[END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว  (อ่าน 56253 ครั้ง)

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
ขอฝากผลงานอีกเรื่องนะคร๊าบบบ


GRAIN BROTHERS พี่น้องข้าว
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60918.msg3663068#msg3663068

เป็นเรื่องของพี่ข้าวฟ่างกับน้องข้าวโพด ตัวละครจากเรื่องของ ภู่กับลุง ก็ ยกขบวนกันไปหมด

ทั้งพี่ต้าร์ เจ้โอ๋ จริงๆ เป็นเรื่องที่แต่งก่อน ภู่xแปง แต่ว่าแต่งๆ ไปละแตกเรื่องแปงออกมา แล้วประเด็นเรื่องพี่ต้าร์

มันสปอยล์อีกเรื่อง เลยเพิ่งเอามาลง

ทั้งสองเรื่องจะแยกเนื้อหากันชัดเจน แต่อาจมีคาบเกี่ยวกันนิดหน่อย

ไทม์ไลน์ในเรื่องของ พี่ฟ่าง จะเป็นหลังจากที่ แปงไม่ได้ทำงาน ที่บริษัทแล้ว ประมาณนั้นนะครับ

ยังไงฝากติดตามอีกสักเรื่องนะคร๊าบบบ ตอนนี้ปั่นอยู่ 2 เรื่องนี้

 o13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2017 12:15:37 โดย norita_boyV2 »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ขยันนะเนี่ย ลงสม่ำเสมอด้วย ดีต่อใจ

เรื่องที่ผ่านๆมา มีทำเล่มไหม ถ้าทำบอกเราด้วยนะ อยากได้
ปล คิดถึงโอเล่ อยากฝากนักเขียนไปตบหัวมันสักที

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แปง หวั่นไหว ใจเต้นกับภู่แล้ว  :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 13
ความจริงของคนเมา



“ลุง ลุงคร๊าบ”เสียงใครเนี่ย นี่มันวันหยุดนะ ผมดึงหมอนข้างกอดกระชับแน่นขึ้น แต่เดี๋ยวนะครับคนที่เรียกผมว่า “ลุง” ก็มีอยู่คนเดียวนี่นา ผมพยายามคิดทั้งที่ยังไม่ลืมตา แต่เริ่มแน่ใจแล้วว่าตอนนี้ผมไม่ได้นอนอยู่บนเตียงคนเดียว เพราะเมื่อคืน

“ถึงบ้านแล้วภู่ ลงเข้าบ้านไปได้แล้ว”หลังจากที่ข้าวหอมกลับได้พักใหญ่ ทั้ง 3 หนุ่มที่เหลือก็เหมือนจะชนแก้วกันถี่ขึ้น และคนที่ดูท่าจะไม่ไหวสุดก็ไอ้คนอวดดีดื่มแทนผมนี่แหละ พอเมาก็ลำบากผมนี่แหละพากลับมาบ้าน

“ลุงไม่เชื่อเหรอว่าผมแค่มาดูวงนี้เล่นดนตรีเฉยๆ”แล้วพอเมาก็เป็นทั้งโรคย้ำคิดย้ำทำ โรคพูดไม่รู้เรื่องครับ เพราะนี่เค้าย้ำประโยคนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วผมก็จำไม่ได้ คือแรกๆ ผมก็นึกว่าแค่จะเล่าให้ผมฟังว่าที่เค้ากับเพื่อนไปร้านนั้น เพราะนักดนตรีในร้านนั้นเคยเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียน เคยสอนพวกเค้าเล่นดนตรี อะไรประมาณนั้น ซึ่งเล่ารอบเดียวผมก็เข้าใจแล้วละครับ

“เชื่อครับเชื่อ พี่บอกแล้วไงว่าพี่เชื่อภู่ แต่ตอนนี้เราถึงบ้านแล้ว ลงจากรถแล้วเข้าบ้านนอนเข้าใจไหม”ผมเอาฝ่ามือประกบสองแก้มเค้า ให้มองหน้าผม และพยายามพูดช้าๆ ชัดๆ ให้เค้าเข้าใจ เพราะนี่เราก็มาถึงบ้านสักพักแล้ว แต่ไอ้คนเมานี่แหละไม่ยอมลงจากรถสักที นี่กะว่าถ้าพูดรอบนี้ยังไม่ยอมลงอีกจะปล่อยให้นอนในรถนี่แหละ

“โอเคครับ...อึก...เข้าบ้าน...อึก...กัน”เอ้าไหวไหมละครับนั้น พูดไปสะอึกไป แถมรีบเปิดประตูรถลงไปอย่างรวดเร็วเลยทีนี้ อะไรของเค้าเนี่ย นี่วันที่ผมเมาผมทำตัวแบบนี้ด้วยหรือเปล่าเนี่ย

“ลุงเปิดประตู ภู่จะเข้าบ้าน”อะไรอีกละเนี่ย พอลงรถก็มาเกาะประตูบ้านผมเร่งให้ผมเปิดประตูซะงั้น

“กุญแจบ้านภู่อยู่ไหน เอามาพี่เปิดให้”ผมนึกว่าเค้าเข้าใจสิ่งที่ผมถามนะครับ แต่เค้ากลับแย่งกุญแจในมือของผม ไปเปิดประตูรั้ว เดินเข้าไปเปิดบ้าน จนผมต้องรีบตามให้ทัน นี่ถ้าจะเมาแล้วดูแลยากขนาดนี้ต่อไปจะไม่ให้เมาแล้ว พรุ่งนี้คงต้องคุยกันยาว

“ลุง ปวดฉี่ ปวดฉี่”เอาเข้าไป ปวดฉี่แล้วยังไง ห้องน้ำบ้านผมเค้าก็รู้จักไหม ยังจะเดินมาหาผมอีกทำไมเนี่ย อ้าวๆ จะมาทำท่าปลดเข็มขัดต่อหน้าผมทำไมเนี่ย

“เดี๋ยวๆ ทำอะไรเนี่ย”ผมรีบห้าม เพราะยังไม่อยากดูไอ้ที่อยู่ใต้กางเกงนั่นอีกรอบหรอกนะครับ

“ถอดไม่ออก”ผมเกือบหลุดขำ คือนี่เมาถึงขั้นถอดเข็มขัดไม่ได้ โอ้ยนี่ไม่รู้จะเอ็นดูหรือสมเพชดีครับ ผมรีบดันตัวเค้าให้ไปยังห้องน้ำ ก่อนจะช่วยปลดเข็มขัด และต้องรีบ ดึงมือเค้าไว้ก่อน เพราะนี่เล่นจะถกกางเกงลงต่อหน้าต่อตาผมอีกแล้ว

“อย่าเพิ่งนะ นะขอพี่ออกไปก่อน พี่ขอร้อง”นี่ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดกับคนบ้าแล้วครับ เพราะเค้าทพตาปรือ ยิ้มพยักหน้าดุกดิกๆ ใส่ผม จนคอจะหลุดแล้วมั้ง ผมรีบตั้งสติดันเค้าไปหาชักโครกแล้วตัวผมเองก็ถอยออกมา

“ลุง...ไปไหน”ข้อมือผมถูกคว้าไว้ ตามด้วยสายตาเค้าที่หันมามองผม นี่เรียกตาเยิ้มหรือตาลอยเพราะเมากันละครับเนี่ย ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“โอเค ฉี่ไปสิ จะยืนอยู่นี่แหละ”เค้ายิ้มจนตาหยีก่อนจะหันกลับไปฉี่ ผมก็ทำได้เพียงแค่เบือนหน้าหนีแหละครับ สาบานเลยว่าผมจะไม่ให้เหล้าทำผมเป็นแบบนี้แน่ๆ นี่ผมว่าวันที่ผมเมา ผมเองก็คงทำอะไรบ้าๆ ไปเยอะเหมือนกันแน่ๆ แค่คิดภาพจิตนาการว่าเด็กนี่เป็นคนถอดเสื้อผ้าผมก็ผุดมาอีกแล้ว

“ลุงอย่าทิ้งผมไปนะ ผมไม่มีใครแล้ว”ผมนิ่วหน้าขมวดคิ้ว กับสิ่งที่ได้ยิน น้ำเสียงหม่นๆ นี้ผมไม่นึกว่าจะได้ยินจากเค้า แม้ที่จริงจะพอรู้ว่า ลึกๆ เค้าคงไม่ได้กวนๆ บ้าๆ บอๆ อย่างเดียว เพราะจากที่เห็นตอนแฟนเก่าเค้าติดต่อมา นั่นผมว่าลึกๆ แล้วเค้าคงเป็นคนที่อ่อนไหว และคงขาดความอบอุ่นมากทีเดียว

“ก็อยู่นี่แล้วไง”ผมบอกออกไปโดยที่ไม่ได้หันไปมองเค้า เพราะเสียงน้ำที่ไหลลงชักโครกยังคงดังอยู่ สงสัยอั้นไว้นานแล้ว เพราะนี่ก็ฉี่ยังกะเขื่อนแตกเชียว

“ลุงรู้เปล่า ว่าผมเก็บเงินซื้อกีต้าร์ครบแล้ว แต่ผมไม่บอกลุง เดี๋ยวลุงไม่ให้ผมมากินข้าวด้วย”ผมไม่รู้จะแปลกใจ ขำ เอ็นดู หรือตกใจดี เค้าคิดอะไรของเค้าเนี่ย ไอ้เด็กบ้าเอ้ย นี่วันนี้เค้าทำให้ผมเผลอยิ้มออกมากี่รอบแล้วเนี่ย นี่สินะที่เค้าว่าคนเมามักจะพูดความจริง และแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา

“ถ้าผมซื้อกีต้าร์แล้ว ลุงยังจะอยากกินกับข้าวฝีมือผมอยู่หรือเปล่า”ผมแทบสะดุ้ง ไม่สิต้องเรียกว่าสะดุ้งไปแล้ว เพราะอยู่ๆ เสียงเค้าก็มาอยู่ข้างๆ หู แถมคางเค้าก็มาวางเกยอยู่ที่ไหล่ผม ผมขยับถอยออกห่าง เพื่อดูสภาพเค้า ดีหน่อยที่เค้ารูดซิบกางเกงเก็บอะไรเรียบร้อยแล้ว แม้จะยังไม่รัดเข็มขัดก็เถอะ ผมประคองร่างที่โซเซของเค้าออกมาพิงผนังไว้ ก่อนจะเอื้อมมือไปกดชักโครกให้

“สัญญาสิลุง ว่าเราจะกินข้าวด้วยกันเหมือนเดิม”ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ หรือทำอะไรเรียบร้อยดี เค้าก็ดึงผมมาเผชิญหน้า จ้องผมเขม็ง พยายามทำหน้าจริงจัง แต่ผมว่าทำยังไงสีหน้าเมาของเค้าก็กลบทุกอารมณ์ไปหมดแล้วละครับ

“ถ้าสัญญาแล้ว ต้องไปนอนนะ”ผมต่อรอง เพราะเริ่มง่วง และเหนื่อยกับอิทธิฤทธิ์ในความเมาของเค้าแล้ว เค้ารีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว จนผมอดจะยิ้มออกมาอีกไม่ได้

“งั้นพี่สัญญา ว่าเราจะกินข้าวด้วยกันทุกวันเหมือนเดิม”เค้ายิ้มกว้างให้ผมก่อนจะดึงผมไปกอดอย่างแรง จนผมตกใจ แต่ก็เพียงไม่นานเค้าก็ผละออก

“ลุงสัญญาแล้ว ไปนอน ไปนอน”เค้าเดินออกไปโดยไม่ได้สนใจผม ที่ยัง งงๆ กับท่าทีของเค้า ทีแรกนึกว่าเค้าจะเดินกลับบ้าน แต่เปล่าเลยครับ เปิดประตูเดินเข้าห้องนอนผม ผมยืนมองห่างๆ ยังไงเสียคงบังคับให้เค้ากลับไปนอนบ้านตัวเองไม่ได้แล้ว

“เฮ้ยๆ”ผมร้องเสียงหลงเมื่อเค้าเริ่มถอดเสื้อ ถอดกางเกง กำลังจะรีบห้าม แต่ผมคงช้าไป เพราะเค้าทิ้งตัวลงนอนที่เตียงของผมเรียบร้อยแล้ว

“ก็ยังดีที่เหลือบอกเซอร์ไว้”ผมพึมพำกับตัวเอง เพราะเมื่อกี้ทำเอาใจหายใจคว่ำอยู่เหมือนกัน ผมเดินเข้าไปดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเค้า ก่อนจะรีบ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เข้านอนบ้าง

“ไอ้เด็กบ้าเอ้ย”ผมมองเค้าที่นอนหลับตาพริ้มไปเรียบร้อยแล้ว นี่ผมก็ง่วงเต็มทีแล้วเลยล้มตัวลงนอนที่อีกฝั่งของเตียง

ชัดเลยครับว่าตอนนี้ผมไม่ได้นอนอยู่คนเดียว ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นพยายามภาวนาให้ผมคิดผิด ขอให้ไอ้ที่ผมกอดอยู่ รวมทั้งเอาขาเกี่ยวไว้เนี่ย เป็นแค่หมอนข้าง แต่พอลืมตาขึ้น ก็พบว่าใบหน้าของอีกคนที่ตะแคงหันเข้าหาผม จ้องผมอยู่แล้วพร้อมรอยยิ้มซึ่งหน้าเราห่างกันแค่คืบนึงได้

“ตื่นนานแล้วเหรอ”ผมถามออกไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไร

“ผมปวดฉี่”เค้าบอกพร้อมยิ้มแหยๆ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าต้องทำหน้าแบบนั้น

“ก็ไปสิ”

“ลุงจะปล่อยผมได้ยังอ่ะ”นั่นไง ผมว่าแล้วเชียวว่านี่ต้องไม่ใช่หมอนข้าง อายนะครับเนี่ยแทบจะอยากมุดใต้เตียง แต่ก็ต้องทำหน้านิ่งๆ ไว้ครับ แล้วก็ค่อยๆ คลายมือ แขน ขา ตัวเอง แล้วพลิกตัวกลับถอยมาอยู่ขอบเตียงจนแทบจะตกเตียงอยู่แล้ว

“ลุง คือ”เห็นว่าปวดฉี่ไอ้ผมก็นึกว่าถ้าผมปล่อยเค้าจะลุกไปห้องน้ำเลย แต่นี่ทำไมยัง ก้มๆมองๆ ตรงที่เค้านอนอยู่อีก ผมก็หันมองหน้ารอฟังว่าเค้าจะพูดอะไร

“คือผมปวดฉี่มาก เดี๋ยวค่อยมาอธิบายนะ”ผมกำลังจะอ้าปากถามว่าอธิบายอะไร แต่ผมก็ต้องกลายเป็นอ้าปากค้าง เมื่อเค้ายืนขึ้น เพราะไอ้ที่มันดันบอกเซอร์ออกมานั่นแหละ แน่นอนแม้ผมจะตกใจแต่ก็รับรู้ว่าการมีอะไรดันบอกเซอร์ตุงออกมาขนาดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เค้าต้องอธิบาย แต่ไอ้รอยเปียกเป็นวงที่อยู่นูนออกมานั่นมากกว่า ผมรีบเลิกผ้าห่มดูตรงที่เค้านอน ชัดเลยครับรอยเปียกเป็นดวงๆ เลย

“ไอ้ทะลึ่ง เข้าห้องน้ำไปเซ่ ยังจะยืนโด่อยู่ทำไม”ผมรีบตะโกนไล่อีกคนที่ยังยืนเอาเป้าชี้ มาทางผมอยู่ เค้าเข้าห้องน้ำไปส่วนผมก็ก้มลงมองเป้าตัวเองที่มันก็ตั้งขึ้นมาเหมือนกัน อันนี้ผมเข้าใจเพราะมันเป็นปฏิกิริยาปกติของผู้ชายอยู่แล้ว แต่ไอ้รอยเปียกกับคราบบนที่นอนนี่มันอะไรกัน อย่าบอกว่าเด็กนี่มาช่วยตัวเองบนเตียงผมนะ

“ผมแค่ฝันเปียกนะลุง อย่าเพิ่งคิดไปไกล แล้วก็ความผิดลุงด้วย”เหมือนคนในห้องน้ำจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่เลยรีบตะโกนออกมา ฝันเปียกก็เป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นอย่างเค้า ผมเองก็เคยเป็น ว่าแต่จะมาโทษว่าเป็นความผิดผมได้ยังไงกัน

“ขอโทษ เดี๋ยวผมเอาผ้าห่มกับผ้าปูที่นอนไปซักให้”เค้ากลับมาพร้อมกับบอกเสียงอ่อยๆ

“ไอ้เรื่อง อะไรเนี่ยพี่ไม่โกรธหรอก เข้าใจว่ามันเป็นกลไกธรรมชาติ แต่ไอ้บอกว่าผิดที่พี่นี่มันคืออะไร”ผมถามอย่างสงสัย

“พี่เคยฝันเปียกไหมละ”เดี๋ยวนะ นี่มันชั่วโมงเพศศึกษาหรือไงเนี่ย นอกจากเห็นอะไรของกันและกันแล้วผมกับเด็กนี่ยังต้องมาแลกประสบการณ์ฝันเปียกกันอีกหรือไงเนี่ย

“ก็เคย และก็เรียนมาว่าร่างกายคนเรามันมีการผลิตสเปิร์ม น้ำอสุจิ ซึ่งถ้าไม่ได้ใช้งาน เมื่อถึงจุดนึงมันก็ต้องขับออกมาแบบนี้”ผมชี้ไปที่รอยบนผ้าปูเตียง

“แต่ลุงก็ต้องรู้สิ ว่าก่อนมันจะออกมา มันก็ต้องมีเรื่องราวเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น เค้าถึงเรียกฝันเปียกไง”นี่มันใช่เวลามาถกกันเรื่องนี้ไหมเนี่ย

“แล้วเมื่อคืนผมก็ฝันว่าโดนทั้งกอด รัด ฟัด เหวี่ยง ลูบคลำ”เค้าทำท่าลูบไล้ตัวเองอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะหันมามองทางผม นี่จะหาว่าที่ผมกอดเค้าจนทำให้เค้าฝันเปียกงั้นเหรอ แต่มันก็คงเป็นไปได้นั่นแหละครับ ผมเริ่มไม่อยากจะเถียงกับเค้าต่อ เพราะสภาพตอนนี้ก็ล่อแหลมกันมากแล้ว

“พอๆ กลับบ้านไปอาบน้ำ มาทำกับข้าว แล้วก็ซักผ้าห่มผ้าปูที่นอนนี่ด้วย นี่พี่ยังไม่ชำระความเรื่องที่เมาเมื่อคืนอีกนะ”ผมรีบดักคอก่อนที่เค้าจะพูดอะไรอีก และดูเหมือนจะได้ผลด้วยสิ เค้าชะงักไปนิดนึง

“เมื่อคืนผมทำไรไปบ้างเนี่ย จำไม่ได้เลย”เค้าพึมพำพูดกับตัวเองพร้อมเดินหา เสื้อหากางเกงของตัวเอง แล้วไอ้สายตาผมเนี่ย จะมองต่ำทำไมเนี่ย แล้วถึงบอกเซอร์เค้ามันจะไม่ตุงแล้ว แต่พอเดิน ด้วยความที่ผ้ามันคงบางหรือยังไงไม่รู้ ผมดันเห็นบางอย่างเป็นเงาแกว่งไปมาด้วยนี่สิ

“รีบไปสักทีสิ”ผมเร่งเค้า ส่วนอีกคนนะเหรอ ยังหันมายักคิ้วลิ่วตาใส่ผมอีก กว่าจะยอมออกไปนี่ทำผมใจหายใจคว่ำอีกหลายรอบเหมือนกัน ผมละไม่เข้าใจว่าเข้าไม่รู้สึกเขินอายบ้างหรือไง ทั้งเรื่องอะไรที่โชว์ให้ผมดู หรือพูดคุยอะไรทะลึ่งๆ อะไรแบบนั้น หรือผมมันดันคิดมากไปเอง ผมรีบสะบัดหัวไล่ความคิดต่างๆ อาบน้ำแต่งตัว พอเสร็จ อีกคนก็มาทำกับข้าวรอผมจนเกือบเสร็จแล้ว น่าแปลกที่เค้าเมาขนาดนั้น ตืนมาทำไมยังดูปกติ ต่างกับผมที่ตื่นมาก็ทรมานไปเกือบทั้งวัน

“เก็บตังค์ซื้อกีตาร์ไปถึงไหนแล้ว”เค้าชะงักหันมามองผมอย่างประเมินสถานการณ์สินะ แต่ผมก็จะยังไม่บอกหรอกว่ารู้แล้ว อยากรู้เหมือนกันว่าเค้าจะบอกกับผมว่ายังไง

“จริงๆ ก็น่าจะครบแล้วครับ”ผิดคาดแฮะ นึกว่าจะยังไม่บอกเสียอีก เพราะเห็นตอนยังไม่เมาที่อยู่ร้าน ยังตอบเลี่ยงๆ ผมอยู่เลย

“ครบแล้วแบบนี้ จะยังมาทำกับข้าวให้พี่กินอยู่หรือเปล่านา”ผมแกล้งพูดลอยๆ นึกถึงคำพูดเค้าเมื่อคืน ก่อนจะอมยิ้มออกมา

“ก็ลุงสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะกินข้าวกับผมทุกวัน”


TBC

ทั้งลุงทั้งเด็ก

 :hao7:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ดูเป็นความสัมพันธ์แบบเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ขยับเข้าหากัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อ้าวๆ........ตกลงใครกอดใครละเนี่ย

แต่สุดท้าย ลุงเป็นคนกอดก่ายภู่ ภู่เลยฝันเปียกสินะ  :o8: :-[ :-[
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
งื้ออออ
เรื่องนี้มันคือวัวอ่อน กินหญ้าแก่ไหม
ลุงแปงจะโดนหลอกกินตับ 55

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 14
นั่งรอแฟน?




“ห้าหมื่น”ผมอุทานออกมาเสียงดังจนภู่ต้องบอกให้ผมเบาๆ เพราะตอนนี้คนในร้านกีต้าร์แทบจะหันมามองผมหมด แต่จะไม่ให้ผมเสียงดังได้ยังไงกันครับ ก็ไอ้กีต้าร์ที่ภู่บอกเก็บตังค์ซื้อ และวันนี้เค้าให้ผมมาเป็นเพื่อนในการซื้อ ราคามันอยู่ที่ 5 หมื่นกว่าบาท แล้วใครจะไปคิดกันละครับว่าเด็กมัธยมจะเก็บเงินครึ่งแสนมาซื้อกีต้าร์เนี่ยนะ ไอ้ผมก็ไม่ใช่สายดนตรีก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะครับว่าราคาเครื่องดนตรีอะไรพวกนี้มันราคาเท่าไหร่ แต่เคยมองผ่านๆ แบบราคาไม่กี่พันมันก็มีนี่นา มันจำเป็นต้องซื้อแพงขนาดนี้เลยเหรอ

“แบบนี้ไงลุง ผมถึงต้องเก็บตังค์ซื้อเอง ขืนขอที่บ้านนะ นอกจากจะไม่ให้ซื้อแถมคงโดนบ่นหูชาแน่ๆ”ผมมองกีต้าร์ราคาครึ่งแสนอีกครั้ง มันก็คงแล้วแต่คนชอบอ่ะเนอะ บางทีผมเองอาจจะเคยซื้ออะไรแพงๆ แบบที่คนอื่นมองว่าไม่คุ้มแบบนี้บ้างก็ได้ อันนี้ก็จะพยายามเข้าใจเค้าแล้วกันครับ ว่าเค้าก็คงชอบของเค้า แล้วนี่มีการบ่นผมอีกนะครับว่าเคยเล่าแล้วว่ากีต้าร์ราคาเท่าไหร่ แต่ผมแก่เลอะเลือนเลยไม่รู้จักจำ ไอ้เด็กบ้านี่ได้ทีชักเอาใหญ่ครับ

ภู่จับกีต้าร์มาสะพาย ลองจับนู่นนี่นั่น ดูแววตาเค้ามีความสุขที่กำลังจะได้เป็นเจ้าของกีต้าร์ตัวนี้ ว่าแต่ไอ้การมาทานข้าว ทำกับข้าวบ้านผม การติดรถผมออกไปปากซอยนี่ มันช่วยเค้าประหยัดได้ จนเก็บเงินได้ขนาดนี้เหรอ ผมว่าไอ้ค่าข้าว ค่ารถมันไม่น่าจะสูงขนาดพอตัดออกแล้ว ได้เงินเก็บเยอะขนาดนี้นี่นา

“พี่บอกแล้วว่ากีต้าร์ มันเลือกเจ้าของ ถ้ามันเลือกเราแล้วยังไงก็ต้องเป็นของเรา”พี่เจ้าของร้านเข้ามาคุยกับภู่ ส่วนผมก็ได้แต่ยืนฟังเงียบๆ และครับ เค้าคุยเรื่องอุปกรณ์อะไรกันแต่ละตัว ผมก็ไม่เข้าใจกับเค้าหรอกครับ นี่มันเหมือนเป็นอีกโลกนึงที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ของผมปกติจะเป็นคนเสพผลงานคนฟัง แต่ผมไม่เคยคิดจะเป็นคนเล่นเองเลย เคยเห็นเพื่อนๆ ตอนเรียนทั้งมัธยม มหาวิทยาลัย เล่นดนตรีมาบ้าง แต่เราก็ไม่เคยสนใจว่าอุปกรณ์เครื่องเล่นอะไรพวกนี้ มันเป็นยังไงมายังไง

“แล้วนี่จะสะพายติดตัวไปแบบนี้เลยเหรอ”หลังจากได้กีต้าร์สมใจเค้า ผมบอกให้เอาไปเก็บที่รถก่อนก็ไม่ยอม นี่จะไปหาอะไรทานกันในห้างนี้ก่อนกลับ ก็ยังจะแบกไปด้วย ดูแล้วไม่ค่อยจะเห่อเลยจริงๆ ครับเนี่ย

“เอาน่าผมก็รักของผม แล้วนี่วันนี้ลุงอยากกินอะไรว่ามาเลย ผมเลี้ยงเอง”แหมเพิ่งจ่ายเงินไปครึ่งแสนแล้วยังจะมาทำป๋าอีกนะครับเนี่ย

“ไม่ต้องเลี้ยงหรอก หาเงินเองยังไม่ได้เลยจะมาอยากเลี้ยงพี่ทำไม”ถึงแม้จะรู้ว่าบ้านเค้าเองก็มีฐานะระดับแหละครับ แต่ยังไงเสียตัวเค้าเองก็ยังเป็นแค่เด็กมัธยม ที่ไม่ได้มีรายได้อะไร ยังขอเงินที่บ้านใช้ ไอ้คนทำงานแล้วอย่างผมจะมาให้เค้าเลี้ยง มันก็จะรู้สึกว่าแปลกๆ หน่อยแหละครับ

“โห ไม่เอาดิลุงผมกินข้าวบ้านลุงบ่อยแล้ว ก็อยากเลี้ยงขอบคุณลุงบ้างไง”เค้าดูยังคงดื้อดึง แต่การยกเรื่องนี้มาอ้างนี่ผมว่ามันไม่น่าใช่เหตุผลเท่าไหร่ การที่เค้ามากินข้าวบ้านผม แต่เค้าเป็นคนทำทุกอย่างนี่ผมว่า ผมเสียอีกที่ต้องขอบคุณเค้า แล้วไอ้เรื่องวันก่อนอีกกับการสัญญาจะกินข้าวอะไรด้วยกันนั่น นี่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าทำไมวันนั้นเค้าพูดแปลกๆ ทีแรกนึกว่าเวลาเมาเค้าจะจำอะไรไม่ได้อย่างผมเสียอีก แต่นี่เค้าบอกเค้าจำได้เกือบหมดแต่ตอนนั้นเค้าควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ถ้าพูดหรือทำอะไรแปลกๆ ไปก็ให้ผมอย่าไปถือสามาก ซึ่งจริงๆ ผมเองก็ไม่ถืออยู่แล้ว ก็เค้าเมานี่นา

“พี่ทำงาน หาเงินของตัวเองได้แล้ว จะมาให้ภู่เลี้ยงได้ยังไง ส่วนเรื่องทานข้าวที่บ้านนั่นเราก็ตกลงกันแล้วไง ว่าภู่เป็นคนทำ พี่เป็นคนจ่าย แต่ถ้าจากนี่ไม่ได้ต้องเก็บเงินซื้ออะไรแล้ว อยากซื้ออะไรไปเองบ้าง แบบนั้นดีกว่า ต่อไปพี่เองก็จะพยายามช่วยทำด้วย ตกลงไหม”คือจะปฏิเสธทั้งหมดเลย เค้าคงไม่ยอม เลยต้องเสนอทางออกแบบนี้แหละครับ ก็จะได้ไม่ต้องเถียงกันอีก

“งั้นเดี๋ยววันนี้ตอนลุงไปส่งผมที่สนามบอล ผมเลี้ยงกาแฟแก้วนึง ห้ามปฏิเสธด้วย ตกลงไหม”ก็ยังจะหาทางอยากเลี้ยงอะไรผมอีกเนอะ ผมพยักหน้าตกลง พร้อมยิ้มขำๆ กับที่เค้าพยายามทำ แล้วก็นี่อีกอย่างวันนี้เสร็จจากที่นี่เค้าจะแวะไปเตะบอลกับเพื่อนที่สนามหญ้าเทียม ไม่ไกลจากหมู่บ้านที่เราอยู่ มากนักเลยว่าจะให้ผมแวะไปส่งก่อนที่ผมจะเข้าบ้าน
หลังจากทานข้าวอะไรเสร็จเรียบร้อย ผมก็ขับรถมาส่งเค้าที่สนามฟุตบอลหญ้าเทียมตามที่ตกลงกันไว้ นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ผมไม่เคยสัมผัส เรียกได้ว่าในชีวิตผม ไม่เคยเล่นกีฬาอะไรจริงๆ จังๆ เลย จะมีก็แต่ตอนที่ยังเรียน ถ้ากีฬาอะไรที่ถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอน ผมก็จะได้แค่เคยสัมผัสในห้องเรียนแค่นั้นแหละครับ

“ลุงนี่มันสุดยอดจริงๆ เลย นี่ที่บ้านเลี้ยงมาให้เป็นคุณหนูหรือไงเนี่ย กีฬาก็เล่นไม่เป็นสักอย่าง อะไรห่ามๆ ก็ไม่เคยทำ เหล้า เบียร์ บุหรี่ก็ไม่เคยแตะ แฟนก็ไม่เคยมี นี่ชีวิตวันรุ่นของลุงไม่จืดชืดแย่เลยเหรอ”นี่ก็พูดยังกะผมแก่เลยวัยรุ่นไปไกลแล้ว ผมได้แต่มองอีกคนอย่างเคืองๆ ก่อนหน้านี้ชีวิตผมก็อาจจะจืดชืดอย่างที่เค้าว่ามาจริงๆ นั่นแหละครับ ผมถึงอยากออกมาใช้ชีวิตคนเดียวแบบนี้ไง แต่ตั้งแต่ไอ้เด็กบ้าอย่างเค้า เข้ามาในชีวิตผมเนี่ย ผมว่ามันก็ออกจะเพิ่มสีสันให้ชีวิตผมมากเกินไปสักหน่อยละนะ คนอะไรจะมีเรื่องมาให้ผมรู้สึกใจหายใจคว่ำได้ตลอดขนาดนี้

“ลงไปได้แล้ว ป่านนี้เพื่อนรอแล้วมั้ง อย่ามามัวแต่วิจารณ์ชีวิตคนอื่นอยู่เลย”ผมรีบไล่อย่างหมั่นไส้ครับ คำพูดคำตาแต่ละอย่าง ทำยังกะผมเป็นคนที่เกิดทีหลังเค้างั้นแหละ ไอ้เด็กกร้านโลกเอ้ย

“อ้าว แล้วลุงจะกลับเลยเหรอ ไหนว่าจะให้ผมเลี้ยงกาแฟไง เนี่ยลงไปจิบกาแฟก่อนดิค่อยกลับ”แหมไอ้ผมก็อุส่าห์แกล้งทำเป็นลืมๆ ไปแล้ว นี่ก็ความจำดีเหลือเกิน ก็ไม่ใช่ว่าจะกลัวว่าเค้าเปลืองตังค์ที่จะเลี้ยงอะไรหรอกนะครับ แต่มันเขินๆ ยังไงบอกไม่ถูกนี่สิครับ ก็ไอ้ผมเองก็ไม่เคยมาที่อะไรแบบนี้ ดูสถานที่มันไม่ค่อยจะเข้ากับผมสักเท่าไหร่ ผมมองดูคร่าวๆ ที่นี่นอกจากสนามฟุตบอลแล้ว ก็มีคอฟฟี่ชอปเล็กๆ อยู่อีกด้านนึงไว้คอยบริการ เท่าที่เห็น ทำไมในคอฟฟี่ชอปนั่นมีแต่ผู้หญิงหว่า

“ต้องลงใช่ไหม”ผมถามย้ำอีกทีเผื่อว่าผมจะได้รับทางเลือกอื่น แต่ดูเหมือนจะไม่มีนะครับ เค้าลงจากรถหยิบกระเป๋าสำหรับเปลี่ยนชุดของตัวเอง ยืนกดดันผม เลยต้องเดินตามเค้าไปครับ นี่ชีวิตผมต้องโดนเด็กบังคับเหรอเนี่ย

“ฝากของแป๊บนะลุง เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนชุดก่อน แล้วค่ากาแฟก็เอาตังค์ในเป๋าตังค์ผมจ่ายเลย”เค้าส่งกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์มือถือมาให้ผม ก่อนจะเดินแยกไปทางห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุด ผมก็รับมาอย่างงงๆ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว

“ลาเต้ปั่นแก้วนึงครับ”ผมเดินมาสั่งที่เค้าเตอร์ เลือกกาแฟแบบอ่อนๆ หน่อยเพราะนี่ก็เย็นมากแล้ว ถ้าดื่มเข้มๆ ไปเดี๋ยวคืนนี้จะหลับยากอีก พนักงานบอกราคา ทีแรกผมจะหยิบตังค์ตัวเองแล้วแต่นึกดูอีกที ถ้าอีกคนเห็นว่าตังค์เค้าไม่ได้ลดลงเลย คงต้องโวยวายผมอีกเป็นแน่ เลยเลือกที่จะหยิบแบงค์ที่อยู่ในกระเป๋าตังค์ของเค้าแทน จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยผมก็เลือกนั่งโต๊ะริมด้านนอก ที่สามารถมองเห็นบรรยากาศในสนามได้

ตอนนี้เหมือนหลายๆ คนกำลังวอร์มร่างกาย ก่อนเริ่มเล่น ทีแรกเค้าบอกผมว่านัดเพื่อนไว้ผมก็นึกว่าคนที่มาเตะบอลกับเค้าจะมีแต่น้องๆ มัธยมเสียอีก แต่ที่เห็นนี่ก็มีหลากหลายวัย แสดงว่าคงเป็นเพื่อนต่างวัยที่มาออกกำลังกายด้วยกันสินะครับเนี่ย สายตาผมมองเลยไปมองคนที่มาพร้อมกับผม ตอนนี้เค้าเปลี่ยนชุดเป็นชุดนักบอลเรียบร้อยแล้ว ก็ดูทะมัดทะแมง เข้ากับเค้าดีนะครับ นี่ผมก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเหลืออะไรที่เค้ายังทำไม่ได้อีกบ้างเนี่ย

กีฬาก็เล่น ดนตรีก็เล่น ทำกับข้าวก็เป็น จะว่าไปเค้าก็ไม่ได้เห็นจะเกเร ไรสักเท่าไหร่อย่างที่พี่ปุ๊ก น้าของเค้าเคยบอกนี่นา แต่จะว่าไม่มีเลยก็คงไม่ถูกสินะ เพราะผมเองก็เคยเห็นวีรกรรมของเค้ามาบ้าง ทั้งเรื่องสองสาวที่เคยมาตบกันแย่งเค้าถึงหน้าบ้าน หรือมีเรื่องชกต่อยจนผมต้องไปเป็นผู้ปกครองจำเป็นให้นั่นอีก จะว่าไปถ้าในมุมมองของญาติผู้ใหญ่ก็คงมองว่าแย่แล้วแหละมั้ง เพราะถ้าเป็นผมเอง ถ้ามีเรื่องขนาดนั้นคงโดนทั้งดุ ทั้งว่าอย่างหนักไปแล้ว ยิ่งถ้ามาใช้เวลากับกีฬาดนตรีอะไรพวกนี้ บ้านผมอาจจะมองว่าไร้สาระเสียด้วยซ้ำ เพราะงั้นมุมมองพ่อแม่เค้าก็อาจไม่ต่างจากบ้านผมสักเท่าไหร่สินะ

“ไอ้ภู่เร็วดิวะ จะเริ่มแล้วเนี่ย”เพื่อนเค้าที่ผมเคยเจอตะโกนเรียกให้เค้าหันกลับไป ทำให้จากที่เค้าจะเดินมาหาผมต้องชะงักเปลี่ยนทิศทางไป ผมพยักหน้าบอกเค้าว่าให้ไปเถอะ ไม่ต้องอะไรกับผมอีก เพราะนี่ผมนั่งอีกสักนิดก็คงกลับแล้ว แต่ผมก็ลืมไปว่า ทั้งโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าตังค์ของเค้า อยู่ที่ผมนี่นา ถ้าผมจะกลับก่อนแล้วเค้าจะทำยังไงหว่า

มองซ้ายมองขวาไอ้ผมก็ไม่รู้จักใครสักคน ที่พอจะฝากของไว้ให้เค้าได้เลย มองไปในสนามเค้าก็เริ่มเกมส์กันแล้ว สายตาผมเผลอมองตามเค้าอย่างลืมตัว ทำไมผมรู้สึกว่าเวลาเค้าอยู่ในสนามแล้วเท่ห์จัง แม้ผมจะเล่นฟุตบอลไม่ค่อยเป็น ดูก็ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ แต่เค้ากลับทำไมผมมองดูการแข่งขันในสนามได้อย่างน่าสนใจ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น จนผมตกใจเพราะมัวแต่มองภาพในสนาม

“ฮายย เฟรนด์ อยู่ไหนคะ”เสียงเพื่อนสนิทของผมแทงละลุแสบแก้วหู ส่งเสียงมาตามสายโทรศัพท์ จนผมต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู

“อยู่สนามบอล”ผมตอบไปตามจริง แต่ปฏิกิริยาตอบกลับของเพื่อนผมนี่สิครับผมต้องรีบเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูมากกว่าเดิมเสียอีก

“วอท? อะไร ยังไง แกเนี่ยนะ ไปสนามบอล ไปทำอะไร กับใคร แกเตะบอลเป็นเหรอ ดูบอลแกก็ไม่ได้ชอบนิ รู้จักแกมาทั้งชีวิตนี่อเมซิ่งมากนะ ที่แกไปสนามบอล”นั่นแหละครับ ถามด้วยน้ำเสียงเลเวลสูงปรี๊ด แถมไม่เว้นช่วงให้ผมตอบเลยขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่าอยากได้คำตอบจริงๆ หรือเปล่า

“แปลกตรงไหน จำได้ว่าแกก็เคยไปรอพี่โตเตะบอลไม่ใช่เหรอ”แม้มันจะแปลกจริงๆ สำหรับผมที่ชีวิตดูไม่น่าจะมีอะไรให้เฉียดมาที่สนามบอลแบบนี้ แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องตกใจโอเวอร์อย่างที่เพื่อนผมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้มั้งครับ

“เดี๋ยวๆ นั่นมันแค่ครั้งแรก ครั้งเดียว และครั้งสุดท้ายที่พี่โต บังคับชั้นได้ ก็พอรู้นะว่าพี่โตอยากอวดเพื่อนว่ามีแฟนสวยอย่างชั้นไปนั่งรอข้างสนาม แต่พอได้ไป ชั้นนี่รู้เลยว่าทำไมชั้นต้องไปนั่งรอให้เสียเวลาชีวิตขนาดนั้น สู้เอาเวลาไปช้อปปิ้งรอยังจะดีเสียกว่า”นี่ผมไปสะกิดต่อมอะไรของแม่คุณเค้าอีกไหมครับเนี่ย ดูฝังใจกับการไปนั่งรอแฟนครั้งเดียวครั้งนั้นเหลือเกิน

“นี่พี่โตรู้จะเสียใจไหมเนี่ย ที่อยากให้แฟนไปนั่งรอแต่แกดันมาคิดแบบนี้เนี่ย”

“โอ้ยแก พี่โตเค้าจะว่าอะไร แต่เดี๋ยวก่อนนะ แกเตะบอลไม่เป็น ไม่ได้ชอบดูบอล แล้วแกไปรอใคร นี่อย่าบอกนะว่าแกไปรอแฟนเหรอ โอ้วมายก้อด โอ้วมายก้อด เพื่อนชั้นมีแฟนแล้ว”นี่ก็ช่างจินตนาการ ตรรกะอะไรของแม่คุณเค้าละครับเนี่ย

“รอแฟนอะไร ก็แค่แวะมาส่งภู่เตะบอล”

“แกกะน้องภู่เป็นแฟนกันแล้ว”มันมีประโยคไหนกันเหรอครับที่สื่อให้เพื่อนผมเข้าใจแบบนั้น นี่นับวันเพื่อนผมก็จะยิ่งอยากให้ผมมีแฟนจนเพี้ยนไปแล้วหรือเปล่าครับเนี่ย

“เลิกพูดจาเพ้อเจอได้แล้ว ละนี่โทรมามีอะไรหรือเปล่า”ผมรีบดึงเข้าเรื่องก่อนที่เพื่อนตัวดีของผมจะลากออกทะเลไปมากกว่านี้

“ก็แค่ว่าจะหาเพื่อนไปกินส้มตำ กินกันสองคนกับพี่โตมันก็เบื่อ แต่แกคงไม่ว่างแล้ว ต้องรอแฟนที่สนามบอล งั้นแค่นี้แหละแก บาย”แล้วแม่คุณก็ชิงวางสายจากผมไปเลย ปล่อยให้ผมงงอยู่คนเดียวว่าตกลงที่โทรมาหาผมนี่ไม่ได้มีเนื้อหาสาระอะไรเลยสักนิด ผมดูเวลาที่หน้าจอมือถือ เมื่อเห็นว่าตอนนี้ในสนาม เหมือนหยุดพักเกมแล้ว และคนที่มากับผมก็กำลังวิ่งออกจากสนามตรงมาหาผม

“โทษทีนะลุง เลยต้องนั่งรอผมยาวเลย”เค้านั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามผม แล้วก็ดึงแก้วกาแฟของผมที่เริ่มละลายแล้ว ไปดูดโดยไม่ได้ขออนุญาตเลยสักคำ ไม่ได้หวงหรอกนะครับ แต่งงว่าเค้าไม่ถือหรือเห็นว่าเป็นปกติแล้วใช่ไหมที่จะดูดต่อจากหลอดที่ผมกินก่อนแล้ว นี่เราสนิทกันถึงขั้นใช้หลอดเดียวกันได้แล้วเหรอเนี่ย

“ไม่เป็นไร พี่ก็ไม่ได้มีธุระจะไปไหนอยู่แล้ว อีกอย่างนั่งดูก็เพลินดีเหมือนกัน”ผมบอกไปตามตรงอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก เค้าส่งแก้วกาแฟ กลับมาให้ผม แต่ผมก็เพียงรับกลับมาวางไว้ตามเดิม ไม่ได้กินต่อ

“ผมเท่ห์อะดิ ลุงเลยมองซะเพลินใช่ไหม”นี่ไม่ได้หลงตัวเองเลยใช่ไหม ผมส่ายหน้ายิ้มขำๆ กับความหลงตัวเองของเค้า

“เออลุง ไหนๆ ก็รอแล้วรอผมต่ออีกหน่อยดิ เดี๋ยวเล่นครึ่งหลังอีก 25 นาทีก็กลับแล้ว”นี่ผมเลยจะกลายมาเป็นคนนั่งรอเค้าอย่างที่ข้าวหอมว่าหรือเปล่าเนี่ย นี่ในร้านกาแฟตรงนี้สาวๆ ที่นั่งอยู่แทบทุกคนก็คงรอแฟนที่อยู่ในสนามกันทั้งนั้นมั้งเนี่ย

“เอาดิ ไม่ได้รีบอยู่แล้ว”ไหนๆ ก็ไหนๆ อยู่รอเค้าต่ออีกสักนิดก็คงไม่แปลกหรอกจริงไหมครับ

“ขอบคุณคร๊าบ ลุงนี่ใจดีกับผม เหมือนเป็นแฟนมานั่งรอกลับพร้อมกันเลยเนอะ”เค้าบอกยิ้มๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ

“พูดบ้าอะไรเนี่ย รีบไปได้แล้ว เค้าจะเริ่มเตะกันแล้วเห็นไหมนะ”



TBC

แวะมาต่ออีกตอนคร๊าบ

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อืม ข้อสันนิษฐานของแปงก็เป็นไปได้ (ตอนแรกที่บอกว่ามีแต่ผู้หญิง เราก็นึกว่าสาว ๆ เขามาส่องหนุ่มกัน ฮา)

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

มันคือธรรมชาติที่เข้ากันดี
หรือความเนียนของภู่อะ

 :L1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ติดว่าสาวมาส่องหนุ่มๆนักบอลเหมือนที่แปงคิด
แต่พอฟังหอมก็เออใช่ พวกนี้มารอแฟน

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 15
แรงบันดาลใจ




“พักก่อนได้ไหมอ่ะลุง ผมไม่ไหวแล้ว”เสียงโอดโอยต่อรองมาอีกแล้วครับ ช่วงนี้อีกหนึ่งกิจกรรมที่เพิ่มเข้ามาระหว่างผมกับเค้า คือการติวภาษาอังกฤษ เนื่องจากว่าน้องชายข้างบ้านผมผู้นี้ จริงๆ แล้วเกรดเค้าไม่ได้แย่อะไรเลย ในวิชาอื่นๆ ยิ่งพวกวิชาคำนวณเรียกว่าทำได้ดีมากเลยทีเดียว แต่ที่แย่สุดๆ อย่างที่เค้าเคยบอกก็คือวิชาภาษาอังกฤษนี่แหละครับ

“ไม่ไหวอะไร ถ้าจะให้พี่ช่วยติวเราก็ต้องช่วยพี่ด้วยสิ นี่พี่ก็รับปากพี่ปุ๊กเค้าไว้แล้วด้วยว่าปีนี้เกรดภาษาอังกฤษของภู่ต้องดีขึ้น”ที่จริงทางบ้านเค้าก็จะบังคับให้ไปเรียนพิเศษเพิ่มนั่นแหละครับ แต่ไอ้เด็กดื้อแบบภู่มีหรือจะยอมละครับ แล้วไม่ยอมเฉยๆ ก็คงไม่มีอะไรยุ่งยากหรอกนะครับ ถ้าเค้าไม่ลากเอาชื่อผมไปการันตี ว่าจะช่วยเค้าพัฒนาภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องไปเสียตังค์เรียนพิเศษเพิ่ม

อีกอย่างจะได้เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนผมก็จะได้รับค่าจ้างเป็นอาหารการกินที่ดีเยี่ยม เรียกว่าเกิดผลประโยชน์กันทุกฝ่าย แต่ทางบ้านของโพดก็หารู้ไม่ ว่าจริงๆ แล้วไอ้ที่ไม่ยอมไปเรียนพิเศษจริงๆ จังๆ ก็เพราะถ้าไปเรียนมันก็จะต้องมีเวลาเรียนที่แน่นอน ซึ่งกระทบต่อทั้งการซ้อมดนตรี หรือเล่นกีฬาที่เค้าชอบนั่นแหละครับ

“งั้นตอบคำถามที่พี่ถามให้ได้ก่อนจะให้พัก โอเคไหม”แม้จะไม่อยากเคี่ยวเข็ญเค้ามากแต่ถ้ายังปล่อยไว้ ทักษะทางภาษาของเค้าจะยิ่งแย่ เพราะตอนนี้แค่แยกประธานของรูปประโยคที่เป็นเอกพจน์กับพหูพจน์ เค้ายังไม่แม่นเลย ทั้งที่เรื่องนี้มันเป็นพื้นฐานมากๆ สำหรับภาษาอังกฤษ จากที่ประเมินดู ตอนนี้เค้าอาศัยการเดาในการทำข้อสอบมาตลอด ซึ่งมันก็ทำให้เค้าผ่านมาได้ฉิวเฉียดทุกครั้ง แต่เค้ากลับไม่มีความรู้ในหัวเค้าเลย พอมันเป็นแบบนี้ก็เลยสะสมมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นไม่ใส่ใจและปล่อยผ่านและเป็นปัญหา

ผมตั้งคำถามง่ายๆ แค่ว่าประธานของประโยคที่ผมถามต้องใช้คู่กับกริยาช่วยตัวไหน ซึ่งสำหรับหลายๆ คนมันคงเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ แต่สำหรับคนที่ได้ตั้งอคติกับการเรียนภาษาไปแล้วแบบภู่คงยากสักหน่อย แต่ผมว่ามันก็คงไม่เกินความพยายามของเค้าหรอกครับ

“ผิด เริ่มใหม่”ผมตั้งกฎกับเค้าว่าต้องตอบถูก 20 คำถามติดต่อกันถึงจะยอมให้เค้าพัก เค้าพยายามอยู่อีกหลายรอบกว่าจะผ่านได้ในที่สุด

“ตอนลุงเรียน ลุงมีแรงบันดาลใจบ้างไหมอ่า กับภาษาอังกฤษเนี่ย”ผมย้อนนึกถึงสิ่งที่ทำให้ผมสนใจในภาษาอังกฤษงั้นเหรอ จริงๆ ผมก็เคยมีความฝันนะครับ ว่าอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ มันเลยส่งผลให้ผมเริ่มอยากที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษ และอาศัยเพลง หนังมาช่วยให้มันน่าสนใจมากขึ้น

“พี่ก็คงเป็นติ่งนักร้องมั้ง เลยใช้ศิลปินที่ชอบเป็นแรงบันดาลใจ”ผมบอกติดตลก แม้จะไม่ใช่ความจริงเสียทั้งหมดแต่ผมก็พอจะอ้างได้และเค้าเองก็คงเคยเห็นบรรดาแผ่นซีดีเพลงต่างๆ ของผม

“งั้นผมติ่งลุงได้ไหม เอาลุงเป็นแรงบันดาลใจงี้ได้ป่ะ”เค้าเข้ามาถามพร้อมจ้องหน้าผมยิ้มแปลกๆ ทำเอาผมทำตัวไม่ถูกความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกันนะ ทั้งที่คนตรงหน้านี่ก็ออกแนวกวนประสาทผมเหมือนๆ เคย แต่ผมกลับทำตัว ทำหน้าไม่ถูก จนต้องเบือนหน้าหนี แล้วลุกออกมาหาน้ำดื่มที่ตู้เย็น

“พี่จะไปเป็นแรงบันดาลใจให้ได้ไง”ผมตอบออกไปโดยไม่ได้หันไปมองเค้าเพราะรู้ว่าอีกคนยังมองมาที่ผมอยู่

“ก็ผมอยากให้ลุงภูมิใจในตัวผม”น้ำเสียงที่ฟังดูกระตือรือร้นนั้น ทำเอาผมอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ อีกอย่างมันจะมาเกี่ยวอะไรกับผม ถ้าเค้าทำได้ดีมันก็เป็นผลดีกับตัวของเค้าเอง

“ขนาดนั้นเลย”ผมกลับมานั่งตรงข้ามกับเค้า บอกออกไปอย่างสบายๆ ไม่ได้จริงจังนัก ผมว่าผมรู้แล้ว เวลาที่ผมเกิดรู้สึกแปลกๆ หรือทำตัวไม่ถูกที่อยู่ใกล้เค้า ผมต้องถอยออกไปตั้งหลักสักนิด ตัวผมก็จะรู้สึกสงบขึ้น

“ลุงคอยดูละกัน”เค้ายังคงบอกอย่างมาดมั่น ก็ดีเหมือนกันครับ คนเราถ้าตั้งใจจะทำอะไรอย่างจริงจังผมว่ามันต้องสำเร็จแหละครับ ภู่เองก็เหมือนกัน ที่จริงแค่เห็นว่าเค้าพยายามผมว่ามันก็ดีแล้ว ถึงมันอาจจะไม่ได้ดีขึ้นทันทีทันใด แต่สักวันมันก็ต้องดีกว่าเดิมแหละน่า 

“งั้นถ้าคะแนนภาษาอังกฤษรอบนี้ออกมาดี พี่ให้รางวัล 1 อย่าง”วิธีที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจอีกอย่างที่ยังคงได้ผลเสมอ เห็นแก่ความตั้งใจจริงของเค้า การให้อะไรเล็กๆ น้อยมันก็ไม่ลำบากอะไรที่ผมพอจะทำได้

“ผมเลือกเองได้ไหม”เค้ายิ้มกว้างบอกกับผม

“ได้สิ แต่ขออะไรที่มันเป็นไปได้นะ”ผมบอกติดตลก แต่ถ้าเค้าขออะไรที่ผมให้ไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องเปลี่ยนให้อย่างอื่นทดแทนแหละครับ

“งั้นไว้ผมทำได้ก่อนค่อยคิดละกันครับว่าอยากได้อะไร แต่ลุงเตรียมตัวไว้เลย ผมทำได้แน่นอน มีลุงเป็นแรงบันดาลใจขนาดนี้”เค้ายื่นมือมาบีบจมูกผม จนผมต้องปัดออก ย่นจมูกอย่างเคืองๆ ไอ้การทำแบบนี้มันมีแต่ผู้ใหญ่ทำกับเด็กที่รู้สึกเอ็นดูไม่ใช่หรือไง หลายทีแล้วนะเนี่ยที่เค้าทำเหมือนผมเป็นเด็กเนี่ย

“ทำไรเนี่ย”ผมบอกอย่างเคืองๆ

“อีกอย่างแค่เป็นกำลังใจก็พอไหม แรงบันดาลใจดูลิเกไปนิด”แต่แทนที่จะคล้อยตามผมเค้ากลับหัวเราะชอบอกชอบใจเสียอย่างนั้น หลังจากเห็นว่าปล่อยเค้าพักได้พอสมควรแล้ว ผมก็เริ่มปฏิบัติการติวเข้มเค้าอีกรอบ แต่ผ่านไปไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นขัดจังหวะ พอหยิบมาดูผมก็ต้องถอนหายใจยาว

“อ่านทบทวนไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา”ผมบอกอีกคนก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือเดินออกมาที่หน้าบ้าน

“ครับแม่”ผมกดรับสาย เสียงเรียบที่จริงก็รู้สึกผิดเหมือนกันแหละครับที่ตั้งแต่มาอยู่นี่ก็ไม่โทรติดต่อที่บ้านเลย อาจจะเพราะปกติที่อยีบ้านก็เจอกันทุกวันเลยไม่ค่อยได้โทรหากัน พอมาอยู่นี่ก็อาจจะยุ่งๆ ด้วยหลายๆ อย่างจนผมก็ลืมไปเลย

“เป็นไงบ้างลูก เห็นเงียบไปเลย แม่เลยโทรมาถามดูว่าสบายดีไหม”นี่ผมจะบาปไหมเนี่ยที่ต้องทำให้แม่เป็นห่วงขนาดนี้ หรือผมจะเห็นแก่ตัวมากไปที่อยากออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพัง และนี่ผมก็เหมือนจะสนใจแค่ชีวิตตัวเองจนลืมคนในครอบครัวไปแล้วหรือเปล่า

“สบายดีครับแม่ โทษทีนะครับที่ไม่ได้โทรหาแม่เลย พอดียุ่งๆ นิดหน่อย”ผมบอกออกไปอย่างรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไร แล้วทำงานสนุกไหม”ก็แปลกดีเหมือนกันนะครับ ทั้งที่จริงๆ บ้านผมก็ไม่ได้อยู่ไกลอะไรมากมายแต่กลับต้องมาถามสารทุกข์สุกดิบกันผ่านโทรศัพท์ ยังกับว่าอยู่ห่างกันจนไปมาหาสู่กันลำบาก

“วันไหนว่างๆ หรือวันหยุดก็กลับมาทานข้าวที่บ้านบ้างสิ”ทำไมผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของแม่ดูมีความกังวลอะไรบางอย่าง คือปกติถ้ามันมีเรื่องอะไรสักอย่าง ผมว่าเราทุกคนก็คงเป็นที่เซนส์บางอย่างจะสะกิดเราว่ามันต้องมีอะไรที่ผิดปกติแน่นอน

“แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ เหมือนอยากจะถามอะไร”ผมตัดสินใจถามตรงๆ ให้หายข้องใจ

“ไม่มีอะไร ก็แค่คิดถึง อยากชวนมากินข้าวที่บ้านบ้างแค่นั้นแหละ”ผมกำลังจะตอบกลับว่าจะรีบหาวันกลับไปทานข้าวที่บ้าน แต่เสียงของผู้เป็นพ่อที่ลอดเข้ามาตามสายโทรศัพท์ ทำเอาผมชะงัก

“คุณก็ถามไปสิ ว่าลูกเราเนี่ยเลี้ยงเด็กผู้ชาย พากันไปซื้อกีต้าร์จริงหรือเปล่า”นั่นคือสิ่งที่ผู้เป็นพ่อของผมส่งเสียงแทรกเข้ามา ผมเดาเรื่องราวได้แทบจะทันที นี่เพื่อนของพ่อกับแม่สักคน คนเห็นวันที่ผมไปซื้อกีต้าร์กับภู่สินะ แล้วคนเราจำเป็นต้องคิดอะไรแบบนั้นด้วยหรือไง ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าใครเป็นคนไปพูด และผมก็ไม่สนใจด้วยว่าคนๆ นั้นจะคิดยังไง เพราะเรื่องจริงมันเป็นยังไง ผมรู้ดีอยู่แล้ว

“ก็บอกแล้วไงคุณ ว่ารอลูกกลับมาบ้านค่อยถามก็ได้”ผมอยากที่จะอธิบายให้พ่อกับแม่เข้าใจนะครับว่าอะไรเป็นอะไร แต่เสียงปลายสายตอนนี้เหมือนจะไม่ได้สนใจแล้ว พอความเห็นไม่ลงรอยกันก็คงลืมไปแล้วว่าผมยังอยู่ในสาย แต่ไม่นานนักสายก็โดนตัดไป

“ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วย ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นก็แค่น้องข้างบ้าน เป็นหลานพี่ปุ๊ก ไม่ได้มีอะไรอย่างที่พ่อกับแม่กังวลเลย”ผมพิมพ์ข้อความส่งให้พี่ปอผู้เป็นพี่สาว นี่เรื่องนี้มันก็ยังต้องเป็นแบบนี้ต่อไปเหมือนเดิมสินะทั้งที่พ่อกับแม่ก็รู้ว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ที่ผมจะคบกับผู้ชาย นี่ขนาดว่าเรื่องที่รับรู้มาไม่ใช่เรื่องจริง ยังเป็นกันขนาดนี้ นี่ถ้าสมมติวันนึงผมมีโอกาสได้คบกับใครสักคนจริงๆ มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเนี่ย

ผมหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ยาว ที่ตั้งอยู่ ทอดสายตาไปอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิด นี่ผมคิดว่าการที่เค้ายอมปล่อยให้ผมออกมาใช้ชีวิตคนเดียวแบบนี้ ไอ้เรื่องนี้มันจะดีขึ้นแล้วนะ แต่เปล่าเลย ทุกอย่างมันก็ยังคงเหมือนเดิม

“เป็นไรหรือเปล่าลุง”เสียงถามไถ่จากอีกคน ที่นั่งลงข้างๆ ผม เค้ายื่นหน้ามาจ้องผมอย่างรอคำตอบ ผมค่อยๆ คลี่ยิ้มให้เค้านี่เจ้าตัวรู้ว่าตัวเองกลายเป็นเด็กที่มีผู้ชายเลี้ยง เค้าจะรู้สึกยังไงนะ

“ผีเข้าเหรอลุง ทีแรกยังทำหน้าอมทุกข์อยู่เลย ทีนี้มายิ้ม”ใครจะเอาคนบ้านแบบนี้มาเลี้ยงเป็นแฟนเด็กกันละครับ กวนประสาทก็เท่านั้น หลงตัวเองอีกต่างหาก

“ไปติวกันต่อดีกว่าเนอะ”ผมตัดบทเพราะเรื่องของผมคงไม่เหมาะจะเล่าให้เค้าฟังสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าเค้าจะกลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่ถูกพาดพิงก็เถอะ

“เดี๋ยวสิลุง”เค้าดึงแขนผมให้นั่งลงตามเดิม ผมมองการกระทำของเค้าอย่างไม่เข้าใจ

“ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็เล่ามาเถอะ ถึงผมอาจจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ผมก็ยินดีรับฟังนะ อีกอย่างถ้าได้ระบายออกมาลุงก็น่าจะสบายใจกว่าเก็บไว้คนเดียวนะครับ”เค้าบอกทั้งที่ยังจับข้อมือผมอยู่ ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอกเหนื่อยใจอีกครั้ง นี่ช่วงนี้ผมจะถอนหายใจบ่อยไปแล้วมั้งเนี่ย

“เรื่องไม่เป็นเรื่องนะ บางทีพี่ก็คิดนะทำไมคนในครอบครัวเราเอง ต้องแคร์คำพูด แคร์ความคิดคนอื่นด้วย”ทั้งที่ตั้งใจจะไม่เล่าให้เค้าฟังในทีแรก แต่สุดท้ายผมก็เริ่มเล่าอยู่ดี

“เรื่องที่ลุงไม่ได้ชอบผู้หญิงอะเหรอ”

“อือ”ผมตอบรับสั้นๆ แต่จะว่าไปตัวภู่เองก็ไม่เห็นมีท่าทีแปลกไป หรืออะไรเลยหลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากผมแล้วว่าผมชอบผู้ชาย แต่อย่างว่าแหละครับ คนรุ่นใหม่ๆ ก็คงเข้าใจอะไรๆ ง่ายขึ้นแล้ว แต่ครอบครัวผมแม้จะดูเป็นครอบครัวสมัยใหม่ แต่หลายๆ เรื่องก็ยังยึดติดกับขนบเดิมๆ

 “เค้าคิดว่าพี่เลี้ยงต้อยเด็กผู้ชาย”เค้าทำหน้างงนิดนึง ก่อนจะชี้ที่ตัวเอง พอผมพยักหน้าเค้าก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“คงมีคนเห็นตอนที่พี่ไปซื้อกีต้าร์กะภู่แหละ แล้วเอาไปบอกที่บ้านพี่”ผมอธิบาย แต่เหมือนอีกคนจะยังหยุดขำไม่ได้ มันมีอะไรน่าขำนักหนาหรือไงเนี่ย

“ตลกวะลุง ข้อแรกเลยนะผมไม่ใช่เด็ก 5 ขวบเสียหน่อยจะเรียกเลี้ยงต้อยได้ไง ผมโตแล้ว อะไรๆ ก็โตพอใช้งานได้แล้วลุงก็เคยเห็น”มันใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ไหมละครับเนี่ย

“ข้อสอง ผมดูไม่มีตังค์ขนาดนั้นเลยเหรอ อีกอย่างวันก่อนผมต่างหากที่เป็นคนเลี้ยงกาแฟลุง”ผมส่ายหน้าหน่ายๆ กับแต่ละความเห็นของเค้า นี่ก็คงอย่างที่เค้าบอกทีแรกนั่นแหละว่าช่วยอะไรผมไม่ได้หรอก นอกจากอาจจะทำให้สบายใจขึ้นบ้าง หรือปวดหัวกว่าเดิมก็ไม่รู้สิเนี่ย

“พอๆ เลิกพูดไร้สาระแล้วไปติวกันต่อ”ผมพยายามตัดบทอีกรอบ

“ลุงหายเครียดยังอะ”เค้ายังคงรั้งข้อมือผมไว้ ไม่ให้ผมลุก

“มั้ง”ผมฉีกยิ้มกว้าง ให้เค้ารู้ว่าผมไม่เป็นไรแล้ว แม้ในใจจะยังรู้สึกเซ็งๆ อยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากนักหรอกครับ

“เอางี้ไหม เราก็แกล้งเป็นเป็นกันไปเลย ที่บ้านลุงจะได้เปิดใจ มีลูกเขยหล่ออย่างผมเนี่ย รับรองพ่อตาแม่ยายชอบแน่ๆ”รอบนี้ผมต้องทำหน้าเอือมระอาขั้นสุดละ เพราะดูเค้าจะมองเป็นเรื่องสนุกเสียหมด

“ไม่ตลก”ผมสบตาเค้าบอกอย่างจริงจังว่าไม่เล่นแล้ว เค้าหุบยิ้มลง แล้วสบตาผมกลับมาด้วยแววตาจริงจัง เราสบตากันนิ่งจนผมเริ่มจะรู้สึกว่าใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว แล้วยิ่งคำพูดของเค้าที่พูดออกมาทำให้ผมยิ่งชะงักนิ่งไปอีก

“หรือเราจะเป็นแฟนกันจริงๆ ละครับ”เค้าค่อยๆ ขยับโน้มหน้าเข้ามาหาผมจนจมูกของเราแทบจะชนกัน

“นี่เคลิ้มจริงใช่ไหมลุง”เค้าฉีกยิ้มกว้างก่อนจะผละออกจากผมแล้วหัวเราะชอบใจ

“ไอ้เด็กบ้า กลับบ้านไปเลยไม่ต้องติวแล้ว”



TBC





ลุงก็ใสใส ให้เด็กแกล้งตลอด
 o13

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
หัวใจลุงแปงทำงานหนักตลอด

 :L2: :L1: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2017 11:04:01 โดย Billie »

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 16
รอ



“ไม่ วันนี้กินข้าวไปคนเดียวเลย”ผมบอกไปอย่างไม่ใยดี เพราะยังรู้สึกหมั่นไส้ไอ้เด็กบ้านี่อยู่ อยากชอบแกล้งผมดีนัก วันนี้ก็เชิญกินข้าวไปคนเดียวเลย

“อะไรกันลุง แหย่เล่นแค่นี้ทำเป็นงอนไปได้”ยังจะมีหน้ามาพูดอีกครับ ดูเอาเถอะทำผมใจหายใจคว่ำขนาดนั้น แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้โกรธไม่ได้งอนอะไรหรอกนะครับ แค่วันนี้ผมต้องอยู่เคลียร์งานต่อเท่านั้นเอง เลยกลับตามเวลาปกติไม่ได้ แล้วก็คงหาไรกินกับพวกพี่ๆ ที่ออฟฟิศนี่แหละครับ

“แค่นี้แหละ ขอให้สนุกกับความเหงานั่งเฝ้าบ้านคนเดียวนะ”แม้จะคิดว่าเค้าเองก็คงไม่ได้เหงาอะไรขนาดนั้นหรอกมั้งครับ ปกติถ้าไม่มากวนผมที่บ้านก็เห็นเล่นเกมส์ได้แบบลืมวันเวลาโน่น แล้วกีต้าร์ที่เห็นซื้อนั่น ทั้งที่บอกจะเล่นให้ผมฟัง แต่นี่ยังไม่เคยได้ยินสักครั้งเลยครับ

“เดี๋ยวสิลุง ผมรอนะ รีบกลับด้วย”ยังไม่ทันที่ผมจะกดวางสาย เค้าก็รั้งผมไว้ ทำไมวันนี้มาแปลกจังแฮะ ทุกทีถึงแม้จะแกล้งพูดทับถมกันบ้าง แต่สุดท้ายพอบอกว่าไม่ว่างจริงๆ ก็จบนี่นา แล้ววันนี้เป็นอะไรของเค้า แถมนี่มาซะเสียงอ้อนเชียว

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรอ วันนี้เลิกดึก”ผมเลิกพูดเล่น แล้วบอกไปตามตรง เพราะวันนี้ผมน่าจะเสร็จงานดึกจริงๆ วันนี้ผม พี่ฟ่าง พี่ต้าร์ เจ้โอ๋ โดนอิทธิฤทธิ์ของลูกค้าเรื่องเยอะอีกแล้ว จากที่นัดส่งงานกันสัปดาห์หน้า ก็ดันเปลี่ยนใจขอร้องแกมบังคับ อีกแล้วว่าจะขอดูงานพรุ่งนี้เช้า เจ้านายพวกผมก็บ้าจี้รับปาก อีกแล้วเช่นกัน ก็ต้องลำบากมนุษย์ลูกน้องอย่างพวกผมนี่แหละครับ

“ก็บอกว่าจะรอไง รีบๆ กลับแล้วกันลุง”มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ หรือว่าแฟนเก่าเค้าติดต่อมาอีกแล้ว นี่เฮิร์ทอย่างวันนั้นอีกหรือเปล่านะ แต่น้ำเสียงก็ไม่ได้ดูไม่ได้เศร้าอะไรแบบนั้นนี่นา แต่ผมก็ยังพอจับเสียงได้ว่ามันไม่ปกติสักเท่าไหร่

“งั้นถ้าเสร็จงานแล้วจะรีบกลับละกันนะ”แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจแต่ผมก็ชักอยากจะรีบกลับไปดูแล้วสิว่ามันมีอะไร หรือเค้าเป็นอะไรของเค้ากันแน่

“สัญญานะลุง ว่าจะรีบกลับ”แนะมีมาขอให้สัญญิงสัญญาอีก นี่ผมนึกย้อนไปถึงวันที่เค้าเมาแล้วให้สัญญาว่าจะยังทานข้าวด้วยกันเหมือนเดิมนั่น ทำให้ผมเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ

“อือ เสร็จงานปุ๊บจะรีบกลับเลยนะครับน้องภู่”ผมแกล้งทำเสียงเหมือนพูดกับเด็กตัวเล็กที่รอผู้ปกครองกลับบ้าน ไอ้เด็กบ้านี่บทจะกวนก็กวนจนน่าโมโห แต่พอจะอ้อนก็ทำตัวเด็กมาเชียว แต่อย่างว่าแหละครับ ความจริงเค้าก็อายุน้อยกว่าผมตั้งเกือบ 10 ปี แม้บางทีจะชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ยังไงเสียเค้าก็ยังเป็นเด็กมัธยมอยู่ดี

“ลุงสัญญาแล้วนะ”นี่น้องภู่วัย 3 ขวบครึ่งหรือไงเนี่ยทำไมวันนี้ทำเสียงอ้อนจังเลย ผมรับปากอย่างขำๆ ก่อนจะวางสายจากเค้า และนี่ผมคงเผลออมยิ้มมากเกินไป พี่ๆ ที่กำลังรอผมช่วยงานเลยหันมาจ้องผมเป็นตาเดียว ไอ้ผมก็ลืมไปว่านี่ผมคุยโทรศัพท์อยู่ในออฟฟิศ ที่ที่ซึ่งทั้งเจ้โอ๋ พี่ฟ่าง พี่ต้าร์ ยังนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานกันอยู่

“นี่คุยกับแฟนหรือคุยกับหลานคะน้องแปง มุ้งมิ้งเสียจนเจ้อยากจะเห็นหน้าคนที่คุยกับน้องแปงเลย”เจ้โอ๋เป็นคนแรกที่เปิดบทสนทนาหลังจากที่ผมลดโทรศัพท์ลงจากข้างหู

“เจ้ครับ สั้นๆ นะ อย่าเผือกเรื่องชาวบ้าน”ไม่ใช่ผมนะครับที่เป็นคนพูดคู่ปรับตลอดกาลของเจ้โอ๋ต้องยกให้พี่ต้าร์เค้าแหละครับ แล้วพอสะกิดต่อมกันนิดนึง ทั้งคู่ก็ขุดคำพูดอันไพเราะ ภาษาสัตว์ ภาษาดอกไม้ มาคุยกันอย่างออกรสออกชาติ

“หยุด!!!”และคนห้ามทัพก็คือพี่ฟ่างเจ้าเก่าคนเดิม

“อย่าเพิ่งเถียงกัน ขอให้งานเสร็จก่อนได้ เสร็จแล้วอยากจะตีกันก็เชิญ”คำพูดพี่ฟ่างนี่เหมือนจะมีอิทธิพลกับทุกคนครับ เพราะพวกเราอีกทั้งสามคน ต่างหมุนตัวหันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ของตัวเอง จากนั้นพวกเราทั้งสี่ก็แทบจะอยู่ในโลกของใครของมัน ยกเว้นมีจุดไหนที่ต้องปรึกษาหารือกัน ค่อยละสายตาจากจอมาถาม-ตอบกันบ้าง

“เสร็จแล้ว มีส่วนของใครเหลือเยอะ อยากให้ช่วยตรงไหนไหม”พี่ฟ่างเป็นคนแรกที่ทำส่วนรับผิดชอบของตัวเองเสร็จคนแรก ผมเหลือบมองนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลา 4 ทุ่ม งั้นผมคงไม่ต้องให้แกช่วย เพราะของผมน่าจะใช้เวลาอีกสัก 30 นาทีก็เสร็จ เจ้โอ๋เองก็เหมือนนิ่งไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใดๆ พี่ฟ่างเลยลุกเดินไปหาพี่ต้าร์ที่เป็นคนรับผิดชอบส่วนงานหลัก แล้วทุกคนก็ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

“โอเค ส่งแล้วเรียบร้อยไปหาอะไรชื่นใจๆ ฉลองกันดีกว่า”พี่ต้าร์ผู้เป็นคนอัพโหลดงานส่งเสร็จเรียบร้อย บอกกับทุกคนผมก้มดูเวลาที่หน้าจอมือถือนี่ 5 ทุ่มหน่อยๆ แล้วไม่รู้ไอ้เด็กบ้าที่บ้านนั่นจะยังรอผมอยู่ไหม แต่ดึกขนาดนี้แล้ว แถมก็ไม่เห็นจะโทรมาหรือส่งข้อความอะไรมาอีก คงหลับไปแล้วละมั้ง แต่ในใจผมกลับเหมือนหวังลึกๆ ว่าเค้าน่าจะยังรอผมอยู่

“ผมขอตัวนะครับ พอดีเหนื่อยๆ อยากพักมากกว่า”ทั้งสามคนหันมามองผมเป็นตาเดียวแทบจะทันที ที่ผมบอกออกไปแบบนั้น สีหน้าทุกคนเหมือนแบบอะไรวะไอ้เด็กน้อยนี่ต้องรีบกลับบ้านเดี๋ยวผู้ปกครองว่า อะไรแบบนี้ อย่างว่าแหละครับในที่ทำงานนี่ผมอายุน้อยสุด ทุกคนเลยมองผมเหมือนเด็กเป็นน้องเล็กของบ้าน

“น้องแปงก็ไปกินข้าวด้วยกันก่อน ไม่อยากดื่มก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้ขี้เหล้า 1 ตัว 1 คนนี่ดื่มกันไป”เจ้โอ๋ยังพยายามอยากให้ผมไปด้วย ผมก็ได้แค่ยิ้มแห้งๆ อย่างลำบากใจ คือใจหนึ่งก็เกรงใจพี่เค้านะครับ แต่อีกใจก็เหมือนกังวลกับไอ้เด็กบ้าที่ไม่ยอมออกไปจากหัวผมนี่แหละ

“เดี๋ยวๆ เจ้เรื่องแปงเอาไว้ก่อน  นี่เจ้ว่าไอ้ฟ่างเป็นตัวเหรอ”พี่ต้าร์ครับผมว่าถ้าพี่อยู่เฉยๆ มันน่าจะดีกว่าให้เค้าขยี้ต่อนะครับเนี่ย และก็จริงครับ ที่ไอ้คำสรรพนาม “ตัว” นี่เจ้โอ๋แกตั้งใจว่าพี่ต้าร์นั่นแหละ แล้วสงครามน้ำลายของทั้งสองก็เริ่มต้นขึ้นอีกแล้ว

“ถ้าแปงไม่สะดวกก็ไว้คราวหน้าค่อยไปด้วยกันเนอะ ยังไงก็ขับรถกลับบ้านดีๆ ละ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”เพราะแบบนี้หรือเปล่าที่พี่ฟ่างกับพี่ต้าร์ถึงเป็นเพื่อนสนิทกันได้ ทั้งที่ผมว่าสองคนนี้นิสัยต่างกันมากเลย แต่มันกลับเหมือนว่าความต่างนั้นมาปรับสมดุลให้พอเหมาะพอดี ผมบอกลาทั้งสาม ขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยังไงบอกไม่ถูก

ทำไมผมรู้สึกลุ้นกับสิ่งที่จะพบเมื่อถึงบ้าน เค้าจะยังรอผมอยู่ไหม หรือเข้านอนไปแล้ว เค้าเป็นอะไรหรือเปล่าถึงอยากให้ผมรีบกลับ หรือเค้าจะโกรธผมไหมที่กลับดึกขนาดนี้ นี่ก็ 5 ทุ่มกว่าแล้ว กว่าจะถึงบ้านก็คงเกือบๆ เที่ยงคืนพอดี ในหัวผมคิดอะไรต่างๆ นานาวนเวียนเต็มไปหมด จนผมเริ่มคิดว่านี่ผมบ้าไปแล้วหรือเปล่า แค่เด็กนี่บอกจะรอ ทำไมต้องตื่นเต้นอะไรด้วยเนี่ย

“ไอ้เด็กบ้า ไหนบอกจะรอ”ผมหุบยิ้มลงอย่างห่อเหี่ยวเมื่อกลับมาถึงและจอดรถที่หน้าบ้าน ไฟจากบ้านทั้งสองหลังมืดสนิท บ่งบอกว่าไม่มีใครทำกิจกรรมใดๆ อยู่แล้ว ถ้าไม่มีคนอยู่ก็คงหลับไปแล้ว

“แล้วจะมาให้เราสัญญาทำไม”ผมบ่นอุบอิบขณะที่เปิดรั้วบ้าน แล้วออกไปบ้านก็ไม่ล็อคให้ จากตอนแรกที่อารมณ์ดี ทำเอาผมกลายเป็นหงุดหงิดไปเสียได้ ทั้งที่ก็รู้นะครับว่าผมเองก็กลับช้า แต่เค้าเองไม่ใช่เหรอที่ว่าจะรอ ถึงขั้นให้ผมสัญญา

“ยังอยู่เหรอ”ผมพึมพำเมื่อเห็นรองเท้าของอีกคนที่วางอยู่ และประตูบ้านที่ไม่ได้ล็อค พอเห็นว่ารองเท้ายังอยู่ผมก็อมยิ้มอีกครั้ง นี่ผมเป็นไบโพลาร์หรือเปล่า เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวหงุดหงิด นี่เค้ารอผมจนหลับไปหรืออะไรเนี่ย ผมเริ่มคิดอีกครั้ง แต่พอเข้าบ้านมาเปิดไฟ ภาพที่เห็นทำเอาผม มีหลายๆ ความรู้สึกที่แปลกไป

อาหารหลายอย่างบนโต๊ะถูกจัดวางอย่างดี ซึ่งดูแล้วคนทำคงตั้งใจมากๆ มันไม่เหมือนมื้อทั่วๆ ไปที่เราเคยกินกันประจำ มันบ่งบอกว่าวันนี้มันพิเศษ แต่ตอนนี้อาหารทั้งหมดคงเย็นชืดหมดแล้ว กระป๋องเบียร์เปล่าๆ น่าจะเกือบ 10 กระป๋อง วางอยู่ข้างๆ ตัวของคนที่ฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ ถัดมาอีกนิดนึงมีเค้กก้อนพอประมาณบรรจุอยู่ในกล่อง

“แมลงภู่18+”คือข้อความที่อยู่บนหน้าเค้ก วันนี้วันเกิดเค้างั้นเหรอ แล้วทำไมไม่บอกผมตรงๆ

“ภู่ ภู่”ผมเขย่าตัวเค้าเบาๆ ไอ้เด็กน้อยเอ้ย อยากจะให้อวยพรวันเกิดก็แทนที่จะบอกดีๆ กะทำเซอร์ไพรส์หรือไง แล้วนี้วันเกิดตัวเองแท้ๆ แทนที่คนอื่นจะได้ทำเซอร์ไพรส์ให้ ดันมาทำเป็นมีลับลมคมใน

“อืม”เค้าค่อยๆ ขยับตัวช้าๆ นี่คงดื่มเข้าไปเยอะแล้วสิเนี่ย แล้วนี่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุดเสียหน่อย เค้าเองก็ยังต้องไปเรียน ผมเองก็ยังต้องไปทำงาน นี่ผิดที่เค้าไม่ยอมบอกหรือผิดที่ผมกลับช้ากันเนี่ย

“ลุงงงง”เค้าเรียกเสียงดีใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นผม แล้วผมก็แทบตั้งตัวไม่ทันเมื่อเค้าลุกพรวดขึ้นมากอดผม

“ทำไมไม่บอกว่าวันนี้วันเกิด”ผมตบหลังเค้าเบาๆ แทนการกอดตอบ แต่อีกคนนี่กอดผมแน่นเสียจนเหมือนกลัวว่าผมจะหายไปอย่างนั้นแหละ

“ลุงมาช้า”เค้าทำเสียงอ้อนๆ เหมือนเด็ก แต่ทำไมเสียงเค้าดูสั่นๆ แปลกๆ

“แล้วไม่ไปฉลองวันเกิดกับเพื่อนๆ เหรอ”ความจริงวัยนี้มันก็ต้องออกไปสนุก สังสรรค์กับเพื่อนๆ นะครับเนี่ย แม้จะถามออกไปแบบนั้นแต่ผมเองก็แอบดีใจลึกๆ นะครับที่เค้าอยากฉลองกับผม ผมค่อยๆ ดันเค้าออกรู้สึกอยากเห็นหน้าของเค้าที่ตอนนี้กำลังเผยออกมาให้เห็นว่าเค้าก็ยังมีมุมเด็กๆ ตามอายุของเค้าอยู่ แต่แล้วผมก็ต้องตกใจ

“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”นี่ไม่นึกว่าเด็กกวนๆ บุคลิคภายนอกออกจะแข็งๆ แบบเค้าจะมีน้ำตาให้ผมเห็นแบนี้ เค้าทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม ก่อนจะรั้งเอวผมเข้าไปหา เค้าเอาหน้าซุกกับพุงของผม นี่อย่าบอกนะว่าไม่อยากให้ผมเห็นเค้าร้องไห้ เพราะมันไม่น่าจะทันแล้ว

“ก็ลุงมาช้า ผมกลัวลุงไม่มา”เค้าบอกเสียงอู้อี้เพราะหน้าซุกกับพุงของผมอยู่

“เดี๋ยวนี่มันบ้านพี่ไหม ทำไมพี่จะไม่กลับมานี่”ผมงงกับตรรกะของคนตรงพุงนี่จริงๆ นี่เมาแล้วใช่ไหมถึงอ้อนแบบนี้ ครั้งก่อนที่เมาก็ออกมาแนวๆ นี้เหมือนกันเลย

“ไม่รู้ แต่ลุงมาช้าลุงผิดสัญญา”ไอ้เด็กบ้าเอ้ย บทจะงอแงเอาแต่ใจนี่ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะครับเนี่ย

“หยุดร้องได้แล้ว มาเป่าเค้กกันดีกว่า”เค้าค่อยๆ คลายมือที่รั้งเอวผมไว้พร้อมกับเงยหน้ามองผม

“ใครร้องไห้ ไม่มีสักหน่อย”ผมเหยียดยิ้มอย่างหมั่นไส้ ทำเป็นพูดดี น้ำตายังไม่แห้งเลยไหม ผมยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้เค้ายิ้มๆ โดยไม่ได้พูดอะไร เค้ารีบถอยหนี หันไปคว้าเค้กมาแกะกล่องออกปักเทียนตัวเลข 1 กับ 8 ลงไป

“ลุงไปปิดไฟดิ ร้องเพลงเบิร์ธเดย์ผมด้วย”ดูเจ้าของวันเกิดออกคำสั่งผมครับ แต่ก็ยกให้เค้าวันนึงละกันครับ วันนี้มันวันของเค้านิครับ ห้องทั้งห้องมืดลง ก่อนเปลวไฟเล็กๆ จะสว่างขึ้น ผมเริ่มร้องเพลงตามที่เค้าขออย่างไม่ค่อยคล่องนัก ก็เขินๆ ยังไงบอกไม่ถูกแหละครับที่ต้องร้องอยู่คนเดียว

“อธิษฐานสิ”พอเพลงที่ผมร้องจบลง เค้าก็ทำท่าตั้งใจอธิษฐานก่อนจะเป่าเทียนให้ดับลง ผมกำลังจะเดินกลับไปเปิดไฟ แต่ถูกเค้าคว้าขอมือไว้

“อวยพรผมก่อนดิลุง”นั่นคือเสียงที่ผมได้ยินในความมืด ทำให้ผมต้องหยุดคิดนิดนึง

“ก็ขอให้ภู่สุขภาพร่างกายแข็งแรง คิดหวังอะไรให้สมปรารถนา ทำอะไรก็สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้”แม้จะดูเป็นคำอวยพรธรรมดาไปนิดแต่ผมก็หวังให้ชีวิตเค้าเป็นแบบนั้นจริงๆ นะครับเพราะถ้าเป็นตามนั้นชีวิตเค้าก็คงมีความสุขแล้ว

“กับข้าวน่ากินทุกอย่างเลย ไหนขอชิมหน่อยสิ”ผมรีบไปเปิดไฟก่อนจะกลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะ เค้ามองมาที่ผมไม่รู้ว่าตาบวมเพราะร้องไห้ หรือตาเยิ้มเพราะเมากันแน่ แต่สายตานั้นก็ทำให้ผมหัวใจเต้นขึ้นมาอีกแล้ว

“มันเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวผมไปอุ่นให้ใหม่”เค้าทำท่าจะลุกเอาอาหารไปอุ่นตามที่บอก แต่ผมห้ามไว้ก่อน แล้วผมก็ตักกินโชว์ว่ามันยังอร่อย ไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว วันนี้วันเกิดเค้าแค่ปล่อยให้เค้ารอแบบนี้ก็มากพอแล้ว แค่กับข้าวเย็นๆ ไม่ทำให้รสชาติมันแย่ลงมากนักหรอก สุดท้ายเราก็จัดการอาหารบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยง

“ไม่บอกก่อน พี่เลยไม่ได้เตรียมของขวัญให้เลย”ผมบอกพร้อมกับเดินมานั่งข้างเค้าที่ตอนนี้ย้ายมานั่งที่โซฟาหน้าทีวีแล้ว  หลังจากที่เก็บกวาดจานข้าวแล้ว พอกลับมาก็เห็นจานเค้กที่เค้าตัดแบ่ง วางไว้รอให้ผมชิม

“ไม่เป็นไรหรอก แค่ได้ฉลองกับลุงผมก็ดีใจแล้ว”นี่มันเรียกฉลองแล้วเหรอ ถ้าไม่นับว่ามีเค้กมันก็แทบไม่ต่างจากวันอื่นๆ ของเราเลย แถมวันเกิดเค้าแต่เค้ายังต้องเป็นคนทำเองทุกอย่างอีก

แม้จะไม่ค่อยชอบทานเค้กสักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเค้าตักให้แล้ว ผมก็เลยต้องชิมสักหน่อย แต่เห็นหน้าเค้กแล้วก็ตลกดีเหมือนกันนะครับ อายุครบ 18 แถมมีการใส่ 18+ อีกนี่ไม่บ่งบอกเลย ว่าเจ้าตัวเป็นคนทะลึ่ง

“กินยังไงเนี่ยลุง เค้กติดปากเลอะหมดแล้ว”ผมรีบแลบลิ้นตรงส่วนที่คิดว่าเลอะ แต่อีกคนกลับบอกว่ามันยังไม่ออก จนเค้าต้องขยับเข้ามาเอานิ้วหัวแม่มือเช็ดที่ริมฝีปากของผม ผมมองตามนิ้วของเค้าที่ถูกนำเข้าปากของตัวเค้าเอง เอาอีกแล้ว ทำไมช่วงนี้ผมใจเต้นกับเค้าบ่อยจัง และเหมือนเค้าจะรู้ตัวว่าถูกผมมองอยู่ เค้าช้อนสายตามองกลับมาที่ผม มุมปากนั่นถูกยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเค้าค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ผมจนสายตาเราห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ สัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย และเหมือนเค้ายังไม่ได้หยุดการเคลื่อนใบหน้ามาทางผม หัวใจผมเองก็เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ

“วันนี้ลุงมาช้า ลุงต้องถูกลงโทษ”




TBC

ลุงจะโดนทำโทษยังไงละเนี่ย

 :hao7:


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 

:katai1:

ใจร้ายยยยยยยย ทำมายตัดจบตอนนี้ ฮื่ออออออ

:L2: :L1: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2017 12:56:11 โดย Billie »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด