บทที่ 9
ดูแล
ปวดหัว ทำไมผมถึงได้รู้สึกปวดหัวขนาดนี้ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมือก็ควานหาโทรศัพท์มือถือตรงที่ประจำที่เคยวางไว้ แต่ก็ไม่เจอ ผมพยายามปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างของห้อง แสงแดดที่ลอดม่านเข้ามาแสดงให้เห็นว่าที่คงสายแล้ว ผมกวาดสายตาไปยังนาฬิกาที่แขวนไว้กับผนังห้อง
“สายขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”ผมพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะ 11 โมงแล้ว ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้ทั้งปวดหัวแล้วก็ปวดฉี่มากด้วย ผมรีบลุกวิ่งเข้าห้องน้ำ หลังทำธุระเสร็จออกจากห้องน้ำมาก็พบว่าตัวผมเองอยู่ในชุดคลุ่มอาบน้ำโดยที่ภายใต้ชุดคลุม ผมไม่ได้มีเสื้อผ้าชุดอื่นเลย แม้กระทั่งชั้นใน แล้วผมมาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง ด้วยสติที่เหมือนจะเพิ่งฟื้นมาแค่ 12% ทำให้ผมยิ่งปวดหัวเมื่อพยายามนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนผมจะมาถึงห้องนอนแห่งนี้
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอครับลุง”เสียงเปิดประตู ตามด้วยคำทักทายและร่างของอีกคนที่เดินเข้าในห้องนอนของผมอย่างถือวิสาสะ ผมว่าผมเริ่มจะได้คำตอบลางๆ แล้วว่าผมเข้ามาอยู่ในห้องนี่ได้ยังไง แต่ไอ้เรื่องที่ผมเข้ามาอยู่ในห้องได้ยังไงเนี่ยมันไม่คาใจผมเท่า ใครเป็นคนถอดเสื้อผ้าผมจนเหลือแต่เสื้อคลุมแบบนี้ พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีแค่ชุดคลุมอาบน้ำที่สวมอยู่อย่างหมิ่นเหม่ ทำให้ผมต้องรีบคว้าหมอนมากอดไว้ตรงหน้าอีก 1 ใบ
“เข้ามาทำไมเนี่ย”ถึงผมจะให้เค้าเข้านอกออกในบ้านผมได้ แต่ก็ยังไม่สนิทใจเท่าไหร่นะครับที่ให้เค้าเข้ามาถึงห้องนอนขนาดนี้นะครับ
“เอ้า ก็เข้ามาดูไงว่ายังมีชีวิตอยู่ไหม กะว่าจะมาปลุกไปกินข้าวด้วยแหละ สายจนจะเที่ยงอยู่แล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ผมกลัวลุงจะเป็นโรคกระเพาะ ยิ่งเมื่อคืนอ๊วกออกไปหมดไส้หมดพุงขนาดนั้นคงหิวแย่แล้วมั้ง”ผมแทบไม่ได้ฟังในสิ่งที่อีกคนพูด เพราะตอนนี้ในหัวมีแต่คำถามว่าใครถอดเสื้อผ้าผม ใครถอดเสื้อผ้าผม คำถามที่วนเวียนในหัวผมซ้ำไปซ้ำมา
“ไม่หิว”ผมบอกออกไปเสียงแข็ง เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอายที่ตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้
“คร๊อกแคร๊ก”ดูเหมือนร่างกายผมจะไม่เป็นใจ แถมทำผมขายหน้าเพิ่มอีกเสียด้วยนี่สิครับ แล้วไอ้รอยยิ้มของไอ้เจ้าเด็กโย่งนี่ยิ่งสร้างความหงุดหงิดให้ผมเพิ่มเข้าไปอีก
“ลุงไม่หิวแต่กระเพาะลุงคงหิวแล้วมั้ง”น้ำเสียงล้อๆ ของอีกฝ่ายทำให้ผมอยากจะลุกไปถีบคนตรงหน้านี่ระบายอารมณ์เสียจริง ถ้าไม่ติดว่าผมอยู่ชุดไม่มิดชิดนี่ผมลุกไปเอาเรื่องแล้ว
“อือ ออกไปก่อนเดี๋ยวตามออกไป”แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็แค่รับคำเสียงอ่อยๆ ว่าแต่ผมยังไม่รู้เลยว่าตกลงใครเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผม เท่าที่พอจะจำได้ลางๆ คือผมอ๊วกและพี่ต้าร์เป็นคนมาส่งผมที่บ้าน แล้วคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องผมไปนี่ก็ยังไม่นอนตอนที่ผมกลับมา
“เดี๋ยวก่อนภู่”ผมเรียกให้เค้าหยุดก่อนที่จะออกจากห้องไป เค้าหันกลับมามองหน้าผมเลิกคิ้วเป็น รอฟังว่าผมเรียกเค้าไว้ทำไม แต่แล้วก็เป็นผมเองที่พูดไม่ออก แต่อีกใจก็อยากรู้ แล้วนี่ทำไมผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลย นี่เบียร์มันทำให้ผมเป็นขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ตอนดื่มมันก็ไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่นะครับ แต่ตอนตื่นมานี่สิครับ ทั้งปวดหัวทั้งจำอะไรไม่ได้อีก
“คือ...เอ่อ...คือ”ผมยังคงอ้ำอึ้ง ลังเลที่จะถามออกไป
“ว่าไงละลุง”อีกคนคงเริ่มรำคาญอาการอ้ำๆ อึ้งๆ ของผม เลยถามย้ำด้วยเสียงเริ่มแข็งๆ หน่อยๆ และทำท่าเหมือนจะหันหลังกลับเดินออกจากห้องไป
“ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าพี่”ผมหลับตากลั้นหายใจถามออกไปตรงๆ พร้อมรอลุ้นคำตอบ แต่อีกคนกลับทำท่าประหลาดใจกับคำถามของผม เหมือนกับว่าไม่ใช่คำถามสำคัญอะไร
“ก็ผมไง”เค้าตอบกลับมาเหมือนประมาณว่า มันมีอะไรพิเศษเหรอกับการที่เค้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมเนี่ย มันอาจไม่มีอะไรสำหรับเค้า แต่สำหรับผมเนี่ย ผมยังมีความอายอยู่นะ
“งั้นภู่ก็...”แม้จะแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงเห็นผมไปทุกซอกทุกมุม จากสภาพชุดที่ผมใส่อยู่ตอนนี้ แต่ผมก็ยังอยากจะถามย้ำ เผื่อว่าจะได้คำตอบอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากกว่านี้
“เห็น...”
“ลุงจะพูดอะไรเนี่ยอ้ำๆ อึ้งๆ”แล้วเค้าก็ดูใจร้อนอีกครั้ง แสดงออกมาชัดเจนว่ารอให้ผมทำใจก่อนจะพูดไม่ได้เลย
“คือแบบนี้ภู่ก็เห็นพี่โป๊หมดเลยสิ”ผมกลั้นใจถามออกไปชัดๆ
“แล้วไงอ่ะ ลุงเล่นอ๊วกซะเละเทะ เปื้อนขนาดนั้น อยากนอนจมกองอ๊วกตัวเองหรือไง ไม่ต้องอายหรอกผมก็มีเหมือนลุงทุกอย่างแหละ คิดไรมาก”เค้าอธิบายเหตุผล ตอบกลับมาอย่างสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียอย่างนั้น
“จะไม่คิดมากได้ไง เกิดมาไม่เคยแก้ผ้าให้ใครดูนิ”ผมก้มหน้าพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกอายอย่างมาก มันควรจะเป็นเรื่องปกติเหรอครับกับการที่จะเปลือยให้คนอื่นเห็นเนี่ย แล้วแบบนี้ผมจะทำตัวต่อหน้าเด็กโย่งนี่ยังไงละทีนี้
“แต่จะว่าไปพี่แปงเองก็...ขาวไปทุกส่วนเลยเนอะ”เค้าเดินกลับมาหาผม พูดเสียงล้อๆ พร้อมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์จนผมต้องกระชับชุดคลุมอาบน้ำให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
“ไอ้บ้า ออกไปเลย”ผมรีบทำโมโหกลบเกลื่อนความรู้สึกตอนนี้ แค่คิดสภาพว่าอีกคนคงเห็นทุกซอกทุกมุมของผมหมดแล้ว มันก็ทั้งอายทั้งหงุดหงิด ทั้งปวดหัวกับอาการเมาค้างนี่อีก
“เอาน่าพี่ รีบอาบน้ำออกมากินข้าวเหอะ”ผมหันมองอีกคนที่กำลังจะออกจากห้องด้วยสายตาขวางๆ แต่เจ้าตัวดูไม่สะทกสะท้านอะไรเลย ไอ้เด็กบ้าเอ้ย นี่ทำไมผมต้องมาเจอสถานการณ์อะไรแบบนี้เนี่ย ออกไปนี้ ผมได้แต่ตีอกชกลมกับตัวเอง ก่อนจะลุกเข้าห้องน้ำอย่างไม่เต็มใจนัก
หลังอาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดสบายๆ ผมก็ออกมานั่งกินข้าวต้มเงียบๆ บอกตามตรงว่ายังเกร็งๆ อยู่ไม่น้อยเลย แล้วยิ่งสายตาของคนตรงหน้าที่จ้องมองผม มันยิ่งทำให้รู้สึกว่า เค้าจะคิดเลยไปถึงไหนต่อไหนหรือเปล่า ตั้งแต่โตมาผมยังไม่เคยแก้ผ้าให้ใครดูแบบล่อนจ้อนเลยนะครับเนี่ย แล้วไอ้คนตรงหน้านี่ก็ยังทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรอีก
“เป็นไรเนี่ยพี่ ยังปวดหัวอยู่เหรอทำไมไม่ค่อยกินเลย”เค้าเอื้อมมือมาแตะลงที่หน้าผากผม แต่ผมเองรีบถอยออกเพราะเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับสัมผัสจากอีกคน
“ยังปวดหัวอยู่นิดหน่อย นอนพักอีกนิดหน่อยก็คงดีขึ้นแหละ กินเสร็จแล้วภู่กลับเลยก็ได้นะ เดี๋ยวถ้วยชามไว้พี่ลุกมาจัดการเองตอนเย็นๆ”ผมบอกเป็นนัยๆ ว่าอยากให้อีกคนกลับบ้านตัวเองไปเสีย โดยที่ผมเองยังคงก้มหน้าก้มตาเขี่ยๆ ข้าวต้มในชามอยู่อย่างเดิม
“แปลกๆ นี่อย่าบอกว่ายังเขินที่ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อยู่อีกนะ”คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ผมหยุดการเขี่ยข้าวต้ม และเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่ยิ้มมองผมอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสายตาที่ออกจะจับผิดอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“เปล่าซะหน่อย”ผมปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมเบือนหน้าหนี เพราะรู้สึกว่าในหัวมันเริ่มปั่นป่วนไปหมดแล้ว ทั้งเรื่องความกระอักกระอ่วนของความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่าง ผมกับไอ้เด็กโย่งนี้ แล้วไหนจะอาการปวดหัว ที่เมาค้างนี่อีก
“หน้าแดงขนาดนี้ เขินอยู่ละสิ”ผมแทบจะยกมือขึ้นจับหน้าตัวเองทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แต่พอเห็นสีหน้าที่อีกคนมองมาที่ผม ผมก็รีบลดมือลง และพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“บอกว่าเปล่าไง กินเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปเลย พี่จะพักผ่อน”ผมยังคงแสดงความต้องการออกไปอย่างชัดเจนว่าให้อีกคนกลับไปก่อน
“โหลุง สมัยเรียนไม่เคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนบ้างหรือไง โตมายังไงเนี่ย”แต่ดูเหมือนว่าเค้าไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมบอกเลย ยังคงพยายามบอกกับผมว่าการแก้ผ้าให้คนอื่นดูเนี่ยมันเป็นเรื่องปกติ
“ก็แล้วทำไมต้องแก้ผ้าอาบน้ำกับคนอื่นด้วยเล่า”ผมพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ และทำเหมือนไม่สนใจจะคุยเรื่องนี้อีก
“โอเคๆ ไม่ต้องคิดไรมาก เดี๋ยวผมจะลบภาพต่างๆ เมื่อคืนออกจากสมองให้หมดเลย ลบภาพผิวขาวๆ หัวนมชมพู แล้วก็ดอกจำปีตะมุตะมินั่น”เดี๋ยวนะ ถ้าใครเห็นหน้าผมตอนนี้ก็คงจะเหวอไม่น้อย ก็ไอ้ต้นประโยคที่ได้ยินมันก็เหมือนจะดูดีและทำให้ผมสบายใจขึ้น แต่ไอ้ประโยคท้ายๆ มันทำเอาผมหน้าร้อนผ่าวจนเผลอลืมที่จะปรามอีกคนให้หยุดพูด
“หยุดๆ พอเลยถ้าบอกจะลืมก็ลืมเซ่จะมาสาธยายอะไรอีก”กว่าจะตั้งสติได้ ผมก็รีบทำเสียงแข็ง มองดูเค้าด้วยสายตาเคืองๆ แต่ก็นั่นแหละครับ อาจจะด้วยความที่ผมให้ความสนิทสนมเค้ามาในระดับนึงแล้ว มันทำให้เค้าก็คงไม่ได้กลัวอะไรผมแล้ว
“หรือลุงจะดูของผม จะได้หายกัน เอาไหมผมไม่ถือ”ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวเค้ามีการลูกขึ้นจะถอดเสื้อโชว์ผมจริงๆ เสียด้วย ผมต้องรีบห้ามเพราะไม่รู้ว่านี่จะบ้าถอดขึ้นมาจริงๆ หรือเปล่า
“บ้าเหรอ เลิกพูดแล้วจะไปทำอะไร จะไปไหนก็ไป จะนอนพักแล้วไม่ต้องมารบกวนด้วย”ผมย้ำอีกครั้ง ซึ่งไม่รู้ว่านี่รอบที่เท่าไหร่แล้วที่ผมไล่เค้าทางอ้อมให้กลับบ้านไปเนี่ย แต่ก็นั่นแหละครับ เข้ายังดูสบายๆ เดินหยิบถ้วยจานเข้าครัวไป
“เพิ่งกินเสร็จอย่าเพิ่งนอนเลยนะพี่ เดี๋ยวจะเป็นกรดไหลย้อน นั่งสักแปปหรือเดินย่อยหน่อยก็ได้”เดินออกจากห้องครัวมาก็พูดสั่งสอนยังกับว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ แล้วต้องมาดูแลเด็กอย่างผม นี่จะทำตัวแก่แดดเกินไปละ
“อ่ะนี่ยาพารานะพี่ สักหน่อยจะได้ดีขึ้น แล้วคออ่อนขนาดนี้ยังจะดื่มเข้าไปทำไม เห็นว่าดื่มไปไม่ถึง 5 แก้วเลยไม่ใช่เหรอ”ยาเม็ดสีขาวสองเม็ดถูกส่งมาให้ผม พร้อมกับแก้วน้ำเปล่า ผมก็ต้องรับมาอย่างเสียไม่ได้ ว่าแต่เค้ารู้ได้ยังไงว่าผมดื่มอะไรไปเท่าไหร่ หรือว่าเมื่อคืนเค้าได้พูดคุยกับพี่ต้าร์ด้วย
“จะมาบ่นทำไมเนี่ย”ผมทำท่าแยกเขี้ยวตามหลังเค้า ที่เดินเอาแก้ว กลับเข้าไปเก็บในครัว
“อ่ะ นี่น้ำมะพร้าว ช่วยได้ระดับนึง จะได้อาการดีขึ้น”เค้าเดินกลับออกมาจากห้องครัวพร้อม มะพร้าว 1 ลูกที่ใส่หลอดพร้อมมาให้ผม ผมมองอย่างไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ว่าน้ำมะพร้าวเนี่ยจะช่วยให้หายจากอาการเมาได้ แล้วนี่บ้านผมมีมะพร้าวเป็นลูกๆ นี่ได้ยังไงกันเนี่ย
“ดื่มไปเหอะพี่ เวลาเมาค้างอ่ะ ร่างกายเราจะขาดน้ำ ดื่มน้ำผลไม้เข้าไปมันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ไม่ก็ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เชื่อผมดิผมผ่านการเมามาเยอะกว่าพี่อยู่แล้ว”เดี๋ยวเรียกผมลุง เรียกผมพี่ แต่พี่หรือลุงคนนี้กลับต้องมาให้เด็กสอนการแก้อาการเมาค้าง ทำไมชีวิตผมมันน่าสมเพช ขนาดนี้ ผมดูดน้ำมะพร้าวรวดเดียวจนหมดแก้ว ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงบนโซฟา อย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ไม่เข้าไปนอนในห้องดีๆ ละพี่”เค้าเก็บโต๊ะไปพลาง ถามผมไปพลาง ผมว่าบางทีเค้าก็ทำให้ผมนิสัยเสีย ที่มีคนทำให้กินมีคนเก็บให้จนผมเหมือนคนขี้เกียจไปแล้ว แต่ถึงจะไปแย่งทำ เค้าก็ไม่ยอมให้ผมทำอยู่ดี ก็บอกแต่ว่าเกรงใจที่มากินข้าวบ้านผมทั้งที่จริงๆ เราก็ตกลงไว้แล้ว
“มันก็ยังเพลียๆ นะ แต่นอนไปก็คงไม่หลับหรอก สู้นอนโง่ๆ เปืดเพลงฟังอยู่ตรงนี้จะดีกว่า”ตอนนี้ผมพยายามตีมึนให้ได้อย่างเค้า ในเมื่อเค้าเองยังทำว่ามันเป็นเรื่องปกติได้ กับการเห็นผมเปลือย ผมเองก็จะทำมึนๆ แกล้งๆ ลืมมันไปให้ได้เหมือนเค้าแล้วกัน ผมพยายามทำตัวปกติเหมือนทุกครั้งที่อยู่กับเค้า ไหนๆ ก็คงหลบหน้ากันไม่ได้แล้ว ก็เผชิญหน้าไปเลยนี่แหละ
“นอนเฉยๆ ไม่ได้เหรอพี่ ทำไมต้องนอนโง่ๆ ด้วย”เค้าถามผมกลับมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ หลังได้ยินศัพท์ที่ผมใช้
“ก็นอนแบบไม่ต้องคิดอะไร พักสมองไงเล่า ไม่ต้องพูดมาก เข้าไปหยิบแผ่นซีดีเพลงในห้องนอนให้หน่อย”ผมออกคำสั่งใช้เค้า ในเมื่อไล่แล้วไม่ไปก็ใช้งานซะให้เข็ดเลย ทีนี้อยากอยู่ก็อยู่ไปละกัน
“อ้าวไม่ไล่ผมแล้วเหรอ”นั่นไงครับ ก็ทั้งที่รู้นิว่าผมไล่ แต่ก็ไม่เห็นจะสะทกสะท้านอะไรเลย
“ไล่ตั้งหลายรอบ แล้วไปไหม”ผมบ่นไล่หลังเค้าที่เปิดประตูห้องนอนเข้าไปหยิบแผ่นซีดีให้ผม นี่ก็กะว่าจะเปิดเพลงคลอๆ นอนนิ่งๆ มันอยู่ตรงนี้แหละครับ ส่วนไอ้เจ้าเด็กโย่งนี่อยากจะทำอะไรก็ปล่อยเค้าทำไปเถอะครับ
“เออว่าจะถามพี่หลายทีละ ว่าทำไมมีซีดีเพลงเยอะจัง สมัยนี้ผมไม่ค่อยเห็นใครเค้าเปิดแผ่นแบบนี้ฟังเลย”เค้าหยิบแผ่นซีดีประมาณ 4-5 แผ่นออกมายื่นให้ผมเลือก ผมหยิบ 1 แผ่นส่งให้เค้าใส่เข้าไปในเครื่องเล่นซีดี อย่างที่เค้าบอกนั่นแหละครับ ผมยังชอบฟังเพลงจากแผ่นมากกว่าฟังจากมือถือ สมาร์ทโฟนอย่างที่คนสมัยนี้นิยมกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ใช้นะครับ ผมก็ใช้แหละครับ เพียงแต่เวลาอยู่บ้านผมจะชอบเปิดเพลงจากแผ่นซีดีพวกนี้มากกว่า เพลงเก่าๆ มันก็เหมาะกับเทคโนโลยีเก่าๆ นี่แหละครับ
“ก็แค่ชอบ”ผมตอบออกไปสั้นๆ ซึ่งดูเหมือนคนฟังจะไม่ค่อยพอใจในคำตอบของผมสักเท่าไหร่ เค้าหยิบกล่องซีดีที่ใส่แผ่นเข้าเครื่องเล่นไปแล้ว ถือเดินมานั่งลงกับพื้นหน้าโซฟานี่ผมนอนอยู่ เค้าเอนหลังพิงกับโซฟา ซึ่งพิงมาช่วงกลางๆ ลำตัวเยื้องๆ ขึ้นมาจะถึงช่วงอกผมอยู่แล้ว
“Chapter I : A New Beginning แปลว่าไรอ่ะพี่”ผมขมวดคิ้วกับคำถามของคนตรงหน้า นี่เค้าถามเพราะไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งถามผมเล่นๆ กันแน่
“ก็ บทที่ 1 การเริ่มต้นครั้งใหม่ ไง”ผมบอกออกไปพร้อมสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายที่ยังพลิกดูด้านหลังกล่องซีดีที่เป็นชื่อเพลง พร้อมพยักหน้าว่าเข้าใจ ผมเริ่มแปลกใจว่าไอ้ทุกคำที่เค้าถามเมื่อสักครู่ มันเป็นศัพท์พื้นฐานมากๆ เลยนะ นี่เค้าแปลไม่ออกจริงๆ เหรอ
“แล้วบทที่ 1 เค้าไม่ใช้คำว่า Lesson 1 เหรอพี่มันก็แปลว่าบทที่ 1 เหมือนกันนิ”จากที่รู้เกรดเฉลี่ยของเค้าก็ดูกลางๆ เวลาเห็นทำการบ้านพวกคำนวณ เค้าก็ดูหัวไวอยู่นี่นา
“Lesson เค้าใช้กับ บทเรียน ส่วน Chapter มันเหมือน บท ตอน ที่เป็นเรื่องราว เหมือนบทของนิยายอะไรพวกนั้นอ่ะ”ผมอธิบายไปพร้อมสังเกตท่าทีไปว่าไม่ได้กำลังโดนเด็กอำ ซึ่งดูอาการแล้วเหมือนเค้าจะอ่อนด้านภาษาจริงๆ ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรมากหรอกนะครับ ก็คงแค่พอกลางๆ สื่อสารได้นิดหน่อย
“แล้วทำไมพี่รู้”เค้าหันมาถามด้วยความประหลาดใจเหมือนเป็นเรื่องแปลกที่ผมอธิบายให้เค้าฟังได้
“ก็เรียนมาไง พี่ก็เรียนเหมือนภู่นั่นแหละ”ตอนแรกว่าจะแกล้งข่มว่าผมเก่งกว่าแล้ว แต่ยั้งตัวเองทัน เพราะไม่อยากให้เค้ารู้สึกไม่ชอบเรื่องของภาษาไปเสียก่อน เพราะผมเองก็เคยมีเพื่อนที่พอรู้สึกว่าตัวเองอ่อนด้านภาษาก็จะไม่ชอบไม่อยากเรียน แทนที่จะตั้งใจพัฒนาขึ้น กลับกลายเป็นไม่ใส่ใจปล่อยเลยตามเลย
“แต่ฟังดู พี่น่าจะเก่งภาษาอังกฤษกว่าผมเยอะเลย ผมงี้โคตรโง่เลยรู้ป่ะ ตั้งแต่เรียนมายังไม่เคยได้เกรด 2 ภาษาอังกฤษเลย เกรด 1 ล้วนๆ”ได้ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่า ถ้าได้เกรดขนาดนี้ก็คงย่ำแย่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“จริงไหมเนี่ย”ผมถามย้ำ
“จริงดิพี่ไว้ พี่ช่วยติวภาษาอังกฤษให้ผมมั่งดิ”ที่จริงถ้าเค้าไม่เอ่ยปากทีแรกผมก็คิดว่าจะเสนอตัวเองเสียด้วยซ้ำ อย่างที่บอกแหละครับ ผมก็เอ็นดูเค้าเหมือนน้องคนนึง อะไรที่จะส่งเสริมเค้าให้มันดีขึ้นผมก็อยากจะช่วย
“เอาดิ”ผมตอบรับไป แล้วเราทั้งคู่ก็เงียบกันไปสักพัก ทำให้เกิดบรรยากาศแปลกๆ ขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วในแผ่นนี้พี่ชอบเพลงไหนมากที่สุด”เค้าเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ ถามผม ผมเอื้อมมือไปหยิบกล่องซีดีจากเค้ามาพลิกดูรายชื่อเพลง ก่อนจะหยิบรีโมทกดเปลี่ยนเพลงเป็นคำตอบ
“If life is so short แปลว่าไรอ่ะพี่ ถ้าชีวิตสั้นงี้เหรอ เนื้อเพลงมันเกี่ยวกับอะไร จะฆ่าตัวตายงี้เหรอ”เดี๋ยวๆ ฟังจากทำนองดนตรีนี่เพลงมันควรมีความหมายแบบนั้นจริงๆ เหรอเนี่ย นี่ก็ช่างจินตนาการไปได้
“มันใช่ที่ไหนกันเล่า เนื้อเพลงมันแบบประมาณว่าชีวิตคนเรามันก็สั้นนะ ในตอนที่ยังมีโอกาส ทำไมเธอไม่ปล่อยให้ฉันได้รักเธอละ อะไรประมาณนั้นต่างหาก”ผมพยายามดึงให้เค้ากลับเข้ามาอินกับเนื้อเพลง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเท่าไหร่
“ฟังดูเพ้อๆ น้ำเน่าเหมือนกันเนอะ”นั่นแหละครับ พอเราเล่าความหมายให้ฟังก็เป็นงั้นไปอีก
“เนื้อเพลงนี่เหรอ”ผมถามพร้อมนึกย้อนไปถึง เพลงที่เค้าชอบเปิด นั่นผมก็เข้าไม่ถึงเหมือนกันแหละครับ
“พี่อ่ะแหละ นี่ชอบเพลงนี้เพราะแอบชอบใครแล้วอยากให้เค้ารับรักป่ะเนี่ย”คำถามของเค้าทำเอาผมชะงักไปนิดหน่อย แอบชอบ แอบรักงั้นเหรอ เอาจริงๆ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ความรู้สึกที่กำลังพูดถึงเนี่ย กับความรู้สึกที่ผมมีกับพี่ต้าร์ คนที่พอภู่พูดผมก็ดันนึกถึงขึ้นมาเนี่ย ผมมีความรู้สึกแบบไหนให้พี่เค้ากันแน่
“เมื่อคืน ตอนที่มีคนมาส่งพี่ พี่ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ หรือพูดอะไรแปลกๆ ออกไปใช่ไหม”ผมถามเพื่อความชัวร์ว่าผมไม่ได้ทำอะไรน่าขายหน้าต่อหน้าพี่ต้าร์มากไปกว่าที่ผมพอจะจำได้
“ก็ไม่นะ ทำไมเหรอคนที่มาส่งพี่นี่เค้าเป็นใครเหรอ”
TBC
เรื่องนี้ใสใสนะครับ อย่าเพิ่งคิดไม่ดีกับคู่นี้
ปล่อยลุงเค้าเวอร์จิ้นไปนานๆ ละกัน