[END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว  (อ่าน 56090 ครั้ง)

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 39
ลองห่าง






“ลุงอยู่เป็นกำลังใจให้ผมไม่ได้เหรอครับ”เสียงอ้อนๆ พร้อมเจ้าของเสียงเข้ามากอดผมไว้หลวมๆ

“พี่บอกแล้วไงว่าช่วงนี้พี่ต้องเรียนงานกับเจ้ปอ เพราะใกล้จะต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านแล้ว อีกอย่างภู่เองก็กำลังจะสอบ เอาไว้ถ้าสอบเสร็จเราค่อยมาฉลองกันเนอะ”ทั้งหมดมันคือข้ออ้างทั้งนั้นแหละครับ ผมรู้ว่าถึงเป็นช่วงสอบแล้วเรายังอยู่ด้วยกันเค้าก็น่าจะยังทำคะแนนได้ดี เพราะตอนสอบมิดเทอมเค้าก็ทำให้เห็นแล้วว่าเค้าทำได้

ส่วนไอ้เรื่องให้เจ้ปอสอนงานนั้นบอกเลยว่าที่บ้านผมก็ไม่ได้รีบขนาดนั้น เพราะหลังหมดสัญญากับงานที่ผมทำอยู่ตอนนี้ พ่อกับแม่ก็ยังพอมีเวลาให้ผมได้เรียนรู้อยู่แหละครับแม้เจ้ปอจะยุ่งเอามากๆ แต่ผมว่าเจ้ก็ยังไหวแหละ ยังไงพอผมเข้าไปช่วยเต็มตัวผมค่อยทุ่มให้เต็มที่ชดเชยที่ปล่อยให้พี่สาวทำมาเสียนาน

“แม่ก็เห็นด้วยนะ ที่จะรอให้น้องภู่สอบเสร็จก่อน จะได้ไม่กระทบกับการสอบมากนัก แต่พี่แปงมั่นใจใช่ไหมว่าจะทำให้น้องภู่ยอมไปได้จริงๆ”นี่ต่างหากครับ เหตุผลจริงๆ ที่ผมอยากห่างๆ เค้าในช่วงนี้ เพราะผมว่าถ้ายังอยู่ด้วยกันผมนี่แหละที่จะเก็บอาการไม่อยู่แล้ว ถ้าเกิดคุยเรื่องนี้กันไประหว่างนี้ดันกลายเป็นไม่เข้าใจกัน เกรงว่าจะส่งผลกระทบกับการสอบในช่วงนี้ของเค้าผมเลยเลือกที่จะห่างจากเค้าสักพักน่าจะดีกว่า

“แต่ลุงต้องให้ผมโทรหาได้ตลอดนะครับ”เค้ายังทำเสียงอ้อนๆ และไม่ยอมปล่อยแขนที่กอดผมไว้หลวมๆ นั่น ตอนนี้ผมชักเริ่มหนักใจในสิ่งที่รับปากกับแม่ของเค้าไว้เสียแล้วละครับ แต่ก็ยังหวังนะครับว่าถ้าคุยด้วยเหตุผลแล้ว เค้าน่าจะยอมรับฟัง

“พี่ห้ามภู่ได้ไหมละ”ผมตอบกลับอย่างหมั่นไส้

“ทำไมจะไม่ได้ ลุงบอกอะไรผมเชื่อฟังลุงจะตายไป”ขอให้จริงอย่างที่พูดเถอะครับ เพราะหวังว่าพอผมขอให้เค้าไปเรียนตามที่เค้าตั้งใจแต่แรก มันจะได้ไม่มีปัญหาอะไรมาก

“ไปอ่านหนังสือได้แล้ว เดี๋ยวพี่เก็บของไม่เสร็จสักทีเนี่ย”ผมขืนตัวออกจากอ้อมกอดหันมาเผชิญหน้าเค้า ที่ยังคงยืนนิ่งทำหน้ายู่ไม่ยอมขยับ

“ขอกำลังใจก่อน”ไอ้คำว่าขอของเค้าเหมือนไม่คิดที่จะรอให้ผมอนุญาตเพราะเล่นโน้มหน้ามาหอมแก้มผมทันทีที่พูดจบ ผมไม่ได้ว่าอะไรกับการกระทำของเค้า แต่กลับมองเค้ายิ้มๆ ในใจคิดถึงวันข้างหน้าถ้าถึงวันที่เค้าต้องจากไปเรียนจริงๆ ผมกับเค้าจะเป็นยังไง ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน เค้าทำหลายอย่างให้ผมจนผมเคยตัว

“มองผมแบบนี้อยากจู๋จี๋กับผมก่อนกลับแน่เลย”ผมไม่ได้ขัดขืนที่เค้าดันผมให้ล้มลงบนเตียง

“ภู่”ผมเรียกชื่อเค้าเสียงแผ่ว

“ครับ”เค้าที่ขยับขึ้นมาคร่อมร่างของผมโน้มหน้าลงมากระซิบตอบรับเสียงเรียกจากผม

“พี่รักภู่นะ”ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยกล้าพูดอะไรแบบนี้นะครับ แต่วันนี้กลับรู้สึกอยากบอกคำนี้กับเค้า อยากให้เค้ารับรู้ว่าหากเรื่องที่ผมตัดสินใจลงไป มันไม่ตรงกับความคิดเค้าก็ยังอยากให้เค้ารู้ว่าที่ผมทำไปไม่ใช่เพราะผมไม่รักเค้า แค่นึกว่าวันนึงเราต้องห่างกันมันก็ทำผมเจ็บจี๊ดข้างในแล้ว

“มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมวันนี้มาแปลก”เค้าประทับริมฝีปากลงมาที่หน้าผากของผมก่อนจะค่อยๆ พลิกตัวลงไปข้างๆ ดึงให้ผมหันข้าง นอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน นิ้วเรียวของเค้าเกลี่ยไปบนใบหน้าของผมอย่างพอใจ

“ก็เราจะไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน อยากจะบอกรักแฟนบ้างไม่ได้หรือไง หรือถ้าไม่ชอบวันหลังไม่พูดอีกแล้วก็ได้”ผมแกล้งทำเป็นงอน และทำท่าจะลุกขึ้นหันหน้าหนี แต่ก็ไม่ไวเท่าเค้าที่คว้าตัวผมไว้แล้วดึงเข้าไปกอดก่อนที่ผมจะทันได้ลุกจริงๆ

“ชอบสิครับ แต่ลุงทำแบบนี้ผมยิ่งไม่อยากให้ลุงกลับ ไม่เจอลุงตั้งหลายวันผมต้องเหงามากเลยแน่ๆ”เค้าขยับหน้าเข้ามาให้ใกล้กับหน้าผมแล้วใช้จมูกตัวเองเขี่ยไปมาที่จมูกของผม นี่เกิดเค้าไม่ยอมไปเรียนต่อเมืองนอกจริงๆ ผมจะไม่ใจอ่อนเหรอครับเนี่ย

“ถ้าพี่กลับไปทำงานกับที่บ้านยังไงเราก็คงต้องห่างกันแบบนี้แหละ”ผมบอกออกไปยิ้มๆ แต่ในใจนี่มันหวิวอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ

“งั้นผมจะรีบเรียนจบให้เร็วที่สุดนะครับ เราจะได้ออกมาใช้ชีวิตด้วยกัน”พูดจบเค้าเองก็ชะงักไปนิดนึง คงเพิ่งจะนึกได้ว่าเค้าเองยังไม่เล่าอะไรให้ผมฟังเลย เรื่องการจะเรียนต่อของเค้า ผมแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจกับท่าทีนั้น แต่ดูเหมือนอีกคนกำลังชั่งใจบางอย่าง

“คือ...เรื่องเรียนต่อของผม”

“ไว้สอบเสร็จค่อยคุยเรื่องนี้ก็ได้”ผมเลือกที่จะตัดบทสนทนาไว้แค่ตรงนั้น และลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง

“ไปอ่านหนังสือเถอะ อีกเดี๋ยวพี่ก็จะไปแล้ว”ตอนนี้ผมต้องรีบออกจากที่นี่ก่อนที่จะหลุดพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ หลังจากผมเลือกหยิบของจำเป็นครบ ก็ออกมาเลย ใช้เวลาไม่นานผมก็กลับมาถึงบ้านพ่อกับแม่ ทุกคนแปลกใจนิดหน่อยที่ผมกลับมาบ้าน

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”เป็นเจ้ปอที่ตามผมออกมาที่ศาลาในสวนหน้าบ้านนี่ เมื่อก่อนผมชอบมานั่งคิดอะไรตรงนี้เป็นประจำจนทุกคนในบ้านทราบดีว่าถ้าหาผมไม่เจอในบ้าน ให้มาตามตัวได้ตรงนี้

“ตอนนี้ยังหรอกเจ้”ผมบอกออกไปอย่างไม่จริงจังนัก เพราะตอนนี้มันก็ยังไม่ได้มีอะไรจริงๆ

“แสดงว่าในอนาคตจะมี”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงจากพี่สาวของผม พร้อมกับการนั่งลงข้างๆ ผมและยื่นมือมายีหัวผมเบาๆ ด้วยความเอ็นดู เห็นแล้วผมก็นึกอิจฉาพี่สาวตัวเองที่ดูเก่งไปเสียทุกอย่าง ทั้งเรื่องงาน ไหนจะความรักที่ก็ดูไปได้ดีกับแฟนอย่างพี่ต๊าฟ ทำไมชีวิตผมมันไม่ราบรื่นอย่างของเจ้ปอบ้างนะ

“ไม่รู้สิครับ”ผมตอบอย่างที่คิดก่อนจะค่อยๆ เอียงตัวไปซบไหล่พี่สาว ทั้งที่ตัวผมเองก็โตกว่าพี่สาวคนนี้ แค่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าคนข้างๆ นี่เข้มแข็งกว่าผมเสียอีก

“เป็นอะไรละหือ ไหนเล่าให้พี่ฟังซิ”เจ้ปอกางแขนออกมาโอบผม ตบไหล่เบาๆ อย่างให้กำลังใจทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมมีอะไรในใจ

“เจ้เหนื่อยไหมที่ต้องทำงานคนเดียว”ผมยังคงบ่ายเบี่ยงที่จะเล่าเรื่องของตัวเองให้พี่สาวฟัง เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มจากตรงไหน ที่จริงตอนเด็กๆ ทั้งผม ข้าวหอม ก็จะมีเจ้ปอเป็นไอดอลเสมอ เจ้ปอเหมือนฮีโร่ของพวกเรา แต่พอโตขึ้น จนพอเจ้ทำงานเต็มตัว พวกเราก็ค่อนข้างจะได้คุยหรือปรึกษาอะไรกันน้อยลง

“มันก็เหนื่อยนะ แต่ก็สนุกดี ยิ่งเวลาเห็นกราฟ ผลประกอบการของบริษัทแต่ละที เจ้ก็แฮปปี้ขึ้นมาจนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง”น้ำเสียงเล่าอย่างมีความสุขจนผมเองก็รู้สึกดีไปด้วย แต่มันก็จริงแหละมั้ง เพราะขนาดผมเองทำงานกับพวกพี่ฟ่าง พี่ต้าร์ บางทีมันก็เหนื่อยจนแทบขาดใจ แต่พองานออกมาลูกค้าพอใจ มันก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกันแหละครับ

“แล้วทำงานหนักขนาดนี้เจ้มีเวลาให้เฮียต๊าฟเค้าเหรอ”อดไม่ได้ที่จะถามไถ่เรื่องความรักของพี่สาวครับ เพราะเท่าที่รู้เจ้ของผมเนี่ยเรียกว่าเรื่องงานมาก่อนทุกสิ่งอย่างเหลือเกิน แล้วแบบนี้คนรักอย่างพี่ต๊าฟ เค้าจะไม่น้อยใจแย่เหรอที่มัวแต่ห่วงงานแบบนี้

“มันไม่ใช่แค่เจ้หรอกที่ทำงานหนัก เฮียต๊าฟเองก็ต้องทำงานเหมือนกัน แล้วเราสองคนก็คบกันแบบผู้ใหญ่ ที่ต่างคนต่างรู้ว่าอีกฝ่ายมีอะไรต้องรับผิดชอบ ถึงเวลาจะเจอกันมันน้อยก็ต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน แฟนกันมันอาจไม่จำเป็นต้องเจอกันทุกวันหรอก ไว้รอแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ตอนนั้นค่อยเจอกันทุกวันให้เบื่อกันไปข้างนึงเลย”เจอกันทุกวันแล้วมันจะเบื่อเหรอ ผมว่าไม่นะ ขนาดผมกับภู่ที่อยู่ด้วยกันขนาดนั้น พอไม่เจอกันต่างหากที่รู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไป

นึกมาถึงตรงนี้ ว่าวันนึงเราต้องห่างกันนานๆ อยู่ๆ น้ำตาผมมันก็เอ่อขึ้นมาเสียได้ ผมต้องรีบเบี่ยงหน้าหลบ ไม่อยากให้ผู้เป็นพี่สาวเห็น แต่มีเหรอครับที่จะหลบได้จริง แค่ผมยกมือขึ้นมาเช็ดแค่นั้นก็ปิดไม่อยู่แล้ว

“เอ้าร้องทำไมเนี่ย ตกลงมีอะไร เล่ามาเผื่อเจ้จะได้ช่วย”ผมยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อผู้เป็นพี่สาวพยายามปลอบ และยื่นมือมาเช็ดน้ำตาผมด้วยอีกคน

“เจ้ว่าความรักระยะไกล มันยังจะมั่นคงอยู่ไหม”ผมตัดสินใจเอ่ยออกไปในที่สุด

“นี่น้องภู่ไม่ได้เลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เหรอ”นี่สินะคนที่ผ่านอะไรมามากกว่าคงไม่ต้องรอให้เล่ารายละเอียดอะไรเยอะ ก็คงพอเดาเรื่องราวออกได้ แต่จะว่าไปผมพูดมาขนาดนี้มันก็เดาไม่ยากนักหรอก ผมพยักหน้าตอบผู้เป็นพี่สาวว่าสิ่งที่คาดเดามานั้นถูกต้อง แต่นั่นก็คงไม่ถูกทั้งหมดเสียทีเดียว

“ก็ไม่เห็นต้องกังวลอะไรเลย ทุกวันนี้อะไรๆ มันสะดวกจะตาย คนไกลก็เหมือนคนใกล้ อีกอย่างถ้าคิดถึงกันวันหยุดก็ไปหากันได้นิ”ก็ถ้ามันแค่กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ผมก็คงจะไม่อะไรมากหรอกครับ แต่นี่มันคือการไปไกลคนละซีกโลก

“หรือว่าน้องภู่เลือกที่จะไปเรียนต่างประเทศ”หลังเห็นสีหน้าผมผู้เป็นพี่สาวก็คาดเดาได้อีกครั้ง

“ที่จริงไอ้ที่ผมกำลังเครียดอยู่ คือเค้าจะไม่ยอมไปต่างหากละครับ”คิ้วของเจ้ผมขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินในสิ่งที่ผมบอก มันก็น่าแปลกใจอยู่หรอกเพราะผมก็กำลังพูดในสิ่งที่ดูย้อนแย้งกันอยู่ไม่น้อย

“ตกลงนี่คืออยากให้เค้าไปหรือไม่อยากให้ไปกันแน่เจ้ชักจะงงๆ”

“บอกไม่ถูกเหมือนกันครับ ที่จริงตัวเค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมรู้ เรื่องที่เค้าเคยแพลนจะไปเรียนต่างประเทศ แล้วก็ยกเลิกไปเนี่ย”

“ก็ในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของเค้า แปงเองก็ต้องเคารพการตัดสินใจของน้องเค้าสิ”มันก็จริงอย่างที่เจ้ปอว่า แต่ในมุมผมก็ยังเห็นว่าการที่เค้าจะได้ไปตามที่ต้องการในทีแรกมันก็คงจะดีกว่า มันไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่ใกล้ๆ เค้านะครับ แต่มันเพราะผมก็หวังดีอยากให้เค้าเลือกสิ่งที่ดีที่สุด

“แล้วถ้าที่เค้าตัดสินใจแบบนั้นมันเป็นเพราะผมเป็นสาเหตุร่วมด้วย เจ้จะไม่ให้ผมคิดมากบ้างเลยเหรอ”อาจจะเป็นการสำคัญตัวเองไปหน่อย แต่เค้าก็พูดเองนี่นาว่าพอมีผมเข้าไปในชีวิตเค้า ทำให้เค้าเริ่มคิดที่จะตัดสินใจใหม่ในเรื่องการเรียนต่อ

“เดี๋ยวก่อนที่ว่าน้องภู่ยังไม่รู้ ว่าแปงรู้เรื่องแพลนการไปเรียนต่อเมืองนอก แล้วแปงไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน”

“จากคุณแม่ของภู่นะครับ”เจ้ปอทำท่าครุ่นคิดอยู่พักนึง พร้อมกับเคาะนิ้วกะที่นั่งไปด้วย ก่อนจะดีดนิ้วเหมือนเพิ่งคิดอะไรออก

“แต่จากที่เล่าคือแปงเองก็ยังไม่ได้คุยกับน้องภู่ตรงๆ ใช่ไหมว่าที่จริงเรื่องราวมันเป็นยังไง งั้นเจ้ว่าไปคุย ไปถามกับเจ้าตัวเค้าให้รู้เรื่องดีกว่าไหม ไม่ใช่มาคิดเองฝ่ายเดียวแบบนี้”

“ก็จะคุยแหละครับ แต่พอถามเรื่องนี้ครั้งก่อน ก็เหมือนจะทะเลาะกัน นี่เลยกะว่ารอให้เค้าสอบเสร็จก่อนค่อยคุย”นี่ผมก็ยังพอมีเวลาเตรียมตัวอีกหลายวันกว่าเค้าจะสอบเสร็จ นี่ผมเองก็คงทบทวนดูอีกหลายๆ ด้านว่าถ้าเค้ายืนยันการตัดสินใจของตัวเค้าเอง ผมจะทำยังไงให้เค้าเปลี่ยนใจ ในเมื่อรับปากคุณแม่ของเค้าไปแล้วว่าจะเปลี่ยนใจเค้าให้ได้






TBC
------------------------------------------------
และนี่คือการชะลอเนื้อเรื่อง 555

ตอนหน้า เค้าจะต้องเคลียร์กันแล้ว

จะม่า ไม่ม่า ออกมายังไง รอติดตามนะฮ่ะ

ปล.มาติดกันหลายๆ ตอนแบบนี้ มักจะหายยาววว 555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นี่ถ้าภู่ เป็นฝ่ายเปลี่ยนใจ ไม่ไปเรียนต่างประเทศเอง
ทางแม่ภู่ คงไม่มาโทษแปงนะ
     

ออฟไลน์ thanza1970

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เข้าข้างน้องภู่ครับ FC เลย

 o13 o13 o13

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วว ไปไม่ไปอ่าาา :z3:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 40
ตัดสินใจ





“ไหนแกกว่าวันนี้แฟนเด็กแกสอบเสร็จจะไปฉลองด้วยกันไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ทำไมถึงมาชวนชั้นกินข้าวแบบนี้”ข้าวหอมมองผมอย่างจับผิด ซึ่งมันก็ผิดปกติจริงๆ นั่นแหละครับ วันนี้ตามแผนเดิมคือผมจะไปหาภู่ที่บ้าน ทานข้าวด้วยกันและจะเปิดประเด็นคุยในเรื่องการเรียนต่อของเค้า แต่ทุกอย่างมันผิดแผนเพียงเพราะ...

“พี่จำฝ้ายได้ใช่ไหมคะ”หญิงสาวที่มาดักรอผมหลังเลิกงาน แน่นอนว่าผมจำเธอได้ เพราะเธอคือแฟนเก่าของภู่ ที่จูบกันให้ผมเห็นตอนไปเชียงใหม่ครั้งนั้น

“จำได้ครับ ว่าแต่น้องมีอะไรหรือเปล่า”ลางสังหรณ์บอกกับผมว่าเธอคงไม่ได้บังเอิญผ่านมาทักทายแน่นอน และถ้าให้เดามันก็คงเรื่องเกี่ยวกับภู่แน่นอน แล้วนี่ทำไมทุกคนจะต้องพุ่งเป้ามาที่ผมด้วย

“ทำไมพี่ไม่ยอมปล่อยให้ภู่เค้าได้ทำตามความฝันของตัวเอง คนเป็นแฟนกัน คนรักกันมันก็ต้องหวังดีต่อกันไม่ใช่เหรอคะ”น้ำเสียงเหยียดๆ ที่เปล่งออกมาเห็นได้ชัดเลยว่าเธอคงจะไม่ได้ชอบผมสักเท่าไหร่

“หมายความว่ายังไง”แม้จะพอคาดเดาได้ว่าสิ่งที่หญิงสาวพูดมันคือเรื่องการเรียนต่อของภู่ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดมาแบบไหน หรือใครเล่าอะไรให้เธอฟัง

“ก็เพราะพี่ไม่ใช่เหรอที่ทำให้ภู่เค้าต้องทิ้งความฝันของตัวเอง”ผมเริ่มชักสีหน้าใส่อีกคน เพราะสิ่งที่เค้าพูดเหมือนกำลังสื่อว่าผมเป็นคนที่ไม่ยอมให้ภู่ไปเรียนต่ออย่างนั้นแหละ ทั้งที่ความจริงผมเองก็ตั้งใจจะพูดให้ภู่เปลี่ยนใจ ยอมไปอยู่แล้ว

“น้องครับ พี่ไม่รู้ว่าน้องไปเอาข้อมูลพวกนี้มาจากไหน แต่ต่อให้ไอ้เรื่องที่น้องรับรู้มามันจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง พี่ว่าน้องก็ไม่มีสิทธิ์ ที่จะมาเสียมารยาทกับพี่แบบนี้ ที่มาทำแบบนี้นี่คือน้องมาทำในฐานะอะไร หรือว่าต้องการอะไรกันแน่”ด้วยความไม่ค่อยพอใจเลยทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น

“ฝ้ายก็แค่ หวังดีกับภู่ในฐานะเพื่อนคนนึงก็แค่นั้น”หญิงสาวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สีหน้าแววตาที่มองผมกลับไม่ได้ดูราบเรียบเหมือนคำพูด ผมรู้สึกว่าคนตรงหน้านี้กำลังท้าทายผมอยู่

“ถ้าแค่นั้นจริงๆ พี่ก็คงต้องขอบคุณแทนภู่เค้าด้วย ที่มีเพื่อนดีๆ หวังดีกับเค้าขนาดนี้ แต่น้องฝ้ายไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องของภู่ ทุกอย่างเค้าเป็นคนตัดสินใจเองตามความต้องการของเค้าอยู่แล้ว พี่ไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายสักนิด”ถึงครั้งนี้ผมกำลังคิดจะก้าวก่าย แต่เพื่อให้ผู้หญิงคนนี้รับรู้ว่าผมถือไพ่เหนือกว่า ผมขอเลือกที่จะบอกออกไปแบบนั้น

“งั้นฝ้ายจะรอดูแล้วกันนะคะ ยังไงวันนี้คงต้องขอตัวก่อน”นี่ตกลงคือจะมาแค่กวนประสาทผมแค่นี้งั้นเหรอ สมองผมเริ่มประมวลผล ว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงต้องการให้ภู่ไปเรียนต่างประเทศ ถ้าแค่ไอ้ความหวังดีอย่างที่เธอบอก คงไม่ลงทุนมาหาผมถึงที่นี่แน่นอน

“เดี๋ยวครับน้องฝ้าย”ผมรีบตามออกไปเรียกเธอไว้ได้ทัน

“คะ”เธอหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าดูไม่พอใจสักเท่าไหร่

“น้องฝ้ายเองก็จะไปเรียนต่อที่อเมริกาใช่ไหมครับ”

“ค่ะ”เธอตอบผมพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ฉายชัดว่าเหนือกว่าผมมากๆ และเพราะการคาดเดาของผมได้รับการยืนยัน นั่นเป็นสาเหตุที่ผมรู้สึกสับสนจนยังไม่พร้อมจะไปเจออีกคน

จากทีแรกที่มั่นใจอยากให้เค้าไปเรียนต่อตามที่เคยอยากไป แต่ตอนนี้พอได้รับรู้ว่าถ้าไป เค้าต้องไปพร้อมกับใคร ใจผมมันก็ไม่อยากให้เค้าไปเสียดื้อๆ แต่สิ่งที่ค้ำคอผมอยู่มันคือการรับปากกับแม่ของเค้าแล้วว่าจะหว่านล้อมให้เค้ายอมไปเรียนต่อต่างประเทศ

“จะเล่าเองหรือจะให้เพื่อนถามจากหนุ่มหล่อที่โทรเข้ามานี่คะ”ข้าวหอมหันหน้าจอโทรศัพท์ เรียกสติให้ผม ชื่อบนหน้าจอที่ปรากฏคือคนที่ผมกำลังหลบหน้า และโทรศัพท์ของผมตอนนี้ก็ปิดเครื่องไว้ตั้งแต่นัดแนะกับข้าวหอมเรียบร้อย

“บอกไปว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”ผมบอกก่อนจะเงียบให้ข้าวหอมรับโทรศัพท์

“ค่ะน้องภู่...เอะติดต่อไม่ได้เหรอคะ...พี่ก็ไม่รู้สิ นี่ก็ไม่ได้อยู่บ้านพอดีออกมาทำเล็บ ถ้าอยู่บ้านจะไปดูที่บ้านแปงให้เลยเนี่ย...สงสัยคงแบตหมดมั้ง...ไม่เป็นไรๆ งั้นพี่ทำเล็บต่อนะ”เรื่องแบบนี้นี่ไว้ใจข้าวหอมได้จริงๆครับ

“เล่ามาให้หมดค่ะคุณเพิ่อน”

ผมเริ่มเล่าทุกอย่างให้ข้าวหอมฟังตั้งแต่ประเด็นที่ภู่ไม่ยอมคุยเรื่องเรียนต่อกับผม จนแม่ของภู่กับพี่ปุ๊กมาหาผม และล่าสุดวันนี้ที่น้องฝ้ายแฟนเก่าของภู่ที่เหมือนต้องการมาปั่นหัวผม

“แกอย่าไปยอม เอางี้แกก็ตามไปเรียน ป.โท ที่อเมริกากับน้องภู่ด้วยเลย”หลังฟังที่ผมเล่าจบ ข้าวหอมก็ออกความเห็นอย่างออกรสออกชาติทันที

“ลืมไปหรือเปล่าว่าเพื่อนแกจบโทแล้ว”ผมเบรกคำแนะนำของข้าวหอมเพราะมันฟังดูเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย

“โหนี่แกแก่กว่าน้องภู่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย คนนึงกำลังจะจบมัธยม แต่อีกคนนึงจบปริญญาโทไปแล้ว”

“ไม่ต้องมาย้ำ”ผมสวนกลับอย่างเซ็งๆ จะว่าไปเรื่องความห่างของอายุนี่มันก็...จะว่าเป็นปัญหามันก็เป็นนะครับเพราะดูแนวทางการดำเนินชีวิตของเราทั้งคู่มันก็เดินไปพร้อมกันยากอยู่เหมือนกัน ที่เห็นชัดๆ ก็ช่วง 3-4 ปีต่อจากนี้นี่แหละครับ

“งั้นจากที่ฟังแกเล่า น้องภู่ก็ไม่ได้อยากไปเรียกต่อเมืองนอกนิแก ก็สรุปว่าแกไม่ต้องทำไรไง อยู่เฉยๆ ผู้ชายไม่หนีไปไหน”นี่เพิ่อนผมเข้าใจที่ผมพูดไปบ้างไหมครับเนี่ย ก็บอกอยู่ว่าที่จริงภู่ก็คงอยากไป หรือว่าที่จริงเหตุผลที่จะไปนี่ตัดสินใจไว้พร้อมกับน้องฝ้ายนั่นตั้งแต่ตอนยังคบกัน

“อ้าวหงอยทำไมละเนี่ย เป็นอะไรอีกคะคุณเพื่อน”ข้าวหอมที่สังเกตเห็นอาการของผม ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ ผมกำลังจะหันไปตอบ ข้าวหอมก็ยกมือห้าม แล้วหยิบโทรศัพท์มาให้ผมดูอีกครั้ง คราวนี้เป็นเบอร์ของพี่สาวผม

“ให้รับเลยไหม”ผมพยักหน้ารับ เพราะถ้าเป็นพี่สาวผมก็ไม่น่าจะมีอะไร อีกอย่างภู่เองก็น่าจะไม่ถึงขนาดมีเบอร์พี่สาวผม หรือว่า...คงไม่ใช่ว่าภู่บุกไปถึงบ้านผมหรอกนะ แต่ไม่น่าใช่เพราะตอนคุยกับข้าวหอมก็มีการกล่าวถึงบ้านผมอยู่เหมือนกัน

“เจ้ปอจะคุยกับแก”ทันทีที่ข้าวหอมรับสาย ก็ส่งต่อมาให้ผมแทบจะทันที

“ปิดเครื่องทำไมเนี่ย”เปิดฉากมาก็เสียงดุใส่ผมเลยครับ แถมยังมาทำเป็นรู้ทัน ไม่คิดว่าผมจะแบตหมดกันบ้างหรือไงเล่า

“มีอะไรด่วนเหรอครับเจ้ นี่น้องกินข้าวเสร็จอีกสักพักก็จะกลับแล้ว หรือคิดถึงจนทนไม่ไหว”ผมแกล้งทำเสียงพูดทีเล่นทีจริง เพราะไม่ค่อยมั่นใจว่าเจ้ผมอยู่ในอารมณ์ไหน แต่แค่ดุๆ ยังไม่ถึงกับด่านี่แสดงว่าผมยังล้อเล่นกับเจ้ได้อยู่ครับ

“น้องภู่โทรหาเจ้”แต่แล้วผมก็ต้องสงบปากสงบคำลง

“เค้ามีเบอร์เจ้ได้ยังไง”ผมรีบถามอย่างสงสัย

“ขอพี่ปุ๊กมานะสิ แล้วนี่มีอะไรกัน เห็นเค้าบอกว่าวันนี้นัดกัน แล้วไปเบี้ยวนัดน้องเค้า แถมติดต่อไม่ได้อีก ไหนจะยังให้ข้าวหอมช่วยกันโกหกอีก”ไอ้เรื่องอื่นๆ นี่เข้าใจนะครับ แต่เรื่องให้ข้าวหอมโกหกนี่ เจ้ผมจะรู้ได้ไงเนี่ยเก่งเกินไปแล้ว

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ไว้เดี๋ยวผมโทรไปคุยกับเค้าเอง”ใจหนึ่งก็อยากคุยกับเค้าต่อหน้านะครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้จริงๆ ว่าจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเค้าไหม จะว่าไปผมก็ควรโทรไปบอกเค้าว่าผมยังไม่พร้อมเจอหรือไม่พร้อมคุย ไม่ควรจริงๆ ที่จะหายเงียบไปเฉยๆ แบบนี้

“มีอะไรก็คุยกันดีๆ แปงนะเป็นผู้ใหญ่กว่า ก็ควรทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ทำตัวเป็นเด็กแล้วหนีปัญหาแบบนี้”โดนบ่นจนได้สินะครับเนี่ย ผมตกปากรับคำผู้เป็นพี่สาวและโดนบ่นอีกนิดหน่อยก็วางสายไป ผมค่อยๆ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดเปิดเครื่อง และยังไม่ทันจะตั้งตัว ว่าจะโทรหาอีกคนไหมชื่อเค้าก็ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ของผมแล้ว

“รับสิแก ลีลาทำไมเนี่ย จะได้คุยได้เคลียร์”ข้าวหอมเร่งเหมือนผมทำอะไรก็ไม่ได้อย่างใจเธอสักอย่าง นี่ดีนะครับที่เราเป็นเพื่อนกัน ถ้าเป็นแฟนกันนี่ไม่อยากจะคิดสภาพ เอาเป็นว่าชะตากรรมนั้นให้พี่โตรับไปแล้วกันครับ

“ลุง”

“อย่าเพิ่งพูด”ผมรีบห้ามอีกฝ่ายที่เหมือนกำลังจะร่ายยาวผ่านสายโทรศัพท์ เพราะถ้าจะคุยกันระหว่างผมกับเค้ามันคงต้องคุยกันยาว เพราะงั้นผมว่าไปคุยกันต่อหน้าให้เคลียร์ไปเลยดีกว่า ที่จริงปัญหามันก็มาจากผมเองนี่แหละที่ไม่ยอมไปเจอเค้าตั้งแต่แรก

“เดี๋ยวพี่ไปหาที่บ้าน”มันคงถึงเวลาที่ต้องหันหน้าคุยกันอย่างจริงจังแล้วสินะ

“รีบมานะครับ ผมรออยู่”ทำไมน้ำเสียงของเค้ามันถึงได้ดูเศร้าขนาดนี้ละเนี่ย

“อือ”

ผมวางสายไปแล้วหันมองข้าวหอมที่ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผมอีกครั้ง ก่อนจะไล่ให้ผมรีบไปเพราะเธอเรียกพี่โตให้มานั่งเป็นเพื่อนแล้ว ผมเลยต้องรีบเพราะคาดว่าออกไปตอนนี้ รถคงกำลังติด และอีกคนคงต้องรอผมอีกพักใหญ่แน่นอน ผมใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะถึงที่หมาย ดูจากแสงไฟในบ้านแล้ว แม้ผมจะไม่อยู่ แต่เค้ายังอยู่บ้านหลังฝั่งผมสินะ

“ผมนึกว่าลุงจะไม่มา”ผมยังไม่ทันจะก้าวเข้าตัวบ้านด้วยซ้ำ เหมือนพอรู้ว่าผมมาเค้าก็รีบออกมาหาผม ร่างของผมถูกดึงเข้าไปกอดเสียแน่น แน่นจนผมเริ่มรู้สึกเจ็บ นี่เค้าเองก็คงกำลังคิดไม่ตก เหมือนผมเช่นกันสินะ

“ปล่อยก่อนสิภู่ จะได้เข้าไปคุยกันในบ้านดีๆ”เค้าคลายวงแขนออก เปลี่ยนมาเป็นจับมือผมเดินนำเข้าไปในบ้าน เรานั่งลงที่โซฟา ข้างๆ กัน ต่างคนต่างมองหน้ากันอย่างตัดสินใจ

“วันนี้ฝ้ายมาหาพี่”ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน ซึ่งดูเค้าเองก็ไม่ได้แสดงอาการตกใจในสิ่งที่ได้ยิน นั่นแสดงว่าเค้ารู้แล้วว่าน้องฝ้ายมาหาผม

“แม่ผมก็เคยมาหาพี่ด้วยใช่ไหมครับ”น้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังและสรรพนามที่เปลี่ยนไป ทำให้รู้สึกว่าบรรยากาศมันชวนอึดอัดยังไงบอกไม่ถูกเลยครับ

“พี่ยังอยากให้ภู่เลือกในสิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกนะ”ตลอดทางที่ขับรถมาความคิดผมมันตีกันไปหมดทั้งอยากให้เค้าไป และไม่อยากให้เค้าไป แต่ท้ายที่สุดที่ผมเลือกแบบนี้ เพราะผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างเราสองคน มันไม่ใช่แค่ความหลงใหล เพียงชั่วคราว ผมเองที่ไม่เคยมีใครมาก่อน หรือเค้าเองที่อายุยังน้อย ระยะทางมันอาจจะช่วยพิสูจน์อะไรบางอย่างก็เป็นได้

“แสดงว่าพี่ ก็ไม่ต้องการผมเหมือนๆ กับทุกคนในครอบครัวผมสินะ”น้ำเสียงตัดพ้อและใบหน้าที่ผิดหวังของเค้า ทำเอาผมไม่เข้าใจ นี่เราแค่ห่างกันเพราะเค้าจะไปเรียน ทำไมพูดซะเหมือนเราจะเลิกกันงั้นแหละ

“หมายความว่ายังไง”

“พี่ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าผมไม่ไปเรียนต่อเมืองนอก ที่บ้านผมจะไม่ส่งเสียผมอีก”เดี๋ยวนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน ก็ไหนวันนั้นที่ผมคุยกับคุณแม่ของเค้า ก็แค่อยากให้ผมช่วยทำให้เค้ายอมไปเรียนเมืองนอกไม่ใช่เหรอ

“เรื่องนี้พี่ไม่เห็นรู้เลย”เค้ามองมาที่ผมอย่างไม่ค่อยเขื่อสักเท่าไหร่

“แต่พี่ว่า ที่บ้านภู่เค้าก็คงแค่ขู่ เพราะหวังดีกับภู่นั่นแหละ”ผมพยายามระวังน้ำเสียงและคำพูดให้มากที่สุดเพราะตอนนี้ดูเหมือนภู่กำลังจะเครียดมากอยู่ทีเดียว

“หวังดีเหรอ ผมว่าเค้าก็แค่อยากให้ผมแยกกับพี่เท่านั้นแหละ”

“แต่เท่าที่พี่คุยกับคุณแม่ภู่ คุณแม่ก็”แม้จะเริ่มเอนเอียงไปตามคำพูดของเค้าแต่ผมว่าที่เจอคุณแม่วันนั้นมันก็ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำดีกับผมนะครับ

“แม่ผมอาจจะเอ็นดูพี่นะครับ แต่คนที่ยังอยากให้ผมเลิกกับพี่คือพ่อ ถึงพ่อจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ผมก็รู้”ผมเริ่มไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เค้าพูดเต็มร้อย เพราะรู้สึกว่าจากที่ฟังคุณแม่ของเค้ามา คุณพ่อก็อาจไม่ได้จะกีดกันขนาดนั้น และถ้าให้ผมประเมินผมว่าคุณพ่อเองอาจจะอยากใช้ระยะทางที่ห่างกันแบบนี้มาพิสูจน์ความสัมพันธ์ของเราก็เป็นได้

“งั้นถ้าที่บ้านภู่ไม่ได้มีใครบอกให้เราเลิกกัน ออกมาตรงๆ ก็แสดงว่าเราก็ยังคบกันได้ การไปเรียนตามที่พ่อแม่ของภู่อยากให้ไปมันก็ไม่ได้แย่ อีกอย่างมันคือสิ่งที่ภู่เลือกเองตั้งแต่ต้นเลย ไม่ใช่เหรอ เราสองคนก็จะได้พิสูจน์ ความสัมพันธ์ด้วยว่าระยะทางทำอะไรเราทั้งคู่ไม่ได้”ผมกุมมือพร้อมอธิบายเค้า แน่นอนว่าสำหรับผมเองมันก็เป็นเรื่องยาก แต่ผมว่านี่มันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

“แต่เราจะไม่ได้เจอกันเลยนะครับ”เค้ายังคงไม่เห็นด้วย

“มันก็แค่ไม่กี่ปี”ผมพยายามโน้มน้าว แม้ว่าที่จริงผมก็รู้สึกไม่ต่างจากเค้านักหรอก

“ทำไมพี่ดูอยากให้ผมไปจังเลย”อะไรละเนี่ย ทีแรกกะดูอ่อนลงแล้วแท้ๆ ทำไมนี่เหมือนจะโมโหขึ้นมาละเนี่ย

“พี่ก็แค่แนะนำให้มันออกมา กระทบทุกฝ่ายน้อยที่สุด”ผมยังคงพยายามไม่อารมณ์ร้อนไปตามเค้าเพราะดูตอนนี้เค้าเริ่มจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลแล้ว

“พี่ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เข้าใจจริงๆ เหรอว่าการที่พ่อผมอยากให้ไปเรียนเมืองนอกเพราะอยากให้เราสองคนห่างกัน ให้ผมกลับไปใกล้ชิดกับฝ้าย เค้าต้องการให้เราเลิกกัน”คำพูดรอบนี้ทำเอาผมเองก็ชักสีหน้าเหมือนกัน เพราะฟังแล้วเหมือนเค้ากำลังว่าผมว่าโตแล้ว แต่คิดไม่ได้

“ก็ไหนบอกว่าตัวเองโตแล้วไง เรื่องแค่นี้จะผ่านมันไปไม่ได้เหรอ ถ้าเราสองคนมั่นคงซะอย่าง มันก็จะเป็นการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นด้วยไง ว่าเราจริงจังกันแค่ไหน”แม้จะพยายามข่มอารมณ์แล้วแต่ผมก็ยังอดที่จะประชดเค้าไม่ได้

“คือยังไงก็จะให้ผมไปให้ได้ใช่ไหม”อะไรกันเนี่ยทำไมเหมือนยิ่งคุยกันกลับยิ่งไม่เข้าใจ

“คุยกันด้วยเหตุผลสิภู่ อย่าเพิ่งงี่เง่าเหมือนเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้”ตกลงนี่คือเราต้องทะเลาะกันใช่ไหมเนี่ย

“ถ้าพี่ว่าผมเด็ก ว่าผมงี่เง่า ก็เลิกกันไปเลยก็ได้”ไปกันใหญ่แล้ว อะไรของเค้าละเนี่ย

“ภู่ มีสติหน่อยสิ”ผมว่าตอนนี้เค้าเริ่มสติแตกแล้ว ผมไม่รู้ว่าเค้าเก็บเรื่องนี้มานานแค่ไหน หรือจริงๆ ครอบครัวเค้าพูดะไรมาบ้าง ผมก็คงไม่ได้รับรู้มาทั้งหมด แต่ผมไม่อยากให้เค้าเอาอารมณ์มาคุยกันแบบนี้เลย

“ผมมีสติดีครับ และผมก็ตัดสินใจแล้วว่ายังไงผมก็จะเรียนต่อที่นี่”

“ถ้าพี่อยากให้ผมไปนักเราก็เลิกกัน พี่กล้าเลิกกับผมไหมละ”



TBC
------------------------------------------------

ตอนหน้ามาลุ้นให้เค้าเลิกกัน

เอ้ย ปรับความเข้าใจกันสิเนอะ

หึหึ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 41
บททดสอบ






“น้องแปง น้องแปงคะ”

“ครับ”ผมรีบเงยหน้ามองคู่สนทนา เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเหม่ออีกแล้ว ตอนนี้ผมกลับมาทำงานกับที่บ้านแล้ว ซึ่งผมเองก็ยังทำอะไรไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ ก็คงต้องเรียนรู้อีกเยอะแหละครับ วันนี้เจ้ปอเลยให้ผมมาเจอลูกค้าที่ผมพอจะคุ้นเคยอยู่บ้างเพื่อที่หากมีอะไรติดขัดจะได้คุยกันง่ายหน่อย

“งั้นเอาตามที่ตกลงกันนะคะ ล็อตนี้เยอะหน่อยยังไงคงต้องฝากทางน้องแปงดูให้หน่อยนะคะ”ใช่แล้วครับ ที่เห็นเรียกผมอย่างสนิทสนมนี่เพราะลูกค้าหรือจะเรียกพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ผมมาคุยในวันนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน คือพี่ปุ๊กน้าสาวของภู่นั่นเอง

“น้อง...แปงโอเคนะคะ”นี่ผมดูแย่มากเลยเหรอ คนถามถึงได้มีน้ำเสียงกังวลขนาดนี้

“ก็ยังต้องเรียนรู้งานอีกเยอะครับ ช่วงนี้ก็เหนื่อยหน่อย แต่อีกสักพักคงเริ่มเข้าที่เข้าทาง”ผมบอกพร้อมยิ้มจางๆ

“พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องงาน”เสียงถอนหายใจตามมาหลังจากจบประโยค ที่จริงผมเองก็พอรู้แหละครับว่ามันเรื่องอะไร เพียงแค่ไม่ค่อยอยากพูดถึง ทั้งที่มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว และอีกคนก็อยู่ห่างออกไปครึ่งค่อนโลกแล้ว ก็ได้แต่รอเวลาแหละครับ แล้วก็หวังว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น

“พี่เองก็ไม่คิดว่าพ่อน้องภู่จะมาแบบนี้ พี่เองก็เป็นแค่น้าจะไปก้าวก่ายมากก็ไม่ได้”ผมยังคงเอาแต่ยิ้มเพราะไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ ครับ ก็ได้แต่คิดว่านี่มันคงเป็นบททดสอบของชีวิต บทนึงที่ผมต้องผ่านมันไปให้ได้

“ถ้าพี่อยากให้ผมไปนักเราก็เลิกกัน พี่กล้าเลิกกับผมไหมละ”คำพูดที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากเค้า และนั่นทำให้ผมรู้ว่า จริงๆ เค้าก็แค่เด็กที่กำลังจะจบมัธยมคนนึง หลายๆ อย่างเค้าเองก็คงยังไม่ได้มีเหตุผลเพียงพอ

“พี่เคยคิดว่าภู่จะมีเหตุผลมากกว่านี้นะ แต่ถ้าภู่พูดแบบนี้ เราก็คงไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก เอาไว้วันไหนที่ภู่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่พอ และยังอยากที่จะคบกันต่อ ก็ค่อยมาคุยกับพี่แล้วกัน”ผมผุดลุกขึ้น เพราะตัวผมเองก็เริ่มไม่มั่นใจว่าเรื่องระหว่างเรามันจะยังไปต่อได้จริงๆ

“อย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่งไปนะครับ ผมไม่ได้อยากเลิก พี่แปงอย่าเลิกกับผมนะครับ”เค้ารีบลุกตามมากอดผมไว้แน่น ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นกลั้นน้ำตาให้มันไหลย้อนกลับเข้าไป ทั้งที่คิดไว้แล้วว่าจะเข้มแข็ง แต่มันก็ทำไม่ได้

“ผมไม่รู้ ไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ”เค้าซบหน้าลงบนแผ่นหลังของผม แม้จะไม่มีเสียงสะอื้นออกมาแต่ผมก็รับรู้ได้ถึงอาการสั่นของตัวเค้า และความเปียกชื้นที่แผ่นหลังของผม ผมค่อยๆ หันกลับไปเผชิญหน้าเค้า มือผมยกขึ้นปาดน้ำตาเค้า

“ถ้าผมไม่ไป พ่อก็จะไม่ให้เงินผมใช้ ไม่ให้อยู่บ้านน้าปุ๊ก ทีแรกผมก็คิดว่าผมยังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่มันคงไม่พอสำหรับการที่จะให้ผมเรียนจนจบ ผมก็แค่ยังหวังว่าถ้าพี่อยากให้ผมอยู่ ผมก็จะหาทางอยู่ให้ได้ ผมจะหางานทำส่งเสียตัวเองเรียน”แน่นอนว่าผมเองคงไม่ให้เค้าเลือกทางนี้แน่นอน หรือต่อให้ผมจะรับเป็นคนส่งเสียเค้าเรียนนั่นอาจจะยิ่งทำให้ทางบ้านเค้าไม่พอใจ หรือบ้านผมเองก็คงไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่

“แต่ถ้าผมไปเรียนต่างประเทศ พ่อก็ห้ามไม่ให้เราติดต่อกันอีก จนกว่าผมจะเรียนจบ”มันก็ไม่ต่างกับการเลิกกันสินะ เป็นผมเองที่ดึงเค้าเข้ามากอด

“เหลือเวลาอีกเท่าไหร่”ผมเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“เค้าให้เวลาภู่เท่าไหร่ ถ้าเลือกที่จะไป”มันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสินะ

“เดินทางเดือนหน้าครับ ทุกอย่างเค้าเตรียมไว้หมดแล้ว”แสดงว่าเรื่องราวทั้งหมดภู่คงรู้มาล่วงหน้าแล้วสินะ นี่เค้าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียวมาตลอดสินะ

“งั้นเราก็มาใช้เวลาช่วงนี้ด้วยกันให้มากที่สุด”ผมคลายอ้อมกอดค่อยๆ ขยับตัวออกก่อนจะรั้งใบหน้าเค้าลงมาประกบปากลงไปแผ่วเบา

“ลุงจะรอผมกลับมาใช่ไหม”เค้าถามด้วยน้ำเสียงงอแง เหมือนเด็กที่กำลังโดนขัดใจ

“ภู่ฟังพี่นะ ถ้านี่คือการที่พ่อของภู่อยากจะพิสูจน์ความสัมพันธ์ของเราสองคน เราก็จะผ่านบททดสอบนี้ไปด้วยกัน แต่สำหรับพี่ พี่เองก็ไม่อยากจะเห็นแก่ตัว ถ้าสมมติว่าภู่มีใครอื่นเข้ามา ก็ขอแค่บอกให้พี่รู้ตกลงไหม”แม้ความจริงผมจะรู้สึกปวดใจถ้าวันนึงมันจะต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่มันก็คงจะดีกว่าถ้าเค้าบอกผมแต่เนิ่นๆ ถ้าเค้าเปลี่ยนไป มันคงจะดีกว่าการรอแล้วพอถึงเวลาที่เราคิดว่ามันสิ้นสุดลง ดันกลายเป็นว่าเค้าจะไม่กลับมาแล้ว มันไม่ใช่ว่าไม่มั่นใจในตัวเค้านะครับ เพียงแต่เค้าเพิ่งอายุเท่านี้ และยังต้องไปพบเจอคนอีกมาก

“ผมถามว่าลุงจะรอผมไหม และผมไม่ยอมให้ลุงไปมีใครด้วยระหว่างที่ผมไม่อยู่”เค้าถามย้ำอย่างเอาแต่ใจ จนผมต้องยิ้มอย่างเอ็นดู

“ก็ถ้ากลับมาแล้วเป็นผู้ใหญ่ ค่อยมาคุยกัน แต่ถ้ากลับมาแล้วยังเป็นเด็กงี่เง่าอยู่พี่ก็จะหาคนรุ่นราวคราวเดียวกันคบแล้วละ”ผมแกล้งบอกเพื่อให้บรรยากาศระหว่างเรามันดีขึ้น

“พอกลับมาผมจะเป็นผู้ใหญ่ให้มากกว่านี้นะครับ ลุงก็อย่าเพิ่งรีบแก่นำผมมากสิ ทำตัวลดอายุลงมาบ้างผมจะได้ตามทัน”เราหัวเราะออกมาพร้อมกัน แม้มันจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีที่เราต้องแยกกัน แต่มันก็ยังเป็นสุขที่เราจะได้เฝ้ารอการกลับมาเจอกันอีกครั้ง

“ผมรักพี่แปงนะครับ”คำพูดที่ผมคงไม่ได้ยินอีกนาน ใบหน้าที่ผมคงไม่ได้เห็นเช่นกัน ภาพเหล่านั้นค่อยๆ จางหายไป วันเดินทางของเค้าผมก็ไม่ได้ไปส่ง และหลังจากเค้าไปแล้ว เราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยจริงๆ มันก็ทั้งเหงาทั้งเศร้านะครับ แต่ผมก็พยายามใช้งานนี่แหละเข้ามาดูดเวลาผมไปให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีเวลาให้ตัวเองฟุ้งซ่านมากนัก

“เดือนหน้าพี่จะบินไปเมกา น้องแปงมีอะไรอยากฝากบอกน้องภู่บ้างไหม”เสียงของพี่ปุ๊ก เรียกสติผมกลับมา ผมได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่อยากให้เค้าต้องมาพะวงกับผม เห็นว่าช่วงแรกเค้าต้องเรียนภาษาค่อนข้างหนักเหมือนกัน นี่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ปีที่เค้าจะได้กลับมา หรือถึงวันนั้นเค้ายังจะอยากกลับมาอยู่หรือเปล่า

“น้องแปงไม่ต้องกังวลมากนะคะ อยู่นั่นหลานชายพี่ไม่มีวอกแวกแน่นอน เห็นว่าตั้งใจเรียนอย่างเดียว สงสัยกะให้จบเร็วๆ”พี่ปุ๊กเหมือนพยายามอยากให้ผมสบายใจขึ้น ที่จริงคุณแม่ของภู่เองก็เคยโทรมาขอโทษผม จนผมเองเสียอีกต้องขอโทษท่านที่ทำให้คิดมาก คือคุณแม่บอกว่าไม่คิดว่าคุณพ่อจะถึงขั้นไม่ให้ติดต่อกันขนาดนี้

“งั้นฝากบอกเค้าดูแลตัวเองด้วยแล้วกันนะครับ อย่าหักโหมมาก”หลังคุยกันเสร็จเรียบร้อยผมก็ออกมาส่งพี่ปุ๊ก ก่อนจะดูเวลานี่ก็เย็นมากแล้ว จะให้เข้าบริษัทอีกก็คงไม่ทันแล้ว ก็คงต้องกลับบ้านเลยสินะ ชีวิตผมช่วงนี้ก็วนเวียนอยู่แบบนี้แหละครับ ซึ่งก็คงเป็นแบบนี้ไปอีกนาน มีแค่บ้านกับที่ทำงาน จะมีออกไปกับข้าวหอม พี่โต บ้างนานๆ ที

“ครับเจ้”ขณะที่ผมเพิ่งสตาร์ทรถยังไม่ทันได้ออกตัว พี่สาวผมก็โทรมาเสียก่อน เจ้ปอของผมก็โทรหาผมทั้งวันแบบนี้แหละครับ เหมือนก็ยังห่วงว่าผมจะคุยกับลูกค้าผ่านไปได้ด้วยดีไหม นี่แหละครับ แต่สงสัยลืมไปว่ารอบนี้ผมมาคุยกับพี่ปุ๊ก

“วันนี้อย่าเพิ่งรีบเข้าบ้านนะ”

“ทำไมละครับ”ถามไปอย่างสงสัยเพราะเจ้ปอแทบไม่ค่อยให้ผมได้ทำงานอะไรต่อหลังเลิกงานเลยนี่นา เวลาไปเลี้ยงลูกค้าหรืออะไรส่วนใหญ่ก็จะมีคนที่รับผิดชอบอยู่แล้ว

“ไม่มีอะไร แค่จะชวนไปกินข้าว”ผมขมวดคิ้ว ปกติก็เห็นกลับไปทานที่บ้านตลอด หรือจะชวนผมไปบ้านเฮียต๊าฟ ผมเคยได้ไปบ้านว่าที่พี่เขยอยู่บ้างนะครับ ก็ดูเป็นครอบครัวที่เฮฮาดี

“ไปบ้านเฮียต๊าฟเหรอ”ผมคาดเดาอย่างที่เคยเป็น

“ไม่เชิง จะชวนไปทานข้างนอกแต่ก็ไปกับเฮียต๊าฟแหละ”นี่ก็ทำเหมือนข้าวหอมอีกคนสินะ จะไปสวีทกันสองคนผมก็ไม่ว่าอะไรนะครับ ไม่ต้องอยากลากผมไปด้วย ดูทุกคนจะเป็นห่วงการอยู่คนเดียวของผมเสียเหลือเกิน

“จะไปสวีทกันก็ไปเถอะเจ้ น้องกลับไปกินข้าวกะพ่อกับแม่ก็ได้”ผมบอกปัดเพราะเห็นว่าทั้งเจ้ปอกับเฮียต๊าฟจะได้เจอกันแต่ละที ก็ยากแล้ว ต่างคนต่างทำงาน ก็อยากให้ทั้งคู่มีเวลาด้วยกันบ้าง

“ไม่ต้องมาปฏิเสธ เดี๋ยวส่งโลเคชั่นให้ ไปเจอกันที่ร้าน ทำแต่งานอย่างเดียวชีวิตก็อับเฉาพอดี ออกไปผ่อนคลายบ้างก็ได้ พรุ่งนี้ก็วันหยุดมีเวลาอยู่บ้านทั้งวัน ไม่ต้องรีบกลับไปหรอก เจ้บอกพ่อกับแม่แล้วด้วย”แบบนี้เรียกมัดมือชกหรือเปล่าครับ แต่ถามว่าผมขัดพี่สาวได้ไหม ก็ไม่ เป็นอันว่าผมต้องเปลี่ยนเป้าหมายจากบ้านเป็นจุดนัดพบกับพี่สาวแทนสินะ

พอถึงที่หมายตามที่เจ้ปอให้ผมมา ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ ไหนบอกมาทานข้าว นี่มันก็ร้านข้าวแหละครับเพียงแต่มันก็กึ่งๆ เป็นสถานที่มานั่งดื่มเสียมากกว่า ไอ้ผมเองก็ไม่ค่อยถนัดดื่มสักเท่าไหร่นี่สิครับ แต่ไหนๆ มาแล้วก็คงต้องเข้าไปแหละครับ ผมสอบถามกับพนักงานว่าโต๊ะที่เจ้ปอบอกไว้อยู่ทางไหน พอถึงก็แปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่ได้มีแค่เจ้ปอกับเฮียต๊าฟ

“เฮียต๊าฟ หวัดดีครับ เฮียเชษฐ์เฮียตี๊ฟหวัดดีครับ”ผมยกมือไหว้ทักทายทุกคนเพราะผมก็เด็กสุดอยู่แล้ว อีกสองคนก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ น้องชายกับน้องเขยเฮียต๊าฟนั่นแหละครับ ผมไม่ค่อยได้เจอทั้งสองคนบ่อยนักเพราะทั้งคู่ไม่ได้อยู่ที่บ้านเหมือนเฮียต๊าฟ ทั้งคู่แต่งงานกันและแยกออกไปใช้ชีวิตต่างหาก ฟังไม่ผิดหรอกครับทั้งคู่แต่งงานกันแล้ว และคู่นี้ก็เป็นคู่ที่ทำให้ผมยังมีกำลังใจว่าระหว่างผมกับภู่คงเป็นเช่นนี้ได้ในสักวัน

“บอกกี่ทีแล้ว ว่าไม่ให้เรียกเฮีย เรียกเฮียฟังดูเป็นผู้ชายเถื่อนๆ ยังไงไม่รู้ เก็บไว้เรียกสองคนนี้ก็พอ”พี่ตี๊ฟ ผมต้องเรียกแบบนี้สินะ หันมาบอกผมอย่างไม่ได้จริงจังนักก่อนจะไล่ให้เฮียเชษฐ์ขยับไปนั่งหัวโต๊ะ แล้วให้ผมนั่งข้างๆ พี่เค้า

“เถื่อนแล้วรักไหมละครับเมีย”พี่ตี๊ฟรีบฟาดมือไปที่แขนของเฮียเชษฐ์อย่างแรง ทันทีที่เฮียเชษฐ์พูดมาแบบนั้น ก็แน่ละครับขนาดผมฟังยังรู้สึกเขินแทน ประสาอะไรกับพี่ตี๊ฟนั่นยิ่งคงเขินมากทีเดียว ดูจากสีหน้าที่แดงระเรื่อนั่นอีก มองคู่นี้เค้าก็น่ารักดีนะครับ เหมือนเพื่อนกัน เหมือนคู่กัดกัน แต่ก็ดูออกว่ารักกันมาก

“ไงละเรา ยิ้มอย่างที่ยิ้มตอนนี้บ่อยๆ นะ ไม่ใช่เห็นทีไรก็ตีหน้าเศร้าตลอด คนเราถ้ามันคู่กันแล้วมันไม่มีอะไรมาแยกได้หรอกเชื่อเฮีย ดูอย่างสองคนนี้สิ คู่นี้ก็เคยโดนจับแยก ยังผ่านจุดนั้นกันมาได้ เพราะงั้นแปงเองก็ต้องผ่านไปได้ มีอะไรก็ปรึกษาตี๊ฟมันได้ มันอาบน้ำตามาก่อน”ผมยิ้มรับกำลังใจจากทุกคน พอได้มาเจอทุกคนในวันนี้มันก็ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมาบ้างแหละครับ

“อย่าไปเชื่อต๊าฟมันมากเรื่องอาบน้ำตาอะไรเนี่ย อย่างพี่อ่ะสบายๆ ไม่ร้องสักนิด”พี่ตี๊ฟหันมาแย้งให้ผมฟัง

“แหมมึงไม่ร้องเลยนะตี๊ฟ กูเห็นน้ำตาไหลตั้งแต่ตอนไปส่งเชษฐ์มันที่สนามบินแล้ว”แล้วเสียงหัวเราะ ตามด้วยการลับฝีปากของสองพี่น้องก็ดำเนินไปอย่างสนุกสนานครับ โดยมีเฮียเชษฐ์อีกคนเป็นกองเสริม ผมก็ได้แต่ฟังพี่ๆ เค้าแหละครับ ก็ทานกันไปดื่มกันไป พูดคุยกันไปอย่างน้อยวันนี้ผมก็ไม่ต้องเหงามากแล้วละ

“ใครแสบกว่าใคร เอาดีๆ ตอนเอามันส์มาหลอกนั่น เจ็บแสบมากพูดเลย”พอเริ่มดื่มได้สักพักบทสนทนาก็เริ่มวนมาถึงวีรกรรมของคู่รักข้างๆ ผมนี่แหละครับ เห็นว่ากว่าจะรักกันนี่ต่างคนต่างอำกันจนใจหายใจคว่ำกันมาแล้ว

“พี่ตี๊ฟกับเฮียเชษฐ์นี่เป็นคู่ที่น่าอิจฉาจังเลยนะครับ”ผมหยิบแก้วน้ำสีอำพันขึ้นจิบนิดหน่อย พร้อมหันไปคุยกับคนข้างๆ ผมไม่ได้ดื่มมากเหมือนคนอื่นๆ นะครับ เพราะดูแต่ละคนดื่มเก่งกันจริงๆ ผมคงไม่กล้าสู้

“ไม่ต้องมาอิจฉาพี่หรอก พี่สิต้องอิจฉาแปง มีแฟนเด็กน่าจะกระชุ่มกระชวยจะตายไป”พี่ตี๊ฟหันมากระซิบผมอย่างอารมณ์ดี แต่ไอ้การกระซิบนั่นก็น่าจะดังพอให้อีกคนที่นั่งถัดไปได้ยิน

“ทีรักครับ จะมาอยากมีแฟนเด็กอะไรตอนนี้ มันไม่ทันแล้ว และอีกอย่างก็รู้ไว้ด้วยว่าสามีคนนี้ขี้หึงมาก”เสียงแทรกจากเฮียเชษฐ์ ทำเอาทุกคนในโต๊ะส่งเสียงแซวอย่างสนุกสนาน จะมีก็แต่พี่ตี๊ฟแหละครับ ที่หันไปชี้คาดโทษเฮียเชษฐ์ไว้

“เห็นปากอย่างนี้ ยังจะอิจฉาพี่ไหม”พี่ตี๊ฟส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ แต่ผมรู้แหละครับว่าพี่แกก็แค่แกล้งทำไปงั้นแหละ ที่จริงแกรักเฮียเชษฐ์จะตายไป

“แปง ฟังพี่นะ ความรักอย่างเรามันก็คือความรักปกติทั่วไปนี่แหละ มันอาจจะมีอุปสรรค มีบททดสอบเข้ามาบ้าง ก็ถือเสียว่าเป็นสีสันของชีวิต วันนึงพอมันผ่านไป มองกลับมาเราอาจจะนึกขอบคุณบททดสอบพวกนี้ ที่ทำให้เรายิ่งรักกันมากขึ้น เพราะงั้นพี่เอาใจช่วยนะ มีอะไรคุยกับพี่ได้ตลอด”มันก็รู้สึกดีนะครับที่ได้ยินพี่ตี๊ฟพูดแบบนี้ แต่ยิ่งได้ยินแบบนี้ ผมก็ยิ่งคิดถึงอีกคนนี่สิครับ

“แค่รู้ว่ายังห่วง แค่เท่านั้นก็รู้สึกดี”ข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือของผมที่ถูกส่งมาจากโปรแกรมแชท โดยเพื่อนสนิทอย่างข้าวหอม ทำให้ผมต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู

“อะไร”ผมพิมพ์ถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจเพราะอยู่ๆ ก็พิมพ์ส่งมาถึงผมลอยๆ แบบนี้

“โพสต์ของใครก็ไม่รู้ แต่เห็นว่ามีคนฝากบอกให้เค้าดูแลตัวเอง ก็เลยเพ้อๆ มาแบบน่าหมั่นไส้นี่แหละ”ผมค่อยๆ ประมวลผลอยู่พักนึงก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่า สิ่งที่ผมพูดกับพี่ปุ๊กมันคงถึงอีกคนแล้ว ทั้งที่พี่ปุ๊กยังไม่ได้บินไป ผมไม่ได้มีช่องทางโซเชียลใดๆ ติดต่อกับเค้าได้ก็จริง แต่ก็ยังมีข้าวหอมนี่แหละครับ ที่เหมือนจะมีทุกช่องทางการติดต่อ






TBC
------------------------------------------------
ก็เรียกว่าไม่ม่ามากเนอะ

แค่เค้าไม่ได้เจอกันแค่นั้นเอง

ตอนนี้ เอา เชษฐ์xตี๊ฟ จาก 45 วันพนัน(ไม่)รัก

มารับเชิญให้กำลังใจแปงนิดนึง

ใครยังไม่เคยอ่านคู่ตี๊ฟก็ลองไปอ่านดูนะฮ่ะ (ขายของ)

เป็นคู่ที่ชิลมาก ไม่ม่านะรู้สึก 555 แค่เพื่อนสองคนที่ต้องมาอยู่ด้วยกันเพราะการพนันของเพื่อน

#แนบลิงค์ขายของ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44636.0

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ไม่ให้ติดต่อกันเลยก็โหดเกินนน  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
 :hao5:  เศร้าแพล่บ  มันหน่วงจัง

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ต้องเข้มแข็ง ฝ่าฟันจุดนี้ไปให้ได้ แล้วเมื่อวันที่จะได้เจอกันมาถึง ความสุขคงล้นหัวใจ และรักกันมากขึ้นนะทั้งคู่

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 42
คนพิเศษ



“ไม่ได้มีแผนอะไรใช่ไหม”ผมถามอย่างระแวง เนื่องจากตอนนี้ผมโดนข้าวหอมกับพี่โตลากมาเชียงใหม่ เพราะข้าวหอมอยากมาดูสถานที่ถ่ายพรีเวดดิ้ง ใช่แล้วครับคู่นี้ใกล้จะแต่งกันแล้ว แต่จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้เสียทีเดียวหรอกครับ แล้วนี่ก็ไม่รู้คนอย่างข้าวหอมไปชอบ วิวทิวทัศน์ทางเหนือตั้งแต่เมื่อไหร่

ส่วนที่ผมต้องถามว่ามีแผนอะไรไหม นั่นมันก็เพราะว่าวันนี้ก็เป็นวันแต่งงานของผึ้ง พี่สาวของภู่นั่นเอง ผมไม่ได้รู้จักเค้าเป็นการส่วนตัวหรอกนะครับ แต่ในฐานะที่ครอบครัวเราทำธุรกิจร่วมกัน เลยได้รับเชิญมางานด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ได้รับเชิญไปงานคือเจ้ปอ และเจ้ปอก็ไปงานนี้กับเฮียต๊าฟนั่นแหละครับ

ที่ผมกังวลอีกอย่างคือ ผมคิดว่างานนี้ภู่ก็น่าจะบินกลับมาด้วย ถามว่าผมอยากเจอเค้าไหม แน่นอนว่าอยากเจออยู่แล้วเพราะนี่ ก็ตั้ง 2 ปีเข้าไปแล้วที่ไม่ได้เจอกัน แต่ถ้ามาเจอกัน นั่นมันก็เท่ากับว่าผิดข้อตกลงที่ให้ไว้กับพ่อเค้า ผมเลยทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอเค้าในเวลาเดียวกัน

“ว่าไงครับพี่โต”ผมถามจี้เอากับพี่โต เพราะถ้าถามข้าวหอม ผมรู้ว่าสกิลการโกหกของข้าวหอมนั้นผมจับผิดไม่ได้แน่นอน ที่ต้องย้ำขนาดนี้เพราะผมเองก็ไม่อยากให้ที่เราพยายามมาทั้งหมด มันพังลงไป

“ก็มาดูที่ถ่ายพรีเวดดิ้งไงครับ เนี่ยเดี๋ยวไปเจอตากล้อง ไปดูสถานที่ พี่กับหอมมาด้วยเรื่องนี้จริงๆ”นี่พี่โตคงไม่ได้เรียนรู้สกิลการโกหกมาจากข้าวหอมหรอกนะ อีกอย่างพี่โตก็คงไม่ลงทุนขนาดจ้างคนมาเป็นตากล้อง ยอมเสียเวลาไปดูสถานที่ เพียงเพื่อหลอกให้ผมมาที่นี่หรอกมั้ง

“แค่นั้นจริงๆ ใช่ไหมครับ”ผมย้ำอีกรอบ แต่ก็พอโล่งใจได้บ้างว่าที่พักเราก็ห่างจากบ้านของภู่เยอะอยู่ อีกอย่างผมก็กำชับเจ้ปอไปแล้วด้วยว่าถ้าเจอภู่ก็อย่าให้เค้ารู้ว่าผมอยู่ที่เชียงใหม่นี่ ที่จริงก็มีแอบคิดนะครับว่า อยากไปแอบมองเค้าโดยไม่ให้เค้ารู้ตัว ก็คนมันคิดถึงนี่ครับ แต่ถ้าทำแบบนั้น กลัวว่าจะเป็นผมเองนี่แหละที่จะทนไม่ไหว วิ่งเข้าไปกอดเค้าเสียเอง

“แล้วทำไมต้องลากผมมาด้วย”ถึงจะบอกว่าถือโอกาสชวนผมมาพักผ่อน มันก็ยังดูน่าสงสัยอยู่ดีครับ วันอื่นมีตั้งมากมายทำไมถึงเลือกมาช่วงนี้

“ก็แกเป็นเพื่อนสนิทชั้นไง วันพิเศษหรืออะไรพิเศษก็อยากให้แกมาด้วย จะได้ช่วยชั้นตัดสินใจไง”

“อ่ะๆ ไปๆ ไปไหนก็ไป”ผมบอกปัดอย่างปลงๆ กับทั้งคู่ก็นี่มาถึงเชียงใหม่แล้วนิ ผมยังจะปฏิเสธอะไรได้อีกละครับ เราตระเวนกันไปหลายจุด ตากล้องก็ถ่ายแบคกราวน์ไว้ก่อน ซึ่งเอาจริงๆ ผมไม่เห็นความจำเป็นของทั้งคู่เลยที่ต้องมาวันนี้ คือแค่ให้ตากล้องส่งรูปให้ดูก็ได้ หรือกลัวว่ารูปมันไม่จริงอย่างตาเห็น นั่นแหละครับมันไม่ใช่งานผม อีกอย่างทริปนี้ผมมาฟรี ค่าใช้จ่ายข้าวหอมเป็นคนจัดการ หรือพี่โตเป็นคนจัดการก็ไม่รู้เหมือนกันครับ

“ร้านนี้ เขาว่าเด็ดมากเลยนะแก”ข้าวหอมบอกผมอย่างอารมณ์ หลังจากเราไปตระเวนดูสถานที่ต่างๆ มาจนเกือบทั่วทุกทิศของเชียงใหม่ ก็ได้กลับไปพักที่โรงแรมนิดหน่อย ก่อนจะพากันออกมาหาอะไรทานในช่วงหัวค่ำ

“เขานี่คือใคร”ผมแกล้งถามแหย่กลับไป เพราะนี่มันก็ร้านอาหารกึ่งร้านเหล้าทั่วๆ ไป แต่ดูภาพรวมก็บรรยากกาศดีนะ มีดนดรีโฟล์คซอง แบบไม่อึกทึกครึกโครมมาก เน้นเพลงสบายๆ

“ชั้นอ่านรีวิวมา อาหารอร่อยชัวร์หอมคอนเฟิร์มค่ะ”ข้าวหอมอวดอ้างอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่ผมขี้เกียจจะต่อปากต่อคำแล้ว เลยเลือกที่จะเปิดเมนูอาหารแทน รายการอาหารก็เป็นแบบไทยๆ ตามปกตินี่แหละครับ แต่ก็มีอาหารเหนือเพิ่มมาบ้าง

ไม่นานนักอาหาร เครื่องดื่มก็วางเต็มโต๊ะของพวกเรา ก็ทานกันไปแต่ยิ่งทานผมกลับยิ่งรู้สึกคุ้นเคยกับรสชาติของอาหาร ทำไมมันถึงได้คล้ายกันขนาดนี้ มันคงไม่ใช่หรอกมั้ง ผมอาจจะคิดมากไปเองหรือไม่ก็คงคิดถึงเค้ามากไป นี่มันก็แค่อาหารทั่วๆ ไปใครทำมันก็ต้องออกมารสชาติใกล้เคียงกันนี่แหละ

“เอาละครับ บทเพลงต่อไป วันนี้ผมมีแขกรับเชิญพิเศษ ที่จะขึ้นมาร้องเพลงพิเศษให้กับคนพิเศษของเค้า ยังไงรอฟังกันนะครับว่าจะโรแมนติกขนาดไหน”ผมหันไปมองทางหน้าเวทีก่อนจะหันกลับมามองที่พี่โตกับข้าวหอม นี่นักร้องคงไม่ได้หมายถึงสองคนนี้ใช่ไหม ถ้าใช่นี่ผมว่าแขกในร้านคงต้องทนแสบแก้วหูแน่ๆ เพราะข้าวหอมร้องเพลงได้เพี้ยนสุดยอดแถมเสียงแหลมปรี๊ดอีก ส่วนถ้าเป็นพี่โต ก็ไม่น่าจะใช่คนจะทำอะไรแบบนี้

“อย่าบอกนะว่าเค้าหมายถึงพี่โต”ผมต้องถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าพี่โตกำลังขยับลุกอย่างอายๆ แต่ถ้าเป็นพี่โตจริงๆ ก็ยังดีกว่าเป็นข้าวหอมแหละครับ

“โอ้วมายก็อด ตัวเองจะเซอร์ไพร์สเค้าเหรอ”แทบจะอยากมองบนใส่เพื่อนตัวเองครับ ถ้าจะเล่นใหญ่ขนาดนี้ ไม่เตรียมตากล้องมาถ่ายวีดิโอไว้ใช้เป็นพรีเซนเทชั่นในงานแต่งเลยละ

“สาบานว่าไม่ได้เตี้ยมกันมาก่อน”ถ้าให้ผมประเมินคนที่อยากให้มีเหตุการณ์นี้ น่าจะเป็นข้าวหอมบังคับพี่โตทำเสียมากกว่า

“เล่นไปตามเกมสิแก”นั่นไงล่ะ ยิ่งคนในร้านส่งเสียงแซวพร้อมปรบมือให้ ยัยข้าวหอมยิ่งแกล้งทำเป็นเขินเข้าไปอีก

“ที่จริงผมกับแฟนกำลังจะแต่งงานกันครับ และนี่คือสิ่งที่แฟนผมขอร้องให้ช่วยทำ ยังไงต้องขอโทษทุกคนในร้านด้วยนะครับที่รบกวนเวลา”พี่โตเริ่มพูดจนหลายๆ คนในร้านคงเริ่มงง ว่าตกลงนี่มันคือการเซอร์ไพร์สหรือเปล่า

“ที่จริงผมกับแฟนแค่มีหน้าที่หลอกคนๆ นึงมาที่นี่ให้กับคนคนที่จะมาร้องเพลงๆ นี้ครับ”ผมหันควับมองข้าวหอมที่ยิ้มระรื่นอยู่ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร  เสียงกีตาร์ที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องหันกลับไปทางเวที ผมว่าตอนนี้แขกในร้านทุกคนคงรู้แล้วว่าคนที่พี่โตหมายถึงคือผม และหลายคนก็เริ่มส่งเสียงพูดคุยเมื่อเห็นคนที่กำลังเริ่มร้องเพลง

…Isn’t it funny
How times seems to slip away
So fast…

“ทำแบบนี้ทำไม”ผมหันไปต่อว่าข้าวหอมอย่างไม่พอใจ พร้อมกับผุดลุกขึ้น รีบเดินออกนอกร้านโดยไม่ได้สนใจเสียงฮือฮาของคนในร้าน แต่ผมคงลืมไปว่าที่นี่คือเชียงใหม่ และร้านนี้ก็อยู่ลึกพอควรที่ผมจะหาทางออกไปด้วยตัวเอง

“หนีผมทำไม”คนที่น่าจะอยู่บนเวที แต่กลับวิ่งตามผมออกมา

“ทำแบบนี้ทำไม”ผมถามสวนกลับไปอีกรอบพร้อมยกมือห้ามไม่ให้เค้าเดินเข้ามาหาผม แม้ตัวผมเองต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการต้องทำแบบนี้ แต่ผมก็ต้องทำ เพราะมันจะได้เป็นการพิสูจน์ว่าเราทั้งคู่จริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ ให้มันเป็นไปตามข้อตกลงที่คุณพ่อของเค้าตั้งไว้

“ไม่เจอกันตั้งนานนี่พี่ไม่คิดถึงผมเลยเหรอครับ”น้ำเสียงที่ฟังดูผิดหวังฉายชัดอยู่ในคำพูดของเค้า แต่ผมว่าคนที่ควรผิดหวังมันควรเป็นผมเองหรือเปล่า ผมยอมรับนะครับว่าผมคิดถึงเค้า คิดถึงมากด้วย ทว่าการที่เค้าทำแบบนี้เค้าคิดบ้างไหมว่ามันจะส่งผลยังไง ถ้าพ่อเค้ารู้เรื่องนี้ละ สิ่งที่เราพยายามมาทั้งหมดมันจะมีประโยชน์อะไร

“พี่ผิดหวังนะที่ภู่ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเลย”ผมบอกด้วยเสียงสั่นๆ พยายามกลั้นน้ำตาที่มันกำลังจะเอ่อล้นออกมา เค้าจ้องมองผมด้วยแววตาไม่เข้าใจ สองขาเค้าค่อยๆ ขยับเหมือนจะก้าวมาหาผม ทำให้ผมเองต้องก้าวถอยหลังเตรียมห่างออกเช่นกัน

“ผม…”เค้าหยุดอยู่กับที่เมื่อเห็นผมตั้งท่าจะถอยห่างเค้า

“ก่อนภู่จะไปเรียนเรามีข้อตกลงอะไรกัน ภู่ลืมแล้วเหรอ”ผมสูดลมหายใจลึกๆ เหมือนเป็นการสะกดอารมณ์ต่างๆ ในตอนนี้

“เราไม่ควรแอบมาเจอกันแบบนี้ เพราะงั้นภู่กลับไปเถอะ ถือว่าพี่ขอร้อง”ผมกลั้นใจบอกกับเค้า สายตาค่อยๆ สำรวจและจดจำภาพของเค้าเพราะหลังจากนี้เราก็คงไม่ได้เจอกันอีกนานเหมือนเดิม เค้าดูจะซูบไปเล็กน้อย ที่จริงในใจก็อยากจะถามนะครับว่าเค้าเรียนหนักไหม อยู่สบายดีหรือเปล่า แต่ทุกอย่างมันก็จุกอยู่แค่ที่ลำคอ ไม่สามารถพูดออกมาได้

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอโทษที่มารบกวนนะครับ พี่แปงกลับเข้าไปหาเพื่อนเถอะ ผมกลับเลยก็ได้”เค้าบอกเสียงเศร้าๆ ก่อนจะเบี่ยงตัว ก้าวหลบเปิดทางให้ผม ผมชั่งใจอยู่นิดนึงก่อนจะตัดสินใจก้าว เพื่อกลับเข้าไปหาข้าวหอมกับพี่โต เพราะถ้าจะกลับก่อนผมก็ไม่รู้จะไปยังไงเหมือนกัน

ผมหลบตาไม่มองเค้าตรงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเค้าคงยังจ้องมองผมอยู่ ผมต้องแข็งใจเข้าไว้ แม้ความรู้สึกส่วนลึกในใจของผมตอนนี้มันจะพยายามจะบอกให้ช่างทุกสิ่งอย่าง ลืมมันไปก่อนแล้วดึงอีกคนเข้ามากอด ทั้งที่เค้าอยู่ใกล้ๆ ผมแค่นี้ สุดท้ายผมก็ทำได้แค่เดินผ่านเค้ามาอย่างเงียบๆ ทั้งที่ระยะทางที่เดินผ่านเค้ามันไม่ถึง 5 ก้าว ผมกลับรู้สึกว่าแต่ละก้าวมันยาวไกลเหลือเกิน

“พี่แปงครับ”เสียงเรียกดังขึ้นด้านหลังเมื่อผมเดินผ่านเค้ามาได้แค่ 2-3 ก้าว ผมหยุด ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปตามเสียงเรียกของเค้า

“ว่างะ…”ไม่ทันที่ผมจะได้ถามถึงเหตุผลที่เค้าเรียกผม ตัวผมก็ถูกดึงเข้าปะทะกับแผงอกของเค้า ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเค้าทั้งตัว ผมได้แต่ตกใจทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้จะดันเค้าออกก็โดนกอดแน่นเข้าไปอีก

“ขอนาทีเดียว นะครับ ผมขอแค่นาทีเดียว”เค้ากระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหูของผม ผมลังเลที่จะยกแขนขึ้นกอดตอบเค้า แต่มันมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมหยุดการขัดขืนยืนยิ่งให้เค้ากอด ค่อยๆ ขยับมือขึ้น แน่สุดท้ายผมก็ไม่กล้า

“คิดถึง ลุงรู้ไหมว่าผมคิดถึงลุงมากขนาดไหน”เค้ายังคงกระซิบมาที่ข้างหูผม ในขณะที่ผมเอาแต่ยืนนิ่งเงียบๆ และลดแขนลงแนบลำตัวตามเดิม ผมไม่ได้อยากเย็นชาใส่เค้าแบบนี้ หากแต่ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนเราทั้งคู่กำลังทำผิดข้อตกลงที่ได้เคยให้ไว้ ผมกลัว กลัวว่าถ้าเกิดคุณพ่อของเค้ารู้ขึ้นมา เค้าจะเอามาใช้ปฏิเสธไม่ให้เราคบกันต่อหรือเปล่า ผมกลัว กลัวไปหมดทุกอย่าง น้ำตาที่กลั้นไว้มันค่อยๆ ไหลออกมา

แรงสะอื้นเบาๆ ของผมทำให้อีกคนรู้ตัวว่าผมร้องไห้ เค้าค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกเลื่อนมือมาจับที่ไหล่ผมขยับให้ตัวผมห่างออก ในขณะที่ผมเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาเค้า นิ้วเรียวของเค้าขยับมาเชยคางให้ผมเงยหน้าขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของผม

“รอผมนะครับ”เค้าค่อยๆ ประทับริมฝีปากลงมาแผ่วเบาที่ริมฝีปากผม ครู่ใหญ่กว่าเค้าจะถอนริมฝีปากออกไป เค้าส่งยิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วเดินไปขึ้นรถที่ห่างออกไป ผมยืนมองอยู่อย่างนั้นจนรถของเค้าลับตาไป

“แกโอเคไหม”เสียงข้าวหอมที่มายืนอยู่ข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทีแรกผมก็กะว่าจะโกรธเพื่อนสนิทคนนี้อยู่เหมือนกันนะครับที่รวมหัวกันทำอะไรแบบนี้ แต่สภาพจิตใจผมตอนนี้ทำให้ผมพักความรู้สึกนั้นไว้ก่อน ผมเดินเข้าไปซบลงที่ไหล่ของข้าวหอมอย่างหาที่พึ่ง ทั้งที่ผมพยายามเข้มแข็งมาตลอด แต่เพียงได้เจอเค้าแค่ไม่กี่นาทีแค่นี้ นี่ผมยังไม่รู้เลยว่าจะทนต่อไปได้อีกนานขนาดไหน กับการที่จะไม่ได้ติดต่อกับเค้า





TBC
------------------------------------------------
อีกนิด

อีกนิดจะให้เค้าสมหวังละ

555

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ลุง ซื่อตรงมากกับคำสัญญา  :katai2-1:
แม้คิดถึง อยากเจอ อยากกอดภู่   :z3: :z3: :z3:
ก็ตัดใจ แม้ภู่กอดลุง ลงก็ไม่ยอมกอดตอบ  :mew2:
ซี่อสัตย์ เถรตรงสุดๆไปเลย
เพราะกลัวพ่อภู่รู้   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
พี่แปงยึดมั่นกับคำสัญญา เพราะคิดว่าอนาคตจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปใช่มั๊ย

สงสารทั้งคู่เลยอ่า  ทั้งที่คิดถึงแทบตาย แต่ก็ต้องยั้งใจเพื่อไม่ให้ผิดคำสัญญา   :mew6:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อ่านตอนนี้น้ำตาซึมเลย แงๆ :o12:
เสิร์ฟของหวานด่วน พลีสสส

ออฟไลน์ thanza1970

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ทั้งเสียใจกับภู่  ทั้งสงสารแปง  ตีกันไปหมด

 :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 43
นัดสำคัญ




“อะไรนะ นี่ถ่อมาถึงนี่เพื่อจะให้พาไปกินส้มตำเนี่ยนะ”ผมมองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ท้องโตเดินอุ้ยอ้ายเข้าถึงโต๊ะทำงานผม ตามมาด้วยผู้เป็นสามีอย่างพี่โต ตอนนี้ข้าวหอมกับพี่โตแต่งงานกันมาได้ปีกว่าแล้วแหละครับ และข้าวหอมก็กำลังท้องลูกชายคนแรก อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะถึงกำหนดคลอดแล้ว

“พี่บอกแล้วว่าพี่พาไปเองก็ได้ ไม่อยากให้มารบกวนแปงก็ไม่ยอม”พี่โตบอกอย่างเกรงใจ แต่ผมก็พอจะรู้ฤทธิ์เดชของเพื่อนสนิทของผมคนนี้ดีแหละครับ แล้วไหนจะกำลังท้องนี่อีก จากที่เป็นคนเอาแต่ใจอยู่แล้ว ยิ่งหนักขึ้นไปอีกเห็นแล้วก็เหนื่อยแทนพี่โตไหนจะทำงาน ไหนจะดูแลภรรยาจอมเยอะนี่อีก

“พี่โต ก็หอมบอกแล้วไงว่ากินกับพี่โต 2 คนมันไม่อร่อยส่วนแกนะแปง ชั้นยิ่งหิวๆ อยู่แกจะไปดีๆ หรือต้องให้คนท้องอาละวาด”นั่นไงเอาเข้าไป ผมได้แต่หันสบตากับพี่โต ยิ้มแห้งๆ ให้กันอย่างปลงๆ

“ขอเวลา 5 นาทีในการถ่ายโอนงานเพราะจริงๆ บ่ายนี้เพื่อนมีนัดกับลูกค้านะครับแม่หอม”ผมบอกด้วยน้ำสียงหยอกแกมประชดหน่อยๆ เพราะคงขัดใจคนท้องนี่ไม่ได้แน่ๆ ส่วนงานของผมวันนี้ที่จริงก็แค่ออกไปเจอลูกค้าประจำอย่างพี่ปุ๊กนั่นแหละครับ ผมกดเบอร์หาพี่ปุ๊ก แต่กลับโดนตัดสาย

“วันนี้พี่ติดธุระ ยังไงจะมีตัวแทนจากทางพี่ไปหาน้องแปงแทนนะคะ”คล้อยหลังไม่นานผมก็ได้ข้อความตอบหลับจากพี่ปุ๊ก แบบนี้ผมเองก็คงไม่ต้องกังวลอะไรมั้งที่จะให้คนอื่นไปแทน เพราะจริงๆ เราก็ทำธุรกิจด้วยกันมานานแล้ว ไม่ค่อยมีอะไรผิดพลาดสักเท่าไหร่ ผมรีบจัดแจงมอบหมายหาคนรับผิดชอบแทนอย่างด่วนเพราะเกรงว่าคนท้องที่จ้องผมอยู่จะโมโหหิวจนอาละวาดขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่ชินสักทีกับการที่แกต้องทำงานแบบนี้”เสียงบ่นตามประสาดังมาเรื่อยๆ ครับเรื่องนี้ผมโดนคุณเธอบ่นประจำ เมื่อเราสองคนมีเวลาว่างให้กันเสมอ แต่ช่วงหลังยิ่งตั้งแต่ตอนที่ผมเข้ามาช่วยงานเจ้ปอ ก็เรียกว่าเวลาที่จะได้เจอกันก็น้อยลงไปอีก ซึ่งไอ้คนที่ไม่ว่างมันก็แค่ผม ส่วนข้าวหอมไม่ต้องพูดถึง ว่างตลอด แล้วนี่แต่งงานแล้วพี่โตยิ่งประคบประหงม แต่อีกเดี๋ยวหลังคลอดก็คงไม่ว่างแล้ว คงยุ่งกับการเลี้ยงลูกจนอาจลืมเพื่อนอย่างผมก็เป็นได้

“ไหนบอกว่าหิวไงครับคุณแม่ รีบสั่งสิ”ผมเปลี่ยนประเด็นโดยไม่สนใจในสิ่งที่ข้าวหอมบ่นมาสักเท่าไหร่ พอผมพูดจบข้าวหอมก็ร่ายยาวบอกน้องพนักงานที่มารับออเดอร์อย่างคล่องแคล่ว เพราะรายการอาหารในหัวนี่คงไม่ต้องคิดมันแทบจะออกมาเองโดยอัตโนมัติ

ผมมองภาพสองสามีภรรยา ที่นั่งตรงข้ามอย่างขำๆ พร้อมกับค่อยๆ ยิ้มออกมามันรู้สึกเป็นสุขนะครับ ที่เห็นคนที่เรารักมีวันนี้คนสองคนรักกันแต่งงานสร้างครอบครัว กำลังจะมีลูกน้อยตัวเล็กๆ แต่พอมองย้อนกลับมาที่ตัวผมเองผมก็ต้องค่อยๆ หุบยิ้มลง นี่ก็ครบ 4 ปีแล้ว ที่ใครอีกคนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

ที่จริงมันเกิน 4 ปีมาหลายเดือนแล้วด้วยซ้ำแต่ผมก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากเค้า ไม่รู้ว่าเค้าเรียนจบหรือยัง จะกลับมาเมื่อไหร่ยังไง หรือเค้ายังเหมือนเดิมหรือเปล่า ผมไม่รู้อะไรเลย

“แปง เป็นไรหรือเปล่า”ผมรีบปรับสีหน้าและส่งยิ้มให้กับข้าวหอมเพราะนี่คงจับสังเกตสีหน้าผมได้สินะ

“ไม่มีอะไร แค่กำลังคิดภาพแกเลี้ยงลูกว่าจะออกมาเป็นยังไง”ผมโกหกออกไปเพราะไม่อยากให้เพื่อนมาคิดมากอะไรกับผมมากนัก อีกอย่างเรื่องของภู่ ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ข้าวหอมกับพี่โต วางแผนให้ผมไปเจอกับภู่ที่เชียงใหม่ ผมก็สั่งห้ามทั้งคู่เด็ดขาดว่าไม่ต้องเอาเรื่องของผมไปบอกกับภู่ แล้วก็ไม่ต้องเอาเรื่องของภู่มาบอกกับผมด้วยเช่นกัน

ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับ ว่าวันนั้นเรื่องมันไปถึงครอบครัวของภู่หรือเปล่า แต่ในเมื่อทุกครั้งที่ผมเจอพี่ปุ๊กก็ยังไม่เห็นมีการบอกอะไรว่าข้อตกลงมีการเปลี่ยนแปลงไป เพราะงั้นทุกวันนี้ผมก็ทำได้แค่รอ และหวังว่าอีกคนจะยังเหมือนเดิมเมื่อเค้ากลับมา

อีกคนที่ช่วยผมได้เยอะในเรื่องนี้ก็คือพี่ตี๊ฟครับ เวลาที่ผมรู้สึกท้อหรือเหนื่อย คนที่มีคำแนะนำ ให้กำลังใจและก็ดูเป็นคนที่ผมระบายความรู้สึกให้ฟังได้อย่างเต็มที่ ส่วนนึงที่ผมชอบจะปรึกษาพี่แกก็คงเพราะพี่ตี๊ฟเองก็เคยอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กับผม แม้ของผมจะดูแย่กว่าก็เถอะ

บางครั้งก็กลัวแกรำคาญหรือเบื่อผมเหมือนกันนะครับ แต่ไปๆ มาๆ ก็มีบ้างที่พี่ตี๊ฟเองมาบ่นเรื่องเฮียเชษฐ์ให้ผมฟัง พอผมเองได้ฟังเรื่องของทั้งคู่ มันก็ยิ่งทำให้ผมมีกำลังใจที่จะรออีกคน รอว่าวันนึงผมเองคงได้ใช้ชีวิตแบบเดียวกับพี่ตี๊ฟและเฮียเชษฐ์

“เอาจริงๆ นะแกชั้นเองยังนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองจะเลี้ยงลูกยังไง”ข้าวหอมบอกอย่างไม่ได้จริงจัง ก่อนจะลงมือจัดการความแซ่บตรงหน้า ผมเองปรับอารมณ์ให้ดูร่าเริงไปกับบรรยากาศของเพื่อน ยิ่งตอนนี้เพื่อนผมท้องอยู่ก็ไม่อยากให้เค้ามากังวลอะไรกับความรู้สึกผมมากนัก ผมว่าผมยังไหว ยังรอเค้าได้

“ครับ ว่าไงครับ”หลังจากทานส้มตำกันไปได้สักพักคนที่ผมฝากให้ไปติดต่องานแทนก็โทรเข้ามา

“คือว่าลูกค้าที่คุณแปงให้ผมมาเจอวันนี้นะครับ…”จากน้ำเสียงที่ได้ยิน ผมว่าคงไม่ใช่สัญญานที่ดีแน่ๆ ผมขอตัวลุกจากโต๊ะที่ทานอยู่เพื่อหามุมที่คุยสะดวกกว่าเดิม

“ติดปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”เมื่ออีกฝ่ายมัวแต่อ้ำอึ้ง เลยเป็นผมเองที่ต้องจี้ให้เข้าประเด็นเสียที ผมพยายามนึกว่ามันจะมีปัญหาอะไร ในเมื่อผมคุยตกลงกับพี่ปุ๊กไว้แทบจะทุกอย่างแล้ว อีกอย่างวันนี้พี่ปุ๊กเองก็ส่งตัวแทนมา ไม่น่าจะมาขอแก้ไขอะไรนี่นา

“คือลูกค้ายืนยันว่าจะให้คุณแปงมาเองนะครับ ผมอธิบายยังไงก็ไม่ยอม”ยังไงละเนี่ย แต่อย่างว่าผมเองก็ยังไม่ได้คุยกับพี่ปุ๊กด้วยสินะว่าจะให้คนไปแทน ผมวางสายแล้วกดหาพี่ปุ๊กแทน แต่ก็เหมือนเดิมครับพี่ปุ๊กไม่รับสายผม สงสัยจะติดธุระอยู่

“สงสัยต้องขอตัวก่อนวะแก เหมือนงานจะมีปัญหา”ผมกลับเข้ามาบอกกับข้าวหอม โชคดีที่พอได้รับการเยียวยาจากปลาร้าแล้ว ข้าวหอมเลยอารมณ์ดี ไม่เหวี่ยงวีน ยอมให้ผมปลีกตัวไปพบลูกค้าได้

“คุณแปงอีกนานไหมครับกว่าจะถึง”ผมถูกโทรตามอีกครั้ง จนเริ่มชักอยากรู้แล้วว่าวันนี้พี่ปุ๊กส่งใครมา ทำไมดูมันเหมือนจะวุ่นวายได้ขนาดนี้

“น่าจะไม่เกินครึ่งชั่วโมงนะครับ”ผมกะเวลาจากสถานที่ตอนนี้ถึงจุดที่นัดพบ ก็ถือว่าไม่ไกลมาก ยังดีที่นี่ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วนอะไร แต่ผมก็คงต้องรีบทำเวลาสักหน่อย เพราะถ้าทางนั้นจะรอพบผมจริงๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้คงต้องเรียกว่าเค้ารอผมอยู่นานแล้วเหมือนกัน ทีแรกผมก็คิดว่าฝั่งผมไม่ผิดนะครับ ที่ให้ตัวแทนไป

พอคิดดูอีกที ปกติก็มีแค่ผมไปเอง แถมครั้งนี้ก็ไม่ได้แจ้งทางนั้นไว้เป็นกิจลักษณะ ผมเองก็ลืมไปว่าเรื่องของธุรกิจ มันไม่ใช่จะมาอาศัยความสนิทสนมส่วนตัวอะไรมาก บางอย่างมันก็คงต้องยังให้เป็นทางการอยู่

“ขอโทษนะครับ ที่เคลียร์ไม่จบ ยังต้องให้คุณแปงลำบากตามมาแบบนี้”คนที่มาแทนผมออกมารับผมด้วยความร้อนใจ แถมดูกังวลว่าผมจะตำหนิ

“ไม่เป็นไรครับ ยังไงเดี๋ยวผมลุยต่อเอง พี่กลับออฟฟิศเลยก็ได้ครับ”ผมบอกให้เค้าผ่อนคลายขึ้น ก่อนจะถามถึงลูกค้าว่ารออยู่ตรงไหน ปกติผมกับพี่ปุ๊กก็นัดกันร้านนี้ประจำแต่เพราะค่อนข้างมีความส่วนตัว สามารถคุยรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวล

หลังจากรู้หมายเลขโต๊ะแล้วผมก็เดินเข้าร้านอย่างคุ้นเคย เพราะมาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วนแล้วละครับ ผมส่งยิ้มให้พนักงานที่หยุดโค้งต้อนรับในขณะที่เดินสวนกัน พอเข้าไปใกล้โต๊ะที่นัดสายตาผมก็เห็นแผ่นหลังของคนที่รออยู่ไม่ไกลนัก

“ไม่ใช่หรอกมั้ง”ผมหยุดเดินพึมพำกับตัวเอง

ผมค่อยๆ ก้าวช้าๆ พร้อมใจที่เต้นระรัว เพราะแผ่นหลังที่เห็นมันช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน ประกอบกับที่อะไรหลายๆ อย่างในวันนี้ทั้งพี่ปุ๊กไม่มาเอง และไม่รับโทรศัพท์ผม รวมถึงเจ้าของแผ่นหลังนี่อีกที่ยืนยันจะเจอผมให้ได้ เพราะงั้นผมขอเข้าข้างตัวเองไปก่อนแล้วกันนะครับว่าคนตรงหน้านี้

“นึกว่าลุงจะไม่มาซะแล้ว”

ยังไม่ทันที่ผมจะเดินอ้อมไปด้านหน้าของเค้า กลับกลายเป็นเค้าเสียเองที่หันมา และลุกมายืนเผชิญหน้ากับผม ผมแทบจะยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเค้า

“คิดถึง”ผมพูดออกไปเสียงแผ่ว เหมือนแค่ละเมอออกมาเสียมากกว่า คนตรงหน้าทำหน้ายู่เมื่อเห็นอาการนิ่งๆ ของผม มันไม่ใช่ว่าผมไม่ดีใจหรือไม่ยินดีที่เจอเค้านะครับ แต่ผมกำลังดีใจจนบอกไม่ถูกมากกว่า อยากจะมองเค้าให้เต็มตามากกว่านี้ว่าหลายปีที่ไม่ได้เจอกันเค้าเปลี่ยนไปขนาดไหน แต่น้ำใสๆ ก็กำลังจะไหลมาปิดดวงตาของผมแล้ว

“ไม่ดีใจเหรอที่ผมกะ…”

“คิดถึง คิดถึงมากๆ เลย”ผมโผเข้ากอดเค้าแน่นอย่างไม่อาย ไม่ปล่อยให้เค้าพูดอะไรอีก สองแขนของผมโอบเค้าไว้เหมือนกลัวว่าที่กอดอยู่นี่ไม่ใช่ของจริง หรือถ้าผมคลายอ้อมกอดออก เค้าจะให้ไปหรือเปล่า

“ไม่ร้องสิครับ คนเก่งของผม ผมอยู่นี่แล้วไง”ฝ่ามือที่ยีเบาๆ บนหัวผมช่วยยืนยันว่าที่ผมกอดอยู่นี่คือของจริง ไม่ใช่ความฝัน เค้ากลับมาแล้ว กลับมาแล้วจริงๆ สินะ

“จะไม่หนีไปไหนอีกแล้วใช่ไหม”อาจจะดูเป็นคำถามงี่เง่าปัญญาอ่อน แต่ผมก็ไม่อยากให้เค้าไปไหนอีกแล้ว แม้จะบอกตัวเองเสมอว่าผมรอไหว ผมยังเข้มแข็งได้อีก แต่จริงๆ แล้วผมว่าผมโคตรจะอ่อนแอเลย

“กลัวผมหายไปเหรอครับ”เสียงกระซิบถามเบาๆ ที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงที่เหมือนเอ็นดูนั้น ทำเอาผมเขินจนต้องซุกหน้าเข้ากับแผงอกของเค้าอย่างลืมตัว ลืมว่านี่เรายังอยู่ในร้านอาหาร

“สัญญาสิว่าจะไม่ไปไหนอีกแล้ว”ผมยังคงกอดเค้าแน่น จนอีกฝ่ายต้องหลุดขำออกมาเบาๆ กับสิ่งที่ผมทำตอนนี้ แม้ปีนี้อายุผมใกล้จะเฉียดเข้าเลข 3 แล้วแต่กลายเป็นว่าผมเหมือนกำลังทำตัวเด็กกว่าคนตรงหน้านี่แล้ว

“น่าจะยังมีที่ต้องไปอยู่นะครับ”

“ไปไหน”ผมผละออกจากเค้าอย่างรวดเร็ว มองหน้าอีกฝ่ายอย่างต้องการคำตอบ แต่เค้ากลับยิ้มชอบอกชอบใจ ก้มลงมากระซิบข้างหูผม

“ไปหาที่คุยกันให้หายคิดถึง”





TBC
—————————————————————————————
เจอกันแล้ว

ตอนนี้ก็สั้นไปนิดอีกแล้ว

แต่ยังไงเค้าก็ได้เจอกันแล้วเนอะ

จากนี้ก็รอดูต่อว่าจะมีอะไรอีกหรือเปล่า

พ่อแม่ของภู่โอเคหรือยัง

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามให้กำลังใจกันมานะฮ่ะ

นี่ก็โค้งสุดท้ายของเรื่องนี้แล้ว อีกไม่กี่ตอนก็คงจบแล้ว

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
สั้นได้อีก  จิลงแดงแล้วค่า    :katai1:

รอมา 4 ปี เพิ่งจะเจอกันก็วันนี้ หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น ได้อยู่ด้วยกันซะทีนะ 

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
รุ้สึกพลาดมากที่ไม่ได้กดเข้ามาอ่านเรื่องนี้
คือเรื่องสนุก เราชอบมากๆๆๆๆๆๆ
เสียดายอีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว
ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ค่ะ ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด