HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid
Home*Mate [7]
“เป!!!!” ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกกันอย่างกรรโชกและอาการทุบประตูห้องนอนปัง ๆ งัวเงียลุกขึ้นมาแล้วคว้าโทรศัพท์เพื่อดูเวลา นี่มันเพิ่ง 6 โมงเช้าเอง ทำไมต้องรีบปลุกกันด้วยวะ ผมก็ไม่ได้ต้องการรีบตื่นเสียหน่อย
ผมเดินแบกหัวมึนๆ จากอาการถูกกระชากตื่นมาเปิดประตูห้องนอน เพื่อต้อนรับหน้าบูดบึ้งของเพื่อนร่วมห้อง
“อาราย”
“นั่น....อะไร”
“ทำไมเป็นงั้น”
“อารายยยยยย”
“มาดูดิ!” หมอนี่เต้นทั้งตัวเต้นทั้งเสียง ผมไม่เคยเห็นเขาลุกลี้ลุกลนแบบนี้มาก่อนเลยครับ แต่ก็อย่างว่า เราอยู่ด้วยกันยังไม่ถึงเดือนเลย ก็ไม่แปลกหรอกที่ผมจะไม่เคยเหลี่ยมมุมของเขาอีกมาก
ผมยังยืนอิดออดอยู่หน้าห้องนอนตัวเอง ขณะที่หมอนี่เปิดม่านสีครามผืนใหญ่แทบสุดขอบข้างซ้ายขวา
“ดูดิเป”
“อะไรกันนัก” ผมบ่นเบาๆ เดินลากฝ่าเท้ามายืนแหกตามองระเบียงผ่านม่านกรองแสงสีขาว เอาหน้าผากชนไว้กับประตูกระจกเพื่อถ่ายเทน้ำหนักตัว สารภาพเลยว่าผมยังง่วงอยู่มาก ไม่อยากตื่นและไม่คิดว่าตอนนี้ผมกำลังตื่น
“ดูดิ” เขาฟ้องอีกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาฟ้องผม หรือผมเป็นต้นเหตุให้เขาหาคนฟ้อง
“เละไปหมด”
“ไม่เห็นอะไรเละเลย ก็เอี่ยมดี” ผมตอบตามที่สายตามัวๆ เห็น นายค้ำจุนทำหน้าช็อคมากที่ผมมองไม่เห็นสิ่งที่เขาเห็นตาคา หมอนี่ลากเปิดม่านกรองแสงจนสิ้นชายผ้าในสายตาผม เขาเลื่อนเปิดประตูกระจกด้านหนึ่งเต็มบาน แล้วลากแขนผมให้เอียงตัวมองสิ่งที่เขาฟ้องว่า –เละ-
“นี่ไง” หมอนี่ย้ำ ผมมองหน้าเขาด้วยสติที่เริ่มประกอบร่างใกล้สมบูรณ์ พยายามเบิกตากว้างสู้แสงยามรุ่งอรุณที่ค่อนไปทางทะมึนเพราะวันนี้เมฆหนา และก็เป็นอีกครั้งที่ผมทำให้เขาช็อค
“ก็ดีนี่ ไหน อะไรเละ”
“คุณ ไม่เห็นหรอ? ตาบอดรึไง”
“เห็นตาคาขนาดนี้”
“นี่ไง เละไปหมด คุณทำอะไรเขา”
เดี๋ยวนะ เขาไหน? เขาคือใคร? และผมน่ะหรอจะไปทำอะไรใครที่ระเบียงห้องตัวเอง โดยที่ผมไม่รู้ตัว และมองไม่เห็นซากหลักฐานที่เขาย้ำนักหนาว่าเละไปหมด
จะบ้าหรอ?
“เฮ้ย ใจเย็นนะคุณ”
“เย็นได้ไง ก็มันเละเทะไปหมดแบบนี้ เสียหายเยอะนะคุณ”
“คุณไม่เข้าใจหรอก ใช่สิ มันไม่สำคัญกับคุณนี่”
ไป กัน ใหญ่ มันคงเป็นอะไรประมาณนี้ล่ะมั้ง
ผมกรอกตา พยายามทำใจให้เย็นลงเพราะเห็นเขาโวยวายใหญ่โตราวกับเชื่อมั่นมากว่าคนที่ทำผิดคือผม ซึ่งผมยังไม่รู้เลยว่าทำอะไรผิด
“อะไรเสียหาย ถ้าคุณไม่พูดให้รู้เรื่อง ผมก็ประเมินไม่ถูกหรอกว่ามันมากหรือน้อย อะไรเละเทะด้วย ผมยังไม่เห็นอะไรเละเลย เขาก็ทำเป็นระเบียบดี”
“ใคร?!” เสียงเขียวกว่าใบไม้บนต้นห่าอะไรก็ไม่รู้ที่ริมระเบียงอีกครับ ผมเริ่มไต่สายตามองต้นไม้ทั้งหลายเหล่านี้และเริ่มเข้าใจว่านายค้ำจุนเดือดเรื่องต้นไม้ ใจก็นึกอยากอุทิศส่วนกุศลให้มันหากว่ามันเจ็บปวดนักหนา แต่ก็คิดได้ในวินาทีถัดมาว่าผมไม่มีส่วนบุญให้ใคร จากนั้นก็เสยลูกตามองหน้านายค้ำจุนที่ขมวดคิ้วบูดเบี้ยวใส่อยู่ไม่เปลี่ยน
“ผมถามว่าใครทำ? ใครมาห้องคุณหรอ? ทำไมมายุ่งกับเขา นี่ระเบียงผมนะ ในสัญญาก็มี แล้วทำไมคุณพาเพื่อนมาไม่บอกผม หรือไม่อยากบอกอะไรเพราะพาผู้หญิงมานั่นนี่ก็ควรบอกผู้หญิงของคุณสิว่าอย่ามายุ่งกับที่ของผม”
“เฮ้ยๆๆ ไม่มีใครพาใครมานั่นนี่ที่โน่นนี่นั่นทั้งนั้นแหละคุณ”
“คนที่ยุ่งกับระเบียงนี้ ก็มีแค่คุณ”
“ผมไม่มีทางทำเละเทะแน่!”
“ฟังให้จบดิวะ”
“มีแค่คุณกับแม่บ้าน” “แม่บ้าน?”
“ใช่แม่บ้าน แม่บ้านของเรา”
“แม่บ้านมาทำความสะอาดห้อง เดือนละ 2 ครั้ง ตามสิทธิ์ ค่าส่วนกลางก็จ่ายไว้แล้ว เพราะงั้นต้องมาทำความสะอาดห้องสิ เรื่องง่ายๆ คุณต้องเข้าใจอยู่แล้ว”
“ใช่มะ?”
“..........”
“ผมจำได้ชัดว่าแจงคุณละเอียดแล้วนะว่าค่าส่วนกลางที่นี่ตารางเมตรละเท่าไหร่ และได้รับบริการอะไรบ้าง”
“ก็รถโครงการที่คุณนั่งไปบีทีเอสทุกเช้า ตอนเย็นด้วยถ้าคุณไม่กลับค่ำ และก็บริการทำความสะอาดห้องเดือนละ 2 ครั้ง กับซักรีดเสื้อผ้าที่ร้านรับจ้างและฝากวางที่ห้องนิติ”
“คุณต้องจำได้สิ เพราะตอนที่คำนวณค่าส่วนกลางกัน เถียงกันแทบตาย แล้วคุณเป็นคนวัดเองว่าพื้นที่ทั้ง 2 ระเบียงมันกี่ตารางเมตร เพราะคุณจะใช้พื้นที่ทั้ง 2 ระเบียง”
“คุณทำให้ผมต้องตากผ้าในห้องนั่งเล่นไง จำได้ยังอ่ะ?”
“อ่อ...”
“ใช่ เรามีแม่บ้าน”
“แต่แม่บ้านก็ไม่ควรทำเละเทะไง เฮ้ย ไม่ได้อ่ะ ต่อไปไม่ต้องให้ทำที่ระเบียง”
“ไม่ได้”
“ต้องทำ”
“เขาทำเละเทะในสายตาคุณ แต่คุณทำระเบียงเลอะเลอะในสายตาผมเหมือนกัน”
“เศษดิน คราบน้ำ เศษใบไม้ หินอีก ไอ้เม็ดๆ ไรนี่อีก แล้วนกก็แวะมาขี้อีก”
“ต้องทำดิ”
“แต่แม่บ้านทำเละ” ก็ยังจะเถียง ผมไม่เห็นมันจะเละเทะตรงไหน แต่ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว คุยกับเขาหน่อยก็แล้วกัน
“ยังไง ผมไม่เห็นความเละเทะนะ และแน่นอนผมไม่ได้ตาบอด แน่นอนว่าผมยังไม่ตื่นดีแต่ก็จำได้ว่าคุณด่า ผมไว้”
เขาถอนหายใจ ทำหน้าง้ำปากยื่น หมอนี่ก้มมองบรรดาต้นไม้ของเขาแล้วก็ถอนหายใจ เพื่อเริ่มต้นอธิบายสิ่งที่ผมไม่เข้าใจความสำคัญอะไรเลย
ซึ่งผมจับใจความได้ว่า บางต้นชอบแดด เขาก็จะวางไว้มุมซ้าย ไล่ระดับกันไป มีการกำหนดสีกระถางเอาไว้แล้วว่าต้องอยู่ใกล้กัน หรือเรียงลำดับกันจากขวาไปซ้ายหรือซ้ายไปขวา ไม้โขดและไม้ใบชอบแดดรำไรเขาจะไว้ทางมุมขวา บางต้นต้องการความฉ่ำก็จะมีถาดรองกระถางเอาไว้หล่อน้ำ ซึ่งแม่บ้านก็ทำให้มันเละเทะไปหมดเลย
สรุปแล้ว นิยามคำว่าเละเทะของนายค้ำจุน ก็คือ ถูกจัดวางไม่เหมือนเดิมครับ
บอกเลยว่าปวดกะบาลมากกับความจู้จี้ในเรื่องที่ผมไม่เห็นว่ามันสำคัญสักนิด
เรากลับเข้าห้อง ปิดประตูกระจก ปิดม่านกรองแสงแต่เปิดม่านหลักเอาไว้รับแสงตอนเช้า เขาอยู่ในชุดพร้อมไปทำงานแล้วแต่กลับไม่รีบออกจากห้องไปเสียที ผมก็เลยต้องถาม เพราะไหนๆ ก็ตื่นแล้ว
“แล้วนี่คุณไม่ไปทำงานหรอ?”
“เดี๋ยวลา จะจัดต้นไม้”
“หา?”
“เออ ใช่ ผมจะลางานเพื่อจัดต้นไม้ที่แม่บ้านทำไว้เละเทะ ไม่เห็นต้องตกใจ”
“แล้วทำความสะอาดครั้งต่อไป คุณเตือนผมด้วยนะ ผมจะลางานเพื่อคุมงานแม่บ้านอีกที”
“งี้เดือนนึงก็ต้องลางาน 2 วัน เอาจริงหรอ?” หมอนี่ท่าจะบ้า เป็นคนจัดความสำคัญเรื่องราวได้ประหลาดมาก
“จริง” เสียงดูงอนๆ แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะงอนแม่บ้านซึ่งคงไม่มีทางรู้ตัวแน่ๆ เขาไม่น่าจะงอนผม เพราะผมไม่ได้เตะต้องส่วนขอบรอบชีวิตส่วนตัวของเขาแม้แต่ปลายก้อย
“คุณก็อาบน้ำกินข้าวเช้าสิ เดี๋ยวก็สายหรอก”
“ผมทำโจ๊กไว้ให้”
อ้อ เฉพาะเรื่องอาหารการกินที่เขาเผื่อแผ่มาถึงผมนี่แหละครับ ที่ทำให้เราเกยขอบชีวิตกันและกันไว้นิดนึง
Home*Mateสรุปแล้ว อาทิตย์นี้ นายค้ำจุนก็ลางานเต็มวันไป 1 วัน ผมคิดว่าเขาควรเดือดร้อนทางใจนิดหน่อย เพราะงานแบบเขา (อ่อ เขาเป็นวิศวกรด้านไอทีนะครับ) ถ้าขาดไปคนนึงก็น่าจะทำให้คนอื่นต้องมารับผิดชอบส่วนงานของตัวเองเพิ่ม ....ล่ะมั้ง ผมก็จินตนาการเอาเองน่ะครับ
ค่ำนี้ผมถึงห้องก่อนเขา ก่อนหน้านี้ เขาไลน์มาถามแล้วว่าจะกินอะไร ให้ซื้ออะไรเผื่อมั้ย ผมก็เลยตอบไปว่าผมกลับเร็ว ผมจะทำอาหารเอง ทางนั้นส่งอีโมติคอนสีหน้ามองบนมาให้ดู แหม่...ไม่รู้จักนายเปคนนี้ซะแล้วว่าจังหวะเขย่าขวดน้ำปลาเด็ดแค่ไหน
ผมไม่ต่อความ เพราะตัดสินใจทุ่มเทกับการปรุงรสต้มยำหมูสับน้ำข้นอย่างเอาจริงเอาจัง
ชิมครั้งแรก...จืดครับ
ครับที่สองที่สาม ก็ยังจืด
หรือว่าลิ้นผมด้านไปแล้ว?
ผมเทน้ำนะนาวคั้นสดที่ซื้อมาจนแทบหมดขวด จากนั้นก็ประโคมน้ำปลา แล้วก็คว้าพริกสดในตู้เย็นมาตีๆๆๆ ในถุงพลาสติกที่ห่อพริกไว้นั่นแหละ เพิ่งรู้เหมือนกันครับว่าโลกเราตอนนี้มีพริกสีเขียวอ่อน เหลืองอ่อน สีส้มอ่อน และสีชมพู แต่ก็ช่างหัวสีสันของพริกมันเถอะครับ ตอนนี้ข้าวสุกแล้ว
ผมทำไข่เจียวเพิ่ม กลิ่นหอมฟุ้งทำให้อดจะอุปมาตัวเองเป็นแม่ศรีเรือนรอสามีไม่ได้ แต่เมื่อความคิดถัดมาคือหน้าของนายค้ำจุนที่น่าจะถึงห้องเร็วๆ นี้ ฉากมโนต่างๆ ก็ดับทันที
แน่นอนสิครับ ผมจะเป็นเมียศรีเรือนของใครได้ยังไงกันล่ะ?
ตรึ๊ด เสียงดังขึ้นจากอีกฝั่งของประตูหน้าห้อง ตามด้วยเสียงกดรหัส 4 หลัก และนายค้ำจุนก็ก้าวสวนทางบานประตูเข้ามา พร้อมกับอาการเชิดจมูกดมกลิ่นฟุดๆ นี่ถ้าเป็นเพื่อนสนิทกันหน่อยก็จะอวดตัวว่า กลิ่นกูหอมล่ะสิมึง แต่เราไม่ได้สนิทกันครับ ผมเลยแค่หันมองแล้วยกยิ้มใส่
“กลิ่นดีอ่ะคุณ”
“กินได้เลยป่ะ?”
“หือ? อื้อ กินเลยก็ได้ คุณไปล้างหน้าด้วยน้ำล้างเท้าสิ”
“มะเหงก” เขาทำท่าประกอบด้วยครับ ส่งท้ายด้วยอาการหัวเราะในลำคอแล้วก็เดินเข้าห้องนอนเขาไป
ผมต้องจัดเคลียร์โต๊ะทานข้าวของเรานิดหน่อยครับ เพราะมันเป็นโต๊ะเอนกประสงค์ไปแล้ว พูดง่ายๆ คือโต๊ะวางทุกสิ่งของที่เราคิดว่าจะใช้ในอนาคตครับ ก่อนหน้านี้ ความรกของโต๊ะกินข้าวแทบไม่เป็นปัญหาเลย เพราะส่วนมากเราใช้คนละเวลา แต่เมื่อจะทานข้าวด้วยกันแล้ว ผมก็ต้องเป็นคนเคลียร์ เพราะอีกคนยังสาละวนกับการล้างหน้าด้วยน้ำล้างเท้า
“ไหนๆ หน้าตาเป็นยังไง ดูซิ”
“หูยยย ดูดีอ่ะคุณ”
“ทำอาหารเก่งเหมือนกันนี่หว่า”
“เดี๋ยวๆ ของแบบนี้มันสวยแต่รูปไม่ได้ ชิมก่อน”
“ซู้ดดดดด”
“หือ! เด็ด”
ครับ เขาดูเหมือนคนบ้า แต่ผมดันมองคนที่ดูบ้าพูดพล่ามคนเดียวแล้วเสือกยิ้มรับคำชมที่ไม่ค่อยเต็มประโยคไปซะได้
“โธ่คุณ”
“ผมก็ทำอาหารเป็นหรอกน่า แค่ขี้เกียจเตรียมวัตถุดิบแค่นั้น”
“อ่อ” เขาพยักรับคำอธิบาย เรานั่งตรงกันข้ามกันเพื่อทานข้าว สิ่งที่ทำให้เขาตาวาวก็คือความเผ็ดของรสชาติครับ
“เด็ดมากอ่ะคุณ”
“พริกอะไรเนี่ย”
“ก็พริกขี้หนูทั่วไป”
“เนี่ยดูดิคุณ เดี๋ยวนี้มีพริกสีสวยๆ ด้วยนะ”
“ไหน” นายค้ำจุนถามพลางควานช้อนกลางในถ้วยซุปใส่ต้มยำ เขากวาดจ้วงหาพริกสีสวยที่ว่า ดูเหมือนเขาเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน
ครืด!!!
จู่ๆ นายค้ำจุนก็ลุกขึ้นยืน เขามองต้มยำหมูสับน้ำขนสีส้มสวย จากนั้นก็สลับมามองหน้าผม แล้วก็อ้าปากหุบปากเหมือนคนบ้าจริงๆ จบด้วยการพรวดไปเปิดตู้เย็น
“คุณณณณณณณ!!!!” เขาโหวกเหวกแล้วทิ้งตัวทรุดลงกับพื้นตรงประตูกระจกกั้นครัว
“อะไร?”
“เป!!” เงยหน้ามาเรียกผมแล้วก็ทิ้งใบหน้าเหยเกไปมองพื้น
“ก็อะไรล่ะ?!”
“คุณฆ่าลูกผม!!!” ดูเหมือนว่าเขาจะร้องไห้ (อย่างน้อยๆ อาการเบะมันก็ทำให้คิดว่าน่าจะร้องไห้)
“ห๊ะ!”
สารภาพเลยครับว่าไม่เข้าใจอากัปกิริยาท้อแท้หมดกำลังใจที่นายค้ำจุนกำลังทำอยู่อย่างมาก
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโวยวายเรื่องอะไร ผมไปฆ่าใคร ฆ่าลูกเขาเนี่ยนะ? ไหนวะเด็ก? แม้แต่หัวยังไม่เห็นเคยโผล่มา หรือจะหมายถึงสัตว์เลี้ยง หมูน่ะหรอ? นี่เขาเป็น Pig Person หรอ? ผมไม่เคยสังเกตเห็นเลย ให้ตายเถอะ!!
ผมจำต้องละจากมื้ออาหาร เดินมานั่งยองๆ ตรงหน้าเขาแล้วตบไหล่เรียกสติ
“เฮ้ยคุณ”
“เป็นอะไรอ่ะ”
“ผมไปฆ่าลูกคุณเมื่อไหร่ คุณโอเคแน่นะ ดูเพี้ยนอ่ะ”
“ผมไม่โอเค ไม่ว่าเป็นใครที่เป็นผมก็ต้องไม่โอเค”
“คุณทำได้ไง”
“ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ ผมไม่เคยคิดระแวงคุณเลย ผมผิดเอง”
“โทษนะ ผมไม่รู้เรื่อง”
“อย่ามาปัดความผิด” อื้อหือออ ผมขอคอมเมนท์ได้มั้ยครับว่าอาการมันดูแพศยามาก
“คุณต้องรู้สิ มันไม่เหมือนกัน แล้วมันก็แยกกันอยู่”
“เอ่อออ” ทำได้แค่ลากเสียงยาวๆ แล้วคิดครับ แต่ผมก็คิดไม่ออกว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่
“คือออออออออออ” จนจะหมดลมหายใจแล้วผมก็ยังคิดไม่ออกเลยครับ
“อือออ”
“อื่ออออออออ”
“อื้ออออออออออออ”
“อื๊อออออออออ”
“อื่อออออ เอิ่มมมมมมมมมมมม”
“พอแล้วคุณ”
“ผมยังไม่อยากอึตอนนี้”
ไอ้บ้า! คิดได้ยังไงเนี่ย หาว่าผมกล่อมให้เขาปวดอึเนี่ยนะ!
“ทื่อๆ อย่างคุณ คงไม่รู้หรอกว่าสร้างความเสียหายให้อุตสาหกรรมขนาดไหน”
“คุณทำลายไลน์การผลิตชั้นเยี่ยมอย่างไม่เหลือซากเลย”
“อ้อ ก็เหลืออ่ะนะ แต่มันกอบกู้ไม่ได้แล้ว ทำอะไรไม่ได้เลย”
“เฮ้ยคุณ!” ผมตบแขนเรียกสติแล้วลุกขึ้นยืนพลางกอดอกก้มมองเขาที่ยังทรุดกรอมกับพื้น
“พูดให้รู้เรื่องดิ”
“อย่ามาบ้าบองอแงอะไรกับผมแบบนี้”
“โตหน่อย”
“ได้” เขารับคำท้าแล้วก็ลุกพรวดขึ้นมาจนผมต้องเงยหน้ามองเขานิดหน่อย
“คุณเพิ่ง
ต้ม ฝักเมล็ดของแมมมิราเลียพลูโมซ่าดอกชมพูสุดสวยสายพันธุญี่ปุ่นและยังเป็นไม้เมล็ดที่ผมรอมันออกดอกเพื่อเพาะเมล็ดมา5ปี
ให้ ผม กิน”
โอ้ มาย .....
“มันไม่ใช่พริก ถึงจะทรงเหมือนกัน แต่สีมันก็บอกอยู่ว่าไม่น่าจะเป็นพริก ตอนจับมันคุณไม่แสบมือไง ไม่สังเกตเลยหรอ?”
แทบหมดลมหายใจเพราะไม่มีอะไรจะพูดครับ
แต่ผมควรพูดอะไรสักหน่อย ใช่มั้ยล่ะ?
อย่างเช่น
“เสียใจด้วยนะ คิดซะว่ามันไปสบายแล้วก็แล้วกัน” “เปปปปปป!!!”
“ก็คนไม่รู้”
“ถ้าผมรู้ ผมจะทำหรอ?”
“ผมรู้ซึ้งเลยว่าคุณรักต้นไม้มาก ทำไม้ขายก็เก่ง ยาดามันก็ชมให้ฟังอยู่บ่อยๆ”
“เพราะฉะนั้น ถ้าผมรู้ว่าทำอะไรแล้วสร้างความเสียหายให้คุณ ผมจะทำหรอ? คิดดิ”
“............”
“คนไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า”
“ผมตั้งใจอย่างเดียวก็คือทำไอ้ต้มยำนั่นให้อร่อย แล้วมันก็อร่อยใช่มั้ยล่ะ?”
“อือ”
“ก็...ทำใจเถอะ แล้วก็กินมันเข้าไป เผื่อมันจะงอกในท้องคุณ”
“มะเหงก!” ทำท่าประกอบด้วยครับ รอบนี้ผมต้องยกแขนขัดมือเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นอาจถูกเขกหัวจริงๆ ก็เป็นได้
นายค้ำจุนนั่งลงที่โต๊ะทานข้าวอีกครั้ง มื้อเย็นค่อนไปทางค่ำของเราดำเนินต่อไป โดยมีพูดส่งท้ายที่ทำให้ผมแทบสำลักว่า
“เสือกอร่อย นะมึง ไอ้ลูกพ่อ” tbc
พระเอกของเราเสียอาการแล้วตลกมากค่ะ 555555
จริงๆ นะคะ ฝักที่ติดเมล็ดแล้วของพวกตระกูลแมมมิราเลีย จะทรงเหมือนพริกขี้หมูเชียวค่ะ สีแดงเหมือนพริกขี้หนูก็มีนะคะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง ชมพู เขียว ส้ม แบบพาสเทล 55555 พวกฝักน่ารัก เราเห็นครั้งแรกเราก็คิดว่าพริก ทุกวันนี้ยังปล่อยให้คาต้นไม้ไว้ ไม่เด็ดออกมาเพาะเป็นต้นอ่อนต่อ เพราะมันเยอะมาก 55555
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ