บทที่ 25
คุณสมบัติว่าที่ลูกเขย
“แปง!!! ไอ้เพื่อนแรดดด ฮ่าๆ”เสียงเพื่อนตัวดีหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ จนผมต้องมองตาขวาง เพราะทั้งที่ผมคิดมากอยู่ แต่เพื่อนอย่างยัยนี่ก็เอาแต่หัวเราะชอบใจ
“เสียงดังทำไมเล่า เครียดอยู่เนี่ย”ผมบอกอย่างเคืองๆ เพราะเอาจริงๆ ถึงผมจะยอมรับว่ารู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับภู่ แต่ผมก็ยังรู้ดีว่าสถานะระหว่างเราสองคน มันก็ยังเป็นแค่พี่น้องข้างบ้านเท่านั้นเอง
“ดูปากข้าวหอมนะคะ แรดดดด”ดูเอาเถอะครับเพื่อนผม ก็ยังจะพูดเล่นอยู่นั่น นี่ดูไม่ออกเลยใช่ไหมว่าผมกำลังคิดมากอยู่ หรือเพราะที่เห็นผมคุยกับเด็กบ้านั่นอย่างปกติ เลยคิดว่าผมไม่ได้เป็นอะไร แต่ผมก็แปลกใจนะครับที่ก็ยังคุยกับเด็กนั่นได้อย่างปกติ อาจเพราะมันเป็นการคุยโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากัน นี่ถ้าต้องคุยต่อหน้าผมว่าผมอาจจะทำตัวไม่ถูกแน่ๆ เลย
“แกแรดมาก ไปทำอีท่าไหน ได้กันยังไง เป็นแฟนกันตอนไหนทำไมไม่เล่าเลยละยู”นี่ก็ถามหน้าระรื่น รัวมาเป็นชุดเลยครับ
“ก็ไม่ได้เป็นไง”ผมหลบตาตอบเสียงเบา ตอนนี้ผมรู้สึกว่าหลายๆ อย่างในหัวผมมันตีกันไปหมด ผมกับภู่เองจากนี้มันจะเป็นยังไงต่อ มันจะเหมือนเรื่องจูบที่ก็ปล่อยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
“เดี๋ยวนะ ไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ได้กันแล้ว มันคืออะไรกันนี่หอมงงไปหมดแล้ว OMG”ผมต้องรีบส่งสัญญานให้ข้าวหอมเบาเสียงลงเพราะเล่นพูดเสียดังจนแทบจะข้ามกำแพงไปให้บ้านผมได้ยินแล้ว
“ก็ถึงเครียดมาคุยกับแกนี่ไง”จริงๆ นอกจากความรู้สึกของผมกับภู่ก็เรื่องที่บ้านนี่อีกด้วยแหละครับ ผมจะพูดยังไงให้เค้าเข้าใจในตัวผม
“เครียดอะไรไหนเล่ามาค่ะ”น้ำเสียงข้าวหอมดูจริงขึ้นมาหน่อย
“ก็ชั้นกับภู่ ไม่ได้เป็นอะไรกัน พอทำอะไรแบบนี้ลงไปมันก็ไม่รู้วะบอกไม่ถูก เวลาเจอกันชั้นต้องทำหน้า ทำตัวยังไง อีกอย่างเมื่อคืนนั่นชั้นก็ดื่มเบียร์ไปด้วย”ผมเริ่มจากเรื่องความรู้สึกในใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“อย่าบอกนะว่านี่แกเผลอตัวไปเพราะเมา”ข้าวหอมเริ่มมีสีหน้ากังวลเมื่อรับฟังในสิ่งที่ผมบอก
“มันก็ไม่ได้เมามาก แต่ก็ยอมรับว่าที่กล้าทำอะไรลงไปขนาดนั้นในตอนแรกก็เพราะดื่มเบียร์ไปนี่แหละ”ภาพที่ผมเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อนรีรันมาอีกรอบจนผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา ต้องรีบเบือนหน้าทำทีเป็นมองทางอื่น ไม่อยากให้ข้าวหอมสังเกตเห็นอาการของผมสักเท่าไหร่
“แล้วน้องภู่เมาด้วยไหม”นั่นสินะ นี่อีกคนเองทำไปเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นเหมือนอย่างผมหรือเปล่า
“ก็ดื่มนะ แต่ไม่น่าจะเมาเพราะเด็กนั่นคอแข็งกว่าชั้นเยอะ”ผมค่อยๆ ทบทวนและเหมือนเป็นการตอบตัวเองไปด้วย แต่อีกคนนั่นไม่น่าจะเมาเลยสักนิด แต่ผมก็คงตอบแทนตัวเค้าได้ไม่เต็มปากอยู่แล้ว
“อารมณ์พาไปด้วยกันทั้งคู่หรือเปล่าเนี่ย”ข้าวหอมเหมือนพูดทบทวนกับตัวเอง เหมือนเป็นการวิเคราะห์อย่างผู้มีประสบการณ์ที่มากกว่าผม
“แกคิดยังไงกับน้องภู่”สายตาคมกริบจ้องมาที่ผมอย่างคาดคั้น จนผมเองไม่กล้าจะสบตา
“มะ...ไม่รู้”ผมปฏิเสธการตอบคำถามเพราะ ถ้าผมตอบได้ผมคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้
“เอ้า จะไม่รู้ได้ยังไง อยู่ใกล้ๆ แล้วใจเต้นไหม รู้สึกดีหรือเปล่าเวลาอยู่ด้วยกัน”ไอ้ใจเต้นมันก็เต้นอยู่หรอก เขินมันก็มี เวลาที่อยู่ด้วยกันผมก็ไม่ได้อึดอัดอะไร นอนเตียงเดียวกันก็อบอุ่นดี อาการพวกนี้คือผมชอบเด็กนั่นเหรอ
“แล้วก็เมื่อคืนชอบหรือเปล่า แต่ชั้นว่าแกต้องชอบแหละ น้องภู่งานดีขนาดนั้น แล้วลีลาเป็นไง แซ่บเปล่า”จากที่เหมือนจะจริงจังอยู่ๆ มันกลายมาเป็นเรื่องนี้ได้ยังไงกัน แล้วไอ้จินตนาการของผมนี่ก็เป็นอะไรนักหนา ใครพูดอะไรมาต้องคิดตามภาพผุดมาในหัวตลอดเลย
“ถามอะไรของแกเนี่ย”คำถามของแม่เพื่อนสนิทนี่ทำเอาผมไปไม่เป็นกันเลยทีเดียวครับ แต่ถ้านั่นทำผมไปไม่เป็นแล้ว ไอ้คำถามต่อมานี่ทำเอาผมอ้าปากค้างเลยทีเดียว
“อีกคำถามนึงอันนี้อยากรู้ส่วนตัว ใหญ่ไหม”อย่างที่บอกว่าจินตนาการผมมันดีเกินไป ไอ้สิ่งที่ข้าวหอมถามผมมันเลยมาทั้งตอนสงบนิ่ง และตอนขยายตัวแทบจะชัดระดับเอชดีเลยแหละครับ
“หอม! แกเป็นผู้หญิงไหม มาถามอะไรแบบนี้”ผมรีบสลัดความคิดและ ออกเสียงดุเพื่อนสนิท ทำเป็นไม่พอใจกลบเกลื่อนความรู้สึกปั่นป่วนภายในใจของตัวเอง
“ฮ่าๆ เห็นท่าทางแกแล้ว แสดงว่าน้องภู่ก็คงพอตัวสินะ”นี่ผมหรือเพื่อนกันครับที่ผิดปกติ มันควรเป็นผู้หญิงไหมที่จะเขินอายกับเรื่องนี้มากกว่า แต่เราสองคนดันเหมือนสลับตำแหน่งกันเสียได้
“พอเลยแก เป็นสาวเป็นนางพูดอะไรเนี่ย”ผมรีบห้ามไม่ให้ข้าวหอมพูดอะไรมากไปกว่านี้
“แหมๆ เขินใหญ่เชียว แกไม่ใช่หญิงสาววัยแรกรุ่นไม่ต้องมาสนิมสร้อยให้มาก อีกอย่างตอนนี้แกก็ไม่เวอร์จิ้นอีกต่อไปแล้ว แถมได้กินเด็กอีก โอ้ยอิจฉา”ดูเหมือนการห้ามปรามของผมก็ยังดูจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ เพราะข้าวหอมก็ยังคงจ้อไม่หยุด นี่ผมชักอยากให้เพื่อนคนนี้เข้าบ้านไปนอนต่อให้รู้แล้วรู้รอดละครับเนี่ย
“บ้า”ผมบ่นเบาๆ เมื่อไม่รู้จะห้ามยังไงแล้ว แต่รอบนี้เหมือนข้าวหอมจะหยุดคิดบางอย่างก่อนจะถามออกมาอีกครั้ง
“เออ ว่าแต่แกสองคน อยู่ๆ ก็ก้าวกระโดดมาถึงจุดนี้กันเลยเหรอ มันไม่มีแบบสัญญานอะไรล่วงหน้ามาบ้างเลยเหรอ”เอาแล้วไง นี่ผมต้องเริ่มเล่าไอ้พวกเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อีกหรือเปล่าเนี่ย
“มันก็...”ผมไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เพราะจริงๆ มันก็มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมดที่ส่งผลมาจนถึงตอนที่ผมกล้าเป็นฝ่ายเริ่มอะไรแบบนั้น มันอาจจะตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน เค้าก็มาถอดเสื้อโชว์ผม หรือเหตุการณ์เล็กๆ อย่างเค้าซื้อปาท่องโก๋ให้ผม หรือจะเรื่องที่เค้าจุ๊บแก้มผม โชว์สองสาวนั่น การที่เค้ามากอดผม ในวันที่รู้สึกนอยด์
“อะไรเล่ามา”เมื่อเห็นผมนิ่งเงียบไปก็คงขี้เกียจรอเลยต้องเร่งผมอีกครั้ง
“จริงๆ ภู่ก็เคยมานอนห้องชั้น 2 ครั้ง เคยถอดเสื้อผ้าเปลี่ยนให้ชั้นตอนเมา แล้วก็เคย...จูบ”ผมเลือกที่จะเล่าบางส่วนที่มันดูชัดเจน พอจะเป็นสัญญานอย่างที่ข้าวหอมถามถึง
“แรด พูดเลยว่าเพื่อนชั้นแรดมาก นี่แกไม่เคยเล่าให้ชั้นฟังเลย”ก็ดูเอาเถอะว่าพอเล่าก็จะเป๋นแบบนี้ ใครจะไปอยากเล่า เดี๋ยวก็ทั้งแซวทั้งแกล้งล้ออีก
“ก็กลัวแกล้อ อีกอย่างเด็กนั่นมันก็แค่แกล้งชั้นเล่น”ผมไม่ได้คิดไปเองนะครับว่าเด็กนั่นแกล้งผมเล่นเพราะเค้าเคยพูดเอง ว่าทุกอย่างที่เค้าทำมันเริ่มจากการที่อยากจะแกล้งผมเล่น แค่นั้นเอง พอมาถึงตรงนี้ใจผมมันก็เหมือนจะหน่วงๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้นแหละครับ
“แกคิดว่าที่เค้าทำนั่นคือการแกล้งเล่นเหรอ โอ้ยตายแล้วเพื่อนชั้น ไอ้พ่อคนอินโนเซนส์ พ่อคนใส ไอ้น้องแปงสองขวบครึ่ง”ผมโดนพูดใส่หน้าเหมือนกับว่าผมไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยงั้นแหละ
“ก็แล้วมันจะหมายความว่ายังไงเล่า”ผมถามกลับอย่างเคืองๆ
“หมายความว่าเค้าชอบแกไง เค้าชอบแกเข้าใจไหม”ข้าวหอมชะโงกหน้ามาตะโกนใส่ผมจนผมต้องรีบผลักใบหน้ายิ้มระรื่นนั่นออก นี่ทำไมทั้งข้าวหอมหรือทั้งภู่เอง ดูจะสนุกเวลาได้แกล้งผมแบบนี้ ผมหันมองเพื่อนอีกครั้งอย่างเคืองๆ
“ใช่เหรอที่แกพูดนั่นนะ”แม้จะยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพื่อนพูดแต่ผมก็แอบลอบยิ้มจางๆ โดยไม่ให้ข้าวหอมเห็น อยู่เหมือนกันนะครับ
“โอ้ยแกนี่มันยังไง กลัวโดนเด็กหลอกหรือไง แต่ชั้นว่าเอาจริงๆ ต่อให้เสียซิงเพราะโดนเด็กหลอกก็คุ้มนะแก คิดเสียว่าหาประสบการณ์ กินเด็กเป็นกำไรชีวิตงี้”มันก็ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกนะครับ แค่มันยังไม่อยากคิดอะไรไปไกล ผมเองแค่รู้สึกว่ามันยังไม่มีอะไรให้มั่นใจสักอย่างเท่านั้นเอง
“เออๆ เลิกเครียด ชั้นว่าแกก็ต้องพอรู้นั่นแหละว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับน้องภู่ และก็คงพอสัมผัสได้ว่าน้องภู่รู้สึกยังไงกับแก เพียงแต่พวกแกอาจจะยังไม่ได้คุยกันให้ชัดเจน เพราะงั้นกลับไปก็เคลียร์กันให้เรียบร้อย จะได้มีผัว เอ้ยมีแฟนกับเค้าสักที”แฟน ผมจะมีแฟนงั้นเหรอ พอได้ยินคำนี้ จากที่กำลังจะหายเครียดลงบ้างจากการฟังข้าวหอมอภิปราย แต่คำว่าแฟน ก็ทำให้นึกถึงคำพูดของแม่ที่พยายามที่จะยังไม่ให้ผมมีแฟน แต่หนักสุดคงประเด็นที่ผมเกือบทะเลาะกับพ่อเมื่อวานมากกว่า
“อะไร นี่ยังเครียดอะไรอีกละเนี่ย”สีหน้าอาการผมคงแสดงออกชัดเจนจนข้าวหอมต้องถามอีกรอบ
“ก็เรื่องพ่อด้วยแหละแก เมื่อวานแกไม่เห็นหรือไง”ผมบอกอย่างเซ็งๆ ก่อนที่ข้าวหอมเองจะถอนหายใจออกมายาวๆ พร้อมกันกับผม
“นี่ถ้าไม่ติดว่าชั้นยังคิดจะแต่งงานกับพี่โตนะ ชั้นจะลงทุนแต่งกับแกบังหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”แม้จะพูดให้ดูขำ แต่บอกตรงๆ ว่าทั้งผมและข้าวหอมเองก็เหนื่อยหน่ายกับประเด็นนี้เต็มทน
“เดี๋ยวว่าจะเข้าไปขอโทษเค้าเรื่องเมื่อวานอยู่เนี่ย แล้วก็คงคุยเรื่องนี้จริงๆ จังๆ ให้เด็ดขาดแล้วละ”ผมพูดออกไปอย่างมุ่งมั่น จะได้เลิกปวดหัวกับเรื่องนี้เสียที อีกอย่างถ้าภู่คิดกับผมอย่างที่ข้าวหอมคาดเดาจริงๆ ผมก็ยิ่งที่ควรจะต้องรีบจัดการเรื่องนี้
“ก็ดีแก แต่ก็ไม่ต้องคุยละเอียดถึงขนาดเล่าเรื่องว่าที่แฟนให้ฟังเหมือนเล่าให้ชั้นฟังก็ได้นะ พ่อกับแม่แกคงยังรับไม่ทัน”คำพูดที่พยายามปลอบใจพูดให้ตลกขึ้นมาเพื่อคลายความกังวลของผม พอจะช่วยได้บ้างนิดหน่อยเท่านั้นแหละครับ ข้าวหอมให้กำลังใจผมอีกนิดหน่อยก่อนจะ ขอตัวกลับไปนอนต่อ ส่วนผมก็เข้าบ้านตัวเองครับ
“พ่ออยู่ใช่ไหมเจ้”คนแรกที่เจอคือพี่สาวของผม ที่ดูมีสีหน้าแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมที่บ้าน
“นึกว่าจะเตลิดไปมากกว่านี้เสียอีก น้องเจ้เริ่มโตแล้วมั้งเนี่ย”เจ้ปอเดินมาสวมกอดผม อย่างให้กำลังใจ เพราะอย่างที่พี่สาวผมบอก ทุกทีเวลาคุยเรื่องนี้กันแล้วเริ่มจะมีปากเสียงกันรุนแรง ผมก็มักจะไม่เข้าบ้าน แต่ปกติก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ บ้านข้าวหอมบ้าง คอนโดเพื่อนคนอื่นบ้าง ครั้งนี้ทุกคนก็คงคิดว่าผมจะหายไปนานเพราะตอนนี้ผมเองก็พักที่อื่นด้วย
“ก็ไม่ใช่เด็กแล้วไหมละเจ้”ผมกอดพี่สาวเพื่อรับกำลังใจ ก่อนจะเดินตามหลังตรงเข้าบ้านไปยังห้องนั่งเล่นที่ทั้งพ่อและแม่ผมนั่งอยู่ด้วยกันทั้งคู่ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ทั้งสองท่านก็ดูจะแปลกใจเหมือนกันที่เห็นผม
“ขอโทษที่เมื่อวานทำตัวแบบนั้นนะครับ”ผมยกมือไหว้ทั้งสองคน แม่หันมายิ้มให้ผมเหมือนรับรู้และไม่ได้ติดใจอะไรอีก แต่พ่อผมนิ่งเงียบไป เหมือนขบคิดบางอย่าง ก่อนจะหันมายิ้มจางๆ ให้กับผม
“อืม ไม่เป็นไร พ่อเองก็คงพูดแรงเกินไปด้วยแหละ”ผมงงนะครับเนี่ย ทำไมดูทั้งพ่อและแม่เข้าใจผมง่ายๆ ขนาดนี้
“ตกลงพ่อกับแม่ไม่โกรธผมแล้วใช่ไหมคครับ”ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจซึ่งทั้งพ่อและแม่รวมทั้งเจ้ปอก็พยักหน้ารับ ยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู ทำให้ผมตัดสินใจนั่งลงข้างๆ พ่อ
“งั้นไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมขอคุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนเลยได้ไหมครับ ว่าผมไม่มีทางที่จะชอบผู้หญิงได้”ผมตัดสินใจพูดออกไปเพราะอยากให้เรื่องนี้มันสิ้นสุดลงสักที
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พ่อเข้าใจ ที่จริงก็เข้าใจมานานแล้ว เพียงแค่ยังไม่อยากยอมรับ แต่ตอนนี้มันคงถึงเวลาแล้วสินะ ที่จะต้องยอมรับมันจริงๆ เสียที”ผมหันมองหน้าทุกคนอย่างประหลาดใจ ทำไมอะไรๆ มันลงเอยง่ายๆ แบบนี้ไปได้ละเนี่ย
“ทำไมมันต่างจากเมื่อวานจัง นี่ผมชักงงๆ นะครับเนี่ย”
“ก็เมื่อวานพอเราออกไปพ่อเค้าได้คุยกับว่าที่ลูกเขยคนโปรดนะสิ”เจ้ปอกล่าวถึงแฟนหนุ่มที่เหมือนว่าเมื่อวานแกก็พยายามจะพูดอะไรกับผมแหละ แต่ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะฟัง
“ต๊าฟเค้าเล่าเรื่องน้องชายให้ฟัง ว่าครอบครัวเค้ายอมรับในตัวน้องชายที่ชอบเพศเดียวกันตั้งนานแล้ว เพราะสิ่งที่คนในครอบครัวมีความสุข เราก็ควรให้เค้าได้เจอความสุข ไม่ใช่กีดกันให้เจอความทุกข์ แต่ครอบครัวฝั่งแฟนน้องชายต๊าฟ ก็มีบททดสอบมากมายกว่าจะยอมรับความรักของทั้งคู่ได้”ถ้ารู้ว่าพ่อจะรับฟังว่าที่ลูกเขยคนโตง่ายๆ แบบนี้ผมให้พี่ต๊าฟช่วยพูดนานแล้ว แต่ก็อีกนั่นแหละผมก็ไม่ได้รู้เรื่องน้องชายพี่ต๊าฟสักเท่าไหร่ เรียกว่ายังไม่เคยเจอด้วยซ้ำ
“พ่อฟังแล้วก็เลยมาลองทบทวนดู ว่าอะไรที่มันเป็นความสุขของลูกชายพ่อก็ควรจะยินดีด้วย จริงไหม”ผมขยับเข้าไปกอดพ่อ นี่สินะที่เค้าบอกว่า ยังไงพ่อกับแม่ก็รักลูก ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง
“ขอบคุณ ขอบคุณครับพ่อ”ผมบอกพร้อมกับน้ำตาที่มันออกมาเพราะความตื้นตัน
“เอ้าจะร้องทำไม หยุดได้แล้ว”พ่อลูบหัวผมอย่างเอ็นดู แล้วทุกคนก็ยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขจริงๆ สำหรับทุกๆ คน ผมว่าผมสัมผัสได้
“แม่เองก็คงไม่ห้ามเรื่องแปงจะมีแฟนอีกแล้วละ”ผมพยักหน้ารับรู้พร้อมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มลง เพราะน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจัง และเปลี่ยนไปของผู้เป็นพ่อ
“แต่พ่อขออีกนิด นิดเดียวจริงๆ”สีหน้าขรึมนั้นทำเอาผมลุ้นแทบแย่ ซึ่งก็ไม่ใช่ผมคนเดียวเพราะแม่ผมเองก็มองพ่อตาขวางไปแล้วเช่นกัน คงกำลังรู้สึกเช่นเดียวกันว่าพ่อจะเป็นฝ่ายห้ามอะไรผมอีกหรือเปล่า
“ไม่ต้องมองแบบนั้น คุณก็แหม ผมไม่ได้จะห้ามลูกมีแฟน ผมก็แค่เป็นห่วง ไม่อยากให้ลูกเราโดนใครมาหลอกเอาได้”ทำไมทุกคนดูจะกังวลเรื่องผมโดนหลอกกันจังเลย นี่ผมดูหลอกง่ายขนาดนั้นหรือไง แต่พอนึกถึงหน้าไอ้เด็กบ้าที่น่าจะเป็นคนเดียวที่เข้าข่ายคนจะมาหลอกผมได้ ผมก็ยิ้มออกมา เพราะผมไม่กลัวเค้าสักนิดเลยครับ
“น้องชายของต๊าฟเนี่ย แฟนเค้าเป็นถึงนักเรียนนอก จบมาก็เปิดธุรกิจของตัวเองสร้างเนื้อสร้างตัวช่วยกันทำมาหากิน แบบนั้นมันถึงทำให้พ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย วางใจให้เค้าคบหากันได้ แพราะงั้นแปงเอง พ่อก็อยากให้เลือกนิดนึงนะลูก จะคบใครก็ต้องหาที่มันเหมาะสมกับเรา พ่อไม่ได้หมายความว่าลูกพ่อต้องไปเลือกคนมีเงิน คนรวยอะไรแบบนั้น แต่พ่ออยากให้เลือกคนที่เราจะฝากผีฝากไข้ได้ เป็นผู้ใหญ่หน่อยก็ดี จะได้ดูแลลูกชายตัวน้อยของพ่อได้”จากที่ตอนแรกผมยิ้มกว้าง ก็ต้องเปลี่ยนเป็นยิ้มแห้งๆ
“ครับ”ผมเลือกที่จะรับคำโดยไม่ถามอะไรอีก แต่ในใจกำลังนึกถึงอีกคนว่าคุณสมบัติเค้าตรงตามที่พ่อผมวางไว้หรือเปล่า ว่าแต่นี่ผมกับเด็กนั่นก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกันเสียหน่อย ผมจะรีบพิจารณาคุณสมบัติเค้าตามที่พ่อตั้งไว้ทำไมละเนี่ย
TBC
เอ้าน้องภู่จะผ่านเกณฑ์ไหม