HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid
Home*Mate [22]
แก้มกูเสียพรหมจรรย์อีกครั้งให้ใครวะเนี่ย?
ผมแบกความสงสัยข้ามคืนมาจนถึงเช้าวันนี้ ทั้งที่อาหารเช้าน่าอร่อยฝีมือแม่นายค้ำจุนละลานตาตรงหน้า ผมก็ไม่มีอารมณ์เอนจอยอีทติ้งเลยครับ
“จะแปดโมงแล้ว ไม่หิวหรอเป” ไอ้ต้นถามขึ้นกลางสำรับเช้า เขาคงสังเกตผมมาสักระยะแล้ว
“หรือแพ้ไข่เป็ด” เขาถามยังพยายามแงะหาเหตุแห่งการนั่งเงียบๆ งงๆ ของผมครับ
“ไม่แพ้ กินได้หมดแหละ แค่เลือกไม่ถูกว่าจะจ้วงจานไหนก่อน” ผมโม้ไปส่งๆ ทำตัวเป็นสายตะกละกลบอาการตัวเอง นายต้นสนรับหน้าที่นักแนะนำอาหารทันทีครับ เขาตักไข่เป็ดต้มมาใส่ในจานข้าวผมฟองนึง ตามด้วยการเลื่อนถ้วยน้ำปลาที่ใส่หอมซอยและพริกมาให้ใกล้ผมมากขึ้น พร้อมกับย้ำคำชวน
“ต้องกินนะ โดยเฉพาะน้ำจิ้ม เด็ดมาก ถึงเครื่องสุดไรสุด ผมเคยขอสูตรแม่ไปทำกินเองที่บ้าน แต่ก็ไม่ได้ตามนี้ ไม่รู้ปรุงรสผิดตรงไหน
คนช่างพูดก็พูดได้สมบทบาทมากครับ ผมพยักหน้าพร้อมเบิ่งตาโตแล้วก็กินไข่เป็ดต้มราดน้ำจิ้มดาวเด่น อร่อยจริงๆ ครับ อร่อยมาก แต่ก็ไม่ทำให้ผมละสายตาจากการลอบสังเกตท่าทางนายค้ำจุนได้เลย
กูต้องเสียแก้มให้มือไอ้หมอนี่แน่ๆ
คนที่ลูบแก้มผมเมื่อคืนไอ้คนนี้แน่ๆ
นี่ไม่ใช่การคาดเดาที่เอนเอียงหรอกครับ เขาเคยทำแบบนี้กับแก้มผมมาแล้ว ทำไมเขาจะไม่ทำอีก
ผมไม่คิดว่านายต้นสนจะมาฉวยโอกาสกับร่างกายผม แม้เขาจะเปิดเผยความรู้สึกชอบให้ผมรู้ตรงๆ แล้วก็ตาม เพราะเขาไม่เคยแสดงกิริยาแบบนั้นมาก่อน แตะตัวเอยไรเอยยังไม่เคยทำ
เพราะฉะนั้น ไอ้คนฉวยโอกาส ต้องเป็นนายค้ำจุนแน่ๆ
“เอ้ออคุณ” ผมโพล่งขึ้นดื้อๆ ทำให้ตกเป็นศูนย์กลางทางสายตา แต่ผมไม่หวั่นไหวหรอกครับ ผมจ้องตานายค้ำจุนแล้วก็ตีหน้าซื่อถาม
“เมื่อคืนไปนอนกันตอนไหนอ่ะ แล้วใครปิดไฟห้องให้ผมหรอ
จริงๆ เปตั้งใจจะปิดไฟก่อนนอนช่วยแม่ประหยัดนะครับ แต่เหมือนจะเพลียแดดไปหน่อย ก็เลยหลับไปก่อน”
“ผมเอง” นายค้ำจุนตอบตรงๆ ทำเอาใจผมกระตุกรัวขึ้นมาทันที เพราะไม่คิดว่าเขาจะตอบเร็วแบบนี้
ทำไมแม่งไม่สะทกสะท้านเลยวะ
หรือว่ามั่นใจมากว่าผมหลับ เลยคิดว่าผมไม่มีทางรู้แน่ๆ ว่าถูกแต๊ะอั๋ง
หรือไม่ การลูบแก้มคนอื่นก็ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรกับเขา
“อ่อ....งั้นก็... ปิดให้เพราะงกล่ะสิ ใช่มะ?
ไงก็...ขอบคุณนะ” ผมยิ้มเจื่อนๆ แล้วก็กินข้าวต่อ แม่งอร่อยทุกอย่างเลยว่ะ ไม่น่าต้องมานั่งคิดมากเรื่องนี้เลยจริงๆ ทำเอาอาหารเสียอรรถรสหมด
.
งานพ่อค้าแคคตัสยังไม่จบลงครับ พวกเขาทำงานกันอย่งาคึกคักมากจริงๆ สำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ตอนนี้พวกเขา 2 คนมาจ่อมอยู่ที่โรงเรือนแคคตัสเพื่อไลฟ์ขายต้นไม้ ซึ่งมันเป็นกิจกรรมที่ผมสามารถช่วยเขาอยู่เบื้องหลังได้ แม้จะทุลักทุเลมากก็ตาม เพราะอย่างน้อยผมก็ยกกระถางต้นไม้มาโชว์ที่โต๊ะกลางโรงเรือน เพื่อให้ 2 พ่อค้าเค้าแนะนำได้แหละครับ ส่วนคนชี้เป้าว่าพ่อค้าอยากให้ช่วยยกกระถางไหนก็คือแม่นายค้ำจุนครับ
ใช้แรงงานอยู่ดีๆ หน้าที่แอดมินตอบคำถามลูกเพจก็โยนมาลงหัวครับ นายต้นสนขอให้ผมคอยพิมพ์ตอบที่ลูกเพจถามในไลฟ์ครับ ซึ่งมันก็ไม่ยากแม้ว่าผมจะไม่รู้ราคาแต่ละต้นเลย เพราะก็แค่พิมพ์ตามที่เขาพูดในไลฟ์แหละครับ อ้อ! จะยากก็ตรงที่เขียนชื่อสายพันธุ์มันไม่ค่อยถูก ก็ชื่อมันสุดแสนจะสะกดยากนี่ครับ
“ราคาแอริโอคาร์ปัส เมื่อกี้ 1500 บาทนะครับ ไม่ใช่ 150 บาท ขอโทษลูกค้าด้วยนะครับ แอดมินเพิ่งทำงานวันแรกครับ
แอดมินพิมพ์แก้ราคาด้วยนะครับ ถ้าลูกค้ากดซื้อที่ราคา 150 บาท ผมจะหักเงินค่าจ้างคุณนะครับ”
โหดแท้วะ!
ผมค้อนใส่ แต่ก็รีบพิมพ์ราคาใหม่ลงไปทันที ก่อนที่จะมีลูกค้ามือไว FC มาก่อนผมพิมพ์เสร็จ เพราะผมกลัวโดนหกค่าจ้างครับ แม้จะเพิ่งรู้เมื่อกี้ว่าได้ค่าจ้างก็เถอะ
การไลฟ์ขายต้นไม้แบบปุบปับของ 2 พ่อค้านี่ทำเงินได้หลายหมื่นเลยนะครับ ผมเห็นการจองต้นไม้ของสาวกพวกเขาแล้วก็อึ้งเหมือนกัน
“ไม้สวยก็เรื่องนึง พ่อค้าหล่อก็อีกเรื่องนะเป เรื่องใหญ่กว่าด้วย
ผมเคยไลฟ์คนเดียว ยอดมานิดหน่อยเอง เพราะลูกค้าที่ชอบไม้ผมส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย หน้าตาหล่อๆ ของผมก็เลยไม่มีผล”
“ส้นตีนเถอะต้น ลูกค้าไม้กูก็ซื้อเพราะชอบต้นไม้กูเถอะ” มีคนร้อนตัวครับ นายต้นสนหันมาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับผมและแม่ของนายค้ำจุน ส่วนคนร้อนตัวกำลังไถโทรศัพท์ดูยอดโอนแล้วก็ง่วนกับการจับคู่คนสั่งซื้อกับต้นไม้ที่ขายออกอยู่ครับ
ข่าวดีก็คือ ไอ้เจ้ากุมารดำเรียกทรัพย์ที่ผมเผลอไปสบตากับมันเข้าก็ขายออกเช่นกันครับ มันไม่ได้โชว์ตัวด้วยซ้ำ แต่มีคอมเมนต์ถามว่ามีมั้ย และผมตอบกลับไปว่ามีครับพร้อมบอกราคา ทางนั้นก็จองทันที และน่าจะโอนเงินมาแล้วด้วย วัดจากการที่นายค้ำจุนบอกกับแม่ของเขาว่าขายกุมารไปแล้วนะ
“เฮ้ย ต้น มาดูนี่หน่อยดิ” นายค้ำจุนเรียกเพื่อนรักไปจ่อตากับหน้าจอโน้ตบุ้คใกล้ๆ พวกเขาสุมหัวกันแป๊บนึงก็หันมามองแม่นายค้ำจุนด้วยแววตาฉงน
“แม่” นายค้ำจุนตะโกนเสียงดังทันทีที่เพื่อนรักเขาคอนฟิร์มบางย่าง
มันมาหรอ”
ผมยอมรับว่าไม่เข้าใจคำถามอันไร้ที่มาของนายค้ำจุน แต่ผมก็รู้ตัวทันทีว่าเรื่องนี้ผมเป็นคนนอกที่ควรหุบปากให้สนิท เพราะแม่นายค้ำจุนกลับเข้าใจข้อสงสัยของลูกชายทันที
“ใช่ อยู่บ้านป้าน่ะ”
“แล้วมันสาระแนมาซื้อไม้จุนทำไม อยากเอาเงินฟาดหัวกันหรอ ขอเถอะว่ะ เงินก็เงินโกงแม่ไป”
“จุน.....ไม่เอาน่าลูก
พี่เค้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลย”
“แม่!!” น้ำเสียงนายค้ำจุนโมโหมากเสียจนสรรพเสียงทั่วบริเวณนี้เงียบสนิท แม้แต่เสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับขี่ผ่านไปมายังไม่มี
“เราคุยกันแล้วนะจุนว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก
ไม่อายเปลรึไง อยากให้เพื่อนรู้หรอว่าเราไม่รู้จักโต”
“แม่!!!!”
“บ่ายแล้วนี่นะ ไปกินข้าวกินปลากันเสีย แล้วก็กลับ
เดี๋ยวรถติดนะถ้าออกจากที่นี่เย็น ไปกัน เปล ต้น”
สารภาพเลยครับว่าผมไม่ขยับตัวตามที่ผู้ใหญ่เรียก แต่ผมกลับหันมองนายค้ำจุนที่ยืนโกรธแม่จนหน้าเบ้บูดไปหมด เมื่อเขาไม่ขยับ ผมก็เลยต้องขยับตัวก่อน
“ต้น ช่วยแม่จัดสำรับข้าวละกัน เดี๋ยวเรา....ช่วยจุนเก็บของเอง” ผมส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือประกอบคำสั่งแกมขอร้อง
“อ่อ....อื้ออออ ฝากด้วยนะเป
ไปกันครับแม่ เดี๋ยวต้นช่วย เราต้องอุ่นแกงอะไรมั้ยครับ”
คำถามเกี่ยวกับอาหารดังห่างออกไปตามระยะห่างที่นายต้นสนกับแม่ทิ้งไว้ พอทั้งบริเวณเหลือกันแค่ 2 คน ผมก็ทำตามที่ลั่นวาจา ใช่ครับ เก็บของ
เจ้าของโรงเรือนแคคตัสเตะเศษดินเศษหินที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ครู่หนึ่งก็นั่งลงที่เก้าอี้ที่รูปร่างเหมือนขอนไม้
“แม่ก็เป็นงี้ตลอด
รักมันมากกว่าลูก”
ต้องตอบอะไรมั้ยวะเนี่ย? ผมสงสัยอยู่คนเดียว ไม่ได้ตอบโต้คำพึมพำของนายค้ำจุน
“ไอ้นั่นก็กวนตีน มันเหลี่ยมจัดจะตาย แม่มองมันไม่ออกหรอก”
ผมก็ยังไม่พูดอะไรอยู่ดีครับ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
“แม่ง.....เฮงซวย!”
ผมเก็บของมารวมๆ กันและจัดแบ่งสัดส่วนให้ง่ายสำหรับการหอบหิ้ว เมื่อรู้สึกว่ามันน่าจะหยิบยกได้ง่ายแล้วก็เอ่ยชวนเขา
“กินข้าวกันเถอะ”
“..........” เขาเงียบใส่ มองหน้าผมแบบไม่สบอารมณ์ แต่ผมรับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้ไม่สบอารมณ์กับผม เขาแค่ยังสลัดความอารมณ์เสียออกไปไม่ได้
ผมยื่นมือไปจับประสานกับมือเขา มองหน้าแล้วยิ้มชักชวนอีกครั้ง
“กินข้าวกัน”
“ไม่หิว”
“ผมรู้ว่าคุณอารมณ์เสียเพราะห่วงแม่ แม่คุณก็น่าจะรู้เหมือนกัน แต่ถึงจะรู้ว่าคุณอารมณ์เสียเพราะเป็นห่วง แม่ก็ยังอยากให้คุณกินข้าว เพราะงั้นก็ไปกินข้าวกัน แค่กินข้าว มันไม่ได้ทำให้ความห่วงแม่จนอารมณ์เสียลดลงหรอก”
“...........”
“ผมรู้ว่าผมพูดอะไรก็ดูไร้สาระไปหมดเพราะคุณกำลังอารมณ์ไม่ดี แต่เราไปกินข้าวกันเถอะ
คุณลองหายใจยาวๆ เก็บของพวกนี้ให้เรียบร้อย แล้วก็กินข้าว
แล้วพอเราขับรถกลับคอนโด ระหว่างขับรถ คุณอาจจะคิดถึงเรื่องเมื่อกี้ขึ้นมาแล้วก็อารมณ์เสียอีก แต่อย่างน้อยนะจุน.... คุณจะไม่หิวจนอารมณ์เสียกว่าเดิม”
“...........”
“ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณต้องฉุนเฉียวขนาดนี้
แต่ถ้าลองทำตัวปกติด้วยการเริ่มกินข้าวเพราะถึงเวลากิน คุณอาจจะรู้สึกดีเร็วขึ้นก็ได้
.....นะ....”
เขาสูดลมหายใจเข้าจนตัวยืดขึ้น แล้วก็ผ่อนลมหายใจจนไหล่ห่อ นายค้ำจุนบีบมือผมกลับแล้วก็พยักหน้า เราช่วยกันหอบข้าวของสำหรับการไลฟ์ขายของกลับไปเก็บในรถ แล้วก็ไปร่วมวงกินข้าว
แม่นายค้ำจุนไม่ได้ดุลูกชายในเหตุที่ขึ้นเสียงใส่เมื่อกี้ ผู้หญิงใจดีคนนี้ยังตักข้าว ตักกับข้าวให้ลูกชายของเธอเหมือนเดิม และก็ยังดูแลเพื่อนของลูกชายด้วยความใจดีเหมือนเดิม
.
แม้นายค้ำจุนจะเงียบใส่แม่ แต่ก็ยอมรับของกินที่แม่ตระเตรียมไว้เป็นของฝากโดยไม่โต้เถียงใดๆ ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมเป็นคนรับของกินน่าอร่อยเหล่านี้ไว้แล้วพูดขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจไปหมดแล้ว
เราเดินทางออกจากบ้านที่ราชบุรีของนายค้ำจุนด้วยสายตาเศร้าหมองของพลขับ คนที่นั่งข้างๆ อย่างผมอดทนกับบรรยากาศอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องเอ่ยปากถาม
“คุณ.....ทำไมตะโกนใส่แม่แบบนั้นล่ะ
เกี่ยวอะไรกับ....คนที่มาซื้อต้นไม้หรอ”
“อือ” เขาตอบรับในที่สุดหลังจากที่ขับรถเงียบๆ อยู่นาน
“ลองเล่าให้ผมฟังก็ได้นะ เผื่ออารมณ์ดีขึ้น”
“........”
“ยังไงเราก็อยู่ด้วยกัน”
“ฮึ....แค่เพราะอยู่ด้วยกัน ผมก็เลยเล่าอะไรๆ ให้คุณฟังได้หรอ
ถ้าผมจะเล่าอะไรให้ใครฟัง หรือใช้ใครเป็นเครื่องมือระบายความโกรธแค้น มันไม่ใช่เพราะอยู่ด้วยกันหรอกเปล
คุณจะได้ฟังเรื่องของผม เพราะคุณเป็นคนสำคัญมากต่างหาก”
“.........”
“ทีนี้ คุณคิดว่าผมควรเล่าอะไรให้คุณฟังเพื่อให้อารมณ์ดีขึ้นมั้ยล่ะ
.....ตอบสิ......”
ผิดคาดแฮะ ทำไมกลายเป็นผมที่ต้องมีซีนอารมณ์แทนล่ะ
ถ้าเขารู้สึกทุกข์ ก็แค่ปรับทุกข์กับผมสิ แค่นั้นเอง ง่ายจะตาย ไม่เห็นต้องถามอะไรชวนสับสนแบบนี้เลย
บรรยากาศในรถเงียบต่ออีกพักใหญ่ จนกระทั่งนายค้ำจุนเลี้ยวรถเข้าปั๊มยอดฮิต แล้วจอดหน้าร้านกาแฟ เขาหันมองผมแล้วก็พยักหน้าชักชวนให้ลงจากรถ
แอร์ในร้านกาแฟน่าจะทำให้ความหัวร้อนของเขาลดลงแล้วแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่หันมาถามผมว่าจะดื่มเครื่องดื่มเมนูไหน แล้วก็จัดการสั่งให้ พร้อมกับบอกให้ผมเลือกโต๊ะนั่งรอ
กาแฟดำคนละแก้ววางอยู่ตรงหน้าเราทั้งคู่ นายค้ำจุนเหม่อมองวิวด้านนอกอยู่พักใหญ่โดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ แต่ผมกลับไม่รู้สึกอัดอัดจนอยากลุกหนีไปจากความเงียบนี้
จนกระทั่งกาแฟพร่องลงไปครึ่งแก้ว นายค้ำจุนก็ยกโทรศัพท์แนบหู ผมหันมองความเคลื่อนไหวเล็กน้อยนั้นแล้วก็หันไปมองวิวที่ไม่ได้มีอะไรน่าชมสักนิดเหมือนเดิม
“จุนขอโทษครับแม่”
เก่งมาก ค้ำจุน ผมเอ่ยชมเขาอยู่ในใจ รู้สึกได้ว่าตัวเองผมยิ้มนิดหน่อย ผมแก้อาการดีใจของตัวเองด้วยการยกกาแฟขึ้นมาดูดยาวๆ นายค้ำจุนเองก็คงเขินนิดๆ ถึงได้แก้อาการด้วยการดูดกาแฟให้มันยาวกว่าผม
“ขอบคุณนะ” เขาแตะไหล่ผมแล้วบอกเบาๆ จากนั้นก็เดินออกจากร้านไป พอลับตาเขาแล้วผมก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างรู้ตัวทุกอณู
-คุณจะได้ฟังเรื่องของผม เพราะคุณเป็นคนสำคัญมากต่างหาก-
วันนี้ เวลานี้ ผมยังไม่ได้รับรู้เรื่องราวของเขาเพิ่ม เท่ากับว่าผมยังไม่ได้เป็นคนที่สำคัญมากสินะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเป็นคนสำคัญของเขาอยู่แล้ว ผมพอใจแล้วที่เราเป็นคนที่อยู่ด้วยกัน
Home*Mateดูเหมือนกระแสความขุ่นเคืองอยู่ฝ่ายเดียวของนายค้ำจุนจะอันตรธานไปแล้วครับ เขากลับมาคุยโทรศัพท์กับแม่เขาเหมือนเดิม น้ำเสียงกลับเป็นลูกชายซึนๆ ของคุณแม่ช่างห่วงเหมือนเดิมแล้ว แต่กว่าเขาจะกลับไปหวานชื่นกับแม่เขาเหมือนเดิมก็อาทิตย์กว่าแหนะครับ นายคนนี้ขี้งอนน่าดู
ส่วนผมนั้น ก็ยังเป็นผู้ชายที่รักพ่อกับแม่แบบห่างๆ อยู่เหมือนเดิม อาจเป็นเพราะผมชินกับการอยู่ตัวเอง ในแบบที่ตัวเองยอมรับจะอยู่แล้วด้วยล่ะมั้ง ผมก็เลยไม่มีอาการโฮมซิก
ซึ่งมันตรงกันข้ามกับพี่สาวผมครับ อย่างน้อยๆ เจ๊ป๋อมก็มาระรานผมทางไลน์บ่อยๆ เรื่องที่ชวนคุยก็เรื่องไปหาพ่อกับแม่ที่อ่างทองแหละครับ
ผมไม่ใช่คนที่ทำให้ทริปไปอ่างทองมีปัญหาสักนิด ปัญหาหนึ่งเดียวก็คือเจ๊ป๋อมเคลียร์งานไม่ได้เอง จนเวลามันล่วงเลยมาถึงเสาร์-อาทิตย์นี้ ที่ถึงจุดลงตัวในที่สุด
“อื้อคคุณ เสาร์-อาทิตย์นี้ผมจะไปอ่างทองนะ” ผมบอกเจ้าของห้องร่วม รายนี้ละสายตาจากเหล่าต้นอ่อนของอะไรสักอย่างแล้วเงยหน้ามองผม
นายค้ำจุนวางอุปกรณ์ดูแลต้นไม้ไว้ที่ระเบียง ส่วนตัวเองเดินเข้าห้องมาเพื่อถามเพิ่ม
“ไป 1 คืน 2 วันหรอ อ่างทองหรอ ไปกันกี่คนล่ะ”
“ก็ 2 คนสิ ผมกับเจ๊ป๋อม อ้อ! ถ้าคุณอยากไปด้วยก็ 3 คน
เจ๊ป๋อมฝากชวนน่ะ” ผมบอกเพิ่มหลังจากเห็นสีหน้าเขาลังเลตอนได้ยินผมกึ่งบอกกึ่งชวนกลายๆ
“ผม...ไปได้หรอ เกรงใจบ้านคุณ”
“โอ้ย ไม่ต้องเกรงใจหรอก ห้องหับเยอะแยะบ้านที่อ่างทองน่ะ ใหญ่กว่าบ้านคุณที่ราชบุรีอีก”
“เท่านี้ก็ต้องเอามาอวดรวย อ่อ....ลืมไปว่าผมเช่าห้องลูกเศรษฐีอยู่”
“ไม่ช่ายยยยย!!!” ผมแก้ตัวเสียงยาว แต่พอเห็นว่าเขายิ้มล้อเลียนอยู่ ผมก็เบาใจ ตอนแรกก็กลัวเขาคิดว่าผมอวดรวยเหมือนกันแหละครับ
“งั้น ผมขอไปด้วยนะ ต้องคอนเฟิร์มกับพี่ป๋อมใช่มั้ย เดี๋ยวผมคุยเอง” บอกจบก็ปรี่ไปเข้าห้องนอนตัวเอง สัมภาระดำรงชีพของเขาอยู่ห้องนั้นครับ รวมถึงเตียงนอน ที่นอน หมอน ผ้าห่ม แต่ก็บ่อยครั้งที่เขาชอบมาขอนอนห้องผม เหตุผลที่ยกมาก็ต่างออกไปทุกวัน ส่วนที่ใช้บ่อยสุดก็คือ ประหยัดไฟ
ผมไลน์บอกพี่สาวตัวเองว่าค้ำจุนจะไปด้วย แต่เจ๊ก็ไม่อ่านข้อความผมครับ ผมก็เลยเดาเอาว่าน่าจะคุยโทรศัพท์กับนายค้ำจุนอยู่
ผ่านไปสักครึ่งชั่วโมง เจ้าของร่วมห้องนี้ก็ออกมาครับ เหงื่อแตกออกมาเชียว แล้วไม่เสือกเปิดแอร์ล่ะนั่น
เขายิ้มให้แล้วก็มานั่งเบียดผมที่โซฟา ซีรีส์จาก Netflix ที่ผมกำลังดูอยู่ก็เลยถูกละเลยกะทันหัน
“คุยแล้ว ไปด้วย
พี่คุณบอกว่าพ่อคุณชอบต้นไม้ เอาต้นไหนไปฝากดีล่ะ คุณเลือกสิ ผมให้
อือออ พวกไม้มงคลมั้ย จริงๆ อยากเอาบอนสีไปให้ แต่ว่ามันอยู่ราชบุรีน่ะสิ จะไปเอาก็.... 2-3 วันนี้งานแน่นเลย ผมลาไม่ได้แหง อืมมม เอาไม้โขดดีมั้ย พอมีที่ห้องพอดี ฟรองซัวร์ก็ได้นะ”
ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมยิ้มระหว่างที่เขามาปรึกษาเรื่องหาต้นไม้ไปฝากพ่อ พอเขาหันมองเพื่อขอคำตอบ ผมก็เสทำเป็นครุ่นคิดแล้วก็ตกลงยกฐานะฟรองซัวร์เป็นต้นไม้ฝากพ่อ
ไอ้หล่อฟรองซัวร์ที่อยู่ประดับระเบียงเล็กๆ ของห้องนี้มานาน ได้ฤกษ์ออกเรือนแล้วครับ
Cut
มาแล้วค่าาาาาาา
สารภาพว่าตอนนี้ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังเขียนนิยาย แต่เหมือนเขียนไดอารี่ของคุณเปลมากกว่า เพราะชีวิตเธอช่างราบเรียบเสียเหลือเกิน
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ