บทที่ 11: นมจืดกับพระรองคนใหม่ไฉไลกว่าพระเอก [100%]
เฮ้ยยยย! ไม่ใช่ล่ะ ผิดๆๆๆ
“แล้วทำไมกูต้องขาวตามมันหรือไง?” กระดิกตีนยิกๆ
“ฮื้อ...เราถามเฉยๆ” กวนนมจืดอีกแล้วนะ
ป้อมปราบศัตรูพ่ายเบ้ปากพร้อมกัน กลอกตาขึ้นมองบนอย่างหมั่นไส้
“เสร็จแล้วก็กลับ” ป้อมปราบสะกิดไหล่เพื่อนตัวเล็ก
นมจืดพยักหน้าหงึกหงักๆ “อื้อ...งั้นเราไปแล้วน้า”
ร่างสูงไม่ได้รั้งอะไร ปล่อยให้นมจืดโบกมือหยอยๆโดยมีเพื่อนลากออกไป ศัตรูพ่ายส่งสายตามองร่างสูงที่ยังคงแยกเขี้ยวแฮ่ๆใส่เขาทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรให้สักนิดเดียว
“มาทำไม?” คนเป็นพี่ชายถามขึ้นในตอนที่คนอื่นกลับไปหมดแล้ว
น้องชายที่หน้าคล้ายคลึงกันจนแทบเรียกได้ว่าเป็นฝาแฝดหันมามอง
“แม่ฝากของมาให้” ยื่นถุงพลาสติกให้
พระเอกเปิดดูด้านในเป็นพวกประปุกน้ำพริกที่ที่บ้านเขาทำเอง ไอ้พระรองมันเพิ่งกลับไปนอนตีพุงอยู่บ้านให้แม่ทำกับข้าวให้กินในขณะที่เขาไม่ได้กลับ
อยากกลับเหมือนกันแหะ…คิดถึงไอ้แจ๊คกับโรส
“เออๆ ขอบใจ”
พระรองยักไหล่ ก่อนจะถามขึ้น
“เมื่อกี้เพื่อนมึงเหรอ?” พวกเขาสองคนเกิดห่างกันแค่คนละปีเลยเหมือนๆเป็นเพื่อนกันมากกว่าพี่น้องเพราะงั้นพระรองเลยไม่เรียกพี่ชายว่าพี่และพระเอกก็ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายเด็กกว่าหรืออะไร
ก็เหมือนเพื่อนที่เกิดคนละปีก็เท่านั้นเอง
“เปล่า” ร่างสูงใหญ่พ่นลมออกจมูก “มินเนี่ยนแดกแฟ้บกับองครักษ์พิทักษ์มินเนี่ยนก็เท่านั้น”
กูว่าแม่งโคตรใช่อะ! ไอ้เตี้ยมันเอ๋อเป็นมินเนี่ยนแดกแฟ้บส่วนเพื่อนมันสองคนก็เป็นผู้ปกครอง
พระรองแสยะยิ้มเล็กน้อย “พวกแม่งตลกดี…” โดยเฉพาะหนึ่งในองครักษ์พิทักษ์มินเนี่ยนไรของมันนี่แหละ ชื่อตำแหน่งดูเสร่อสัสๆ แต่ก็เหมาะกับหน้าดีนะ
…ท่าทางจะดุเป็นหมาเลย…
เห็นแยกเขี้ยวแง่งเหมือนกำลังคันฟันเพราะฟันเพิ่งขึ้นเลย
พระเอกแค่เห็นหน้าน้องชายที่คลานตามกันมาก็รู้ถึงไส้ถึงพุงแล้ว “หึ…” แม่งคงบันเทิงน่าดู
น้องชายเลิกคิ้วขึ้น “แล้วตัวเล็กๆนั่น?”
คนถูกถามหรี่ตามองร่างสูงไล่เลี่ยกันต่างกันแค่มิลลิเมตร
“เสือกน่า…” ไอ้พระรองมันโตแล้ว มันจะสนใจใครก็ได้ แต่มึงจะสนใจไอ้เตี้ยไม่ได้!
“อ่อ…” พ่อน้องชายบังเกิดเกล้ายักไหล่ เดาะลิ้นทีหนึ่ง
…สรุปคือ…
แม่งหวงชัวร์!
“มึงจะค้างไหม?” เจ้าของห้องถามขึ้นเมื่อทั้งสองคนเดินเข้าห้อง
นัยน์ตาคมกริบของพระรองกวาดตามองรอบๆห้องของพี่ชายที่ยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สมัยที่เขากำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย พระรองเข้ามาพักกับพี่ชายในกรุงเทพฯ คอนโดนี้พ่อกับแม่ซื้อให้เมื่อตอนที่พระเอกสอบติดเข้าปีหนึ่งเหมือนกัน
สุดท้ายพระรองก็สอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังแม้จะคนละที่กับพี่ชายก็ตาม เจ้าตัวเลยย้ายไปเช่าหอใกล้ๆมหาวิทยาลัยแทนเพราะว่าตัวมหาวิทยาลัยอยู่เกือบๆชานเมืองกรุงเทพฯ ปล่อยห้องคอนโดเอาไว้ให้พี่ชายครอบครองคนเดียว
“เออ ค้าง” น้องชายทิ้งตัวลงบนโซฟา ขาก็เขี่ยๆกางเกงบ็อกเซอร์ของไอ้พี่ชายที่กองอยู่บนพื้นไปไว้ข้างๆ
คนห่าอะไรวะ! มาถอดเสิ้อผ้าตรงโซฟาห้องนั่งเล่น
“งั้นเย็นนี้พิซซ่าละกัน ของที่แม่ทำมาเก็บไว้แดกวันอื่น” แน่นอนว่าถ้าขึนแดกแบ่งกับไอ้พระรองมันจะต้องไม่พอแดกแน่นอน อีกอย่างแม่ก็คงทำแบ่งเผื่อส่วนของมันไว้แล้วแน่นอน
“ไงก็ได้” น้องชายไม่เลือกมากอยู่แล้ว เขาไถลร่างสูงใหญ่ของตัวเองไปตามความยาวของตัวโซฟา ขยับตัวให้เขาที่ทางหน่อยก็พร้อมนอน
“เออ” พระเอกพึมพำ “มึงมีเงินสดติดตัวไหม?” ถามเผื่อไว้ก่อน
พระรองพยักหน้าพลางหลับตา
“เออดี...” มือใหญ่มองธนบัตรสีน้ำเงินเหี่ยวๆที่ได้มาจากป้าร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ร้านประจำแถวคอนโดทอนมาให้เมื่อวันก่อนที่วางอยู่บนโต๊ะ ข้างๆเป็นปึกบัตรเครดิตและบัตรต่างๆที่มัดรวมกันด้วยหนังยางสีเขียว คือจริงๆปกติชอบใช้สีแดงที่มาจากร้านข้าวแกงนะ แต่ว่าพอดีแม่งหมดเลยต้องควานหาที่มันเหลือๆมาใช้แล้วเจอสีเขียวพอดิบพอดี “กูมีตังค์แค่ห้าสิบบาท!”
ไอ้ทุเรศเอ๊ยยยยย!
คนห่าไรไม่เคยเปลี่ยนเลย...มีแต่มันนั่นแหละที่พกเงินสดไม่เคยเกินร้อยสักที
บ่นไปก็เท่านั้น! พระรองก็เป็นคนออกเงินค่าพิซซ่าดิลิเวอรี่ของบริษัทพิซซ่ายี่ห้อดังของประเทศไทยที่มาส่งถึงหน้ารีเซ็ปชั่นคอนโด
“มึงไม่มีเรียนหรือไง?” เสียงทุ้มเข้มถามน้องชายที่ยังคงนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟากลางห้องตอนสายๆของวันรุ่งขึ้น
พระรองก็นิสัยเหมือนก็อปปี้พี่ชายมาบางส่วน ย้ำว่าแค่บางส่วนเท่านั้น!
พระเอกไม่ชอบใส่เสื้อนอนฉันใด พระรองก็ไม่ชอบใส่ฉันนั้น
ร่างสูงใหญ่ของน้องชายอยู่ในชุดกางเกงบ็อกเซอร์ของพี่ชายตัวเองด้านบนก็ไม่ได้ใส่อะไรเช่นกัน ขณะที่พระเอกกำลังสวมเสื้อเชิ๊ตนักศึกษาสีมอๆของตัวเอง จนน้องชายต้องขมวดคิ้ว
“เสื้อมึงทำไมเหลืองงี้วะ” เห็นแล้วขัดหูขัดตา นี่คงเป็นสิ่งที่คนอย่างพระรองไม่ยอมแน่นอน ถึงอยู่ในบ้านเขาจะนิสัยคล้ายๆพี่ชายแต่ว่าอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนก็คือ…
เสื้อนักศึกษาต้องขาวเสมอ! เพราะว่าบนโลกนี้มีผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่าไฮเตอร์อยู่
“เฮ้ย มึงเป็นน้องไม่ใช่แม่นะเว้ยยยยย” แยกเขี้ยวด่ามันไปทีหนึ่ง มาทำตัวเป็นแม่กูไปได้
“อุบาทว์สัส” ส่ายหน้ามองร่างสูงใหญ่ไม่ต่างจากตัวเองของพี่ชายคนโตที่เดินขยี้หัวยุ่งๆให้เข้ากัน แต่ดูแล้วยังไงแม่งก็ไม่ได้ทำให้มันดูเรียบร้อยขึ้นสักนิด
นี่มันมั่นใจใช่ไหมว่ามันเป็นนักศึกษาคณะศิลปกรรมไม่ใช่คนจรจัดตามใต้สะพานลอย?
พระเอกเบ้ปากใส่คนที่นอนอยู่บนโซฟา ใครมันจำเป็นต้องเนี๊ยบเหมือนเด็กคณะนิติฯอย่างมันกันล่ะ ความฝันของไอ้พระรองคือการเรียนนิติฯ สอบเนติฯ บรรจุข้าราชการศาลยุติธรรม
มันบอกว่าการจะทำงานในศาลต้องเริ่มจากการทำให้ตัวเองดูภูมิฐานและน่าเชื่อถือเสียก่อน แต่เอาเถอะ...กูไม่เข้าใจความภูมิฐานของมันพอๆกับมันไม่เข้าใจความแอบเสตร็กของกู
การแต่งตัวของกูมันเรียกว่า…
แรงบันดาลใจของคนเดินดิน กินหญ้าเป็นอาหาร!
เฮ้ย!!!...ผิดๆๆ
ถึงไอ้พระรองมันจะบอกว่าเหมือนกูไปคลุกดินก็ตามแต่ เหอะ!
มันไม่เข้าใจความเป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ ต้องอาศัยหัวใจในการสัมผัสมากกว่าสมอง!
“มึงเอาคีย์การ์ดสำรองมาดิวะ” พระรองผงกหัวมามองพระเอกที่กำลังจะเตรียมตัวออกจากบ้าน
ตั้งแต่เขามีหอของตัวเองก็เลยไม่ค่อยได้มาแถวนี้เท่าไรอีกเพราะว่ามันไกลจากมหาวิทยาลัยเขา ส่วนคีย์การ์ดก็เลยคืนเจ้าของห้องมันไปก่อน
ร่างสูงใหญ่ที่กำลังใส่ถุงเท้าที่ม้วนๆเป็นขดๆเพราะว่าเพิ่งจะถอดทิ้งแล้วยัดๆเอาไว้ในรองเท้าผ้าใบสีมอๆพอๆกับเสื้อเจ้าของเมื่อวานเอง กลิ่นยังหอมดีอยู่แต่อาจจะมีกลิ่นตุๆบ้างตามสภาพอากาศและความอับชื้นจากฝนที่ตกผิดฤดูของประเทศไทย
“มึงจะเอาไปทำไม?”
“ก็เก็บไว้ไง” แล้วพี่มึงจะขมวดคิ้วทำไมน่ะนั่น
พระเอกเงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนจะทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ให้น้องชาย
“คีย์การ์ดสำรอง...” คนพูดยักไหล่มองหน้าน้องชายตัวเอง
“กูเก็บไว้ให้คนอื่นแล้วว่ะ”
.
.
.
พระรองกระเด้งตัวขึ้นมาหลังจากพี่ชายออกไปแล้ว
“อ้าว ไอ้เชี่ยยยยยย!” ขยี้ผมตัวเอง “แล้วกูจะกลับไงห้ะ??? ไอ้ส้นตีน!!!” สรุปคือไม่มีบัตรติ๊ดๆกูก็กดลิฟท์ไม่ได้นาจ่า!
++++++++++++++++++++ 100% +++++++++++++++++
สวัสดีค่า
วันนี้เอาอีกครึ่งตอนมาลงให้ค่า ขออภัยที่หายไปนานนะคะ มีแต่ตอนพิเศษสั้นๆมาลงให้หายคิดถึง
ตอนนี้เราค่อนข้างมีเวลาได้หายใจหายคอเล็กน้อยเพราะมหาวิทยาลัยปิดเทอมหนึ่งเดือนค่า เลยบินกลับไทยมาพักผ่อนซะหน่อย ฮ่าๆ
เรามีแพลนจะไปงานเจนวายที่จะถึงนี้ด้วยค่า มีใครไปหรือเปล่าคะ ถ้าไปทักทายกันได้นะคะ
อ่านแล้วมีฟี้ดแบ็คคอมเม้นมาคุยกันได้นะคะ หรือจะทวิตที่ #รักรสนมจืด
ขอบคุณมากค่า