[END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว  (อ่าน 56223 ครั้ง)

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
นึกว่าจะหลุดพูดอะไรออกมาสะแล้ว 55

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
อ้าว งานเข้าแล้วไหมละแปง อย่าเลยอย่าบอกให้ฉันเลือกเลย อิอิ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แปง คิดน้อยไปมั้ย ตัวเองก็คออ่อน ไม่คุ้นชิน
ไม่รู้เลยหรือว่า เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แล้วมีรสหวานยิ่งมึนเมาง่าย

ยังดีที่พี่ตาร์ ไม่คิดล่วงเกินทำไรกับร่างกายแปง  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
แต่ช่วงที่ฟุบที่ห้องน้ำก็อาจเจอคนพาไปทำเรื่องไม่ดี
ตัวเองก็เมา ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ ใครจะมาช่วยได้  :fire:

แปง วางใจ เชื่อคนง่ายไปปะ แค่นี้เหมือนถูกใช้เป็นอุปกรณ์การพนันไปและ
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 9
ดูแล




ปวดหัว ทำไมผมถึงได้รู้สึกปวดหัวขนาดนี้ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมือก็ควานหาโทรศัพท์มือถือตรงที่ประจำที่เคยวางไว้  แต่ก็ไม่เจอ ผมพยายามปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างของห้อง แสงแดดที่ลอดม่านเข้ามาแสดงให้เห็นว่าที่คงสายแล้ว ผมกวาดสายตาไปยังนาฬิกาที่แขวนไว้กับผนังห้อง

“สายขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”ผมพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะ 11 โมงแล้ว ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้ทั้งปวดหัวแล้วก็ปวดฉี่มากด้วย ผมรีบลุกวิ่งเข้าห้องน้ำ หลังทำธุระเสร็จออกจากห้องน้ำมาก็พบว่าตัวผมเองอยู่ในชุดคลุ่มอาบน้ำโดยที่ภายใต้ชุดคลุม ผมไม่ได้มีเสื้อผ้าชุดอื่นเลย แม้กระทั่งชั้นใน แล้วผมมาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง ด้วยสติที่เหมือนจะเพิ่งฟื้นมาแค่ 12% ทำให้ผมยิ่งปวดหัวเมื่อพยายามนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนผมจะมาถึงห้องนอนแห่งนี้

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอครับลุง”เสียงเปิดประตู ตามด้วยคำทักทายและร่างของอีกคนที่เดินเข้าในห้องนอนของผมอย่างถือวิสาสะ ผมว่าผมเริ่มจะได้คำตอบลางๆ แล้วว่าผมเข้ามาอยู่ในห้องนี่ได้ยังไง แต่ไอ้เรื่องที่ผมเข้ามาอยู่ในห้องได้ยังไงเนี่ยมันไม่คาใจผมเท่า ใครเป็นคนถอดเสื้อผ้าผมจนเหลือแต่เสื้อคลุมแบบนี้ พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีแค่ชุดคลุมอาบน้ำที่สวมอยู่อย่างหมิ่นเหม่ ทำให้ผมต้องรีบคว้าหมอนมากอดไว้ตรงหน้าอีก 1 ใบ

“เข้ามาทำไมเนี่ย”ถึงผมจะให้เค้าเข้านอกออกในบ้านผมได้ แต่ก็ยังไม่สนิทใจเท่าไหร่นะครับที่ให้เค้าเข้ามาถึงห้องนอนขนาดนี้นะครับ

“เอ้า ก็เข้ามาดูไงว่ายังมีชีวิตอยู่ไหม กะว่าจะมาปลุกไปกินข้าวด้วยแหละ สายจนจะเที่ยงอยู่แล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ผมกลัวลุงจะเป็นโรคกระเพาะ ยิ่งเมื่อคืนอ๊วกออกไปหมดไส้หมดพุงขนาดนั้นคงหิวแย่แล้วมั้ง”ผมแทบไม่ได้ฟังในสิ่งที่อีกคนพูด เพราะตอนนี้ในหัวมีแต่คำถามว่าใครถอดเสื้อผ้าผม ใครถอดเสื้อผ้าผม คำถามที่วนเวียนในหัวผมซ้ำไปซ้ำมา

“ไม่หิว”ผมบอกออกไปเสียงแข็ง เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอายที่ตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้

“คร๊อกแคร๊ก”ดูเหมือนร่างกายผมจะไม่เป็นใจ แถมทำผมขายหน้าเพิ่มอีกเสียด้วยนี่สิครับ แล้วไอ้รอยยิ้มของไอ้เจ้าเด็กโย่งนี่ยิ่งสร้างความหงุดหงิดให้ผมเพิ่มเข้าไปอีก

“ลุงไม่หิวแต่กระเพาะลุงคงหิวแล้วมั้ง”น้ำเสียงล้อๆ ของอีกฝ่ายทำให้ผมอยากจะลุกไปถีบคนตรงหน้านี่ระบายอารมณ์เสียจริง ถ้าไม่ติดว่าผมอยู่ชุดไม่มิดชิดนี่ผมลุกไปเอาเรื่องแล้ว

“อือ ออกไปก่อนเดี๋ยวตามออกไป”แต่สิ่งที่ผมทำได้ก็แค่รับคำเสียงอ่อยๆ ว่าแต่ผมยังไม่รู้เลยว่าตกลงใครเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผม เท่าที่พอจะจำได้ลางๆ คือผมอ๊วกและพี่ต้าร์เป็นคนมาส่งผมที่บ้าน แล้วคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องผมไปนี่ก็ยังไม่นอนตอนที่ผมกลับมา

“เดี๋ยวก่อนภู่”ผมเรียกให้เค้าหยุดก่อนที่จะออกจากห้องไป เค้าหันกลับมามองหน้าผมเลิกคิ้วเป็น รอฟังว่าผมเรียกเค้าไว้ทำไม แต่แล้วก็เป็นผมเองที่พูดไม่ออก แต่อีกใจก็อยากรู้ แล้วนี่ทำไมผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลย นี่เบียร์มันทำให้ผมเป็นขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ตอนดื่มมันก็ไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่นะครับ แต่ตอนตื่นมานี่สิครับ ทั้งปวดหัวทั้งจำอะไรไม่ได้อีก

“คือ...เอ่อ...คือ”ผมยังคงอ้ำอึ้ง ลังเลที่จะถามออกไป

“ว่าไงละลุง”อีกคนคงเริ่มรำคาญอาการอ้ำๆ อึ้งๆ ของผม เลยถามย้ำด้วยเสียงเริ่มแข็งๆ หน่อยๆ และทำท่าเหมือนจะหันหลังกลับเดินออกจากห้องไป

“ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าพี่”ผมหลับตากลั้นหายใจถามออกไปตรงๆ พร้อมรอลุ้นคำตอบ แต่อีกคนกลับทำท่าประหลาดใจกับคำถามของผม เหมือนกับว่าไม่ใช่คำถามสำคัญอะไร

“ก็ผมไง”เค้าตอบกลับมาเหมือนประมาณว่า มันมีอะไรพิเศษเหรอกับการที่เค้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมเนี่ย มันอาจไม่มีอะไรสำหรับเค้า แต่สำหรับผมเนี่ย ผมยังมีความอายอยู่นะ

“งั้นภู่ก็...”แม้จะแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงเห็นผมไปทุกซอกทุกมุม จากสภาพชุดที่ผมใส่อยู่ตอนนี้ แต่ผมก็ยังอยากจะถามย้ำ เผื่อว่าจะได้คำตอบอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากกว่านี้

“เห็น...”

“ลุงจะพูดอะไรเนี่ยอ้ำๆ อึ้งๆ”แล้วเค้าก็ดูใจร้อนอีกครั้ง แสดงออกมาชัดเจนว่ารอให้ผมทำใจก่อนจะพูดไม่ได้เลย

“คือแบบนี้ภู่ก็เห็นพี่โป๊หมดเลยสิ”ผมกลั้นใจถามออกไปชัดๆ

“แล้วไงอ่ะ  ลุงเล่นอ๊วกซะเละเทะ เปื้อนขนาดนั้น อยากนอนจมกองอ๊วกตัวเองหรือไง ไม่ต้องอายหรอกผมก็มีเหมือนลุงทุกอย่างแหละ คิดไรมาก”เค้าอธิบายเหตุผล ตอบกลับมาอย่างสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียอย่างนั้น

“จะไม่คิดมากได้ไง เกิดมาไม่เคยแก้ผ้าให้ใครดูนิ”ผมก้มหน้าพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกอายอย่างมาก มันควรจะเป็นเรื่องปกติเหรอครับกับการที่จะเปลือยให้คนอื่นเห็นเนี่ย แล้วแบบนี้ผมจะทำตัวต่อหน้าเด็กโย่งนี่ยังไงละทีนี้

“แต่จะว่าไปพี่แปงเองก็...ขาวไปทุกส่วนเลยเนอะ”เค้าเดินกลับมาหาผม พูดเสียงล้อๆ พร้อมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์จนผมต้องกระชับชุดคลุมอาบน้ำให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

“ไอ้บ้า ออกไปเลย”ผมรีบทำโมโหกลบเกลื่อนความรู้สึกตอนนี้ แค่คิดสภาพว่าอีกคนคงเห็นทุกซอกทุกมุมของผมหมดแล้ว มันก็ทั้งอายทั้งหงุดหงิด ทั้งปวดหัวกับอาการเมาค้างนี่อีก

“เอาน่าพี่ รีบอาบน้ำออกมากินข้าวเหอะ”ผมหันมองอีกคนที่กำลังจะออกจากห้องด้วยสายตาขวางๆ แต่เจ้าตัวดูไม่สะทกสะท้านอะไรเลย ไอ้เด็กบ้าเอ้ย นี่ทำไมผมต้องมาเจอสถานการณ์อะไรแบบนี้เนี่ย ออกไปนี้ ผมได้แต่ตีอกชกลมกับตัวเอง ก่อนจะลุกเข้าห้องน้ำอย่างไม่เต็มใจนัก

หลังอาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดสบายๆ ผมก็ออกมานั่งกินข้าวต้มเงียบๆ บอกตามตรงว่ายังเกร็งๆ อยู่ไม่น้อยเลย แล้วยิ่งสายตาของคนตรงหน้าที่จ้องมองผม มันยิ่งทำให้รู้สึกว่า เค้าจะคิดเลยไปถึงไหนต่อไหนหรือเปล่า ตั้งแต่โตมาผมยังไม่เคยแก้ผ้าให้ใครดูแบบล่อนจ้อนเลยนะครับเนี่ย แล้วไอ้คนตรงหน้านี่ก็ยังทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรอีก

“เป็นไรเนี่ยพี่ ยังปวดหัวอยู่เหรอทำไมไม่ค่อยกินเลย”เค้าเอื้อมมือมาแตะลงที่หน้าผากผม แต่ผมเองรีบถอยออกเพราะเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับสัมผัสจากอีกคน

“ยังปวดหัวอยู่นิดหน่อย นอนพักอีกนิดหน่อยก็คงดีขึ้นแหละ กินเสร็จแล้วภู่กลับเลยก็ได้นะ เดี๋ยวถ้วยชามไว้พี่ลุกมาจัดการเองตอนเย็นๆ”ผมบอกเป็นนัยๆ ว่าอยากให้อีกคนกลับบ้านตัวเองไปเสีย โดยที่ผมเองยังคงก้มหน้าก้มตาเขี่ยๆ ข้าวต้มในชามอยู่อย่างเดิม

“แปลกๆ นี่อย่าบอกว่ายังเขินที่ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อยู่อีกนะ”คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ผมหยุดการเขี่ยข้าวต้ม และเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่ยิ้มมองผมอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสายตาที่ออกจะจับผิดอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“เปล่าซะหน่อย”ผมปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมเบือนหน้าหนี เพราะรู้สึกว่าในหัวมันเริ่มปั่นป่วนไปหมดแล้ว ทั้งเรื่องความกระอักกระอ่วนของความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่าง ผมกับไอ้เด็กโย่งนี้ แล้วไหนจะอาการปวดหัว ที่เมาค้างนี่อีก

“หน้าแดงขนาดนี้ เขินอยู่ละสิ”ผมแทบจะยกมือขึ้นจับหน้าตัวเองทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แต่พอเห็นสีหน้าที่อีกคนมองมาที่ผม ผมก็รีบลดมือลง และพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“บอกว่าเปล่าไง กินเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปเลย พี่จะพักผ่อน”ผมยังคงแสดงความต้องการออกไปอย่างชัดเจนว่าให้อีกคนกลับไปก่อน

“โหลุง สมัยเรียนไม่เคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนบ้างหรือไง โตมายังไงเนี่ย”แต่ดูเหมือนว่าเค้าไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมบอกเลย ยังคงพยายามบอกกับผมว่าการแก้ผ้าให้คนอื่นดูเนี่ยมันเป็นเรื่องปกติ

“ก็แล้วทำไมต้องแก้ผ้าอาบน้ำกับคนอื่นด้วยเล่า”ผมพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ และทำเหมือนไม่สนใจจะคุยเรื่องนี้อีก

“โอเคๆ ไม่ต้องคิดไรมาก เดี๋ยวผมจะลบภาพต่างๆ เมื่อคืนออกจากสมองให้หมดเลย ลบภาพผิวขาวๆ หัวนมชมพู แล้วก็ดอกจำปีตะมุตะมินั่น”เดี๋ยวนะ ถ้าใครเห็นหน้าผมตอนนี้ก็คงจะเหวอไม่น้อย ก็ไอ้ต้นประโยคที่ได้ยินมันก็เหมือนจะดูดีและทำให้ผมสบายใจขึ้น แต่ไอ้ประโยคท้ายๆ มันทำเอาผมหน้าร้อนผ่าวจนเผลอลืมที่จะปรามอีกคนให้หยุดพูด

“หยุดๆ พอเลยถ้าบอกจะลืมก็ลืมเซ่จะมาสาธยายอะไรอีก”กว่าจะตั้งสติได้ ผมก็รีบทำเสียงแข็ง มองดูเค้าด้วยสายตาเคืองๆ แต่ก็นั่นแหละครับ อาจจะด้วยความที่ผมให้ความสนิทสนมเค้ามาในระดับนึงแล้ว มันทำให้เค้าก็คงไม่ได้กลัวอะไรผมแล้ว

“หรือลุงจะดูของผม จะได้หายกัน เอาไหมผมไม่ถือ”ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวเค้ามีการลูกขึ้นจะถอดเสื้อโชว์ผมจริงๆ เสียด้วย ผมต้องรีบห้ามเพราะไม่รู้ว่านี่จะบ้าถอดขึ้นมาจริงๆ หรือเปล่า

“บ้าเหรอ เลิกพูดแล้วจะไปทำอะไร จะไปไหนก็ไป จะนอนพักแล้วไม่ต้องมารบกวนด้วย”ผมย้ำอีกครั้ง ซึ่งไม่รู้ว่านี่รอบที่เท่าไหร่แล้วที่ผมไล่เค้าทางอ้อมให้กลับบ้านไปเนี่ย แต่ก็นั่นแหละครับ เข้ายังดูสบายๆ เดินหยิบถ้วยจานเข้าครัวไป

“เพิ่งกินเสร็จอย่าเพิ่งนอนเลยนะพี่ เดี๋ยวจะเป็นกรดไหลย้อน นั่งสักแปปหรือเดินย่อยหน่อยก็ได้”เดินออกจากห้องครัวมาก็พูดสั่งสอนยังกับว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ แล้วต้องมาดูแลเด็กอย่างผม นี่จะทำตัวแก่แดดเกินไปละ

“อ่ะนี่ยาพารานะพี่ สักหน่อยจะได้ดีขึ้น แล้วคออ่อนขนาดนี้ยังจะดื่มเข้าไปทำไม เห็นว่าดื่มไปไม่ถึง 5 แก้วเลยไม่ใช่เหรอ”ยาเม็ดสีขาวสองเม็ดถูกส่งมาให้ผม พร้อมกับแก้วน้ำเปล่า ผมก็ต้องรับมาอย่างเสียไม่ได้ ว่าแต่เค้ารู้ได้ยังไงว่าผมดื่มอะไรไปเท่าไหร่ หรือว่าเมื่อคืนเค้าได้พูดคุยกับพี่ต้าร์ด้วย

“จะมาบ่นทำไมเนี่ย”ผมทำท่าแยกเขี้ยวตามหลังเค้า ที่เดินเอาแก้ว กลับเข้าไปเก็บในครัว

“อ่ะ นี่น้ำมะพร้าว ช่วยได้ระดับนึง จะได้อาการดีขึ้น”เค้าเดินกลับออกมาจากห้องครัวพร้อม มะพร้าว 1 ลูกที่ใส่หลอดพร้อมมาให้ผม ผมมองอย่างไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ว่าน้ำมะพร้าวเนี่ยจะช่วยให้หายจากอาการเมาได้ แล้วนี่บ้านผมมีมะพร้าวเป็นลูกๆ นี่ได้ยังไงกันเนี่ย

“ดื่มไปเหอะพี่ เวลาเมาค้างอ่ะ ร่างกายเราจะขาดน้ำ ดื่มน้ำผลไม้เข้าไปมันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ไม่ก็ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เชื่อผมดิผมผ่านการเมามาเยอะกว่าพี่อยู่แล้ว”เดี๋ยวเรียกผมลุง เรียกผมพี่ แต่พี่หรือลุงคนนี้กลับต้องมาให้เด็กสอนการแก้อาการเมาค้าง ทำไมชีวิตผมมันน่าสมเพช ขนาดนี้ ผมดูดน้ำมะพร้าวรวดเดียวจนหมดแก้ว ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงบนโซฟา อย่างหมดอาลัยตายอยาก

“ไม่เข้าไปนอนในห้องดีๆ ละพี่”เค้าเก็บโต๊ะไปพลาง ถามผมไปพลาง ผมว่าบางทีเค้าก็ทำให้ผมนิสัยเสีย ที่มีคนทำให้กินมีคนเก็บให้จนผมเหมือนคนขี้เกียจไปแล้ว แต่ถึงจะไปแย่งทำ เค้าก็ไม่ยอมให้ผมทำอยู่ดี ก็บอกแต่ว่าเกรงใจที่มากินข้าวบ้านผมทั้งที่จริงๆ เราก็ตกลงไว้แล้ว

“มันก็ยังเพลียๆ นะ แต่นอนไปก็คงไม่หลับหรอก สู้นอนโง่ๆ เปืดเพลงฟังอยู่ตรงนี้จะดีกว่า”ตอนนี้ผมพยายามตีมึนให้ได้อย่างเค้า ในเมื่อเค้าเองยังทำว่ามันเป็นเรื่องปกติได้ กับการเห็นผมเปลือย ผมเองก็จะทำมึนๆ แกล้งๆ ลืมมันไปให้ได้เหมือนเค้าแล้วกัน ผมพยายามทำตัวปกติเหมือนทุกครั้งที่อยู่กับเค้า ไหนๆ ก็คงหลบหน้ากันไม่ได้แล้ว ก็เผชิญหน้าไปเลยนี่แหละ

“นอนเฉยๆ ไม่ได้เหรอพี่ ทำไมต้องนอนโง่ๆ ด้วย”เค้าถามผมกลับมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ หลังได้ยินศัพท์ที่ผมใช้

“ก็นอนแบบไม่ต้องคิดอะไร พักสมองไงเล่า ไม่ต้องพูดมาก เข้าไปหยิบแผ่นซีดีเพลงในห้องนอนให้หน่อย”ผมออกคำสั่งใช้เค้า ในเมื่อไล่แล้วไม่ไปก็ใช้งานซะให้เข็ดเลย ทีนี้อยากอยู่ก็อยู่ไปละกัน

“อ้าวไม่ไล่ผมแล้วเหรอ”นั่นไงครับ ก็ทั้งที่รู้นิว่าผมไล่ แต่ก็ไม่เห็นจะสะทกสะท้านอะไรเลย

“ไล่ตั้งหลายรอบ แล้วไปไหม”ผมบ่นไล่หลังเค้าที่เปิดประตูห้องนอนเข้าไปหยิบแผ่นซีดีให้ผม นี่ก็กะว่าจะเปิดเพลงคลอๆ นอนนิ่งๆ มันอยู่ตรงนี้แหละครับ ส่วนไอ้เจ้าเด็กโย่งนี่อยากจะทำอะไรก็ปล่อยเค้าทำไปเถอะครับ

“เออว่าจะถามพี่หลายทีละ ว่าทำไมมีซีดีเพลงเยอะจัง สมัยนี้ผมไม่ค่อยเห็นใครเค้าเปิดแผ่นแบบนี้ฟังเลย”เค้าหยิบแผ่นซีดีประมาณ 4-5 แผ่นออกมายื่นให้ผมเลือก ผมหยิบ 1 แผ่นส่งให้เค้าใส่เข้าไปในเครื่องเล่นซีดี อย่างที่เค้าบอกนั่นแหละครับ ผมยังชอบฟังเพลงจากแผ่นมากกว่าฟังจากมือถือ สมาร์ทโฟนอย่างที่คนสมัยนี้นิยมกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ใช้นะครับ ผมก็ใช้แหละครับ เพียงแต่เวลาอยู่บ้านผมจะชอบเปิดเพลงจากแผ่นซีดีพวกนี้มากกว่า เพลงเก่าๆ มันก็เหมาะกับเทคโนโลยีเก่าๆ นี่แหละครับ

“ก็แค่ชอบ”ผมตอบออกไปสั้นๆ ซึ่งดูเหมือนคนฟังจะไม่ค่อยพอใจในคำตอบของผมสักเท่าไหร่ เค้าหยิบกล่องซีดีที่ใส่แผ่นเข้าเครื่องเล่นไปแล้ว ถือเดินมานั่งลงกับพื้นหน้าโซฟานี่ผมนอนอยู่ เค้าเอนหลังพิงกับโซฟา ซึ่งพิงมาช่วงกลางๆ ลำตัวเยื้องๆ ขึ้นมาจะถึงช่วงอกผมอยู่แล้ว

“Chapter I : A New Beginning แปลว่าไรอ่ะพี่”ผมขมวดคิ้วกับคำถามของคนตรงหน้า นี่เค้าถามเพราะไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งถามผมเล่นๆ กันแน่

“ก็ บทที่ 1 การเริ่มต้นครั้งใหม่ ไง”ผมบอกออกไปพร้อมสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายที่ยังพลิกดูด้านหลังกล่องซีดีที่เป็นชื่อเพลง พร้อมพยักหน้าว่าเข้าใจ ผมเริ่มแปลกใจว่าไอ้ทุกคำที่เค้าถามเมื่อสักครู่ มันเป็นศัพท์พื้นฐานมากๆ เลยนะ นี่เค้าแปลไม่ออกจริงๆ เหรอ

“แล้วบทที่ 1 เค้าไม่ใช้คำว่า Lesson 1 เหรอพี่มันก็แปลว่าบทที่ 1 เหมือนกันนิ”จากที่รู้เกรดเฉลี่ยของเค้าก็ดูกลางๆ เวลาเห็นทำการบ้านพวกคำนวณ เค้าก็ดูหัวไวอยู่นี่นา

“Lesson เค้าใช้กับ บทเรียน ส่วน Chapter มันเหมือน บท ตอน ที่เป็นเรื่องราว เหมือนบทของนิยายอะไรพวกนั้นอ่ะ”ผมอธิบายไปพร้อมสังเกตท่าทีไปว่าไม่ได้กำลังโดนเด็กอำ ซึ่งดูอาการแล้วเหมือนเค้าจะอ่อนด้านภาษาจริงๆ ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรมากหรอกนะครับ ก็คงแค่พอกลางๆ สื่อสารได้นิดหน่อย

“แล้วทำไมพี่รู้”เค้าหันมาถามด้วยความประหลาดใจเหมือนเป็นเรื่องแปลกที่ผมอธิบายให้เค้าฟังได้

“ก็เรียนมาไง พี่ก็เรียนเหมือนภู่นั่นแหละ”ตอนแรกว่าจะแกล้งข่มว่าผมเก่งกว่าแล้ว แต่ยั้งตัวเองทัน เพราะไม่อยากให้เค้ารู้สึกไม่ชอบเรื่องของภาษาไปเสียก่อน เพราะผมเองก็เคยมีเพื่อนที่พอรู้สึกว่าตัวเองอ่อนด้านภาษาก็จะไม่ชอบไม่อยากเรียน แทนที่จะตั้งใจพัฒนาขึ้น กลับกลายเป็นไม่ใส่ใจปล่อยเลยตามเลย

“แต่ฟังดู พี่น่าจะเก่งภาษาอังกฤษกว่าผมเยอะเลย ผมงี้โคตรโง่เลยรู้ป่ะ ตั้งแต่เรียนมายังไม่เคยได้เกรด 2 ภาษาอังกฤษเลย เกรด 1 ล้วนๆ”ได้ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่า ถ้าได้เกรดขนาดนี้ก็คงย่ำแย่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“จริงไหมเนี่ย”ผมถามย้ำ

“จริงดิพี่ไว้ พี่ช่วยติวภาษาอังกฤษให้ผมมั่งดิ”ที่จริงถ้าเค้าไม่เอ่ยปากทีแรกผมก็คิดว่าจะเสนอตัวเองเสียด้วยซ้ำ อย่างที่บอกแหละครับ ผมก็เอ็นดูเค้าเหมือนน้องคนนึง อะไรที่จะส่งเสริมเค้าให้มันดีขึ้นผมก็อยากจะช่วย

“เอาดิ”ผมตอบรับไป แล้วเราทั้งคู่ก็เงียบกันไปสักพัก ทำให้เกิดบรรยากาศแปลกๆ ขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วในแผ่นนี้พี่ชอบเพลงไหนมากที่สุด”เค้าเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ ถามผม ผมเอื้อมมือไปหยิบกล่องซีดีจากเค้ามาพลิกดูรายชื่อเพลง ก่อนจะหยิบรีโมทกดเปลี่ยนเพลงเป็นคำตอบ

“If life is so short แปลว่าไรอ่ะพี่ ถ้าชีวิตสั้นงี้เหรอ เนื้อเพลงมันเกี่ยวกับอะไร จะฆ่าตัวตายงี้เหรอ”เดี๋ยวๆ ฟังจากทำนองดนตรีนี่เพลงมันควรมีความหมายแบบนั้นจริงๆ เหรอเนี่ย นี่ก็ช่างจินตนาการไปได้

“มันใช่ที่ไหนกันเล่า เนื้อเพลงมันแบบประมาณว่าชีวิตคนเรามันก็สั้นนะ ในตอนที่ยังมีโอกาส ทำไมเธอไม่ปล่อยให้ฉันได้รักเธอละ อะไรประมาณนั้นต่างหาก”ผมพยายามดึงให้เค้ากลับเข้ามาอินกับเนื้อเพลง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเท่าไหร่

“ฟังดูเพ้อๆ น้ำเน่าเหมือนกันเนอะ”นั่นแหละครับ พอเราเล่าความหมายให้ฟังก็เป็นงั้นไปอีก

“เนื้อเพลงนี่เหรอ”ผมถามพร้อมนึกย้อนไปถึง เพลงที่เค้าชอบเปิด นั่นผมก็เข้าไม่ถึงเหมือนกันแหละครับ

“พี่อ่ะแหละ นี่ชอบเพลงนี้เพราะแอบชอบใครแล้วอยากให้เค้ารับรักป่ะเนี่ย”คำถามของเค้าทำเอาผมชะงักไปนิดหน่อย แอบชอบ แอบรักงั้นเหรอ เอาจริงๆ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ความรู้สึกที่กำลังพูดถึงเนี่ย กับความรู้สึกที่ผมมีกับพี่ต้าร์ คนที่พอภู่พูดผมก็ดันนึกถึงขึ้นมาเนี่ย ผมมีความรู้สึกแบบไหนให้พี่เค้ากันแน่

“เมื่อคืน ตอนที่มีคนมาส่งพี่ พี่ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ หรือพูดอะไรแปลกๆ ออกไปใช่ไหม”ผมถามเพื่อความชัวร์ว่าผมไม่ได้ทำอะไรน่าขายหน้าต่อหน้าพี่ต้าร์มากไปกว่าที่ผมพอจะจำได้

“ก็ไม่นะ ทำไมเหรอคนที่มาส่งพี่นี่เค้าเป็นใครเหรอ”





TBC

เรื่องนี้ใสใสนะครับ อย่าเพิ่งคิดไม่ดีกับคู่นี้

ปล่อยลุงเค้าเวอร์จิ้นไปนานๆ ละกัน  :bye2:



ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 10
ความหลัง



“วันนื้ทำไมกลับช้า”ผมเอ่ยถามคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้าบ้านมา แต่ดูสีหน้าเค้าไม่สู้จะดีนัก ช่วงหลังๆ เราต่างคนต่างเคยชินไปแล้วว่าอีกฝ่ายจะกลับถึงบ้านตอนกี่โมง วันนี้แม้จะเห็นแล้วว่าเค้ากลับช้ากว่าปกติ แต่ไม่เห็นว่าเค้าจะโทรมาบอกอะไร ผมเลยคิดไปเองว่าเค้าอาจจะแวะอะไรระหว่างทาง หรือเจอรถติด พอมาเห็นสีหน้าหงอยของเค้าแบบนี้เลยรู้สึกว่าคงมีอะไรไม่สบายใจเป็นแน่

“ลุง...ขอกอดหน่อยดิ”พูดจบเค้าก็ไม่ได้รอคำอนุญาตหรือไม่ได้อธิบายอะไรให้ผมเข้าใจ เค้าพุ่งเข้ามาสวมกอดผมจากทางด้านหลัง คางเค้าวางเกยลงที่ไหล่ของผม สองแขนโอบผมไว้หลวมๆ เล่นเอาผมตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก

“ขออยู่แบบนี้สักพักนะครับ”เสียงที่ดังอยู่ข้างๆ หูทำให้หัวใจผมเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ดีที่เค้ากอดผมมาจากด้านหลัง เพราะถ้าเค้าอยู่ด้านหน้าผมตอนนี้ คงจับได้แล้วว่าหัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาแล้ว ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกันนะ ผมรู้สึกเหมือนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีความอบอุ่นก่อตัวขึ้นภายในใจที่เต้นรัวของผม

“เป็นอะไรหรือเปล่า”เมื่อผมพยายามสงบใจได้และเห็นว่าเค้ายังคงนิ่งอยู่ เลยเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ผมขยับมือขึ้นมาลูบแขนเค้าเบาๆ ให้เค้ารับรู้ว่าผมเองรู้สึกเป็นห่วงเค้าจริงๆ

“ถ้าวันนี้ผมไม่ทำอาหารเย็น พี่จะโกรธผมไหม”เค้าถามด้วยเสียงเหนื่อยๆ ทั้งที่คางยังเกยไหล่ผมอยู่ ผมหยุดคิดนิดนึงเพราะจริงๆ ตอนนี้เช้าเย็น ผมแทบติดฝีมือทำกับข้าวของเค้าไปแล้ว แต่ดูสภาพเค้าแล้ววันนี้คงมีเรื่องไม่สบายใจมากสินะ ถึงได้มีอาการแบบนี้

“ไม่โกรธเรื่องทำกับข้าว แต่จะโกรธที่ไม่ยอมปล่อยสักทีนี่แหละ อึดอัด”ผมบอกด้วยน้ำเสียงติดตลก ที่จริงถ้าเค้าบอกเร็วกว่านี้ก็ดีจะได้ซื้อจากข้างนอกเข้ามา หรือโทรสั่งอะไรมากิน แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นหรอกครับ แค่มาม่าๆ จริงๆ ก็อยู่ได้แล้ว

“แหมนึกว่าชอบเสียอีกเห็นยืนนิ่งให้กอดเลย”แม้เค้าจะพยายามทำเสียงร่าเริง แต่ผมกลับรู้สึกว่าเค้ากำลังฝืนๆ อยู่ ถึงผมจะไม่เห็นสีหน้าของเค้าเพราะเค้าเองยังไม่ยอมคลายอ้อมกอดออกจากตัวผม แต่ก็พอจะเดาได้ว่าสีหน้าเค้าคงไม่ได้ดีกว่าที่ผมสังเกตเห็นตอนแรกหรอก

“ปล่อยเลย จะไปต้มมาม่าละ วันนี้ไม่มีใครทำกับข้าวให้กิน”ผมย้ำอีกครั้งให้เค้าปล่อยผม เพราะไอ้สิ่งที่เราทำอยู่นี่ผมว่ามันเริ่มแปลกๆ แล้วแหละครับ

“ทำให้ด้วยดิ นะครับพี่แปงค้าบบ”เค้าทำเสียงอ้อนๆ พร้อมเอียงคอเอาหัวกระแทกเบาๆ ที่หัวของผม

“ก็ปล่อยสักทีสิจะได้ไปทำให้”ผมผละออกจากผมแต่เหมือนจะด้วยความรีบมากเกินไป ทำให้จมูกเค้าเหมือนจะเฉียดเอาแก้มผมไปด้วย ซึ่งเค้าเองก็น่าจะรู้ตัว เราต่างคนต่างชะงักกันไปทั้งคู่

“ภู่เอารสอะไรละ”ผมที่ตั้งสติได้ก่อนถามขึ้น สถานการณ์เมื่อสักครู่มันคืออะไรกันนะ ช่วงหลังๆ นี่ระหว่างผมกับเค้ามักจะมีช่วง dead air เกิดบ่อยขึ้นแม้มันจะช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็สร้างความอึดอัดได้เหมือนกัน แถมเราสองคนก็ยังต่างฝ่ายต่างปล่อยเลยตามเลย แต่อย่างเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เราไม่ควรรู้สึกอะไรด้วยซ้ำเพราะจริงๆ ตอนมี 2 สาวมาตบกันหน้าบ้านแย่งเค้า เค้าก็เคยแกล้งหอมแก้มผมไปแล้ว มันควรจะเป็นเรื่องขำๆ ระหว่างเราเสียด้วยซ้ำ

“พี่กินอะไรผมก็กินแบบนั้นแหละครับ”เค้าบอกผ่านๆ ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โซฟา ผมก็เดินแยกเข้าครัว จัดการเปิดตู้เย็นว่าพอจะมีอะไรใส่เพิ่มกับมาม่าบ้าง จะได้ไม่ต้องกินแค่เส้น รื้อๆ ดูก็พอจะมีผัก หมูบด ลูกชิ้น ไข่ นับว่าดีเกินคาดด้วยซ้ำ จริงๆ ผมเองเป็นคนซื้อมาใส่แหละครับ แต่ผมไม่ได้เป็นคนเอาออกมาทำ เลยไม่ค่อยรู้ว่าเหลืออะไรบ้าง ปกติก็จะไปซื้อช่วงวันหยุด สัปดาห์ละครั้ง ซื้อมาให้พอสำหรับ เราทั้งคู่แหละครับ

ไม่นานมาม่าชามใหญ่ ฝีมือผมก็ส่งกลิ่นหอม น่ากิน ไม่ต้องแปลกใจนะครับว่าทำไมผมทำเองได้ แต่ให้เด็กโย่งข้างนอกนั่นมาทำกับข้าวให้กินทุกวัน ก็ผมมันทำเป็นแค่อะไรง่ายๆ แค่นั้นแหละครับ อีกอย่างมาม่าชามนี้ก็แค่ใส่ทุกอย่างลงไป รอสุกแค่นั้นเอง เครื่องปรุงก็ฉีกในซองนั่นแหละครับใส่ๆ ไป ไม่ได้อยากเลย

“แล้วตกลงเป็นอะไร อยากเล่าไหม”หลังยกมาม่าชามใหญ่ออกมาวางที่โต๊ะ ผมก็หยั่งเชิงถาม เผื่อว่าเค้าจะอยากระบายบ้าง เพราะบางทีการได้พูดออกมามันอาจทำให้สบายใจขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าเค้าไม่อยากเล่า ผมก็คงไม่เซ้าซี้อะไรหรอกครับ ถึงเราจะเริ่มสนิทกันแล้วมันก็ยังต้องเว้นพื้นที่ส่วนตัวให้กันและกันไว้บ้าง อย่างวันก่อนเค้าถามผมเรื่องพี่ต้าร์ ผมปฏิเสธที่จะเล่าเค้าก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรผมอีก

“น่ากินเหมือนกันนะเนี่ย ไหนชิมซิว่ารสชาติเป็นไง”เค้าเดินตรงมาแย่งช้อนจากมือผม แค่นี้ก็รู้แล้วแหละครับว่าเค้าบ่ายเบี่ยงที่จะไม่พูดถึง สิ่งที่ทำให้เค้าต้องไม่สบายใจ ผมมองเค้ายิ้มๆ อย่างเอ็นดู ที่จริงปัญหาบางอย่างด้วยวัยของเค้าก็ควรให้ลองผิดลองถูกตัดสินใจเองบ้างแหละเนอะ อีกอย่างการที่ครอบครัวเค้ายอมปล่อยให้ใช้ชีวิตเองขนาดนี้ แสดงว่าเค้าเองก็คงทำให้ที่บ้านไว้ใจได้ในระดับนึงแหละครับ แต่เรื่องการเรียนที่เห็นว่าแย่ลงนี่ก็คงทำให้ที่บ้านเค้าเข้มงวดขึ้นมาหน่อยแหละมั้ง

“ฝีมือใช้ได้ แบบนี้ผมจะหมดประโยชน์หรือเปล่านา”เค้าเงยหน้ามองผมเผยยิ้มกว้าง ทำเหมือนผู้ใหญ่ชมเด็กหัดทำกับข้าว นี่ตกลงผมกับเค้านี่ใครอายุมากกว่ากันแน่ ผมต้องให้เด็กที่อายุน้อยกว่าตัวเองเกือบ 10 ปีเป็นคนมาชมเหรอเนี่ย

“ไม่หรอกพี่ขี้เกียจทำเอง ให้ภู่ทำพี่รอกินอย่างเดิมแหละ สบายออก”ผมแกล้งบอกยอเค้าไป คิดว่าคุยเล่นแบบนี้กับเค้าก็คงช่วยให้เค้าคลายกังวลไปได้บ้างแหละ แม้ผมจะไม่รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เค้าเป็นแบบนี้ก็เถอะ

“มาๆ กินกันดีกว่าหิวแล้ว”ตะเกียบที่ผมถือมาสำหรับเราสองคน ถูกเค้าฉวยหยิบไปคู่นึง พร้อมตั้งท่าเตรียมจะกินอย่างตั้งใจ ทำเหมือนเด็กๆ เจอของโปรดยังไงอย่างนั้น ผมส่ายหน้าขำๆ ยังไงเค้าก็ยังเป็นแค่เด็ก 17 แหละเนอะ

“หยิบถ้วยแบ่งก่อนสิ”ผมบอกพร้อมจะลุกไปหยิบถ้วยใบเล็กมาเพิ่ม เพราะนี่มาม่าก็อยู่ในชามใหญ่ใบเดียว แต่ข้อมือผมก็ถูกฉวยคว้าไว้โดยอีกคน ผมหันกลับมามองเค้าอย่างไม่เข้าใจ เค้าพยักหน้าให้ผมนั่งลงตามเดิม

“ไม่ต้องหรอกพี่กินถ้วยเดียวกันนี่แหละ”สายตาเค้าจ้องมองมาที่ผม ดูเป็นสายตาที่ผมไม่เคยเห็นจากเค้าเลย ปกติเค้าจะมีแววกวนๆ ขี้เล่นในนั้นเสมอ แต่ครั้งนี้แววตาเค้าดูแปลกไป ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเค้าอยากจะสื่ออะไร

“เอางั้นเหรอ”หลังที่มองกันอยู่สักพักผมก็ค่อยๆ ดึงแขนตัวเองให้หลุดจากมือของเค้า เราทั้งคู่เกิดอาการเดิมอีกแล้ว ผมชักแปลกใจว่าไอ้อาการเก้ๆ กังๆ ในบางครั้งระหว่างเราสองคนนี่มันชักจะมาบ่อยเกินไปแล้ว แถมมันเกิดหลังจากวันที่เค้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมนั่นแหละครับ และผมเองก็มักจะนึกถึงเรื่องนี้ทุกครั้งที่เราอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น

“รออะไรละ ช้าหมดอดนะครับลุง”เค้าเป็นฝ่ายหลบสายตาผมก่อน และดึงชามมาม่าให้เลื่อนเข้าหาฝั่งเค้า ตะเกียบคีบเส้นเข้าปากคำโต ผมจ้องมองท่าทีของเค้าที่ทำเหมือนหวงของกิน ก่อนจะหลุดขำออกมาเบาๆ

“เฮ้ย แบ่งมั่งดิ”ผมแย่งชามมาม่ามาฝั่งตัวเองบ้าง เราผลัดกัดกิน แย่งกันบ้าง เกี่ยงกันกินอะไรที่ไม่อยากกินบ้าง เรียกว่าอหารมื้อนี้แม้มันจะธรรมดามากๆ ไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันอร่อยมากอย่างบอกไม่ถูก

“อ่าอิ่มแปล้เลย”ผมเอนหลังพิงเก้าอี้ลูบท้อง เพราะรู้สึกกินเข้าไปเยอะมากเกินปกติ เราหันมองหน้ากัน ต่างคนต่างยิ้มแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ ผมว่าเค้าเองก็คงขำในสิ่งที่เหมือนกับผมขำ ก็อยู่ดีๆ ดันมองหน้ากันอยู่ได้

“เฮ้ยๆ พี่เก็บเอง วันนี้พี่ทำต้องให้พี่เก็บสิ”ผมรีบลุกแย่งชามเมื่อเห็นว่าเค้าจะเก็บไปล้าง เค้ายอมให้ผมเก็บจานโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ผมเดินเข้าครัวแล้วก็เพิ่งรู้สึกว่าผมเริ่มจะไม่รู้แล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหน พื้นที่ตรงนี้มันเป็นของเค้าไปแล้ว ผมมองหาอุปกรณ์ล้างจาน ดีที่มันยังอยู่ที่เดิม แต่พอกดน้ำยาล้างจานปรากฏว่ามันน่าจะหมดแล้ว

“ภู่ น้ำยาล้างจานที่จะซื้อมาเติมวันก่อน อยู่ตรงไหนอ่ะ”ผมตะโกนถามพร้อมพยายามเปิดหาตามที่เก็บ แต่ก็ยังไม่เจอ

“บนชั้นนั่นไงพี่”เค้าเดินเข้ามายืนประกบด้านหลังผม เอื้อมหยิบน้ำยาล้างจานแบบเติมลงมาจากชั้นที่อยู่ด้านบนเหนือศีรษะผม นี่ผมว่าผมก็เขย่งดูแล้วนี่นา ทำไมไม่เจอละเนี่ย เค้าชูให้ผมดูก่อนจะยื่นให้แล้วถอยไปยืนพิงกับตู้เย็นมองผมที่พยายามฉีกถุงน้ำยาล้างจาน

“เอามานี่ เดี๋ยวผมทำให้ พี่นี่โตแล้วจริงป่ะเนี่ย”เค้าเข้ามาแย่งถุงน้ำยาล้างจานจากมือผมไปตัดแล้วเทลงถุงอย่างคล่องแคล่ว บางทีผมก็คิดนะครับว่าเค้าที่ก็จัดว่าเป็นเด็กเกเรมีเรื่องชกต่อย มีความกวนประสาท แต่ทำไมยังทำงานบ้านงานครัวอะไรพวกนี้ได้อีก แต่ทำได้แล้วไม่ต้องมาทำบ่นผมแบบนี้ก็ได้นะ

“แล้วทำไมต้องบ่นด้วยเล่า พี่แก่กว่าภู่ตั้งหลายปีนะไม่ต้องมาทำเหมือนพี่เป็นเด็กเลย”ผมรับน้ำยาล้างจานมาอย่างเคืองๆ ก็พักหลังนี่ชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย

“ก็ดูดินี่ก็ทำหน้างอเป็นเด็กอีกแล้วเนี่ย”นี่ผมหน้างอเหรอ ผมว่าผมก็แค่รู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย นี่มันออกไปทางสีหน้าด้วยเหรอนี่

“ก็ถ้าพี่เหมือนเด็ก แล้วจะมาเรียกพี่เป็นลุงทำไมเล่า”ผมถามกลับออกไปอย่างพาลๆ ปกติเห็นชอบเรียกผมลุงบอกผมแก่กว่าตั้งหลายปีทีแบบนี้มาหาว่าผมเหมือนเด็ก ตัวเองก็ยังเรียนมัธยมอยู่แท้ๆ ไอ้เด็กบ้าเอ้ย

“ก็เป็นเฒ่าทารกไงครับลุง”เค้าเดินเข้ามาเอานิ้วจิ้มแก้มผม จนผมต้องเบี่ยงหน้าหนี เล่นอะไรก็ไม่รู้เนี่ย

“ออกไปเลย ไม่ต้องมากวน เดี๋ยวก็ไม่เสร็จสักทีเนี่ย”เค้าถอยกลับไปยืนพิงที่ตู้เย็นตามเดิมเงียบๆ ไม่ได้ออกจากครัวไปอย่างที่ผมบอก

“พี่แปง”เค้าเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่ออกจะหม่นๆ หน่อยๆ

“หือว่าไง”สีหน้าเค้าดูเศร้าลง แสดงว่าคงฝืนไว้ไม่ไหวแล้วสินะ อย่างที่บอกตั้งแต่แรกว่าผมก็รู้สึกว่าวันนี้เค้าไม่ปกติ แต่ก็นึกว่าจะดีขึ้นได้บ้าง จากการที่เค้ากวนผมเนี่ย แต่นี่คงยังไม่ช่วยเท่าไหร่สินะ

“พี่แปงเคยอกหักไหม”ผมหันกลับไปมองเค้า พร้อมขมวดคิ้ว เค้าไม่ได้หันมามองผมแต่เหมือนสายตามองไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ เค้าอกหักอย่างนั้นหรือ นี่ตั้งแต่เรื่องแม่ 2 สาวที่มาตบกันหน้าบ้านเพื่อแย่งเค้าในวันนั้น ผมก็ไม่เห็นว่าเค้าจะพูดถึงสาวๆ ที่ไหนอีกเลย จะว่าอกหักเพราะ 1 ในสองสาวนั้นก็คงไม่ใช่

“ไม่เคยอ่ะ เคยแต่แอบรักเค้าข้างเดียวมั้ง”ผมตอบออกไปตามตรง แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่ต้าร์มันคือความรักหรือเปล่า

“การแค่ได้แอบรักมันก็คงมีความสุขมากกว่าสินะครับ”จะมาโหมดไหนเนี่ย อย่าเศร้ามากละกัน ผมเองก็ปลอบไม่เป็น แฟนก็ไม่เคยมี อกหักก็ยังไม่เคย เพื่อนอกหักมาให้ปลอบก็ไม่เคยมีอีกเหมือนกัน

“พี่อาจจะไม่มีคำแนะนำอะไรดีๆ ให้ แต่ถ้าอยากระบายพี่ยินดีรับฟังเสมอ”เค้าหันมายิ้มให้ผมแล้วเดินหันหลังเดินออกไป ผมรีบล้างจานให้เสร็จ เพื่อเดินตามเค้าออกไป แต่พบว่าเค้ากำลังจะเปิดประตูออกจากบ้านผมไป

“เดี๋ยวมานะพี่”เค้าบอกโดยที่ไม่ได้รอให้ผมถาม ผมเลยได้แค่อ้าปากค้าง เดินตามไปที่ประตูมองแผ่นหลังเค้าเดินห่างออกไป เค้าคงไม่ได้เป็นไรมากหรอกมั้ง ผมคงทำได้เพียงนั่งรอสินะ แต่กลับกลายเป็นว่าผมรอด้วยความกระสับกระส่าย กระวนกระวายใจ ก็เล่นมาพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น แล้วอยู่ๆ ก็เดินออกไปดื้อๆ แบบนี้ แล้วเดินไปไหนก็ไม่รู้ ผมรออยู่พักนึงกำลังว่าจะเดินออกไปตามเค้า ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปตามเค้าที่ไหน

“จะไปไหนเหรอพี่”พอเปิดประตูกลับกลายเป็นว่า ผมกับเค้ายืนเผชิญหน้ากันพอดี จนผมต้องเป็นฝ่ายก้าวถอยหลังให้เค้าเข้ามาในบ้าน

“ปะ..เปล่าไม่ได้จะไปไหน”ผมรีบปฏิเสธ

“แล้วนี่ไปไหนมา”ผมรีบเปลี่ยนเรื่องโดยตั้งคำถามกับเค้าแทน เค้าไม่ได้ตอบแต่ชูถุงที่หิ้วมาให้ผมดู ผมมองตาโต เพราะที่เค้าหิ้วมามันคือเบียร์ 5-6 กระป๋อง

“อะไร นี่อกหัก ต้องทำตัวเศร้า ดื่มเหล้าร้องไห้งี้เหรอ”ผมบอกออกไปด้วยน้ำเสียงตำหนิหน่อยๆ ก็ไม่ได้แปลกใจหรอกนะครับที่เค้าดื่มแอลกอฮอล์ บุคลิคอย่างเค้าเนี่ย ไม่ดื่มสิแปลกกว่าอีก แต่มันก็อดที่จะอยากดุหน่อยๆ ไม่ได้

“เบียร์แค่นี้มันไม่เมาหรอกลุง อีกอย่างวันนี้ผมก็ไม่ได้อกหักสักหน่อย ผมกับเค้ามันจบไปตั้งนานแล้วต่างหาก”นี่ขนาดพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไรแล้วนะครับ แต่ยังต้องออกไปซื้อเบียร์มา แถมอาการหงอยๆ วันนี้อีก

“คนที่พูดถึงนี่เค้าไม่มีอิทธิพลกับเราแล้วว่างั้น”ผมบอกออกไปอย่างหมั่นไส้ ทีแรกก็อยากจะช่วยปลอบนะครับ แต่มาทำวางฟอร์มปากแข็งอยู่แบบนี้ จากอยากช่วยเลยเป็นหมั่นไส้แทน

“เค้าก็แค่คนที่เคยบอกว่ารักผม แล้ววันนึงก็ทิ้งผมไป จนมาวันนี้วันที่ผมอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเค้าแล้ว เค้าก็จะกลับเข้ามาในชีวิตผม บอกว่าอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม”จากอารมณ์หมั่นไส้กลายเป็นเริ่มห่วงเค้าแล้วครับ นี่ผมว่าผมเองก็อารมณ์แปรปรวนเหมือนกันนะเนี่ย ผมปล่อยให้เค้าได้ระบายออกมา พร้อมกับเบียร์ที่เค้ายกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดกระป๋อง

“แล้วภู่ยังรักเค้าไหมละ”เมื่อเห็นเค้าเอาแต่เงียบแล้วสนใจแค่กระป๋องเบียร์ตรงหน้า เค้าบีบกระป๋องเบียร์เปล่าจนยับคามือ ก่อนจะเปิดกระป๋องใหม่

“ผมยังจำวันที่ผมถูกทิ้งอย่างไม่ใยดี จนผมเกือบไม่เป็นผู้เป็นคน ผมอาจจะบ้าเองก็ได้มั้งพี่ที่คิดว่าความรักครั้งแรก ความรักแบบเด็กๆ ของผมมันจะกลายเป็นรักที่ยั่งยืน แต่ว่าตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจ ย้ายจากเชียงใหม่มาเรียนที่กรุงเทพฯ ผมก็บอกกับตัวเองแล้วว่าจะไม่กลับไปจุดนั้นอีก”ผมพอจะจับใจความได้แล้วครับ ว่าคนตรงหน้าที่คงเคยถูกแฟนทิ้งตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่เชียงใหม่ แล้ววันนี้คงได้รับการติดต่อจากอีกฝ่ายสินะ

“แล้ว ยังไงไหนว่าไม่คิดจะกลับไปอะไรกับเค้า แต่ยังต้องมานั่งดื่ม ให้ความสำคัญกับเค้าอยู่แบบนี้เหรอ”บอกถามกลับด้วยเสียงแข็งๆ หน่อย เพราะรู้สึกขัดใจกับสิ่งที่ได้ฟัง ดูมันสวนทางกับสิ่งที่เค้าทำอยู่เหลือเกิน

“นั่นสินะ งั้นมาพี่ดื่มเป็นสักขีพยานกับผมสักป๋อง ว่าจากนี้ไปคนๆ นี้จะไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผมอีก”เค้าหัวเราะ เหมือนเย้ยหยันตัวเองอยู่ในที แล้วก็ยื่นกระป๋องเบียร์มาให้ผม อย่างที่บอก

“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากเมา”ผมรีบปฏิเสธ นึกถึงสภาพตัวเองวันที่เมาแล้ว ผมว่าอย่าจะดีกว่า เค้ายิ้มจางๆ แล้วเอาป๋องเบียร์กลับไปเปิดดื่มเอง

“การที่เคยได้มีแฟน ได้มีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันมันก็ดีแล้วแหละ แม้วันนึงจะเลิกรากันไปก็เก็บช่วงเวลาดีๆ นั้นไว้เถอะ คนบางคนเค้าก็อาจแค่ผ่านเค้ามาใช้เวลากับเราแค่ไม่นาน แต่เค้าก็เคยทำให้เรามีความสุขไม่ใช่เหรอ”ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้น แต่ผมก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

“ภู่ยังดีกว่าพี่ตั้งเยอะที่เคยมีแฟน ดูพี่สิอยู่มาจนอายุขนาดนี้ ยังไม่เคยมีแฟนเลย”พูดไปก็เริ่มรู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมาบ้างแล้วละครับ

“แล้วทำไมพี่ไม่หาใครสักคนละครับ ผมว่าอย่างพี่ใครอยู่ด้วยก็ต้องชอบพี่อยู่แล้ว ผมเองยังชอบพี่เลย”ผมชะงักกับคำพูดเค้า ก่อนจะเผลอยิ้มขำออกมา นี่ผมคิดอะไรนะ คำว่าชอบของเค้ามันได้หมายความไปในทางลึกซึ้งเสียหน่อย

“แล้วที่บอกว่ามีคนที่แอบชอบละ ทำไมพี่ไม่บอกเค้าไปตรงๆ บางทีเค้าอาจจะชอบพี่อยู่เหมือนกันก็ได้นะ”เค้าหันมาจ้องหน้าผมนิ่ง

“ช่างเหอะ”ผมบอกปัดๆ พร้อมนึกถึงคนที่ผมมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเค้า

“แล้วคนที่พี่แอบชอบเนี่ย ผู้หญิงหรือผู้ชายอ่ะพี่”ผมหันไปมองคนถาม เค้าเองก็หันมามองผมอยู่แล้ว เค้าหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม แต่สายตาก็ยังมองผม เหมือนเป็นการรอคำตอบ ที่จริงเค้าเองก็เคยแซวผมหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมชอบผู้ชาย แล้วจนมารู้จักสนิทสนมขนาดนี้ ผมนึกว่าเค้าปักใจไปแล้วเสียอีก แต่ผมว่าผมก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะไม่บอกเค้าตามตรงนะครับ

“พี่ชอบผู้ชาย”




TBC

ยังไงต่อละทีนี้ :bye2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เอละสิ แปงบอกภู่ไปแล้ว
ว่าคนที่แอบชอบน่ะเป็นผู้ชาย  :z3:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :katai1: :katai1:

โอ๋ย โอ๋ยยยยยยยย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
อร๊ายยย แล้วๆๆๆๆๆ อิอิ

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
นั่นๆๆๆๆเดี๋ยวก็เมาอีก 5555

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 11
อกหักมันเป็นยังไง





“พี่ชอบผู้ชาย”

“ก็กะอยู่แล้ว”หลังได้ยินคำตอบของผม เค้าก็ตอบกลับมายิ้มๆ มองผมสบายๆ เหมือนไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก เค้าดื่มเบียร์ที่ซื้อมาจนหมด เค้าก็ขอตัวกลับบ้านไป พอตอนเช้าเค้าก็มาทำอาหารเช้า ปกติเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เค้าไม่พูดถึงเมื่อวานที่มีเรื่องไม่สบายใจ หรือไม่พูดถึงสิ่งที่เค้าถามผมอีก เค้าทำตัวปกติเหมือนทุกวัน แต่ไม่รู้ทำไมเรื่องนี้มันดันยังติดอยู่ในหัวผม จนตามมาถึงที่ทำงานแบบนี้ ผมนั่งคนแก้วกาแฟนตัวเองคิดอะไรเพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งกับใครคนนึงที่เรียกผม

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ พี่เรียกตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวเลย”หญิงสาวที่น่าจะอายุมากกว่าผมนิดหน่อย ซึ่งผมไม่คุ้นหน้าเลยว่าเป็นลูกค้าบริษัทเราหรือเปล่า จะว่าเป็นพนักงานใหม่ก็คงไม่ใช่อีก แต่นี่ผมคงคิดนานเกินไปทำให้หญิงสาวตรงหน้าสะกิดเรียกผมอีกครั้งพร้อมเสียงหัวเราะน้อยๆ

“โทษที พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”ผมถามกลับพร้อมยิ้มอย่างอายๆ ที่ทำตัวเปิ่นๆ ออกไป

“อ้าวกุ้ง มาทำอะไร”เป็นพี่ฟ่างที่เดินเข้ามาทักก่อนโดยที่พี่กุ้งตามที่พี่ฟ่างเรียก ยังไม่ทันได้ตอบอะไรผม ดูจากการพูดคุยแล้วดูท่าพี่ฟ่างและพี่กุ้งคงสนิทกันไม่น้อยทีเดียวครับ

“พอดีเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ แล้วไม่มีกุญแจบ้านเลยแวะมา กะว่าเอาของฝากมาให้ด้วย อีกอย่างก็มาดูว่าพ่อตัวดีของเรามีนอกลู่นอกทางบ้างหรือเปล่า”จากบทสนทนาทำให้รู้ว่าพี่กุ้งคงเป็นแฟนใครสักคนในออฟฟิศแน่ๆ แต่ผมก็ไม่เคยเห็นพี่เค้ามาที่นี่มาก่อนเลย

“น้องฟ่าง ใครอ่ะ”เจ้โอ๋ที่โผล่เข้ามาเพิ่ม เอ่ยถามด้วยความสงสัย นี่ขนาดผู้กว้างขวางในออฟฟิศอย่างเจ้โอ๋ ยังไม่รู้จัก แต่รู้จักพี่ฟ่างงั้นเหรอ

“นี่กุ้งแฟนไอ้ต้าร์มันครับเจ้ กุ้งนี่พี่โอ๋ แล้วก็น้องแปง”พี่ฟ่างแนะนำพวกเราทุกคนให้รู้จักกัน เจ้โอ๋มีอาการแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนผมนะเหรอครับ มันก็รู้สึกงงๆ หน่อยๆ หวิวๆ นิดๆ โหวงๆ ด้วยประมาณนึง เรียกว่าอธิบายไม่ถูกดีกว่าครับ คือก็คิดไว้อยู่เหมือนกันว่าพี่ต้าร์แกคงมีแฟนแล้ว อีกส่วนนึงก็ยังแอบสงสัยว่าพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างจะสนิทเกินเพื่อนหรือเปล่า แต่พี่ต้าร์เองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องแฟนเลยด้วยแหละครับ

“พี่คิดว่าต้าร์กับฟ่างเป็นแฟนกันใช่ไหมคะ กุ้งเองทีแรกก็คิดนะคะ”พี่กุ้งหันไปคุยกับเจ้โอ๋ อย่างอารมณ์ดี ผมเองก็แกล้งฝืนๆ ยิ้มอยู่ที่เดิม แล้วก็มองอีกคนที่เข้ามาใหม่ นั่นคือพี่ต้าร์ พี่เค้ายิ้มกว้างเข้ามาหาแฟนของเค้าทักทายอย่างสนิทสนม ผมบอกไม่ถูกจริงๆ ว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง แต่มันไม่เห็นเจ็บ หรือรู้สึกเศร้าอะไรเลยกับสิ่งที่ได้รับรู้ตรงหน้า

“น้องแปง ไม่ต้องเศร้าไปนะจ๊ะ ถึงพี่จะมีแฟนแล้ว แต่อยู่ที่นี่เราก็ยังเป็นผัวเมียกันเหมือนเดิม”พี่ต้าร์เดินเข้ามากอดคอผม ผมก็น่าจะรู้สึกได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า แกแค่แกล้งผมเล่นๆ แบบนี้ รวมทั้งกับพี่ฟ่างเองก็ด้วย ผมแกล้งยิ้มขำๆ ไปกับการกระทำของพี่ต้าร์

“พี่บอกเลยนะคะน้องกุ้ง เห็นแบบนี้ทุกวันไม่กลัวไอ้เนี่ยมันเปลี่ยนใจจริงๆ เหรอ”เจ้โอ๋แกล้งทำท่าแขยง ก่อนจะหัวเราะออกมา ทุกคนพูดคุยกันต่ออีกสักพักอย่างสนุกสนาน ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน และพี่กุ้งก็กลับออกไป ส่วนผมก็กลับมานั่งทำงานด้วยความรู้สึกแปลกๆ เรียกว่าวันนี้ผมทำงานแทบจะไม่มีสมาธิเลย พอถึงเวลาเลิกงานผมก็กลับบ้านด้วยอาการมึนๆ

“วันนี้ลุงอยากกินอะไรเป็นพิเศษเปล่า”สายประจำจากพ่อครัวส่วนตัว โทรเข้ามาแทบจะเวลาเดิม แต่ผมเพียงตอบไปว่าอะไรก็ได้ เพราะรู้สึกเหมือนไม่ค่อยหิวด้วย

“วันนี้เหนื่อยเหรอลุง ทำไมเสียงเนือยๆ”น้ำเสียงเจือด้วยความสงสัยเอ่ยถามผมออกมาตามสายโทรศัพท์

“เปล่าหรอก ไว้เจอกันที่บ้านละกัน”ผมปฏิเสธพร้อมตัดบทสนทนา ผมว่าผมไม่เป็นไร ไม่น่าจะรู้สึกอะไรกับเรื่องที่ได้รับรู้วันนี้ แต่ทำไมมันเหมือนบางอย่างกลับติดอยู่ในหัวของผม ผมไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้เลย มันคืออะไรกันนะ ผมขับรถเรื่อยๆ ด้วยอาการจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จนจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน สายตาเหลือบเห็นบางอย่าง ทำให้ผมหยุดรถ

“10 กระป๋องครับ”ผมบอกกับพี่คนขาย มือชี้ที่กระป๋องรูปทรงและหน้าตาแบบเดียวกับที่ภู่ซื้อไปวันก่อน แม้ยังไม่รู้ว่าทำไมผมต้องซื้อไป แต่ผมว่าการที่ภู่เองเอามันไปดื่มในวันที่รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับความรัก มันก็คงช่วยได้บ้างแหละ แม้ระหว่างผมกับพี่ต้าร์มันจะยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าคนรักเลยแม้แต่น้อย

“วันนี้เป็นไรเนี่ยลุง ตั้งแต่ตอนคุยโทรศัพท์แล้ว ดูเนือยๆ แล้วนี่ดูหน้าตาเข้าอกหักหรือไงเนี่ย”คำพูดเหมือนแซวเล่นๆ จากอีกคนที่เข้าบ้านมาก่อนผมแล้วทักทายผม แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรเดินหิ้วของมาวางที่โต๊ะ และสิ่งที่ผมซื้อมาก็คงทำให้เค้าสังเกตเห็นแล้ว เค้าเดินมาหยุดตรงหน้าผม จ้องมองผมโดยไม่ได้พูดอะไร

“เค้ามีแฟนแล้วใช่ไหม คนที่พี่แอบชอบนะ”ผมเงยหน้าขึ้นมองเค้า กำลังงงว่าเค้ารู้ได้ยังไง

“ถึงผมจะอายุน้อยกว่า แต่ประสบการณ์รักของผมเยอะกว่าพี่แน่ๆ อีกอย่างพี่ไม่เคยบ่นเรื่องงานเลย อาการที่พี่เป็นมันเดาไม่ยากหรอกครับ”เค้าอธิบายเหมือนรู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไร

“ก็แค่เค้าไม่ชอบเรา ไม่ได้แปลว่าเราไร้ค่า เราไม่มีใครเอา ชีวิตเรามันไม่ได้จะพังลงหรอกพี่”เดี๋ยวนะนี่อาการผมมันแย่ขนาดนั้นเหรอ ผมก็ว่าผมไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะครับ แม้มันจะรู้สึกนอยด์ๆ ไปบ้างแต่ผมว่าผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้น แล้วเค้าก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดเลย เค้าดึงตัวผมเข้าไปกอด

“อกหักครั้งแรกก็งี้แหละพี่”เค้าลูบหัวผมเหมือนปลอบเด็กจนผมเผลออมยิ้มออกมา ผมว่าไอ้ผมนะไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แต่ไอ้เด็กตรงหน้านี่แหละ เล่นใหญ่เหลือเกิน สงสัยตอนตัวเค้าเองอกหักคงอาการหนักสินะ

“ภู่...ปล่อยก่อนพี่ไม่เป็นไร”ผมพยายามขืนตัวออก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังกอดผมไว้แน่น ตกลงนี่เค้าหรือผมกันแน่ที่แย่ หรือตัวเค้าเองที่เฮิร์ทต่อเนื่องมาจากวันก่อน

“ไม่ต้องเกรงใจพี่ผมรู้ว่าเวลาเจ็บมันต้องการอ้อมกอดจากใครสักคน ยังไงพี่ก็ยังมีผมนะ”ไปกันใหญ่แล้วไหมเนี่ย ผมว่าผมยังไม่เสียใจอะไรขนาดนั้นนะ อีกอย่างผมก็ไม่ได้เสียหลักหรือชีวิตพังอะไรขนาดนั้น

“ปล่อยก่อนภู่ พี่ไม่เป็นไรจริงๆ”ผมออกแรงดันเค้าอีกครั้งพร้อมบอกอย่างจริงจัง เค้ายังคงมองหน้าผมด้วยท่าทางไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่แต่ผมก็ย้ำแล้ว ย้ำอีกว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

“ไม่เป็นไรแล้วซื้อเบียร์มาทำไม”เค้าชี้ที่เบียร์ 10 กระป๋องที่ผมหอบหิ้วมา เอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองหรอกนะครับ อาจจะแค่คิดแบบเด็กๆ ว่าอยากเมาดูบ้างเวลาคิดว่าตัวเองอกหัก แต่นี่ผมอกหักหรือเปล่ายังไม่เข้าใจตัวเองเลย

“อยากทำตัวเฮิร์ทดูบ้าง แต่ทำไมมันไม่เห็นรู้สึกจะเป็นจะตายเหมือนในละคร ซีรี่ส์ หรือตาม MV เลยอ่ะ”ผมบอกขำๆ แต่ก็คือสิ่งที่ผมคิดจริงๆ ผมไม่เคยมีคนรัก ไม่เคยถูกทิ้ง ไม่เคยโดนบอกเลิก แต่เท่าที่เคยเห็นคนที่เป็นฝ่ายถูกทิ้งตามหนังละคร อะไรต่างๆ ดูเค้าทุรนทุราย ร้องไห้เสียใจฟูมฟาย กินไม่ได้นอนไม่หลับกันเหลือเกิน ทำไมผมไม่ยักกะรู้สึกแบบนั้น

“อะไรของลุงนิ ตกลงอกหักจริงป่ะเนี่ย”เค้าถามด้วยน้ำเสียงออกจะหมั่นไส้ผมหน่อยๆ แต่จะมาโทษผมก็ไม่ได้นะครับ ตัวเค้าเองแหละมาถึงผมยังไม่ทันพูดอะไรเลย ดันมาเล่นใหญ่ใส่ผมเองซะงั้น

“ไม่รู้สิมันก็รู้สึกนิดๆ นะ แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นจะตายเลย”ผมฉีกยิ้มกว้างบอกเค้าไปตามตรง เอาจริงๆ ก่อนกลับมาเตอเค้าก็รู้สึกแย่หน่อยๆ แหละครับ แต่อ้อมกอดจากเค้าเมื่อสักครู่มันก็ช่วยผมไว้ด้วยแหละมั้ง จังหวะนึงที่เค้ากอดผม มันก็ทำให้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจอยู่เหมือนกัน

“นี่ตกลงใช่เรื่องคนที่ลุงแอบชอบมีแฟนอยู่แล้วอย่างที่ผมว่าป่ะ”ผมพยักหน้าตอบรับ ว่าเค้าไม่ได้เจ้าใจผิด

“นี่ชอบเค้าจริงป่ะเนี่ย”เค้าถามผมกลับด้วยท่าทีที่คงเริ่มไม่เข้าใจว่าจริงๆ ผมจะเสียใจ เศร้าหรืออะไรกันแน่

“มันก็ชอบนะ แต่ก็คิดอยู่แล้วไงว่าเค้าไม่ได้จะมาชอบคนอย่างเรา”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะมันดูเป็นไปได้ยากอยู่แล้วที่พี่เค้าจะมาชอบผม

“เผื่อใจแล้วว่างั้น”

“งั้นมั้ง”ผมย่นจมูก ทำท่าคิด ส่วนอีกคนก็เอื้อมมือดึงถุงเบียร์ลากไปหาตัวเอง ก่อนจะหยิบขึ้นมากระป๋องนึง

“งั้นเบียร์นี่ก็ไม่ต้องกิน ไม่จำเป็น ไม่ดีด้วย”เค้ายื่นกระป๋องเบียร์มาเคาะเบาๆ ที่หัวผม นี่ตกลงใครเป็นผู้ใหญ่ใครเป็นเด็กกันแน่เนี่ย ดูผมจะถูกปฏิบัติเหมือนตัวเองเป็นเด็กมาหลายครั้งแล้ว

“ไม่ดีแล้ววันก่อนดื่มทำไม”ผมย้อน เพราะหมั่นไส้ทำมาเป็นพูดดี ทำยังกับว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน ทั้งที่ตัวเองอายุยังไม่ถึง 18 ปีด้วยซ้ำ ตามกฎหมายนี่ทั้งเหล้าทั้งเบียร์อายุเท่านี้เข้ายังห้ามขายให้อยู่เลย แต่เด็กนี่จากที่เห็นก็ทั้งดื่ม ทั้งสูบ เป็นผมเสียอีกที่โตจนป่านนี้แต่เรื่องพวกนี้แทบจะไม่เคยลองเลย

“ผมโตแล้วดื่มได้ ส่วนลุงอ่ะเด็กน้อยอย่าดื่มเลย”ดูครับดู คำพูดคำจาของไอ้เจ้าเด็กนี่ ที่จริงประโยคนี้ผมควรเป็นคนบอก คนสอนเค้าไหม นี่อะไร แล้วไอ้นิ้วที่เอามาจิ้มหน้าผากผมนี่อีก

“เล่นด้วยหน่อยเอาใหญ่นะเรา ใครเด็กใครผู้ใหญ่พูดให้ดี”ผมปัดมือเค้าออก ก่อนจะบอกอย่างเคืองๆ

“ลุงดื่มไม่ค่อยเป็นไม่ใช่ไง ดื่มไปเดี๋ยวก็เมาหัวทิ่มอีก”เค้าพูดเสียงอ่อนลง จนผมเผลอเข้าใจไปว่าเค้านึกเป็นห่วงผม แต่เห็นสายตาที่มองประป๋องเบียร์นี่แล้ว ชักจะหมั่นไส้ขึ้นมาอีกแล้วนะครับ

“งั้นเอาทิ้งแล้วกันเนอะ”ผมแย่งเอาถุงเบียร์ในมือเค้ามา แต่เหมือนเค้าจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

“เฮ้ยๆทิ้งทำไมลุง เสียดาย ลุงไม่ควรดื่มแต่ผมดื่มได้ เอามานี่แช่ตู้เย็นไว้ก่อน”แล้วในที่สุดเค้าก็แย่งเบียร์ทั้งถุงไปจากผม ผมยิ้มขำๆ กับท่าทางของเค้า ทำยังกะกลัวผมจะเอาไปทิ้งจริงๆ งั้นแหละ ผมไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรกับเค้าอีก จนเราทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย ผมก็ช่วยเค้าเก็บถ้วยจากมาที่อ่างล้างจาน

“ทำไมดื่มเหมือนมันไม่ขมเลย”ตอนนี้พ่อครัวของผมเก็บจานไปก็ถือกระป๋องเบียร์ติดมือมาด้วย แล้วก็ดื่มเหมือนมันอร่อยนักหนา ทั้งที่เท่าที่ผมเคยชิม ผมว่ามันขมและไม่อร่อยเลย ยกเว้นไอ้ตอนที่ผมดื่มผสมกับสไปรท์นั่น มันก็หวานดีแต่เมาทีก็ไม่รู้ตัวเลย

“แรกๆ มันก็ขมแหละมั้ง แต่พอดื่มไปนานๆ มันก็จะค่อยๆ หวาน นุ่ม ลื่นคอไปเองแหละลุง”ผมขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเชื่อกับสิ่งที่อีกคนบอกสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ยืนอยู่ใกล้ตู้เย็น เลยลองหยิบมาเปิดดูสักป๋อง กลั้นใจยกขึ้นจิบๆ

“แหวะ ก็ขมอยู่ดี มันจะหวานไปได้ยังไง”ผมทำท่าจะโยนทิ้ง แต่อีกคนก็รีบเข้ามาแย่งกระป๋องในมือผมไป อย่างกับว่ามันเป็นของสำคัญ จะปล่อยทิ้งไม่ได้งั้นแหละ แล้วเค้าก็ยกกระป๋องที่แย่งจากมือผมไป ดื่มเหมือนไม่ได้รู้สึกว่านั่นผ่านริมฝีปากผมมาก่อน นี่เค้าไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ

“นี่ถามหน่อยสิ เวลาอกหักมันต้องเจ็บแบบในพวกหนังรักรันทดแบบนั้นจริงๆ เหรอ”ผมยังคงคาใจกับเรื่องของความรู้สึกเกี่ยวกับความรัก เค้ายกยิ้มเล็กน้อยหันหลังยืนพิงกับผนังแถวที่ล้างจาน ส่วนผมก็ยังยืนอยู่แถวๆ ตู้เย็นในครัวนี่

“ก็ถ้ามีรักจริงๆ นะลุง คนเรารักใครมันก็ต้องหวังอยากให้เค้ารักตอบทั้งนั้นแหละ แล้วถ้าเกิดว่าไม่ได้ความรักตอบกลับมามันก็ต้องเจ็บ ต้องเสียใจเป็นธรรมดา ยิ่งรักมากก็ยิ่งเจ็บมาก”ผมพยายามคิดตามสิ่งที่เค้าอธิบาย หรือความรู้สึกที่ผมมีกับพี่ต้าร์มันจะไม่ใช่ความรัก เพราะผมก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรขนาดนั้นอย่างที่บอก

“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราจะรักใคร”เค้าหยุดคิดนิดนึงก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาผม เค้าเข้ามาหยุดยิ้มอยู่ตรงหน้าผม

“ก็ถ้าเวลาเราอยู่ใกล้ๆ ใครพอเค้าทำแบบนี้”เค้าใช้มือของเค้ากุมมือผมไว้ข้างนึง ส่วนอีกข้างใช้หลังมือแตะเกลี่ยไปบริเวณข้างแก้มผม เค้าค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหาผม จนจมูกเราแทบจะแตะกันอยู่แล้ว ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมไม่ห้ามหรือขัดในสิ่งที่เค้ากำลังทำ

“ถ้ามีใครทำแบบนี้แล้วมันทำให้เรา”เค้ากระซิบเบาๆ ข้างๆ หูผม

“ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ”ผมเผลอหลุดปากออกไป อาจจะดูเหมือนผมพูดต่อประโยคกับเค้า แต่ความจริงผมแค่หลุดพูดในอาการที่ผมกำลังเป็นต่างหาก เค้ายิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะถอยออกจากผม

“ใช่แล้ว...แล้วนี่ผมทำให้ใจลุงเต้นไม่เป็นจังหวะบ้างหรือเปล่า”เค้ายังคงยิ้มเหมือนคนกำลังสนุก จนผมชักจะหงุดหงิดและเริ่มทำตัวไม่ถูก ผมผลักให้เค้าถอยห่างจากผมออกไปอีก

“เล่นบ้าอะไรเนี่ย”



TBC

ลุงก็โดนเด็กมันแกล้งตลอดด
 o22

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

เราอ่านๆแล้วกลับไปมองชื่อผู้แต่ง แล้วไปค้นอ่านเรื่องก่อนๆ โฮกกกกกกก!
สนุกทุกเรื่องนะ เราชอบมากเลย ว่าแต่ว่าโทนเรื่องนี้ จะใสใส ไหมมมม ดราม่าหรือป่าว(กลัววว) :hao4:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
:L2: :pig4:

เราอ่านๆแล้วกลับไปมองชื่อผู้แต่ง แล้วไปค้นอ่านเรื่องก่อนๆ โฮกกกกกกก!
สนุกทุกเรื่องนะ เราชอบมากเลย ว่าแต่ว่าโทนเรื่องนี้ จะใสใส ไหมมมม ดราม่าหรือป่าว(กลัววว) :hao4:


อุ่ย ขอบคุณมากฮ่ะ ที่ไปตามอ่านเรื่องเก่าๆ แต่ผลงานเก่าๆ ก็นะบางเรื่องดราม่าหนักหน่วง 555

เรื่องนี้ไม่ต้องกลัวฮ่ะ ตั้งใจจะไม่ม่า แต่ถ้ามีก็นิดๆ หน่อยๆ

ขอบคุณอีกทีนะฮ่ะที่ชอบ  o13

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
น้องภู่นี่น่ารักจริงๆ  :hao7:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ว่าและ พี่ตาร์ หมาหยอกไก่ ไปเรื่อย :fire:
เอาแปง มาท้าพนันกันคนในสำนักงานหน้าตาเฉย
ลูกเล่นแพรวพราว เจ้าชู้ เจ้าเล่ห์ ต้องมีแฟนแล้ว แล้วก็ใช่จริงๆ
แต่ทำเป็นลอยชาย ใครไม่รู้ก็ไม่บอกว่ามีแฟนแล้ว

ตีสนิท กอดคอ ถึงเนื้อถึงตัวแปง หว่านเสน่ห์
แบบถ้าแปงหลงเสน่ห์ ก็ยินดีสานต่อ
แปง รีบตัดใจ เขาไม่ใช่คนที่ใช่ของแปงเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
้ด็กนี่มันชุ่มชวยดีจริง

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 12
หากว่าใจเต้นแรง





“ไม่เห็นเป็นไรเลยแก ถึงพี่ต้าร์จะมีแฟนแล้ว แกก็ยังเหลือน้องภู่สุดหล่ออีกทั้งคน ทำกับข้าวก็เก่ง หน้าตาก็ดี อัธยาศัยก็ดี พ่อของลูกชัดๆ เลยแก”คือผมว่านี่ผมไม่ได้มาหาคำปลอบใจหรือคำแนะนำนะครับ ผมแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ ว่าพี่ต้าร์แกมีแฟนแล้ว ยัยหอมนี่จะได้เลิกแซวผมเรื่องพี่ต้าร์สักที

“กวนประสาทเป็นที่หนึ่ง และที่สำคัญ เด็กขนาดนั้นใครจะไปคิดอะไรเหมือนลูกเหมือนหลานซะมากกว่า”ผมรีบบอกปฏิเสธเมื่อเห็นว่าหลุดจากพี่ต้าร์ ข้าวหอมก็ยังจะพยายามจับคู่ผมกับรุ่นน้องข้างบ้านอีก แต่ถึงผมพูดออกไปแบบนั้น ในใจก็อดที่จะนึกถึงเรื่องวันก่อนไม่ได้ ที่อยู่ๆ ผมดันใจเต้นกับเด็กนั่น แล้วแถมเค้ายังบอกอีกว่าการที่เราใจเต้นกับใครหมายถึงเราชอบคนนั้น

“ถามจริง เวลาอยู่ สองต่อสองกับน้องภู่ แกไม่มีแบบหวั่นไหวใจเต้นแรงงี้บ้างเหรอ”ผมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้หรี่ตามองผมอย่างจับผิด ผมหยุดคิดในสิ่งที่ข้าวหอมพูด เพราะทั้งข้าวหอมทั้งภู่พูดเรื่อง ใจเต้นแรงนี่เหมือนกัน หรือว่าเวลาเรารักเราชอบใคร แล้วได้อยู่ใกล้ๆ นี่เราจะใจเต้นแรงจริงๆ อย่างนั้นเหรอ

“การที่เราใจเต้นแรงกับใครนี่มันคือเราชอบคนนั้นเหรอ”ผมถามออกไปอย่างสงสัย นึกย้อนไปถึงตอนพี่ต้าร์ มันก็มีตื่นเต้นบ้างนะครับ เวลาเจอกัน แต่เดี๋ยวนี้ตั้งแต่ได้มาทำงานร่วมกัน มันก็ไม่ค่อยรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนเท่าไหร่ ผมเคยคิดว่านั่นอาจจะเพราะผมชอบพี่เค้า พอหลังๆ สนิทกันมากขึ้นผมว่ามันเหมือนผมเลิกเกร็งเลิกประหม่าเพราะสนิทกันมากกว่า

“แกใจเต้นกับใคร อาการมันเป็นยังไงไหนเล่ามาซิ”ผมรีบปฏิเสธ ซึ่งข้าวหอมก็ยังมองอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ก่อนผมไม่เคยมีความลับกับเพื่อนคนนี้นะครับ แต่ครั้งนี้ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมยังไม่อยากเล่า เอาจริงๆ ตั้งแต่ย้ายออกมาอยู่นี่ เหมือนกลายเป็นว่าเวลาระหว่างผมกับข้าวหอม ถูกเข้ามาแทนโดยภู่ หลายๆ เรื่องผมเลยไม่ได้เล่าหรือคุยให้ข้าวหอมฟัง จนวันนี้ข้าวหอมต้องเป็นฝ่ายลากผมออกมาทานข้าวกันสองคนนี่แหละครับ

“ไม่ได้เต้นกับใคร แค่สงสัยว่าถ้าเต้นแรงมันเพราะคนที่ใช่เหรอ แล้วแบบแกกับพี่โตงี้เวลาอยู่ด้วยกันมันเป็นยังไง”ผมรีบอธิบายกลบเกลื่อน เพราะปล่อยไว้นาน ข้าวหอมที่สนิทกับผมขนาดนี้ต้องจับได้แน่ๆว่าผมมีอะไรปกปิด

“กับพี่โตเหรอ เวลาปกติก็ไม่อะไรนะ แต่เวลาจู๋จี๋กัน ก็นั่นแหละ”ผมมองด้วยสายตาหมั่นไส้ ทำเป็นกระมิดกระเมี้ยน ทุกทีเห็นพูดไม่เคยเขินอาย อันนี้ไม่ใช่วิสัยข้าวหอมหรอกครับ อันนี้แค่อยากแกล้งผมนี่แหละ

“สนิมสร้อย”ผมบอกอย่างหมั่นไส้

“แกสิสนิมสร้อย อ้อยอิ่งอยู่นั่นละ เป็นชั้นหน่อยไม่ได้จะรวบหัวรวบหางน้องภู่ เรียบร้อยไปแล้ว”นี่ละมั้งครับที่ผมเลือกจะไม่เล่าให้ฟังทั้งหมดเพราะขนาดยังไม่รู้อะไรยังยุยงส่งเสริมผมขนาดนี้ นี่ถ้ารู้ไปถึงว่าเด็กนั่นเคยเปลี่ยนเสื้อผ้าผม เคยเห็นผมเปลือย หรือผมเคยใจเต้นแรงกับเด็กนั่น ป่านนี้คงจับผมส่งตัวเข้าหอไปแล้ว

“เพ้อเจ้อ”ผมพูดตัดบทก่อนจะหันความสนใจมาที่อาหารตรงหน้า และเสียงเพลงในร้าน วันนี้ข้าวหอมลากผมมาลองร้านใหม่ที่เห็นว่าพี่โตชอบพามา ก็เหมือนเป็นร้านกึ่งๆ pub & resterant บรรยากาศก็โอเคแหละครับ แต่ผมก็ไม่ค่อยได้มาสถานที่ลักษณะนี้บ่อยเท่าไหร่ เมื่อก่อนจะมาก็มากับพี่โตและข้าวหอมนี่แหละครับ ผมมองไปรอบๆ ที่วันนี้เหมือนคนจะเต็มร้านเลยทีเดียว คงเพราะเป็นคืนวันศุกร์สิ้นเดือน ที่ทุกคนมาสังสรรค์กันก่อนวันหยุด

“เพ้อเจ้อะไรกันแก  มีเด็กหนุ่มกรุบกรอบมาให้กระชุ่มกระชวยขนาดนี้ กินเด็กเป็นอมตะนะแก”ส่วนเพื่อนผมก็ยังไม่หยุดครับยังคงยัดเยียดจะให้ผมกินเด็กให้ได้

“กินข้าวไปเลยแกนิ หิวไม่ใช่เหรอ”ผมตักกับข้าววางให้เพื่อนสนิท พร้อมมองด้วยสายตาเอือมระอา แต่เจ้าตัวก็ยักไหล่อย่างไม่ได้ใส่ใจ จะว่าไปการได้มาเจอข้าวหอมก็ทำให้ผมสบายใจดีเหมือนกันนะครับ

“นี่ๆ แก วงนี้จะเล่นแล้วชั้นชอบวงนี้ เล่นดี ร้องเพราะ”ข้าวหอมชี้ให้ผมดูว่ากำลังจะมีนักดนตรีขึ้นเล่นดนตรีสด นี่ก็คืออีกส่วนหรือเปล่านะที่ช่วยเรียกลูกค้า แม้จะไม่ใช่นักร้องที่มีชื่อเสียง แต่ดูๆ ไปก็คงมีลูกค้าประจำที่ชื่นชอบวงนี้เหมือนข้าวหอมอยู่ไม่น้อยทีเดียวละครับ

“แกรู้เรื่องดนตรีด้วยเหรอถึงรู้ว่าเค้าเล่นดีไม่ดี”ผมแกล้งแซวเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ครับ ข้าวหอมค้อนผมกลับแทบจะทันที ก่อนเราทั้งคู่จะขำออกมา

“แกๆ ที่กำลังเดินเข้ามานั่น ใช่น้องภู่ของแกไหม”หลังจากเราทานข้าวกันเงียบๆ สักพัก ข้าวหอมก็สะกิดเรียกพร้อมชี้ให้ผมดู ผมหันมองไปตามที่ข้าวหอมชี้ ก็เห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่น 3 คน นี่ถ้าผมไม่รู้จักทั้งหรือเคยเห็น 3 คนนี้มาก่อนผมก็คงนึกว่าน่าจะเป็นเด็กมหาวิทยาลัย พอแต่งตัวด้วยชุดที่ไม่ใช่นักเรียนทำไมทุกคนดูโตขึ้นกว่าอายุจริงจังเลย 3 คนนั้นก็ไม่ใช่ใครหรับ เด็กข้างบ้านผม หนึ่งละ อีกสองคนเท่าที่จำได้น่าจะเป็นเพื่อนที่ผมเคยเห็นตอนไปเป็นผู้ปกครองจำเป็นของภู่นั่นแหละครับ

ว่าแต่นี่ทั้ง 3 มานั่งร้านนี้เหมือนกันเหรอนี่ นี่ยุคสมัยมันคงเปลี่ยนไปแล้ว ตอนผมนี่จำได้เลย กว่าจะไปไหนมาไหนเองได้ก็มหาวิทยาลัยแล้ว แถมตอนเรียนมหาวิทยาลัยจะไปไหนกลางคืนก็ต้องบอกเป็นกิจจะลักษณะ ไม่ใช่อยากไปไหนก็ไป

“ก็ใช่แหละ”ผมตอบอย่างไม่ได้สนใจนักเพราะรู้สึกหมั่นไส้คนที่เพิ่งเข้าร้านมานั่นแหละครับ ก่อนมาผมยังบอกเค้าว่าผมจะมาทานข้าวกับ ข้าวหอม แต่เค้าไม่เห็นจะบอกผมเลยว่าจะออกมากินข้าวหรือมาสังสรรค์กับเพื่อนแบบนี้

“ใช่แล้วไง แกไม่เห็นเหรอว่าโต๊ะมันเต็มหมดแล้ว โต๊ะเราเนี่ยที่ยังว่าง แกก็ชวนน้องๆ เค้าเข้ามานั่งด้วยสิ อย่าให้พี่ต้องสอนสิคะน้องแปง ถ้ามีโอกาสทอดสะพานให้ผู้ชายแบบนี้ เราต้องรีบเปิดทางนะคะ”จะมาทอดสะพานสร้างโอกาสอะไร ผมกับภู่นี่ก็เจอกันเรียกว่าทุกวันอยู่แล้ว

“เค้าอาจจะอยากมากันเองกรือเปล่า แกจะไปยุ่งอะไรกับเค้า ปล่อยเค้าไปกันส่วนตัวเถอะ”แต่เหมือนคำพูดผมจะไม่เข้าหูของคุณหนูข้าวหอมแม้แต่น้อย

“น้องภู่ ทางนี้ๆ”ผมหันมองเพื่อนตัวเองตาขวาง แต่มีเหรอครับว่าข้าวหอมจะสะทกสะท้าน แม่คุณเค้าก็หันมายักไหล่ ใส่ผมอย่างไม่แคร์เลยสักนิดแหละครับ

“หวัดดีครับพี่หอมสุดสวย หวัดดีลุง”นี่ก็รวดเร็วเหลือเกิน เรียกปุ๊บนี่เดินสองก้าวถึงหรือไง ภู่แนะนำผมกับข้าวหอมให้เพื่อนๆ รู้จักซึ่งอีกสองคนก็เคยเจอผมแล้ว และเรียกผมว่าลุงตามภู่ด้วยนี่สิ

“มากัน 3 คนเหรอ มีที่นั่งยัง นั่งกับพวกพี่ไหม”ผมส่งสายตาพิฆาตใส่ข้าวหอม แต่ก็อีกนั่นแหละครับ คุณหนูเค้าสนใจผมเสียที่ไหน

“ได้เหรอครับ งั้นดีเลยเพราะนี่โต๊ะเต็มหมดเลย ยังไงรบกวนด้วยนะครับ”เป็นอันว่านี่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการชวนตามมารยาทสินะ ผมถูกจัดแจงเรียกให้มานั่งข้างข้าวหอม ส่วนหนุ่มรุ่นน้องทั้ง 3 ก็นั่งอีกฝั่งนึง แต่ทว่าแม้มันจะเป็นเก้าอียาว ที่พอจะนั่ง 3 คนได้ เมื่อเจอขนาดตัวของทั้ง 3 เข้าไปก็ดูจะเบียดกันไม่น้อย ผมเลยเป็นคนขอเก้าอี้เพิ่มจากเด็กเสิร์ฟ แต่ยังไม่ทันที่เด็กเสิร์ฟจะไปหาเก้าอี้ตามที่ผมขอ ข้าวหอมก็ขัดขึ้น

“จะขอเก้าอี้ทำไมให้วุ่นวาย แปงแกขยับมานี่ น้องภู่มานั่งฝั่งนี้กับพวกพี่ก็ได้ พวกพี่ตัวเล็ก ไม่เบียดกันมากหรอก”แล้วมันใช่เรื่องไหมเนี่ยที่ผมจะต้องมาทนนั่งเบียดแบบนี้

“ไหนบอกเก็บตังซื้อกีต้าร์ แล้วนี่ตังค์พอแล้วเหรอถึงมาเที่ยวได้แบบนี้”ผมหันมาพูดเบาๆ กับคนที่ย้ายมานั่งข้างผม ให้ได้ยินกันแค่ผมกับเค้าสองคน

“อยู่กันตั้งหลายคนซุบซิบไรกันสองคนจ๊ะ”นี่ก็ไม่ปล่อยให้ผมคลาดสายตาทุกอริยาบทเลยสินะ ผมเอนหลังพิงเก้าอี้ อย่างเซ็งๆ เพราะนี่ดูเหมือนผมจะโดนจ้องจับผิดไปแล้ว ยิ่งภูมานั่งด้วยแบบนี้ข้าวหอมคงยิ่งจ้องอาการผมมากขึ้นกว่าเดิม

“พี่แปงดุผมครับพี่หอม”อะไรผมไปดุอะไรตั้งแต่เมื่อไหร่

“ว่าอะไรน้อง”นี่ก็มือไวเหลือเกินตีแขนผมมาแทบจะทันที นี่เห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อนตัวเองไปแล้วใช่ไหม

“ไม่ได้ว่าไรสักหน่อย แค่ถามว่าเก็บเงินที่จะซื้อกีตาร์ครบแล้วเหรอถึงมาเที่ยวแบบนี้”ถึงจะเป็นคำที่อธิบายให้ข้าวหอมฟัง แต่น้ำเสียงและสายตาผมก็จงใจตำหนิคนที่นั่งข้างๆ นี่แหละครับ

“จะไปว่าน้องทำไม เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ มีปัญหาอะไรบอกเจ้นี่ เอางี้วันนี้เจ้เลี้ยงเองเด็กๆ อยากกินอยากดื่มอะไร จัดมาเต็มที่”แล้วนี่ผู้ใหญ่อย่างเพื่อนผม ก็แทนจะช่วยกันปรามเด็ก ยังจะมายุยงส่งเสริมกันอีก

“ขอบคุณครับเจ้”นั่นไงเด็กๆ นี่ก็ดูพร้อมเพรียงประสานเสียงตอบกันเหลือเกิน แล้วพอแอลกอฮอล์มา บรรยากาศก็เริ่มครึกครื้นราวกับทุกคนสนิทกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ข้าวหอม และน้องๆ อีกสองคน ดูจะพูดคุยกันถูกคอเป็นพิเศษแล้วครับตอนนี้

“แกสักแก้วสิ”ข้าวหอมส่งแก้วเครื่องดื่มน้ำสีอำพันมาให้ผม แต่ผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะว่าไหนจะต้องขับรถกลับ ไหนจะความรู้สึกเมาจากครั้งก่อนยังฝังใจ

“สักนิดสิครับพี่แปง”สองหนุ่มเพื่อนของภู่ ก็ออกแรงเชียร์ให้ผมดื่มอีกแรง พอคะยั้นคะยอมากๆ ผมก็กะว่าจะจิบๆ สักหน่อยเพื่อตัดรำคาญ แต่พอจะหยิบแก้ว ก็มีคนฉวยเอาแก้วของผมไปเสียก่อน

“พี่เค้าดื่มไม่ได้ เดี๋ยวกูดื่มแทนเอง”ภู่ยกแก้วของผมไปดื่มรวดเดียวจนหมด

“น้องสอ น้องยิว เพื่อนน้องนี่ยังไงๆ มีดื่มแทนเพื่อนพี่ด้วย กิ๊วๆ”นั่นไง แค่นี้ก็เป็นประเด็นให้ร่วมด้วยช่วยกันแซวอีกจนได้ แต่การกระทำของภู่ที่ดื่มแทนผม จะกลายเป็นภาระหนักเสียแล้ว เพราะมันไม่ใช่แค่แก้วนั่น นี่เล่นตามมาอีกหลายแก้วเลย จากที่เค้าต้องดื่มแก้วตัวเองแล้วยังต้องมารับผิดชอบแก้วผมอีกนี่ผมว่าอีกไม่นานเค้าคงเมาแน่ๆ

“ไม่ไหวก็พอได้แล้ว พวกนี้เค้าก็แซวเล่นๆ ไม่ต้องดื่มจริงจังขนาดนั้นก็ได้”ผมแย่งแก้วในมือของเค้า เพราะไม่อยากให้เค้าดื่มมากเกินไป นี่ก็เริ่มหน้าแดงหูแดงหมดแล้วเนี่ย

“ลุงเป็นห่วงผมเหรอ ผมไม่เป็นไรหรอกน่า”สิ้นคำพูดเค้าก็ยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้งจนหมด ก็อยากจะห่วงนะครับ แต่เจ้าตัวดูไม่ได้ห่วงสุขภาพตัวเองแบบนี้ ก็ช่างเค้าเถอะครับ

“หลบหน่อยสิ จะออก”ผมขอทางเพราะตอนนี้ผมนั่งอยู่ตรงกลาง การจะลุกออกถ้าไม่ให้ข้าวหอมลุกหลีกทางให้ก็ต้องเป็นภู่ และดูๆ แล้วภู่จะลุกได้สะดวกกว่าข้าวหอม

“ลุงจะไปไหนอ่ะ”เค้าลุกขึ้นแต่ยังไม่หลบให้ผมออก

“ไปห้องน้ำ ขออนุญาตไปปัสสาวะนะครับ”ผมบอกด้วยน้ำเสียงประชดหน่อยๆ ไม่เข้าตัวเองอีกแล้วว่าทำไมต้องหงุดหงิดด้วย

“พอดีเลยผมก็กำลังปวดเหมือนกัน”เค้าถอยหลบ ให้ผมออกก่อนจะเดินตามหลังผมมา

“ลุงเป็นไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้ดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี”เค้าถามผมระหว่างทางที่เราเดิน ผมเป็นอะไรงั้นเหรอ ผมก็แค่รู้สึกหงุดหงิดที่เค้ามาที่นี่ หงุดหงิดที่เค้าดื่มเยอะเกินไป แล้วก็หงุดหงิดตัวเองที่ไม่เข้าใจว่ากำลังเป็นอะไร ผมส่ายหน้าปฏิเสธคำถามของเค้าว่าไม่ได้เป็นไร

 “แล้วก็ขอโทษด้วยที่วันนี้ ไม่ได้บอกก่อนว่าวันนี้จะมานี่ พอดีสองคนนั้นมันชวนหลังจากที่ผมคุยกับลุงแล้ว”เหมือนผมจะเผลอยิ้มออกมาตอนที่เค้าอธิบาย แล้วผมจะยิ้มทำไมละเนี่ย ดีที่เค้าเดินเยื้องๆ อยู่ข้างหลังทำให้คงมองไม่เห็นสีหน้าผม

“ก็ไม่ได้ว่าไรสักหน่อย แล้วเรื่องกีต้าร์ไปถึงไหนแล้ว”ผมถามด้วยน้ำเสียงสบายก่อนจะเดินผ่านประตูห้องน้ำ ตรงมาหยุดที่หน้าโถฉี่ตัวริมด้านในสุด

“ก็ใกล้ครบแล้วละครับ ตอนนี้ก็ยืมของเพื่อนซ้อมมือเล่นๆ รออยู่”ผมไม่ได้ข้องใจเรื่องคำตอบ แต่ข้องใจว่าทำไมเสียงตอบมันอยู่ใกล้ๆ พอหันมาก็เจอว่าเค้ายืนทำธุระอยู่ที่โถข้างๆ

“โถมีตั้งเยอะ ทำไมต้องมายืนข้างๆ ด้วย ผมรีบยกมือขึ้นบังแปงน้อยโดยอัตโนมัติ”แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเหมือนชอบใจในการกระทำของผม

“ลุงจะอายอะไร จำปีตะมุตะมินั่นผมก็เคยเห็นหมดแล้ว”ไอ้บ้าเอ้ยแล้วจะมารื้อฟื้นทำไมอีกละเนี่ย ผมอุตส่าห์ลืมๆ ไปแล้วนะว่าเด็กนี่เคยเห็นผมเปลือย

“อ่ะ ดูของผมจะได้หายกัน”แล้วก็ทำเอาผมพูดไม่ออกก็จังหวะที่ผมจะหันมาต่อว่าเค้า เจ้าตัวดันถอยห่างออกจากโถ เบี่ยงตัวมาทางผมเล็กน้อย ไอ้สายตาเจ้ากรรมผมก็ดันมองต่ำลงไปอย่างลืมตัว เต็มๆ สองตาเลยครับ แม้รูปร่างมันจะไม่ต่างจากที่ผมมี แต่ขนาดน่าจะใหญ่กว่าของผม ซึ่งนั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่เกิดมาผมไม่เคยเห็นของสงวนใครมาก่อนในชีวิต และไม่คิดว่าจะมีใครบ้ามาโชว์ให้ดูแบบนี้

จากที่จะพูดอะไรเลยกลายเป็นคำพูดมันหายลงลำคอกลับไปหมด ผมกลืนน้ำลายลงคงอย่างยากลำบาก รีบเบือนสายหน้าหนี และรีบทำธุระตัวเองให้เสร็จ รู้สึกว่าตอนนี้หัวใจผมมันคงรัวไม่เป็นจังหวะไปเรียบร้อยแล้วครับ ผมล้างมือด้วยความเร่งรีบและไม่คิดจะรอไอ้เด็กบ้านั่น

“อ้าวน้องภู่ละ”ข้าวหอมถามทันทีที่ผมกลับมาถึงโต๊ะ แต่ก็ไม่น่ารีบถาม เพราะอีกคนก็เดิมตามผมมาจากนั้นไม่นาน

“เออแก สงสัยต้องกลับก่อนแล้ว พี่โตมารอรับแล้วเนี่ย ส่วนค่าอาหารเครื่องดื่ม ชั้นเคลียร์ไปแล้ว รวมทั้งที่สั่งมาเพิ่มนี่ด้วย แกก็นั่งกับน้องๆ ก่อนนะอย่าเพิ่งชิ่งกลับล่ะ”ผมแทบยังไม่ทันตั้งตัวอะไรสักอย่าง แค่ไอ้ที่เพิ่งเจอในห้องน้ำก็ยังใจ้เต้นไม่หาย ออกมาก็ถูกเพื่อนทิ้ง หนีกลับก่อนอีก แถมพูดจบก็ไม่รอความเห็นอะไรจากผมเลย ปัดตูดวิ่งฉิวไปอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวพวกผมไปสูบบุหรี่แป๊บนะครับ ไอ้ภู่ไปด้วยเปล่า”สองหนุ่มลุกขอตัวออกไป ส่วนที่นั่งข้างๆ ผมนี่ส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อน ผมขยับตัวออกห่าง จากอีกคนเพราะตอนนี้ที่นั่งก็ว่างแล้ว ไม่ต้องเบียดอย่างตอนที่ข้าวหอมยังอยู่

“เป็นไรอ่ะลุง กลัวผมหรือไง”ยังจะมีหน้ามาถามอีก เค้าทำท่าจะขยับตามผมมาแต่ผมยกมือห้ามเอาไว้ เพราะถ้าเค้าขยับเข้ามาอีกผมต้องหัวใจวายแน่ๆ นี่ก็พยายามจะลืมภาพที่เพิ่งเห็น แต่เหมือนมันจะติดตาเหลือเกิน

“ถ้ารู้ว่าโรคจิตชอบโชว์ แบบนี้ก็ชักจะกลัวขึ้นมาบ้างแล้วแหละ”ผมบอกออกไปอย่างหมั่นไส้ แต่อีกคนกลับหัวเราะชอบใจ นี่ภูมิใจที่โดนด่าว่าโรคจิตหรือไงกัน

“โรคจิตที่ไหนกันละลุง ก็ผมเคยเห็นของลุง นี่ก็เลยให้ลุงดูคืนไง จะได้หายกัน ผมไม่อยากติดค้าง”นี่มันตรรกะอะไรกันครับ

“ใครไปอยากดูกันเล่า”ผมรีบบอกเสียงขุ่น

“ขนาดไม่อยากดูยังจ้องจนตาโตขนาดนั้น”แล้วนี่มันใช่เรื่องไหมที่ต้องมานั่งคุยกันเรื่องนี้ แล้วแบบนี้แทนที่ผมจะได้ลืมๆ ก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้ผมจำสิเนี่ย

“เลิกทะลึ่งแล้วไปสูบบุหรี่กับเพื่อนโน่นไป”เมื่อยิ่งคุยมันจะยิ่งเข้าตัวเลยเปลี่ยนเป็นไล่ให้ไปกับเพื่อนจะดีกว่าครับ ผมจะได้พักหายใจหายคอบ้าง

“ไม่ไปอ่ะ อยากอยู่เป็นเพื่อนลุงมากกว่า ไม่อยากให้ลุงนั่งเหงาคนเดียว”


TBC


สงสัยลุงต้องระวังตัวให้มากแล้วละครับ

เด็กนี่มันร้าย  :-[

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

55 โชว์มาต้องโชว์กลับ
แฟร์ๆไงลุง

เราสงสารลุงแปงจุงเบย :hao3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-06-2017 11:37:05 โดย Billie »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด