้ำจุนที่โคตรบ้าต้นไม้

“อ่า....แล้วสรุป คุณจะไปทำงานหรือไปดูด่างกับต้นเนี่ย” ผมขอคำตอบครับ จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่สนใจ แต่ที่ต้องรู้ก็เพราะว่าการไปทำงานหรือไม่ไปทำงานของนายค้ำจุนนั้น มีผลกับการเดินทางของผมวันนี้

ผมนัดประชุมกับลูกค้าตอน 10.00 น.ครับ และลูกค้าที่ว่า ก็คือบริษัทนายค้ำจุน เอ้ย! บริษัทที่นายค้ำจุนทำงานอยู่นั่นแหละ

“อ่อ... คุณมีประชุมที่บริษัทผมนี่นา” แหนะ สุดท้ายก็ยอมรับแล้วสิว่าเรียกแบบนี้มันง่ายกว่า ผมพยักหน้ารับการตระหนักรู้ (สักที) ของเขา แล้วก็ทำตาโตขอคำตอบอย่างเป็นทางการ
“แต่ผมไม่ต้องเข้าประชุมด้วยนี่ ใช่มั้ย?”

“ผิดแล้ว คุณนั่นแหละเจ้าภาพ” ผมย้ำข้อเท็จจริงให้เขาได้รู้

“เอ๊ะหรอ?”

“ก็เออสิ”

“งั้นผมยกเลิกก็ไม่น่าเกลียดน่ะสิ เจ้าภาพย่อมมีสิทธิตัดสินใจ”​

เอาจริงดิ? หน้าผมคงบอกเขาแบบนี้แน่ๆ นายค้ำจุนถึงได้หัวเราะออกมาในท้ายที่สุด

“ล้อเล่นน่า ผมรู้หรอกว่าอะไรสำคัญกว่ากัน”

“ประชุม?”

“ไปดูด่างสิคุณ!”

ไอ้เวร!!!! คงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าผมด่าใคร

สุดท้าย นายต้นสนก็เป็นคนไกล่เกลี่ยครับ ไม่อย่างนั้นพวกผมคงด่ากันอ้อมๆ จนไม่จบเรื่องกันเสียที สรุปแล้ว นายค้ำจุนไปดูด่างไม่ได้เพราะต้องประชุมกับผมก่อน แน่นอนว่านายต้นสนเชื่อว่าผมสำคัญกว่าต้นไม้อยู่แล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นความคิดที่เข้าท่าที่สุดที่เขามี

นายต้นสนแยกตัวไปตามเส้นทางสายด่าง ส่วนผมและเพื่อนสนิทของเขา ติดแหงกกันอยู่บนถนนครับ แม้เราจะเร่งรีบ แต่ก็ทำอะไรกับการจราจรที่แน่นขนัดแบบนี้ไม่ได้ ทำได้ดีสุดก็คือการเอนจอยไปกับมัน นั่นก็คือการฟังเพลงกันไปเพลินๆ เงียบๆ ครับ

“หลับก็ได้นะคุณ เดี๋ยวถึงแล้วปลุก หรือจะให้ปลุกก่อนหน้านั้นเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของพีอาร์” หมอนี่คงหลงใหลการทำเกษตรมากๆ แน่นอน เอะอะก็ถากถาง และผมก็เป็นคนครับ ไม่ใช่วัชพืช เลยไม่นึก ปลื้มฝีปากเขา แต่สิ่งที่เลือกแสดงออกก็แค่เหล่มองเท่านั้น ยอมรับก็ได้ว่ายังง่วงอยู่ ก็เมื่อคืนนี้ไม่ได้หลับยาวนี่ครับ มีเสียงแห่เรือยาวมารบกวน
“หลับได้จริงๆ คุณ ติดขนาดนี้ อีกสักครึ่งชั่วโมงแหละ กว่าจะถึง”

“งั้นหลับนะ”

“ใจจืดขนาดนั้นก็เอาสิ”  แหม แล้วปากดีมาบอกให้หลับ ผมขำฮึเย้ยเขา นั่งกอดอกถ่างตาเปิดหูอยู่ข้างคนขับที่หน้าง่วงไม่แพ้กันไปตลอดทาง

ถึงบริษัทเขาก็เกือบถึงเวลาประชุมแล้ว ผมโทรเช็คยาดาว่าอยู่พิกัดไหนของโลก เพื่อนผู้มากความรับผิดชอบบอกว่ามาถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว นั่นทำให้ผมรู้สึกชนะเจ้าภาพผู้จัดการประชุมขึ้นมาทันที ผมและนายค้ำจุนแยกกันตั้งแต่ชั้นจอดรถ เขาต้องเข้าฝ่ายเขาก่อน ส่วนผมรีบเร่งฝีเท้าไปหายาดาที่ห้องประชุมหลักซึ่งอยู่คนละชั้นกัน

“เหนื่อยมาเลยนะ” ยาดาทักทายอย่างน่าเอ็นดูครับ ผมยักคิ้วยอมรับสภาพ ชี้ขวดน้ำเปล่าที่วางประจำตำแหน่งเก้าอี้เป็นเชิงถามว่า ดื่มได้มั้ย? เมื่อเพื่อนพยักหน้ารับรองว่ามันเป็นน้ำที่ดื่มได้ ผมก็ดื่มน้ำดับความเหนื่อยทันที
“แล้วมายังไง”

“มากับจุน” ตอบเท่านี้แล้วก็กระดกขวดดื่มน้ำอีกอึกใหญ่

“อ่อ เราก็ลืมไปว่าอยู่ด้วยกัน จริงๆ ก็นึกได้ตั้งแต่เริ่มห่วงว่าเปจะมาสายแล้วแหละ เกือบจะโทรหาแล้ว แต่นึกได้ก่อนว่าเปกับจุนอยู่กินกันแล้ว”

“ดา ขอเถอะว่ะ อย่าอำเรื่องนี้ได้มั้ย  ไม่ตลก”

“ใช่ ไม่ตลก น่ารักออก”

“ไอ้ยาดา”

“จ้าๆ ไม่อำก็ได้ ใครเขาเอาเรื่องจริงมาพูดเล่นกัน เนอะเปเนอะ”

“ไอ้ดา”

เขม่นใส่ให้ตายไปข้างนึง ผมก็เชื่อว่าเพื่อนไม่เลิกอำหรอกครับ มันคงเป็นเรื่องสนุกสำหรับเพื่อน แต่มันไม่ค่อยสนุกสำหรับผมนักหรอก

อยู่กินกัน นั่นมันคำของผัวเมีย ซึ่งผมกับนายค้ำจุนไม่ใช่

ยาดาหัวเราะส่งท้าย จากนั้นก็กางแผนประชุมขึ้นมาเพื่อทวนงานกันอีกรอบ

ลูกค้ารายนี้เพิ่งเซ็นสัญญาจ้างพวกผมมาดูแลเรื่องงานพีอาร์ครับ วันนี้นัดประชุมกันครั้งแรกเพื่อรับฟังว่าลูกค้าต้องการสื่อสารต่อสาธารณะเรื่องอะไรบ้าง จะได้วางแผนเกี่ยวกับช่องทางการสื่อสาร และรูปแบบคอนเทนท์กันได้อย่างเหมาะสม

ผู้เข้าร่วมประชุมวันนี้ มีตั้งแต่ระดับกรรมการผู้จัดการ , ผู้จัดการทั่วไป , สื่อสารองค์กรบริษัท และผู้จัดการโปรเจคระหว่างประเทศครับ ตำแหน่งสุดท้ายที่เอ่ยหมายถึงนายค้ำจุนนั่นเอง

พวกเรานั่งประชุมงานกันอย่างขะมักเขม้น ทุกคนล้วนแสดงความคิดเห็นกันตามบทบาท จะมีล้นบทบาทก็แค่คนเดียวครับ นายค้ำจุน

เขาไม่มองผม ไม่แสดงอาการว่ารู้จักกับผมและยาดามาก่อนแล้วแม้ว่าระดับหัวอีก 2 ท่านที่ร่วมประชุมด้วยจะแสดงออกชัดเจนว่ารู้จักผมกับยาดามาอยู่ก่อนแล้วก็ตาม  ผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าเขาวางทีท่าแบบนี้ทำไม แต่ผมก็ไม่พอใจมากๆ เหมือนกัน

“ก็..ราวๆ นี้แหละเป ดา เดี๋ยวให้ทีมจุนเขาฟอลโลวอัพนะ
หรือมีข้อมูลอะไรที่อยากได้ หรืออยากให้เคลียร์ให้ชัดกว่านี้ ก็บอกจุนไว้ ...
รุ่น ๆ เดียวกันล่ะมั้ง รู้จักกันไว้ซะ”

“ครับ” นายค้ำจุนตอบรับ และก็ทำให้ผมกับยาดาตาพองขึ้นอีกรอบจนได้ นายคนนี้ตบๆ ตามกระเป๋าตัวเอง ทั้งเสื้อเชิ้ต ทั้งสูท ทั้งกางเกง เพื่อล้วงนามบัตรมายื่นให้กับผม

ไอ้เวร นี่ผมนอนกับคนประเภทไหนมาตั้งหลายเดือนวะเนี่ย?
ประโยชน์อะไรกับการทำเป็นไม่รู้จักผมวะเนี่ย​ งงจนคิดหาเหตุผลไหนมาอธิบายไม่ได้แล้วครับ

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ คุณ......” ยาดาเป็นคนยื่นมือไปรับนามบัตรมุมเยินนั้นเอาไว้ รายนี้ไขสือเก่งจนแสดงอาการเอียงคออ่านชื่อบนนามบัตร
“....คุณปวริทธิ์ อ่า มีชื่อเล่นมั้ยคะ?”

ทำดีมากดา อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะกระดากปากบ้างมั้ย แม่งขายต้นไม้ให้ยาดาไปตั้งหลายพันบาทแล้วด้วย

“ค้ำจุน ครับ แต่เรียกจุนดีกว่า
แล้วคุณยาดาล่ะครับ”

“ค่ะ เรียกว่าดา สั้น ๆ ก็ได้ค่ะ
ส่วนนี่ก็.......” เดี๋ยว ๆ ไม่ต้องเผื่อแผ่คำแนะนำตัวกันหรอก
“นี่เปลค่ะ แต่ไม่มีใครกระดกลิ้นให้เกียรติเท่าไหร่ ก็เรียกเปแบบลิ้นแบนๆ ตามชาวโลกแล้วกันนะคะ จุน”

“ครับ”  แล้วก็หัวเราะกันครับ.... ยาดาก็หัวเราะไปพร้อม ๆ กันด้วย ผมค่อนข้างประหลาดที่เพื่อนไม่ประหลาดใจกับพฤติกรรมน่าประหลาดใจของหมอนี่

ทุกอย่างคลี่คลายที่ร้านอาหารครับ จะเรียกว่าร้านอาหารก็ไม่ตรงปกสักเท่าไหร่ ที่นี่ก็คือร้านข้าวแกงพ่วงอาหารตามสั่งนั่นแหละครับ เจ้าถิ่นเขาอาสาพามาทานข้าว ผม ยาดา และนายค้ำจุน จึงมานั่งประชันเหงื่อบนหน้ากันอยู่แบบนี้

“ตอนแรกเราก็เกือบทักทาย แต่เห็นจุนไม่ทำตัวคุ้นหน้ากันเลย ก็เลยดูทรงก่อน ดีนะเนี่ยที่อ่านขาดว่าโดนเขม่นมา”​

“อืม จริง ๆ ก็ไม่ถึงกับโดนเขม่นหรอก แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่เปกับดาต้องมาโดนไปด้วย 
ก็นะ.... ใครๆ เขาก็มองว่าเป็นเด็กเส้น ก็...เซ็ง ๆ ไป ทำได้เท่านี้” เจ้าของประเด็นตอบกลับเหมือนไม่คิดอะไรมาก แต่ผมคิดว่าผมมองไม่เขาผิดหรอก นายค้ำจุนโคตรเครียดเรื่องนี้เลย

“จริง ๆ คุณบอกผมไว้ก่อนก็ได้นะ บอกตามตรงว่าเหวอเลย ในห้องประชุมนั่นผมก็ไม่พอใจท่าทางคุณเลยนะ ดูเหยียดใส่กันอ่ะ” ผมออกโรงบอกความรู้สึกบ้าง นายค้ำจุนหันมายิ้มแหย ยกไหล่ห่อคอ ทำท่าทำทางเหมือนขอโทษขอโพย

“เอาน่าเป  ทุกคนก็มีเหตุผลส่วนตัว แต่สุดท้ายก็มากินข้าวด้วยกันนี่ไง ก็ถือว่าทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการแล้วต่อหน้าธารกำนัล ชนแก้วกัน เย้”

ไม่มีใครเย้ไปกับยาดาหรอกครับ ผมยิ้มบางๆ ให้กับนายค้ำจุนที่ส่งตายิ้มมาขอโทษกันอีกครั้ง

Home*Mate

“มันก็แบบ Excuse me, can I ask? 
และทางนั้นก็ Yeah sure Go ahead.
พอฝรั่งตอบงี้ มันทำไงรู้ป่ะ?” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ นายต้นสนอมยิ้มแล้วก็เล่าเรื่องต่อ

“มันก็....
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”

ใช่ครับ เรากำลังนินทานายค้ำจุนกันอยู่ และตอนนี้ผมไม่รู้จะขำคนต้นเรื่องหรือคนเล่าเรื่องดี อีกคนก็มุกไม่ฮาแต่เพื่อนไม่เครียดด้วย อีกคนก็ไม่สนใจว่าเพื่อนเครียดเอาแต่ฮาอย่างเดียว

“เรื่องตั้งหลายปี มึงก็พูดถึงอยู่ได้ไอ้ต้น” มาแล้วครับเจ้าของเรื่อง ผมหันไปมองนายค้ำจุนที่เดินกลับมาที่ร้านขายต้นไม้ ในมือมีโตเกียวทรงยาวสารพัดไส้ ซึ่งมันของกินรองท้องสำหรับผมคนนี้นี่เอง

“แต่มันก็ขำดีนะคุณ ไม่นึกว่าจะมีมุมแบบนี้”

“มุมอารมณ์ดีมีเสน่ห์น่ะหรอ? ผมมีถมเถ”

“ไม่ดิ หมายถึงมุมเล่นมุขประสาทแดก” ผมกวนตีนกลับด้วยปาก ส่วนมือรีบคว้าถุงโตเกียวที่เขาเดินไปซื้อให้มาไว้แนบอก เรื่องกินเรื่องใหญ่เสมอครับ

นายค้ำจุนยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้าใส่บาง ๆ คงเอือมมารยาทผมล่ะมั้ง เขานั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ ลงมือจัดต้นไม้รอต้อนรับลูกค้าเหมือนวันอังคารอื่น ๆ ที่มาเปิดร้าน

“อื้อคุณ”

“อือ ไรคุณ”

เราเริ่มบทสนทนากันแบบนี้จนชินแล้วครับ ผมไม่รู้สึกว่าการใช้เสียงสั้น ๆ คำห้วน ๆ เป็นอาการไม่สุภาพหรือกวนตีนแต่อย่างไร

“ไม่มีออเดอร์ล็อตใหญ่ ๆ แล้วหรอ เผื่อได้กินข้าวฟรีอีก” ผมหมายถึงเงินเกือบแสนนั่นแหละครับ แบบว่าอยากตื่นเต้นอีกครั้ง แม้จะไม่ได้ค่านายหน้าใด ๆ ก็ตาม

“ก็อยากมีเหมือนกันแหละน่า แต่มันไม่มีมานี่
เหมือนตอนนี้เทรนด์ไปพวกกุหลาบหินนำเข้า”

“หรอ แล้วเราไม่มีหรอ”

“อืม เราไม่ได้เล่นกุหลาบหิน ผมว่ามันดูแลยาก สำหรับผมนะ แต่คนนี้เขาว่าง่าย”

“หรอ”

“อือ”

“หน้าตาไงอ่ะ นำเข้า” ผมถามพลางยืดคอส่งหน้าตัวเองไปจ่อที่โทรศัพท์มือถือที่เขากำไว้ในมือ

“แป๊บนะ” แล้วเจ้าของมือถือก็รู้ตัวครับ เขาตั้งหน้าตั้งตาหารูปกุหลาบหินนำเข้ามาให้ผมศึกษา ปล่อยให้หน้าที่จัดหน้าร้านเป็นของนายต้นสน

พวกมันสวยดีครับ แต่สืบ ๆ ราคาดูแล้ว ผมรีบบอกตัวเองให้หุบปากเรื่องกุหลาบหินเวลาคุยกับยาดาเชียวครับ ไอ้สวยมันก็สวยอยู่หรอก แต่ถ้าเอามาแล้วตาย ก็โคตรเสียดายเงิน ท่าทางพวกมันบอกบางซะด้วยสิ

“เฮ้ย อันนี้น่ารักอ่ะคุณ เหมือนกระต่าย”

“เขาก็เรียกว่ากันว่าหูกระต่ายนะ ชอบหรอ” นายค้ำจุนสบตาถาม สลับกับก้มมองมือถือตัวเองที่อยู่ในมือผม 

“น่ารักดี”

“มันก็น่ารักหมดแหละ แล้วแต่ว่าถูกใจแบบไหนมากกว่า
แต่คุณเลี้ยงไม่รอดหรอก พวกโคโน หรือไลทอป ไม่ตัวแตกโดนต้มก็แห้งตาย”

“โหยยย ดูถูกกันมากอ่ะคุณ”

“ดูไม่ผิดแน่นอน ผมยังเลี้ยงไม่รอดเลย”

“เอามาเลย เอามา ผมจะเลี้ยงหูกระต่ายให้รอดให้ดู” เกิดการท้าทายกันขึ้นจนได้ครับ ยอมรับว่าไม่รู้จักตื้นลึกไอ้หูกระต่ายนี่มากไปกว่าการได้เห็นรูปเมื่อครู่ แต่ผมก็ปากเบาท้าทายไปแล้ว นายค้ำจุนหัวเราะใส่และหันไปบอกโจทย์อันแสนท้าทายของผมให้นายต้นสนรู้เรื่องด้วย นายคนนี้ฟังแล้วปรี่มาหาผมทันที

“เปชอบหรอ จะเลี้ยงหรอ เอาสิ ผมพาไปซื้อ รู้จักร้าน เดินไปนิดเดียวเอง”

“เออ นำไปเลยต้น แม่ง คนเราว่ะ ดูแคลนกันมาก ผมจะเลี้ยงให้ดู เอาให้แม่งโตเป็นหูกระจงเลย” อันนี้มั่วครับ นึกชื่อต้นไม้อะไรได้ก็เอามาข่มไว้ก่อน

นายต้นสนคว้ามือผมไปสอดจับไว้ จูงไปยังร้านเป้าหมาย เขาหันมายิ้มให้ผมอย่างสดใสเป็นระยะ สีหน้าและท่าทางกระตือรือร้นบ่งบอกว่าเขามีความสุขมากที่ได้เป็นผู้บรรยายรายชื่อต้นไม้ที่ผ่านตาให้ผมฟัง

โดยยังไม่ปล่อยที่ประสานไว้กับผม เขานำพาให้ผมได้มาเผชิญหน้ากับไอ้หูกระต่ายเป็นครั้งแรกในชีวิต

“มาเลี้ยงมันด้วยกันนะเป”

ผม.....รู้สึกแปลก ๆ



Cut




 :mew5: :mew5: :mew5:
ตอนหน้าจะพยายามเร็วกว่าเดิมค่ะ
  :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 14 (250519)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 26-05-2019 02:16:52
ช่วยกันเลี้ยงยังไงก็รอด เนอะะะะะะะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 14 (250519)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 26-05-2019 06:31:30
ยาดาคือตัวแทนหมู่บ้าน ชงเก่งมาก  o13
ต้นสน.. :เฮ้อ: ไม่อยากให้เพื่อนแตกหักกันเลย
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 14 (250519)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 26-05-2019 09:16:31
จะมีคนหึงไหมนะ นายตายแน่ๆ นายต้นสน ขอบอกไว้ก่อน อิอิอิ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 14 (250519)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 04-06-2019 14:26:14
ตายค่ะ งานนี้มีตายแน่ๆ 55555555555555555555 ว่าแต่งานซึนทั้งคู่ซินะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 14 (250519)
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 14-06-2019 08:54:08
 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 14 (250519)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-06-2019 11:41:10
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 14 (250519)
เริ่มหัวข้อโดย: SLEEPERINDY ที่ 09-07-2019 11:18:54
จิ้ม ๆ คนเขียน อยากอ่านต่อเเล้วค่า
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 14 (250519)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 09-07-2019 22:29:57
เรารอค้ำจุนอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 14 (250519)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-07-2019 23:37:47
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 15 (191019)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 19-10-2019 10:28:11
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [15]



ความสันโดษของผมถูกทำลายโดยผู้ชายที่ชื่อว่าไอ้ต้นสนครับ
แค่ปลูกต้นไม้ด้วยกัน แต่มันกลับถมความเชื่อที่วาเราเป็นคู่แท้จากชาติภพที่แล้วใส่หัวผม และแน่นอนว่าผมเขย่าหัวร่อนความคิดนั้นทิ้งไปทุกครั้ง
ครั้งนี้ก็ไม่ต่าง

“เป เป หูกระต่ายของเรางอกแล้วนะ น่ารักมากๆ เดี๋ยวเอาไปอวดให้ไอ้จุนอิจฉากัน
ถ้าไม่ใช่มือ 2 คู่ของพวกเรา เอาไอ้สายพันธุ์นี้ไม่รอดหรอก” เหตุเกิดที่หน้าสถานีเอ็มอาร์ที รูที่ออกมาเจอตรอกต้นไม้ที่นายค้ำจุนขายของพอดี ซึ่งความบังเอิญบนโลกใบนี้ไม่มีอยู่แล้ว ดูก็รู้ว่ามารอ

“อือ” ผมตอบสั้นๆ ไม่แสดงอาการตื่นเต้นใดๆ เพราะเกือบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมเรียนรู้แล้วว่าถ้าคิดจะเป็นคนมีกำแพง ก็ต้องมีกำแพงที่แข็งแกร่งทั้งบนดินและใต้ดิน

“อยากดูป่ะ อยากสิ ใช่มั้ย ผมพามาด้วยวันนี้
ตั้งแต่มันงอกขึ้นมา เปก็ยังไม่ได้เห็นมันเลยนี่”

“อื้อ”

“ไอ้จุนก็ว้าวมากเลยนะ นี่ถ้าเราเลี้ยงมันรอด แล้วผสมพันธุ์ทำเมล็ดได้ เราก็ทันร้านใหญ่อีกก้าวแล้ว ดูก็รู้ว่ามันอิจฉาเรา
ก็สมน้ำหน้ามันเนอะ เราก็ชวนมันแล้วแท้ๆ เนอะ”

“ต้น...” ผมตัดสินใจหยุดการพล่ามของมันเมื่อไม่อยากทนฟัง ช่วยไม่ได้ที่ผมไม่ได้อินกับการเลี้ยงต้นไม้แบบพวกเขา ก็เลยห้ามไม่ได้ถ้าผมจะพูดอะไรแบบคนที่ไม่เข้าใจพวกเขามักจะพูดกัน
“ถ้าได้น้ำชากาแฟสักแก้ว จะหยุดพูดมั้ยวะ?”

ไอ้ต้นสนหน้าเหวอไปอึดใจ แต่แล้วมันก็หัวเราะแหะๆ แล้วก็ชี้ชวนให้ผมเดินเคียงกับมันไปยังร้าน แต่ผมเบื่อแล้ว ไม่ได้เบื่อร้านขายต้นไม้ใดๆ แค่เบื่อการเอาหน้ามาวอแวใส่ผมตลอดเวลาที่ไอ้ต้นมันทำในพักหลังๆ

“เออ เอานี่ให้จุนมันทีแล้วกัน วันนี้เหนื่อยอ่ะ บอกจุนว่าผมกลับก่อนนะ”

“อ้าว....หรอ” หงอยสุดๆ เลยครับ เศร้ากว่าหน้าไอ้ต้นตอนนี้ก็น่าจะมีแค่หมาอดผสมพันธุ์

“อื่อ ไปแล้วนะ”

“เอ่อ...แล้วชา...กาแฟ”

“ผมไม่ได้อยากหรอก เผื่อต้นอยากน่ะ เห็นพูดเยอะ เลยคิดว่าน่าจะฝืดคอ” พูดเท่านี้ก็น่ารู้แล้วว่าผมด่ามันพูดมาก

ของที่ผมฝากนายต้นสนไปมอบให้ถึงมือนายค้ำจุนก็คือไอแพดครับ เมื่อเช้า เขาไลน์มาบอกว่าลืมไว้ที่ห้อง ฝากผมหยิบติดมือมาให้ที่ร้านตอนเย็นด้วย ก็ไม่ได้อยากเป็นเบ้ให้หรอกครับ แต่บุญคุณข้าวเช้าหลายเดือนมานี่มันค้ำคอ

ธุระที่ต้องทำก็จบแล้ว ผมไม่มีอารมณ์เตร่ที่ไหนต่อ แม้จะรู้สึกหิวนิดๆ แต่ก็เชื่อว่าตัวเองน่าจะแบกท้องกลับไปกินแถวคอนโดได้

แต่ว่า....
โดยสารยังไม่ทันเอมใจแอร์ฉ่ำ ๆ โทรศัพท์ก็เส่งเสียงเรียกร้องครับ คนโทรมาคือนายค้ำจุน ผมหัวเราะนิดหน่อยเพราะนึกหน้าเขาแล้วขำ คิดเดาเอาว่าน่าจะโทรมาขอบคุณ...โธ่เอ้ย เรื่องแค่นี้เอง

“อื้อ คุณ ว่าไง”
“หือ? ตอนนี้หรอ อ่ออออ” ผมเงยหน้ามองเหนือประตูเข้าออกเพราะเช็คพิกัดตัวเองให้แน่ชัด เพราะตอนนั่งไม่ได้สนใจเสียงประกาศใดๆ
“กำลังจะถึงอารีย์ มีอะไรหรอ”
“ลง?”
“ลงทำไมอ่ะ”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ไม่รู้จะลงทำไมไง ก็บอกมาดิ”
“เออๆ ลงแล้วเนี่ย!”

ผมวางสาย อารมณ์เสียนิดๆ ที่ถูกบังคับโดยไม่บอกเหตุผล แต่ที่อารมณ์หนักมากที่ตัวเองดันทำตามที่ถูกบังคับทั้งที่ไม่รู้เหตุผล

เขาบอกให้ลง แล้วก็รอ
บอกเท่านี้แหละครับ ไม่รู้แม่งจะประหยัดคำพูดไปเพื่ออะไร บอกๆ มาก็จบ

ผมไม่ได้ขยับตัวลงจากชานชาลา เพราะเขาบอกให้รอแบบห้วนมาก ก็เลยเดาเอาว่า ลงตรงไหนก็รอตรงนั้น แต่ก็ตั้งกติกาของตัวเองไว้นะครับว่า ถ้าไม่มาภายใน 10 นาที ก็บ๊ายบาย

และก็ไม่เกิน 10 นาทีครับ บีทีเอสขบวนที่ 3 จอดที่สถานีอารีย์ ผู้คนเดินสวนกันบางตา ไม่ช้าประตูก็ปิดลงตามเสียงไล่ และเมื่อขบวนรถไฟผ่านไป นายค้ำจุนก็แตะไหล่ผมพร้อมแสดงอาการเหนื่อยหอบ

“เอ้าคุณ เหนื่อยอะไรมา นี่วิ่งมาจากไหน”

“..........” ไม่ตอบครับ หอบอยู่

“เอาเถอะ พักมั้ย ตรงนั้นมีเก้าอี้” รอบนี้พยักหน้าผมก็เลยดึงแขนพาไปนั่ง มองเขาหอบอยู่พักนึง เมื่อเห็นว่าปอดเขาเริ่มทำงานปกติแล้ว จึงได้ถามใหม่

“เหนื่อยอะไรมา วิ่งมาจากไหน แล้วคุณให้ผมลงแล้วรอทำไม”

“ก็....ไม่มีอะไร”
“กินข้าวกัน” 

อึ้งครับ
หนึ่ง อึ้งกับคำตอบไม่ครบคำถาม
สอง อึ้งที่ชวนกินข้าว
สาม อึ้งที่ตัวเองเกือบยิ้ม

ผมสัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ แต่มันก็บางมาก จึงไม่คิดสนใจ

“เอาดิ กินไรอ่ะ”
“แต่คุณยังไม่ตอบเลยว่าไปเหนื่อยอะไรมา วิ่งมาจากไหนทำไมดูแทบร่วงกองไปกับพื้นขนาดนั้น”

“คุณก็เวอร์เก่ง”
“กองเกิงอะไร แค่นี้เด็กๆ”
“ไปๆ กินข้าวกัน มีร้านอร่อย”
“ตอนเรียนมากับเพื่อนบ่อย”

“ต้นอ่ะหรอ?” ผมต่อบทสนทนา และที่เอ่ยชื่อนายต้นสนออกมาก็เพราะว่าผมรู้จักเพื่อนเขาอยู่แค่คนเดียว

นายค้ำจุนแทบสะดุดเท้าตัวเองหัวทิ่มตกบันได เขายึดราวเหล็กไว้และหันมองหน้ามองผมอย่างพินิจ

“ทำไมต้องไอ้ต้นล่ะ ผมไม่ได้มีเพื่อนคนเดียวสักหน่อย”

“แต่ผมรู้จักเพื่อนคุณคนเดียว ก็คือต้นไง คุณก็รู้จักเพื่อนผมคนเดียว ก็คือยาดา ไม่เห็นแปลก”

“อือออ ก็จริง”
“ไปกันเถอะ ช่างหัวมันไป ไอ้ลูกหมานั่น”

เขาบอกให้ช่าง ผมก็ช่าง นายต้นสนเป็นเพื่อนเขาเขายังช่างหัวได้ ทำไมผมถึงควรปฏิเสธคำชี้นำนั่นล่ะ?

นายค้ำจุนเดินพาผมเข้าซอยอารีย์ที่เท่าไหร่ก็ไม่ได้ดูป้าย ร้านนี้เป็นร้านอาหารไทยร่วมสมัย ครับ บรรยากาศชักชวนให้คิดไปถึงป่าเอมาซอน ดูเขียว ครึ้ม ชื้นๆ แน่นอนว่ามีมุมกลาสเฮ้าส์ และมีเคาน์เตอร์กาแฟ 

“ข้าวเนอะ” นี่เขาถาม บอกการตัดสินใจ หรือแนะนำ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก็พยักหน้าไว้ก่อน เวลาเริ่มค่ำแบบนี้จะกระโจนหาเคาน์เตอร์กาแฟนก็ใช่ที่

เขาพาเดินขึ้นชั้นลอย ซึ่งก็ยังคงเป็นคงคอนเซปป่าไว้เหมือนเดิม ผมยังไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วน พนักงานร้านอาหารก็เดินมารับออเดอร์ และก็ได้รับออเดอร์ไปโดยที่ผมยังคิดอะไรไม่เสร็จดี

“อ้าว ผมยังไม่ได้สั่งเลย”

“สั่งให้แล้ว”

“สั่งอะไรอ่ะ แล้วไม่ถามผมหรอ?”

“สั่งให้ไม่ได้หรอ โทษที แต่ผมว่าเมนูนี้อร่อย คุณก็น่าจะชอบเหมือนกัน”

“ซะงั้น”

“ไม่ได้หรอ”

แล้วมันต้องได้หรอวะ? ผมยักไหล่และไม่ตอบอะไร นายค้ำจุนก็เลยไม่ได้บอกเสียทีว่าสั่งเมนูอะไรมากิน เอาจริงๆ ผมยังไมได้ยินเสียงเขาพูดกับพนักงานเลยด้วยซ้ำ

รออยู่ไม่นานเครื่องดื่มก็มาก่อนครับ และมันคือคอกเทล....สรุปกูต้องแดกอะไรบ้างวะ?

“ดื่มไม่ได้หรอ?” ทันทีที่ผมมองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วถาม นายคนนี้ก็พูดคำเดิมจนผมเริ่มรู้สึกตงิดๆ ว่ากำลังถูกกวนตีน

“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้”

“ก็คือได้” คิดเหมือนกันมั้ยครับว่าเขากวนตีนผม เวลาแบบนี้ ผมคิดว่าผมควรชี้แจง

“ก็ไม่ใช่ว่าได้” ตอบปุ๊บ เงยหน้าขึ้นจากมือถือมาจ้องปั๊บเลยครับ เพราะน้ำเสียงผมกวนตีน ผมเห็นผมขมวดคิ้วไม่คลาย นายค้ำจุนก็ถอนหายใจและเกาหัว

“คืองี้.....โทษทีที่ไม่ได้ถามอะไร ไม่ได้บอกอะไร
คืองี้นะคุณ.....
คือ...เฮ้อ....จริงๆ มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับผม
เอาว่าผมไม่มีความคิดเห็นเรื่องนี้นะ และก็ไม่ชอบทำอะไรแบบนี้ด้วย
คือ......”

“คืออะไรอ่ะคุณ ยึกยักอยู่ได้ มีอะไรก็พูด”

“พูดเลยนะ”

“สักทีเหอะ”

“ชอบคุณ....”


นี่คือคำลวง ผมมั่นใจ นี่ไม่ใช่คำพูดเขา ผมมั่นใจในการคาดเดาของตัวเองมาก


“ไอ้ต้น... ไอ้ต้นมันชอบคุณ”


กูว่าแล้ว นี่คือเสียงในหัวของผม ไม่น่าแปลกใจหรอกครับที่ผมฉลาดรู้ทันความรู้สึกนายต้นสน แต่อีกเสียงในหัวที่ทำให้ประหลาดใจตัวเองก็คือ....

แล้วมึงก็มาบอกกูแทนเพื่อนมึงเนี่ยนะ?
ไม่บอกไปล่ะว่ากูไม่ได้คิดอะไรเกินเพื่อน

ทำไมผมถึงไปคาดหวังว่าเขาจะพูดแทนความรู้สึกผมได้
ทำไมผมถึงเชื่อมั่นว่าเขาต้องรู้คำตอบของผม และพูดแทนผมได้

นั่นสิ ทำไมวะ?


“ฮื่อ” ในที่สุดผมก็เปล่งเสียงแรกหลังจากนิ่งเงียบกันพักนึง คอกเทลที่อยู่ตรงหน้าได้รับความสนใจจากสายตาผมอยู่นาน ในที่สุดมันก็ได้ทำหน้าที่ล้างความสากของลำคอเสียที ผมยกแก้วคอกเทลมาดูดน้ำ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่มองหน้าเขาเพราะงงกับความรู้สึกตัวเองอยู่

ผมน้อยใจ
จู่ๆ ก็น้อยใจ
ทำไมเขาปล่อยให้เรื่องนี้มาชนกับผมโดยตรง
ทำไมเขาไม่ปัดมันไปให้พ้นๆ การรับรู้ของผมวะ?

เราก็เพื่อนกันไม่ใช่หรอ
เราเป็นรูมเมทกันไม่ใช่รึไง
ถ้าเดาได้ หรือพอจะรู้ลางๆ ว่าคำตอบผมจะเป็นแบบไหน อย่างน้อยปัดมันไปให้พ้นผมหน่อยไม่ได้หรอ?

“เป”

“อือ” ผมขานรับ เลี่ยงตาไปมองสีเขียวเข้มชุ่มตาของใบไม้ใบใหญ่

“เรื่องของคุณแล้วนะ
ผมไม่ยุ่งเรื่องนี้”


จู่ๆ ก็ไม่แยแสกันแบบนี้น่ะหรอ?
ผมไม่ควรยกระดับความสัมพันธ์ให้เขาเป็นเพื่อนเลย ให้ตาย!


Cut


มาต่อแล้วค่าาาา
ขอยืนยันว่ายังเขียนนิยายอยู่นะคะ ของรักของชอบ จะให้เลิกง่ายๆ ก็ใช่ที่ แม้จะอ่านกันสองสามสี่ห้าคน เราก็จะเขียนต่อไปค่า

อัพเดทความเคลื่อนไหวของเราไว้ที่เพจเฟสบุ้คนะคะ เฟสบุ้ค/saturdayseriess กดติดตามไว้ได้ค่า
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 15 (191019)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 19-10-2019 10:40:41
ค้ำจุน!!! ทำไมทำแบบนี้เนี่ย
เปน้อยใจแล้วรู้บ้างไหม
อยากบิดหูให้ขาดจริงๆ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 15 (191019)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-10-2019 10:42:10
ต้นก็รุกมาก ส่วนจุนก็ชิวไป
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 15 (191019)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 19-10-2019 19:02:10
จุนโว้ยยย นิ่งมาก นิ่งเกิ๊นนน ส่วนต้นสนก็ก็พูดมากเกิน สงสารเปลแล้วเนี่ย เริ่มนอยด์นายค้ำจุนแล้ว
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 15 (191019)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-10-2019 23:32:05
อะไรของนายจุนเนี่ยย
อยากช่วยเพื่อนเหรอ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 15 (191019)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 20-10-2019 23:20:09
กำลังอิน กับความสับสนในใจของเปอยู่ มาเจอคนเขียนบ่นน้อยใจซะละ โอ๋ๆๆๆๆ
รออ่านทุกครั้งแหละ ถึงจะมีสี่ห้าคนแต่เราก็ติดตามตลอดนะ รักษาสุขภาพด้วยนละ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 15 (191019)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-10-2019 00:43:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 15 (191019)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 28-11-2019 09:42:28

โว๊ะ !!!!! ไรอ่ะจุน อยากเข้าไปบีบคอเขย่าๆ ขัดใจอิแม่จริงๆ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 15 (191019)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 06-01-2020 18:47:26
คิดถึงเรื่องนี้เลยกลับมาอ่านอีกรอบ ยังรอตอนต่อไปอยู่นะคะ
สวัสดีปีใหม่ค่า :L2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 16 (130120)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 13-01-2020 23:11:17
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [16]


โทรศัพท์ของผม มีเบอร์นายต้นสน แชทไลน์ก็มีชื่อและหน้านายคนนี้อยู่ด้านบนสุด บ่งบอกถึงสถานะความแอคทีฟสูงสุดท่ามกลางหมู่มนุษย์ที่ผมมีปฏิสัมพันธ์ด้วย

ส่วนคนที่อยู่ใกล้กันมากสุด กลับอยู่ปลายสุดของห่วงโซ่วงสนทนา

ต้นเหตุมันก็มีแหละครับ
ผมไม่คุยกับเขา ไม่ชวนทะเลาะ ไม่หารค่าอาหารประจำสัปดาห์ ไม่ไปซื้อของใช้เข้าห้องประจำเดือนด้วย ไม่อะไรสักอย่าง
ผมทั้งนั้นที่ทำราวกับว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน

สาเหตุก็ย่อมมีแน่นอน
ผมโกรธเขาอยู่ และที่ผ่านมาเกือบเดือน ทำให้ผมได้ข้อสรุปแล้วว่า เขารับรู้ว่าผมไม่อยากเสวนากับเขา และเขาไม่รู้เหตุผล และเขาก็ไม่คิดด้วยว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั่นแหละคือเหตุผล

ช่างเป็นเหตุผลการโกรธที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย... อย่างน้อยก็ในความคิดนายค้ำจุน

แม้จะไม่เสวนาพาทีใส่กัน แต่ข้าวเช้าของผมก็ยังมีอยู่ทุกเช้าล่ะนะ แม้ว่าเดือนนี้ผมไม่ได้หารค่าอาหารและค่าของใช้ในห้องก็เถอะ ผมไม่ได้คิดจะเบี้ยวนะครับ แต่เขาไม่ถาม และก็ยังจัดเตรียมอาหารส่วนของผมให้เหมือนเดิม ผมก็เลยยังคงซื้อขนมกินเล่นเอย ชากาแฟสำเร็จรูปเอยมาวางไว้บนโต๊ะส่วนกลางสารพัดประโยชน์เช่นเคย

ชีวิตพวกเราเลยเหมือนเดิม แม้ว่าเราจะไม่ได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนเดิมก็ตาม

เช้านี้ก็เช่นกัน หมูสับผัดซอสมะเขือเทศหลากหลายสายพันธุ์คือมื้อเช้าที่ผมพบเจอ คนทำออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว ผมเดาว่าเขาไปทำงานเร็วขึ้น เพราะมีวันหนึ่งที่ผมตื่นเร็วจากอาการท้องเสียและพบว่าเขาออกไปทำงานแล้ว...ซึ่งวันนั้นผมตื่นเร็วกว่าปกติ 1 ชั่วโมง ยอมรับว่าประหลาดใจครับ ไม่คิดว่านายค้ำจุนจะเป็นพวกนกตื่นเช้าได้กินหนอนอวบ

ดูแลตัวเองตามสภาพเสร็จก็พร้อมออกไปทำงาน เวลานี้นายต้นสนจะโทรมาหา นายคนนี้ก็ประหลาดสมกับเป็นเพื่อนนายค้ำจุนครับ

ผมไม่รู้ว่า “แฮ่ เราชอบเป ก็เลยบอกไอ้จุนมัน มันก็เลยบอกต่อให้ เฮ้ยๆ ไม่มีไรต้องซีเรียสเลย”  มันต้องรู้สึกยังไง หรือตอบรับแบบไหน

แต่เกือบเดือนที่ผ่านมา นอกจากหมอนี่มาจะมาแฮ่ๆ ฮี่ๆ บ่อยกว่าปกติ ก็ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องน่างุนงงสำหรับผมแล้ว จนตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยครับว่า นายต้นสนต้องการอะไรจากการ “ชอบผม” 
 
เขาไม่ได้ขอเป็นแฟน
ไม่ได้บอกเพิ่มว่าชอบแบบไหน
ไม่แจ้งวัตถุประสงค์ด้วยว่าชอบเพื่ออะไร
ไม่ระบุช่วงเวลาด้วยว่าเริ่มชอบเมื่อไหร่และจะชอบไปถึงเมื่อไหร่
นอกจากโทรมาถามเรื่องทั่วไป ชวนไปดูต้นไม้ที่สวนปิดที่เข้ายากชิบหาย ซื้อของกินมาฝาก (แน่นอนว่าฝากมากับนายค้ำจุนแต่โทรมาบอกผมไว้ก่อน) เขาก็ไม่มีอีเวนท์พิเศษมาวอแวกับผมแล้ว

ซึ่ง...ผมรู้สึกว่าได้เพื่อนเพิ่มมา  1 คน

แต่ถ้าต้องการแค่เป็นเพื่อนผม ไม่ต้องไปบอกนายค้ำจุนว่าชอบ และขอให้นายค้ำจุนมาบอกผมว่าชอบก็ได้มั้ง....นายต้นสนจะรู้มั้ยว่าทำให้ผมน้อยใจผู้ชายที่มาเช่ากึ่งแชร์ห้องเกือบ 1 เดือน

ครุ่นคิดถึงปุ๊บ ก็โทรมาปั๊บครับ

“อื้อ ต้น ว่าไง” ปลายสายส่งเสียงสดใสถามว่า อยากกินอาหารทะเลมั้ย
“เอาสิ ก็ชอบอยู่นะ เออ ไม่ได้กินนานแล้วด้วย ที่ไหนล่ะ”
“อ่อ....เอางั้นหรอ?” เขาบอกว่ากินที่ห้องผมนี่แหละ เขาจะสั่งเดลิเวอรี่มาเย็นนี้
“ได้ๆ หารมาละกัน เอาปูนึ่งแบบเนื้อหวานๆ แน่นๆ นะ ผมชอบ กุ้งนี่ถ้าเผาแล้วแกะเปลือกมาก็ดี แต่ถ้าร้านไม่แกะมา ต้นแกะละกัน ผมไม่ถนัดอ่ะ ถนัดกิน 5555” หัวเราะแล้วก็ชังลูกกระเดือกตัวเองครับ มันเคลื่อนไหวฝืดขึ้นมาทันทีเมื่อนายต้นสนตอบมาว่า เรารู้ เรารู้ ไอ้เปบอกอยู่บ่อยๆ

เขาส่งท้ายแค่ว่าเย็นนี้เจอกัน แล้วก็วางสาย ขณะที่ผมหน่วงหัวใจอย่างอธิบายไม่ถูก


Home*Mate


“เราว่า เปอ่ะคิดมาก จริงๆ อยากใช้ว่าคำว่าแกเป็นคนประสาทแดก แต่เราไม่อยากให้เพื่อนเสียใจ” ยาดาเป็นผู้หญิงปากหมา นิสัยแมน ที่เสือกสวยผิดนิสัยและฝีปาก
“แต่ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ต้นอาจจะไม่ได้ชอบแบบแฟนกันก็ได้นะ อาจจะชอบแบบเพื่อนกัน อยากเป็นเพื่อนด้วย แค่นั้นเอง”

“ก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วไม่ใช่หรอ? มันก็ออโต้อ่ะดา เราเป็นเพื่อนดา เพื่อนก็ดาก็เหมือนเพื่อนเรา”

“ก็ใช่ แต่ก็แค่กับบางคนนะ” เพื่อนสาวผมลูบแขนผมเพื่อดึงหัวคิ้วของผมครับ ตอนนี้มันกำลังดีดตัวขึ้นที่สูง
“เผื่อเปไม่รู้ตัวนะ เราจะบอกให้ตามความจริงเลย
ไม่มีใครกล้านับเปเป็นเพื่อนแบบอัตโนมัติตามสมการที่เปพูดเมื่อกี้หรอก เพราะเปกำแพงสูงมาก
โอเค เพื่อนเราคุยกับเป แต่ก็แค่คนรู้จักกันเฉยๆ แก๊ง ม.ปลายเราก็ไม่เคยมาปรึกษาหรือมาทำอะไรด้วยกันตามประสาเพื่อนกับเปเลย ใช่มั้ยล่ะ?
เพราะอะไร เพราะเค้าไม่คิดว่าเปเป็นเพื่อน
แกก็แค่ เพื่อนของเพื่อน ซึ่งนั่นไม่นับเป็นเพื่อน มันไม่ออโต้นะ ทำความเข้าใจใหม่”

“อ่าวหรอ”

“เราก็เลยคิดว่า ต้นสนไม่แปลกหรอกที่จะชอบเปแบบเพื่อน เลยอยากเป็นเพื่อน เลยต้องบอกชอบผ่านเพื่อนเค้ามาก่อน งงมั้ย”

“นิดนึง แต่ก็คิดว่าเข้าใจ”
“สรุปแล้ว  ดาคิดว่าไอ้ต้นไม่ได้อยากเป็นแฟนเรา ไม่ได้คิดจะจีบ และไม่ได้ขอให้หมอนั่นช่วยจีบใช่มั้ย”

“ก็เกือบเดือน เค้าจีบแกมั้ยล่ะ?”

“ก็....ที่โทรมาเวลาเดิมๆ ตอนเช้า วันเว้นวันบ้าง เว้นสองวันบ้าง ส่งไลน์มาคุย ชวนไปฟาร์มต้นไม้ จีบมั้ย”

“วราห์ไม่ได้จีบเราแบบนี้ เราตอบไม่ได้ ไม่เคยมีประสบการณ์
แต่ตามที่เราคิดนะ” ยาดาช่วยวิเคราะห์ต่อครับ ข้าวเที่ยงหมดไปนานแล้ว จริงๆ ก็ถึงเวลาเริ่มงานช่วงบ่ายแล้วแต่ผมกับยาดายังเอ้อระเหยกันอยู่ที่ร้านกาแฟ
“ไม่น่าจีบ”

เอ้า....หมามั้ยล่ะกู
สรุปโกรธอะไรเขาวะเนี่ย?
ผมมองหน้ายาดาอย่างจนปัญญา ถอนหายใจแล้วก็ลุกออกจากร้านกาแฟเพื่อเข้าออฟฟิศ ระหว่างก้าวขาเดินก็ยังครุ่นคิดอยู่ว่า ที่ผ่านมาผมไม่พอใจอะไร นายค้ำจุนผิดอะไร และทำไมเราถึงไม่คุยกันเหมือนเดิม

เอาเป็นว่า เปิดอกคุยกับไอ้ต้นก่อนก็แล้วกัน
ถ้ามันไม่ได้ชอบแบบแฟน ก็แค่หน้าแตกกับไอ้ต้น เดี๋ยวผมค่อยเนียนๆ ชวนค้ำจุนคุยใหม่เหมือนเดิม แต่ถ้ามันดันชอบแบบแฟนขึ้นมา ผมก็จะฉวยโอกาสปฏิเสธไปตรงๆ ท่ามกลางเหล่าสัตว์ทะเลที่ตายแล้วเป็นหมู่พยาน

บ่ายนี้ค่อนข้างว่างครับ
ผมเพิ่งทำ 1h2020 PR plan ส่งให้กับลูกค้าในพอร์ตที่ดูแลเสร็จ ถึงจะยังไม่ใช่แพลนสุทธิเพราะลูกค้าต้องขอเพิ่มขอแทรกแพลนอยู่แล้ว แต่ก็ถือว่าเสร็จไปตามแผนที่ผมรับปากกับตัวเอง

ได้มีเวลายืดเส้นสายเข้าหน่อย ผมก็เช็คเรื่องราวในโซเชียล ไถๆ อยู่ไม่กี่ฟีด ต่อมเสือกก็ทำงาน ผมเข้าไลน์และเลือกดูหน้าโพสท์ของนายค้ำจุน หมอนี่อัพแต่รูปต้นไม้ นึกขึ้นได้ก็รี่ไปดูหน้าเพจขายต้นไม้ของเขาในเฟสบุ้ค เพิ่งลงขายล็อตใหม่ด้วย เอาเวลาที่ไหนไปแยกกระถาง?

เขาคงนอนดึกมากแน่ๆ การแยกกระถางแคคตัสก็คืองานที่น่าปวดหลังที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น แต่นายค้ำจุนกลับทำไปยิ้มไป มีคืนหนึ่งที่เขาบอกผมว่าอย่าเผลอล็อคหน้าต่างกระจกนะ เพราะเขาทำต้นไม้อยู่ที่ระเบียง ผมก็เลยดุไปว่าก็เปิดม่านไว้สิ จะได้รู้ว่าคนอยู่ที่ระเบียง จะได้ไม่เผลอล็อค เขาก็บอกว่าเกรงใจ จำได้ว่าผมไม่ชอบเปิดม่าน

นึกได้อีกเรื่องก็เรื่องไม้หนีบผ้าที่เดือดร้อนผม แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา นายค้ำจุนกวาดเอาไม้หนีบผมไปเกือบหมดเพื่อไปหนีบสแลนกรองแสงกับรั้วระเบียง เขาบอกว่าต้องกันนกมาอึใส่ แล้วก็ไม่ให้มาระรานต้นไม้ด้วย แล้วช่วยกรองแสงแดดให้กับต้นอ่อนของเขาด้วย ช่วงนั้นผมเลยตากผ้าแบบพาดๆ เอา แต่ผ้ามันไม่ปลิวไปไหนหรอกครับ เพราะผมเป็นคนอาภัพที่ต้องตากผ้าในห้องนั่งเล่นทั้งที่มีระเบียงในครอบครองถึง 2 แห่ง

เกือบเดือนที่ไม่ได้คุยกัน เขาน่าจะได้เจออะไรเยอะแยะไปหมด
ส่วนผม....แทบไม่ได้สื่อสารกับโลกนี้เลย 


Home*Mate


เย็นนี้ผมถึงห้องเร็วกว่าเดิมเกือบครึ่งชั่วโมง กลิ่นทะเลมันหอมครับ 5555  ล้อเล่น เพราะไม่ต้องหามื้อเย็นต่างหาก

ผมที่ว่าถึงห้องเร็วแล้ว นายค้ำจุนกลับถึงห้องเร็วกว่าผมอีกครับ
ดูเขาตกใจมากที่ผมกลับเข้าห้องมา ตาเขาโตกว่าเดิมซะอีก
เจอหน้ากันตรงๆ แบบนี้ ผมต้องพูดอะไรมั้ยวะ? ผมแทบลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เราคุยกันด้วยประโยคแบบไหน

“เอ่อ เดี๋ยวผมออกไป”

“ออกไปไหน?” ผมถามทันทีที่เขาบอกแผนตัวเอง ค่อนข้างงงครับ เพราะสำรวจเสื้อผ้าเขาแล้วก็คือชุดพร้อมนอน

“ก็ไอ้ต้นจะกินอาหารทะเล...
กับคุณ....”

“กับคุณด้วยนี่ ต้นบอก” เปล่าครับ นายต้นสนไม่ได้เอ่ยถึงประเด็นว่าจะกินอาหารทะเลกันกี่คน ใครบ้าง ผมกุขึ้นมาเอง

“มันน่าจะอยากกินกับคุณ 2 คน”

“คุณคิดเอาเองอีกล่ะสิ” ผมเหน็บใส่แล้วก็เดินผ่านหน้าเขาเข้าห้องนอน  ปิดประตูแล้วก็รีบเอาหูแนบประตูตัวเองเพื่อเงี่ยหูฟังว่าเขาจะออกจากห้องไปตามที่บอกจริงหรือไม่

แต่ว่า
กึก!
ปัก!

ครับ ประตูที่ผมเอาหูแนบไว้มันถูกเปิดและผลักเข้ามาโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว

แม่งเจ็บนะเว้ย!

ผมคลำแก้มตัวเองป้อยๆ และส่งสายตาตัดพ้อใส่อีกฝ่าย นายค้ำจุนเหวอไปนิดๆ ดูเหมือนจะยื่นมือมาจับทับมือผมอีกที แต่ก็ชะงักอยู่กลางอากาศ

“จ...เจ็บหรอ”

“ก็ต้องเจ็บดิ จู่ๆ ก็ดันเข้ามา”

“แล้วเอาหน้ามาขวางประตูทำไมล่ะ”

“เอ้า! ผมผิดอีก....
เป็นงั้นไป” ไม่พ้อแค่สายตาแล้วครับ เสียงและสีหน้าจัดเต็มแน่นอน

เขาจ้องหน้าผมแล้วก็ก้มหลบ แต่ผมรู้ ผมดูออก เขาหลบไปหัวเราะ แม่ง...บันเทิงบนความเจ็บปวดของคนอื่นนี่เรียกมีมารยาทมั้ย? อยากถามมาก

“แล้วไม่ออกไปล่ะ ไหนว่าจะไป” ผมเริ่มถามบ้าง ยอมรับครับว่ายียวนไปงั้นแหละ

“อยากให้ไป?” แม่งมีหน้ามาเลิกคิ้วถาม น่ามองตายห่าล่ะ!

“ผมจะอยากหรือไม่อยากอะไร มันกำหนดส้นตีนคุณได้ด้วยหรอ” รู้ครับว่าหยาบคายไม่น่ารัก ปกติผมก็ไม่ใช่คนหยาบคาย แต่เห็นหน้าตากวนตีนของนายค้ำจุนแล้วมันอดไม่ได้

“ไม่ น่า รัก” เขาวิจารณ์เบาๆ แต่ผมก็ได้ยิน แน่ล่ะครับ ก็หน้าเราอยู่ใกล้กันแค่นี้

“หน้าผม จะน่ารักหรือไม่น่ารัก มันไปหนักกะบาลคุณหรอ?”

“ไม่รู้ไอ้ต้นชอบไปได้ไง”

“ไม่รู้ว่าชอบได้ไงแล้วไปแนะนำให้ไอ้ต้นมาชอบทำไม”

“ไม่ได้แนะนำอะไรสักหน่อย มันชอบของมันเอง ถ้ามันถามผมก่อนผมก็ไม่แนะนำให้มันชอบคุณหรอก”

“แนะนำให้ไม่ชอบตอนนี้ก็ไม่สายหรอก ไปดิ ไปบอก”

“บอกเองดิ ทำไมผมต้องเป็นคนพูดให้เพื่อนผมอึดอัดหรือเสียใจด้วย”

“งั้นผมก็ไม่ใช่เพื่อนคุณน่ะสิ คุณก็เลยพูดให้ผมอึดอัดแล้วก็เสียใจได้”

แล้วก็เงียบครับ เงียบกันทั้งคู่ ผมไม่ได้นวดกกแก้มตัวเองแล้วแม้ว่ายังเจ็บๆ อยู่ และคนที่ทนยืนเงียบๆ เฉยๆ ไม่ไหวอีกต่อไปก็คือผมเอง ผมผลักเขาให้พ้นจากห้องไปเพื่อจะปิดประตูห้อง แต่นายค้ำจุนกลับกางแขนยันประตูเอาไว้ก่อน

“คุณอึดอัดหรอ?”

“ดูไม่ออกหรอ?”

“เพราะผมหรอ?”

“...........” ผมไม่ตอบด้วยคำพูด แต่ใช้สายตาบอกเขาแทน

เออเนอะคนเรา....ผมคงคิดเอาเองอยู่ฝ่ายเดียวเราว่าสื่อสารกันได้แม้ว่าจะไม่ได้ใช้คำพูด

ท่าทีที่ผมแสดงออกมาเกือบเดือนไม่ได้สื่อความว่าผมอึดอัดเพราะเรื่องคืนนั้นหรอ?
คืนที่เขาพาผมไปนั่งในร้านอาหาร สั่งอาหาร สั่งเครื่องดื่มให้แล้วก็ทิ้งผมไว้พร้อมกับคำพูดที่ว่าเพื่อนเขาชอบผม ปล่อยให้ผมนั่งงงจนนายต้นสนมาถึงร้านและพูดอะไรต่อมิอะไรมากมายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

สีหน้าผมไม่ได้บอกกับพวกเขาหรอว่าผมอึดอัด

“แล้วทำไมไม่บอก”

เออ เป็นผมที่ผิดเองที่ไม่เสือกบอกว่าคิดอะไร รู้สึกยังไง
เป็นผมเองที่ผิดที่คิดเหมาเอาว่าเพื่อนกัน มันต้องเข้าใจได้แม้จะแค่กระพริบตาเพื่อบอกความนัย

“ช่างมันเหอะ คุณออกไปดิ บอกจะไปไม่ใช่หรอ” ผมตัดสินใจแล้วว่านายค้ำจุนจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป

“คุณอึดอัดเพราะผมอยู่ด้วยหรอ?”
หรืออึดอัดเพราะไอ้ต้น
ห่าเอ้ย!
ผมบอกมันหมดแล้วนะว่าคุณไม่ชอบอะไร ชอบอะไร
มันตอแยคุณมากหรอ คุณก็บอกมันตรงๆ สิ ว่าอึดอัดอะไร ตอนไหน”

“................” ความจริงแล้ว นอกจากคำว่า เราชอบเป ที่ออกจากปากนายต้นสนตรงๆ ครั้งนั้นครั้งเดียว เขาก็ไม่เคยทำอะไรให้ผมอึดอัดหรือเสียใจเลย กลับเป็นคนที่ไม่พูดอะไรเลยต่างหากที่เป็นคนปักความรู้สึกพวกนั้นเอาไว้ในใจผม

“หรือว่าคุณก็ชอบมันเหมือนกัน”

“เฮ้ย!” ครั้งนี้ผมสาดเสียงใส่ ออกแรงผลักเขา แต่หมอนี่ก็มือเหนียวยึดประตูเอาไว้

“ก็แล้วคุณเป็นอะไรล่ะ ผมไม่เข้าใจ
ทำไมเราไม่คุยกันเหมือนเดิม”

“..............”

“งั้น ... โอเค เดี๋ยวผมหาทางบอกไอ้ต้นให้ว่าคุณอึดอัดที่มันมาชอบคุณ
แต่ต้องให้เวลามันหน่อยนะ มันเป็นคนอ่อนไหว ผมไม่อยากเห็นมันเสียใจแล้วไปลงขวด เปลืองตังค์ชิบหาย”

“ไม่ต้องหรอก มันเป็นเรื่องของผมกับต้น ไม่เกี่ยวกับคุณแล้ว
คุณก็พูดเองนี่ จำไม่ได้หรอ
คุณบอกว่าผมจะไม่ยุ่งเรื่องนี้”

รอบนี้ เขาอึ้งไปครับ แขนที่เคยเหยียดยันประตูหดกลับไป มือที่เคยเกือบจะมาแตะแก้มผมยกขึ้นเกาแก้มตัวเองแทน

“อ้อ...ผมพูด” บอกไว้เท่านี้แล้วก็เดินดุ่ยๆ ไปที่ประตูห้องทันที และเมื่อนายค้ำจุนเปิดประตูเพื่อออกไปตามที่บอก แขกบ้านแขกเมืองก็โผล่หน้ามายิ้มเผล่ให้

“เป ไอ้จุน ทะเลมาแล้ววววววววว”



Home*Mate


“ทะเลาะอะไรกันอยู่หรอ?” ไอ้ประโยคนี้คือมันควรได้รับเกียรติเป็นประโยคทักทายหรอ ผมล่ะสงสัย นายต้นสนจัดแจงเตรียมโต๊ะอาหารให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับเซ็ตทะเลเผา อยากรู้เหลือเกินครับว่าจะได้กี่กินปูกินกุ้งกี่พันล้านตัวกันเชียว
“ไอ้จุน มึงกับเปทะเลาะอะไรกันอีกล่ะ”

ไม่มีใครตอบนายต้นสนครับ ผมไม่รู้จะตอบอะไร นายค้ำจุนเองก็คงไม่รู้จะตอบยังไง

“เป ไอ้จุนมาพูดกวนตีนอะไรหรอ”

“ช่างมันเถอะ” ผมเลี่ยงพลางยื่นหน้าไปดูทะเลเผาในห่อฟลอยด์ หอมมากๆ ดีมากๆ เยอะมากๆ หิวมากๆ ด้วยครับ

นายต้นสนหัวเราะท่าทางผมแล้วก็ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นอาหารด้วย เขาส่งเสียงฟุดฟิดแล้วก็กุลีกุจอจัดใส่จาน หยิบอุปกรณ์แจกแล้วก็ชักชวนกันกินโดยเสนอเงื่อนไขที่ผมพอใจที่สุด

“ไอ้จุน ยืนนิ่งทำไมอะ แกะกุ้งแกะปูให้เปดิ”

เอาเถอะ นายต้นสน วันนี้จะยอมรื่นเริงกับนายไปก่อน เพราะอาหารและบรรยากาศที่นายพาติดตัวมามันช่วยไล่ความอึดอัดใจให้หายไป

เอาไว้โอกาสหน้า ค่อยถามอย่างเปิดใจก็แล้วกัน


cut


สวัสดีปีใหม่ค่ะ
ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคน เจออะไรไม่ถูกใจหรือเรื่องรำคาญใจก็มาหย่อนสมองกับจุนเปได้นะคะ เรื่องนี้ไม่เครียดค่ะไม่เครียด

เจอกันตอนหน้าค่ะ

ปล.ขอบคุณคุณ tasteurr ที่นึกถึงค่ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 16 (130120)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-01-2020 23:45:56
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 16 (130120)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-01-2020 00:58:01
เวนกำ  :z3:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 16 (130120)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-01-2020 07:55:18
หายไปนานนะ คิดถึง เปิดมาได้อ่านพ่อแง่แม่งอนแล้ว ชุ่มชื่นหัวใจละ
สวัสดีปีใหม่ไรท์นะ ขอให้สุขภาพแข็งแรง
 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 16 (130120)
เริ่มหัวข้อโดย: AevvAewww ที่ 17-01-2020 20:10:45
ฮือออไปกันใหญ่แล้ว แอบน้อยใจแทนเปที่แบบจุนเอาแต่คิดถึงค.รู้สึกของต้น แต่ไม่นึกถึงค.รู้สึกเปเลย
 แต่เปก็นิสัยแบบนั้นแหละ ส่วนน่ารักของเปก็มี แต่แค่คิดว่าเปโชคดีที่มีเพื่อนแบบยาดานะ ถ้าเราเป็นเพื่อนกับเปคงทนนิสัยบางอย่างไม่ได้อะ ฮืออ ;-;

แน่นอนว่าเราเชื่อในเซนส์ยาดานะ แบบต้นคงคิดกับเปแค่เพื่อนจริงๆ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 16 (130120)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 20-02-2020 15:47:10
เพราะคิดสวนทางกัน เหมือนจะใกล้กันหน่อยก็โดนให้มีอันต้องกระเจิงทุกที ว่าแต่เหมือนไอ้มุมแอบนอยด์กันนี่มันน่ารักดีเนาะ 555
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 17 (060720)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 06-07-2020 21:02:51
HomeMate
Casting: Jun x Pae
Writer: Kajidrid

Home*Mate [17]



“กู....โอเค
แล้วมึงก็ไม่ต้องทำแบบนี้ตั้งแต่แรกด้วย
กูก็ผิดที่พูดไม่เคลียร์เอง แล้วก็...กูก็รู้แหละว่าไม่ควรไปหวังให้มึงช่วยเรื่องความรู้สึกกู
ต่อให้มึงไม่ช่วย หรือไม่เปิดทางให้ กูก็ไม่โกรธมึงนะไอ้จุน”

“แต่มึงซึมใส่กูนี่”

“ก็แววมันชัดว่าเค้าไม่ได้คิดอะไรกับกูเลย ขนาดเป็นเพื่อนก็ยังดูให้เป็นเพื่อนห่างๆ แบบเพื่อนของเพื่อนอ่ะ กูก็แป้วๆ แต่ว่า.. กูชอบเค้านี่หว่า”

“อย่าบอกกูดิ”

“ก็ไม่รู้จะบอกใคร นอกจากมึง”

“กูก็ชอบ”

“ชอบใคร?.....อย่าบอกนะว่าเป”

“อือ กูจะบอก มึงยังบอกกูได้เลย กูก็บอกมึงได้เหมือนกัน”
“กูชอบเค้า”

“ไอ้จุน”

“กูชอบเปล”


ไอ้พวกนี้....
คุยกันเบาๆ ไม่ได้หรอวะ?
ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องมาได้ยินด้วย ทำไมวะเนี่ย
ไอ้เหี้ยแก้มนี่ก็จะร้อนวูบวาบทำห่าอะไร
ก็แค่ มีคนบอกว่าชอบเป
ก็แค่....ผมเองครับ ผมคือเปล
เป็นผมนี่เอง ที่ผู้ชาย 2  คนนี้รู้สึกชอบ

ระเบียงห้องชั้น 4 นี้ แม่งไม่ได้ไกลเกินระยะได้ยินเสียงจากหน้าในซอยคอนโดเลย
ในกลางดึกที่ร้านข้าวต้มปิดประจำสัปดาห์ ไร้เสียงหมาเห่า การเปิดอกคุยกันของพวกเขา ไม่มีทางเป็นความลับของจักรวาลแน่ๆ

ผมจ่อมตัวนั่งลงตรงพื้นที่ว่างกลางดงต้นไม้ของนายค้ำจุน หัวใจผมเต้นโครมคราม แก้มยกขึ้นเป็นระยะหลังจากที่ฝืนแรงดึงของมุมปากได้

ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นที่หมายปองต้องใจชายหนุ่มแบบนี้ จุดไหนที่เป็นเสน่ห์วะเนี่ย? แต่ช่างเรื่องนี้ไปก่อน ตอนนี้ผมกำลังคิดไม่ออกว่าควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อความรู้สึกของนายค้ำจุน

จะว่าลำเอียงก็ยอมรับครับ
ความรู้สึกชอบของนายต้นสน ผมไม่แปลกใจ เพราะพอจะเดาได้จากการกระทำของเจ้าตัว และคำพูดบางอย่างที่เขาจงใจสื่อมาถึง
แต่กับนายค้ำจุนเนี่ย....บอกตรงๆ ว่าไม่รู้จะตอบรับแบบไหนดี
เขาชอบผมตรงไหน ตอนไหน และชอบแน่หรอ?
ทำไมการกระทำมันดูสวนทางเหลือเกิน
หรือว่าเขาเป็นพวกซึนเดเระ?

แล้วผมล่ะ? ชอบเค้ามั้ย?
ที่ใจเต้นโครมๆ ที่นั่งยิ้มอยู่นี่ มันแปลว่าชอบไม่ใช่หรอวะ?
หรือแค่รู้สึกดีที่ตัวเองมีเสน่ห์ล้นจนลากคนมาชอบได้
ถ้าเป็นอย่างหลัง ผมก็ต้องยิ้มภูมิใจในเสน่ห์ตัวเองตั้งแต่ที่นายต้นสนมาเอาอกเอาใจจนเกินพอดีแล้วสิ

“ชอบกูแน่หรอวะ?” ผมปรึกษากับตัวเอง
“เอาวะ ไม่ได้บอกต่อหน้า ก็จะถือซะว่าไม่เคยได้ยินก็แล้วกัน วันไหนมันบอกตรงๆ ก็ค่อยคิดว่าจะตอบยังไง”
“เหี้ย ยุงบินสูงจังวะ ต้องอยู่สูงขนาดไหนยุงถึงไม่ขึ้นมากัดวะเนี่ย วุ!” ผมบ่นๆ แล้วแหวกม่าน กลับเข้าห้องมาเผชิญหน้ากับกลิ่นน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ยังคงหลงเหลืออยู่อย่างเจือจาง

ปาร์ตี้ซีฟู้ดจบไปแล้ว จานชามก็ได้รับการล้างแล้ว ขยะเปียกก็ถูกแบกลงไปทิ้งแล้วโดย 2 ชาย สิ่งที่ผมน่าจะทำได้ดีที่สุดก็คือการอาบน้ำและนอน

“เอ้าคุณ” คนที่เปิดประตูห้องเข้ามาทักผมแบบงงๆ

“อื้อ ผมไง ทำไมอ่ะ”

“นึกว่าอาบน้ำแล้วซะอีก”

“กำลังจะอาบ เมื่อกี้พักพุง อิ่ม”

“อ้อ...เบียร์มั้ย”

“ไม่ไหวแล้วอ่ะ คุณยังดื่มไหวหรอ เหมือนจะซัดไปหลายกระป๋องแล้วนี่”

“ได้อีกนิดหน่อย หมดกระป๋องนี้ก็พอแล้ว คุณไปอาบน้ำสิ พรุ่งนี้ทำงานไม่ใช่หรอ? เดี๋ยวก็ตื่นสาย”

จู้จี้จังวุ้ย...ผมขมวดคิ้วด่าเขา แต่ยอมปิดปากเงียบ และเดินไปหยิบชุดนอน ผ้าเช็ดตัว เพื่อเข้าไปอาบน้ำ 

เหมือนจะได้ยินเสียงเกากีตาร์และร้องเพลงเบาๆ ผมแก้ผ้าไปพลางเงี่ยหูฟังเสียงเพลงของเขาไปพลาง
ผมแปรงฟันเบาๆ ขยับข้อมือสะบัดขนแปรงอย่างออมแรง เพื่อให้ได้ยินเสียงเพลงแผ่วๆ ของเขาได้ชัดขึ้น
ฟังแล้วไม่รู้หรอกครับว่าเพลงอะไร ร้องว่าอะไรก็ได้ยินไม่ถนัด
แต่ผมว่ามันเพราะดี
ผมจ้องเงาสะท้อนตัวเองในกระจกตรงหน้า นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมอมยิ้มและใจแช่มชื่นขึ้นทันตา

“พ่อจีบแม่ยังไงน่ะหรอ ร้องเพลงจีบ”

“แล้วแม่ก็โดนตกหรอ”
“นั่นสิครับ ทำไมให้พ่อจีบติดง่ายๆ”

“ก็หลายเพลงอยู่นะ กว่าจะจีบแม่ติด นั่นก็เล่นตัวประมาณนึงแล้ว”

“ใช่ๆ ถ้าเล่นตัวกว่านี้ พ่อว่าพ่อจะเปลี่ยนคนแล้ว ลูกค้าประจำอีกโต๊ะก็น่าจะเล็งๆ พ่ออยู่”

“อ่ะโหหหหห หล่อออออ”
“นั่นสิ พ่อต้องหล่อมากแน่ๆ แบบเป็นคนฮอตในหมู่สาวๆ”

“ตัวเรียกแขกเลยแหละ”

“พ่อก็เว่อ โม้ลูกไปได้ไม่อายเลย”
“ป๋อม เปล ฟังแม่ดีกว่า พ่อโม้”
“พ่อเค้าร้องเพลงเดิมๆ ทุกครั้งที่กลุ่มแม่ไปร้านอาหารกัน แม่ก็เลยได้ยินเพลงเดิมอยู่เพลงเดียวทุกครั้งที่ไปร้านนั้น จนวันนึงไปอีกร้านก็ได้ฟังเพลงนี้อีก หันไปดูคนร้อง ก็เจอพ่ออีก ก็เลยไปถามพ่อว่าร้องเป็นแค่เพลงเดียวเนี่ย จะทำมาหากินยังไงต่อ”

“โหยย แล้วพ่อตอบแม่ว่ายังไง”
“นั่นสิครับ พ่อตอบว่าไงครับแม่”

“ไม่รู้”

“อ้าวววว?”

“อื้อ พ่อตอบแม่ว่าไม่รู้ ยังไม่ได้เรื่องทำหามากินยังไงต่อ แต่ว่าร้องเพลงอื่นได้นะ”

“...แค่อยากให้คุณฟังเพลงนี้ซ้ำๆ ตลอดไป เพราะเป็นเพลงที่ผมร้องได้ดีที่สุด...
พ่อตอบแม่แบบนี้แหละ”

“โอ้ยยยยย เลี่ยน เป ลุกๆๆๆ อย่านั่งตรงนี้เดี๋ยวมดกัน”

“เจ๊ป๋อมอย่าผลักดิ เจ๊ป๋อม รอเปลด้วยดิ”


ผมหัวเราะตามเรื่องราวในความทรงจำ ผมรู้สึกพองความสุขอย่างประหลาด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความทรงจำที่กำลังนึกถึง หรือเพราะเพลงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ดีแต่กลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น


เสียงร้องเพลงที่คลอด้วยกีตาร์หายไปแล้วตอนที่ผมอาบน้ำเสร็จ นายค้ำจุนนอนตัวยาวบนโซฟา เขาละสายตาจากหน้าจอมือถือมามองหน้าผมที่ยืนมองหน้าเขา

“มีอะไรรึเปล่าคุณ
ทำไมจ้องผมแบบนั้น”

“เหมือนได้ยินเสียงกีตาร์”

“อ่อ ผมเล่นเอง หนวกหูหรอ”

“ไม่นี่”

“........”

“.......”

แล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรครับ ผมเป็นฝ่ายขยับสายตาหนีก่อน ผมเลี่ยงไปเปิดม่านแล้วก็มองฝูงต้นไม้ที่เขาเลี้ยงไว้ที่ระเบียง

“เอ่ออ... เหมือนมันเยอะขึ้นเลยเนอะคุณ”

“อื้ม ผมเพิ่งแยกกระถางออกมา ตั้งหลายถาด ต้องรอโตกว่านี้อีกนิดถึงขายได้”

“อ้อ ถ้าขายได้เยอะๆ ก็ดีเนอะ ต้นพ่อต้นแม่มันจะได้ดีใจ”

“อื้อ พ่อแม่มันก็คงดีใจแหละ แต่ผมดีใจกว่านะ มีเงินเลี้ยงข้าวคุณไง”

“เวอร์มั้ยคุณ แค่เลี้ยงข้าวผม 50–60 บาท ไม่ต้องรอขายต้นไม้ได้หรอก”

“50 บาทยังไม่ได้กุ้งเผาเลยนะ กินกุ้งแห้งแทนได้มั้ยล่ะ” ผมหดหน้าจากม่านมาเหล่มองเขาอีกรอบ เข้าใจแล้วว่าจงใจกวนตีนกันครับ เพราะเขายิ้มรอไว้ก่อนเลย ผมยิ้มปนหัวเราะนิดๆ แล้วก็วกเข้าห้องนอนตัวเอง โดยมีคำส่งท้ายจากเขาว่า

“เพลง everlasting น่ะ เผื่ออยากรู้”

คืนนี้ เพลงที่ผมฟังก่อนนอนมีชื่อเพลงตามที่เขาบอก แต่มันจะใช่เพลงที่เขาร้องไว้รึเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน


Home*Mate


ชีวิตผมกลับสู่ร่องปกติแล้วครับ มันไม่เงียบๆ เหงาๆ แปลกแล้วหลังจากที่ผมกับนายค้ำจุนพูดคุยเล่นหัวกันเหมือนเดิม เรายังมีนายต้นสนมาสร้างเสียงกรนในห้องนอนนายค้ำจุน เรามีต้นไม้มาขออาศัยยืนหลับไม่กี่คืนในห้อง และเรามีมื้ออาหารหรูหรากว่าข้าวต้มหน้าปากซอยถึ่ขึ้นนิดหน่อย

คืนนี้กำลังจะเป็นอีกคืนที่ผมได้กินมื้อเย็นหรูหรา  นายค้ำจุนบอกว่าจะเลี้ยงอาหารญี่ปุ่น ซึ่งผมดักทางไว้แล้วว่าห้ามเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเด็ดขาด ซึ่งเขาแค่ยักไหล่หัวเราะครับ

นายค้ำจุนขายไม้ล็อตใหญ่ได้อีกครั้ง ลูกค้าก็ไม่ใช่หน้าใหม่หรอกครับ คุณปาล์มนั่นเอง ล็อตนี้เขาสั่งไม้โขดร้อยกว่าต้นเลยครับ คละสายพันธ์กันได้และไซส์กลางหน่อย เลยไม่เปลืองพื้นที่พักไม้มากนัก แต่ก็ไม่รอดพักค้างอ้างแรมที่ห้องผมอยู่ดี

เรารับนัดส่งมอบต้นไม้ที่บ้านคุณลูกค้าเลยครับ เนื่องจากว่าอยู่ใกล้ๆ กับคอนโดผม เลยสะดวกกว่าไปนัดรับที่ร้าน นายค้ำจุนไม่อยากให้ไม้ช้ำ ทั้งที่รูปร่างพวกมันสมบุกสมบันจะตาย ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาเอาตะเกียงไหนส่อง ถึงได้มองว่าไม้โขดที่หน้าตาเหมือนกะลามะพร้าวขรุขระพวกนี้บอบบางน่าถนอม

บ้านคุณลูกค้าอยู่แถวสุขุมวิทตอนกลาง เขาให้แผนที่ร่างๆ มา แต่ผมผู้ฉลาดกว่ากูเกิลแมพย่อมพานายค้ำจุนไปถูกอยู่แล้วครับ

“ทำไมซอยดูเงียบแบบนี้อ่ะคุณ มาถูกป่ะเนี่ย”

“ถูกสิคุณ เนี่ย ตรงไปอีกนิดก็น่าจะถึง”

“น่าจะ? น่าจะเนี่ยนะ เฮ้ย ถ้าไม่ชัวร์ก็ไม่ควรให้เข้ามามั้ยอ่ะคุณ เกิดเป็นซอยตันทำไงเนี่ย ถนนซอยก็แคบ รถสวนก็เบียดกันสีข้างถลอกแล้วอ่ะ ไหนเอาแผนที่มาดู”

“ไม่ต้อง ขับไปเถอะน่า บอกว่าถูกก็ถูกดิ”

“กลัวมั่วแล้วผมจับได้ล่ะสิ เอามาดู”

“ก็บอกว่าถูกไง!” ผมเถียงกลับ ยืดแผนพี่กระดาษรวมถึงมือถือที่ผมเปิดเทียบเส้นทางมาไว้แนบอกตัวเอง ซ้ำยังยกขาขึ้นเป็นเกราะกำบังอีกชั้นหนึ่ง

“มั่วก็แค่ยอมรับว่ามั่ว เราตั้งหลักกันใหม่ก็ได้ ไม่ต้องทำท่าเป็นนางเอกโดนพระเอกลวนลามหรอกน่า คุณไม่ได้ตัวเล็กน่าถนอมสักหน่อย”

“เกี่ยวไรกับนางเอกพระเอกอ่ะ แล้วถ้าผมที่ตั้งการ์ดขนาดนี้เป็นนางเอก คุณก็น่าจะเป็นผู้ร้ายนะ ไม่ใช่พระเอกอ่ะ ห่างชั้นมากเหอะ”

“หึ...”
 
ผมล่ะเกลียดอาการสะอึกหัวเราะของเขามากครับ

“คุณก็ไม่ใกล้นางเอกเถอะ”

“ผมก็ไม่ได้อยากเป็นนางเอกนี่ คุณมาเปรียบก่อนเอง”

“ปกติคุณก็เถียงนี่ แต่นี่ไม่เถียงเรื่องเป็นนางเอก แสดงว่ายอมรับ”

กวนตีนมั้ยครับ?
แล้วงงมั้ยครับว่าเรามาเถียงกันเรื่องนี้ได้ไง
ผมจะง้างปากเถียงกลับ แต่ก็นึกได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สาระสำคัญวันนี้ ก็เลยก้มหน้าเช็คเส้นทาง แล้วก็โป๊ะเช๊ะครับ

“ถึงแล้วคุณ!!” รถเบรกเอี๊ยดทันทีที่ผมจิ้มปลายนิ้วไปสู่รั้วบ้านหลังหนึ่ง

กะด้วยสายตาแล้ว เราเข้ามาในซอยเพียงครึ่ง ส่วนอีกครึ่งที่เหลือ คือกำแพงของบ้านนี้ที่ทอดยาวไปจนสุดทาง

“ใหญ่เหี้ย”

“นั่นดิ กำแพงยาวพอๆ กับบ้านคุณเลย”

“หรอ? เออ ก็จริง
พื้นที่เยอะแยะ ทำไมไม่เพาะต้นไม้เองเนอะ มาซื้อให้เปลืองเงินทำไม”

“บางคนก็ไลฟ์สไตล์รวยไงคุณ
แล้วถ้าไม่มีคนแบบนี้ คุณจะขายใครไม่ทราบ ต้นไม้ที่ไม่น่าแพงแต่เสือกแพงของคุณน่ะ”

“เยอะแยะ” นายค้ำจุนยื่นหน้ามาตอบแล้วก็จอดรถเทียบหน้ารั้วเพื่อลงไปกดกริ่ง เขาวานให้ผมโทรฯ หาลูกค้าให้หน่อย แน่นอนว่าใช้โทรศัพท์เขานะครับ

“อ่ะ สวัสดีครับ คุณปาล์ม
ไม่ใช่ครับ ผมเป จุนกดกริ่งหน้าบ้านอยู่น่ะครับ
ใช่ครับ พวกผมเอง นี่จอดรถอยู่หน้าบ้าน
ครับ เอามาด้วยแล้ว แต่ไม่ครบนะครับ เดี๋ยวต้นเอาล็อตที่เหลือตามมา
ครับ อ่อๆ โอเค งั้นเดี๋ยวพวกผมเข้าไปเลยนะครับ”

คุณลูกค้าบอกให้ขับรถเข้าไปได้เลย ตรงไปตามทางปูนก็จะเห็นโรงเรือนเล็กๆ อยู่ จอดตรงนั้นได้เลย รออยู่
ผมถ่ายทอดสารที่ได้รับให้กับนายค้ำจุนได้ฟัง เขาพยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ขึ้นประจำที่คนขับ ทันทีที่รั้วเหล็กกึ่งทึบเปิดอ้าออก เราก็ได้เห็นโรงเรือนเล็กที่เขาบอกตั้งตระหง่านรอการเข้าเยี่ยมเยือน

และแล้วหน้าที่นับสต๊อกก็ตกเป็นของผมโดยที่ไม่ได้ร้องขอ นายค้ำจุนกับคุณลูกค้าเขายืนแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์กันอยู่ครับ แหม...ไอ้พวกเจ้าคนนายคน ช่วยสนใจคนใช้แรงงานด้วยโว้ยยยย!

“ 38  40 42  อ่ะ....เอ้อ ต้น ถึงได้แล้วอ่ะ” ผมรับโทรศัพท์แล้วทักถามเข้าประเด็นทันที ระดับนี้ไม่ต้องสวัสดีกันเพื่อถักทอมารยาทแล้วครับ นายต้นสนบอกพิกัดตัวเองมาปุ๊บ ผมก็บอกเส้นทางถัดมาปั๊บ ซึ่งไม่ยากเลยครับ เขาอยู่ปากซอยแล้ว ผมบอกให้ตรงเข้ามาจนกว่าจะเห็นรั้วสีไม้โอ้ค และกำแพงยาวๆ แบบที่หารั้วบ้านถัดไปไม่เจอ นั่นแปลว่าถึงที่หมายแล้ว

“ใหญ่เหี้ย” เชื่อแล้วครับว่านายค้ำจุนกับนายต้นสนเป็นเพื่อนรักกันและมีประสบการณ์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถอุทานได้เหมือนกันขนาดนี้ ไม่ใช่แค่คำอุทานนะครับ สีหน้าด้วย

“มาดิ จุนอยู่โน่นนนนน” ปากผมยื่นมาก ผมรู้ตัว และนายต้นสนก็สนุกกับการมองผมมาก ผมรู้ตัว

“เปหิวมั้ย เราแวะแม็กซ์แวลู่ระหว่างทาง มีแซนวิชติดรถอยู่”

“ก็หิวแหละ แต่จะเก็บท้องไว้กินอาหารญี่ปุ่นแพงๆ เอาให้คนจ่ายกระเป๋าแห้ง”

“อ่อ ได้ เอาเลย ไม่ต้องเกรงใจ”

“หือ? เห้ย ผมไม่กะจะแกล้งต้นนะ ไม่เอาๆ งั้นไม่ถล่มแล้ว”

“ถ้าเป็นไอ้จุนจ่ายคนเดียวจะแกล้งหรอ”

“แน่ดิ สนุกจะตาย ตอนเห็นหน้างกๆ ต้องควักกระเป๋าหยิบแบงก์พันหลายๆ ใบ”

“แกล้งผมก็ได้นะ
ก็....เพื่อนกัน
ผมก็เพื่อนเปเหมือนกัน....นี่”

“โหย.....
ละ....แล้วก็ไม่บอกแต่แรกว่าชอบโดนกระทำ
เตรียมตัวเลยครับคุณต้นสน คุณโดนผมถล่มแน่ กินไรดีว้า
จู่ๆ ก็มีเจ้ามือเสนอตัว อืมม เนื้อย่างก็ดีนะต้น หรือซูชิดี ชาเขียวนี่มีแบบพรีเมี่ยมมั้ยวะ
อืออออ พอมีคนเลี้ยงแล้วนึกไม่ค่อยออกเลยว่ะ”

ตอแหลดีจริงๆ เลยตัวผม
ผมเดินวนไปมาพลางพูดเมนูที่อยากกินออกมา
จริงๆ แล้วผมนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าผมอยากกินอะไร ผมก็แค่พูดออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับสายตาจริงจังของนายต้นสนที่มองตามผมทุกฝีก้าว

เขาคงรู้ ว่าผมสัมผัสความรู้สึกที่เขาแอบเอาไว้ได้ และเขาก็คงรู้ว่าผมกำลังเลี่ยงที่จะรับรู้ความรู้สึกเขาอย่างตรงไปตรงมา

ตราบใดที่เขาไม่เปิดเผยออกมาตรงๆ เขาก็จะไม่ได้คำตอบตรงๆ จากผม

นอกจากคำว่า “แฮ่... เราชอบเป” เขาก็ไม่เคยพูดความรู้สึกตรงๆ กับผมอีกเลย เสียงจริงจังที่ได้ยินอีกครั้งก็แค่ตอนที่เขาคุยกับเพื่อนสนิทเขาเรื่องที่ชอบผม และเพื่อนเขาก็บอกว่าชอบผมเหมือนกัน

ผมไม่รู้ว่าระหว่างเพื่อนรักสองคนนั้นวางเรื่องความรู้สึกที่มีต่อผมไว้ตรงไหนของเส้นความสัมพันธ์พวกเขา

แต่ตอนนี้ ผมดีใจที่นายต้นสนไม่แสดงความรู้สึกที่มีต่อผมตรงๆ
ผมไม่อยากทำร้ายเขาต่อหน้าเพื่อนรักเขา
ผมไม่กล้าทำร้ายเขาต่อหน้าเพื่อนรักเขา
ผมไม่ต้องการเป็นรอยเปื้อนในเส้นความสัมพันธ์ของเพื่อนของพวกเขา

ผมเป็นห่วง.....ผมห่วงความรู้สึกค้ำจุน


cut


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
ครึ่งปีที่ไม่ได้เจอกัน มันนานมากเลยนะคะ เราเข้าใจถ้าคนอ่านจะจำโครงเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว แต่ย้อนอ่านตอนก่อนหน้าก็ไม่ใช่เรื่องหนักเนื้อหาเท่าไหร่เนอะ แฮ่

ขออภัยที่หายไปนานมาก แต่ก็ยืนยันคำเดิมว่าเรายังเขียนนิยายอยู่ค่ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 17 (060720)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-07-2020 23:26:42
โหย....ดีใจที่มาต่อจ๊ะ เงียบหายไปนาน ไม่รู้ว่าป่านนี้ต้นไม้นายค้ำจุน โตจนทะลุเพดานไปแล้ว อิอิอิ
แหม... ค้ำจุน มีการบอกกับเพื่อนไปว่า ชอบเปล เหมือนกัน ดักทางเพื่อนไว้ก่อนละสิ
ต้นสน.. เข้าใจนะ ว่าจีบเปลไม่ติดแต่ก็น่าสงสารนะ เพราะการชอบใครสักคน ก็อยากให้เขาชอบตอบ
เปล... สนใจรายละเอียดของค้ำจุนไปเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว นั่นแหละ ที่เขาเรียกว่าแอบชอบแล้วละ อิอิอิ
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 17 (060720)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-07-2020 01:56:38
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 17 (060720)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 07-07-2020 14:20:51
ดีใจที่มาต่อ..มาบ่อยๆนะคะกลัวตันไม้มันตาย
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 17 (060720)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 07-07-2020 20:54:25
 o13
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 17 (060720)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-07-2020 15:00:53
แต่งง ซ้อมพูดไว้ตอนเค้าบอกชอบแค่นี้พอแล้วล่ะ เปเอ้ยยย  :hao3:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 18 (021220)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 02-12-2020 23:40:34
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [18]



แม้จะได้เงินก้อนโต แต่เสี่ยค้ำจุนจุนเจือผมด้วยก๋วยเตี๋ยวเรือหลายชาม ยอดใช้จ่ายมื้อนี้ห้าร้อยกว่าบาทเท่านั้น เทียบกับการทำหน้าที่ชี้พิกัดซื้อขายแล้ว....ก็สมน้ำสมเนื้อแหละครับ

ดูเหมือนว่านายค้ำจุนจะเชื่อว่าผมเป็นนางกวักของร้านต้นไม้เขาจริงๆ สังเกตุจากการพกพาผมไปในทุกการค้าขายล็อตใหญ่ รอบนี้ก็ได้มาหลายหมื่นครับ

ระหว่างที่กำลังเล็งว่าจะซื้อขนมถ้วยกลับไปกินที่ห้องด้วยดีมั้ย ยังไงๆ มันก็ของกินที่มักถูกขายคู่กัน นายต้นสนก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาครับ เป็นประเด็นที่ผมไม่เคยรับรู้มาก่อน

นายต้นสนถามเพื่อนเขาว่า
“จุน แล้วตกลงที่ว่าจะไปดูห้องใหม่แถวกำแพงเพชรล่ะ?”

ห้องใหม่อะไรวะ?
ผมที่หันหลังให้พวกเขาอยู่และยืนห่างออกมาพอสมควรเพื่อมาเลือกซื้อขนมถ้วยยอมรับตรงๆ เลยว่าไม่สนใจขนมถ้วยใดๆ แล้วครับ
ผมสืบสาวเรื่องราวของนายค้ำจุนจากคำถามสั้นๆ ของเพื่อนเขาแล้วได้ความว่า นายค้ำจุนกำลังหาที่อยู่ใหม่ เขาคิดจะย้ายออก

เอ๊ะ!  แล้วสัญญาเช่ากับผมล่ะ เซ็นกันไว้ตั้ง 6 เดือนไม่ใช่หรอ นี่ก็เดือนที่....5 เอง

ผมหมดอารมณ์หารสหวานเคลือบลิ้นเอาดื้อๆ ทำเพียงแค่เดินออกมารอพวกเขาหน้าร้าน ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรจากนายต้นน  ทำเหมือนไม่ได้รับรู้ความคิดที่นายค้ำจุนซ่อนเอาไว้

ผมพยายามทำเหมือนว่าไม่มีอะไรกำลังเปลี่ยนแปลง


Home*Mate


เช้านี้ผมตื่นมาเจอคนอู้งานครับ
วันนี้เป็นวันที่ผมจองคิวแม่บ้านให้มาทำความสะอาดที่ห้องเอาไว้ นายค้ำจุนก็เลยลางานเพื่อคอยยืนห้ามปรามแม่บ้านไม่ให้มายุ่งกับระเบียงต้นไม้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยใช้วิธีง่ายๆ เช่น กำชับนิติไว้ก่อนออกไปทำงานในวันนัดนั้นๆ หรือเขียนโน้ตตัวโตๆ แปะไว้ที่หน้าต่างระเบียงบานยาวว่า ‘ไม่ ต้อง ทำ ความ สะ อาด ระ เบียง’ หรอกนะครับ เราทำมาหมดแล้ว แต่ระเบียงต้นไม้ของนายค้ำจุนก็ไม่เคยอยู่ในสภาพเดิมตามที่เขาจัดวางไว้เลย

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เดือนที่แล้ว เขาก็ลางานเพื่อมาเฝ้าแม่บ้านทำความสะอาดห้อง

“ดีคุณ” มันเป็นคำทักทายตอนเช้าของเราครับ แปลได้หลายอย่างแล้วแต่อารมณ์

“อื้อ ดีคุณ
ลาเฝ้าต้นไม้อีกแล้วหรอ”

“ต้องเฝ้า หรืออยากเห็นผมงี่เง่าอีก ติดใจหรอ” พูดมาเองแล้วเขาก็ขำตัวเองครับ ผมหันไปขำด้วยนิดหน่อยแล้วก็เดินยัดเสื้อเข้าในกางเกงไปพลางระหว่างทางเข้าครัว

เช้านี้มีขนมปังปิ้งทาแยมส้มสองชิ้นครับ สงสัยพ่อครัวขี้เกียจ
พอเห็นว่ามีอะไรให้กิน ผมก็หันมองหน้าเขา
“แค่นี้หรอ”

“อือ ไม่พอหรอ กาแฟมั้ย”

“ไม่ๆ พอ เดี๋ยวผมไปซื้อที่ออฟฟิศเอา”

“อ่อ” เขารับคำ แล้วก็เดินเข้ามาในครัวแคบที่มีตัวผมยืนแทะขนมปังปิ้งอยู่ เขากางศอกมาดันให้ตัวผมหลบไปจากพิกัดปลายทางของเขา ใช่ครับ ครัวมันแคบ มันไม่เหมาะกับการมายืนเบียดกัน แต่ผมก็ขี้เีกียจเกินจะย้ายตัวเองเพื่อเพิ่มความสะดวกให้เขา

เราก็เลยยืนเบียดกันอยู่หน้าซิงค์ คนหนึ่งแทะขนมปัง อีกคนชงกาแฟอย่างกระมิดกระเมี้ยน

“แล้วคุณจะอยู่ห้องทั้งวันหรอ” ผมถามระหว่างที่ยืนกัดขนมปังไปเรื่อยๆ

“เดี๋ยวอยู่กำกับแม่บ้านเสร็จจะไปข้างนอก”

“ไปไหน ซื้อของหรอ” ผมถามต่อโดยที่ไม่ได้มองหน้าเขา
“พวกกระดาษทิชชู่มันหมดแล้วอ่ะคุณ ฝากซื้อเข้ามาก่อน ฉุกเฉินๆ เดี๋ยวเสาร์นี้ค่อยไปซื้อของเข้าห้องกัน คุณว่างใช่มั้ย” ยังคงเป็นผมที่พูดยาๆว อยู่นานสองนาน แต่พอรู้สึกได้ว่าคู่สนทนาไม่ตอบโต้ ผมเลยหันไปมองหน้าเพื่อขอคำตอบ

นายค้ำจุนไม่ได้ตอบอะไร เขาจิบกาแฟที่มันน่าจะร้อนพอควร แล้วก็คาแก้วไว้ที่ริมฝีปากอยู่แบบนั้น ราวกับกำลังใช้เครื่องเคลือบกระเบื้องชิ้นนี้อุดปากตัวเอง

ผมไม่เค้นอะไรต่อ ใช้มือแหวกเขาออกจากการขวางทางผมกับตู้เย็นแล้วก็รินน้ำเปล่าดื่มตามปกติ

ที่ทำเหมือนไม่มีอะไรกำลังเปลี่ยนแปลงมาตลอดอาทิตย์หนึ่ง ช่างสูญเปล่า
แต่ผมก็จะใช้ชีวิตของผมไปตามปกติ เพราะแม้จะกระโตกกระตาก หรือพยายามฝืนการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไร ผลลัพท์ก็คงไม่เปลี่ยน อีกอย่าง ผมไม่รู้ว่าผมจะ ‘ไม่ปกติ’ ไปเพื่ออะไร


.


ยาดาเป็นเพื่อน หรือเป็นแม่ เป็นพี่สาวผม ก็ไม่แน่ใจนัก แต่ทันทีที่เพื่อนคนนี้เห็นหน้าผม
คำถามตรงประเด็นก็วิ่งชนผมทันที

“เครียดอะไรเรื่องคุณค้ำจุนหรอ”

อะไรกัน? หน้าผมมันชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ? แล้วถ้าชัดเจนนัก ทำไมแย้มปากเอาคำตอบจากนายค้ำจุนไม่ได้

“เปล่านี่” ผมโกหก

“โกหก” แล้วก็โดนจับได้ทันทีครับ

ผมถอนหายใจดังๆ เดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดคอม แสร้งดูคิวงาน แสร้งเช็คข่าวสารประจำวัน แสร้งหาปากที่ใช้ประจำไม่เจอ แสร้งทำนั่นนี่ทุกอย่างแล้ว ยาดาก็ยังยืนค้ำหัวกอดอกมองหน้าผมอยู่เหมือนเดิม

“เฮ้อออออ” ผมถอนหายใจดังกว่าเดิม เท่านั้นแหละครับ ยาดาลากเก้าอี้ทำงานส่วนตัวมานั่งประกบอยู่ข้างผมทันที


“ก็ จะครบกำหนดที่เซ็นสัญญาเช่าห้องแล้วไง
แล้วก็...เหมือนเค้าจะหาที่อยู่ใหม่
ก็แค่เค้าจะไม่อยู่กับเราแล้ว แค่นั้นแหละดา”

มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยครับ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่ากำลังเสียใจมากเลย


Home*Mate


เราอยู่กันเงียบๆ มากขึ้น
จริงๆ แล้วที่มันเงียบกว่าปกติ ก็เพราะว่าผมไม่ค่อยพูดอะไร และเขาก็ไม่ได้ชวนคุยเพิ่ม เราต่างคนต่างเก็บตัวอยู่ในห้องนอน แม้เขาจะเตรียมอาหารเผื่อผมเหมือนเดิม ซื้อของเข้าห้องเผื่อส่วนของผมเหมือนเดิม แม้ผมจะมาช่วยเขาตอบแชทลูกค้าที่ถามหาต้นไม้ในเพจเฟสบุ้คอยู่บ้าง แต่ผมรู้ว่า เขาและผมต่างก็รู้ดีแก่ใจ่าอะไร อะไร ที่เคยเหมือนเดิม กำลังจะหายไป

วันนี้วันอาทิตย์ นายค้ำจุนมีนัดกะทันหันขึ้นมาครับ เขาจะไปแหล่งผสมดินของเจ้าของโรงเรือนหนึ่ง ซึ่งพิกัดอยู่จ.สมุทรปราการ

ตัวช่วยที่ดีที่สุดของเขาก็คือผมน่ี่แหละครับ
แน่นอนว่าเขาขับรถ ปักหมุดไว้ท่ี่กูเกิลแมพ แต่ผมก็เป็นคนทำความเข้าใจเส้นทางให้อยู่ดี
เราใช้เวลาขับรถมาตามเส้นทางแค่ 20 นาทีก็ถึงที่หมายแล้วครับ
เป้าหมายปลายทางอยู่ในหมู่บ้านเดี่ยวแบรนด์ดัง นายค้ำจุนบอกบ้านเลขที่กับเจ้าหน้าที่รปภ.ตรงจุดตรวจ แล้วก็ผ่านฉลุยเข้าโครงการมา เพราะว่าเจ้าของบ้านเขาแจ้งไว้แล้วว่าจะมีแขกมาหา

ตัวบ้านเดี่ยวและพื้นที่โดยรอบทำให้ผมต้องเช็คมายด์เซ็ทตัวเองครับ
คำแรกที่เขาบอกคือ จะไปเอาดิน ใครจะไปคิดล่ะครับว่าบ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้จะอนุญาตให้ใครก็ไม่รู้มาขุดดิน

ดูเหมือนนายค้ำจุนจะมองออกว่าผมกำลังงงงวยหนักๆ เขาเลยหัวเราะก่อนจะอธิบายเพิ่ม

“บ้านพี่ก้องกับพี่อ้อไง”

“อ๋ออออ” ไปอย่างนั้นแหละครับ สมองยังหาเรฟเฟอเรนซ์ไม่เจอเลย ผมเห็นนายค้ำจุนหัวเราะหนักแล้วก็ดับเครื่องยนต์เพื่อโทรศัพท์แจ้งเจ้าของบ้านว่าแขกมาถึงแล้ว ในขณะที่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าพี่ก้องกับพี่อ้อคือใครหว่า?

.

“เข้ามา เข้ามาก่อน
มาเลยยย โอ้ยพี่ก้องแมว แมว แมว แมวออกแล้ว!!!
จุนเข้าไปเลย ไม่ต้องถอดรองเท้า
เอ้า แล้วนี่ยืนนิ่งทำไม เข้ามาสิ” ผู้หญิงคนนี้คือพี่อ้อครับ พอได้เห็นหน้าและเห็นลีลาการพูดเก่งๆ แล้ว ผมก็นึกออกเสียทีว่าเคยเจอพี่ 2 คนนี้ที่ไหน

พวกเขาคือพ่อค้าแม่ค้าแคคตัสที่นายค้ำจุนสนิทและเคยแวะไปตามหาต้นไม้ที่ร้านเขาในดึกๆ คืนหนึ่ง โดยหนีบผมไปด้วย

พี่อ้อคนนี้คือคนที่ถามผมว่าไปโดนตัวไหนมา ฮ่าๆๆๆ นึกถึงความซื่อของตัวเองที่ไม่เข้าใจภาษาวงการนี้แล้วก็ขำดีครับ

พอรู้แล้วว่าใครเป็นใคร ผมก็สำรวจขนมนมเนยที่พี่อ้อเอามาประเคนตรงหน้าอย่างสบายอกสบายใจครับ ส่วนนายค้ำจุนหายไปทางข้างบ้านที่เป็นพื้นที่โรงเรือนขนาดย่อม 2 โรงติด และพื้นที่รกๆ อีกหย่อมหนึ่ง เดาว่าเป็นหย่อมดินหย่อมหญ้า

“เปดื่มกาแฟมั้ย หรือว่าน้ำอัดลม”

“กาแฟครับ แต่เปทำเองได้นะครับ พี่อ้อไม่ต้องลำบาก”

“โอ้ยบ้านพี่ ให้เปทำเองพี่น่าจะลำบากกว่าเดิมนะ หรือเรารู้ว่าเครื่องชงกาแฟอยู่ไหน แก้วอยู่ไหน หือ?” เออก็จริง ผมหัวเราะแฮะ แล้วก็นั่งทำตัวให้สมกับเป็นแขก

บ้านนี้น่ารักมากครับ สัดส่วนของบ้านทำออกมาได้อย่างลงตัวชนิดที่ว่าผมมาบ้านนี้ครั้งแรก แค่ปราดตามองเฟอร์นิเจอร์ก็รู้ฟังค์ชั่นของพื้นที่เลย

“โอ๊ะ พี่ก้องนี่ครับ” ผมชี้สิ่งที่สะดุดตาเข้าแล้วก็ส่งสายตาถามนายหญิงของบ้าน พี่อ้อชะเง้อดูสิ่งที่ผมสนใจก่อนจะตอบอย่างไม่ตื่นเต้น

“อื้อ พี่ก้อง”

ที่ผมสนใจก็คือนิตยสารเกี่ยวกับ Cactus & Succulent ที่มีหน้าพี่ก้องอยู่ในวงกลมเล็กๆ มุมขวาบน

เมื่อเจ้าของบ้านไม่ได้แสดงท่าทีว่าห้ามอ่าน ผมก็เลยหยิบนิตยสารเล่มนั้นขึ้นมาพลิกอ่านข้างในดูครับ

ส่วนมากเป็นภาพต้นไม้สายพันธ์ตามหน้าปกแหละครับ หลากหลายมาก แปลกตาก็มาก น่ารักก็ยิ่งมากเข้าไปใหญ่ แล้วผมก็เจอเรื่องราวของพี่ก้องที่ถูกขยายเป็นเรื่องราว 2 หน้า กำลังจะจดจ่ออ่าน พี่อ้อก็ยื่นกาแฟหอมฉุยมาตรงหน้า

“ขอบคุณครับพี่อ้อ”

“จ้า ไหน อ่านอะไร อ๋อ พี่ก้อง
ไม่อ่านของค้ำจุนล่ะ พี่ว่าน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ”

“ห๊ะ? เรื่องค้ำจุนหรอครับ”

“อื้อ
นี่ อยู่เล่มนี้มั้ง ไม่ก็เล่มอื่น แต่ดีกว่าอ่านเรื่องพี่ก้องเยอะ พี่ก้องเขาสายไม้ตกทอด”

คืออะไรวะ ไม้ตกทอด แต่ช่างมันเถอะ
ผมยิ้มขอบคุณเจ้าของบ้าน แล้วก็วางเรื่องราวของพี่ก้องลงก่อน เพื่อจะหาเรื่องราวของนายค้ำจุนที่ผมไม่เคยรู้ ไม่เคยอยากรู้ แต่ตอนนี้กระหายจะเรียนรู้เหลือเกิน


ปวริทธิ์ กุศลานนท์
ที่ผ่านมา 5 เดือนกว่า ผมแทบไม่รู้จักเขาเลย



cut


มาแล้วค่าาาาาาา
ขอแจ้งข่าวนิดนึงนะคะ

สืบเนื่องจากการเว้นช่วงลงไว้นานมาก หลายครั้งแล้ว และคิดว่าน่าจะผิดกฎเล้า และอาจถูกลบกระทู้นิยายออกไป (ซึ่งแน่นอนว่าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลยยยยย)
ฉะนั้น เพื่อรองรับความเสี่ยงกรณีเกิดเหตุการณ์กระทู้ถูกลบไป จึงขอรบกวนผู้อ่านทุกท่านที่อยากติดตามงานเขียนเราต่อ ติดตามเพจเฟสบุ้คเราไว้หน่อยนะคะ เพื่อแจ้งข่าวสารให้ทราบว่าเราลงนิยายไว้ที่ไหนอีก เฟสบุ้ค สแลช saturdayseriess

ขอบคุณค่ะ

ตอนต่อไป น่าจะปีหน้านะคะ ส่งท้ายปีนี้กันด้วยความค้าง...มั้ยนะ?

 :katai3:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 18 (021220)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 03-12-2020 09:43:55


เจ้าเปเอ้ยยยย  แลดูความคิดเองอีกแล้วจะกลับมาอีกแล้ว  :ling3: 


นี่ไม่ได้คาดหรอกแต่เชื่อว่านายจุนต้องหอบน้องไปด้วยแน่ๆ 55555555555  :katai2-1:  :katai2-1:


ขอบคุณค่าสำหรับตอนใหม่ รอตอนต่อไปเสมอจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 18 (021220)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-12-2020 11:14:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2:  back

แต่...มาแบบค้างคามาก  แถมตอนต่อไปต้องรอถึงปีหน้าเลยอ่ะ   :sad4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 18 (021220)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 03-12-2020 19:33:34
คิดถึงมากมาย ดีใจที่กลับมาแล้ว
 :เหอะ1: :เหอะ1: :เหอะ1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 18 (021220)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 08-12-2020 02:01:10
โอ๊ะ โอ น้องเปจะได้รู้เรื่องอะไรของนายค้ำจุนน้าาา

 :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 18 (021220)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-12-2020 18:16:28
รวดเดียวจบบ รีบมาอีกน้าาาา
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 19 (010521)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 01-05-2021 00:13:14
Home*Mate [19]

นายค้ำจุนเป็นคนดังคนหนึ่งครับ
เขาเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนรักและอนุรักษ์ต้นไม้
ของรักของเขาคว้ารางวัลมากมาย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เขาเป็นเด็กม.ปลาย จากจังหวัดราชบุรี

นอกจากความดังเรื่องเด็กเลี้ยงต้นไม้เก่งแล้ว เขายังเคยมีผลงานในวงการบันเทิงด้วยครับ
เขาเคยเล่นหนังสั้น เป็นพระเอกตอนช่วงวัยรุ่น
เคยเป็นพระเอกเอ็มวีด้วย
แล้วก็ยังเป็นนักเรียนทุนขององค์กรเอกชนระดับชาติชื่อดังด้วยครับ
ทำไมผ่านอะไรมาเยอะจังวะ?

“เด็กคนนี้น่ะ อะไรได้เงินแล้วไม่ขัดใจตัวเองนัก เค้าก็ทำ”  พี่อ้ออธิบายขึ้นมา สงสัยสีหน้าและหัวคิ้วของผมจะแสดงออกชัดเกินไป

ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือกองย่อมๆ ที่มีเรื่องราวของนายค้ำจุดสอดแทรกอยู่เล่มละ 2-4 หน้า รู้สึกปวดสายตาหนึบขึ้นมาทันที พี่อ้อผู้เป็นเจ้าของบ้านและเจ้าของหนังสือพวกนี้หัวเราะผมในลำคอ

“ขยันเนอะ จุนเนี่ย”

“งกล่ะมั้งครับ”

“ก็จะไม่เถียงหรอกนะ แต่เค้ามีเหตุผลที่ต้องงก แล้วก็ค่อนข้างระวังตัวเรื่องเงินๆ ทองๆ แหละน้า”

“ทำไมหรอครับ จุนเคยโดนโกงหรอครับ”

“อื้อ และถ้าไม่ใช่คนใกล้ตัว ก็คงไม่เซมากขนาดนี้”
“เมื่อก่อน จุนเป็นเด็กขี้โม้ พูดมากจนพี่ยังรำคาญในบางทีเลย”
“พอเกิดเรื่อง ก็เก็บปากเก็บคำอย่างที่เห็นนี่แหละ กวนตีนขึ้นด้วย”

“มันเกิดอะไรขึ้นหรอครับพี่อ้อ”

“ก็นะ ก็ผ่านมานานแล้ว น่าจะเล่าได้ล่ะมั้ง”
“พี่ชายเค้าโกงเงินที่บ้านไปน่ะ จริงอยู่ที่มันก็ไม่ได้ทำให้จุนกับน้าลวัลย์ลำบากอะไรนัก แต่เค้าก็เจ็บใจน่าดู แผลใหญ่เชียวแหละ ฝ่ายพี่ชายก็นะ....ทำได้ลงคอ”

“พี่ชายจุนโกงเกินแม่กับจุนหรอครับ โอ้โห ไม่ดีเลย”

“พี่ชายอุปการะด้วย จุนเค้าไม่ได้เจ็บใจเพราะทำร้ายเค้าหรอก เค้าเจ็บใจที่ทำร้ายแม่เค้าได้ลงคอ น้าลวัลย์เค้าก็จะออกจะรักฝ่ายนั้นเหมือนลูกแท้ๆ”

“อ่อ ซับซ้อนได้อีก” ผมพึมพำ กลับไปแช่สายตาที่หน้ากลางของนิตยสารเก่าๆ ตรงหน้า รูปเด็กชายปวริทธิ์ยังชัดดีอยู่ เค้าโครงหน้าเด็กชายคนนี้คือนายค้ำจุนที่ใช้ชีวิตร่วมห้องกับผมมาเกือบ 6 เดือนไม่ผิดแน่ เด็กคนนี้ยิ้มเห็นฟันเป็นระเบียบ ในมือถือประคองกระถางต้นไม้ที่มีเจ้าฟรองซัวร์สักสายพันธ์หนึ่งชูคอและโขดอยู่อย่างสวยงาม ด้านหลังมีแม่ลวัลย์ซึ่งผมจำหน้าได้แม่น ข้างๆ แม่มีผู้ชายมาดเท่ และเด็กผู้ชายอีกคนยืนยิ้มอยู่ไม่ห่าง

พวกเขาคือครอบครัว หากผมมองภาพนี้แล้วนิยามด้วยคำสั้นๆ แบบนี้ก็คงไม่ผิดเพี้ยนนัก แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากพวกเขายิ้มอิ่มใจระหว่างที่ถูกถ่ายรูปนี้ ทำให้ผมรู้สึกเศร้าแทนเด็กชายปวริทธิ์อย่างบอกไม่ถูก

“พี่อ้อ แล้วคนนี้ พ่อค้ำจุนหรอครับ”

“อื้อ จ้ะ
เสียไปตอนช่วงจุนเอนทรานส์ล่ะมั้ง ถ้าพี่จำไม่ผิดนะ โชคดีที่พี่ก้องไปเจอซากเข้าให้ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะเป็นรูปเป็นร่างเหมือนทุกวันนี้รึเปล่า”

“แย่มากเลยหรอครับ”

“เท่าที่พี่เห็นก็คือแย่นะ แต่เปลองถามเค้าดูสิ
ป่านนี้แล้ว พี่ว่าเค้าพร้อมจะเล่าเรื่องราวของเค้านะ ถ้าคนถามอยากรู้จริงๆ และเค้าอยากให้รู้จริงๆ น่ะ”

จะเล่าให้ผมฟังหรอ?
ในเมื่อเรา...ไม่ได้สนิทกันมากมาย
อีกอย่าง.... เดี๋ยวจะเป็น ‘คนอื่น’ กันแล้ว


Home*Mate


เราชวนกันแวะคอมมูนิตี้มอลล์แถวบ้านพี่ก้องพี่อ้อ เพื่อซื้ออาหารพร้อมทานติดมือกลับคอนโดกันครับ เพราะว่าตอนนี้ใกล้ค่ำแล้ว แม้ว่าเจ้าของบ้านจะคะยั้นคะยอให้อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันสุดแรง แต่นายค้ำจุนก็ยืนยันว่าไม่อยากรบกวนมากกว่านี้ เราก็เลยต้องจบที่การหาซื้อกิน จะซื้อของสดกลับไปปรุงอาหารกินเองคงหิวตาย ต่อให้นายค้ำจุนไม่หิวตาย ผมก็จะโชว์หิวตายให้เขาดู

“คุณๆ ขนมปังนี้ด้วยดิ อร่อย” ผมดึงแขนเขาไว้ รั้งให้อีกฝ่ายเอี้ยวตัวมามองของในมือที่ภูมิใจนำเสนอ

“ปังหมูหยอง?”

“อื้อ อร่อย”

“หรอ”

“อื้ออออ อร่อย”

“เอาดิ แต่ถ้าผมกินแล้วไม่อร่อย คุณต้องรับผิดชอบกินเองให้หมดนะ”

“ก็บอกว่าอร่อยไง” ผมยืนยัน ย้ำด้วยการย่นคิ้วแข็งขัน อีกฝ่ายใช้หางตามองแล้วก็ไม่ได้ห้ามลาภปากใดๆ

หากใครสงสัยว่าทำไมผมต้องขอความเห็นเขาด้วย อยากกินอะไรก็ซื้อไปสิ ผมก็จะทวนที่มาของการกึ่งขออนุญาตนะครับ เราหาร 2

“เอาน้ำจิ้มสุกี้แบบไหน” ครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายหันมาถาม ในมือเขามีขวดน้ำจิ้มสุกี้ 2 ยี่ห้อดัง นายค้ำจุนยกมือซ้ายทีขวาที เพื่อให้ผมเลือกสะดวก

“อันนี้” ผมให้คำตอบแล้วชี้ไปที่ขวดในมือซ้าย และมันก็บินกลับไปยืนที่เดิมครับ ส่วนอีขวดในมือขวาบินไปยืนโอ่อวดตัวในรถเข็น
“แล้วถามเพื่อ?”

“เพื่อไม่เลือก...
...ก็คุณติดหวาน” เขาหันมาแก้ตัวเมื่อเห็นผมยู่ปากพร้อมเอาเรื่อง
“ผลไม้มั้ย” พ่อบ้านจำเป็นหันมาขอความเห็นผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมส่ายหน้า แล้วก็เดินนำเขาไป ให้มันรู้ซะบ้างว่าอย่ามาทำให้ผมอารมณ์ขุ่น

ผมไม่ได้งอนเขานะครับ แต่แสดงอำนาจให้รู้ว่าใครเหนือกว่า

เราได้มื้อเย็นสำเร็จรูป ของใช้ในบ้าน เครื่องปรุงติดตู้เย็น และผลไม้ที่ผมไม่ได้เลือก ระหว่างมุ่งหน้ากลับคอนโดกัน นายค้ำจุนก็พูดเรื่องสำคัญขึ้นมาด้วยใบหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย

“เหมือนว่าสัญญาเช่าห้องจะหมดสิ้นเดือนนี้นะ”

“..............”

“คุณเอาไง”

ทำไมมันถึงกลายเป็นผม ที่ต้องหาคำตอบว่า....เอาไง


.

คุณ เอา ไง

ไอ้ประโยคนี้มันหมายถึงอะไรบ้างวะ?

คือขอความเห็น? หรือว่าโยนให้ผมตัดสินใจเปรี้ยงเดียวจบไปเลย? หรือชวนหารือ หาทางออก?

แต่นั่นมันปัญหาของเขาไม่ใช่หรอ?
ถามผมทำไมกัน เขาอยากเอาไง ก็เอางั้นแหละ


ผมไม่ได้ตอบอะไรเขา
เราแยกย้ายกันเข้าห้องนอนเมื่อกินข้าว ล้างจาน และอาบน้ำกันแล้ว

ผมปล่อยให้ 3 คำ ของเขารบกวนช่วงเวลาก่อนนอนของผม และตามมาหลอกหลอนผมในความฝัน

“อยู่กับผมต่อเถอะคุณ อยู่ด้วยกันนะจุน” ในฝันผมพูดแบบนี้กับคนที่ผมรู้จักหน้าดีแม้ว่าเขาจะยืนหันหลังให้

ในฝันอันเดียวกันนั้น นายค้ำจุนเดินออกจากห้องไป เสียงฝีเท้าเขาดึงก้องไปทั่วโสตประสาท ผมยืนใจสลายประจันหน้ากับประตูสีไม้โอ้ค ห้องนี้ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย

บ้าเอ้ย! ฝันบัดซบ!!


Home*Mate


สิ้นเดือนมาถึงเร็วกว่าที่คิดมากๆ 

เวลาเดินเร็วเสียจนผมไม่สามารถหาคำตอบหรือทางออกให้กับคำ 3 คำที่ถูกโยนมาแบบกระทันหันได้เลย

คุณ เอา ไง....

“เอาไงดีวะ?” ผมปรึกษากับตัวเอง นิ้วมือขยับขึ้นลงเบาๆ บนแป้นคีย์บอร์ด แม้สายตาผมจะจับจ้องไปที่จอมคอมพิวเตอร์ที่มีเนื้องานรออยู่ตรงหน้า แต่ผมก็เอาสมองทุ่มเทคิดอยู่แค่ว่า เอาไง?

“เป....”
“เป!!!”

ผมถูดกระชากเสียงเรียกจากเพื่อนรัก ยาดาเลื่อนตัวเองและเก้าอี้มาขนาบข้างแล้วยื่นหน้ามาถาม

“เหม่อมากไรมาก
เป็นอะไร ไหนเล่ามาให้หมดสิ”

“ก็......”

“อย่าบอกว่าไม่มีอะรไ หน้ามันฟ้อง
เรื่องคุณค้ำจุนหรอ ใช่ป่ะ ใช่ป่ะ?”

“เออ ก็เรื่อง นั่นแหละ
เรื่องจุน”

“คุณค้ำจุนทำไม ป่วยหรอ? หรือมีปัญหาอะไร เอ้า! ไม่รีบเล่าล่ะ?”

“อยากรู้เกินไปมั้ยดา..
ก็จะเล่าอยู่นี่ไง จี้อยู่ได้
คือ สิ้นเดือนนี้ก็ครบสัญญาเช่าห้องเราแล้ว จุนก็เลยถามว่าเอาไงดี”

“หือ? ถามใคร
ถามเปหรอว่าเอาไงดี”  ยาดายังประหลาดใจกับเรื่องนี้เลยครับ

“อือ สักอาทิตย์ก่อน จู่ๆ ก็ถามว่าใกล้หมดสัญญา เราจะเอายังไง”

“ถามเปว่าเปจะเอายังไงเนี่ยนะ?
เฮ้ยยยย เค้าอ่อยเปอ่ะ!”

อ่อยพ่องงงงงงงง!

ผมใช้สายตาสบถ ดันยาดาและเก้าอี้มีล้อกลับไปที่โต๊ะแล้วก็ลุกไปเข้าห้องน้ำทั้งที่ไม่ได้อยากขับถ่ายใดๆ ครับ

หรืออ่อยจริงวะ
อ่อยในความเข้าใจของผม คือเขาถามความเห็นผมและพร้อมจะทำตามที่ผมแนะนำ เช่น ถ้าผมบอกว่า ต่อสัญญาอีก 6 เดือนสิ เขาก็จะเซ็นชื่อในสัญญาโดยง่ายและไม่ไต่ถามเรื่องราคาค่าเช่าที่อาจจะปรับขึ้นแต่อย่างใด

แต่มันก็แค่ความคิดของผมฝ่ายเดียวนั่นแหละ ไม่แน่ว่าเขาจะเป็นอย่างที่ผมคิดเสียเมื่อไหร่

การล้างมือเอื่อยและพยายามหาคำตอบรังแต่จะสิ้นเปลืองน้ำเปล่าๆ ผมถอนหายใจหอบใหญ่เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าเย็นนี้จะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง

.

หลังเลิกงานวันนี้ผมตรงดิ่งกลับคอนโดโดยไม่แวะสังสรรค์กับร้านสะดวกซื้อเลย แม้จะตะหงิดในอยู่ว่าของกินเริ่มหมดแล้วและอาจต้องลงมาซื้อของกินหน้าแถวๆ คอนโดอีกรอบก็ตาม

ผมมุ่งมั่นมาก ผมจะยื่นข้อเสนอให้เขาสัญญาแต่ขอปรับราคาค่าเช่าห้องใหม่ เซ็นสัญญากัน 6 เดือนเหมือนเดิม และพอหมดสัญญาค่อยคุยกันใหม่ ถ้าเขาโอเคกับเงื่อนไขนี้ เราก็อยู่ด้วยกันต่อไป แต่ถ้าไม่...เรื่องราวก็เดินมาตอนจบในที่สุด

และด้วยความมุ่งมั่นที่น่าจะมากเกินไป ผมก็เลยกลับถึงคอนโดเร็วมาก และก็ตามคาดครับ ในตู้เย็นไม่มีอะไรให้นำมาพอทำกินรองท้องได้เลย สิ่งที่ผมได้ดีที่สุดระหว่างรอคุยกับนายค้ำจุนก็คือ....นอน

ตื่นอีกทีก็ฟ้ามืดแล้วครับ ผมตื่นเพราะร้อน และไม่ใช่เวลานอนที่ร่างกายคุ้นเคย กำลังจะลุกมาเปิดไฟในห้องก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน ผมก็เลยนั่งฟังอยู่เงียบๆ

มันคือเสียงนายค้ำจุนกับต้นสนครับ หัวข้อที่เขาคุยกันอยู่ก็คือ จะบอกผมยังไงดีเรื่องย้ายออก

งั้นก็เท่ากับว่าเขาตัดสินใจแล้วว่าไม่แยกย้ายจากกันไป แล้วเขาจะมาทิ้งคำ 3 คำให้ผมขบคิดมาทั้งอาทิตย์ทำไมกัน

กูยังไม่ได้บอกเป แต่ก็ไม่ต้องบอกก็ได้มั้ง ทุกอย่างก็ตามสัญญาเขียนไว้หมด
ต่อให้หายไปหมดนี่ เขาก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้น
มันก็อัดกันไปจริงๆ นั่นแหละ ที่นี่ไม่ไหวจริงอย่างที่มึงพูดก็ใช่


นี่คือสิ่งที่ผมจะได้ยินครับ
นี่คือคำพูดนายค้ำจุนทั้งนั้นเลย

ผมรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว
เพื่อนร่วมห้องคนเดียวที่ผมได้มี เขาจะไปแล้ว

ผมโอเค ผมบอกตัวเองแบบนั้น และผมก็เชื่อแบบนั้น อย่างน้อยๆ ผมก็กำลังพยายามเชื่อเสียงในหัวตัวเองที่พร่ำบอกตัวผมอยู่ว่าผมโอเค ผมโอเค

เมื่อเชื่อว่าตัวเองโอเคแล้ว ผมก็จัดผมเผ้าให้เข้าที่ เปิดไฟในห้องนอน แล้วก็เปดประตูออกมาแสดงตัวตนให้อีก 2 คนได้รับรู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่กันลำพัง


“เอ้า คุณ.....
กลับ กลับมานานแล้วหรอ?” นายค้ำจุนถามผมด้วยสีหน้าอึ้งๆ เขามองสภาพผมอย่างสำรวจ ผมก็ไม่ได้เยินมากนะ อาจเสื้อยับกางเกงเบี้ยวหัวยุ่งนิดหน่อยเท่านั้น

“อื้อ ไม่ได้แวะไหน ก็เลยถึงห้องเร็ว
แล้วนี่...นัดกันมาทำอะไรรึเปล่า?” ผมถามพลางใช้สายตาเผื่อคำถามไปให้ต้นสนด้วยอีกคน

“ไม่ไม่ ไมได้นัดทำอะไรเลยเป
ผมตามมากินข้าวเย็นเฉยๆ เปกินข้าวเย็นรึยัง กินข้าวต้มกันมั้ย” ต้นสนบอกแผนพร้อมชวน ส่วนนายค้ำจุนก็ยังมองหน้าผมนิ่งๆ เหมือนเดิม

“อ่อออ ก็ยังไม่ได้กินนะ ตื่นก็เพราะหิวนี่แหละ
เอาสิ กินข้าวต้มกันก็ได้”

“โอเค งั้นไปกันเลยมั้ย ทุ่มกว่าแล้ว เปหิวแล้วใช่มั้ย” คนช่างพูดก็ยังเป็นต้นสนเหมือนเดิม นายค้ำจุนยังเอาแต่เงียบมองหน้าผมเหมือนเดิม

เอาวะ จะได้จบๆ ผมตัดรำคาญความรู้สึกที่ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่ แล้วก็โพล่งพูดไปด้วยสีหน้าที่พยายามเกร็งให้นิ่งที่สุด

“ผมเลี้ยงเอง เลี้ยงส่งคุณไง หมดสัญญาแล้วคุณจะย้ายออกแล้วนี่”

“...............”

“ไปสิ เต็มที่เลยนะต้น ไม่ต้องเกรงใจ”

พวกเขาอื้งไป จากนั้นต้นสนก็มองเพื่อนรักมันอย่างเลิ่กลั่ก ส่วนนายค้ำจุนขมวดคิ้วเพ่งมองผม แวววตาเขาเต็มไปด้วยคำถาม และถ้าผมไม่ได้คิดไปเองมากไป ผมว่าผมเห็นความเจ็บปวดส่งมาจากสายตาคู่นั้น

“ต้น มึงกลับไปก่อนได้ป่ะ กูต้องเคลียร์กับจ้าของห้องหน่อย” ทันทีที่ผมขยับจะเดินนำพวกเขาออกนอกห้องที่พื้นที่ไม่ถึง 40 ตรม. แห่งนี้ นายค้ำจุนก็ก้าวมาขวางหน้าไว้ เขาสั่งแกมขอร้องเพื่อนโดยไม่หันไปมอง ส่วนเพื่อนเขาก็รับคำอย่างว่าง่าย เอ่ยลาผมพร้อมกับสั่งเสียว่า “คุยกันก่อนดิเป ใจเย็นๆ คุยกันนะไอ้จุน”

เสียงยางรองเท้าเสียดสีกับทางเดินค่อยๆ ห่างไกลออกไปจนในที่สุดก็ไม่ได้ยิน นายต้นสนไปแล้ว ในห้องก็เหลือแค่เรา

ผมขยับหนีมานั่งโซฟา จงใจคว้ารีโมททีวีเพื่อเปิดหาเสียงไล่ความเงียบ แต่นายค้ำจุนก็ตามมาคว้ารีโมทไปจากมือผม แล้วก็ยืนกอดอกบังทีวี

“คือคำตอบคุณแล้วหรอ” เขาถามเสียงเบาๆ น้ำเสียงไร้ความโกรธเกรี้ยว

“คำถามอะไรของคุณเนี่ย”

“ผมเคยถามคุณไว้ว่าคุณจะเอายังไงเรื่องหมดสัญญาเช่าอยู่ แล้วก็ถามเมื่อกี้อีกรอบว่า นั่นคือคำตอบคุณแล้วหรอ”

“ผมตอบอะไรตอนไหน”

“คุณจะเลี้ยงส่งผม”

“ก็!”

“ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วหรอเปล”

ทำไมนายค้ำจุนถึงเก่งเรื่องตั้งคำถามใส่ผม แต่ห่วยแตกเรื่องบอกคำตอบของตัวเองแบบนี้วะ?

ผมถอนหายใจอีกหอบนึง รู้สึกตันไปหมด ไม่รู้ว่าจะคิดตามที่เขาถามแล้วพยายามหาคำตอบมาให้ดีไหม เราเป็นอะไรกันล่ะ? สำคัญต่อกันอย่างไรหรือผมถึงต้องทุ่มเทพยายามดิ้นตามทุกการบีบคั้นหรือตั้งคำถามของเขา

“แล้วคุณล่ะ ไม่อยาก”

“ผมอยากให้เราอยู่ด้วยกัน”


Cut


ห้าเดือนที่หายไป .... มาต่อด้วยความไม่แน่ใจว่ามีคนอ่านเรื่องนี้อยู่มั้ย แต่เรื่องนี้ยัังไม่จบและเราก็จะเขียนต่อไปค่าาา
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ใครต่อไม่ติด ลืมไปแล้วว่าตอนที่แล้วจบตรงไหน ลองไต่ไปอ่านด้านบนนะคะ หน้านี้แหละค่ะ

^6^
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 19 (010521)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-05-2021 20:24:36
 :z2: :z2: :z2:
ดีใจกลับมาต่อแล้ว ก็คอยแวะมาดูตลอดว่าเปล จะทำต้นไม้ของจุนพังไปเท่าไหร่นะ
หายคิดถึง แม้ว่าจะมีคำที่สะดุดหลุดหายไปหลายคำบ้าง แต่ก็ไม่สะกิดใจ อิอิอิ
ยังคอยอยู่เสมอจ้า ช่วงนี้โควิดระบาดหนัก ไรท์รักษาสุขภาพด้วยนะจ๊ะ +1
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 19 (010521)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 02-05-2021 15:58:34
คำพูดที่ได้ยินครึ่งๆกลางๆ ลับหลังนี่ เป็นประเด็นมานักต่อนัก
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 19 (010521)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-05-2021 00:06:39
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back

กลับมาเล่าต่อแล้ว ก็มาบ่อย ๆ นะจุนเป 

มาหายยยยยยยยมาหายยยยยยย  แบบที่ผ่านมา ไม่เอาน้า
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 19 (010521)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 08-05-2021 12:20:59
ลุ้นมากว่าสองคนนี้จะเข้าใจกันไหม ดีใจที่จุนพูดออกมาตรงๆสักที แล้วก็ปล่อยให้เปลคิดมากตั้งนาน

 :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 19 (010521)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-05-2021 09:33:48
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 19 (010521)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 12-05-2021 10:16:04
เอาล่ะ!!!!!  เจอประโยคก่อนจบล่ะ มันต้องงี้ดิ๊ ชัดเจนไปเล้ยยย :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 19 (010521)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-05-2021 23:20:40
คุยกันดีๆ :z3:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 19 (010521)
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 10-06-2021 01:56:39
แวะมาทักทายและให้กำลังใจนักเขียนนะครับ (แม้ว่าจะหายไปนานม๊ากมากกกก 55)

เป็นเรื่องราวที่อ่านแล้วไหลลื่นมาก ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆพัฒนาของตัวละครอย่างจุนกับเปลที่เริ่มต้นจากผู้เช่า
แล้วเติบโตไปเรื่อยๆโดยอาศัยเวลาเป็นตัวขับเคลื่อน บวกกับการกระทำต่างๆที่เป็นตัวกระตุ้นควารู้สึกให้ก่อตัว
อีกอย่างที่ผมชอบคือการหยิบเอาความสัมพันธ์ของครอบครัว ที่ว่าวันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องแยกจากอ้อมอกพ่อแม่
แล้วไปมีชีวิต ใช้ชีวิต เรียนรู้ที่จะต้องอยู่ให้ได้ในสังคม

จริงๆอย่างพิมพ์อะไรเยอะๆกว่านี้ก็กลัวจะเวิ่นจนผมจะงงซ้ะเอง 555
เอาเป็นว่า.... จะรอติดตาม ค้ำจุนกับเปล ต่อไปนะครับ

 o13 o13 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 19 (010521)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-06-2021 00:14:18
รีบมาต่ออีกนะ อย่าหายไปนานๆ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 19 (010521)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 13-06-2021 23:08:09
เพิ่งเข้ามาอ่านครับ  สนุกมากอ่านรวดเดียวจบเลย
รอคอยตอนต่อไปอย่างจดจ่อนะครับ  อยากรู้ว่ามันเป็นความสัมพันธ์ของเปจุนจะคลี่คลายออกมาอย่างไร
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 19 (010521)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 07-07-2021 08:45:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 20 (150821)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 15-08-2021 22:18:03
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [20]

“นั่นคือคำตอบคุณแล้วหรอ”

“คำถามอะไรของคุณเนี่ย”

“ผมเคยถามคุณไว้ว่าคุณจะเอายังไงเรื่องหมดสัญญาเช่าอยู่ แล้วก็ถามเมื่อกี้อีกรอบว่า นั่นคือคำตอบคุณแล้วหรอ”

“ผมตอบอะไรตอนไหน”

“คุณจะเลี้ยงส่งผม”

“ก็!”

“ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วหรอเปล”

“แล้วคุณล่ะ ไม่อยาก...”

“ผมอยากให้เราอยู่ด้วยกัน”

ทีวีส่งเสียงสปอตโฆษณาเข้าหู แต่ประสาทรับรู้ของผมไม่สามารถแปลความหมายจากเสียงที่ได้ยินได้เลย ค้ำจุนไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก เขาแค่นั่งลงบนโซฟาที่ปลายอีกฝั่งหนึ่ง

เหมือนเราทั้งคู่จะอยู่คนละฝั่ง แต่ที่จริงแล้วเราก็นั่งอยู่ข้างกันแหละครับ

“อื่อออออ” ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาต่อ ตอนนี้ทีวีกลับเข้าสู่รายการบันเทิงแล้วครับ แต่ผมก็ไม่รับรู้เนื้อหาอะไรอยู่ดี
“เหมือนเราต้องคุยกันให้ชัดนะ คุณว่าไง” ผมเปิดประเด็น นายค้ำจุนที่มองผมอยู่ก่อนแล้วรีบพยักหน้าทันที

“ระหว่างเรา มันต้องคุยกันให้ชัดเท่านั้นแหละ เพราะคุณชอบคิดอะไรไปเอง แล้วผมก็ไม่ได้ถนัดเข้าใจไอ้ที่คุณคิดด้วย”

แหม่เว้ย ช่างเป็นคู่สนทนาที่น่าคุยด้วยเหลือเกิน ผมหรี่ตามองและพยายามข่มความขุ่นไว้

“คุณจะเอาไงเรื่องอยู่กับผม  หมายถึง เช่าห้องผมอ่ะ” ผมพัลวันถามออกไปด้วยความซื่อตรงที่สุด นายค้ำจุนยักไหล่ใส่แล้วก็ให้คำตอบ

“ก็บอกไปแล้วไง ผมอยากให้เราอยู่ด้วยกัน
ซึ่งแปลว่า” เขารีบพูดต่อทันทีที่ผมเริ่มอ้าปากพูด
“ผมอยากเช่าห้องนี้ต่อ”

“อ่าว....แล้ว.....” แล้วที่ผมได้ยินคืออะไรวะ? ผมไม่ได้ฝันนะ ผมได้ยินนายค้ำจุนกับเพื่อนรักของเขาคุยกันจริงๆ เรื่องย้ายออกจากห้องนี้

“แล้วอะไรของคุณ” ผมขมวดคิ้วถาม สายตาดูค่อนข้างไม่ชินกับสีหน้าโง่ๆ ของผม

“แล้วที่ผมได้ยินล่ะ?”

“คุณได้ยินอะไรล่ะ?”

“ก็คุณกับต้นุคุยกันเรื่องย้ายออก คุณพูดเองว่าแออัด แล้วยังด่าผมลับหลังด้วยว่าผมไม่ใส่ใช่อะไรหรอก”

“อ่อออ ก็คือได้ยินเท่านี้ แล้วก็เลยอยากใช้โอกาสนี้ไล่ผมออกจากห้องล่ะสิ”

“ไล่อะไรกันเล่า? ผมไม่เคยคิดแบบนั้นสักหน่อย ผมก็อยากให้คุณเช่าห้องต่อเหมือนกัน...นี่”

นายค้ำจุนกระตุกมุมปากยิ้ม ผมเห็นเต็ม 2 ตา

“งั้นก็อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม .... เนอะ” คราวนี้เขายิ้มทั้งปากทั้งตาทันทีที่ผมพูดจบ ผมก็เลยยิ้มตอบ แต่ว่าความสงสัยมันยังไม่หายนี่สิครับ ก็เลยต้องขอความกระจ่างเสียหน่อย

“จุน แล้วที่คุยกับต้นคืออะไรอ่ะ”

“อ่อ เรื่องเด็กๆ” เขาตอบ คำตอบชวนให้งงแต่ผมไม่งงแล้วครับ ผมเข้าใจว่าเขาหมายถึงต้นไม้
“ผมหมายถึงต้นไม้น่ะ ห้องนี้ไม่เหมาะจะเอาต้นไม้มาพักไว้แล้วค่อยจัดส่งอย่างที่ไอ้ต้นมันเตือนมาตลอดจริงๆ แหละ ขนขึ้นขนลงก็ลำบาก ยังเคยลำบากไปถึงคุณด้วยเลย ผมก็เลยต้องหาโรงเรือนอื่นเพิ่มไว้พักต้นไม้ที่ย้ายมาจากราชบุรี พวกต้นที่สูงกว่าครึ่งเมตรน่ะ ส่วนไม้เล็กๆ ก็ยังใช้ระเบียงเป็นโรงเพาะได้อยู่ ไม่มีปัญหา”

“อ่ออออ ที่ว่าย้ายออก ก็คือย้ายต้นไม้หรอ?”

“อื้อ”

“แล้ว คุณต้องไปหาโรงเรือนอื่นเพิ่มหรอ ก็เสียเงินอีกน่ะสิ”

“ใช่” ทำไมดูไม่หวงเงินเลยว่ะ หรือว่าเขาได้ขึ้นเงินเดือน ผมจำได้ครับว่าเขาเป็นคนที่ใช้เงินอย่างคุ้มค่าขนาดไหน ขนาดที่คนงกๆ อย่างผมยังคิดว่าเขาาขี้เหนียวเลย แต่พอเป็นเรื่องต้นไม้นี่ไม่เคยมีคำว่าสิ้นเปลืองเลยสินะ นี่คนหรือรุกขเทวดาวะ?

“แล้วหาได้รึยังล่ะ?” ผมสนใจถามต่อ นายค้ำจุนก็เลยเล่าให้ฟังเสียยาวเลยครับ

สรุปแล้ว โรงเรือนใหม่มีแคนดิเดท 1 ที่ ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าไม่ควรเรียกว่าเคนดิเดท แต่มันคือที่เดียวที่ช่วยให้เขารอดจากวิกฤตต้นไม้ล้นห้องครับ โรงเรือนที่ว่าก็คือบ้านพี่ก้องกับพี่อ้อ รุ่นพี่ในวงการที่เขาสุดซี้นั่นแหละครับ

ระหว่างที่นายค้ำจุนกำลังเพลิดเพลินกับการเล่าโปรเจคขายต้นไม้ล็อตใหญ่ให้ผมอยู่นั้น ท้องผมก็ส่งเสียงร้องแสดงความหิวชิบหาย เราก็เลยกินมื้อค่ำง่ายๆ กันที่ร้านข้าวต้มหน้าคอนโดครับ ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องเลี้ยงตามที่ลั่นวาจาเอาไว้  ยอมรับว่าค่อนข้างเจ็บใจที่เขาเสือกจำได้ทั้งหมดที่ผมพูด แต่ก็เลี้ยงครับ เพราะผมไม่ใช่คนผิดคำพูด

ประโยคสุดท้ายก่อนเดินตัวปุยเข้าห้องนอน ผมบอกกับเขาว่า เดี๋ยวจะให้ยาดาร่างสัญญามาให้เซ็น

และประโยคที่สุดท้ายที่เขาพูดส่งผมเข้านอนก็คือ “สัญญาอยู่ด้วยกัน 1 ปีนะเปล”

Home*Mate

อารมณ์ดีเหลือเกินนะ
ผมจัดให้วลีนี้อยู่ในกลุ่มถากถางครับ โดยเฉพาะเวลาที่มันออกมาจากปากยาดา
แต่เอาเถอะ ผมโตแล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่สูงปี๊ด เพราะฉะนั้นผมจะไม่ตอบโต้

“หน้าบานได้อีกอ่ะคนเรา
นี่มันคุณเปผู้มีความรักรึเปล่าน้า?
ไม่สิ ไม่ใช่ นี่คือคุณเปผู้ได้รับความรักกลับมาต่างหาก”

“ดา....หยุดเถอะ เตือนครั้งที่ 3 แล้วนะ” ในที่สุดผมก็ต้องออกโรงปกป้องภาพลักษณ์ของผมที่ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไป

“จ้าๆ คุณเปไม่ใช่คนอินเลิฟแต่อย่างใด คุณเปแค่ตกหลุมรักที่คนเช่าห้องเขาขุดไว้ให้เห็นโต้งๆ เท่านั้นเองงงงง” พลังปอดเหลือล้นล่ะสิถึงได้พูดประโยคยาวๆ แล้วยังลากเสียงยาววววววไม่รู้จบได้ขนาดนี้

การเตือนครั้งที่ 4 ของผมคือการเหล่มองแล้วก็ริบกาแฟที่เป็นคนซื้อให้เพื่อนคืนกลับมาครับ ดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าถ้าปากแจ๋วกว่านี้จะอดแดกนะครับเพื่อน ยาดาก็เลยยอมหยุดแซว

เธอวิเคราะห์ว่านายค้ำจุนต้องคิดลึกซึ้งกับผมแน่ๆ ครับ ไม่อย่างนั้นพ่อค้าผู้ไม่ยอมเสียเปรียบใครไม่น่าจะยอมเสียค่าเช่าคอนโดรายเดือนต่อ แล้วก็ยังต้องเพิ่มต้นทุนด้วยการเช่าโรงเรือนสำหรับพักต้นไม้เพิ่มอีก ซึ่งก็ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายหลักร้อยหลักพัน

แม้ผมจะค้านไปแล้วว่า เขาตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะว่าจำนวนต้นไม้ใหญ่เขาเยอะเกินไป ขณะที่ต้นไม้เล็กๆ ตรงระเบียงก็ไม่ได้ลดลง อีกทั้งในห้องนอนเขาก็ยกพื้นที่ให้ต้นไม้ไปครึ่งหนึ่งโดยเขายอมมาปูฟูกนอนเดี่ยวๆ ที่ข้างเตียงผมแทน

ถ้าจะหาเจ้าของห้องใหม่ ที่ยอมให้ผู้เช่ามาเบียดพื้นที่ห้องนอนด้วย และยอมให้มีต้นไม้มากมายในห้องซึ่งแน่นอนว่ามันมาพร้อมปัญหาเศษดินที่รกตาตาตีนด้วย ก็ไม่ใช่หาง่ายๆ นะครับ

สรุปแล้ว ผมก็คือผู้เลอค่าและตรงตามที่เขาต้องการทุกซอกหลืบนั่นเอง

ไอ้ขุดหลุมหลัก ตกหลุมหลงใดๆ ที่ยาดาหยิบมาแซวนั้นมันเรื่องไร้สาระ

กำลังเถียงเพื่อนอยากออกรสอยู่ในความคิดคนเดียว โทรศัพท์ผมก็มีสายเรียกเข้าครับ

ชื่อคนโทรมาทำให้ผมรีบกดรับทันที

“อื้อคุณ” นายค้ำจุนโทรมาครับ อยากรู้จังว่าเขาโทรหาผมทำไม มีเรื่องอะไรสนุกๆ ให้ช่วยรึเปล่าหว่า?

“หือ? เสาร์-อาทิตย์นี้หรอ ไม่มีงานนะ” เขาถามว่าสุดสัปดาห์นี้ว่างมั้ย
“บ้านคุณ ที่ราชบุรีน่ะหรอ? เอาสิ ไปได้ๆ”
“เอ่......” ผมฟังข้อเสนอจากปลายสายแล้วเหล่มองเพื่อนอย่างครุ่นคิด
“เดี๋ยวจะถามให้ก็แล้วกัน แต่ว่ามันมีประโยชน์อะไรหรอคุณ ให้ชวนไปด้วยเนี่ย”
“อ่อออออ” นายค้ำจุนอยากให้ชวนยาดากับวราห์ไปด้วยครับ เพราะว่าคู่นี้เขาไปปรึกษาเรื่องของชำร่วยงานแต่งกับนายค้ำจุนเอาไว้ เจ้าของโรงเรือนเลยอยากให้ไปชี้สเปกต้นไม้หน่อยว่าพันธ์ไหนและไซส์ไหนที่ชอบบ้าง

“แล้ว...ผมไปนี่จะช่วยอะไรคุณได้หรอ” ผมถามย้ำหาจุดยืนตัวเอง ปลายสายตอบมาแค่ว่า ‘แม่ทำไข่พะโล้หมูสามชั้น อยากให้คุณไปหา’ อื้อ! งานสำคัญขนาดนี้ขาดผมไม่ได้สิ

“ใครอ่ะ คุณค้ำจุนหรอ” เพื่อนถามทันทีที่ผมวางสาย เธอรีบคว้าแก้วกาแฟเอาไว้เต็ม 2 มือ

“อื้อ ค้ำจุน”

“ว่า?”

“ต้องบอกดาด้วยรึไง สนใจเกินไปป่ะเนี่ย?”

“หวงคุณค้ำจุนหรอ”

“หวงดาแทนวราห์ต่างหาก นี่เตรียมงานแต่งถึงไหนแล้วล่ะ ไม่มีอะไรหลุดแพลนใช่ป่าว”

“จ้า ออนแพลนทุกอย่าง อ้อ! ยังไม่ได้คอนเฟิร์มของชำร่วย”

“มิน่าล่ะ
ค้ำจุนชวนไปโรงเรือนที่ราชบุรีเสาร์นี้ ว่างมั้ย
เค้าอยากให้ดากับวราห์บอกเรื่องสเปกต้นไม้หน่อยว่าไอ้ไซส์เล็กๆ เนี่ยจะเอาพืชอวบน้ำหรือแคคตัส หรือว่าไม้บอนไซ”

เพื่อนผมพองตามองผมอย่างประหลาดใจมากครับ แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ยาดายิ้มอย่างปลื้มปริ่มแล้วก็พูดจนผมต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจเสียเอง

“เปรู้เรื่องต้นไม้เยอะขนาดนี้เลยหรอเนี่ย”

นั่นสิ ผมรู้เรื่องต้นไม้เยอะขนาดนี้เลยหรอ?

ผมไม่ตอบอะไรเพราะรู้ว่ายาดาไม่ได้ถาม เธอแค่อุทานความประหลาดใจของตัวเองเท่านั้น แต่ผมก็ไม่ได้บอกเพื่อนหรอกนะครับว่าตัวผมเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน

เรา 2 คนดื่มด่ำกับกาแฟหลังอาหารเที่ยงในร้านกาแฟเล็กๆ ใกล้ออฟฟิศอีกเพียงครู่ก็ชักชวนกันกลับไปทำงานตามเวลา

Home*Mate

วันเสาร์มาเยือนแล้วครับ เวลาช่างเดินทางรวดเร็วเสียจริง ผมยังจำได้ว่าเมื่อ 2-3 วันก่อน ผมตัดสินใจซื้อรองเท้าใหม่ เน้นเลือกคู่ที่คิดว่าจะเดินในโรงเรือนนายค้ำจุนได้สะดวกกว่าร้องเท้าแตะคู่เดิม คู่ใหม่นี้หุ้มเท้าขึ้นมาหน่อยครับ น่าจะกันเศษดินหรือหินลี้ลับแทรกตัวมาตำฝ่าเท้าได้  นี่ผมไม่ได้ตื่นเต้นเกินไปใช่มั้ย

“เสร็จยังอ่ะคุณ จะได้โทรบอกไอ้ต้นให้ออกจากบ้านมันได้แล้ว”

“อ่าว นึกว่าต้นจะไปรถเราซะอีก” ผมสืบสาวเรื่องราวไปพลาง เช็คของในกระเป๋าสะพายของตัวเองไปพลาง มีหมวกด้วยครับ ไม่ได้เห่อเลยจริงๆ

“ไม่ รำคาญมันชอบสอดหน้ามาคุยนั่นนี่ เราไปรถผมกัน 2 คนก็พอ”

“อ้ออออ แล้วนัดต้นที่ไหนล่ะ”

“ปั๊มที่เราแวะพักคราวก่อนนั่นแหละ หรือคุณอยากไปรถมันล่ะ” เสียงเขาแข็งๆ ผมก็เลยไม่ท้าทายอะไร

“เสร็จแระ พร้อม ไม่น่าจะลืมอะไร อ๊ะๆ น้ำเปล่าด้วย ห้ามลืม ช่วงนี้ผมเหมือนจะป่วยๆ อ่ะคุณ เพลียง่ายมาก ดาก็เลยบอกว่าให้ดื่มน้ำเปล่าเยอะขึ้น แล้วก็นอนเยอะๆ หน่อย”

“อ่าว... งั้นไม่ต้องไปมั้ยคุณ ไปไข้ขึ้นที่บ้านผมหรือระหว่างทางจะป่วยไปกันใหญ่”

“เฮ้ย!  ไปดิ ล่มแผนได้ไงคุณ นัดคนไว้ตั้งเยอะ แม่คุณก็ทำไข่พะโล้รอไว้แล้ว ผมไม่ป่วยจริงๆ”

“จริงนะ?” พร้อมกับคำถามย้ำ มือนายค้ำจุนเร่มาวัดไข้ที่หน้าผาก แก้ม และลำคอผมทันที แต่แทนที่ผมจะรั้งตัวหนี กลับยืนนิ่งให้เขาวัดไข้ไปซะงั้น

“งั้นติดยาลดไข้กับวิตามินซีไปด้วย เดี๋ยวแวะปั๊มตรงทางด่วนแล้วคุณก็ซื้ออะไรกินนิดหน่อยแล้วกินวิตามินซีนะ ไม่รู้มันช่วยมั้ย แต่ก็ไม่ได้สร้างผลเสียอะไรนี่ ตามนี้เนอะ”

“ก็...อื้อ
ตามนั้นก็ได้” ผมรับคำอย่างว่าง่าย เดินมาสวมรองเท้าคู่ใหม่ หันไปยิ้มกับนายค้ำจุนที่เดินตามมาชมว่าร้องเท้าเท่เชียว ผมเดินนำหน้าเขาออกจากห้อง ด้วยอาการหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ

เชี่ยเอ้ย! หรือผมจะป่วยกะทันหันจริงๆ?

จากที่ไม่ป่วยไข้อะไร ผมคิดว่าผมกำลังป่วยกะทันหันครับ ในรถก็อุณหภูมิปกติ กำลังดีสุดๆ แต่นายค้ำจุนกลับทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบๆ ด้วยการเอาเสื้อคลุมที่เขาติดรถไว้เป็นประจำมาห่มให้

กูไม่ได้ป่วยโว้ยยยยยยย

“เป พูดง่ายๆ หน่อยสิ ห่มไว้เถอะน่าจะได้ไม่เป็นไข้”

“ก็ผมไม่ได้ป่วยไง”

“ก็กันไว้ดีกว่า”

“กันอะไร?!”

“กันป่วยไง”

“ก็ผมไม่ได้ป่วยไง”

“ก็กันป่วยไง”

โอ้ยยยยยยยย กูร้อน!
ผมฮึดฮัดถลกเสื้อปาทิ้งไปเบาะหลัง แน่นอนว่าคนขับหันมองแบบไม่พอใจสุดๆ แต่ผมก็ลอยหน้าลอยตาใส่

“จุนฟังดีๆ นะ ผมไม่ป่วย ไม่มีไข้ ไม่ได้เป็นไรอะไร แค่พักผ่อนน้อยก็เลยเพลียเฉยๆ แต่ก็นอนเต็มอิ่มมากเมื่อคืน
ทีนี้ก็ปล่อยผมสนุกกับทริปชมต้นไม้กินไข่พะโล้ฟรีได้แล้ว”

สีหน้าเขานิ่งไป มองหน้าผมสลับกับถนนข้างหน้า จากนั้นก็พยักหน้าอย่างยอมเข้าใจเสียที

ก็แค่เนี้ยยยยยย!

อาการคิดไปเองว่าผมป่วยเกิดขึ้นอีกรอบตอนที่เราแวะปั๊มที่นัดกับนายต้นสนเอาไว้ นายค้ำจุนสาธยายอาการป่วยของผมที่เขาคิดเอาเองให้เพื่อนรักเขาฟัง ผมก็เลยได้รับความห่วงอันแสนใหญ่โตจากนายต้นสนด้วยอีกคน แต่รายนี้พูดรู้เรื่องกว่าค้ำจุนมากครับ ปฏิเสธครั้งเดียวรู้เรื่อง

เรารอยาดากับวราห์ไม่นานนัก เมื่อรวมพลครบ 5 คน กับรถ 3 คัน และเตรียมช้อปปิ้งขนมกันอย่างตามใจตัวเองแล้วก็ออกเดินทางสู่ฟาร์มแคคตัสของนายค้ำจุนกันครับ

ผมคาดหวังว่าทริปนี้มันจะต้องสนุก และก็อิ่มหมีพลีมันสุดๆ แต่ดูเหมือนว่าผมจะหวังเกินไปหน่อย เพราะจู่ๆ นายค้ำจุนก็พูดขึ้นมาสั้นๆ ว่า

“ขากลับ คุณกลับกับไอ้ต้นนะ ผมค้างบ้านแม่”


cut


มาต่อแล้วค่าาาาา
ฝากติดตามค้ำจุนกับเปลต่อไปด้วยนะคะ  :mew2:

หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 20 (150821)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-08-2021 22:25:47
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 20 (150821)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 17-08-2021 21:14:54
ขอบคุณที่กลับมาต่อครับ
หวังว่าจะได้อ่านตอนต่อไปเร็วๆ :) :) :)
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 20 (150821)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 18-08-2021 00:48:00
อารายกันนนนนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 20 (150821)
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 18-08-2021 22:38:30
นางงอนแล้ว1
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 20 (150821)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-09-2021 19:18:20
โอ้ยค้ำจุน อะไรกันเนี่ย แค่เขาไม่ยอมเอาเสื้อมาห่ม ก็จะไปฟ้องแม่เลยหรือ อิอิอิ
คิดถึงไรท์มากมาย ช่วงโควิด รักษาสุขภาพด้วยนะจ๊ะ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 20 (150821)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 03-09-2021 21:20:02
อย่างอนกันอีกนะ อ่านแล้วใจไม่ดี ค้างด้วยกันที่บ้านจุนนั่นแหละเปล
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 20 (150821)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 05-10-2021 16:25:54
เอ๋าวววว !!! จุนเอ้ยยยย เดี๋ยวเปก็คิดไปไกลอีก

 :กอด1:  :กอด1: / รออ่านเสมอค่า  :L1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 20 (150821)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-11-2021 09:41:28
 :pig4: :pig4: :pig4:

และ

 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 20 (150821)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-11-2021 12:30:40
เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 21 (111221)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 11-12-2021 23:30:58
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [21]


นายค้ำจุนพูดคำไหนคำนั้นเสมอครับ เขาบอกว่าจะทำอะไร เขาก็จะทำตามนั้น แต่นายค้ำจุนไม่รู้หรอกครับว่าในโลกนี้มีอะไรอีกมากมายหลายสิ่งนักที่อยู่เหนือการควบคุมของเขา

แม่ เขา จัด ห้อง นอน รอ ผม
ฮ่าๆๆๆ ผมล่ะอยากระเบิดเสียงหัวเราะแห่งความสะใจให้ดังก้องโลก แต่พอดีเป็นคนมีมารยาทครับ เลยเก็บไว้หัวเราะทีหลัง มันจะได้เสียงดังกว่านี้

ลูกชายเจ้าของบ้านหน้าเป็นตูดตอนที่แม่เขากวักมือเรียกผมไปทักทายอย่างเอ็นดู พลางชี้ชวนอวดโอ่ห้องนอนที่แม่จัดเตรียมไว้ให้ จริงๆ ห้องนี้มันก็มีตัวตนอยู่นานแล้วแหละครับ แต่ไม่มีใครใช้งานเลย ตอนที่จุนพาผมมาค้างรอบที่แล้ว แม่ก็นึกสงสารแขกบ้านแขกเมืองอย่างผมที่ต้องจำใจนอนที่คับแคบกับคนใจจืดชื่อว่าค้ำจุน แม่ก็เลยสั่งฟูกนอนมาสำรองไว้ให้ แล้วก็แถ่นแท้นนนนนนนน! ติดแอร์

ผมตื่นเต้นมากที่จู่ๆ ก็มีห้องนอนเป็นของตัวเอง ก็เลยประกาศเจตนารมตัวเองออกไป แม้ว่ามันจะขัดกับแผนหลักของนายค้ำจุนก็ตาม

“ผมค้างนะ ต้นกลับไปก่อนได้เลย
หรือถ้าต้นไม่กลับ ก็นอนห้องนี้กับผม” พูดจบก็อุ้มกระเป๋ามาจัดแจงวางของกองไว้ตรงนั้นหย่อม ตรงนี้หย่อม ทำให้ห้องมันดูรกๆ เข้าไว้ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน

โรงเรือนแคคตัสของนายค้ำจุนไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจนผิดหูผิดตาครับ แต่พื้นที่ข้างรั้วมีต้นมีกลุ่มต้นไม้เล็กๆ ที่ใบถูกแต่งแต้มด้วยสีแดง ชมพู ขาว เหลือง ชวนให้สนใจและดึงดูดให้เดินไปทิ่มหน้ามอง

“ต้นอะไรอ่ะคุณ”  ผมถามคนที่ผมเชื่อในความเชี่ยวชาญของเขาที่สุด รายนี้ก็เหมือนมีสัมผัสกลิ่นเสือก ถึงได้มายืนรอให้ผมเอ่ยถาม

“บอนสี”

“อ่อ....”

“เคยรู้จักหรอ”

“จริงๆ ก็ไม่ แต่ชื่อฟังดูคุ้นๆ หน้าตามันก็คุ้นๆ นะ”

“ก็ควรจะคุ้นนะ ที่บ้านคุณก็มี”

“จริงดิ! แพงป่ะ? ขโมยพ่อไปขายดีกว่า” ผมหยอกเล่นแล้วก็ชวนเขาหัวเราะ แต่คำตอบจริงจังของเขาทำเอาไม่อยากแค่หยอกเล่นเลยครับ เขาบอกผมว่า

“ถ้าสีด่างสวย พันธุ์หายากหน่อยก็หลักแสน”

โอ้!
พี่พ่อผมเลี้ยงไว้ที่บ้านน่าจะโคตรธรรมดาแหละครับ จำไม่ได้เลยว่ามันมีสีชมพูพาสเทลแซมซะดูหรูหราเหมือนพวกนี้

ผมพยักหน้ารับรู้แล้วถอยหลังออกห่างจากกลุ่มบอนสี ด้วยกลัวตัวเองเอาสารเคมีใดๆ มาทำให้น้องปนเปื้อนจนกลายพันธุ์ไป อีกอย่างคือกลัวตัวเองซุ่มซ่ามไปทำต้นไม้เสียหายแล้วจะไม่มีปัญญาชดใช้ครับ

“แล้ว....นี่อ่ะคุณ” ผมถามเขาอีกรอบระหว่างทางที่พยายามเดินให้ทันยาดาที่ไปไกลสุดโรงเรือนแล้ว แต่ตาเจ้ากรรมก็โดนเตะเป็นว่าเล่น

“Black cardinal ชื่อไทยก็กุมารดำเรียกทรัพย์
กอนี้สวยนะคุณ 3,000 เอง”

พูดตัวเลขหลักพันแต่ใช้คำว่าเอง ... อวดรวยหรอวะเฮ้ย!

ผมเหล่มองเขาแล้วก็มองต้นไม้ที่มือยังชี้อยู่อีกรอบ อือออ สวยว่ะ ชอบ แต่สามพันแหนะ   
ผมเหล่มองเขาแล้วก็มองต้นไม้อีกรอบ สวยว่ะ ชอบ อยากได้

“คุณลดให้ผมได้เท่าไหร่” ผมโพล่งสิ่งที่ผุดขึ้นในหัวออกไปแล้วก็มองเขาเต็มตา

“คุณจะซื้อหรอ?” นายค้ำจุนถาม น้ำเสียงดูตกใจมากครับ

“อื้อ ลดให้หน่อยสิ ลูกค้าคนอื่นคุณยังลดให้เลย
ขอสัก... ครึ่งนึงอ่ะ พันห้า”

นายค้ำจุนหัวเราะเย้ยฟ้าเลยครับ เขามองหน้าผมทิ้งท้ายแล้วก็เดินไปหารวมกลุ่มกับยาดา วงสนทนาทางนั้นเสียงดังขึ้นนิดหน่อย หากตั้งใจฟังผมก็คงพอจับใจความได้ว่าเขาคุยกันเรื่องอะไร แต่ตอนนี้ผมสนใจอยู่แต่ไอ้เจ้ากุมารนี่แหละครับ

กิจกรรมฟูใจของยาดาผ่านไปด้วยดีครับ ดูเหมือนเจ้าตัวได้เลือกได้ในที่สุดว่าจะใช้ไม้พันธุ์ไหน ไซส์ไหนสำหรับทำเป็นของชำร่วยงานแต่งบ้าง นายค้ำจุนเป็นผู้ช่วยที่ดีมากครับ สาสามารถบอกข้อดีข้อเสียของแต่ละสายพันธุ์ได้เป็นอย่างดี  ผมเองก็โล่งใจไปด้วยที่ยาดาไม่เลือกเอาเจ้ามิกกี้เมาส์มาเป็นหนึ่งในต้นไม้ของชำร่วย แม้จะมันดูน่ารักทั้งรูปลักษณ์และชื่อ แต่หนามมันละเอียดและปักคานิ้วได้ลึก ทำให้เจ็บๆ คันๆ ได้นาน บางคนที่โดนหนามมันตำก็ถึงขั้นกลัดหนองก็มีครับ

ตอนแรกผมก็เหมือนกับยาดาที่หลงความน่ารักของมันหลอกเอา แต่นายค้ำจุนเป็นคนเบรกไว้และให้ข้อมูลเพิ่ม เสริมด้วยประสบการณ์ลูกค้ารายอื่น

“ฮาโวเทียกับกุหลาบหินนี่แหละเหมาะสุดแล้ว
เคยมีลูกค้าสนใจตระกูลแมม ทางนี้ก็คัดให้แต่ต้นที่เลี้ยงมาเกิน 1 ปีเตรียมไว้ สรุปก็มาเท เนอะจุนเนอะ เค้าบอกว่าหาซื้อตามตลาดนัดไหนๆ ก็มี”  นายต้นสนเล่าเรื่องราวของตัวเองและเพื่อนรักขึ้นมาระหว่างที่มือก็คัดกลุ่มกุหลาบหินไว้สำหรับจับลงกระถางสำหรับงานแต่งยาดา

“ตอนนั้นโคตรโกรธอ่ะ เนอะจุนเนอะ” ต้นสุนขอเสียงสนับสนุนจากเพื่อนรัก แต่ก็ได้แค่อาการพยักหน้าเนือยๆ ส่งกลับมาครับ  นายค้ำจุนขยับมือคล่องกว่าปาก ส่วนต้นสนก็คือขั้วตรงข้าม

“ผมนะ อยากยึดมัดจำด้วยซ้ำ แต่ไอ้นี่มันเสือกใจดีไม่เลือก ก็เลยไม่เอาเรื่องอะไร ไอ้จุนมันบอกว่าแมมทรงสวย เค้าไม่เอาเราก็เลี้ยงต่อให้สวยกว่าเดิมแล้วก็ขึ้นค่าตัว”

อื้อมมม นับว่าเป็นวิธีที่ชาญฉลาดครับ ผมมองเจ้าของไอเดียบรรเจิด แล้วก็มองหันไปฟังไอ้ต้นต่อ

“แล้วแม่งก็เสือกเป็นตามนั้น แมมจนนกล็อตนั้นหมดไปนานแล้ว เนอะจุนเนอะ”

“เหลือต้นนึง พอดีมันติดดอกสีชมพูจากแม่พันธุ์มันมาด้วยเลยเก็บไว้ ดีนะที่ออกดอกให้เห็น ไม่งั้นก็ขายหมูเหมือนกัน” ครั้งนี้นายค้ำจุนเป็นคนเล่าบ้างครับ ยาดาหันขวับไปฟังจนคอแทบหัก ส่วนวราห์ดูเหมือนจะแค่ฟังสร้างบรรยากาศเฉยๆ มือยังไม่พักจากการถ่ายรูปต้นไม้รอบๆ ตัวเลย

“หือ อยากเห็นเลย ว่าแมมที่จุนกับต้นบอกว่าฟอร์มสวยนี่จะหน้าตายังไง” ยาดาไม่น่าจะแค่อยากเห็นหรอกครับ ผมว่าอยากได้ รายนี้ถวายหัวให้นายค้ำจุนไปหมดแล้วถ้าเป็นเรื่องแคคตัส

“อ่อ อยู่ที่คอนโดน่ะ เอาไปอยู่ด้วยเพราะรักมาก  ให้ดอกสวยมาก สีชมพูมีสีขาวแซมเล็กๆ  จริงๆ ผมผสมจนได้เมล็ดแล้วนะ กำลังจะเตรียมเพาะเมล็ดแต่ก็โดนกินไปซะก่อน เสียดายมาก”

“โหยยย นกกินหรอ แย่มาก กินไม่รู้จักเลือกเลย เอ๊ะ หรือว่ามันรู้จักเลือก ก็เลยกินแรร์ไอเท็มกันนะ?” ยาดาส่งมุก แน่นอนว่าว่าที่สามีเขาช่วยขำครับ ไอ้ต้นก็ขำตามประสาคนมีเซนส์เข้าสังคม คนที่ไม่ขำคือผม เพราะกูเองแหละที่เป็นคนแดกเมล็ดแมมที่คุณค้ำจุนเขารักมากกกกก

ส่วนคนเปิดเผยความลับที่ควรจะรู้กันแค่ 2 คนแม่งก็นั่งยกมุมปากเย้ยหยันใส่ผมอย่างยียวน

Home*Mate

ว่าที่บ่าวสาวกลับไปพร้อมกับบะหมี่ทำมือเจ้าเด็ดของจังหวัดที่แม่นายค้ำจุนไปซื้อมาให้ บอกว่าในชีวิตนี้ต้องได้ลองกินสักครั้ง แล้วจะกินจริงจังอีกกี่ครั้งก็แล้วแต่จะตัดสินใจ ยาดากับวราห์ดูอารมณ์ดีกันมากเพราะภารกิจเลือกสายพันธุ์ต้นไม้สำหรับเป็นของชำร่วยแล้วเสร็จ ไหนจะของกินร้านท้องถิ่นติดมือกลับไปอีก

ค่ำนี้ ผมเองก็ได้กินเส้นบะหมี่ทำมือที่แม่นายค้ำจุนภูมิใจนำเสนอเหมือนกัน เด็ดจริงครับ นุ่มหนึบและเส้นกลมเล็กแบบที่ชอบด้วย

เมื่อกินเสร็จ การแย่งกันเก็บล้างก็เกิดขึ้นเป็นศึกระหว่างพวกผม 3 คนครับ คนชนะครั้งนี้ก็คือเจ้าของบ้านอย่างนายค้ำจุนนั่นเอง ผมกับไอ้ต้นก็เลยขึ้นมาจัดเตรียมที่นอนกัน แต่สุดท้ายก็เหมือนผมทำอยู่คนเดียวแหละครับ เพราะไอ้ต้นบอกว่าจะไปหาอะไรสักอย่างที่ห้องนอนนายค้ำจุน

ไม่นานเขาก็โผล่หน้ามา พร้อมกับโน้ตบุ้คและกล้องดิจิทัล จะว่าไป วันนี้นายต้นสนดูง่วนกับกล้องตลอดทั้งวันเลยหว่า

“ทำอะไรอ่ะ อัพเพจหรอ”

“อื้อ ลงรูปไม้ใหม่ด้วย เรียกกระแสหน่อย ให้จองไว้ก่อน ยังไม่ขาย”

“มีงี้ด้วยหรอ มีแต่คนเค้าอยากรีบๆ ขาย เอาเงินไว้ก่อนกันทั้งนั้น” ผมบอกตามที่คิด นอนคว่ำระนาบเดียวกับนายต้นสนเพื่อดูรูปที่เขาถ่าย

ฝืมือดีนี่หว่า ผมไม่ได้ชมแค่ในความคิดหรอกนะครับ ผมเอ่ยปากชมนายต้นสนไปตรงๆ หมอนี่ก็ทำเป็นหัวเราะเขินอยู่แป๊บนึง ผ่านไปสักพักก็รำแพนหางโชว์ผมซะเลย

เขาอวดต้นนั้นต้นนี้ เล่าที่มาได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ทุกอย่างที่นายต้นสนเล่ามักจะเรื่องนายค้ำจุนปนมาเกินครี่งเสมอ

ดูเหมือนทุกเรื่องราวนายต้นสนคนนี้ จะมีนายค้ำจุนเป็นส่วนผสมหลัก

.

แล้วตัวละครหลักก็โผล่หน้ามาที่ห้องนอนแห่งนี้ครับ นายค้ำจุนเปิดประตูผึงแล้วก้าวฉับๆ เข้ามานั่งตรงกลางระหว่างผมกับนายต้นสน แน่นอนว่าเขาใช้เท้าแหวกหาที่ว่างสำหรับตัวเองได้อย่างช่ำชอง ดีนะที่ไม่เหยียบหลังผมเอา

“นั่งดีๆ สิมึงน่ะ” นายต้นสนดุเพื่อนที่มากระแซะหาพื้นที่ว่างอย่างรำคาญ ผมขยับตัวเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้เล็กน้อย แต่ก็ยังนอนยืดหลังมองคอมฯ อยู่แบบเดิม ผมไม่รู้ว่านายค้ำจุนเบียดเพื่อนเขาท่าไหน แต่สุดท้ายเขาก็แทรกกลางได้เต็มตัวแหละครับ

“มึงได้แต่งรูปก่อนป่ะเนี่ยไอ้ต้น”

“เปล่าอ่ะ กูว่าแสงวันนี้สวยแล้ว ไม่ต้องแต่งหรอก”

“เออ สวยจริง เฮ้ย! ต้น เซ็ทนี้ยังไม่ขายนะเว้ย”

“กูรู้ ลงเป็นน้ำจิ้มไงมึง ห่า ขายแต่ไม้เดิมๆ ลูกค้าหายหมด กูบอกให้มึงอัพรูปตัวมึงลงบ่อยๆ หรือตอบแชทบ่อยๆ ก็ไม่คิดจะทำ ยังจะมาขัดลาภอีก ห่า”

“กูจะเสร่อลงรูปกูทำไม คนเขามาซื้อต้นไม้ก็ต้องส่องต้นไม้สิวะ”

ผมแอบกระตุกยิ้มเพราะพบคนโง่ 1 อัตราครับ มีใครจับคนโง่ได้พร้อมมั้ยครับ?

“วุ! ทีเรื่องอะไรแบบนี้ล่ะคิดไม่เป็น
“เนอะเปเนอะ”

“อื้อ” เมื่อถามผม ผมก็ต้องตอบสิครับ นายค้ำจุนหันขวับมองผมอย่างสงสัย ผมเลยลอยหน้าลอยตาสนใจรูปที่นายต้นสนกำลังทยอยอัพโหลดขึ้นเพจร้านต้นไม้ของพวกเขาครับ

“อะไรอ่ะ มีความลับหรอ
ยิ้มอะไรกันอ่ะคุณ
เฮ้ย! ทำงี้กับผมไม่ได้นะ ยิ้มอะไรกัน หรือว่านินทาผมอยู่
ไอ้ต้น! นินทาไรกูให้เปฟัง เรื่องเลอะเทอะไม่ต้องเลยนะ”

“โอ้ยยย! กูไปอาบน้ำแล้ว! มึงลงรูปต่อให้เสร็จด้วย แบ่งเป็นเซ็ทตามสายพันธุ์นะมึง ไม่ใช่อายุ ต้นไหนหวงก็ไม่ต้องลง จะได้ไม่มาโวยวายใส่กูอีก” สาดอารมณ์รำคาญเหลือทนใส่เพื่อนแล้วก็ลุกเดินปึงปังออกจากห้องไปครับ แต่แป๊บเดียวก็โผล่หน้ากลับเข้ามาใหม่

“กูไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาค้าง ยืมของมึงหมดเลยนะ”

พอนายต้นส้นออกจากห้องไป นายค้ำจุนถึงนึกขึ้นได้ว่านอนเบียดผมอยู่ เราเพิ่มช่องว่างระหว่างกันอีกนิด แต่ก็ยังคงนอนขนานกันระหว่างที่นายค้ำจุนทำตามที่เพื่อนสั่งงานไว้

ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่ได้สนใจด้วยว่านายต้นสนอาบน้ำเร็วหรือช้า รู้แค่ว่าเวลาเดินช้ากว่านี้หน่อยก็ดี

2 พ่อค้าใช้เวลาลงรูปต้นไม้เตรียมขายและตอบแชทลูกค้าขาประจำอยู่จนถึงห้าทุ่มกว่าครับ ส่วนตัวผมกลิ้งขึ้นที่นอนมาพักสายตาก่อนพวกเขานานแล้ว ผมนอนหลับตาแต่ว่ายังไม่หลับ นอนฟังพวกเขาเถียงกันบ้าง ปรึกษากันบ้าง ผมรับรู้ได้ถึงความสนิทและไว้เนื้อเชื่อใจกันของพวกเขา

พลันความคิดเจ้ากรรมก็หยิบเอาความรู้สึกของนายต้นสนขึ้นมา ตามมาด้วยความรู้สึกของนายค้ำจุนที่ผมได้ยินมากับหูตัวเองตรงๆ แบบทางอ้อม

ดูเหมือนพวกเขาจะชอบผมกันทั้งคู่ และดูเหมือนจะทำความเข้าใจกันได้แล้วในเรื่องที่ชอบผมกันทั้งคู่ พวกเขาสามารถเป็นเพื่อนกันต่อได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ หรือว่าความรู้สึกชอบที่มีให้ผมมันจะแค่อาการประเดี๋ยวประด๋าว เหมือนกับอุปทานหมู่

ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย แต่ผมไม่หาคำตอบหรอกครับ ผมยังไม่พร้อมผชิญความจริงหน้าใหม่

“เปหลับแล้วมั้ง ห้าทุ่มกว่าแล้วมึง นอนเถอะ” เสียงนายต้นสนฉุดกลับเข้าห้องนอนเล็กๆ แห่งนี้

“เออ ง่วงเหมือนกัน ไปนอนเถอะต้น”

“มึงก็กลับห้องไปดิ กูจะได้นอน”

“มึงไปนอนห้องกูดิ”

“แต่...”

“เปนอนคนเดียวได้ มึงอ่ะไปนอนห้องกูดีกว่า”

“ดีกว่ากับใครวะ”

“กับกูนี่แหละ”

“นี่...มึงหึงกูกับเปหรอไอ้จุน”

“อืม กูหึง”

“ไอ้เหี้ยยยยยย มึงอย่ามาบอกกับกูตรงๆ แบบนี้ดิ แบบนี้ชกกันดีกว่า กูไม่อยากเป็นที่ปรึกษาความรักมึงหรอกนะ”

“ทีมึงยังบอกชอบเค้าให้กูรู้เลย”

“ก็ตอนนั้นกูบอกเพราะกูไม่รู้ว่ามึงก็ชอบนี่หว่า”

“จะรู้หรือไม่รู้ความรู้สึกกู มึงก็บอกกูได้ทุกเรื่อง เหมือนกับที่กูก็บอกมึงทุกเรื่อง ไม่ว่าจะไม่รู้หรือรู้ความรู้สึกมึง ถ้าต้องมีความลับต่อกัน กูคงให้มึงเป็นเพื่อนเหมือนเดิมไม่ได้”

“มึงนี่มัน....น่ารักชิบหายเลยวะไอ้จุน
ไป! นอน!”

ออกไปสักทีเถอะไอ้พวกนี้ กุอายชิบหายแล้วเว้ย!

กำลังจะตัดสินใจลืมตาเพื่อคลายอาการตกใจ ไฟในห้องนี้ก็ดับลงทันทีตามเสียงปิดสวิทช์ ผมเลยรู้สึกปลอดภัยในการลืมตามากกว่าเดิม แต่ยังไม่ทันได้คลายจังหวะใจเต้นโครมของตัวเอง พลันแก้มก็ถูกอังเบาๆ และเกลี่ยไปมาอย่างอ้อยอิ่ง

ด้วยความอยากรู้ว่าใครคือผู้กล้า ผมจึงลืมตาผึงขึ้นมอง แต่สิ่งที่เห็นแค่ก็เงาใครสักคนที่ผ่านพ้นประตูห้องออกไป แสงจากข้างนอกหรี่ลงตามช่องประตูที่บีบมุมแคบขึ้นจนกระทั่งปิดสนิททั้งบาน

Cut

แนะนำให้ย้อนไปอ่านตอนที่แล้วหน่อยนะคะ น่าจะต่อกันไม่ติด เพราะเราเว้นไป 4 เดือนเลยทีเดียว
ตอนหน้า จะมอบให้เป็นของขวัญส่งท้ายปีค่ะ
 :mc4:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 21 (111221)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-12-2021 09:07:09
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 21 (111221)
เริ่มหัวข้อโดย: yut1402 ที่ 10-01-2022 16:36:47
รอรอรอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 21 (111221)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 14-02-2022 15:48:47
ธ่อออ ..........    ต่อหน้า ดิ จุน พูดดดดดต่อหน้า  :hao7:  :hao7:
ว่าแต่อะไรน๊อที่โดนแก้ม  o13
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)
เริ่มหัวข้อโดย: kajidrid ที่ 21-02-2022 12:16:38
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [22]

แก้มกูเสียพรหมจรรย์อีกครั้งให้ใครวะเนี่ย?
ผมแบกความสงสัยข้ามคืนมาจนถึงเช้าวันนี้ ทั้งที่อาหารเช้าน่าอร่อยฝีมือแม่นายค้ำจุนละลานตาตรงหน้า ผมก็ไม่มีอารมณ์เอนจอยอีทติ้งเลยครับ

“จะแปดโมงแล้ว ไม่หิวหรอเป” ไอ้ต้นถามขึ้นกลางสำรับเช้า เขาคงสังเกตผมมาสักระยะแล้ว
“หรือแพ้ไข่เป็ด” เขาถามยังพยายามแงะหาเหตุแห่งการนั่งเงียบๆ งงๆ ของผมครับ

“ไม่แพ้ กินได้หมดแหละ แค่เลือกไม่ถูกว่าจะจ้วงจานไหนก่อน” ผมโม้ไปส่งๆ ทำตัวเป็นสายตะกละกลบอาการตัวเอง  นายต้นสนรับหน้าที่นักแนะนำอาหารทันทีครับ เขาตักไข่เป็ดต้มมาใส่ในจานข้าวผมฟองนึง ตามด้วยการเลื่อนถ้วยน้ำปลาที่ใส่หอมซอยและพริกมาให้ใกล้ผมมากขึ้น พร้อมกับย้ำคำชวน

“ต้องกินนะ โดยเฉพาะน้ำจิ้ม เด็ดมาก ถึงเครื่องสุดไรสุด ผมเคยขอสูตรแม่ไปทำกินเองที่บ้าน แต่ก็ไม่ได้ตามนี้ ไม่รู้ปรุงรสผิดตรงไหน

คนช่างพูดก็พูดได้สมบทบาทมากครับ ผมพยักหน้าพร้อมเบิ่งตาโตแล้วก็กินไข่เป็ดต้มราดน้ำจิ้มดาวเด่น อร่อยจริงๆ ครับ อร่อยมาก แต่ก็ไม่ทำให้ผมละสายตาจากการลอบสังเกตท่าทางนายค้ำจุนได้เลย

กูต้องเสียแก้มให้มือไอ้หมอนี่แน่ๆ
คนที่ลูบแก้มผมเมื่อคืนไอ้คนนี้แน่ๆ
นี่ไม่ใช่การคาดเดาที่เอนเอียงหรอกครับ เขาเคยทำแบบนี้กับแก้มผมมาแล้ว ทำไมเขาจะไม่ทำอีก

ผมไม่คิดว่านายต้นสนจะมาฉวยโอกาสกับร่างกายผม แม้เขาจะเปิดเผยความรู้สึกชอบให้ผมรู้ตรงๆ แล้วก็ตาม เพราะเขาไม่เคยแสดงกิริยาแบบนั้นมาก่อน แตะตัวเอยไรเอยยังไม่เคยทำ

เพราะฉะนั้น ไอ้คนฉวยโอกาส ต้องเป็นนายค้ำจุนแน่ๆ

“เอ้ออคุณ” ผมโพล่งขึ้นดื้อๆ ทำให้ตกเป็นศูนย์กลางทางสายตา แต่ผมไม่หวั่นไหวหรอกครับ ผมจ้องตานายค้ำจุนแล้วก็ตีหน้าซื่อถาม
“เมื่อคืนไปนอนกันตอนไหนอ่ะ แล้วใครปิดไฟห้องให้ผมหรอ
จริงๆ เปตั้งใจจะปิดไฟก่อนนอนช่วยแม่ประหยัดนะครับ แต่เหมือนจะเพลียแดดไปหน่อย ก็เลยหลับไปก่อน”

“ผมเอง” นายค้ำจุนตอบตรงๆ ทำเอาใจผมกระตุกรัวขึ้นมาทันที เพราะไม่คิดว่าเขาจะตอบเร็วแบบนี้

ทำไมแม่งไม่สะทกสะท้านเลยวะ
หรือว่ามั่นใจมากว่าผมหลับ เลยคิดว่าผมไม่มีทางรู้แน่ๆ ว่าถูกแต๊ะอั๋ง
หรือไม่ การลูบแก้มคนอื่นก็ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรกับเขา

“อ่อ....งั้นก็... ปิดให้เพราะงกล่ะสิ ใช่มะ?
ไงก็...ขอบคุณนะ” ผมยิ้มเจื่อนๆ แล้วก็กินข้าวต่อ แม่งอร่อยทุกอย่างเลยว่ะ ไม่น่าต้องมานั่งคิดมากเรื่องนี้เลยจริงๆ ทำเอาอาหารเสียอรรถรสหมด

.

งานพ่อค้าแคคตัสยังไม่จบลงครับ พวกเขาทำงานกันอย่งาคึกคักมากจริงๆ สำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ตอนนี้พวกเขา 2 คนมาจ่อมอยู่ที่โรงเรือนแคคตัสเพื่อไลฟ์ขายต้นไม้ ซึ่งมันเป็นกิจกรรมที่ผมสามารถช่วยเขาอยู่เบื้องหลังได้ แม้จะทุลักทุเลมากก็ตาม เพราะอย่างน้อยผมก็ยกกระถางต้นไม้มาโชว์ที่โต๊ะกลางโรงเรือน เพื่อให้ 2 พ่อค้าเค้าแนะนำได้แหละครับ ส่วนคนชี้เป้าว่าพ่อค้าอยากให้ช่วยยกกระถางไหนก็คือแม่นายค้ำจุนครับ

ใช้แรงงานอยู่ดีๆ หน้าที่แอดมินตอบคำถามลูกเพจก็โยนมาลงหัวครับ นายต้นสนขอให้ผมคอยพิมพ์ตอบที่ลูกเพจถามในไลฟ์ครับ ซึ่งมันก็ไม่ยากแม้ว่าผมจะไม่รู้ราคาแต่ละต้นเลย เพราะก็แค่พิมพ์ตามที่เขาพูดในไลฟ์แหละครับ อ้อ! จะยากก็ตรงที่เขียนชื่อสายพันธุ์มันไม่ค่อยถูก ก็ชื่อมันสุดแสนจะสะกดยากนี่ครับ

“ราคาแอริโอคาร์ปัส เมื่อกี้ 1500 บาทนะครับ ไม่ใช่ 150 บาท ขอโทษลูกค้าด้วยนะครับ แอดมินเพิ่งทำงานวันแรกครับ
แอดมินพิมพ์แก้ราคาด้วยนะครับ ถ้าลูกค้ากดซื้อที่ราคา 150 บาท ผมจะหักเงินค่าจ้างคุณนะครับ”

โหดแท้วะ!
ผมค้อนใส่ แต่ก็รีบพิมพ์ราคาใหม่ลงไปทันที ก่อนที่จะมีลูกค้ามือไว FC มาก่อนผมพิมพ์เสร็จ เพราะผมกลัวโดนหกค่าจ้างครับ แม้จะเพิ่งรู้เมื่อกี้ว่าได้ค่าจ้างก็เถอะ

การไลฟ์ขายต้นไม้แบบปุบปับของ 2 พ่อค้านี่ทำเงินได้หลายหมื่นเลยนะครับ ผมเห็นการจองต้นไม้ของสาวกพวกเขาแล้วก็อึ้งเหมือนกัน

“ไม้สวยก็เรื่องนึง พ่อค้าหล่อก็อีกเรื่องนะเป เรื่องใหญ่กว่าด้วย
ผมเคยไลฟ์คนเดียว ยอดมานิดหน่อยเอง เพราะลูกค้าที่ชอบไม้ผมส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย หน้าตาหล่อๆ ของผมก็เลยไม่มีผล”

“ส้นตีนเถอะต้น ลูกค้าไม้กูก็ซื้อเพราะชอบต้นไม้กูเถอะ” มีคนร้อนตัวครับ นายต้นสนหันมาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับผมและแม่ของนายค้ำจุน ส่วนคนร้อนตัวกำลังไถโทรศัพท์ดูยอดโอนแล้วก็ง่วนกับการจับคู่คนสั่งซื้อกับต้นไม้ที่ขายออกอยู่ครับ

ข่าวดีก็คือ ไอ้เจ้ากุมารดำเรียกทรัพย์ที่ผมเผลอไปสบตากับมันเข้าก็ขายออกเช่นกันครับ มันไม่ได้โชว์ตัวด้วยซ้ำ แต่มีคอมเมนต์ถามว่ามีมั้ย และผมตอบกลับไปว่ามีครับพร้อมบอกราคา ทางนั้นก็จองทันที และน่าจะโอนเงินมาแล้วด้วย วัดจากการที่นายค้ำจุนบอกกับแม่ของเขาว่าขายกุมารไปแล้วนะ

“เฮ้ย ต้น มาดูนี่หน่อยดิ” นายค้ำจุนเรียกเพื่อนรักไปจ่อตากับหน้าจอโน้ตบุ้คใกล้ๆ พวกเขาสุมหัวกันแป๊บนึงก็หันมามองแม่นายค้ำจุนด้วยแววตาฉงน

“แม่” นายค้ำจุนตะโกนเสียงดังทันทีที่เพื่อนรักเขาคอนฟิร์มบางย่าง
มันมาหรอ”

ผมยอมรับว่าไม่เข้าใจคำถามอันไร้ที่มาของนายค้ำจุน แต่ผมก็รู้ตัวทันทีว่าเรื่องนี้ผมเป็นคนนอกที่ควรหุบปากให้สนิท เพราะแม่นายค้ำจุนกลับเข้าใจข้อสงสัยของลูกชายทันที

“ใช่ อยู่บ้านป้าน่ะ”

“แล้วมันสาระแนมาซื้อไม้จุนทำไม อยากเอาเงินฟาดหัวกันหรอ ขอเถอะว่ะ เงินก็เงินโกงแม่ไป”

“จุน.....ไม่เอาน่าลูก
พี่เค้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลย”

“แม่!!” น้ำเสียงนายค้ำจุนโมโหมากเสียจนสรรพเสียงทั่วบริเวณนี้เงียบสนิท แม้แต่เสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับขี่ผ่านไปมายังไม่มี

“เราคุยกันแล้วนะจุนว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก
ไม่อายเปลรึไง อยากให้เพื่อนรู้หรอว่าเราไม่รู้จักโต”

“แม่!!!!”

“บ่ายแล้วนี่นะ ไปกินข้าวกินปลากันเสีย แล้วก็กลับ
เดี๋ยวรถติดนะถ้าออกจากที่นี่เย็น ไปกัน เปล ต้น”

สารภาพเลยครับว่าผมไม่ขยับตัวตามที่ผู้ใหญ่เรียก แต่ผมกลับหันมองนายค้ำจุนที่ยืนโกรธแม่จนหน้าเบ้บูดไปหมด เมื่อเขาไม่ขยับ ผมก็เลยต้องขยับตัวก่อน

“ต้น ช่วยแม่จัดสำรับข้าวละกัน เดี๋ยวเรา....ช่วยจุนเก็บของเอง” ผมส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือประกอบคำสั่งแกมขอร้อง

“อ่อ....อื้ออออ ฝากด้วยนะเป
ไปกันครับแม่ เดี๋ยวต้นช่วย เราต้องอุ่นแกงอะไรมั้ยครับ”


คำถามเกี่ยวกับอาหารดังห่างออกไปตามระยะห่างที่นายต้นสนกับแม่ทิ้งไว้ พอทั้งบริเวณเหลือกันแค่ 2 คน ผมก็ทำตามที่ลั่นวาจา ใช่ครับ เก็บของ

เจ้าของโรงเรือนแคคตัสเตะเศษดินเศษหินที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ครู่หนึ่งก็นั่งลงที่เก้าอี้ที่รูปร่างเหมือนขอนไม้

“แม่ก็เป็นงี้ตลอด
รักมันมากกว่าลูก”

ต้องตอบอะไรมั้ยวะเนี่ย? ผมสงสัยอยู่คนเดียว ไม่ได้ตอบโต้คำพึมพำของนายค้ำจุน

“ไอ้นั่นก็กวนตีน มันเหลี่ยมจัดจะตาย แม่มองมันไม่ออกหรอก”

ผมก็ยังไม่พูดอะไรอยู่ดีครับ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร

“แม่ง.....เฮงซวย!”

ผมเก็บของมารวมๆ กันและจัดแบ่งสัดส่วนให้ง่ายสำหรับการหอบหิ้ว เมื่อรู้สึกว่ามันน่าจะหยิบยกได้ง่ายแล้วก็เอ่ยชวนเขา

“กินข้าวกันเถอะ”

“..........” เขาเงียบใส่ มองหน้าผมแบบไม่สบอารมณ์ แต่ผมรับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้ไม่สบอารมณ์กับผม เขาแค่ยังสลัดความอารมณ์เสียออกไปไม่ได้ 

ผมยื่นมือไปจับประสานกับมือเขา มองหน้าแล้วยิ้มชักชวนอีกครั้ง

“กินข้าวกัน”

“ไม่หิว”

“ผมรู้ว่าคุณอารมณ์เสียเพราะห่วงแม่ แม่คุณก็น่าจะรู้เหมือนกัน แต่ถึงจะรู้ว่าคุณอารมณ์เสียเพราะเป็นห่วง แม่ก็ยังอยากให้คุณกินข้าว เพราะงั้นก็ไปกินข้าวกัน แค่กินข้าว มันไม่ได้ทำให้ความห่วงแม่จนอารมณ์เสียลดลงหรอก”

“...........”

“ผมรู้ว่าผมพูดอะไรก็ดูไร้สาระไปหมดเพราะคุณกำลังอารมณ์ไม่ดี แต่เราไปกินข้าวกันเถอะ
คุณลองหายใจยาวๆ เก็บของพวกนี้ให้เรียบร้อย แล้วก็กินข้าว
แล้วพอเราขับรถกลับคอนโด ระหว่างขับรถ คุณอาจจะคิดถึงเรื่องเมื่อกี้ขึ้นมาแล้วก็อารมณ์เสียอีก แต่อย่างน้อยนะจุน.... คุณจะไม่หิวจนอารมณ์เสียกว่าเดิม”

“...........”

“ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณต้องฉุนเฉียวขนาดนี้
แต่ถ้าลองทำตัวปกติด้วยการเริ่มกินข้าวเพราะถึงเวลากิน คุณอาจจะรู้สึกดีเร็วขึ้นก็ได้
.....นะ....”

เขาสูดลมหายใจเข้าจนตัวยืดขึ้น แล้วก็ผ่อนลมหายใจจนไหล่ห่อ นายค้ำจุนบีบมือผมกลับแล้วก็พยักหน้า เราช่วยกันหอบข้าวของสำหรับการไลฟ์ขายของกลับไปเก็บในรถ แล้วก็ไปร่วมวงกินข้าว

แม่นายค้ำจุนไม่ได้ดุลูกชายในเหตุที่ขึ้นเสียงใส่เมื่อกี้ ผู้หญิงใจดีคนนี้ยังตักข้าว ตักกับข้าวให้ลูกชายของเธอเหมือนเดิม และก็ยังดูแลเพื่อนของลูกชายด้วยความใจดีเหมือนเดิม

.

แม้นายค้ำจุนจะเงียบใส่แม่ แต่ก็ยอมรับของกินที่แม่ตระเตรียมไว้เป็นของฝากโดยไม่โต้เถียงใดๆ ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมเป็นคนรับของกินน่าอร่อยเหล่านี้ไว้แล้วพูดขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจไปหมดแล้ว

เราเดินทางออกจากบ้านที่ราชบุรีของนายค้ำจุนด้วยสายตาเศร้าหมองของพลขับ คนที่นั่งข้างๆ อย่างผมอดทนกับบรรยากาศอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องเอ่ยปากถาม

“คุณ.....ทำไมตะโกนใส่แม่แบบนั้นล่ะ
เกี่ยวอะไรกับ....คนที่มาซื้อต้นไม้หรอ”

“อือ” เขาตอบรับในที่สุดหลังจากที่ขับรถเงียบๆ อยู่นาน

“ลองเล่าให้ผมฟังก็ได้นะ เผื่ออารมณ์ดีขึ้น”

“........”

“ยังไงเราก็อยู่ด้วยกัน”

“ฮึ....แค่เพราะอยู่ด้วยกัน ผมก็เลยเล่าอะไรๆ ให้คุณฟังได้หรอ
ถ้าผมจะเล่าอะไรให้ใครฟัง หรือใช้ใครเป็นเครื่องมือระบายความโกรธแค้น มันไม่ใช่เพราะอยู่ด้วยกันหรอกเปล
คุณจะได้ฟังเรื่องของผม เพราะคุณเป็นคนสำคัญมากต่างหาก

“.........”

“ทีนี้ คุณคิดว่าผมควรเล่าอะไรให้คุณฟังเพื่อให้อารมณ์ดีขึ้นมั้ยล่ะ
.....ตอบสิ......”

ผิดคาดแฮะ ทำไมกลายเป็นผมที่ต้องมีซีนอารมณ์แทนล่ะ
ถ้าเขารู้สึกทุกข์ ก็แค่ปรับทุกข์กับผมสิ แค่นั้นเอง ง่ายจะตาย ไม่เห็นต้องถามอะไรชวนสับสนแบบนี้เลย

บรรยากาศในรถเงียบต่ออีกพักใหญ่ จนกระทั่งนายค้ำจุนเลี้ยวรถเข้าปั๊มยอดฮิต แล้วจอดหน้าร้านกาแฟ เขาหันมองผมแล้วก็พยักหน้าชักชวนให้ลงจากรถ

แอร์ในร้านกาแฟน่าจะทำให้ความหัวร้อนของเขาลดลงแล้วแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่หันมาถามผมว่าจะดื่มเครื่องดื่มเมนูไหน แล้วก็จัดการสั่งให้ พร้อมกับบอกให้ผมเลือกโต๊ะนั่งรอ

กาแฟดำคนละแก้ววางอยู่ตรงหน้าเราทั้งคู่ นายค้ำจุนเหม่อมองวิวด้านนอกอยู่พักใหญ่โดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ แต่ผมกลับไม่รู้สึกอัดอัดจนอยากลุกหนีไปจากความเงียบนี้

จนกระทั่งกาแฟพร่องลงไปครึ่งแก้ว นายค้ำจุนก็ยกโทรศัพท์แนบหู ผมหันมองความเคลื่อนไหวเล็กน้อยนั้นแล้วก็หันไปมองวิวที่ไม่ได้มีอะไรน่าชมสักนิดเหมือนเดิม

“จุนขอโทษครับแม่”

เก่งมาก ค้ำจุน
ผมเอ่ยชมเขาอยู่ในใจ รู้สึกได้ว่าตัวเองผมยิ้มนิดหน่อย ผมแก้อาการดีใจของตัวเองด้วยการยกกาแฟขึ้นมาดูดยาวๆ  นายค้ำจุนเองก็คงเขินนิดๆ ถึงได้แก้อาการด้วยการดูดกาแฟให้มันยาวกว่าผม

“ขอบคุณนะ” เขาแตะไหล่ผมแล้วบอกเบาๆ จากนั้นก็เดินออกจากร้านไป พอลับตาเขาแล้วผมก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างรู้ตัวทุกอณู

-คุณจะได้ฟังเรื่องของผม เพราะคุณเป็นคนสำคัญมากต่างหาก-

วันนี้ เวลานี้ ผมยังไม่ได้รับรู้เรื่องราวของเขาเพิ่ม เท่ากับว่าผมยังไม่ได้เป็นคนที่สำคัญมากสินะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเป็นคนสำคัญของเขาอยู่แล้ว ผมพอใจแล้วที่เราเป็นคนที่อยู่ด้วยกัน

Home*Mate

ดูเหมือนกระแสความขุ่นเคืองอยู่ฝ่ายเดียวของนายค้ำจุนจะอันตรธานไปแล้วครับ เขากลับมาคุยโทรศัพท์กับแม่เขาเหมือนเดิม น้ำเสียงกลับเป็นลูกชายซึนๆ ของคุณแม่ช่างห่วงเหมือนเดิมแล้ว แต่กว่าเขาจะกลับไปหวานชื่นกับแม่เขาเหมือนเดิมก็อาทิตย์กว่าแหนะครับ นายคนนี้ขี้งอนน่าดู

ส่วนผมนั้น ก็ยังเป็นผู้ชายที่รักพ่อกับแม่แบบห่างๆ อยู่เหมือนเดิม อาจเป็นเพราะผมชินกับการอยู่ตัวเอง ในแบบที่ตัวเองยอมรับจะอยู่แล้วด้วยล่ะมั้ง ผมก็เลยไม่มีอาการโฮมซิก

ซึ่งมันตรงกันข้ามกับพี่สาวผมครับ อย่างน้อยๆ เจ๊ป๋อมก็มาระรานผมทางไลน์บ่อยๆ เรื่องที่ชวนคุยก็เรื่องไปหาพ่อกับแม่ที่อ่างทองแหละครับ

ผมไม่ใช่คนที่ทำให้ทริปไปอ่างทองมีปัญหาสักนิด ปัญหาหนึ่งเดียวก็คือเจ๊ป๋อมเคลียร์งานไม่ได้เอง จนเวลามันล่วงเลยมาถึงเสาร์-อาทิตย์นี้ ที่ถึงจุดลงตัวในที่สุด

“อื้อคคุณ เสาร์-อาทิตย์นี้ผมจะไปอ่างทองนะ” ผมบอกเจ้าของห้องร่วม รายนี้ละสายตาจากเหล่าต้นอ่อนของอะไรสักอย่างแล้วเงยหน้ามองผม

นายค้ำจุนวางอุปกรณ์ดูแลต้นไม้ไว้ที่ระเบียง ส่วนตัวเองเดินเข้าห้องมาเพื่อถามเพิ่ม

“ไป 1 คืน 2 วันหรอ อ่างทองหรอ ไปกันกี่คนล่ะ”

“ก็ 2 คนสิ ผมกับเจ๊ป๋อม อ้อ!  ถ้าคุณอยากไปด้วยก็ 3 คน
เจ๊ป๋อมฝากชวนน่ะ” ผมบอกเพิ่มหลังจากเห็นสีหน้าเขาลังเลตอนได้ยินผมกึ่งบอกกึ่งชวนกลายๆ

“ผม...ไปได้หรอ เกรงใจบ้านคุณ”

“โอ้ย ไม่ต้องเกรงใจหรอก ห้องหับเยอะแยะบ้านที่อ่างทองน่ะ ใหญ่กว่าบ้านคุณที่ราชบุรีอีก”

“เท่านี้ก็ต้องเอามาอวดรวย อ่อ....ลืมไปว่าผมเช่าห้องลูกเศรษฐีอยู่”

“ไม่ช่ายยยยย!!!” ผมแก้ตัวเสียงยาว แต่พอเห็นว่าเขายิ้มล้อเลียนอยู่ ผมก็เบาใจ ตอนแรกก็กลัวเขาคิดว่าผมอวดรวยเหมือนกันแหละครับ

“งั้น ผมขอไปด้วยนะ ต้องคอนเฟิร์มกับพี่ป๋อมใช่มั้ย เดี๋ยวผมคุยเอง” บอกจบก็ปรี่ไปเข้าห้องนอนตัวเอง สัมภาระดำรงชีพของเขาอยู่ห้องนั้นครับ รวมถึงเตียงนอน ที่นอน หมอน ผ้าห่ม แต่ก็บ่อยครั้งที่เขาชอบมาขอนอนห้องผม เหตุผลที่ยกมาก็ต่างออกไปทุกวัน ส่วนที่ใช้บ่อยสุดก็คือ ประหยัดไฟ

ผมไลน์บอกพี่สาวตัวเองว่าค้ำจุนจะไปด้วย แต่เจ๊ก็ไม่อ่านข้อความผมครับ ผมก็เลยเดาเอาว่าน่าจะคุยโทรศัพท์กับนายค้ำจุนอยู่

ผ่านไปสักครึ่งชั่วโมง เจ้าของร่วมห้องนี้ก็ออกมาครับ เหงื่อแตกออกมาเชียว แล้วไม่เสือกเปิดแอร์ล่ะนั่น

เขายิ้มให้แล้วก็มานั่งเบียดผมที่โซฟา ซีรีส์จาก Netflix ที่ผมกำลังดูอยู่ก็เลยถูกละเลยกะทันหัน

“คุยแล้ว ไปด้วย
พี่คุณบอกว่าพ่อคุณชอบต้นไม้ เอาต้นไหนไปฝากดีล่ะ คุณเลือกสิ ผมให้
อือออ พวกไม้มงคลมั้ย จริงๆ อยากเอาบอนสีไปให้ แต่ว่ามันอยู่ราชบุรีน่ะสิ จะไปเอาก็.... 2-3 วันนี้งานแน่นเลย ผมลาไม่ได้แหง อืมมม เอาไม้โขดดีมั้ย พอมีที่ห้องพอดี ฟรองซัวร์ก็ได้นะ”

ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมยิ้มระหว่างที่เขามาปรึกษาเรื่องหาต้นไม้ไปฝากพ่อ พอเขาหันมองเพื่อขอคำตอบ ผมก็เสทำเป็นครุ่นคิดแล้วก็ตกลงยกฐานะฟรองซัวร์เป็นต้นไม้ฝากพ่อ

ไอ้หล่อฟรองซัวร์ที่อยู่ประดับระเบียงเล็กๆ ของห้องนี้มานาน ได้ฤกษ์ออกเรือนแล้วครับ


Cut


มาแล้วค่าาาาาาา
สารภาพว่าตอนนี้ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังเขียนนิยาย แต่เหมือนเขียนไดอารี่ของคุณเปลมากกว่า เพราะชีวิตเธอช่างราบเรียบเสียเหลือเกิน  :katai5:

พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-02-2022 22:52:16
โห.. คิดถึงอ่ะ จุนจะไปบ้านพ่อแม่เป
สงสัยไปฝากตัวทำคะแนน
ขอให้โชคดี มีลูกซองเป็นของแถมนะจุน
 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 06-04-2022 22:58:15
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-04-2022 10:05:04

อุ้ยยยยแหม่ๆๆๆๆ  :katai2-1:  :katai2-1: ก้าวหน้าอีกขั้น จะได้แนะนำตัวว่าพ่อตาแล้วเนอะจุน ลนใหญ่นะเรา  o13
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 04-05-2022 23:34:33
สนุกค่ะ รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 12-05-2022 22:59:39
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 02-03-2023 03:27:15
แวะมาบอกคุณนักเขียนว่ายังรออยู่นะคะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)
เริ่มหัวข้อโดย: Xiaoyongyi ที่ 26-04-2024 07:21:13
เพราะอะไรนักเขียนถึงไม่ต่อเรื่องนี้คะ