HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid
Home*Mate [20]
“นั่นคือคำตอบคุณแล้วหรอ”
“คำถามอะไรของคุณเนี่ย”
“ผมเคยถามคุณไว้ว่าคุณจะเอายังไงเรื่องหมดสัญญาเช่าอยู่ แล้วก็ถามเมื่อกี้อีกรอบว่า นั่นคือคำตอบคุณแล้วหรอ”
“ผมตอบอะไรตอนไหน”
“คุณจะเลี้ยงส่งผม”
“ก็!”
“ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วหรอเปล”
“แล้วคุณล่ะ ไม่อยาก...”“ผมอยากให้เราอยู่ด้วยกัน”
ทีวีส่งเสียงสปอตโฆษณาเข้าหู แต่ประสาทรับรู้ของผมไม่สามารถแปลความหมายจากเสียงที่ได้ยินได้เลย ค้ำจุนไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก เขาแค่นั่งลงบนโซฟาที่ปลายอีกฝั่งหนึ่ง
เหมือนเราทั้งคู่จะอยู่คนละฝั่ง แต่ที่จริงแล้วเราก็นั่งอยู่ข้างกันแหละครับ
“อื่อออออ” ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาต่อ ตอนนี้ทีวีกลับเข้าสู่รายการบันเทิงแล้วครับ แต่ผมก็ไม่รับรู้เนื้อหาอะไรอยู่ดี
“เหมือนเราต้องคุยกันให้ชัดนะ คุณว่าไง” ผมเปิดประเด็น นายค้ำจุนที่มองผมอยู่ก่อนแล้วรีบพยักหน้าทันที
“ระหว่างเรา มันต้องคุยกันให้ชัดเท่านั้นแหละ เพราะคุณชอบคิดอะไรไปเอง แล้วผมก็ไม่ได้ถนัดเข้าใจไอ้ที่คุณคิดด้วย”
แหม่เว้ย ช่างเป็นคู่สนทนาที่น่าคุยด้วยเหลือเกิน ผมหรี่ตามองและพยายามข่มความขุ่นไว้
“คุณจะเอาไงเรื่องอยู่กับผม หมายถึง เช่าห้องผมอ่ะ” ผมพัลวันถามออกไปด้วยความซื่อตรงที่สุด นายค้ำจุนยักไหล่ใส่แล้วก็ให้คำตอบ
“ก็บอกไปแล้วไง ผมอยากให้เราอยู่ด้วยกัน
ซึ่งแปลว่า” เขารีบพูดต่อทันทีที่ผมเริ่มอ้าปากพูด
“ผมอยากเช่าห้องนี้ต่อ”
“อ่าว....แล้ว.....” แล้วที่ผมได้ยินคืออะไรวะ? ผมไม่ได้ฝันนะ ผมได้ยินนายค้ำจุนกับเพื่อนรักของเขาคุยกันจริงๆ เรื่องย้ายออกจากห้องนี้
“แล้วอะไรของคุณ” ผมขมวดคิ้วถาม สายตาดูค่อนข้างไม่ชินกับสีหน้าโง่ๆ ของผม
“แล้วที่ผมได้ยินล่ะ?”
“คุณได้ยินอะไรล่ะ?”
“ก็คุณกับต้นุคุยกันเรื่องย้ายออก คุณพูดเองว่าแออัด แล้วยังด่าผมลับหลังด้วยว่าผมไม่ใส่ใช่อะไรหรอก”
“อ่อออ ก็คือได้ยินเท่านี้ แล้วก็เลยอยากใช้โอกาสนี้ไล่ผมออกจากห้องล่ะสิ”
“ไล่อะไรกันเล่า? ผมไม่เคยคิดแบบนั้นสักหน่อย ผมก็อยากให้คุณเช่าห้องต่อเหมือนกัน...นี่”
นายค้ำจุนกระตุกมุมปากยิ้ม ผมเห็นเต็ม 2 ตา
“งั้นก็อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม .... เนอะ” คราวนี้เขายิ้มทั้งปากทั้งตาทันทีที่ผมพูดจบ ผมก็เลยยิ้มตอบ แต่ว่าความสงสัยมันยังไม่หายนี่สิครับ ก็เลยต้องขอความกระจ่างเสียหน่อย
“จุน แล้วที่คุยกับต้นคืออะไรอ่ะ”
“อ่อ เรื่องเด็กๆ” เขาตอบ คำตอบชวนให้งงแต่ผมไม่งงแล้วครับ ผมเข้าใจว่าเขาหมายถึงต้นไม้
“ผมหมายถึงต้นไม้น่ะ ห้องนี้ไม่เหมาะจะเอาต้นไม้มาพักไว้แล้วค่อยจัดส่งอย่างที่ไอ้ต้นมันเตือนมาตลอดจริงๆ แหละ ขนขึ้นขนลงก็ลำบาก ยังเคยลำบากไปถึงคุณด้วยเลย ผมก็เลยต้องหาโรงเรือนอื่นเพิ่มไว้พักต้นไม้ที่ย้ายมาจากราชบุรี พวกต้นที่สูงกว่าครึ่งเมตรน่ะ ส่วนไม้เล็กๆ ก็ยังใช้ระเบียงเป็นโรงเพาะได้อยู่ ไม่มีปัญหา”
“อ่ออออ ที่ว่าย้ายออก ก็คือย้ายต้นไม้หรอ?”
“อื้อ”
“แล้ว คุณต้องไปหาโรงเรือนอื่นเพิ่มหรอ ก็เสียเงินอีกน่ะสิ”
“ใช่” ทำไมดูไม่หวงเงินเลยว่ะ หรือว่าเขาได้ขึ้นเงินเดือน ผมจำได้ครับว่าเขาเป็นคนที่ใช้เงินอย่างคุ้มค่าขนาดไหน ขนาดที่คนงกๆ อย่างผมยังคิดว่าเขาาขี้เหนียวเลย แต่พอเป็นเรื่องต้นไม้นี่ไม่เคยมีคำว่าสิ้นเปลืองเลยสินะ นี่คนหรือรุกขเทวดาวะ?
“แล้วหาได้รึยังล่ะ?” ผมสนใจถามต่อ นายค้ำจุนก็เลยเล่าให้ฟังเสียยาวเลยครับ
สรุปแล้ว โรงเรือนใหม่มีแคนดิเดท 1 ที่ ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าไม่ควรเรียกว่าเคนดิเดท แต่มันคือที่เดียวที่ช่วยให้เขารอดจากวิกฤตต้นไม้ล้นห้องครับ โรงเรือนที่ว่าก็คือบ้านพี่ก้องกับพี่อ้อ รุ่นพี่ในวงการที่เขาสุดซี้นั่นแหละครับ
ระหว่างที่นายค้ำจุนกำลังเพลิดเพลินกับการเล่าโปรเจคขายต้นไม้ล็อตใหญ่ให้ผมอยู่นั้น ท้องผมก็ส่งเสียงร้องแสดงความหิวชิบหาย เราก็เลยกินมื้อค่ำง่ายๆ กันที่ร้านข้าวต้มหน้าคอนโดครับ ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องเลี้ยงตามที่ลั่นวาจาเอาไว้ ยอมรับว่าค่อนข้างเจ็บใจที่เขาเสือกจำได้ทั้งหมดที่ผมพูด แต่ก็เลี้ยงครับ เพราะผมไม่ใช่คนผิดคำพูด
ประโยคสุดท้ายก่อนเดินตัวปุยเข้าห้องนอน ผมบอกกับเขาว่า เดี๋ยวจะให้ยาดาร่างสัญญามาให้เซ็น
และประโยคที่สุดท้ายที่เขาพูดส่งผมเข้านอนก็คือ
“สัญญาอยู่ด้วยกัน 1 ปีนะเปล” Home*Mate
อารมณ์ดีเหลือเกินนะ
ผมจัดให้วลีนี้อยู่ในกลุ่มถากถางครับ โดยเฉพาะเวลาที่มันออกมาจากปากยาดา
แต่เอาเถอะ ผมโตแล้ว มีความเป็นผู้ใหญ่สูงปี๊ด เพราะฉะนั้นผมจะไม่ตอบโต้
“หน้าบานได้อีกอ่ะคนเรา
นี่มันคุณเปผู้มีความรักรึเปล่าน้า?
ไม่สิ ไม่ใช่ นี่คือคุณเปผู้ได้รับความรักกลับมาต่างหาก”
“ดา....หยุดเถอะ เตือนครั้งที่ 3 แล้วนะ” ในที่สุดผมก็ต้องออกโรงปกป้องภาพลักษณ์ของผมที่ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไป
“จ้าๆ คุณเปไม่ใช่คนอินเลิฟแต่อย่างใด คุณเปแค่ตกหลุมรักที่คนเช่าห้องเขาขุดไว้ให้เห็นโต้งๆ เท่านั้นเองงงงง” พลังปอดเหลือล้นล่ะสิถึงได้พูดประโยคยาวๆ แล้วยังลากเสียงยาววววววไม่รู้จบได้ขนาดนี้
การเตือนครั้งที่ 4 ของผมคือการเหล่มองแล้วก็ริบกาแฟที่เป็นคนซื้อให้เพื่อนคืนกลับมาครับ ดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าถ้าปากแจ๋วกว่านี้จะอดแดกนะครับเพื่อน ยาดาก็เลยยอมหยุดแซว
เธอวิเคราะห์ว่านายค้ำจุนต้องคิดลึกซึ้งกับผมแน่ๆ ครับ ไม่อย่างนั้นพ่อค้าผู้ไม่ยอมเสียเปรียบใครไม่น่าจะยอมเสียค่าเช่าคอนโดรายเดือนต่อ แล้วก็ยังต้องเพิ่มต้นทุนด้วยการเช่าโรงเรือนสำหรับพักต้นไม้เพิ่มอีก ซึ่งก็ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายหลักร้อยหลักพัน
แม้ผมจะค้านไปแล้วว่า เขาตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะว่าจำนวนต้นไม้ใหญ่เขาเยอะเกินไป ขณะที่ต้นไม้เล็กๆ ตรงระเบียงก็ไม่ได้ลดลง อีกทั้งในห้องนอนเขาก็ยกพื้นที่ให้ต้นไม้ไปครึ่งหนึ่งโดยเขายอมมาปูฟูกนอนเดี่ยวๆ ที่ข้างเตียงผมแทน
ถ้าจะหาเจ้าของห้องใหม่ ที่ยอมให้ผู้เช่ามาเบียดพื้นที่ห้องนอนด้วย และยอมให้มีต้นไม้มากมายในห้องซึ่งแน่นอนว่ามันมาพร้อมปัญหาเศษดินที่รกตาตาตีนด้วย ก็ไม่ใช่หาง่ายๆ นะครับ
สรุปแล้ว ผมก็คือผู้เลอค่าและตรงตามที่เขาต้องการทุกซอกหลืบนั่นเอง
ไอ้ขุดหลุมหลัก ตกหลุมหลงใดๆ ที่ยาดาหยิบมาแซวนั้นมันเรื่องไร้สาระ
กำลังเถียงเพื่อนอยากออกรสอยู่ในความคิดคนเดียว โทรศัพท์ผมก็มีสายเรียกเข้าครับ
ชื่อคนโทรมาทำให้ผมรีบกดรับทันที
“อื้อคุณ” นายค้ำจุนโทรมาครับ อยากรู้จังว่าเขาโทรหาผมทำไม มีเรื่องอะไรสนุกๆ ให้ช่วยรึเปล่าหว่า?
“หือ? เสาร์-อาทิตย์นี้หรอ ไม่มีงานนะ” เขาถามว่าสุดสัปดาห์นี้ว่างมั้ย
“บ้านคุณ ที่ราชบุรีน่ะหรอ? เอาสิ ไปได้ๆ”
“เอ่......” ผมฟังข้อเสนอจากปลายสายแล้วเหล่มองเพื่อนอย่างครุ่นคิด
“เดี๋ยวจะถามให้ก็แล้วกัน แต่ว่ามันมีประโยชน์อะไรหรอคุณ ให้ชวนไปด้วยเนี่ย”
“อ่อออออ” นายค้ำจุนอยากให้ชวนยาดากับวราห์ไปด้วยครับ เพราะว่าคู่นี้เขาไปปรึกษาเรื่องของชำร่วยงานแต่งกับนายค้ำจุนเอาไว้ เจ้าของโรงเรือนเลยอยากให้ไปชี้สเปกต้นไม้หน่อยว่าพันธ์ไหนและไซส์ไหนที่ชอบบ้าง
“แล้ว...ผมไปนี่จะช่วยอะไรคุณได้หรอ” ผมถามย้ำหาจุดยืนตัวเอง ปลายสายตอบมาแค่ว่า ‘แม่ทำไข่พะโล้หมูสามชั้น อยากให้คุณไปหา’ อื้อ! งานสำคัญขนาดนี้ขาดผมไม่ได้สิ
“ใครอ่ะ คุณค้ำจุนหรอ” เพื่อนถามทันทีที่ผมวางสาย เธอรีบคว้าแก้วกาแฟเอาไว้เต็ม 2 มือ
“อื้อ ค้ำจุน”
“ว่า?”
“ต้องบอกดาด้วยรึไง สนใจเกินไปป่ะเนี่ย?”
“หวงคุณค้ำจุนหรอ”
“หวงดาแทนวราห์ต่างหาก นี่เตรียมงานแต่งถึงไหนแล้วล่ะ ไม่มีอะไรหลุดแพลนใช่ป่าว”
“จ้า ออนแพลนทุกอย่าง อ้อ! ยังไม่ได้คอนเฟิร์มของชำร่วย”
“มิน่าล่ะ
ค้ำจุนชวนไปโรงเรือนที่ราชบุรีเสาร์นี้ ว่างมั้ย
เค้าอยากให้ดากับวราห์บอกเรื่องสเปกต้นไม้หน่อยว่าไอ้ไซส์เล็กๆ เนี่ยจะเอาพืชอวบน้ำหรือแคคตัส หรือว่าไม้บอนไซ”
เพื่อนผมพองตามองผมอย่างประหลาดใจมากครับ แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ยาดายิ้มอย่างปลื้มปริ่มแล้วก็พูดจนผมต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจเสียเอง
“เปรู้เรื่องต้นไม้เยอะขนาดนี้เลยหรอเนี่ย”
นั่นสิ ผมรู้เรื่องต้นไม้เยอะขนาดนี้เลยหรอ?
ผมไม่ตอบอะไรเพราะรู้ว่ายาดาไม่ได้ถาม เธอแค่อุทานความประหลาดใจของตัวเองเท่านั้น แต่ผมก็ไม่ได้บอกเพื่อนหรอกนะครับว่าตัวผมเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน
เรา 2 คนดื่มด่ำกับกาแฟหลังอาหารเที่ยงในร้านกาแฟเล็กๆ ใกล้ออฟฟิศอีกเพียงครู่ก็ชักชวนกันกลับไปทำงานตามเวลา
Home*Mate
วันเสาร์มาเยือนแล้วครับ เวลาช่างเดินทางรวดเร็วเสียจริง ผมยังจำได้ว่าเมื่อ 2-3 วันก่อน ผมตัดสินใจซื้อรองเท้าใหม่ เน้นเลือกคู่ที่คิดว่าจะเดินในโรงเรือนนายค้ำจุนได้สะดวกกว่าร้องเท้าแตะคู่เดิม คู่ใหม่นี้หุ้มเท้าขึ้นมาหน่อยครับ น่าจะกันเศษดินหรือหินลี้ลับแทรกตัวมาตำฝ่าเท้าได้ นี่ผมไม่ได้ตื่นเต้นเกินไปใช่มั้ย
“เสร็จยังอ่ะคุณ จะได้โทรบอกไอ้ต้นให้ออกจากบ้านมันได้แล้ว”
“อ่าว นึกว่าต้นจะไปรถเราซะอีก” ผมสืบสาวเรื่องราวไปพลาง เช็คของในกระเป๋าสะพายของตัวเองไปพลาง มีหมวกด้วยครับ ไม่ได้เห่อเลยจริงๆ
“ไม่ รำคาญมันชอบสอดหน้ามาคุยนั่นนี่ เราไปรถผมกัน 2 คนก็พอ”
“อ้ออออ แล้วนัดต้นที่ไหนล่ะ”
“ปั๊มที่เราแวะพักคราวก่อนนั่นแหละ หรือคุณอยากไปรถมันล่ะ” เสียงเขาแข็งๆ ผมก็เลยไม่ท้าทายอะไร
“เสร็จแระ พร้อม ไม่น่าจะลืมอะไร อ๊ะๆ น้ำเปล่าด้วย ห้ามลืม ช่วงนี้ผมเหมือนจะป่วยๆ อ่ะคุณ เพลียง่ายมาก ดาก็เลยบอกว่าให้ดื่มน้ำเปล่าเยอะขึ้น แล้วก็นอนเยอะๆ หน่อย”
“อ่าว... งั้นไม่ต้องไปมั้ยคุณ ไปไข้ขึ้นที่บ้านผมหรือระหว่างทางจะป่วยไปกันใหญ่”
“เฮ้ย! ไปดิ ล่มแผนได้ไงคุณ นัดคนไว้ตั้งเยอะ แม่คุณก็ทำไข่พะโล้รอไว้แล้ว ผมไม่ป่วยจริงๆ”
“จริงนะ?” พร้อมกับคำถามย้ำ มือนายค้ำจุนเร่มาวัดไข้ที่หน้าผาก แก้ม และลำคอผมทันที แต่แทนที่ผมจะรั้งตัวหนี กลับยืนนิ่งให้เขาวัดไข้ไปซะงั้น
“งั้นติดยาลดไข้กับวิตามินซีไปด้วย เดี๋ยวแวะปั๊มตรงทางด่วนแล้วคุณก็ซื้ออะไรกินนิดหน่อยแล้วกินวิตามินซีนะ ไม่รู้มันช่วยมั้ย แต่ก็ไม่ได้สร้างผลเสียอะไรนี่ ตามนี้เนอะ”
“ก็...อื้อ
ตามนั้นก็ได้” ผมรับคำอย่างว่าง่าย เดินมาสวมรองเท้าคู่ใหม่ หันไปยิ้มกับนายค้ำจุนที่เดินตามมาชมว่าร้องเท้าเท่เชียว ผมเดินนำหน้าเขาออกจากห้อง ด้วยอาการหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ
เชี่ยเอ้ย! หรือผมจะป่วยกะทันหันจริงๆ?
จากที่ไม่ป่วยไข้อะไร ผมคิดว่าผมกำลังป่วยกะทันหันครับ ในรถก็อุณหภูมิปกติ กำลังดีสุดๆ แต่นายค้ำจุนกลับทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบๆ ด้วยการเอาเสื้อคลุมที่เขาติดรถไว้เป็นประจำมาห่มให้
กูไม่ได้ป่วยโว้ยยยยยยย
“เป พูดง่ายๆ หน่อยสิ ห่มไว้เถอะน่าจะได้ไม่เป็นไข้”
“ก็ผมไม่ได้ป่วยไง”
“ก็กันไว้ดีกว่า”
“กันอะไร?!”
“กันป่วยไง”
“ก็ผมไม่ได้ป่วยไง”
“ก็กันป่วยไง”
โอ้ยยยยยยยย กูร้อน!
ผมฮึดฮัดถลกเสื้อปาทิ้งไปเบาะหลัง แน่นอนว่าคนขับหันมองแบบไม่พอใจสุดๆ แต่ผมก็ลอยหน้าลอยตาใส่
“จุนฟังดีๆ นะ ผมไม่ป่วย ไม่มีไข้ ไม่ได้เป็นไรอะไร แค่พักผ่อนน้อยก็เลยเพลียเฉยๆ แต่ก็นอนเต็มอิ่มมากเมื่อคืน
ทีนี้ก็ปล่อยผมสนุกกับทริปชมต้นไม้กินไข่พะโล้ฟรีได้แล้ว”
สีหน้าเขานิ่งไป มองหน้าผมสลับกับถนนข้างหน้า จากนั้นก็พยักหน้าอย่างยอมเข้าใจเสียที
ก็แค่เนี้ยยยยยย!
อาการคิดไปเองว่าผมป่วยเกิดขึ้นอีกรอบตอนที่เราแวะปั๊มที่นัดกับนายต้นสนเอาไว้ นายค้ำจุนสาธยายอาการป่วยของผมที่เขาคิดเอาเองให้เพื่อนรักเขาฟัง ผมก็เลยได้รับความห่วงอันแสนใหญ่โตจากนายต้นสนด้วยอีกคน แต่รายนี้พูดรู้เรื่องกว่าค้ำจุนมากครับ ปฏิเสธครั้งเดียวรู้เรื่อง
เรารอยาดากับวราห์ไม่นานนัก เมื่อรวมพลครบ 5 คน กับรถ 3 คัน และเตรียมช้อปปิ้งขนมกันอย่างตามใจตัวเองแล้วก็ออกเดินทางสู่ฟาร์มแคคตัสของนายค้ำจุนกันครับ
ผมคาดหวังว่าทริปนี้มันจะต้องสนุก และก็อิ่มหมีพลีมันสุดๆ แต่ดูเหมือนว่าผมจะหวังเกินไปหน่อย เพราะจู่ๆ นายค้ำจุนก็พูดขึ้นมาสั้นๆ ว่า
“ขากลับ คุณกลับกับไอ้ต้นนะ ผมค้างบ้านแม่” cut
มาต่อแล้วค่าาาาา
ฝากติดตามค้ำจุนกับเปลต่อไปด้วยนะคะ