Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)  (อ่าน 27170 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ขำอ่ะ

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
โอ้ยยยยย
ขำมากกกก
ตอนแรกนี่ก้แตกตื่นตามเลย
สุดท้าย 5555555

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
พึ่งได้มาอ่านน่ารักมากเลยครับ มาต่อเร็วๆนะครับ

ออฟไลน์ nnnnnyus

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แงงง ดีใจ วันนี้อยู่ดีๆ ก็คิดถึงหมาเจมขึ้นมา เลยลองหางานเรื่องใหม่ของคุณกระจิ๊ดริดดู ละก็เจอจริงๆ ติดตามนะคะ ชอบสไตล์การเขียนมากเลยค่ะ 
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [10]



“สรุปเสาร์นี้นะ อย่าลืมบอกคุณค้ำจุนให้ด้วย” นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ผมได้ยินประโยคนี้ ยาดาเอ๋ย เราก็คนเหมือนกัน พูดภาษาเดียวกัน ก็ควรจะมั่นใจสิว่าพูดรอบเดียวผมก็เข้าใจ พอเห็นทำหน้าเฉยชาใส่ เพื่อนคนนั้นก็ขยับมายืนประชิดตัว ซ้ำยังเงยหน้ามองผมอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อคำตอบที่อยากให้ผมตอบทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

นั่นก็คือ

“อืม”

“ถ้าเปจำได้เราก็วางใจ ไม่อยากให้เก้อกัน มีหลายคนอยากจะไปเที่ยวสวนคุณค้ำจุนนะ เค้าดัง เปไม่รู้ก็อย่าเถียง”

ผมกรอกตาแทนคำพูดล้านแปด ยาดาจึงส่งเสียงถอนหายใจให้รู้ว่าเธอก็เอือมผมไม่แพ้กันหรอกน่า ผู้หญิงมักชอบเป็นฝ่ายชนะในทุกๆ สิ่งล่ะมั้งครับ ผมยอมแพ้ก็ได้ ผมเป็นผู้ชายนี่

“รู้แล้ว รู้แล้ว รู้แล้ว....
.....พูดทุกวัน ถามทั้งวัน เตือนตลอดวันยิ่งกว่าแมสเสจทวงหนี้บัตรเครดิตขนาดนี้
ไม่ ลืม หรอก” เมื่อสลัดเพื่อนให้พ้นจากโต๊ะทำงานได้ผมก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ บุญของนายค้ำจุนและยาดาเพื่อนรักคงมีมาก วันเสาร์ที่เป็นวันนัดหมายไปเที่ยวชมสวนแคคตัสของนายค้ำจุน ผมจึงได้คิวโล่ง ไม่ติดธุระใดๆ และไม่ติดงานเล็กงานน้อยของลูกค้าแม้แต่งานเดียว

นี่ก็ล่วงเข้ามาวันพฤหัสแล้ว พรุ่งนี้ก็เหมือนวันพรีสุดสัปดาห์ของพนักงานเงินเดือนอย่างผม แต่อย่าคิดว่าสบายเลยครับ บางครั้งงานก็วิ่งเข้าใส่จนแทบอยากให้โลกนี้ไม่มีวันศุกร์ ตอนนี้ผมกำลังจัดทำข้อมูลตามที่ลูกค้าขอเป็นพิเศษ รีบปั่นรีบส่งอีเมลแล้วค่อยรู้วึกสบายตัวหน่อย มองนาฬิกาอีกทีก็ 17.00 น. ให้ตายเถอะ ผมนี่ช่างขยันเสียจริง ทำงานจนแทบลืมเวลาเลิกงานไปเลยนะเนี่ย

“พี่ๆ ครับ เปกลับแล้วนะคร้าบบบบ” ต้องลากเสียงยาวเพื่อความน่าเอ็นดูครับ แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าลูกค้าที่อยู่ระดับบริหารทำแบบนี้ไม่ได้หรอก

“อ้าว”  เสียงสั้นๆ แบบนี้ ทำให้ขนลุกได้อย่างน่าประหลาดใจนัก ผมหันมองหัวหน้า เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ทำไม มีปัญหาอะไรนักหนา จากนั้นก็เอื้อนเอ่ยว่า – ครับพี่ –
“งานเย็นนี้ไม่ไปหรอเป” แกหมายถึงงานเลี้ยงขอบคุณสื่อมวลชน ซึ่งลูกค้ารายหนึ่งของเราจัดขึ้นครับ

“ก็อยากอยู่หรอกนะครับ แต่เปว่าทีมเราไปเยอะมากแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่ลูกค้าหลักเป”

“อ่อหรอ? ใครไปมั่งนะเย็นนี้”

“ครับ....ก็มี.....” ผมทวนชื่อทีมที่ไปดูลูกค้าและสื่อวมวลชนกลุ่มเล็กๆ ที่บริษัทพีอาร์เอเจนซี่แบบผมเป็นตัวกลางในการนัดหมายให้ หัวหน้าพยักหน้ารับรู้แล้วก็บอกข้อสรุปที่ทำให้ผมโล่งใจ

“เออว่ะเยอะแล้ว เปกลับบ้านเถอะ พรุ่งนี้ไปขายงานกับพี่ตามแผนเดิม โอเคนะ”

“ครับ” ผมรับคำ พาดสายกระเป๋าข้ามหัวตัวเองแล้วก็เดินออกจากออฟฟิศ วันนี้เพื่อนรักอย่างยาดามีนัดหมายแล้ว การกลับคอนโดของผมจึงค่อนข้างเงียบ ไร้เสียงชักชวนให้แวะห้างนั้น กินร้านนี้ ชอปลิปสติกร้านโน้นเหมือนที่เกิดขึ้นบ่อยๆ  นานๆ ทีได้มีเสียงเพลงเป็นเพื่อนเดินทางก็ดีเหมือนกัน

ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับเสียงเพลงจากหูฟัง และสเตปการเบียดผิวหนังกับผู้คนบนรถขนส่งมวลชนสาธารณะแบบผูกขาด ผมก็ถูกรบกวนครับ

“ครับ” อารามตกใจทำให้ผมกดรับสายทันที

“ผมเอง ไม่เป็นไร ไม่ต้องสุภาพ” จะให้เรียกไอ้เหี้ยตรงนี้มั้ยล่ะครับคุณ ผมถามปลายสายในใจ แต่ก็แค่ขานรับเขาสั้นๆ ทางปาก

“มีอะไรคุณ” อ่ะ ไม่สุภาพมากมายแล้วไง มีอะไรก็พูดๆ มาเถอะ จะสุนทรีย์ต่อเว้ย

“ก็ไม่มีอะไร”

“งั้นวางนะ”

“เดี๋ยวดิ เดี๋ยวๆๆๆ” เอ้า ก็ไหนว่าไม่มีอะไรไงเล่าครับคุณ ผมแซวในใจ มุมปากก็เพียงแค่ยกยิ้มเท่านั้น
“คืองื้อ...
เจอร้านอร่อยเมื่อวาน เย็นนี้คุณมากินด้วยกันสิ อร่อยมาก”

“หรอ เมนูคืออะไร”

“ก๋วยเตี๋ยว”

“ที่ไหน”

“จรัญฯ”

“ไม่ไปอ่ะ ไกล ผมอยู่บีทีเอสแล้ว
คุณกินไปเลย เดี๋ยวผมกินร้านแถวคอนโดเอา ไม่ต้องซื้อเผื่อนะ
ถ้าไปกับเพื่อนๆ ก็ไม่ต้องรีบกลับหรอก”

“........” เงียบแฮะ เงียบใส่ทำไมวะ? หรือสัญญาณหาย? ผมเบี่ยงโทรศัพท์จากข้างหูมามองดูหน้าจอ เห็นว่าปกติดีจึงแนบหูต่อ

“คุณ....ได้ยินมั้ย
เอาเป็นว่าต่างคนต่างกินนะ แค่นี้นะ
วางแล้วนะ เจอกันที่ห้อง” แล้วผมก็ว่าง ผมไม่รู้สึกว่าผมตัดรอนเขาเกินไปแม้แต่นิด และเขาเองก็เคยตัดบทสนทนาของผมรุนแรงกว่านี้

เราไม่ใช่คนที่ผูกพันกัน ไม่ใช่ใครที่ต้องรักษาน้ำใจกันและกันนี่ครับ

ผมจ่อมอยู่กับตัวเองและเสียงเพลง ไม่นานก็เดินทางถึงที่หมาย ต่อรถมอเตอร์ไซค์คละปเม็ดฝนปลายแถวอีกนิดหน่อยผมก็ถึงห้องโดยสวัสดิภาพ

และทันทีที่ถึงห้อง ฝนก็เทลงมาห่าใหญ่

“ชิบหายมั้ยล่ะจุน เปียกเป็นลูกหมาแหงๆ สมน้ำหน้า” แม้ปากจะพูดแบบนั้น ซ้ำยังยิ้มเยาะคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันใกล้ๆ แต่จิตใจผมก็หม่นลงจนน่าจะเป็นสีเดียวกับเมฆก้อนมหึมาที่ผมกำลังทอดสายตามอง

อืม...ถ้านายค้ำจุนเปียกกลับห้องมา คงน่าสงสารพิลึก ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นประเภทป่วยง่ายรึเปล่า แต่ผมคนนี้ป่วยง่ายมาก เพราะฉะนั้นผมจึงค่อนข้างระวังตัวเองในช่วงที่โรคระบาดชุกชุมหรือช่วงฤดูกาลเปลี่ยน

ถามเขาหน่อยก็แล้วกัน ผมสรุปกับตัวเอง เช็คเวลาบนฝาผนังก็พบว่า 2 ทุ่มครึ่งแล้ว น่าจะกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยย่านจรัญฯ เสร็จแล้วล่ะมั้ง

รอสายอยู่ไม่นาน อีกฝ่ายก็รับสายด้วยน้ำเสียงที่ผมคุ้นเคยดี

“ก็ไม่ว่าไง” ผมตอบเมื่อเขาทักมาว่า ...ไง...
“ทางนี้ฝนตกหนัก ผมก็...ไม่คิดว่าอย่างคุณจะพกร่มน่ะ อยู่ไหนแล้ว” เขาบอกพิกัดที่กำลังปักส้นเท้าอยู่
“หรอ....คุณจะให้ผมออกไปรับปากซอยมั้ย ตรงเซเว่น เดี๋ยวขับรถคุณออกไปรอ”
“หรอ...” เขาบอกว่าไม่เป็นไร เปียกแป๊บเดียวก็ถึงคอนโดแล้ว
“งั้น .... ก็... กลับดีๆ ล่ะ” ผมบอกเท่านี้และวางสาย สายตายังไม่ละจากสายฝนที่กระหน่ำตกลงมา ยอมรับว่าเป็นห่วงเขานิดๆ เพราะถ้าสลับตำแหน่งสถานการณ์กันบ้าง หากผมเป็นฝ่ายกำลังเดินทางกลับบ้านในเวลาที่ฝนเทกระหน่ำขนาดนี้ ผมจะดีใจมากที่มีใครสักคนยื่นมือมาช่วยบังฝนให้

แต่ก็ช่างเถอะครับ ถือว่าผมมีน้ำใจแล้ว แต่เขาไม่รับเอง ช่วยไม่ได้ ป่วยก็ช่วยไม่ได้แช่นกัน

ผมนั่งดูทีวีไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานเขาก็กลับห้องด้วยสภาพที่ไม่ผิดจากที่ผมคิดเดา คำแรกที่เขามอบให้หลังจากยื่นตัวห่อๆ บนพรมเช็ดเท้าหน้าห้องก็คือ...เปียกยันจู๋เลยคุณ!

แล้วยังไง? ผมต้องช่วยเช็ดจู๋และปั่นจู๋เขาให้แห้งหรอ? จำเป็นต้องบอกสภาวะจู๋กันด้วยหรอวะ?!

พอเขาเห็นเครื่องหมายคำถามกลางหน้าผากผม จึงได้สงบปาก ผลุบเข้าห้องนอนแล้วพรวดออกมาใหม่พร้อมกับผ้าขนหนูและชุดนอนและก้าวยาวๆ เข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้ผมงงอยู่กับตัวเองว่า สรุปแล้วผมต้องสนใจจู๋เขาต่อมั้ย?

ราวๆ 30 นาที เขาก็เดินตัวหอมออกมาจากห้องน้ำ

“ขอบคุณนะคุณ อุตส่าห์เป็นห่วง”

“หือ?” บอกตรงๆ ว่าตามไม่ทันครับ คือผมกำลังดูหนังอยู่ แล้วจู่ๆ เขาก็มากวนสมาธิกันด้วยคำขอบคุณแบบไร้ประโยคเปิดเรื่อง

“เอ้า ก็ขอบคุณที่คุณเป็นห่วง ที่จะไปรับผมที่ปากซอยไง”

“อ๋อ....
ไม่เป็นไรหรอก เพราะถ้าให้ออกไปรับ ก็รถคุณอยู่ดี ผมแค่ขับไป ขากลับคุณก็ขับเอง เช็ดเบาะเอง ลุ้นหาที่จอดที่คอนโดเอง ต้องจอดขวางแล้วเกิดซวยโดนมือเหี้ยๆ เข็นรถจนเป็นรอยก็รถคุณ”

“โอเค โอเค” คนพูดไม่ทันผมทำท่ายอมแพ้ในการต่อปากต่อคำ เขานั่งลงกับพื้น พิงโซฟาระหว่างเช็ดตัว  เมื่อเห็นว่าเขาเงียบปากแล้วผมก็ดูหนังต่อ แต่แล้วก็สะดุ้งสุดตัว เพราะ

“ฮ้าดดดดดดดดดดดดเช้ย!”

ไอ้เหี้ย ดังกว่านี้เสียงหมาสืบพันธ์กันในคืนนั้นแล้วครับ

ผมลูบอกปลอบใจตัวเองระหว่างมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา หน้าตาสุภาพไม่ได้ทำให้เขาจามอย่างสุภาพเลยหรอวะ?

“โทษๆ “ นายค้ำจุนบอกแล้วสูดน้ำมูกอย่างฟึดฟัด ผมเลยจำใจเลิกสนใจหนังที่ใกล้จบ แล้วลุกไปหาหยูกยามายัดใส่มือ

“ดักไว้เลยคุณ เป็นหวัดจะซวยเอา”

“ค้าบบบบบบบ” เขาขานรับด้วยคำสุภาพแต่น้ำเสียงกวนตีน ผมก็ยิ้มกวนตีนกลับไปและก็แยกตัวเข้านอน
“อื้อคุณ” แหมเว้ย นี่ก็ธุระเยอะจริง

“ว่า?” ผมหันมาขานรับ ตัวผลุบเข้าห้องแล้ว แต่ยื่นหัวออกมาคุยด้วย

“ผมจะกลับสวนพรุ่งนี้เลย คุณเป็นธุระพาเพื่อนคุณไปสวนผมหน่อยนะ เดี๋ยวให้ไอ้ต้นนำทาง”

“อ่อ เอางั้นหรอ?
จริงๆ ก็ได้แหละ แค่นัดจุดเจอกันให้ดีๆ
ผมว่าคุณแจกแผนที่บรรดาคณะลูกค้าคุณไว้ก็ดีนะ”

“อื้อ ให้ไปแล้ว แต่พวกเขาต่างคนต่างไป มีจะไปพร้อมกับเพื่อนคุณแค่อีก 3 คน ไอ้ต้นมันก็รู้แล้วว่าคนไหนบ้าง....
เอาเป็นว่า ผมฝากคันเพื่อนคุณกับคันไอ้ต้นหน่อย แค่นั้นแหละ ขับตามๆ กันมา”

“งั้นก็ไม่ยากอะไรนี่ แค่นี้ใช่มั้ย”

“อือ”

“งั้นนอนนะ”

“อื้อ ฝันดี”

“ฝะ......” กูต้องบอกฝันดีตอบกลับไปด้วยหรอวะ? ผมดึงสติตัวเองมาถาม มองหน้าเขาที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นและเงยหน้ามองผมชะงักปากตัวเองกลางอากาศ
“ฝันดี” แล้วผมก็พูดกลับไป ซ้ำยังยิ้มกลับไป เมื่อเขาส่งยิ้มมาให้ก่อน

อะไรวะ? ทำไมบรรยากาศดี
ทำไมใจฟู
อืม หัวใจคงยินดีที่ได้มิตรใหม่...ล่ะมั้ง

Home*Mate

เช้าวันเสาร์ที่ผมควรได้นอนตื่นสายตามโควตาวันหยุดสุดสัปดาห์ กลับต้องเริ่มต้นสบตากับพระอาทิตย์ตั้งแต่เช้า ร่วมก้บเพื่อนผู้ชอบทำลายเวลาพักผ่อนของผม และว่าที่สามีของเธอ

“ตื่นเต้น ตื่นเต้น” ฟังคำนี้มาเป็นล้านครั้งได้แล้วมั้ง ผมมองกระจกมองหลัง เพื่อสังเกตุสีหน้าของวราห์ที่รับหน้าที่ขับรถว่าเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อแฟนตัวเองเอาแต่ตื่นเต้นกับการไปพบชายอื่น เอ่อ ผมเวอร์ไปสินะ จริงๆ ยาดาอาจจะแค่ตื่นเต้นที่จะได้ไปเยือนสวนแคคตัสเท่านั้นก็ได้ ไม่ได้ดี๊ด๊าเพราะจะได้เจอนายค้ำจุนในสภาพเจ้าของสวนหรอก

“ท่าทางจะชอบจริงๆ นะเนี่ย”

“ช่ายยยย ไม่เคยไปโรงเรือนเลย เห็นแต่ในรูป
นี่วราห์ ถ้าดาเจอต้นที่ถูกใจ ขอซื้อได้มั้ย”

“ได้สิ ดาเลี้ยงเก่งแล้วนี่ ไม่มีที่ซื้อไปเลี้ยงแล้วตายแล้วใช่มั้ย เดี๋ยวก็เสียใจอีก”

“เป็นแล้ว เป็นแล้วสิ”

แฟนเขาจีบกันครับ
วราห์เป็นผู้ชายที่ดีครบทุกด้าน แต่ละด้านก็เลเวลแตกต่างกันไป และก็เหมาะเหม็งกับยาดาที่ไม่ใช่ผู้หญิงผู้หญิงที่ดีทุกด้าน แต่ด้านที่ดีของยาดาก็คือดีโดดเด่นเลยครับ

ผมไม่เคยเอ่ยถึงความระแวงอันมาจากพื้นฐานจิตใจต่ำๆ ของผมให้วราห์ได้รับรู้หรอกครับ ผมเชื่อว่ามันจะได้กลิ่นด้วยจมูกของมันเองว่ามูนมันมีจริงๆ ซึ่งสแกนจากจมูกกากๆ ของผมแล้ว กลิ่นจากฝั่งนายค้ำจุนนั้นไม่มีเลย และเพื่อนผมเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย แค่มีนิสัยโอเพ่นเท่านั้นเอง
 
“เขาแวะปั๊มล่ะเป” วราห์บอกผม ผมเลยผลักสายตามองท้ายรถคันหน้า จากนั้นก็พยักหน้ารับรู้และบอกให้วราห์แวะตาม

“สาวๆ เขาอยากกินขนมกันน่ะ พักแป๊บนึงนะ ส่วนพวกที่มากันเอง น่าจะตามหลังเราอยู่นะ” นายต้นสนมารายงานทันทีที่วราห์จอดรถเรียบร้อย พอผมพยักหน้ารับรู้ นายต้นก็โทรรายงานเพื่อนรักเขาทันที

ประโยคบอกเล่าที่มาเข้าหูหมาอย่างผม ทำให้ผมมองนายต้นสนดีขึ้นมากเลยครับ เขาเป็นคนมีแบบแผน รอบคอบ แล้วก็น่าเชื่อถือมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเขามาก กลายเป็นว่ารอบตัวผมมีแต่คนโตแล้วทั้งนั้นทั้งที่อายุพวกเราเท่ากันหมด

“มันช่วยแม่มันต้มน้ำเก็กฮวยรอ ไอ้จุนมันน่ารักแบบนี้แหละเป” เขาบอกผมเมื่อวางสาย ปิดท้ายด้วยการหัวเราะเอ็นดูเพื่อนจนตาหยีตีนกาขึ้นเป็นแพ

“ทำไมถึงต้องเก็กฮวยหรอ” ผมชวนคุยต่อ สายตามองไปไกลลิบๆ ที่หน้ามินิมาร์ท กลุ่มทัศนศึกษาสวนแคคตัสยังอออยู่หน้าร้านหมูปิ้ง

“ไม่รู้มันเหมือนกัน คงความคิดแม่”

“อ้ออออ....
แม่นายคะ..เอ่อ....แม่จุนใจดีมั้ย” ผมถามเพิ่มต่อเพราะเห็นว่าสาวๆ คงยังไม่เลิกรมกลิ่นควันหมูปิ้งกันแน่ๆ

“มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”​ ผมคงบรรยายอะไรที่ชัดเจนกว่านี้ไม่ได้แล้วครับ

จากความช่างพูดช่างคุยของนายต้นสน ทำให้ผมได้รู้ว่านายค้ำจุนเป็นลูกแม่ พ่อเขาเสียไปไม่นานนัก แต่ตอนที่ยังไม่เสีย นายค้ำจุนก็เป็นลูกแม่อยู่ดี
พวกเขาไม่ได้หย่ากัน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
แม้นายค้ำจุนจะเป็นลูกชายคนเดียวของพวกเขา แต่ก็มีพี่ชายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยมาเป็นลูกพ่ออีกคนตั้งแต่ยังเล็ก
แต่ดูเหมือนว่าสายใยของพี่น้องจะไม่ได้ถูกถักทอขึ้นตามสถานะที่ผู้ใหญ่ฝังเมล็ดไว้แม้แต่น้อย
ผมยอมรับว่าอึ้งกับประวัติดราม่าของเขาเหมือนกันครับ แต่นายต้นสนปิดท้ายเรื่องเล่าว่า
“ไอ้จุนมันก็ไมได้แคร์หรอก เตะมัน มันก็เตะคืน จุนมันคนซื่อ”

หึ เตะมาเตะกลับ....ครับ ซื่อมาก

เราขับรถออกจากปั๊มที่แวะระหว่างทางเพียงแค่15 นาทีก็ถึงสวนแคคตัสของนายค้ำจุนแล้วครับ
จากสภาพที่ผมเห็นด้วยตาแล้ว ผมคิดว่านี่น่าจะเรียกว่าสวนผลไม้มากกว่าสวนแคคตัส เพราะด้านหลังรั้วยาวนี้คือต้นไม้ให้ลูกไว้กินทั้งนั้น มะม่วงเอย ชมพู่เอย ฝรั่งเอย กล้วยด้วย มีเชอร์รี่ที่กอไม่เล็กแล้วอีกต่างหาก เราจอดรถตามที่นายต้นสนชี้นำไว้ ลงจากรถได้ก็บิดขี้เกียจและสบตากันนินทาเจ้าของบ้าน

ตัวบ้านเป็นปูนชั้นล่าง ไม้ชั้นบน รูปแบบร่วมสมัยไม่ประหลาดสายตาหรอกครับ

“มากันแล้วหรอต้น” เสียงผู้หญิงใจดีเรียกความสนใจพวกผมและคนอื่นๆ ภาพที่ผมเห็น ราวกับดึงให้ผมกลับไปเจอกับแม่ตัวเองที่จำต้องอยู่ห่างกันเหลือเกินครับ

บ้านที่มีแม่เนี่ย ดีจริงๆ นะครับ

“จุน...ค้ำจุนลูก
ลูกจุน เพื่อนๆ มากันแล้วแหนะ มาต้อนรับเพื่อนก่อนลูก เร็ว”

เปลลูก ลูกเปล คำเรียกแบบนี้ผมล่ะแสนคิดถึง

แล้วพระเอกของงานเปิดตัวสวนแคคตัสก็แสดงตัวเสียทีครับ มาในลุคเสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงสีน้ำเงินเข้ม

เขาเดินยิ้มออกมาทักทายทุกๆ คน  และเอียงตัวมาส่งยิ้มให้ผมที่ยืนอยู่หลังวราห์อีกที

“แม่ครับ นี่ไง เปล”

หือ? เขาแนะนำผมอ่ะ เห้ย! บอกเลยว่าประหลาดใจ
คือคนอื่นเยอะแยะ แต่เขาไม่ได้แนะนำกับแม่เลยว่าใครเป็นใคร ชื่ออะไร เขาพุ่งเป้ามาที่ผมคนเดียวเลย
“ที่เช่าคอนโดอยู่ด้วยกัน” อ่ออออ ที่แท้ก็แนะนำในสถานะนี้นี่เอง ตกใจผมด คิดว่าจะพิ...เศ...ษ

“อ่อ นี่เอง ลูกเปล”

ผมเชื่อแล้วครับว่าแม่นายค้ำจุนใจดีจริงๆ
ผมหันมองลูกชายผู้หญิงน้ำเสียงและหน้าตาใจดีคนนี้ ทางนั้นส่งยิ้มรออย่างอวดตัว
ผมส่งยิ้มให้อย่างขอบคุณ  แล้วก็ยกมือไหว้แม่อย่างเขินๆ ก่อนจะแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ

“สวัสดีครับแม่ เปลครับ เพื่อนร่วมห้องค้ำจุน”

“ฝากลูกแม่ด้วยนะ”

เอาล่ะ ถ้ามีโอกาส ผมจะอวดบ้านสวนแม่กับพ่อผมที่อ่างทองให้นายค้ำจุนได้เห็นบ้าง เขาต้องจะเจอซีนน่าประทับใจของบ้านผม เหมือนที่ผมกำลังประทับใจเขาและแม่เขาอยู่ตอนนี้แน่นอน

เปล....คือชื่อเล่นจริงๆ ของผมซึ่งไม่ค่อยมีใครเรียก อาจเพราะกระดากที่จะกระดกลิ้นหรืออะไรก็ตามแต่

แต่วันนี้ นายค้ำจุนทำให้ผมรักชื่อเล่นตัวเองอีกครั้ง

Home*Mate

สวนผลไม้ด้านหน้าคือตัวหลอกครับ และก็หลอกผมได้สำเร็จด้วยเพราะผมคิดไปแล้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ด้านหลังรั้วยาวแห่งนี้เป็นต้นไม้ให้ผลแน่นอน แต่ผมก็คิดผิดไป
เพราะว่าโรงเรือนแคคตัสของนายค้ำจุนนั้น....ใหญ่มากกกกกกกกก
และใหญ่เท่ากันหมดทั้ง 5 โรงเรือน
งบเท่าไหร่วะเนี่ย?
และได้กำไรกันเท่าไหร่วะเนี่ย!?

“ละลานตามากกกก”
“เป เราไปตามติดคุณค้ำจุนก่อนนะ อยากรู้ว่าอะไรเป็นอะไรมั่ง น่ารักๆ ทั้งนั้นเลย”
“วราห์ ไปกันเถอะ เร็วๆๆ” ยาดาได้ฉุดวราห์ผู้ไม่เคยมีปากเสียงปลิวไปแล้วครับ

เรียกได้ว่าแทบทั้งกลุ่มคนเกือบ 15 คนนี้โดนแคคตัสตกไปหมดแล้ว ส่วนผมยังยืนคว้างอยู่คนเดียวในโรงเรือนที่เพาะเมล็ด คนอื่นดูสนุกสนานกับการดูสายพันธ์นั้นนี้ แต่ผมไม่อินเท่าไหร่เพราะแยกมันไม่ค่อยออก อะไรมีหนามผมก็เรียกว่ากระบองเพชรหมดนั่นแหละ

แล้วผมจะแก้เบื่อตัวเองด้วยอะไรดี

“เป”

“หือ?” ผมหันไปตามเสียงเรียก พบกับนายต้นสนที่กวักมือเรียกให้ผมเดินไปมุมหนึ่งของโรงเรือนที่1แห่งนี้
“อะไรหรอ?”

“ไอ้จุนบอกว่าเปชอบ
พวกนี้ไง....ยูโฟเบีย”

“ยูโฟเบีย.....” ผมพยายามรำลึกว่ายูโฟเบียหน้าตาเป็นยังไงกันบ้าง นายต้นสนคงรู้ทันเลยยกตัวอย่างชื่อมาให้ชีวิตผมง่ายขึ้น

“ฟรองซัวส์”

“เออ ใช่ๆๆ ฟรองซัวส์” ผมตื่นเต้นจนตาเป็นประกายแล้วรีบเร่งฝีเท้าไปประชิดตัวนายต้นสน และก็รับความรู้จากเขาอย่างอัดแน่นในก้อนสมองเลยครับ

บ่ายสดๆ พวกที่เดินชมโรงเรือนกันก็กลับมาที่บ้านครับ ส่วนผมมานั่งรับลมคุยกับแม่และกินขนมไปครึ่งพุงแล้ว เนื่องจากความสนใจที่ผมมีให้กับแคคตัสนั้นน้อยมากครับ ฮ๋าๆๆ

มื้อกลางวันนี้แม่ทำราดหน้าหมูนุ่มเลี้ยงครับ แต่ก็มีบางท่านที่ชมโรงเรือนและซื้อแคคตัสเสร็จแล้วกลับไปเลย เหลือก็แค่รถคันผมและคันที่ต้นสนขับมาเท่านั้น 

พอแม่บอกนายค้ำจุนช่วยหั่นผักด้วย สาวๆ ที่มาชมต้นไม้นี่กินผักเก่งกันกะทันหันเลยครับ ผมไม่แปลกใจที่เขาเสน่ห์แรงต่อเพศตรงข้าม แต่ที่แปลกใจก็คือทำไมเขาถึงตอบรับได้นิ่งขนาดนี้ และสงสัยเพิ่มไปอีกว่าทำไมเขาถึงยังไม่มีแฟน เอ๊ะ หรือมีแล้วแต่ไม่ได้บอกคนนอกโลกอย่างผมกันหว่า?

“แล้วพี่จุนชอบราดหน้าที่สุดหรอคะแม่”

“หือ? จุนหรอ? รายนี้ชอบต้มตำลึงฉี่หมา” ฮ่าๆๆ เมนูรักษ์โลกชิบหายเลย สาวๆ ขำกันใหญ่ ผมเองก็ขำเหมือนกัน แต่ยาดากลับถามมากลางวง

“แต่ไม่เห็นเลี้ยงหมานี่คะแม่ แล้ว...เอาฉี่...ใคร”

“อยากกินก็ต้องฉี่รดเองนั่นแหละลูก
มื้อนี้เลยไม่ได้ทำให้กินกันเลย เพราะแม่ก็ไม่ได้อยากกินขนาดนั้น”

ฮ่าๆๆๆๆ ฉี่นายค้ำจุนมีค่าเบอร์นี้เลยหรอวะเนี่ย? ถ้ารอบหน้ามาแล้วได้กิน แสดงว่าเขาต้องฉี่แล้วส่งไปรษณีย์กลับมาที่บ้านแน่ๆ

เสียงหัวเราะชอบอกชอบใจทำเอานายค้ำจุนนั่งเขินหน้าแดง เขาปัดจมูกไปมา และแสร้งมองไปทางอื่น พอเห็นทุกคนคลายความบ้าจี้กันแล้วก็ชักชวนให้กินราดหน้ากันต่อ เสร็จแล้วเขาจะพาไปดูโรงเรือนสุดท้าย ซึ่งเป็นที่เลี้ยงไม้ที่เขาผสมเอง พัฒนาสายพันธุ์เอง ซึ่งไม่เปิดให้ใครไปดูง่ายๆ

น่าเสียดายสำหรับสาวๆ เพราะกว่าจะกินเสร็จ คุยเสร็จก็บ่ายคล้อย และแม่ก็ไม่อยากให้ขับรถถึงกรุงเทพเย็นมาก แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ เพราะนี่เท่ากับว่า -พี่จุน- ติดค้างการพาน้องๆ ดูโรงเรือนอีก 1​ โรง จะได้มีนัดครั้งหน้า

ส่งรถของนายต้นสนพ้นรั้วเสร็จ นายค้ำจุนก็รีบพาพวกผม 3 คนไปชมโรงเรือนกันเลยครับ คนที่ตื่นเต้นสุดก็คือยาดา แต่วราห์เองก็ว้าวไปหลายรอบเหมือนกัน ยาดาน่ะชื่นชมต้นไม้ที่สวยมาก ส่วนวราห์กำลังทึ่งในความคิดนายค้ำจุนครับ

เขาไม่ได้หวังว่าจะขายต้นไม้ที่พัฒนาสายพันธุ์นี้แพงๆ เพื่อร่ำรวย เขาหวังจะมีชื่อสายพันธุ์ของเขาเอง ที่เขาตั้งชื่อเอง ขึ้นบนทำเนียบพันธุ์ไม้ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป้าหมายสูงระดับนี้เลยครับ

และไม้ที่เขาพัฒนาก็สวยจริงๆ ผมไม่ใช่คอแคคตัส ผมยังรับรู้ได้

“อา...หรอครับแม่ ได้ครับ ได้ ผมกับดาอยู่ที่ราชบุรีครับ มาชมสวนแคคตัสกัน
...อ่า ใช่ครับ ที่เขาว่าจะใช้งานนั่นแหละครับ...
อ๋อครับ ได้ ได้ น่าจะเสร็จแล้วนะครับ ได้ ได้ ครับ เดี๋ยวเข้าไปหา”  วราห์วางสายและสบตากับพวกผมที่หันมองเขาอย่างพร้อมเพรียง จะไม่ให้มองได้ยังไงล่ะครับ ก็นอกจากนายค้ำจุนที่พูดเรื่องแคคตัสฉอดๆ อยู่นี่ก็ไม่มีใครแทรกเสียงไหนขึ้นมาเลย นอกจากเสียงโทรศัพท์ของวราห์

“อ๋อ...” เหมือนเจ้าตัวจะรู้แล้วว่าตัวเองควรบอกโลกคร่าวๆ ด้วย โลกก็อยากรู้เหมือนกัน
“บ้านผมมาสวนผึ้ง พอดีปลูกบ้านไว้ แกเลยโทรมาถามว่าจะแวะเข้าไปรึเปล่า พวกเราก็แพลนว่าจะแวะไปด้วยนั่นแหละ เป ไปเที่ยวบ้านผมต่อนะ”

“เอ่อ...​” ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ควรเอาตัวไปแทรกคู่ที่เตรียมตัวแต่งงานมั้ยล่ะไอ้เป ถึงผมจะเป็นเพื่อนของทั้งคู่ แต่ผมก็รู้ขอบเขตตัวเอง
“ไม่ดีกว่า ไปกันเถอะ เดี๋ยวเรากลับ......” แล้วผมจะกลับยังไงวะเนี่ย? ไม่มีรถแล้วนอกจากรถนายค้ำจุน
“เดี๋ยวเรากลับกับจุน”

“ผมค้างที่บ้านอีกคืนนะ คุณค้างด้วยกันสิ”

“เอ้อ โอเค เดี๋ยวเราค้างกับจุน ดากับวราห์ไปหาแม่เถอะ ตามนี้ๆๆ” ตามนี้บ้าบออะไร กูไม่ได้เตรียมตัวมาค้างอ้างแรมบ้านใครทั้งนั้นโว้ยยยยยยยยย!!

แม้จะสติสั่นๆ แต่ผมก็ยังยิ้มให้เพื่อนและยืนโบกมือส่งท้ายรถวราห์ไปจนสุดสายตา
ผมหันกลับมาเจอเจ้าของบ้านยืนหน้านิ่งกอดอกส่งสายตามาให้ ก็เลยกรอกตาอย่างไร้เดียงสาและพยายามต่อรอง

“คุณไปส่งผมที่ท่ารถหรืออะไรก็ได้ที่ผมกลับกรุงเทพได้หน่อยสิ”

“อ้าว ไหนว่าจะค้าง”

“ไม่ได้เตรียมตัวมาค้าง”

“ไม่เห็นต้องเตรียมตัว”

“เสื้อผ้าก็ไม่มี ของใช้ส่วนตัวก็ไม่มี ไม่คุ้นด้วย”

“ไม่คุ้นอะไร เรานอนห้องเดียวกันมาตั้งหลายเดือน
น่า....นอนค้างนี่แหละ เดี๋ยวเยี่ยวรดตำลึงไว้ พรุ่งนี้ให้แม่ทำให้กิน”

เขาอาจคุ้นกับผมเพราะอยู่ห้องเดียวกันมาหลายเดือน แต่ผมไม่มีคุ้นกับเขาแน่ๆ เพราะผมไม่นอนร่วมเตียงกับใครมา 20 ปีแล้ว

เพราะสำหรับผมแล้ว เตียงคือ อา ณา เขต ส่วน ตัว


cut


หายไปร่วม 3 เดือนเลยค่ะ ขอโทษที
ทางเวบไม่ลบเรื่องเราออกก็ดีใจมากแล้ว >,<

ตอนนี้ พบกับการร่วมเตียง (?) ครั้งแรกของเขาทั้งคู่ค่าาา
สำหรับนักอ่านที่จินตภาพโรงเรือนไม่ออก หาในกูเกิ้ลได้เลยค่ะ น่ารักๆ สวยๆ ทั้งนั้นเลย

อีกครั้งที่ต้องบอกกัน ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
นอนด้วยกันจะเป็นยังไงน้าาา :laugh3:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
นึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้มาต่อเสียแล้วคิดถึงงงงงง
ว่าแต่ค้ำจุนอย่าไปทำอะไรเปนะ ละเมอก็ห้าม อิอิ
 :z2: :z2:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สองคนนี้ใครจะปิ๊งใครก่อนนะ

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
น้องเปล หนูโตมาขนาดนี้โดยไม่ถูกใครกระทืบได้ยังไงคะลูก สกิลเรียกทีนสูงส่งเหลือเกิน

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
เหมือนนน้องเปจะมีใจฟูๆหน่อยแล้ว
ส่วนทางจุนก้มีชวนกินข้าว ชวนค้างบ้าน
มันชักจะยังงัยๆแล้วนะคะคุณผู้ชมมมม

รอการร่วมเตียงกันคราวหน้านะคะ
ใครจะตกเตียงก่อนรอลุ้นเลย 5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
รอแคคตัสแตกหน่อ

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
เหวยๆๆๆ  มาลุ้นว่าใครจะหวั่นไหวก่อนกัน  :hao3:

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เปลติดนิสัยอยู่ในเซฟโซนมากเกินไปรึเปล่าพี่สาวถึงอยากให้ออกไปอยู่ข้างนอก ยิ่งเพื่อนสนิทที่มีน้อยๆอยู่ไปแต่งงานกันอีกเลยยิ่งน่าเป็นห่วง  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
ก๊อกๆๆๆ รออยู่น๊า  :mew1:

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [11]



ท้องฟ้าเป็นสีครามเข้ม แซมด้วยริ้วสีส้มเส้นตรงขาดวิ่นเป็นระยะ สิ่งที่ผมมองอยู่นี้ตีความได้ว่าโพล้เพล้

บรรยากาศแสนเงียบแถวนี้ทำให้ผมโหยหาความอึกทึกจากเสียงรถราที่เคยรำคาญมันอย่างมากขึ้นมาทันที

“คุณ” ถูกเรียกแล้วครับ เสียงนายค้ำจุนดังมาจากหน้าห้องนอนของตัวเขาเอง ซึ่งตอนนี้มันถูกมอบหมายหน้าที่ห้องรับรองแขกอยู่ แขกก็คือผมครับ ผมที่หน้าหล่อเรียบหรูไทยสไตล์ นี่แหละครับที่เป็นแขก

“อื้อ ว่า”

“ไม่ว่าอ่ะ เสร็จยังอ่ะ? จะได้ใช้บ้าง” นายค้ำจุนตอบ ผมเลยระลึกได้ว่ากวนเวลาใช้ห้องส่วนตัวของเขามาเกือบชั่วโมงแล้ว

ผมใช้เวลาเกือบชั่วโมงทำอะไรในห้องนี้งั้นหรอครับ? ก็แค่หาชุดใส่นอน หาผ้าเช็ดตัว หาสกินแคร์ และหนังยางมัดผม ก็ช่วยไม่ได้ที่ผมด้านหน้าของผมมันออกจะยาวปรกหน้าผาก ผมไม่อยากให้ผมเปียก

“เสร็จแล้ว” ผมตอบในที่สุด แน่นอนว่าเช็คสภาพตัวเองว่าพร้อมเจอผู้คนเรียบร้อยแล้ว

ปึก! และประตูห้องก็เปิดเข้ามา ลูกกะตาเขาหยุดที่หน้าผากของผมอย่างจงใจด้วยครับ คิดว่าอีกเดี๋ยวแม่งคงล้อ

“ไงเหม่ง”

“เหม่งเตี่ยไรล่ะ อย่ามาซงมาแซว” ผมโต้กลับ ส่วนเขาแค่กระตุกลูกกระเดือกตัวเองจนเกิดเป็นเสียงค่อนแคะน่าหมั่นไส้
“ผมเอาเสื้อคุณมานะ จริงๆ ก็เอาทุกอย่างแหละ”

“กางเกงในด้วย?” หวงรึไงวะ? ก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้เตรียมตัวมาค้างคืน ผมตวัดตามอง เห็นสายตาล้อเลียนก็เลยไม่ต่อความยาว เถียงไปก็หิวกว่าเดิมเสียเปล่าๆ

“เกงในนี่ผมแกะเอาจากแพ็คใหม่”

“มีหรอ? ผมมีกางเกงในสำรองด้วยหรอ? จำไม่เห็นได้....
สงสัยแม่ซื้อเอาไว้มั้ง
ช่างเถอะ คุณหิวรึยัง ไปกินข้าวกัน”

“อื้อๆ หิว
ขอบใจที่รู้สักทีว่าแขกหิว” ผมบอกแล้วก็เดินดุ่มๆ ออกจากห้อง ลงบันไดลงมาสู่ชั้นล่างซึ่งมีทั้งส่วนที่โล่ง และห้องครัวที่เป็นสัดส่วนกะทัดรัด

“แม่ครับ หิวแล้ว” ผมอ้อนครับ ยอมรับอย่างไม่อาย แม่นายค้ำจุนหันมาส่งยิ้มให้แล้วก็กวักมือเรียก

“หิวก็มากินเลยลูกเปล
แม่ตำน้ำพริกกะปิ ผักต้มก็มี แล้วก็ทอดปลา ปลาตะเพียนนะลูก กินได้ใช่มั้ย”

“เปกินได้หมดเลยครับ กินทุกอย่าง”

“ขี้ล่ะ?” เสียงจากเปรตข้างบ้านแน่นอนครับ กำลังจะหันไปต่อว่าตามประสาสุภาพชนงกความสุภาพเสียหน่อย แม่ก็จัดการให้แล้วครับ

“ฮื้อ ไม่แซวเพื่อนสิจุน
อ่ะมา จุนตักข้าวให้เพื่อนด้วย เปลกินข้าวกล้องได้ใช่มั้ยลูก”

“เปกินได้ทุกอย่างเลยครับ” ผมยืนยันศักยภาพตัวเอง แม่ก็เลยยิ้มกว้างเผื่อไปถึงพระจันทร์บนฟ้าเลยครับ

“แกงจืดมะระหวาน ลองนะลูก เหมือนฟักนั่นแหละ”

“ครับ”

“ไข่เจียวก็ได้นะ เดี๋ยวแม่ทำให้เพิ่ม แป๊บเดียว

“โอ้ย เท่านี้ก็พอแล้วครับ”

“พอหรอลูก น้ำพริกเผ็ดนิดนึงนะลูกนะ”

“ครับแม่ โอ้ยแม่ เปแกะปลาเอง แม่ไม่ต้อง ไม่ต้องทำ กินข้าวครับ แม่กินข้าวพร้อมเปเลย นะครับ นะแม่นะ กินข้าวพร้อมกัน”

ถ้าผมเป็นนายค้ำจุน ผมคงถีบไอ้เหม่งคนนี้ตกเก้าอี้ไปแล้ว เพราะอาการประจ๋อประแจ๋แม่คนอื่น แต่สิ่งที่ลูกชายตัวจริงทำก็แค่ยิ้มไปเคี้ยวข้าวไปและ ไม่ลืมยื่นชามข้าวพูนชามของตัวเองมาตัดหน้าชิ้นปลาทอดเนื้อนวลเหลืองจากมือแม่ไปต่อหน้าต่อตาลูกขี้ประจบอย่างผม

มื้อนี้ก็ธรรมดาๆ นะครับ ไม่ได้มีกับข้าวกับปลาที่ผมไม่เคยกิน แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ การเกิดซ้ำของความสุขที่ผมเคยสัมผัสมาแล้ว...จากการกินข้าวร่วมกันของครอบครัวผมเอง

Home*Mate

ตึ๊ด ตื๊ดดดดดดดด ตื๊ด ตึ๊ด
แน่ใจนะว่านี่คือเสียงนาฬิกาปลุกผู้ชายวัยฉกรรร์ ฟังจากเสียงแล้วน่าจะเป็นรุ่นคลาสสิค รุ่นเดียวกับที่ปลุกแม่ผมให้ตื่นทุกๆ เช้า 
ผมลืมตาตื่นพลางสูดหายใจยาววววววพร้อมกับบิดขี้เกียจ พอเหยียดแข้งขาก็ชนกับมนุษย์อีกคนทันที ก็แน่ล่ะสิครับ นอนเบียดอยู่บนเตียงเดียวกันนี่

ผมหันมองเพื่อเช็คว่าเจ้าของเตียงตื่นมาโวยวายมั้ย แต่นายค้ำจุนก็แค่บิดตัวหนีเปลี่ยนท่านอนพร้อมกับสูดลมหายใจยาวเหมือนกัน

“คุณ” ผมทดลองเรียก เขาส่งเสียงอือกลับมาแต่ก็ไม่หันมาหาผม เดาว่าน่าจะไม่อยากตื่น
“จุน ไม่ตื่นหรอ”

“ยัง” เขาตอบ มีอาการขดตัวใส่กว่าเดิม คงไม่อยากให้ผมกวนแล้ว แต่ผมตามใจเขาไม่ได้หรอกครับ เพราะที่นี่บ้านเขา ผมตื่นเขาก็ต้องตื่น หาบทสรุปได้แล้วผมก็เลยเอาเท้าสะกิดเขาใต้ผ้าห่ม ปลุกแบบนี้น่าเอ็นดูจะตาย

“ตื่นดิ ผมตื่นแล้วอ่ะ” เงียบครับ
“ก็เสียงนาฬิกาปลุกคุณประหลาด
เนี่ย ผมตื่นเลย
กี่โมงแล้วอ่ะคุณ
ข้างนอกยังมืดอยู่เลย เนี่ยคุณ ดูดิ
เช้ามากๆ แบบนี้ คนแถวนี้เขาทำอะไรกันหรอ?”

“โอยยยยยยยยยย คุณ
ผมง่วง” เนี่ยล่ะครับคำตอบ ผมถีบผ้าห่มออกจากตัวเราทั้งคู่แล้วก็ลุกขึ้นนั่ง ส่องๆ มองหานาฬิกาแล้วก็หยิบมาแหกตาดู อ่อ ตี 4 ไงดีวะเนี่ย ตื่นมาแล้วด้วยสิ

“คุณ ทำอะไรกันดี”

“ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านอน
นอนเถอะคุณ นอนต่อ”

“แต่ตื่นมาแล้ว” ผมเถียงคนเสียงงัวเงีย และก็ถูกเถียงกลับมาด้วยเสียงที่โคตรงัวเงีย

“นอนนนนนนนนนน”

“วุ” ทิ้งไว้เท่านี้แหละครับ คนฟังก็น่าจะรู้ว่าผมว่าก็นอนสอนก็ง่ายหรือตรงกันข้าม

ตี4 ที่ราชบุรีมืดสนิทเลยครับ แต่ก็ใช่ว่าเงียบสงัดไปเสียหมด ผมออกจากห้องนอนมาไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบางอย่างในบ้าน เดาว่าน่าจะเป็นแม่นายค้ำจุน ก็เลยเดินลงมาข้างล่าง และก็เจอแม่ครับ

“เอ้า เปล ตื่นมาทำไมแต่เช้าลูก”

“นาฬิกามันปลุกน่ะครับ”

“อ่อ แล้วยังไงล่ะหือ?
มาทำกับข้าวเตรียมใส่บาตรกันมั้ย
หรือกลับไปนอนต่อก็ได้นะ เดี๋ยวแม่ไปปลุกมาใส่บาตร 
ทั้งคู่เลย”

“เปช่วยแม่ดีกว่า ปล่อยจุนมันนอนกินบ้านกินเมืองไปเถอะครับ” แม่เขาหัวเราะที่ผมล้อเลียนลูกชายเขาครับ เมนูคุณพระคุณเจ้าเช้านี้คือผัดถั่วฝักยาวใส่ไข่ ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ แม่บอกไม่ใส่วุ้นเส้นครับ กลัวอืด ส่วนข้าวก็คือข้าวหอมมะลิธรรมดา

ผมช่วยแม่นายค้ำจุนหยิบนู่นหั่นนี่จนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีก็ตอนแม่วานไปปลุกนายค้ำจุนให้ที เพราะนี่ 6 โมงเช้าแล้ว แม่ไม่ลืมกำชับให้พวกผมล้างหน้าแปรงฟันมาให้สดชื่นด้วย

สภาพเจ้าของห้องที่ผมเจอ ต้องเรียกว่า ‘ซากบางอย่าง’ ครับ ผมก็เพิ่งรู้ว่าเขาขี้เซาขนาดนี้ เพราะตอนที่อยู่ด้วยกันที่ห้อง เขาตื่นก่อนผมตลอด

“คุณณณณณ​ แม่ให้มาปลุก ไปใส่บาตรกัน”

“พระไดเอท”

“เอทพ่อง
เอทก็ต้องงดมื้อเย็นโน่น นี่มื้อเช้า พระต้องกิน”

“เค้าเรียกว่าฉัน”

“มีสติแล้วนี่ เถียงแทนพระได้
ตื่นแล้วก็ลุก หัวขวานหายแล้วเนี่ย นอนกินบ้านกินเมือง” ถากถางเขาไปก็นึกเยาะตัวเองไป เพราะที่ขุดมาด่าเขามันพฤติกรรมผมตอนอยู่กับพ่อแม่ทั้งนั้น

“คุณนี่ยิ่งกว่าไอ้ต้นอีก”

“ก็นะ ผมมันอัพเปอร์คลาส” ยกตัวไปงั้นแหละครับ ตอนนี้พูดอะไรก็ได้ขอแต่ให้เขาลุกจากการเป็นซากจมเตียงเสียที พอนายค้ำจุนลุกขึ้นนั่งอวดหัวยุ่งเหยิงของเขาแล้วผมก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟันครับ การใส่บาตรตอนเช้าที่ผมห่างหายไปหลายปีน่าจะเป็นกิจกรรมที่ตื่นเต้นจนผมสามารถเอาไปอวดกับยาดาได้

อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง......
สิ้นคำให้พรของพระ นิ้วเท้า 10 นิ้วที่เป็นหลักฐานบ่งชี้การถูกใช้งานมาอย่างสมบุกสมบันก็เคลื่อนที่หายไปจากสายตา ผมเงยหน้ามองตามไปจนถึงจุดหยุดพักถัดไปของขบวนพระ ซึ่งก็คือหน้ารั้วบ้านข้างๆ ที่ห่างไปเกิน 20 เมตร

“ไปลูก เราก็กินข้าวกันเถอะ
สายๆ จุนพาเปไปเก็บผลไม้เอากลับไปที่คอนโดกันนะลูก
มะม่วงสุกเยอะเลย หรือสอยเอาจากต้นไปกินก็ได้ มันๆ ไม่เปรี้ยวหรอก ฝรั่งก็มีนะเป” ผมล่ะลืมไปแล้วว่าที่นี่คือสวนแคคตัส เพราะแม่จัดมาให้แต่รายชื่อผลไม้ครับ

ผมยิ้มรับความใจดีของผู้หญิงคนนี้ไว้อีกหน ซึ่งเป็นหนที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่รู้แน่ชัดคือนี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

เกือบเที่ยง ผมก็ได้กินข้าวอีกรอบแล้วครับ นี่บ้านหรือร้านอาหารก็เริ่มจะสงสัยแล้วเหมือนกัน มื้อกลางวันนี้แม่นายค้ำจุนทำข้าวผัดกุ้งให้กินครับ ซดแกงจืดที่ทำไว้ตั้งแต่เช้าด้วย คล่องคอกันแล้วก็เก็บของย้ายถิ่นฐานกันเสียที

ในรถฟอร์จูนเนอร์ของนายค้ำจุนอุดมไปด้วยผลไม้พร้อมทาน อันนี้ผมเอมใจมาก แต่ส่วนที่คันหัวใจมากก็มีเหมือนกันครับ

“คุณ...” ผมรีบทักถามเมื่อเห็นของที่เขายังคงทยอยขนขึ้นรถ

“อือ ว่า”

“นี่อะไรอ่ะ?”

“ต้นไม้ไง”

“รู้ แต่มันใหญ่ไปมั้ยอ่ะ”

“ก็ต้นไม้โตไง”

“ก็เห็นแหละว่าต้นไม้โตแล้ว แต่มันใหญ่ไปมั้ยอ่ะ
ผมหมายถึง จะขนไปไหนหรอ”

“ห้องเรา”

ห้อง....เรา
ต้นไม้ใหญ่โตสูงเกือบเท่าผมพวกนี้ กำลังจะไปอยู่ใน .... ห้องเรา
แป๊บนะมึง กูตั้งสติไม่ทัน

ผมยั้งความคิดเขาด้วยการสัมผัสแนวแขนเขาอย่างแผ่วเบา อยากให้สื่อถึงความสุขุมเยือกเย็นอันไม่ใช่นิสัยของตัวเองให้เขาได้รับรู้

“ห้องเราหรอคุณ”

“อื้อ ก็เราเซ็นสัญญากันแล้วไง ก็ห้องผมเหมือนกันแต่เราก็อยู่ด้วยกัน เป็นห้องเราก็ถูกแล้ว”

“ไม่ๆ ผมรู้ความหมายของห้องเรา แต่ผมไม่คิดว่าต้นไม้จะอยู่ในห้องเราได้”

“อยู่ได้ มันอยู่ง่ายเลี้ยงง่าย อยู่ได้สบายคุณไม่ต้องห่วง”

“ผมไม่ห่วงต้นไม้หรอก ผมห่วงห้อง ผมว่าอยู่ไม่ได้อ่ะ”

“ทำไมไมได้อ่ะ”

ไอ้บ้า มันใหญ่ชิบหายไงโว้ยยยย!
แต่พูดออกไปแบบนั้น ผมอาจจนด้วยเหตุผลของพื้นที่ห้องทั้งหมดหักลบกับพื้นที่วางเฟอร์นิเจอร์แล้วพบว่ายังมีสัดส่วนเหลือจุดยืนให้ต้นไม้ทั้งหลายเหล่านี้ ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ผมต้องห้ามปรามเขาด้วยเหตุผลที่เขาคัดค้านกลับไม่ได้

“ก็....มันใหญ่เกินไป ตกกลางคืนคงผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาท่วมห้อง เราจะตายกันนะ

“........” เขาทำหน้าว่างเปล่า จากนั้นก็แหงนหน้ามองฟ้าแล้วก็ถอนหายใจจนอกยุบ

“หรือต้นไม้คุณมันผิดแผกจากต้นไม้ทั้งโลก มันให้ออกซิเจนตลอดวันหรอ”

“มันก็ปกติ แต่มันอยู่ได้ ในห้องน่ะ คุณไม่ต้องกังวลหรอก”

“ต้องกังวลดิคุณ ต้นมันใหญ่ สูงเกือบท่วมหัวเราแบบนี้ แล้วก็ไม่ใช่ต้นเดียว คุณจะวางตรงไหน ระเบียง 2 ด้านที่ยกให้คุณไปก็เต็มแล้ว ถ้าเอาพวกนี้วางอีก เอาง่ายๆ เลย ผมปั่นผ้ามาแล้วตากที่ไหน?”

“คุณๆๆๆ ใจเย็นดิ
พวกสูงๆ นี่ไปอยู่ห้องเราไม่กี่วันหรอก
มากสุดก็ 2 วัน มีลูกค้าสั่ง แล้วเขาจะมารับที่หน้าร้านจตุจักรเย็นวันอังคาร”

“อ่อออออ” ผมพยักหน้ารับรู้ แบบนี้ค่อยรับได้หน่อย นึกว่าแม่งจะมายืนต้นอยู่ในห้องเพดานสูง 2.5 เมตรซะแล้ว
“งั้นก็โอเค” พอใจเย็นลงได้ ผมถึงได้รู้ตัวว่ามือผมยังจับแขนเขา ส่วนมือเขาก็จับแขนผมไว้เหมือนกัน เรามองหน้ากันอึ้งๆ แล้วก็ผละออกจากกันโดนไม่ต้องหารือ เสียงแม่เรียกมาจากในบ้านเร่งให้นายค้ำจุนจ้ำฝีเท้าไปหา ส่วนผมยังยืนมองต้นไม้ใบเล็กพวกนี้อยู่ที่เดิม

ต้นอะไรวะ?
คุ้นๆ ว่าเคยเห็นตามที่ต่างๆ แต่ไม่เคยสนใจว่ามันคือต้นอะไร สายพันธุ์ไหน มีดอกหรือมีผลให้เก็บกิน หรือกินใบแก้เครียด

รอบนี้นายค้ำจุนออกมาพร้อมกับแม่ของเขา ฝ่ายผู้ใหญ่ส่งยิ้มหวานให้ผมแล้วก็ยื่นของฝากชิ้นสุดท้ายให้ผมเมื่อปลายเท้าเราเข้าใกล้กัน

“อะไรครับแม่” ผมถาม มือประคองปิ่นโตไว้อย่างรักใคร่ถนอม แพคเกจแบบนี้แน่นอนว่าต้องเป็นของที่กินได้

“ข้าวเย็นลูก แม่ทำให้เมื่อกี้เอง ถึงห้องก็อุ่นเอา เข้าไมโครเวฟก็ได้ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำกินหรืออกมาซื้อกินกัน”

“โอ้ยแม่ ไม่ต้องลำ...”

“งั้นไม่ต้อง”

“ขอบคุณครับแม่ เปจะกินให้เกลี้ยงเลย” ผมรีบพลิกลิ้น ยึดปิ่นโตกับข้าวมากอดไว้ทันทีที่ปากมารเอื้อนเอ่ย ส่งค้อนให้ไอ้บ้าต้นไม้แล้วก็หันมาส่งยิ้มประจบแม่ต่อ

การร่ำลาของแม่ลูกคู่นี้ไม่ยืดยาวครับ ออกจะกระชับเสียจนผมต้องเพิ่มความยืดยาดเข้าไปเสียเอง อย่างน้อยก็อยากให้แม่ได้พูดจนจบความตั้งใจก่อนที่เสียงสตาร์ทรถจะดังกลบหู 

กระจกรถฝั่งผมเลื่อนขึ้นอัตโนมัติตามอัตโนมือของนายค้ำจุน ผมเลยต้องรีบหดแขนที่กำลังโบกให้กับแม่ที่ยืนส่งเราหน้าบ้านเข้ามา ก่อนที่มันจะขาดไปต่อหน้าต่อตา

“รีบเหลือเกิน แทนที่จะให้แม่ได้พูดได้อวยพรให้สมใจก่อน”

“เดี๋ยวก็โทรหา ไม่ได้ห่างไกลกันนักหนาเลยคุณ” เขาเถียงคำสอนของผมด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ผมก็เลยถอนหายใจใส่ ปัดแอร์ให้ตรงหน้าตรงอก เปิดเพลงในรถฟังแล้วก็หันมองวิวข้างทาง

แม่เขาและเขา ทำให้ผมคิดถึงแม่ผม พ่อผม และพี่สาวผม
ผมไม่ได้โทรคุยกับพ่อแม่บ่อยนัก เหตุผลก็แสนง่ายที่มักถูกใช้โดยผู้คนทั่วไป .. ไม่มีเวลา.. ทั้งที่เราทั้งหลายมีเวลาเหม่อ มีเวลาเครียด มีเวลาผ่อนคลายด้วยการฟังเพลง  2-3 เพลงระหว่างขี้ แต่เรากลับไม่มีเวลาเพียงไม่กี่นาที ฟังคำอวยพร หรือคำแสดงความห่วงใยของครอบครัว

เรานี่ใจดำกันจริง
ไม่สิ ผมคนเดียวล่ะมั้งที่ใจดำ

ผมเบาเสียงเพลงในรถ หันมองคนขับที่ไม่ได้ว่าอะไรเรื่องเบาเสียงเพลง จากนั้นก็กดโทรศัพท์ โทรหาแม่กับพ่อครับ

เราคุยกันด้วยเรื่องราวเดิม กินข้าวแล้ว สุขภาพดีตามปกติ งานไม่เหนื่อยไป มีเวลาพักผ่อน ข้างบ้านก็ญาติกันทั้งนั้น แม่เพิ่งเก็บลูกมะกรูดจากต้น พ่อว่าจะปลูกตะไคร้เพิ่มอีก 2-3 กอ เหล่านี้ไม่ใช่บิ๊กเดต้าที่ใครจะเอาไปทำโยชน์ได้ในอนาคต มันเป็นเพียงเรื่องน้อยนิด ที่ทำให้หัวใจผมมีความสุขอย่างมหาศาลได้

“นี่คุณ....” ผมเปิดหัวบทสนทนา
“ครั้งหน้า เราไปบ้านพ่อแม่ผมที่อ่างทองกัน”​

“อื้อ” นายค้ำจุนตอบรับเบาๆ เขาเอียงหน้ามองผมช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เพียงพอที่ส่งยิ้มมาถึงสายตาผม เราเดินทางกันเงียบๆ เพื่อมุ่งหน้ากลับกรุงเทพ โดยที่ตั้งแต่เบาะกลางถึงเบาะหลัง เต็มไปด้วยต้นไม้ต้นสูงนอนยาวทับกันจนแทบแยกต้นกับใบไม่ออก


Home*Mate


บ่ายแก่ๆ วันนี้ของผมไม่ร่มรื่นเหมือนสีเขียวในรถที่หลอกหลอนลูกกะตาผมมาตลอดทางหรอกครับ

แน่นอนว่าบุญคุณข้าวแกงต่างๆ มันค้ำคอ ทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธการขอความช่วยเหลือจากเขาได้เลย แม้ว่าอยากจะค้านให้สุดตีนก็ตาม

นายค้ำจุน..ขอร้อง...ด้วยกิริยากวนตีนที่สุดในโลก ให้ผม ช่วย แบก ต้นไม้ ขึ้น ห้องเรา

และอาจจะเป็นความรู้บุญคุณที่พักและอาหารชั้นดีของผมก็ได้ ที่ทำให้ผมสั่ง ให้เขาเก็บต้นไม้ของเขา ไว้ในพื้นที่ของเขา ซึ่งก็คือห้องนอน

“แล้วผมจะนอนยังไงคุณ ตอนกลางคืนต้นไม้มันคายคาร์บอนไดออกไซด์คุณก็รู้”

“ก็นอนห้องรับแขก” ทางออกโคตรจะง่าย ผมล่ะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำให้เป็นปัญหา

“จะนอนยังไงไหว ร้อนตาย งั้นผมเปิดแอร์นะ ในห้องนอนผมก็ต้องเปิดแอร์ด้วย เปิดหน้าต่างให้ลมเข้าก็ฝุ่นอีก เสียงอีก ใช่มั้ยล่ะ เปลืองค่าไฟนะ คุณยอมหรอ ถ้ายอมก็ตามนั้น”

“เออๆๆๆ งั้นคุณก็นอนห้องผม”

“โอเค ดีล!”

นี่ผม ไม่ได้หงุดหงิดแล้วทำให้ต้วเองเสียเปรียบใช่มั้ยครับ?

Cut


มาแล้วค่าา จากตั้งใจจะลงเดือนละตอน กลายเป็นเว้นมา 2 เดือนแล้ว ขอโทษจริงจัง แม้ว่าจะขอโทษที่มาเขียนต่อช้าทุกครั้ง แต่ก็จะขอโทษต่อไปค่ะ55555

ขอบคุณคนที่ยังจำกันได้ คนที่รออ่าน คนที่ทวงถาม ทุกการสะกิดกันสำคัญเสมอค่าาาาา

รบกวนติดตามกันไปต่อ ตอนหน้าอาจจะมาช่วงวันหวยออกค่ะ  ^____^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-10-2018 19:31:25 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ chap

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เย้ มาต่อแล้ว
ชอบความค่อยเป็นค่อยไปของทั้งสองคนจังง

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
 :katai2-1:  :katai2-1: อ่านแล้วรู้สึกว่ามันมีความรื่นไหลของความรู้สึกและการกระทำร่วมกันมากขึ้นยังไงก็ไม่รู้อ่ะ
ต่อไป เราจะเห็น2คนนี้นอนด้วยกันบ่อย ๆขึ้นอีกแน่ๆ (อันนี้แหล่ะที่ต้องการ 555555555555)  :hao7:  :hao7: :hao7:
 :กอด1:  :กอด1: ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ค่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
แหน๊ ผลพลอยได้

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เกือบลืม ต้องย้อนกลับไปอ่านตอนต้นๆ นะ แต่ก็ขอบคุณที่มาต่อนะ
 :really2: :really2:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เอ็นดูเปเป

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [12]



ทำไมนอนด้วยกันในห้องนอนผม มันช่างแตกต่างจากการนอนด้วยกันในห้องเขา อย่างสิ้นเชิง
ผมเองก็ไม่รู้ว่าในฐานะเจ้าของห้องนอนแล้ว เขารู้สึกอึดอัดกับสิ่งมีชีวิตอื่นนอกเหนือจากไรฝุ่นหรึอเปล่า แต่ผมอึดอัดครับ .... อึดอัดมากด้วย
ก็นะ....ผมใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมาตลอด ในบ้านมีแต่คนใน ไม่มีคนนอก หรือถ้ามี คนนอกก็เป็นแขกที่มีความเกี่ยวโยงทางสายเลือด และผมก็ยังมีหลุมหลบภัยส่วนตัวนั่นก็คือห้องนอน

แต่ในจังหวะชีวิตของผมตอนนี้ ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยราวกับนอนอยู่บนยอดภูเขาที่เหล่าอุกาบาตรกำลังพุ่งเข้าใส่ อาจจะดูเกินจริงมากไป แต่เชื่อเถอะครับ ขนาดนอนขดตัวหน้าซุกเข่ายังรับรู้ได้ถึงความเคว้งคว้างของจักรวาลนี้

“คุณ...โอเคมั้ยเนี่ย เป็นอะไรรึเปล่า
คุณ...คุณ!
เปล!!!”

เสียงเรียกของนายค้ำจุนดังเหมือนแสงจ้าที่ไม่มีใครสามารถหลีกหนีได้ ผมยอมเปิดเปลือกตาที่กำลังข่มปิดมันลงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ยอมเงยหน้ามองเขา สบตากับเขา และก็สาดสิ่งกวนใจให้เขาได้รู้

“ผมไม่ชอบให้ใครอยู่ในที่ส่วนตัวผมนี่!!!” ยอมรับครับว่า ขมวดคิ้วและยู่ปากยื่นตามความเคยชิน ถ้าใครคิดว่ามันสุดจะน่าเอ็นดูก็ช่วยไม่ได้ แต่ผมไม่ได้เจตนาเลยจริงๆ 

“ก็ว่า...นอนท่าประหลาด
นี่ถ้าคุณหลับท่านี้ รับรองตื่นมาปวดคอตาย
แล้วใครไปทำอะไรให้ ถึงได้เป็นงี้”  นายค้ำจุนถามกลับ ซึ่งผมได้คำตอบจากคำถามเขานี่แหละครับ นายคนนี้ไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นต้นเหตุให้ผมต้องนอนคุดคู้แบบนี้

“ก็คุณไง” ผมเฉลยและยืดตัวพลางพลิกนอนหงาย สบตากับเขาที่นอนคว่ำและเอียงหน้ามามองผม 
อ่านจากแววตาเขาแล้ว ไม่มีความรู้สึกผิดเจืออยู่เลยครับ ดูเขาสบายอกสบายใจที่ทำให้ผมอีดอัดได้ ใจหยาบจากเบื้องลึกจริงๆ ไอ้คนนี้!
“ก็คุณไง!!” ผมย้ำ รอบนี้ยันตัวขึ้นนั่ง เขาก็เลยต้องโก่งตัวขึ้นมานั่งตาม

“ผมทำอะไร?”

“ก็ห้องผมอ่ะ”

“ก็คุณชวนผมมานอนเอง
บอกแล้วไงว่านอนโซฟาก็ได้ แค่ต้องเปิดแอร์”

“ก็นี่แหละที่ต้องหงุดหงิด คุณใช้แอร์ 2  ตัว ที่ห้องรับแขก ที่ห้องคุณก็เปิดให้ไอ้ต้นไม้อีก แต่เวลาจ่ายหาร 2
ทำไมผมต้องมีส่วนในการจ่ายค่าไฟให้ต้นไม้คุณนอนด้วย”

“แค่นี้?
นี่นอนฮึดฮัดไม่ยอมหลับไปทั้งที่ก็ดึกมาแล้ว เพราะงกค่าไฟเนี่ยนะ”


“มันไม่ใช่แค่นั้นสักหน่อย
ผมไม่ได้งก
แต่คุณอ่ะ ทำให้ค่าใช้จ่ายเราเกินจำเป็น”

“...............” ฮึ คงอึ้งกับเหตุผลที่ไม่ว่าใครในโลกก็ยอมรับได้ล่ะสิ ผมเห็นเขาเงียบฟัง (คิดเอาว่าเขาฟังนะครับ) ก็เลยสร้างความน่าเชื่อถือต่อ

“ขายต้นไม้ได้กำไรเท่าไหร่ผมไม่รู้หรอกนะ แต่ผมก็ไม่เคยได้กำไรอะไรกับคุณด้วยซักหน่อย
ทำไมผมต้องจ่ายต้นทุนของต้นไม้พวกนี้ด้วยไม่ทราบ”

“งก”

“ไม่ได้งก” ผมเถียงคำจำกัดความที่เขายัดเยียด

“คุณมันงก
คิดเล็กคิดน้อย
คุยด้วยแล้วน่าเบื่อ
นอนได้แล้ว ผมง่วง”

“เอ้าเห้ย!
ผมนอนไม่หลับเวลามีคนอื่นอยู่ในห้องเว้ย”

“ทีคุณนอนห้องผม อาบน้ำบ้านผม ใช้ไฟบ้านผมเป่าหัวให้แห้ง กินข้าวบ้านผม ขี้บ้านผม เหยียบเอาดินทรายบ้านผมติดรองเท้ามาด้วย ผมคิดเล็กคิดน้อยอะไรมั้ยล่ะ?
แบ่งปันอ่ะ ไม่มีคำนี้ในพจนานุกรมส่วนตัวบ้างหรอ?”

“..........”

“ใจดำกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย
ช็อคว่ะ บอกตรงๆ”


ด่าจบก็นาบตัวนอนคว่ำ หันหน้าหนีไปในทางที่ไม่มีผมอยู่ในสายตาแล้วก็ไม่เคลื่อนไหวใดๆ ครับ
คือ....ยังไงวะ? สรุปแล้วผมต้องขจัดความอึดอัดเอาเองงั้นสิ นี่เขาจะไม่เอาตัวออกไปจากห้องผมจริงๆ หรอ?  สรุปแล้วเรื่องนี้ผมผิดเองที่คิดเล็กคิดน้อยสินะ อะไรวะเนี่ย?

ผมถอนหายใจ เอาตีนถีบเขาเบาๆ เพื่อส่งความไม่พอใจไปสู่ร่างกายเขาเสียบ้าง เผื่อว่ามันจะลดระดับความไม่พอใจในหัวผมลง แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามครับ หมอนี่สะบัดสะบิ้งตัวให้รู้ว่าก็ไม่พอใจเหมือนกัน แต่เขาก็ยังนอนอยู่นะครับ ไม่ได้ลุกไปไหน

ผมก็เลยถีบอีกรอบ ล้มตัวนอน ตะแคงหันหลังให้ ไม่รู้แล้วว่าเขาตอบโต้ผมยังไงบ้าง

จากที่คิดว่าคืนนี้คงไม่ได้หลับแน่ๆ เพราะอึดอัดเหลือทน ผมกลับค่อยๆ ง่วง หนังตาหนักขึ้นมาซะอย่างนั้น ผมคว้ามือถือมา หวังว่าจะอัพสเตตัสด่าเขาลอยๆ ยังไงเขาก็ไม่เห็นเพราะเราไม่ได้เป็นเพื่อนกัน แต่ยังไม่ทันได้กดโพสท์ ผมก็หลับไปทันที เปรียบไปก็ไม่ต่างจากกุ้งที่ถูกน็อกกลางอากาศ

Home*Mate

เช้านี้ผมตื่นสาย และพอตื่นสาย อะไรๆ ก็รีบ และเมื่อรีบ อะไรๆ ก็ช้า
ผมขยี้หัวแรงๆ ส่งท้าย ปิดไดร์เป่าผม ใส่แวกซ์จัดทรง  และเดินมาส่องโต๊ะกินข้าวที่ดูโล่งตากว่าปกติ ตั้งแต่อยู่กับนายค้ำจุนมา ผมมีมื้อเช้ากินเสมอเลยครับ เขาเคยแขวะว่าไม่อยากให้เสียของ ไหนๆ ก็ทำกินแล้ว ทำทานอีกหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้ ไม่มีทานมื้อเช้าจากความเมตตาของนายค้ำจุนครับ

สงสัยจะงอน
ตามใจแม่ง ในเมื่อเรื่องนี้ผมไม่ใช่คนผิด

ผมเปิดประตูดูในห้องนอนเขา ต้นไม้ใหญ่ที่ไม่สมควรจะมาอัดกันอยู่ในห้องแคบยืนกันอย่างไม่เป็นระเบียบรอบเตียงเขาเชียว
ผมว่าเราคิดถูกที่เมื่อคืนนี้ไม่มีมนุษย์หน้าไหนต้องมานอนรับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้นไม้ปล่อยออกมาสู่ห้องเล็กๆ  นี้
ม่านของห้องเปิดออกเพื่อให้แสงส่องเข้ามา แต่หน้าต่างกระจกยังคงถูกปิดเอาไว้
แล้วแบบนี้มันจะสดชื่นกันได้หรอ? ผมล่ะสงสัย
ก่อนออกไปทำงานด้วยกระเพาะโล่งโหวง ผมเปิดหน้าต่างในห้องนายค้ำจุนเพื่อให้ลมให้อากาศได้พัดผ่าน อย่างน้อยๆ ต้นไม้พวกนี้ก็ทนแค่ที่ที่แคบ ไม่ต้องทนร้อนไร้อากาศให้ฟอกทำความสะอาด

“หน้าบูดเชียว เมื่อวานเป็นไง” คำทักทายของยาดาทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า อาการหัวเสียของผมทำให้วันคืนดูยืดยาวกว่าวันปกติของคนอื่นเขา  นี่เมื่อวานผมเพิ่งจะมีความสุขสบายใจที่บ้านเขา แต่เรื่องดีๆ พวกนั้นก็ถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย เพียงเพราะผมหงุดหงิด พอรู้ตัวแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด แต่ผมก็ได้รับบทลงโทษที่หงุดหงิดไม่เข้าท่าแล้วนี่ครับ ก็ที่ไม่มีข้าวเช้าให้กินนั่นไง....

“ก็ดีตามยถากรรม”

“ตอบซะแก่” เพื่อนแซวเล็กน้อยแล้วก็ลากไปชงกาแฟในห้องครัวเล็กๆ ระหว่างที่รอให้กาแฟร้อนจัดกลายสภาพเป็นกาแฟอุ่น ยาดาก็ถามเพิ่ม
“เมื่อวานกลับถึงคอนโดกี่ทุ่มกันหรอ?”

“ไม่ดึกมาก”

“ก็น่าจะนอนพอนี่ แล้วทำไมวันนี้หน้าบูดมาแบบนี้ ปกติแกไม่ค่อยหงุดหงิดอารมณ์เสียนี่ เว้นแต่วันที่นอนไม่พอ”

“ก็....นะ” ผมลังเลที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนฟัง เพราะพอจะรู้เลาๆ แหละครับว่าเพื่อนจะเข้าข้างใคร

“คืออะไร ก็นะเนี่ย”

“ก็ ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไรเรื่องอะไร? เมื่อวานมีเรื่องที่ไม่มีอะไรและเรื่องที่มีอะไรล่ะสิ เล่ามาเลยเป”

“เออออออออ” ความต้องการระบายความหงุดหงิดและต้องการหาพรรคพวกทำให้ผมยอมเปิดเผยข้อมูล
“นายค้ำจุนของแกอ่ะดา กวนส้นตีน แม่งเปิดแอร์ให้ต้นไม้นอน ส่วนตัวเองก็มานอนเบียดกันอยู่บนเตียงกูเนี่ย
ไม่พอนะ ด่ากันว่างกอีกต่างหาก
และก็ทำตัวกวนตีน ข้าวเช้าก็ไม่ทำให้เผื่อ ปกติก็มีเผื่อให้ตลอด”

“อืม ตกลงแล้วเปไม่พอใจคุณค้ำจุนเรื่องอะไร กันแน่
เขาเปิดแอร์ให้ต้นไม้ หรือมานอนเบียด หรือไม่ทำข้าวเช้าไว้ให้”

“ทุกเรื่อง” ผมตอบชัดเจนแล้วก็ยกกาแฟขึ้นดื่มอึกใหญ่ และน้ำร้อนบ้าบอนี่แม่งก็แข็งขืนต่อโลกเหลือเกิน มันไม่ยอมอุ่นเสียทีครับ ลิ้นชาไปแล้วเรียบร้อย

“แล้วคุณค้ำจุนทำอะไรผิดหรอ เอาจริงๆ เรายังไม่เห็นมีอะไรเสียหายกับเป หรือกับห้องเลยนะ หรือว่าต้นไม้ใหญ่มาก”

“ก็ไม่ได้สูงเกินแบกหรือเกินฝ้าห้องหรอก แต่ดา...แกคิดดิ นี่มันห้องคนอยู่ จู่ๆ ก็แบกต้นไม้ขึ้นมาเก็บ เปิดแอร์ให้พวกมันซะเย็นฉ่ำ แล้วตัวเองมานอนเบียดคนอื่นเขาอ่ะ”

“คนอื่นที่ไหน ก็เปไง คุณค้ำจุนกับเปก็เหมือนเพื่อนกัน”

“โนๆๆๆๆๆ” ผมรีบปฏิเสธทันทีครับ สถานะนี้ผมไม่แอพพรูฟ
“ไม่เพื่อนอ่ะดา ก็แค่คนเช่าห้อง”

“แต่ก็อยู่กินกัน” เพื่อนคนนี้ก็ยังจะยัดเยียดสถานะแปลกระหว่างผมกับนายค้ำจุนมาให้ ซึ่งคำที่ใช้ก็ล่อแหลมเหลือเกินครับ

“ไม่อยู่กินกันดิดา”

“อ่ะๆ รูมเมทเป็นไง”

“ก็ไม่เชิง เออ ทำนองนี้ก็ได้” ผมยอมอ่อนข้อให้เพราะกลัวยาดาลากไปซื้อพจนานุกรมมาเปิดหาคำศัพท์ เพื่อนผู้หญิงที่สนิทของผมปลอบประโลมผมด้วยคำไม่รื่นหู ไม่เข้าข้างกันแต่อย่างใด เอาจริงๆ เหมือนมันด่าผมแบบเบาๆ มากกว่า พอสาแก่ใจแล้วก็พากันกลับไปเริ่มทำงานเสียที

“น้องเป” 10 นาทีเร็วกว่า 10 ปีแสงสำหรับผมครับ ยังวางแผนงานตัวเองไม่เสร็จสิ้นปี หัวหน้าก็เรียกหา ผมยืดคอไปสบตา แกก็สั่งงานเพิ่ม พิธีรีตองไม่ต้องมีหรอกครับ เปลืองโควต้าการใช้มารยาท
“ลูกค้าใหม่เรียกไปเสนองาน เปรับไปนะงานนี้ จริงๆ ก็ไม่ใหม่สำหรับเปหรอก”

“อ่อ ได้ครับ” ตอบรับไปทั้งที่ใจยังงงครับ หัวหน้าคงอ่านสีหน้าออกเพราะทำงานกันมาหลายปี แกหัวเราะอย่างครึ้มอกครึ้มใจอยู่คนเดียวก็อธิบายเพิ่ม

“บริษัทคุณนิทัศน์”

“เอ้า!!! โห เปดูแลให้เองครับ ดีลนี้” ผมรับคำหน้าชื่น และก็หน้าบานกว่าเดิมเมื่อหัวหน้าจัดทีม

“กับยาดาก็แล้วกัน น่าจะเข้าคู่กันได้ดี”

“คร้าบบบ / ค่า”

จากที่อารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเมื่อเช้า วันนี้ผมกำลังกลับคอนโดด้วยอารมณ์ดีอย่างยิ่งเลยครับ ได้ดูแลบริษัทพี่ทัศน์ก็เหมือนกลับบ้านเก่านั่นแหละ เออ เดี๋ยวพรุ่งนี้โทรหาแกหน่อยดีกว่าว่าทำไมไม่บอกกันหน่อยเลยว่าหาพีอาร์เอเจนซี่อยู่ คนกันเองขนาดนี้ หลานเขาก็อยู่กินกับผม....อืมมม เอาใหม่ หลานเขาก็อยู่ด้วยกันกับผม อืมมมม เออ ช่างมันเถอะ ยังไงก็หมายความถึงนายค้ำจุนที่อยู่ร่วมห้องเดียวกับผมนั่นแหละครับ

พูดถึงนายค้ำจุน ไม่รู้ว่ารู้เรื่องนี้ด้วยรึเปล่า ถ้ารู้อยู่แล้วนี่ต้องขอเตะปากหน่อยนึง หนักอยู่ทำซากอะไร

ผมครึ้มอกครึ้มใจมากจนโทรศัพท์หาเขาเลยครับ ปกติแล้วเราติดต่อกันน้อยมาก ไลน์คุยกันไม่บ่อย ส่วนมากถามเรื่องอาหารการกินและตกลงค่าใช้จ่าย

“เฮ้ยคุณ ผมเอง” ผมส่งเสียงทักทาย ขาก็เดินเนิบๆ ตามทางเชื่อมไปบีทีเอสกลางเมืองที่คนจะแน่นโคตรๆ ถ้าผมออกจากออฟฟิศช้ากว่านี้อีก 5 นาที

“อะไรอีก” เขาตอบมาแบบนี้ครับ แต่แค่เพียงคำสั้นๆ ผมก็ขุ่นขึ้นโดยไม่ต้องเป็นน้ำในโคลนที่โดนส้นตีนกวนไปมาได้ครับ นายเปลผู้ระดับอีคิวสูงลิบลิ่วผู้นี้ก็ได้แค่หัวเราะเอ็นดูความกวนส้นตีนของปลายสาย แล้วก็ตอบไปด้วยอารมณ์ที่ยังคิดอยู่ว่าดี

“เห้ย เป็นอะไรเนี่ยคุณ มิตรสหายอุตส่าห์โทรหานะ
เย็นนี้กินอะไร เดี๋ยวผมซื้อเผื่อ
ไม่คิดตังค์หรอก เลี้ยงๆ ผมอารมณ์ดี”

“มากหรอ?” เขาถามกลับมาสั้นๆ อีกแล้ว

“อื้มมมมมมมมมมมมม” สั้นมายาวกลับครับไม่โกง

“เก็บเงินที่จะเลี้ยงข้าวผมไปจ่ายค่าไฟเถอะ เดือนนี้มันคงจะแพงขึ้นสองสิบยี่สิบสตางค์แหละ เพราะต้นไม้มันใช้เปลือง” แล้วก็วางสายครับ

ไอ้เวรค้ำจุน ไอ้กวนส้นตีน ไอ้เลววววววว

จากที่อารมณ์ดีก็กลับมาบูดอีกแล้วครับ บูดมาก บูดที่สุด บูดจนเริ่มวางแผนฆ่าต้นไม้ต่อหน้าต่อตาไอ้ค้ำจุนเพื่อให้มันใจขาดเป็นวิ่นๆ แล้วตายลงตรงหน้าผมเลย นี่ผมลดตัวขนาดไหน ยอมให้ทั้งยาดา วราห์และพี่ทัศน์คิดว่าผมเป็นเพื่อนกับมัน ทั้งที่ผมเหนือกว่าตั้งมาก ผมเป็นเจ้าของสินทรัพย์นะเว้ย เขาก็แค่คนขออาศัย มีสิทธิ์อะไรมากวนตีนใส่ผมแบบนี้!!!!

“เฮ้ย เป เป็นอะไร” ยาดาที่เดินตามมาทันทั้งที่ออกจากออฟฟิศทีหลังผมสะกิดกันแรงๆ ด้วยการชกที่ไหล่ครับ พอผมหันไปมองหน้า เพื่อนก็ซีดลงพร้อมกับลูบไหล่เป็นการขอโทษเพราะคิดว่าผมหน้าบูดเพราะเจ็บจากแรงชกเมื่อครู่

ผิดแล้วเพื่อนเอ๋ย หมัดเจ้านกน้อยตัวเท่านั้นไม่กระเทือนมัดกล้ามของเพื่อนผู้แข็งแกร่งอย่างเราหรอก

“เฮ้ยดา ทำยังไงให้ไอ้ค้ำจุนออกไปจากห้องเราแล้วไม่ผิดกฎหมายบ้าง”

“ไอ้บ้าเป ทำไมคิดแบบนี้?” ถามหาสาเหตุมาก็ดี ผมจะได้มีเพื่อนช่วยคิด แผนจะได้รอบคอบ รัดกุม และผมไม่มีมลทินติดตัว

หลังจากเล่าพฤติกรรมย่ำยีอารมณ์ให้ยาดาฟังแล้ว เพื่อนคนนี้สรุปเพียงว่า “ก็แค่งอนกันน่า กลับห้องไปง้อ เดี๋ยวก็หายงอนกันและกันแล้วแหละเป ไม่ต้องคิดมาก”

ขอโทษนะยาดา หน้ากูมีรูขุมขนไหนชูป้ายไม่สบายใจเพราะใช้สมองมโนเยอะเกินไปงั้นหรอ?
เพื่อนไม่เข้าใจผมเลย ไม่มีใครเข้าใจผมเลย! 

ผมแยกกับยาดาเพราะไม่อยากอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ จริงๆ แล้วไม่มีต่อมอารมณ์ไหนอยู่ในภาวะมองโลกเชิงบวกแล้วครับ ผมแบกใบหน้าบึ้งบูดขึ้นบีทีเอส จับจ้องไปที่ใดก็ได้ที่ไม่สบตากับใครให้กลายเป็นประเด็นมองหน้าหาเรื่อง สูดลมหายใจเข้าออกแรงนิดหน่อยแต่ก็ยังไม่ถึงขึ้นทำให้เส้นผมของน้องนักเรียนที่ยืนอยู่ด้านหน้ากระจุยกระจาย

โหนอารมณ์อยู่พักนึงก็ถึงสถานีปลายทางคอนโดผมแล้วครับ
คิวมอเตอร์ไซค์ยาวไป กูไม่รอเว้ย!
ผมเดินเข้าคอนโด ซึ่งวัดจากปลายบันไดบีทีเอสถึงโครงการก็แค่ 400 เมตร ระยะเท่านี้กระจอกมากครับ เข้าตัวตึก เข้าลิฟท์ เดินมุ่งหน้าเข้าห้องมาตามทางเดินด้วยอารมณ์คุกรุ่น คิดเอาไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะเจอต้นไม้หรือเจ้าของต้นไม้ พวกมันต้องโดนทำลายล้างงงงง!!!

ปึ่ก ผมผลักประตูเข้าห้องหลังจากสัญญาดิจิตอลดอลล็อคส่งเสียงตอบรับรหัสผ่าน
สิ่งที่เห็นทำให้ความเดือดดาลพุ่งถึงขีดสุดครับ มันจะพีคไปถึงไหนวะเนี่ย!!!
ที่โล่งๆ ของห้องรับแขกกลายเป็นป่าไปแล้วครับ ต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ อะไรวะเนี่ย!

“เฮ้ย ทำอะไรน่ะคุณ” ผมกรรโชกเสียงถาม เดินเบี่ยงตัวหลบต้นไม้สูงไปยื่นหน้าเข้าเขตห้องนอนนายค้ำจุนครับ และไอ้ห้องนี่ก็ไม่ได้มีพื้นที่เพิ่มเลย ทั้งที่ต้นไม้ที่ยกออกไปวางที่ห้องรับแขกก็เยอะมากแล้ว
“ถามว่าทำอะไร?” ผมเค้นเสียงเข้ม แต่คนในห้องไม่พูดอะไร เขาพยักพะเยิดกับเพื่อนเขา ซึ่งก็คือนายต้นสน เพื่อช่วยกันพยุงต้นไม้ เขากำลังเคลื่อนย้ายพวกมันงั้นหรอ? ผมว่าไม่ใช่แล้วแหละ
“จุน คุณทำอะไร ผมถาม ไม่ได้ยินหรอ?”

“ได้ยิน”

“ก็ตอบดิวะ”

“ไม่ตอบ รำคาญคนใจคับ”

“แคบด้วยมึง คับแคบ พูดให้มันจบๆ”

“เสือกจะต้องสอนภาษาไทยกูตอนนี้หรอไอ้ต้น”

สงสารนายต้นสนที่สอนภาษาไทยไม่ถูกจังหวะจังครับ แต่ผมไม่มีแก่ใจปลอบใครหรอก ผมต้องการคำตอบจากนายค้ำจุน

“คุณทำอะไรเนี่ย ห้องรกไปหมดเลย”

“เรื่องของผมเถอะน่า เอาว่าค่าน้ำค่าไฟเดือนนี้ผมจ่ายเอง สมเหตุสมผลกับคนหน้าเงินอย่างคุณแล้วก็ถอยไป อย่าเกะกะ เดินเบาๆ ด้วยล่ะ ขี้เกลือร่วงจะลำบากแม่บ้าน”

“เฮ้ย! มันจะมากไปแล้วนะ”

“เทียบกับอะไร? ค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพื้นสึกหรอ ค่าอะไรอีกดี ค่าเสื่อมหลอดไฟ ค่าฝุ่นละอองเกาะม่าน ค่าอะไรอีก คิดมาให้หมดดิ คิดมาเลย!!!”

“ไอ้ค้ำจุน!!” ผมไม่เคยขึ้นไอ้อีกับเขาทางวาจาเลยครับ ไม่เคยถลกแขนเสื้อเชิ้ตพร้อมต่อย ไม่เคยปลดกระดุมเสื้อพร้อมชกใส่เขาแบบนี้เลย

ทั้งค้ำจุนและต้นสนดูจะตะลึงกับท่าทีของผมมาก สงสัยไม่เคยเห็นคนโกรธจัด แต่ผมคิดว่าผมสมควรโกรธเพราะเขาจงใจขยี้ยั่วอารมณ์ผมสุดๆ ต้นไม้พวกนี้เป็นพยานได้ เข้ามาสิวะ วัดกันสักหมัด ยังไงก็ต้องเจ็บทั้งคู่นั่นแหละ ใครมากกว่าน้อยกว่าค่อยว่ากันอีกที

“เฮ้ยเป ใจเย็นๆ ดื่มน้ำก่อนมั้ย เนี่ย เราซื้อน้ำเก๊กฮวยมาด้วย เจ้านี้อร่ยอใส่น้ำตาลน้อยด้วยนะ ดีกับสุขภาพ”

“ขวดละ15 บาท จะกินก็วางเงินไว้ด้วย” เขายังไม่หยุดครับ

“บ้าหรอไอ้จุน
กินได้เลยเป ฟรีๆ จริงๆ ผมซื้อมาเอง
มาเยี่ยมห้องเปก็ต้องมีของฝากเจ้าของห้องอ่ะเนอะ
ช่วยกันคิดกับไอ้จุนนี่แหละว่าเปน่าจะชอบ”

“ไม่ต้องพากูไปดาวตอแหลด้วยไอ้ต้น กูไม่รู้ไม่เห็นอะไร ไม่ได้เลือก ไม่ได้หวังดีกับคนงกหน้าไหนทั้งนั้น”

“คำก็งก สองคำก็งก ผมไปงกใส่คุณตอนไหนวะ?”

“คุณงกใส่ต้นไม้ไง จิตใจทำด้วยอะไร มันฟอกอากาศให้โลกนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจากสิ่งมีชีวิตไหนเลย คุณก็ไปติดต้นทุนค่าแอร์กับมัน เนี่ย ไม่เรียกงกแล้วเรียกอะไร”

“โอ้ย มันฟอกอากาศตามธรรมชาติอยู่แล้วมั้ยล่ะ มันเป็นวิถีดำรงชีพของต้นไม้เว้ยคุณ และที่ผมต้องพูดเรื่องค่าใช้จ่ายขึ้นมาเพราะคุณเอามันมาอยู่แบบผิดธรรมชาติต่างหาก คิดหน่อยสิโว้ย!”

“คิดแล้วสิวะ ถึงได้ถามหาน้ำใจจากคุณไง แต่แม่งก็ไม่มีเลย คนบ้าอะไรเนี่ย งกอากาศกับต้นไม้”

“ผมไม่ได้งกอากาศกับต้นไม้นะเว้ย พูดให้รู้เรื่อง ผมไม่ใช่เจ้าของอากาศเสียหน่อย ผมจะงกจะหวงในสิ่งที่ไม่ใช่ของของผมได้ยังไง ผมไม่ได้บ้านะ”

“อ้อหรอออออ!!”

“ก็เอออออออออออสิ!!!”

แล้วก็แข่งกันหอบครับ  นายต้นสนทื่ยืนตรงกลางฟังเราทั้งคู่อุดหูไปแล้วเรียบร้อย ผมแน่ใจว่าเสียงของเราทั้งคู่น่าจะดังไปถึงนอกห้อง น่าจะเข้าผนังห้องและเข้าหูเพื่อนข้างห้อง ในกรณีที่มีคนอยู่ในห้อง แต่ระหว่างที่หอบรอหายเหนื่อย ก็ไม่มีผู้เดือดร้อนท่านใดมาเคาะห้องด่า ผมเท้าเอวเตรียมเถียงกับเขาอีกยก แต่นายต้นสนกลับกางมือห้ามเราทั้งคู่

“พอเลยทั้งคู่
ไม่มีใครด่าใครแรงเกินเบอร์เลยจริงๆ
ไอ้จุน มึงไม่ได้พูดอะไรผิด แต่เปก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเหมือนกัน
มันเป็นเรื่องของต้นไม้ ซึ่งมึงฝืนเอาขึ้นห้องเอง มึงควรพูดกับเขาดีๆ ด้วย
ไม่ใช่เพราะเขาเป็นเจ้าของห้อง เพราะมึงก็ถือว่าเป็นเจ้าของห้องชั่วคราวด้วยเหมือนกัน แต่ที่อยากให้พูดดีกับเขาด้วย เพราะว่าเขาต้องร่วมเดือดร้อนไปกับมึงและต้นไม้ของมึง ทั้งที่เขาไม่ได้มีส่วนได้เสีย”

“แต่”

“ฟังกูให้จบเลย
ถ้าเขางกเกินเรื่องเกินราวจริงๆ เขาเตะมึงออกจากห้องไปแล้ว ไม่ช่วยมึงยกต้นไม้ขึ้นห้องเมื่อเย็นวานหรอก เขาแบ่งเตียงให้มึงนอนนั่นอีก ได้พูดขอบคุณเขารึยังล่ะ? ก็ยัง
เพราะอะไร เพราะมัวแต่ดับหูนอน แล้วสรรพสิ่งเสียงมันจะเข้าหัวมึงได้ยังไง ความจริงจะไปสะกิดแก้วหูมึงได้ยังไงล่ะว่ามึงเอาแต่ใจตัวเองเกินเหตุ”

“ก็”

“มึงนั่นแหละไม่เปิดหูเปิดตาเปิดใจอะไรเลย
ใครเขาแตะต้นไม้เข้าหน่อยก็โวยวาย แค่ไม่เป็นไปตามที่มึงคิดเอาไว้ก็ใช่ว่ามันเป็นเรื่องผิดพลาดมั้ยวะ
มึงรู้มั้ยเนี่ยว่าใครเปิดหน้าต่างห้องมึงเอาไว้เพื่อให้อากาศเข้า”

“ก็มึงไงไอ้ต้น”

“เปล่า กูขึ้นมาก่อนมึงเพราะปวดเยี่ยวมากกว่า พอกูจะไปเปิดหน้าต่างตามที่มึงพูดว่าห่วงอยู่ทั้งวันกรอกหูกูเนี่ย กูก็เห็นหน้าต่างเปิดอยู่แล้ว
ถ้ามึงห่วงอยู่ตลาดทั้งวันกับการลืมเปิดหน้าต่างให้ต้นไม้ มึงก็ต้องกราบเขาเลยล่ะ
มึงไม่ได้เปิด แล้วหน้าไหนจะมาเปิดให้ ถ้าไม่ใช่เป”

“ก็....เออ
คุณ เปิดไว้ให้หรอ” นายค้ำจุนหันมาถามผมดีๆ ริ้วความเจ็บแค้นหายไปจากสายตาแล้วครับ

“อืม พอดีเวลาเหลือเพราะไม่ต้องใช้เวลากินข้าวเช้า เลยถือวิสาสะไปดูในห้อง แล้วก็เปิดไว้ให้”

“ขอบคุณนะ”

“ก็เท่านี้!” นายต้นสนอัดเพื่อนด้วยวาจาอีกรอบ
“เปก็ กินน้ำเก็กฮวยได้นะ ชอบไม่ใช่หรอ ตอนไปโรงเรือนไอ้นี่ก็ชอบนี่นา ที่จุนช่วยแม่มันต้มน่ะ”

“อ้อ....อืม
ขอบคุณนะ” ผมขอบคุณลอยๆ ไม่ได้มองนายค้ำจุนอีกรอบ จากนั้นก็เดินเข้าห้องตัวเอง เพื่อคิดทบทวนดูว่าผมใจร้ายกับต้นไม้เขาขนาดนั้นหรอ ผมงกจนต้องโดนด่าขนาดนี้เลยหรอ คำตออบก็คือ งกนิดหน่อย ใจร้ายก็นิดเดียว จริงๆ ก็ไม่ได้งก ไม่ได้ใจร้าย แค่ไม่ได้บอกสิ่งที่คิดทั้งหมด ก็เท่านั้น

เมื่อคืนนี้ ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับต้นไม้เลยสักนิด แค่ไม่ชินกับการมีคนอื่นนอนร่วมห้อง แล้วก็พาลหงุดหงิด พาลอ้างเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้ป่าดงดิบข้างนอกห้องนอนนั่นอยู่กับเราไม่กี่วัน

และการมีคนอื่นในห้องนอน บนเตียงนอน ก็แค่ทำให้อึดอัด ไม่ได้ทำให้ตาย

ผมออกจากห้องอีกครั้งตอนจะไปอาบน้ำ เห็นอีก2คนเช็ครายการอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้สนใจครับ นายต้นสนทักถามว่าผมจะอาบน้ำหรอ เดี๋ยวเขาก็จะกลับแล้ว ขอโทษที่รบกวนจนดึก ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่ยิ้มให้เท่านั้น จริงๆ คือหิวข้าวครับ แต่ไม่ได้ซื้ออะไรเข้ามากินและก็ไม่อยากเสียฟอร์มคุ้ยหาของกินในตู้เย็น

อาบน้ำเสร็จก็เข้าห้อง ปิดไฟนอนทั้งที่เพิ่ง 3 ทุ่มกว่าเท่านั้น
หลอกอะไรก็หลอกได้ หลอกร่างกายตัวเองไม่ได้ครับ ปิดตายังไงก็ไม่หลับเสียที ผมก็เลยนอนเล่นมือถือ  ผ่านไปสัก20 นาทีก็มีเสียงเคาะประตูห้องนอน

ผมเปิดไฟและเปิดประตู เห็นนายค้ำจุนที่น่าจะเตรียมตัวอาบน้ำ เพราะเห็นมีผ้าเช็ดตัวพาดบ่า

“นอนแล้วหรอ?”

“ก็ อืม”

“ผม ขอโทษอีกทีละกัน”

“ไม่เป็นไร ช่างแม่งมันเหอะ”

“ยังไม่หายโกรธอ่ะดิ ก็อย่างที่ไอ้ต้นด่านั่นแหละ ผมหัวร้อนไปจริงๆ
ขอบคุณนะที่ให้นอนด้วยเมื่อคืน ไม่งั้นผมคงขาดใจตายเพราะไม่มีอากาศหายใจแน่ๆ”

“ผมรู้ กลางคืนต้นไม้มันคายคาร์บอนไดออกไซด์
แล้ว คืนนี้คุณจะนอนยังไง เหมือนมันเยอะขึ้นด้วยนี่ ต้นไม้น่ะ มันแตกตัวขยายพันธุ์เร็วขนาดนี้เลยหรอ”

“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่ๆ
วันนี้ไปเอามาเพิ่มน่ะ
ลูกค้าสั่งเยอะ ขนมาวันเดียวไม่หมด รถผมไม่ใช่รถบรรทุกอ่ะเนอะ”

“อ่อออ....งั้น....”

เห้ย! ผมกำลังจะชวนเขานอนที่ห้องอีกคืนอ่ะ เกิดอะไรกับจิตใจหยาบช้าขี้เอาแปรียบของผมกันเนี่ย?

พอยั้งปากตัวเองทัน ผมก็เตรียมปิดประตูห้องนอนอีกรอบ แต่นายค้ำจุนเอามือดันเอาไว้ก่อนครับ เขาจ้องผมตาไม่กระพริบ เม้มบดปากตัวเองอยู่ 2-3 รอบ แล้วก็เอ่ยออกมาในที่สุด

“ขอนอนด้วยอีกคืนนะคุณ”

มาเลยเพื่อนชาย....คิดว่าผมจะตอบทำนองนี้หรอครับ คิดผิดอย่างบัดซบมากครับ
ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่ก้มหน้ากระแอมไอ เงยหน้ามองผ่านจุดสบตาของเราไป และก็พยักหน้าอนุญาต

“ขอบคุณนะจุน” รอบนี้ไม่มาแค่ภาษาพูดครับ ภาษากายก็มา ในรูปแบบการใช้หลังมือเคาะแก้มผม ส่งยิ้มมุมปากและเดินผิวปากไปตามซอกหลืบต้นไม้เพื่อไปอาบน้ำ

ไอ้เหี้ยค้ำจุน!!
นี่มันแก้มอันบริสุทธิ์จากมือชายใดของกู!!!


Cut


โอ้ยยย หายไปเกือบสองเดือน ป่วยด้วย งานรุมด้วย อารมณ์ไม่มาด้วย หลายเหตุเลยค่ะ
แต่ยังไงก็มาแล้ว ตามอ่านกันข้ามปีอีกเรื่องนะคะ ^o^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2018 21:57:35 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เกือบไปแล้ว 5555555555555555

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
โธ่ เรานึกว่าหอมแก้ม เสียดาย

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
เอิ่มมมม เอาจริงนะตอนแรกเรานี่ก็คิดเลยว่านิสัยคิดเล็กคิดน้อยของเปนี่เกือบเข้าข่ายเหมือนเห็นแก่ตัวเลยอ่ะ แล้วก็งงพฤติกรรมหลายๆอย่างของเป ตอนไปบ้านค้ำจุนก็ยังนอนร่วมห้องกันได้ พอกลับมา ไหงกลายเป็นแบบนี้  :hao4:
คนนิสัยอย่างนี้อยู่กับคนอื่นลำบากแน่ โดยเฉพาะเรื่องความงกที่ค้ำจุนพูด การแบ่งปันที่ค้ำจุนทำมาตลอดนี่แทบหมดความหมายในความคิดเราเลยอ่ะ กับ ประโยคนี้ของเป "ขายต้นไม้ได้กำไรเท่าไหร่ผมไม่รู้หรอกนะ แต่ผมก็ไม่เคยได้กำไรอะไรกับคุณด้วยซักหน่อย ทำไมผมต้องจ่ายต้นทุนของต้นไม้พวกนี้ด้วยไม่ทราบ" บางครั้งคำพูดที่ออกมาก็ทำร้ายจิตใจคนอยู่ร่วมกันเกิ้นนน  แต่พอ มาฟังที่ต้นอธิบาย ก็นะ เข้าใจเปมานิดหนึ่ง  :mew2: 

กว่าจะเข้าใจกันได้นี่เราว่ายังอีกยาวววว ถ้าไม่ใช้ค้ำจุนนี่ก็คิดแล้วว่าเปอยู่กับใครไม่ได้หรอก (เอาตอนดีๆหวานๆของตอนที่แล้วมาอ่านอีกรอบ 555555555)


ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ค้ำจุนกวนตีนเป ให้น้อยๆ หน่อยนะ สงสาร เรารู้ว่านายชอบแกล้งกะนะถ้าไม่รักจะใส่ใจหาเรื่องใกล้เหรอ อิอิอิ
ตอนนี้โดนต้นสนแย่งซีนไปซะ สมๆ ทั้งคู่เลย อิอิอิ
 :really2: :really2: :really2:

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
HomeMate
Casting: Jun x Pae
Writer: Kajidrid

Home*Mate [13]



ถ้าผมรู้ว่าเจ้าเหล่าต้นไม้ที่มาหนาแน่นในห้องผม 2 วัน 2 คืน มีมูลค่า 5 หลักปลายๆ แล้วล่ะก็ ผมจะดูแลมันให้ดีกว่านี้ มีส่วนร่วมมากกว่านี้จริงๆ ครับ ให้ตายเถอะ ไอ้คนขายก็ไม่บอกกันเสียบ้าง

เย็นวันอังคารหนึ่งของปี ผมขอหัวหน้ากลับก่อนเวลาเพื่อไปร่วมเหตุการณ์ซื้อขายต้นไม้ที่ผมไม่รู้แม้แต่ชื่อของพวกมัน

สาเหตุที่สละตนขนาดนี้ก็คือตัวเลขเกือบ 6 หลักที่จะได้จากการขายต้นไม้นี่แหละครับ ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันจะราคาสูงขนาดนี้

เย็นวันนี้ ผมทิ้งยาดาไว้กับกองงานของเธอครับ ไม่รู้สึกผิดบาปอะไรอยู่แล้วเพราะนั่นมันงานยาดา ไม่ใช่งานผม ผมเคลียร์งานของผมหมดแล้ว บ่าย 4  โมงเท่านั้นที่ผมเด้งตัวออกจากออฟฟิศ เสียงสะท้อนจากการสนทนากับนายค้ำจุนเมื่อคืนนี้ยังดังก้องไปมาในห้วงความคิด

ขอบคุณคุณอีกทีนะ บลา บลา บลา เกือบแสนที่จะได้ ผมจะเอาไป บลา บลา บลา คงรู้ใช่มั้ยครับว่าข้อความไหนที่ฝังหัวผมแน่นและนานข้ามคืนขนาดนี้

เมื่อเช้า ผมถามย้ำเขาใหม่ ก็ยังเป็นตัวเลขเดิมครับ ผมก็เลยขออยู่ในเหตุการณ์ด้วย แม้เขาจะบอกว่ามีนายต้นสนเป็นพยานการซื้อขายอยู่เป็นประจำแล้วก็ตาม

เงินเกือบแสน มันต้องขอเห็นกับตากันหน่อยครับว่าไอ้ต้นไม้ใบเขียวพวกนั้นเสกสรรค์ให้ได้จริงๆ

ผมประดิษฐ์สถานการณ์ที่อาจจะได้เห็นขึ้นในหัวระหว่างการเดินทาง แม้การเดินทางจะไม่ได้ร้างผู้คนแต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความจดจ่อของตัวเองครับ แน่นอนว่าจดจ่อกับเรื่องเงินนี่แหละ ไม่นานเกินความคิดจะวิ่งไปไกลถึงหลักล้าน ผมก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ทางออกที่ 2 ของสถานีรถไฟใต้ดินกำแพงเพชร ระยะทางราว 200 เมตรข้างหน้า มีเงินเกือบแสน เอ้ย! นายค้ำจุนรออยู่ครับ

ผมโทรหาเขา บอกว่ามาถึงแล้ว เขาก็บอกให้รอที่สถานีรถไฟใต้ดินครับ เพราะเขานัดรับลูกค้าจุดนี้เหมือนกัน

หันรีหันขวางอยู่ไม่นานก็มีเพื่อนร่วมรอครับ เป็นใครก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พอบังเอิญสบตา ผู้ชายคนนี้ก็ยิ้มให้ ผมเลยพยักหน้าพลางส่งยิ้มกลับ

“คุณ” เสียงนายค้ำจุนไม่ผิดหรอกครับ นอนคุยกันเมื่อคืนอย่างยาวนาน หูผมไม่มีทางพลาดแน่นอน

“อื้อ คุณ” ผมทักกลับ หันหาอย่างมั่นอกมั่นใจ เมื่อสบตากันก็ยิ้มให้อย่างสดใส หุหุหุ ขอกูดูเงินเกือบแสนหน่อยเถอะวะ

“แป๊บนะ โทรหาลูกค้าก่อน” เขาบอกพลางกดโทรศัพท์ เมื่อแนบหูรอสาย เสียงเรียกเข้าของชายแปลกหน้าก็ดังขึ้น พวกเรา 3 คนสบตากันเพื่อปรึกษาหารือ ชายคนนั้นรับสาย ส่งเสียงทักว่าสวัสดีครับ นายค้ำจุนตัดสายและทำความรู้จักกับชายคนนั้นทันที

“คุณปาล์ม ใช่มั้ยครับ”

“ครับ คุณค้ำจุนใช่มั้ย?”

“ครับ
อ่อ...นี่เพื่อนผมครับ เปล”

“อ่อครับ ยินดีที่รู้จักทั้งคู่เลย ไปร้านกันเลยมั้ยครับ?”

“ครับ” ทั้งหมดทั้งมวลการสนทนาที่เกิดขึ้นผมไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ แต่ก็เดินตามพวกเขาไปตามกลิ่นเงินตรา 

คุณๆ ทั้งหลายครับ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
นายค้ำจุนได้รับเงินค่าต้นไม้ทั้งหลายเหล่านั้น เป็นจำนวน 8x,xxx บาท นี่เขาลดให้ลูกค้าหน้าตาเกือบดีเท่าผมไปด้วยนะครับเนี่ย
อะไรมันจะหาเงินได้เยอะในเวลารวดเร็วแบบนี้วะเนี่ย
คุณลูกค้าชื่อปาล์มยังไม่จากไปครับ เขามาตรวจของก่อน เช็คนั่นนี่ว่าตรงตามที่ตกลงซื้อขายกันไว้ ระหว่างนี้เราก็รอครับ รอให้รถของคุณลูกค้ามาโกยต้นไม้พวกนี้ไป

ระหว่างที่รอกันนี้ นายค้ำจุนก็จัดร้านเขาไปด้วย เนื่องจากนายต้นสนมาถึงพร้อมกับไม้เล็กไม้น้อยที่ราคาไม่สมขนาดสักพักนึงแล้ว
พวกเขาพูดคุยเรื่องต้นไม้กันต่อ มีการอัพเดทเทรนด์ปีหน้า ว่าตลาดต้นไม้ไปบูมที่สายพันธุ์ไหน ทำนองนี้แหละครับ ซึ่งแน่นอนว่านายค้ำจุนไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงเรื่องข้อมูลหลุดเข้าหูผมแล้วจะทำให้เทรนด์เปลี่ยน เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรที่พวกเขาพูดกันเลยครับ สักพันธุ์ก็นึกภาพไม่ออก

“แล้วรอบต่อไป ลงตัวไหนครับ” ลูกค้ากระเป๋าหนักถามพ่อค้าทั้ง 2 แต่ก็ไม่ลืมเผื่อแผ่รอยยิ้มเป็นกันเองมาให้ผม 

“ก็ไม้ไทยเหมือนเดิมแหละครับ จะเน้นพุ่มเตี้ยแล้วก็พวกไม้มงคล แต่ก็กำลังดูๆ พวกไม้โขดอยู่ ตลาดจัดสวนโตจริงๆ คุณยังมองออก และดั้นด้นหาแหล่งจนเจอเราเลย” พ่อค้านามว่าค้ำจุนตอบครับ คนไม่รู้เรื่องอย่างผมยังสัมผัสได้ถึงชั้นเชิงไอ้หมอนี่

“อื้อ โตจริงๆ ครับ ผมยังรับทุกงานไม่ไหวเลย
ถ้าไงก็อัพเดทกันด้วยนะครับ เพจไม่ค่อยเคลื่อนไหวเท่าไหร่เลย ดีว่าคุณต้นสนรับสาย ไม่งั้นคงไม่ได้เจอสวนคุณค้ำจุน”

“ครับ จริงๆ เรียกจุนกับต้น ก็ได้ ผมเองก็ไม่ค่อยชินเวลาใครเรียกชื่อเล่นเต็มยศ มันดูไม่เรียกเล่นๆ เท่าไหร่” นี่น่ะหรอเรื่องที่นายค้ำจุนเอาไว้ตกลูกค้า มุกห่าอะไรวะไม่เห็นตลก หรือจะโชว์ความถ่อมตัว คนไทยชื่อเล่น 2 พยางค์มีตั้งเยอะไป

“อ่อ ครับ
ผมชื่อปาล์มเฉยๆ พอมาเริ่มรับงานออกแบบสวน คนก็คิดว่าชื่อต้นปาล์ม นี่ถ้าผมเป็นนักค้าน้ำมัน ก็คงได้ชื่อเล่นว่าน้ำมันปาล์ม”

ฮ่าๆๆๆๆๆๆ นี่ไม่ใช่เสียงหัวเราะในหัวผมนะครับ พวกเขาเข้าใจมุกกันและกันแล้วก็พากันขำครับ แหม พอมีกลิ่นเงินเกือบแสนโอบล้อมบรรยากาศ อะไรๆ ก็ดูดีไปหมดแหละครับ

“อื้อ น่าจะคันสุดท้ายแล้วครับ” เมื่อคนงานของนายต้นน้ำมันปาล์ม เอ้ย! นายปาล์มเฉยๆ เดินมาส่งสัญญาณว่าการขนย้ายแล้วเสร็จ ลูกค้าเงินหนาคนนี้ก็เอ่ยลา พวกเขาแลกเบอร์กันแล้วเรียบร้อย ผูกมิตรกันอย่างแจ่มจิตแจ่มใจเบ็ดเสร็จ ก็แยกจากกันเสียทีครับ ผมล่ะยืนเกร็งอยู่ตั้งนาน กลัวโดยวัดภูมิปัญญาไปด้วย เห็นหน้าตาฉลาดแบบนี้ จริงๆ เป็นคนเข้าใจอะไรยากครับ

“อ่า คุณ” จู่ๆ นายค้ำจุนมองเห็นหัวกันอีกครั้ง เขาแช่สายตาที่หน้าผมแล้วก็เอ่ยประโยคที่ไม่คิดว่าจะได้ยินออกมาครับ
“ยืนนิ่งทำไม ช่วยกันจัดร้านสิ ไหนๆ ก็มาแล้ว ช่วยผมขายของคืนนี้ด้วยแล้วกัน เดี๋ยวเลี้ยงข้าว”

“หูฉลามหรอ?” ผมถาม ส่งสายตาเป็นประกายวิบวับ

“นี่คุณ อยู่กันมาตั้งนาน คิดว่าเสียเงินซื้ออวัยวะชิ้นเล็กๆ ของฉลามมากินด้วยราคาแสนแพงหรอ บ้าบอไปนะเป” แม่งยักคิ้วส่งท้าย ผมแกล้งเชิดหน้าหนีไปทางอื่น แต่ก็เจอใบหน้ายิ้มสายตาเย้าของนายต้นสนรออยู่ ก็เลยต้องชักหน้ากลับมาหานายค้ำจุนเหมือนเดิม

“ก็ได้ จัดอะไรยังไงมั่งอ่ะ”

“ยิมโน (*) นึกออกมั้ยหน้าตายังไง?”

“ไม่”

“แบบนี้” เขายกกระถางน้อยๆ มาชูให้เห็นในระดับสายตา ... เจ้านี่คือยิมโน รากศัพท์คืออะไรก็ไม่รู้เหมือนกันครับ สะกดยังไงก็ไม่กล้าประมวลเองในหัว เอาไว้ค่อยเปิดหาในเน็ตก็แล้วกัน ผมจ้องมองไอ้ตัวมีหนามแหลมบนกลีบอย่างตั้งใจ นายค้ำจุนคงสัมผัสได้ถึงภาวะพร้อมเรียนรู้ ถึงได้อธิบายต่อ
“เอากระบะที่มีไอ้พวกนี้ ไว้ตรงนั้น” มือไม้เขาช่วยกันทำงานเสียจนผมมองตามไม่ทันเลยครับ 
“แยกออกมั้ยคุณ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีป้ายเขียนบอกหรอ”

“มีสิ” เขาตอบหน้าตาย ส่วนผมนั้นเริ่มอยากฆ่าเขาให้ตายครับ พอรู้ว่ามีป้ายกำกับในแต่ละกระบะที่นายต้นสนยกลงจากรถเข็นแล้ว ผมก็เบาใจ และเดินไปสอดส่องสังเกตการณ์ เพื่อให้การมาอยู่ในที่แห่งนี้ วันนี้ เวลานี้ มีประโยชน์สูงสุด ผมไม่ได้หวังอะไรกับเงินเกือบแสนที่เขาเพิ่งได้รับหรอกนะครับ

“ยิมโม...ยิมโล....ยิมอะไรวะ ลืม” ผมพึมพำอยู่คนเดียว ระหว่างเปิดแฟลชจากมือถือเพื่อส่องหาชื่อไอ้ต้นไม้ที่เขาสั่งให้ผมช่วยยกมันไปโชว์ตัว

ไหนว่าเขียนกำกับไว้ไง ไม่เห็นเลย ย.ยักษ์สักตัวก็ไม่มี เพราะแม่งเขียนด้วยภาษาอังกฤษ

“อยู่นี่เป” นายต้นปรากฏตัวขึ้นพร้อมยื่นมือช่วยเหลือ ผมหันไปหาพร้อมส่งสายตายินดียิ่งไปให้ นายคนนี้ก็ส่งยิ้มกว้างกลับมาเช่นเดิม คงดีใจมากสิที่มีคนช่วยเพิ่ม ก่อนหน้านี้ที่เขาต้องขายของกับเพื่อนที่หน้าเป็นตูดและกวนตีนเป็นที่สุด เขาคงเหนื่อยน่าดู ต้นสนที่น่าสงสาร

“เฮ้ย ขอบใจนะ” ผมยิ้มอย่างจริงจัง ก้มมองชื่อที่นายค้ำจุนบอกว่าเขียนกำกับไว้แล้ว ….Gymnocalycium…. อืม ผมไม่คิดว่าตัวเองโง่หรอกนะครับที่หาพวกมันไม่เจอแม้จะมีป้ายกำกับไว้แล้วก็ตาม ไอ้ห่า ชื่อจะเขียนยากอ่านยากไปไหนวะเนี่ย
“เฮ้ยต้น แล้วพวกนี้มันก็ยิมโนเหมือนกันหมดหรอ”

“อื้อ พันธุ์หลักเดียวกันหมดเลย”

“หรอ เฮ้ยแต่มัน...”

“กระบะนั้นเอาออกมาวางหน้าร้านได้เลยเป แป๊บนะ ครับ...อ๋อๆๆ ต้นที่ฝากเปลี่ยนกระถางให้ใช่มั้ย เอามา เอามาสิครับ จะลืมได้ไง แล้ววันนี้ไม่เอาตัวอื่นด้วยหรอ หยดน้ำญี่ปุ่นมาแล้วนะ ดูมั้ยครับ” แล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่เป็นชื่อสายพันธุ์พวกแคคตัสพวกนี้ ซึ่งผมยิ่งฟังก็ยิ่งงงครับ

ผมมองยิมโนที่สีและรูปลักษณ์ไม่ค่อยเหมือนกันแต่ก็คล้ายกันอย่างไม่มั่นใจสักเท่าไหร จากนั้นก็ยกกระบะยิมโนมาตั้งไว้ที่โต๊ะเหล็กหน้าร้าน

“อุ้ย รอบนี้มาแล้วหรอคะ” น่าจะเป็นลูกค้าเดียวกันกับที่นายต้นสนหันไปรับหน้าเมื่อกี้ล่ะมั้ง เพราะก็ดูไม่มีลูกค้าอื้ออึงหน้าร้านเท่าไหร่ และเธอก็เป็นคนเดียวที่เป็นผู้หญิง นอกนั้นก็ผู้ชายแก่ๆ

“ครับ” พ่อค้าชื่อว่าค้ำจุนเป็นคนตอบ เขาเดินมายืนเบียดให้ผมพ้นห่างกระบะยิมโนครับ แหม บอกดีๆ ก็ได้ ไม่ต้องดีดกันทันทีแบบนี้หรอกน่า แต่ผมก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ ยืนฟังเขาคุยกับลูกค้าแม้ว่าเขาจะไม่ได้เชิญชวน ที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะสนใจใคร่รู้ข้อมูลต้นไม้นะครับ คือผมไม่รู้จะทำอะไรต่อ เพราะเป็นผู้แปลกปลอมที่สุดในย่านนี้ ผมผู้ไม่อินกับต้นไม้คนนี้ ยืนตรงไหนก็เปล่าประโยชน์ทั้งนั้นแหละ

“แล้วที่ถามไว้ เอามามั้ยคะ?”

“เรดไทเกอร์หรอ
เอามาแล้ว นี่ไง” เออ ก็อยู่ตรงหน้าทำไมมองไม่เห็นวะ อ่อ...ไม่ได้มอง ผมแซวเธอในใจครับ ก็เธอคนนี้ถามหาต้นไม้ที่เคยถามไว้ก่อนแล้ว แต่สายตากลับมองแต่หน้าพ่อค้าซะได้ ผมรู้ว่านายค้ำจุนหน้าตาดี แต่ก็ไม่คิดว่าจะล่อสายตาผู้หญิงขนาดนี้ โดยเฉพาะตอนที่เขาพูดถึงต้นไม้อย่างจดจ่อ .... ขนาดผมเป็นผู้ชาย ผมยังคิดว่าเขามีเสน่ห์ที่สุดแม้จะยืนประชันความหล่อกับยิมโนก็ตาม

“อ๋ออ... จริงด้วย ราคาเท่าไหร่คะ” เธอชี้เป้าหมาย แววตาดูมีความสุขเชียวครับ

“1,800 ครับ” และความสุขก็หายไปทันทีที่หญิงสาวคนนี้ปิดตาและถอนหายใจ แสดงว่าแม่งแพงมากแน่ๆ ลูกค้าจะด่าพ่อค้ามั้ยวะ ราคานี่กินฟูจิได้มื้อนึงเลย

“ต้นยังเล็กอยู่เลย ลดให้หน่อยไม่ได้หรอคะ”

“ลดให้ 50 บาท” ไอ้ห่านี่อยากขายของแน่หรอวะ? ผมล่ะสงสัย แต่ที่สงสัยกว่านั้นก็คือคุณลูกค้านี่แหละครับ

“โหยยยย
อยากได้จริงๆ อ่ะค่ะ มาถามหลายรอบแล้วก็น่าจะจำได้”

“ครับ จำได้
อยากได้ก็ซื้อเลยสิครับ
หรือสีด่างยังไม่สวยพอ
งั้นก็ต้องดูร้านดังแล้วแหละครับ ร้านนี้ก็มีเท่านี้”  นี่เขาโกรธลูกค้าหรอวะเนี่ย?  ไอ้บ้านี่เป็นพ่อค้าได้ยังไงวะ?

“ฮือออ” ผู้หญิงคนนี้คร่ำครวญครับ ผมล่ะไม่เข้าใจเลยว่าจะยื้ออารมณ์กันทำไม อยากได้ก็ซื้อสิ ไม่พอใจก็ไม่ต้องซื้อ ต่อราคาแล้วยังซื้อไม่ลงก็เชิดใส่พ่อค้าไปแม่งเลย ทำสิครับ ทำเลย!
“โอเค พันเจ็ดถ้วนก็ไม่ได้หรอคะ”

“พันแปดไปเลยไม่ได้หรอ ถ้าคิดว่าห้าสิบบาทมันไม่ได้มากมูลค่าขนาดนั้น”

“โหยยยยย พ่อค้าอ่ะ” เป็นผม ผมตบแม่งจริงๆ ครับ คนห่าอะไร กวนส้นตีน

“ฮึ ฮึ” นายค้ำจุนขำครับ คนห่าอะไรขำเหมือนสะอึก แต่ลูกค้าคนนี้กลับดูพึงใจแปลกๆ  เธอเล่นหูเล่นตาเล็กน้อย หันมองต้นอื่นๆ อีกนิด แล้วก็ปิดดีล

“รับไทเกอร์นี่แหละค่ะ
แถมลูกชุบด่างให้ด้วยได้มั้ยล่ะ”

“อ่อ ได้ เดี๋ยวแถมไปให้ครับ
ไม่ดูยิมเดนูดาตัมไปด้วยหรอครับ ตัวนี้ฟอร์มหนามสวยมาก สายพันธุ์ญี่ปุ่น”

“นี่หรอคะ”

“ครับ หนามหนามาก ฟอร์มสวย ผิวเต่งมันด้วย”

“สวยขนาดนี้จะค่าตัวเท่าไหร่ล่ะ”

“1,500”

“แต่ละตัวที่แนะนำนี่.....”

“สวยจริงๆ ครับ”  แล้วทำไมต้องมองหน้าลูกค้าด้วยวะ? ไม่ได้กำลังพูดถึงต้นไม้หรอ ผมผู้ยังยืนเป็นก้างขวางคอใครโดยไม่รู้ตัว ได้แต่มองหน้าหญิงชายคู่นี้สลับกันไปอย่างไม่คิดจะวางสายตา

“งั้น...ลดให้”

“อย่าต่อเลยครับ
เวลาพวกผมดูแลประคบประหงมก็ไม่เคยต่อรองอะไรกับต้นทุนพวกเขาเลยนะ
สวยผมก็บอกว่าสวย ไม่สวยผมก็ไม่โกหกว่าสวย
ถ้าชอบแล้ว เห็นแล้วอยากรับไปดูแลต่อ ก็ตามราคาแหละครับ”

“โอเคคคคค เอา 2 ต้นนั่นแหละค่ะ เจอกันอีกทีเดือนหน้าก็แล้วกันงั้น ตังค์หมด”

“ครับ เดี๋ยวหาตัวสวยๆ ไว้รอ
เรามีเพจแล้วนะ ไอ้ตัวนู้นมันดูแล น่าจะมีอะไรอัพเดทมากขึ้น
ฝากติดตามด้วยนะ ตามด้านหลังป้ายชื่อเลย”

“อ่ออ โอเคค่ะ เดี๋ยวติดตาม
แล้วถ้ามีเรื่องสงสัย ถามทางอินบ๊อกได้ใช่มั้ยคะ”

“ได้เลยครับ ไอ้ตัวนู้นมันว่างพอ”

“แล้วตัวนี้ล่ะคะ?”

“เอ๊ะ ครับ?”

“อ๋อ ตัวนี้เท่าไหร่” เธอชี้ที่กระถางเล็กๆ ใบหนึ่งในกระบะยิมโน ช่างเป็นการไขสือที่โจ่งแจ้งจริงๆ ครับ ผมรู้ว่านายค้ำจุนรู้ตัวว่าโดนจีบ และลูกค้าผู้หญิงคนนี้ก็รู้ด้วยว่ากำลังถูกบ่ายเบี่ยง

พ่อค้าจับกระถางที่ได้รับเลือกมาห่อด้วยกระดาษที่ตัดเตรียมไว้อย่างชำนาญ และก็ใส่ลงถุงพลาสติก จากนั้นก็ยื่นให้ลูกค้าที่หยิบเงินด้วยสีหน้าที่ทั้งชื่นใจทั้งปวดใจกับจำนวนเงินที่จ่าย

“ฝากดูแลด้วยนะครับ สังเกตเขาบ่อยๆ ถ้าเจออาการแปลกๆ ก็ถามมาได้เลย หรือเอามาให้ดูที่ร้านก็ได้”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอบอกส่งท้ายแล้วก็เดินจากไป นายค้ำจุนก้มลงมาสนใจต้นไม้ในกระบะอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ยกมาจัดวาง แล้วก็หันมองผม จากนั้นก็เอ่ยคำที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน

“จัดร้านเสร็จแล้วหรอคุณ”

“ร้านผมซะที่ไหน ก็แค่แวะมาดูเงินเกือบแสน”

“ฮึ” เสียงเหมือนสะอึกนี้ ไม่สามารถแปลได้ว่าเขากำลังหัวเราะได้เลยครับ แปลว่า -เยาะ- เท่านั้น
“ยังไม่เสร็จก็จัดต่อสิ เพิ่งห้าโมงกว่าเอง ทำงานให้คุ้มค่าข้าวที่จะเลี้ยงหน่อย”

“ถามจริงเหอะ จะพาไปกินอะไร?”

“อิ่มก็แล้วกันน่า”

“บอกมาก่อนดิ ร้านไหน ข้างทางไม่เอา” ผมยืนกรานความกระเพาะพรีเมี่ยมให้เขาได้รู้ อีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจใส่ แถมด้วยอาการส่ายหน้าใส่ และอบรมกันสั้นๆ ว่า

“กินแล้วก็ขี้อยู่ดี จะกินหรูอยู่แพงให้ได้อะไร ไปจัดร้านสิคุณ เร็ว”

โถ่เอ้ย! รู้งี้ไม่มาหรอก เงินก็ไม่ได้เห็นเพราะแม่งโอนให้กัน แถมต้องมาช่วยทำอะไรก็ไม่รู้ ผมบ่นในใจ แต่ก็ก้มหน้าก้มตาช่วยเขายกกระบะต้นไม้มาวางโชว์ตัว

จะว่าได้ความรู้ไปด้วยก็ไม่เชิงหรอกครับ แม้ว่าระหว่างจัดวางต้นไม้ตัวสวยอยู่นั้นนายค้ำจุนจะมาคอยบรีฟสั้นๆ เกี่ยวกับชื่อสายพันธุ์ จุดเด่น ระดับราคา ลักษณะทางประชากรศาสตร์ (เขาใช้คำนี้จริงๆ ครับ) ของลูกค้าที่น่าจะมาถามถึง แต่เป็นเพราะผมไม่ได้อิน ผมก็เลยไม่ได้ความรู้สักอย่าง

แต่ประโยชน์ของการพูดกรอกหูอยู่ร่วมชั่วโมงก็มีครับ อย่างน้อยๆ ผมก็สามารถผายมือให้กับลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่มาถามหาฮาโวเทีย (***) ได้ เก่งใช่มั้ยล่ะ?

ดึกคืนนี้  2 พ่อค้าดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พวกเขาผลัดกันหันมามองผมแล้วก็ส่งยิ้มให้ ผมว่าผมก็ไม่ได้ทำอะไรพิเศษให้พวกเขา และก็ไม่ได้หวังผลอะไร(มากนัก)จากการกระทำครั้งนี้ แต่ก็นั่นแหละครับ คนเก่งและดีอยู่ที่ไหนใครก็เอ็นดู ฮ่าๆๆๆๆ

รางวัลตอบแทนคนดีคนนี้ก็คือ ข้าวต้มรอบดึกครับ กับข้าวไม่อั้นด้วย เจ้ามือคือนายค้ำจุนและนายต้นสน แขกคนสำคัญคือผมแต่เพียงผู้เดียว

“อื้อคุณ ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อวาน ลืมไปเลย มัวแต่หัวร้อนกัน” ผมเปิดประเด็นใหม่หลังจากจัดการย้ำปลากรอบสามรสไปเกลี้ยง พร้อมๆ กับปูผัดผงกระหรี่ หมูสับผัดหนำเลี๊ยบ และหอยลายผัดพริกเผา ตอนนี้นายต้นสนกำลังเล็มผัดผักบุ้งไฟแดงอยู่ และยังมียำปลาดูกฟูรอเขาอยู่อีกจาน

“อื้อว่า” นายค้ำจุนตอบ เพิ่งรู้วันนี้แหละครับว่าเขาเป็นสายเบียร์ หมอนี่ข้าวต้มไม่ค่อยพร่อง กับก็กินไปพอประมาณ แต่เบียร์ 6 กระป๋อง ตรงหน้าเนี่ย....แน่ใจมั้ยว่ายังฟังรู้เรื่อง

“อีกหน่อยเราคงเจอกันถี่ขึ้นนะ”

“กว่านี้อีกหรอ? นี่ผมก็เห็นหน้าคุณทุกเช้าทุกคืนแล้วนะ”

“เออ กว่านี้อีก บางวันก็จะได้เจอ 3 เวลาหลังอาหารด้วยนะคุณ
คืองี้ ลูกค้าใหม่ผมเนี่ย คือบริษัทคุณ”

“.............”

“อ่อ ผมหมายถึงบริษัทพี่ทัศน์ไง”

“อ๋ออออ” ที่อึ้งนี่เพราะเบียร์แน่ๆ ถ้าตอนสติเต็ม เขาน่าจะเดาได้สิว่าผมหมายถึงบริษัทที่คุณทำงานอยู่
“สรุปเป็นบริษัทคุณหรอ ที่มาดูแลด้านไออาร์ (**)
แต่เราคงไม่ได้เจอกันบ่อยหรอก เพราะผมไม่ได้อยู่ฝ่ายอะไรที่เกี่ยวกับสื่อสารองค์กรเทือกๆ นั้น คุณคงเจออีกทีม”

“ก็รู้ แต่ถ้าผมแวะไปประชุมงาน รับบรีฟ หรืออะไรก็ตามแต่ เราไปกินข้าวกันนะ
บริษัทนี้ไม่ซีเรียสเรื่องเวลาพักนี่นา แล้วอีกอย่าง ระดับคุณด้วย คงไม่มีใครว่าหรอก”

“ระดับผม? ผมระดับไหนหรอ?”

“ก็...หลานเจ้าของ”

“พูดบ้าๆ” ไม่ด่าเปล่าครับ ผลักหัวกันจนตัวเอียง
“ผมก็แค่ระดับผู้จัดการโปรเจค เป็นหลานน้าโจ้แล้วยังไง ไม่เห็นเกี่ยว”

“อ่อๆๆ ไม่ชอบถูกมองเป็นเด็กเส้นสินะ”

“นี่คุณ....”

“เอาน่าเป เรื่องนี้อย่าไปย้ำมัน มันอุตส่าห์พิสูจน์ตัวทุกอย่างจนแทบกระอักเลือดตาย เชื่อมันเถอะ” นายต้นสนห้ามศึกฝีปากและอารมณ์เอาไว้ เขารินเบียร์ใส่แก้วแล้วกระดกอึกใหญ่ ผมก็เลยพูดต่อ

“ก็ไม่ได้อยากจะย้ำอะไร ผมแค่อยากมีเพื่อนกินข้าวเวลาเข้าไปที่บริษัทคุณ เอ้ย! บริษัทพี่ทัศน์ไง ก็อยากเมคชัวร์ว่าคุณยินดีมากินข้าวด้วยกัน”

“อ๋อ....เอาสิ ที่นี่ไม่ได้ซีเรียสเวลาพักอยู่แล้ว
คุณมาก็ดีนะ เดี๋ยวพาไปร้านประจำผม แต่เอ๊ะ คุณก็เคยทำงานที่นี่นี่นา อยู่นานกว่าผมด้วยมั้ง น่าจะรู้จักแถวนั้นดีกว่า”

“มันก็อาจจะมีอะไรเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ไง ไว้ค่อยไปลองกันว่าร้านประจำใครเด็ดกว่า คุณอย่าเพิ่งเฉลยนะว่าของคุณร้านไหน เอาไว้พาผมไปลอง ดีป่ะ?”

“อื้อ ก็ดี
เอาไรอีกมั้ย สั่งอีกได้นะ วันนี้ขายดี
รู้ป่ะ คุณนี่ก็เป็นนางกวักได้เหมือนกันนะเนี่ย
ขายต้นไม้กับไอ้ต้นมาหลายปี หายากนะที่วันนึงได้เงินแสนกว่าเนี่ย”

“ทำไมแสนกว่า?”

“ก็ออเดอร์ใหญ่ตอนเย็น และที่ขายหน้าร้านได้อีกหลายหมื่นเลย
ฮาตัวท้อปก็ขายได้ ยิมด่างขายได้ตั้งหลายต้น ไหนจะพวกยูโฟเบียอีก
เออ ไอ้ต้น กูเอาทูเรียตัวนั้นมาขายแล้ว ตั้งไป 2,500 แม่งได้ว่ะ บอนไซมึงก็ขายได้ตั้งหลายต้น โคตรรู้สีกดีอ่ะ
ถ้าไม่เรียกนางกวักแล้วจะให้เรียกอะไรล่ะ นางฟ้าหรอ? เนอะต้นเนอะ ” แล้ว 2 พ่อค้าก็มองผมตาเชื่อม ไม่ได้หลงเสน่ห์ผมหรอกครับ เดาว่าเมาเบียร์

“อ่อ ผมก็เลยได้กินข้าวต้มหน้าคอนโดสินะ
ได้ตั้งแสนกว่า เลี้ยงข้าวต้มผมเนี่ย สมเหตุสมผลหรอคุณ”

“สมสิ อย่าวัดกันที่ราคาถูกหรือแพงสิคุณ
มันอยู่ที่ความรู้สึก
ไงก็เถอะ ขอบคุณมากนะเปล

“หา อ่อ...อื้อ ไม่เป็นไร
ก็....เพื่อนกัน

เรา...ยกระดับความสัมพันธ์กันแล้วครับ


Cut


(*) ยิมโน = Gymnocalycium : แคคตัสสายพันธุ์หนึ่ง
(**) ไออาร์ = Investor Relation หรือ นักลงทุนสัมพันธ์
(***) ฮาโวเทีย = Haworthia : พืชอวบน้ำ เป็นต้นไม้ตระกูลเดียวกับแคคตัส


Happy New Year ย้อนหลังค่ะ
Welcoming 2019 ไปด้วยกันนะคะ อย่าเพิ่งจืดจางห่างเหินกับเรานัก อย่าใจร้ายกับเราเลย 5555

ตอนนี้มาต่อเร็วแล้วนะคะ เลขนี้เป็นเลขที่ชอบสุดด้วย
ผ่านก็เป็นนิยายเกิน1 โหลแล้ว พระนายของเราเพิ่งใกล้กันระดับ "เพื่อน" เท่านั้นเอง
โถๆๆ ความสัมพันธ์นี้ช่างเหมือนกับอัตราการเคลื่อนตัวของหอยทากจริงๆ

ฝากติดตามพัฒนาการของพวกเขาทั้งคู่ด้วยนะคะ
สำหรับคำอธิบายใน * นั้น หาได้ในกูเกิลเลยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2019 12:10:44 โดย kajidrid »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด