บทที่ 27
ขอคำตอบ
ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองอย่างร้อนรน เพราะนี่ก็จะเที่ยงแล้ว งานก็ยังไม่เสร็จแบบนี้ผมจะไปทันไหมเนี่ย แล้วไอ้เด็กบ้านั่นก็ส่งข้อความมากดดันผมจัง ก็บอกแล้วว่าผมจะไปช่วงบ่าย ยิ่งมาเร่งผมแบบนี้ผมยิ่งไม่มีสมาธิในการทำงาน แล้วงานเลยยิ่งจะเสร็จช้าเข้าไปอีก ผมรีบมาตั้งสมาธิกับงานตรงหน้าต่อ
“น้องแปงเที่ยงแล้วไปกินข้าวกัน แล้วนี่ไอ้ต้าร์กับน้องฟ่างไปไหน”เที่ยงแล้วสินะเนี่ย ผมต้องเร่งมือกับงานให้เร็วขึ้นอีกเสียแล้ว
“พี่ฟ่างกะพี่ต้าร์ไปพรีเซนต์งานให้ลูกค้าดูครับ”ผมตอบโดยไม่หันไปมองเจ้โอ๋
“อ๋อ ป่ะๆ วางมือไปกินข้าวกัน”เจ้โอ๋เดินเข้ามาตีมือผมเบาๆ จนผมต้องหันมามอง
“คือพี่โอ๋ไปก่อนเลยครับ พอดีบ่ายนี้ผมลาต้องเคลียร์งานต่ออีกนิด”ผมก็ลืมไปว่าเรื่องลางานยังไม่ได้บอกเจ้โอ๋ แถมนี่พี่ฟ่างพี่ต้าร์ก็ไม่อยู่ด้วยสิเนี่ย
“ไปไหนอ่ะ”ผมมองหน้าเจ้โอ๋อย่างไม่รู้จะตอบเจ้แกว่ายังไง เพราะไอ้เหตุผลว่าลางานไปดูเด็กบ้านั่นเล่นดนตรีก็อาจจะฟังดูไร้สาระไป แถมถ้าบอกไปเจ้โอ๋อาจซักผมต่อแน่ๆ ว่าทำไมผมต้องไป ผมเลยกลายเป็นอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป
“มองขนาดนี้บอกเจ้เลยก็ได้นะว่าอย่าเผือก”เอ้าเจ้แกก็ดันตีความไปนั่นอีก แต่ดูเจ้แกก็กัดตัวเองขำๆ คงไม่ได้คิดจริงจังอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่ผมว่าเจ้มาขนาดนี้ ผมบอกไปตรงๆ เลยแล้วกันครับ
“เปล่าๆ ผมไม่กล้าว่าเจ้หรอกครับ ผมลาไปงานโรงเรียนของน้องชายนะครับ”บอกแค่นี้คงไม่น่ามีอะไรให้เจ้แกอยากเผือกต่อแล้วมั้งครับ
“โอเคๆ เจ้ไปกินข้าวก่อนละกัน”นั่นไง ผมแอบลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นว่าเจ้แกไม่ซักไซร้อะไรผมอีก
“เดี๋ยวก่อน น้องแปงมีน้องชายด้วยเหรอ”เจ้โอ๋ก็ยังเป็นเจ้โอ๋ครับ ขนาดว่าหันหลังไปแล้วยังพุ่งกลับมาถามผมอีก เล่นเอาผมตกอกตกใจหมด เชื่อเจ้แกเลยครับ
“อุ่ยเจ้ว่าเจ้เผือกเกินไปอีกแล้ว เจ้ไปดีกว่าเนอะ”ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรเจ้โอ๋ก็เหมือนจะเบรคตัวเองเสียก่อน แกยิ้มแก้เก้อให้ผมก่อนจะออกไปจริงๆ ส่วนผมก็ปั่นงานต่อ จนในที่สุดก็เสร็จเสียที ผมมองนาฬิกาอีกครั้งเหลืออีก 15 นาทีจะบ่ายโมง
“วงผมเริ่มเล่นบ่ายโมงนะลุง ถ้ามาไม่ทันผมโกรธลุงจริงๆ ด้วย”ข้อความสุดท้ายที่เด็กบ้านั่นส่งมา ทำให้ผมต้องรีบดีดตัวเองออกอย่างเร็ว แล้วก็เรียกว่าแทบจะวิ่งไปที่จอดรถเลยทีเดียว โชคดีที่ช่วงนี้รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ แต่กว่าผมจะมาถึงโรงเรียนก็ปาเข้าไปเที่ยง 15 นาทีแล้ว ผมรีบหาที่จอดรถ แล้วเดินตามเสียงเพลงที่ได้ยิน จนในที่สุดผมก็เดินมาถึงหอประชุมที่มีการจัดงาน นี่ก็บ่ายโมงครึ่งเข้าไปแล้ว นี่ปกติ วงดนตรีในโรงเรียนแบบนี้เค้าเล่นกี่เพลงกันละครับเนี่ย
ไอ้ผมก็ผ่านวัยมัธยมมาหลายปีแล้วด้วยนี่สิ แต่ไม่เป็นไรยังไงเสียผมก็มาทันแหละน่า นั่นไงผมเห็นเค้าแล้ว ไอ้เด็กบ้าของผม เอ๊ะ “ของผม” งั้นเหรอ ไม่ใช่ละนี่ผมคงบ้าไปเองแล้วเนี่ย ผมหันมองรอบๆ ดูหน้าเวทีก็มีแต่นักเรียนหญิงที่เกาะขอบเวที เห็นแล้วก็นึกถึงสมัยตัวเองเรียนบ้างเหมือนกันนะครับ ว่าแต่นี่ผมแก่ขนาดต้องนึกถึงความหลังแล้วเหรอเนี่ย นี่วันนี้ผมคงโดนเด็กๆ เหมารวมว่าเป็นพ่อของใครสักคนในโรงเรียนนี้ไปแล้วแน่ๆ
ผมหยุดความคิดไร้สาระของตัวเอง โฟกัสสายตาไปยังอีกคนที่จับๆ หมุนๆ กีต้าร์อยู่ จะว่าไปเค้าก็ดูเท่ห์ไม่เบาเหมือนกันนะครับ เวลายืนอยู่บนเวทีนั่น ผมส่งยิ้มบางๆ ให้เค้าเมื่อเห็นว่าเค้าหันมาเจอผมแล้ว ผมยกมือขึ้นโบกเบาๆ แม้จะอยู่ไกลหน่อย แต่ผมว่าตอนนี้ผมเห็นสายตาเคืองๆ ของเค้าส่งมานะ
“ลุง มา ช้า”ผมว่าผมอ่านปากเค้าไม่ผิดนะ ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ยังจะมาทำท่างอนผมอีก นี่ผมก็มาแล้วไง เค้าชี้ตรงมาที่ผมก่อนจะทำท่าปาดคอ นี่ขู่กันเหรอ แต่ตอนนี้ไอ้คำขู่เค้านั่นไม่เท่าไหร่หรอกครับ ไอ้ที่สำคัญตอนนี้น่าจะแฟนคลับสาวๆ หน้าเวทีของเค้ามากกว่าที่ต่างพากันหันกลับมามองว่าพี่ภู่ของพวกเธอชี้มาที่ใคร ผมก็ได้แค่ทำไม่รู้ไม่ชี้
“แล้วก็มาถึงเพลงสุดท้ายของพวกเราแล้วนะครับ และเพลงนี้พิเศษตรงที่ มือกีต้าร์ของเราจะเป็นคนร้องครับ เอ้าขอเสียงกรี๊ดดังๆ ให้มือกีต้าร์สุดหล่อของเราหน่อยครับ”เสียงกรี๊ดพร้อมเรียกชื่อของเค้าดังจนแทบจะแสบแก้วหูครับ แต่ภายใต้เสียงกรี๊ดนั่นคำพูดที่เค้าบอกกับผมเมื่อวาน กลับดังก้องขึ้นมาในหัวของผม
“ผมมีเซอร์ไพรส์ให้ลุงด้วย”
หรือนี่จะเป็นเพลงที่เค้าจะร้องเซอร์ไพรส์ผม ไม่หรอกมั้ง ผมคงไม่ได้สำคัญอะไรกับเค้าขนาดนั้นมั้งแต่ทำไมสายตาของเค้าที่กำลังเดินไปกลางเวทีนั่นมันมองตรงมาที่ผมละเนี่ย
“ผมอาจจะร้องไม่เพราะ เพลงอาจจะไม่คุ้นหู แต่ผมก็อยากมอบเพลงๆ นี้ให้ใครคนนึงครับ”ก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองสักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่ไอ้ที่เค้าบอกให้ผมมา แล้วก็สายตาที่จ้องมาทางผมตอนนี้มันก็ทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ครับ แถมตอนนี้ผมแทบจะทำตัวไม่ถูกแล้วครับ มันเขินๆ ยังไงบอกไม่ถูก นี่ถ้าเค้าหมายถึงผมจริงๆ ก็หวังว่าคงไม่มีใครรู้นะครับว่าผมคือคนนั้น เพราะผมคงต้องแทรกแผ่นดินหนีด้วยความอายเป็นแน่
“พี่ภู่จะร้องให้หนูใช่ไหมคะ”เสียงนักเรียนหญิงคนนึงตะโกนออกมา เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากบรรดาคนที่อยู่รอบๆ ได้เป็นอย่างดี เค้าหันไปส่งยิ้มให้กลุ่มนั้น ก่อนที่มือกลองจะเคาะจังหวะเป็นการเริ่ม
“แล้วในแผ่นนี้ พี่ชอบเพลงไหนมากที่สุด”คำพูดที่เค้าเคยถามผมผุดขึ้นมาในหัวผมทันทีที่เสียงดนตรีเริ่ม ผมแทบไม่ต้องเดาเลยว่ามันคือเพลงอะไร
“ไอ้เด็กบ้าเอ้ย”นี่ขนาดเค้าไม่ได้อยู่ใกล้ๆ แต่ผมก็ยังต้องหลุดปากต่อว่าเค้าเพื่อเป็นการแก้อาการเขินของตัวเอง
Isn’t it funny
How times seems to slip away so fast
One minute you’re happy the other you’re sad
But if you give me one more chance to show my love for you is true
I’ll stand by your side your whole life through
แม้เสียงร้องของเค้าจะไม่ได้เพราะอะไรมากมาย แต่ผมกลับรู้สึกว่าเพลงมันเพราะเสียเหลือเกิน นี่ผมคงบ้าไปแล้ว แต่ไอ้คนที่กำลังร้องเพลงอยู่นั่นคงบ้ายิ่งกว่า เพราะไม่รู้ว่าเค้าเข้าใจความหมายของเพลงนี้จริงๆ หรือเปล่า หรือเลือกเพลงนี้มาเพียงเพราะแค่รู้ว่าผมชอบ แต่ไม่ว่าจะยังไงผมก็ชอบนะ ที่เค้าร้องเพลงนี้ให้ผมเพราะนี่มันคงเป็นครั้งแรกที่มีใครทำอะไรแบบนี้ให้ผม แม้อาจจะดูเด็กๆ ไปบ้าง แต่คนวัยเบญจเพสแบบผมที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนก็ยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูแล้วครับ
If life is so short
Why won’t you let me love you
Before we run out of time
If love is so string
Why won’t you take the chance
Before our time has come
If life is so short
If life is so short
เค้าจะรู้หรือเปล่าว่าเพลงนี้มันเพลงสารภาพรัก แทบจะเหมือนการขอเป็นแฟนด้วยซ้ำ รู้หรือเปล่าว่าคนแก่อย่างผมกำลังคิดเข้าข้างตัวเอง กำลังจะลืมเหตุผล หรืออะไรต่างๆ ที่ผมเคยตั้งกำแพงเอาไว้ในใจ
Love is a word that explains how I feel for you
ตอนนี้ผมคงยิ้มแก้มแทบแตกแล้ว นี่หรือเปล่านะที่เค้าเรียกกันว่า puppy love ถึงเข้าจะเอาไว้ใช้กับความรักวัยแรกรุ่น แต่สำหรับผมที่เพิ่งจะเคยได้สัมผัสความรู้สึกนี้ก็คงใช้คำนี้ได้แหละน่า ผมยืนมองคนบนเวทีต่อจนเสียงร้องจบลง ตามมาด้วยเสียงกรี๊ด ดอกไม้และอะไรอีกมากมายถูกยื่นขึ้นไปให้กับเค้า
ผมมองภาพที่กำลังเกิดขึ้นก่อนรอยยิ้มของผมจะค่อยๆ หุบลง บางทีความหมายในเพลงเมื่อสักครู่มันอาจจะไม่ใช่ความรู้สึกของเค้าก็ได้ ดูๆ แล้วเค้าเองมีตัวเลือกตั้งมากมาย แล้วมันจะเป็นไปได้เหรอที่เค้าจะมารู้สึกอะไรกับผมจริงๆ ถึงเราจะเกินเลยทางกายไปแล้วก็เหอะ แต่นั่นมันอาจจะเกิดขึ้นเพียงเพราะความเมาและอารมณ์ที่พาไปของเราทั้งคู่
“รอ กลับ บ้าน ด้วย”ผมพยักหน้าให้เค้าที่ทำปากให้ผมเห็น แต่ผมก็ค่อยๆ หันหลังกลับจะเดินไปที่รถเพราะไม่ค่อยอยากเห็นภาพที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้ หลังจากที่เค้าและเพื่อนๆ ลงจากเวที คงมีนักเรียนหญิงอีกหลายคนที่มีของขวัญอะไรมอบให้เค้า ขอถ่ายรูปกับเค้า ส่วนผมก็คงแค่ผู้ปกครองจำเป็นของเค้าที่มารอรับกลับบ้านสินะ ผมกลับมานั่งรอที่รถ คาดว่าพอเค้าเสร็จธุระก็คงโทรหาผมเอง
“อยู่ไหนคร๊าบบบ”ผมรออยู่พักใหญ่ สายจากเค้าก็มา
“เอ่อ...”ผมมองไปรอบๆ เพื่อบอกว่าผมอยู่แถวไหนของโรงเรียนเค้า รอไม่นานนักก็เห็นเค้าและเพื่อนหอบของพะรุงพะรังตรงมาที่ผม
“พี่แปงสวัสดีครับ”ผมรับไหว้น้องสอกับน้องยิว เพื่อนของเค้าที่ผมเคยเจอมาหลายครั้งแล้ว ทั้งคู่แค่ช่วยหอบของมาส่งเพราะดูเหมือนว่าอีกคนจะเสน่ห์แรงแฟนคลับเยอะ ได้ของมาเพียบเสียจนขนเองไม่หมด
“ขอบใจมากพวกมึงไว้เจอกัน”เค้าบอกลาเพื่อนก่อนจะหันมาหาผม
“วันนี้ผมเท่ห์ป่ะลุง”เค้ายิ้มกว้างถามผมอย่างน่าหมั่นไส้ ที่จริงผมก็หมั่นไส้ไปแล้วแหละครับ
“แฟนคลับเยอะขนาดนี้คงไม่ต้องถามแล้วมั้ง”น้ำเสียงผมคงจะปิดความหมั่นไส้ไว้ไม่อยู่แล้วละครับ ยิ่งเห็นของที่เค้าหอบมานี่ ผมยิ่งหงุดหงิด ผมเบือนหน้าไม่สนใจเปิดประตูขึ้นนั่งประจำที่คนขับ เค้าเองก็อ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง
“ลุงเป็นไรเนี่ย หึงเหรอ”เค้ายื่นหน้าเข้ามาหาผม แต่ผมยังคงมองตรงไปข้างหน้าแม้จะยังไม่ออกรถ ไม่อยากเห็นหน้าระรื่นของเค้าครับ หมั่นไส้ แล้วนี่มาหาว่าผมหึงอะไรอีกเนี่ย มันใช่ที่ไหนกันละ
“บ้าไม่ใช่สักหน่อย”
“งั้นทำไมหน้าบูด มาช้าแล้วยังมาทำหน้าบูดแบบนี้อีก เดี๋ยวไม่น่ารักนะลุง”พอได้ยินเค้าพูดแบบนั้นผมก็ค่อยลดอาการดึงหน้าตัวเองลง ไม่ใช่ว่ากลัวไม่น่ารักอย่างที่เค้าว่าหรอกนะครับ ผมแค่เมื่อยหน้าอยากเปลี่ยนอิริยาบทแค่นั้นเอง
“ไม่น่ารักก็ไม่ต้องรักสิ คนน่ารักๆ ที่นี่ก็มีเยอะแยะแล้วนิ”ไม่รู้อะไรมาดลใจให้ผมพูดประชดออกไปแบบนั้น
“ไม่เอาสิครับลุง เป็นอะไรครับเนี่ย”เค้าเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ของผม พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ผมก็ยังคงนิ่ง เพราะไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ากำลังเป็นอะไร ความรู้สึกกงุดหงิด ว้าวุ่นในใจที่มีอยู่ตอนนี้มันเกิดจากอะไรกัน
“ผมอุตส่าห์ เลือกเพลงมาเซอร์ไพรส์ลุงเลยนา ชอบเปล่า”แม้เค้าจะพยายามพูดดีๆ กับผม แต่ผมก็ยังคงนิ่งเช่นเดิม
“เลือกเพลงมานี่รู้ความหมายมันหรือเปล่า”นี่ก็อาจเป็นส่วนนึงที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมหงุดหงิดอยู่นี่ด้วยก็ได้ ก็เท่าที่รู้สกิลภาษาอังกฤษของเค้าก็ยังไม่ได้เก่งมาก แม้เพลงนี้เนื้อหามันจะไม่ได้ยากอะไรก็เถอะ ผมก็ยังกังวล กังวลว่าเค้าจะแค่ฝึกเพลงนี้มาเพียงเพราะผมเคยบอกว่าชอบแค่นั้น มันไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรสำหรับเค้า
“รู้สิครับ แล้วนี่ผมก็รอคำตอบจากลุงอยู่นะครับ”ผมหันควับไปมองเค้าแทบจะทันที ทั้งต้องการจับผิดว่าเค้าไม่ได้โกหกว่ารู้ความหมาย และสงสัยด้วยว่าเค้ารอคำตอบอะไรจากผม
“คำตอบอะไร”ผมถามออกไปตามที่สงสัย
“เอ้าก็ในเพลงนั่นก็ถามแล้วนิ ว่าลุงจะให้โอกาสผมรักลุงหรือเปล่า”ผมจ้องมองให้ลึกลงไปในแววตาของเค้า ว่าสิ่งที่เค้าพูดออกมามันจริงจังแค่ไหน คำว่า “รัก” ที่เค้าพูดออกมามันหมายความว่ายังไง คำที่ผมเองยังไม่เคยสัมผัส และเข้าใจ
“รักเหรอ”ผมทวนคำที่ข้องใจ
“ใช่ไง ลุงอย่ามาทำไก๋ ลุงก็รู้ความหมายเพลงนิ อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ ผมก็เขินเป็นนะ”หน้าอย่างนี่เหรอเขินเป็นด้วยเหรอ เห็นพูดออกมาไม่ได้มีส่วนไหนที่ดูว่าเค้าเขินเลยสักนิด ทำเป็นมาพูด ผมนี่สิต้องเขิน นี่เค้าชอบผมจริงๆ งั้นเหรอ
“ตกลงว่าไงลุงจะเป็นแฟนกับผมเปล่า”อะไรนี่ผมมีคนมาขอเป็นแฟนงั้นเหรอ แถมขอได้ไม่มีความโรแมนติกสักนิดแถมหน้าตาคนถามนี่ดูจะบังคับผมมากกว่าขอคำตอบนะเนี่ย
“ไม่รู้ มาถามอะไรตอนนี้เล่า”ผมบอกปัด เพราะกำลังอึ้งปนงงกับสิ่งที่เค้าถาม เล่นมาถามอะไรไม่ให้ตั้งตัวแบบนี้ สมองผมจะไปคิดทันได้ยังไงกันละ
“อ้าวลุง นี่ได้ผมแล้วจะไม่รับผิดชอบผมเหรอ”
TBC
รู้สึกหมั่นไส้คู่นี้ละ