HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid
Home*Mate [14]การตาย กับการหลับเป็นตาย น่าจะคล้ายๆ กัน
ผมตื่นมาสักพักแล้วครับ แต่ว่ายังไม่ได้ลุกจากเตียง
ห้องนอนผมแท้ๆ แต่กลับมีเสียงกรนเซ็งแซ่ทั้งที่ผมกำลังตื่นอยู่
กรอกตาไม่กี่หน ผมก็ลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความมืด
เสียงกรนยังมีต่อเนื่อง มันไม่บางลงเลยแม้ว่าจะมีมนุษย์อีกคนลุกขึ้นนั่งบนเตียงเคียงกับผม
“หนวกหูเนอะ”
“อืมดิ” ผมตอบรับคำชวนวิพากษ์สถานการณ์ อีกคนที่ฟื้นสติแล้วหยิบโทรศัพท์มากดดู จากนั้นก็รายงานต่อ
“ตีสองอ่ะ ขอโทษนะคุณ”
“นั่นดิ” ผมตอบรับคล้ายๆ เดิม ไม่หันมองหน้าเขาเพราะในห้องที่เราอยู่กันนี้มันมืด
“เอาไงดีอ่ะ”
“ก็ต้องนอนต่ออ่ะ พรุ่งนี้ทำงาน”
“แต่ไอ้ต้น”
“ก็เออ นั่นดิ ไอ้ต้น” ผมรู้สึกหนักหัว อยากหลับต่อ แต่เสียงรกหูก็คงไม่หยุดลงง่ายๆ
“ปลุกมันไปนอนข้างนอกดีมั้ย”
“จะตื่นหรอคุณ ลึกขนาดนี้”
“ก็ออ นั่นดิ” นายค้ำจุนลอกคำผมบ้าง
ผมถอนหายใจ เขาก็ถอนหายใจในจังหวะเดียวกัน จบเสียงเฮ้ออันเหนื่อยหน่าย นายค้ำจุนก็วางแผนครับ
“ไปนอนห้องผมเถอะ”
“แต่มีต้นไม้”
“แค่นิดหน่อย ไม่ทำให้เราหายใจไม่ออกตายหรอกคุณ เดี๋ยวลากมาไว้หน้าโซฟาก็ได้ 2 กระถางเอง
ไอ้ต้นมันไปไกลมากแล้ว เชื่อเถอะ ปลุกไม่ตื่นหรอก ต่อให้ตื่นมันก็หลับใหม่อย่างง่ายดาย แล้วก็กรนต่อ”
“งั้นไปนอนห้องคุณกันเถอะ” ผมเอออออย่างงัวเงีย ลุกจากเตียงตามแรงดึง เดินออกจากห้องตามแรงจูง และเอนตัวลงบนเตียงนอนในอีกห้องหนึ่งตามแรงผลัก
ผมไม่ใยดีว่านายค้ำจุนจะย้ายต้นไม้ไว้ที่ไหน พื้นเป็นรอยมั้ย แล้วเมื่อกลับเข้าห้องมาแล้วเขาจะนอนตรงมุมไหน ผมช่างแม่งมันทุกอย่างเพราะความง่วงและความเหนื่อยล้าจากการทำงานเล่นงานเอา
ตื่นมาอีกทีก็ค่อนไปทางสายแล้วครับ ดีว่าวันนี้ งานแรกของวันเกิดขึ้นที่บริษัทนายค้ำจุน เอ้ย! บริษัทพี่นิทัศน์ ผมนัดกับยาดาที่บริษัทลูกค้าตอน 10 โมงเช้า เรามีประชุมร่วมกันกับทีมพีอาร์องค์กรและทีมบริหารครับ
ผมตื่นเพราะเสียงคุยกันโหวกเหวกแว่วเข้าหู ตัดสินใจเปิดประตูมาอวดสติตัวเองจึงได้เจอกับไทยไฟท์คู่เด็ด
“มึงนั่นแหละไอ้ต้น ชีวิตกูกับเปจะดีมากถ้าเมื่อคืนมึงไม่ขัดขึ้นมา ลั่นขนาดนั้นจะให้พวกกูนอนกันต่อได้ไง กูนึกว่าแผ่นดินทรุด ครืดคราดเก่ง มึงตั้งใจเกิดมาเป็นใบผาลถากหน้าดินหรอ ครืดคราดอยู่ได้ทั้งคืน” ภาษาด่าอะไรวะเนี่ย ผมฟังไปงงไป นายต้นหันหน้าโกรธมามองผมแล้วก็สะบัดใส่ เอ่อ...โทษนะ คุณมึงกี่ขวบแล้วต้น
“ก็ปลุกกูสิ”
“ต้น มึง.....พูดออกมาได้ไง ปลุกสิ
มึงไม่รู้ตัวนี่ว่ากูเขย่ามึงแรงกว่าเซียมซีศาลเจ้า
พวกกูก็เหนื่อยกันมั้ย ง่วงก็ง่วง ยังต้องมาอีโวร่างเพื่อเรียกพลังปลุกมึงอีกเนี่ยนะ
เลิกงอแงได้แล้ว ไปเยี่ยวให้เสร็จๆ พวกกูต้องไปทำงาน”
“ใช่สิ!” ทิ้งไว้เท่านี้แล้วก็เดินอาดๆ ไปเข้าห้องน้ำ มีนายค้ำจุนถอนหายใจไล่ตูด เขาเบนความสนใจมาที่ผม เช็คเวลากับนาฬิกาเล็กๆ แล้วก็ส่งสีหน้าขอโทษ
“เอ่อ....คนมันจะกรนอ่ะคุณ อย่าไปว่าอะไรนักเลย ไม่มีใครอยากกรนจนกวนคนอื่นหรอก” ผมทำตัวเป็นกรรมการห้ามศึก
“ก็จะไม่ด่ามันหรอก ถ้าไม่มางอแงน่าเตะ” เขาเกริ่นที่มาที่ไปของอาการเม้งใส่เพื่อน
“ทำไมหรอ”
“มันมางอแงว่าพวกเราทิ้งมันไปนอนกกกัน 2 คน มาว้าเหว่ห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ ไอ้ประสาทแดก
น่าเตะปากมั้ยล่ะ ใครนอนกกใคร พูดหมาๆ ใช่มั้ยล่ะคุณ”
“เออ หมา ไม่ได้กกกันซะหน่อย ก็นอนปกติ”
“นั่นดิ”
แล้วก็เงียบครับ....ผมไม่รู้ว่าเขาเงียบลงเพราะอะไร แต่ผมเนี่ย เงียบไปเพราะนึกย้อนอยู่ว่าเมื่อคืนนอนยังไงวะ? แต่ตื่นมาก็รู้สึกปกตินะ
ตัวผม ซึ่งเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนคบใครยาก ตอนนี้กลับไม่รู้สึกประดักประเดิดใดๆ กับที่มีใครก็ไม่รู้ เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่เชิง มาแชร์พื้นที่ส่วนตัว
ผมไม่ได้หมายถึงนายค้ำจุนครับ ตอนนี้นายต้นสนเองก็ดูเหมือนชินชาหนังหน้าแล้ว เวลาพูดว่า คืนนี้ขอค้างด้วยนะเป
มื้อเช้าเช้านี้ ใครสนิทกับห้องนี้น้อยที่สุดเป็นคนทำ พรมแดงเลยทิ้งตัวลาดยาวสู่ปลายเท้านายต้นสนครับ ส่วนผมและเพื่อนของเขาก็นั่งรอกิน
สิ่งที่นายต้นสนบันดาลมาให้ตรงหน้าก็โอเคครับ พอกินได้ ขนมปังปิ้งกับนมที่ซื้อตุนติดตู้เย็นกันไว้ตั้งแต่ต้นเดือน
“แล้วมึงกลับบ้านมึงเลยมั้ย” นายค้ำจุนที่ยังกัดขนมปังปิ้งปาดแยมส้มคาปากอยู่ถามเพื่อน ส่วนผมซึ่งกินนำไปแล้วครึ่งแผ่นก็หันไปรอคำตอบของนายต้นสนเหมือนกัน
“เดี๋ยวจะไปบ้านพี่ปรีก่อน แกชวนไปดูฟรองซัวร์ แกผสมเอง เห็นว่าได้ด่าง”
“หรอวะ?” ไม่ใช่แค่เสียงหรอกครับที่ฟังก็รู้ว่าโคตรตื่นเต้น อาการแทบจะทิ้งขนมปังที่ห้อยอยู่ปลายขบฟันบอกกันได้ดี นายค้ำจุนที่โคตรบ้าต้นไม้
“อ่า....แล้วสรุป คุณจะไปทำงานหรือไปดูด่างกับต้นเนี่ย” ผมขอคำตอบครับ จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่สนใจ แต่ที่ต้องรู้ก็เพราะว่าการไปทำงานหรือไม่ไปทำงานของนายค้ำจุนนั้น มีผลกับการเดินทางของผมวันนี้
ผมนัดประชุมกับลูกค้าตอน 10.00 น.ครับ และลูกค้าที่ว่า ก็คือบริษัทนายค้ำจุน เอ้ย! บริษัทที่นายค้ำจุนทำงานอยู่นั่นแหละ
“อ่อ... คุณมีประชุมที่บริษัทผมนี่นา” แหนะ สุดท้ายก็ยอมรับแล้วสิว่าเรียกแบบนี้มันง่ายกว่า ผมพยักหน้ารับการตระหนักรู้ (สักที) ของเขา แล้วก็ทำตาโตขอคำตอบอย่างเป็นทางการ
“แต่ผมไม่ต้องเข้าประชุมด้วยนี่ ใช่มั้ย?”
“ผิดแล้ว คุณนั่นแหละเจ้าภาพ” ผมย้ำข้อเท็จจริงให้เขาได้รู้
“เอ๊ะหรอ?”
“ก็เออสิ”
“งั้นผมยกเลิกก็ไม่น่าเกลียดน่ะสิ เจ้าภาพย่อมมีสิทธิตัดสินใจ”
เอาจริงดิ? หน้าผมคงบอกเขาแบบนี้แน่ๆ นายค้ำจุนถึงได้หัวเราะออกมาในท้ายที่สุด
“ล้อเล่นน่า ผมรู้หรอกว่าอะไรสำคัญกว่ากัน”
“ประชุม?”
“ไปดูด่างสิคุณ!”
ไอ้เวร!!!! คงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าผมด่าใคร
สุดท้าย นายต้นสนก็เป็นคนไกล่เกลี่ยครับ ไม่อย่างนั้นพวกผมคงด่ากันอ้อมๆ จนไม่จบเรื่องกันเสียที สรุปแล้ว นายค้ำจุนไปดูด่างไม่ได้เพราะต้องประชุมกับผมก่อน แน่นอนว่านายต้นสนเชื่อว่าผมสำคัญกว่าต้นไม้อยู่แล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นความคิดที่เข้าท่าที่สุดที่เขามี
นายต้นสนแยกตัวไปตามเส้นทางสายด่าง ส่วนผมและเพื่อนสนิทของเขา ติดแหงกกันอยู่บนถนนครับ แม้เราจะเร่งรีบ แต่ก็ทำอะไรกับการจราจรที่แน่นขนัดแบบนี้ไม่ได้ ทำได้ดีสุดก็คือการเอนจอยไปกับมัน นั่นก็คือการฟังเพลงกันไปเพลินๆ เงียบๆ ครับ
“หลับก็ได้นะคุณ เดี๋ยวถึงแล้วปลุก หรือจะให้ปลุกก่อนหน้านั้นเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของพีอาร์” หมอนี่คงหลงใหลการทำเกษตรมากๆ แน่นอน เอะอะก็ถากถาง และผมก็เป็นคนครับ ไม่ใช่วัชพืช เลยไม่นึก ปลื้มฝีปากเขา แต่สิ่งที่เลือกแสดงออกก็แค่เหล่มองเท่านั้น ยอมรับก็ได้ว่ายังง่วงอยู่ ก็เมื่อคืนนี้ไม่ได้หลับยาวนี่ครับ มีเสียงแห่เรือยาวมารบกวน
“หลับได้จริงๆ คุณ ติดขนาดนี้ อีกสักครึ่งชั่วโมงแหละ กว่าจะถึง”
“งั้นหลับนะ”
“ใจจืดขนาดนั้นก็เอาสิ” แหม แล้วปากดีมาบอกให้หลับ ผมขำฮึเย้ยเขา นั่งกอดอกถ่างตาเปิดหูอยู่ข้างคนขับที่หน้าง่วงไม่แพ้กันไปตลอดทาง
ถึงบริษัทเขาก็เกือบถึงเวลาประชุมแล้ว ผมโทรเช็คยาดาว่าอยู่พิกัดไหนของโลก เพื่อนผู้มากความรับผิดชอบบอกว่ามาถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว นั่นทำให้ผมรู้สึกชนะเจ้าภาพผู้จัดการประชุมขึ้นมาทันที ผมและนายค้ำจุนแยกกันตั้งแต่ชั้นจอดรถ เขาต้องเข้าฝ่ายเขาก่อน ส่วนผมรีบเร่งฝีเท้าไปหายาดาที่ห้องประชุมหลักซึ่งอยู่คนละชั้นกัน
“เหนื่อยมาเลยนะ” ยาดาทักทายอย่างน่าเอ็นดูครับ ผมยักคิ้วยอมรับสภาพ ชี้ขวดน้ำเปล่าที่วางประจำตำแหน่งเก้าอี้เป็นเชิงถามว่า ดื่มได้มั้ย? เมื่อเพื่อนพยักหน้ารับรองว่ามันเป็นน้ำที่ดื่มได้ ผมก็ดื่มน้ำดับความเหนื่อยทันที
“แล้วมายังไง”
“มากับจุน” ตอบเท่านี้แล้วก็กระดกขวดดื่มน้ำอีกอึกใหญ่
“อ่อ เราก็ลืมไปว่าอยู่ด้วยกัน จริงๆ ก็นึกได้ตั้งแต่เริ่มห่วงว่าเปจะมาสายแล้วแหละ เกือบจะโทรหาแล้ว แต่นึกได้ก่อนว่าเปกับจุนอยู่กินกันแล้ว”
“ดา ขอเถอะว่ะ อย่าอำเรื่องนี้ได้มั้ย ไม่ตลก”
“ใช่ ไม่ตลก น่ารักออก”
“ไอ้ยาดา”
“จ้าๆ ไม่อำก็ได้ ใครเขาเอาเรื่องจริงมาพูดเล่นกัน เนอะเปเนอะ”
“ไอ้ดา”
เขม่นใส่ให้ตายไปข้างนึง ผมก็เชื่อว่าเพื่อนไม่เลิกอำหรอกครับ มันคงเป็นเรื่องสนุกสำหรับเพื่อน แต่มันไม่ค่อยสนุกสำหรับผมนักหรอก
อยู่กินกัน นั่นมันคำของผัวเมีย ซึ่งผมกับนายค้ำจุนไม่ใช่
ยาดาหัวเราะส่งท้าย จากนั้นก็กางแผนประชุมขึ้นมาเพื่อทวนงานกันอีกรอบ
ลูกค้ารายนี้เพิ่งเซ็นสัญญาจ้างพวกผมมาดูแลเรื่องงานพีอาร์ครับ วันนี้นัดประชุมกันครั้งแรกเพื่อรับฟังว่าลูกค้าต้องการสื่อสารต่อสาธารณะเรื่องอะไรบ้าง จะได้วางแผนเกี่ยวกับช่องทางการสื่อสาร และรูปแบบคอนเทนท์กันได้อย่างเหมาะสม
ผู้เข้าร่วมประชุมวันนี้ มีตั้งแต่ระดับกรรมการผู้จัดการ , ผู้จัดการทั่วไป , สื่อสารองค์กรบริษัท และผู้จัดการโปรเจคระหว่างประเทศครับ ตำแหน่งสุดท้ายที่เอ่ยหมายถึงนายค้ำจุนนั่นเอง
พวกเรานั่งประชุมงานกันอย่างขะมักเขม้น ทุกคนล้วนแสดงความคิดเห็นกันตามบทบาท จะมีล้นบทบาทก็แค่คนเดียวครับ นายค้ำจุน
เขาไม่มองผม ไม่แสดงอาการว่ารู้จักกับผมและยาดามาก่อนแล้วแม้ว่าระดับหัวอีก 2 ท่านที่ร่วมประชุมด้วยจะแสดงออกชัดเจนว่ารู้จักผมกับยาดามาอยู่ก่อนแล้วก็ตาม ผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าเขาวางทีท่าแบบนี้ทำไม แต่ผมก็ไม่พอใจมากๆ เหมือนกัน
“ก็..ราวๆ นี้แหละเป ดา เดี๋ยวให้ทีมจุนเขาฟอลโลวอัพนะ
หรือมีข้อมูลอะไรที่อยากได้ หรืออยากให้เคลียร์ให้ชัดกว่านี้ ก็บอกจุนไว้ ...
รุ่น ๆ เดียวกันล่ะมั้ง รู้จักกันไว้ซะ”
“ครับ” นายค้ำจุนตอบรับ และก็ทำให้ผมกับยาดาตาพองขึ้นอีกรอบจนได้ นายคนนี้ตบๆ ตามกระเป๋าตัวเอง ทั้งเสื้อเชิ้ต ทั้งสูท ทั้งกางเกง เพื่อล้วงนามบัตรมายื่นให้กับผม
ไอ้เวร นี่ผมนอนกับคนประเภทไหนมาตั้งหลายเดือนวะเนี่ย?
ประโยชน์อะไรกับการทำเป็นไม่รู้จักผมวะเนี่ย งงจนคิดหาเหตุผลไหนมาอธิบายไม่ได้แล้วครับ
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ คุณ......” ยาดาเป็นคนยื่นมือไปรับนามบัตรมุมเยินนั้นเอาไว้ รายนี้ไขสือเก่งจนแสดงอาการเอียงคออ่านชื่อบนนามบัตร
“....คุณปวริทธิ์ อ่า มีชื่อเล่นมั้ยคะ?”
ทำดีมากดา อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะกระดากปากบ้างมั้ย แม่งขายต้นไม้ให้ยาดาไปตั้งหลายพันบาทแล้วด้วย
“ค้ำจุน ครับ แต่เรียกจุนดีกว่า
แล้วคุณยาดาล่ะครับ”
“ค่ะ เรียกว่าดา สั้น ๆ ก็ได้ค่ะ
ส่วนนี่ก็.......” เดี๋ยว ๆ ไม่ต้องเผื่อแผ่คำแนะนำตัวกันหรอก
“นี่เปลค่ะ แต่ไม่มีใครกระดกลิ้นให้เกียรติเท่าไหร่ ก็เรียกเปแบบลิ้นแบนๆ ตามชาวโลกแล้วกันนะคะ จุน”
“ครับ” แล้วก็หัวเราะกันครับ.... ยาดาก็หัวเราะไปพร้อม ๆ กันด้วย ผมค่อนข้างประหลาดที่เพื่อนไม่ประหลาดใจกับพฤติกรรมน่าประหลาดใจของหมอนี่
ทุกอย่างคลี่คลายที่ร้านอาหารครับ จะเรียกว่าร้านอาหารก็ไม่ตรงปกสักเท่าไหร่ ที่นี่ก็คือร้านข้าวแกงพ่วงอาหารตามสั่งนั่นแหละครับ เจ้าถิ่นเขาอาสาพามาทานข้าว ผม ยาดา และนายค้ำจุน จึงมานั่งประชันเหงื่อบนหน้ากันอยู่แบบนี้
“ตอนแรกเราก็เกือบทักทาย แต่เห็นจุนไม่ทำตัวคุ้นหน้ากันเลย ก็เลยดูทรงก่อน ดีนะเนี่ยที่อ่านขาดว่าโดนเขม่นมา”
“อืม จริง ๆ ก็ไม่ถึงกับโดนเขม่นหรอก แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่เปกับดาต้องมาโดนไปด้วย
ก็นะ.... ใครๆ เขาก็มองว่าเป็นเด็กเส้น ก็...เซ็ง ๆ ไป ทำได้เท่านี้” เจ้าของประเด็นตอบกลับเหมือนไม่คิดอะไรมาก แต่ผมคิดว่าผมมองไม่เขาผิดหรอก นายค้ำจุนโคตรเครียดเรื่องนี้เลย
“จริง ๆ คุณบอกผมไว้ก่อนก็ได้นะ บอกตามตรงว่าเหวอเลย ในห้องประชุมนั่นผมก็ไม่พอใจท่าทางคุณเลยนะ ดูเหยียดใส่กันอ่ะ” ผมออกโรงบอกความรู้สึกบ้าง นายค้ำจุนหันมายิ้มแหย ยกไหล่ห่อคอ ทำท่าทำทางเหมือนขอโทษขอโพย
“เอาน่าเป ทุกคนก็มีเหตุผลส่วนตัว แต่สุดท้ายก็มากินข้าวด้วยกันนี่ไง ก็ถือว่าทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการแล้วต่อหน้าธารกำนัล ชนแก้วกัน เย้”
ไม่มีใครเย้ไปกับยาดาหรอกครับ ผมยิ้มบางๆ ให้กับนายค้ำจุนที่ส่งตายิ้มมาขอโทษกันอีกครั้ง
Home*Mate“มันก็แบบ Excuse me, can I ask?
และทางนั้นก็ Yeah sure Go ahead.
พอฝรั่งตอบงี้ มันทำไงรู้ป่ะ?” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ นายต้นสนอมยิ้มแล้วก็เล่าเรื่องต่อ
“มันก็....
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”
ใช่ครับ เรากำลังนินทานายค้ำจุนกันอยู่ และตอนนี้ผมไม่รู้จะขำคนต้นเรื่องหรือคนเล่าเรื่องดี อีกคนก็มุกไม่ฮาแต่เพื่อนไม่เครียดด้วย อีกคนก็ไม่สนใจว่าเพื่อนเครียดเอาแต่ฮาอย่างเดียว
“เรื่องตั้งหลายปี มึงก็พูดถึงอยู่ได้ไอ้ต้น” มาแล้วครับเจ้าของเรื่อง ผมหันไปมองนายค้ำจุนที่เดินกลับมาที่ร้านขายต้นไม้ ในมือมีโตเกียวทรงยาวสารพัดไส้ ซึ่งมันของกินรองท้องสำหรับผมคนนี้นี่เอง
“แต่มันก็ขำดีนะคุณ ไม่นึกว่าจะมีมุมแบบนี้”
“มุมอารมณ์ดีมีเสน่ห์น่ะหรอ? ผมมีถมเถ”
“ไม่ดิ หมายถึงมุมเล่นมุขประสาทแดก” ผมกวนตีนกลับด้วยปาก ส่วนมือรีบคว้าถุงโตเกียวที่เขาเดินไปซื้อให้มาไว้แนบอก เรื่องกินเรื่องใหญ่เสมอครับ
นายค้ำจุนยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้าใส่บาง ๆ คงเอือมมารยาทผมล่ะมั้ง เขานั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ ลงมือจัดต้นไม้รอต้อนรับลูกค้าเหมือนวันอังคารอื่น ๆ ที่มาเปิดร้าน
“อื้อคุณ”
“อือ ไรคุณ”
เราเริ่มบทสนทนากันแบบนี้จนชินแล้วครับ ผมไม่รู้สึกว่าการใช้เสียงสั้น ๆ คำห้วน ๆ เป็นอาการไม่สุภาพหรือกวนตีนแต่อย่างไร
“ไม่มีออเดอร์ล็อตใหญ่ ๆ แล้วหรอ เผื่อได้กินข้าวฟรีอีก” ผมหมายถึงเงินเกือบแสนนั่นแหละครับ แบบว่าอยากตื่นเต้นอีกครั้ง แม้จะไม่ได้ค่านายหน้าใด ๆ ก็ตาม
“ก็อยากมีเหมือนกันแหละน่า แต่มันไม่มีมานี่
เหมือนตอนนี้เทรนด์ไปพวกกุหลาบหินนำเข้า”
“หรอ แล้วเราไม่มีหรอ”
“อืม เราไม่ได้เล่นกุหลาบหิน ผมว่ามันดูแลยาก สำหรับผมนะ แต่คนนี้เขาว่าง่าย”
“หรอ”
“อือ”
“หน้าตาไงอ่ะ นำเข้า” ผมถามพลางยืดคอส่งหน้าตัวเองไปจ่อที่โทรศัพท์มือถือที่เขากำไว้ในมือ
“แป๊บนะ” แล้วเจ้าของมือถือก็รู้ตัวครับ เขาตั้งหน้าตั้งตาหารูปกุหลาบหินนำเข้ามาให้ผมศึกษา ปล่อยให้หน้าที่จัดหน้าร้านเป็นของนายต้นสน
พวกมันสวยดีครับ แต่สืบ ๆ ราคาดูแล้ว ผมรีบบอกตัวเองให้หุบปากเรื่องกุหลาบหินเวลาคุยกับยาดาเชียวครับ ไอ้สวยมันก็สวยอยู่หรอก แต่ถ้าเอามาแล้วตาย ก็โคตรเสียดายเงิน ท่าทางพวกมันบอกบางซะด้วยสิ
“เฮ้ย อันนี้น่ารักอ่ะคุณ เหมือนกระต่าย”
“เขาก็เรียกว่ากันว่าหูกระต่ายนะ ชอบหรอ” นายค้ำจุนสบตาถาม สลับกับก้มมองมือถือตัวเองที่อยู่ในมือผม
“น่ารักดี”
“มันก็น่ารักหมดแหละ แล้วแต่ว่าถูกใจแบบไหนมากกว่า
แต่คุณเลี้ยงไม่รอดหรอก พวกโคโน หรือไลทอป ไม่ตัวแตกโดนต้มก็แห้งตาย”
“โหยยย ดูถูกกันมากอ่ะคุณ”
“ดูไม่ผิดแน่นอน ผมยังเลี้ยงไม่รอดเลย”
“เอามาเลย เอามา ผมจะเลี้ยงหูกระต่ายให้รอดให้ดู” เกิดการท้าทายกันขึ้นจนได้ครับ ยอมรับว่าไม่รู้จักตื้นลึกไอ้หูกระต่ายนี่มากไปกว่าการได้เห็นรูปเมื่อครู่ แต่ผมก็ปากเบาท้าทายไปแล้ว นายค้ำจุนหัวเราะใส่และหันไปบอกโจทย์อันแสนท้าทายของผมให้นายต้นสนรู้เรื่องด้วย นายคนนี้ฟังแล้วปรี่มาหาผมทันที
“เปชอบหรอ จะเลี้ยงหรอ เอาสิ ผมพาไปซื้อ รู้จักร้าน เดินไปนิดเดียวเอง”
“เออ นำไปเลยต้น แม่ง คนเราว่ะ ดูแคลนกันมาก ผมจะเลี้ยงให้ดู เอาให้แม่งโตเป็นหูกระจงเลย” อันนี้มั่วครับ นึกชื่อต้นไม้อะไรได้ก็เอามาข่มไว้ก่อน
นายต้นสนคว้ามือผมไปสอดจับไว้ จูงไปยังร้านเป้าหมาย เขาหันมายิ้มให้ผมอย่างสดใสเป็นระยะ สีหน้าและท่าทางกระตือรือร้นบ่งบอกว่าเขามีความสุขมากที่ได้เป็นผู้บรรยายรายชื่อต้นไม้ที่ผ่านตาให้ผมฟัง
โดยยังไม่ปล่อยที่ประสานไว้กับผม เขานำพาให้ผมได้มาเผชิญหน้ากับไอ้หูกระต่ายเป็นครั้งแรกในชีวิต
“มาเลี้ยงมันด้วยกันนะเป”
ผม.....รู้สึกแปลก ๆ Cut
ตอนหน้าจะพยายามเร็วกว่าเดิมค่ะ