บทที่ 40
ตัดสินใจ
“ไหนแกกว่าวันนี้แฟนเด็กแกสอบเสร็จจะไปฉลองด้วยกันไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ทำไมถึงมาชวนชั้นกินข้าวแบบนี้”ข้าวหอมมองผมอย่างจับผิด ซึ่งมันก็ผิดปกติจริงๆ นั่นแหละครับ วันนี้ตามแผนเดิมคือผมจะไปหาภู่ที่บ้าน ทานข้าวด้วยกันและจะเปิดประเด็นคุยในเรื่องการเรียนต่อของเค้า แต่ทุกอย่างมันผิดแผนเพียงเพราะ...
“พี่จำฝ้ายได้ใช่ไหมคะ”หญิงสาวที่มาดักรอผมหลังเลิกงาน แน่นอนว่าผมจำเธอได้ เพราะเธอคือแฟนเก่าของภู่ ที่จูบกันให้ผมเห็นตอนไปเชียงใหม่ครั้งนั้น
“จำได้ครับ ว่าแต่น้องมีอะไรหรือเปล่า”ลางสังหรณ์บอกกับผมว่าเธอคงไม่ได้บังเอิญผ่านมาทักทายแน่นอน และถ้าให้เดามันก็คงเรื่องเกี่ยวกับภู่แน่นอน แล้วนี่ทำไมทุกคนจะต้องพุ่งเป้ามาที่ผมด้วย
“ทำไมพี่ไม่ยอมปล่อยให้ภู่เค้าได้ทำตามความฝันของตัวเอง คนเป็นแฟนกัน คนรักกันมันก็ต้องหวังดีต่อกันไม่ใช่เหรอคะ”น้ำเสียงเหยียดๆ ที่เปล่งออกมาเห็นได้ชัดเลยว่าเธอคงจะไม่ได้ชอบผมสักเท่าไหร่
“หมายความว่ายังไง”แม้จะพอคาดเดาได้ว่าสิ่งที่หญิงสาวพูดมันคือเรื่องการเรียนต่อของภู่ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดมาแบบไหน หรือใครเล่าอะไรให้เธอฟัง
“ก็เพราะพี่ไม่ใช่เหรอที่ทำให้ภู่เค้าต้องทิ้งความฝันของตัวเอง”ผมเริ่มชักสีหน้าใส่อีกคน เพราะสิ่งที่เค้าพูดเหมือนกำลังสื่อว่าผมเป็นคนที่ไม่ยอมให้ภู่ไปเรียนต่ออย่างนั้นแหละ ทั้งที่ความจริงผมเองก็ตั้งใจจะพูดให้ภู่เปลี่ยนใจ ยอมไปอยู่แล้ว
“น้องครับ พี่ไม่รู้ว่าน้องไปเอาข้อมูลพวกนี้มาจากไหน แต่ต่อให้ไอ้เรื่องที่น้องรับรู้มามันจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง พี่ว่าน้องก็ไม่มีสิทธิ์ ที่จะมาเสียมารยาทกับพี่แบบนี้ ที่มาทำแบบนี้นี่คือน้องมาทำในฐานะอะไร หรือว่าต้องการอะไรกันแน่”ด้วยความไม่ค่อยพอใจเลยทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น
“ฝ้ายก็แค่ หวังดีกับภู่ในฐานะเพื่อนคนนึงก็แค่นั้น”หญิงสาวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สีหน้าแววตาที่มองผมกลับไม่ได้ดูราบเรียบเหมือนคำพูด ผมรู้สึกว่าคนตรงหน้านี้กำลังท้าทายผมอยู่
“ถ้าแค่นั้นจริงๆ พี่ก็คงต้องขอบคุณแทนภู่เค้าด้วย ที่มีเพื่อนดีๆ หวังดีกับเค้าขนาดนี้ แต่น้องฝ้ายไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องของภู่ ทุกอย่างเค้าเป็นคนตัดสินใจเองตามความต้องการของเค้าอยู่แล้ว พี่ไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายสักนิด”ถึงครั้งนี้ผมกำลังคิดจะก้าวก่าย แต่เพื่อให้ผู้หญิงคนนี้รับรู้ว่าผมถือไพ่เหนือกว่า ผมขอเลือกที่จะบอกออกไปแบบนั้น
“งั้นฝ้ายจะรอดูแล้วกันนะคะ ยังไงวันนี้คงต้องขอตัวก่อน”นี่ตกลงคือจะมาแค่กวนประสาทผมแค่นี้งั้นเหรอ สมองผมเริ่มประมวลผล ว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงต้องการให้ภู่ไปเรียนต่างประเทศ ถ้าแค่ไอ้ความหวังดีอย่างที่เธอบอก คงไม่ลงทุนมาหาผมถึงที่นี่แน่นอน
“เดี๋ยวครับน้องฝ้าย”ผมรีบตามออกไปเรียกเธอไว้ได้ทัน
“คะ”เธอหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าดูไม่พอใจสักเท่าไหร่
“น้องฝ้ายเองก็จะไปเรียนต่อที่อเมริกาใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”เธอตอบผมพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ฉายชัดว่าเหนือกว่าผมมากๆ และเพราะการคาดเดาของผมได้รับการยืนยัน นั่นเป็นสาเหตุที่ผมรู้สึกสับสนจนยังไม่พร้อมจะไปเจออีกคน
จากทีแรกที่มั่นใจอยากให้เค้าไปเรียนต่อตามที่เคยอยากไป แต่ตอนนี้พอได้รับรู้ว่าถ้าไป เค้าต้องไปพร้อมกับใคร ใจผมมันก็ไม่อยากให้เค้าไปเสียดื้อๆ แต่สิ่งที่ค้ำคอผมอยู่มันคือการรับปากกับแม่ของเค้าแล้วว่าจะหว่านล้อมให้เค้ายอมไปเรียนต่อต่างประเทศ
“จะเล่าเองหรือจะให้เพื่อนถามจากหนุ่มหล่อที่โทรเข้ามานี่คะ”ข้าวหอมหันหน้าจอโทรศัพท์ เรียกสติให้ผม ชื่อบนหน้าจอที่ปรากฏคือคนที่ผมกำลังหลบหน้า และโทรศัพท์ของผมตอนนี้ก็ปิดเครื่องไว้ตั้งแต่นัดแนะกับข้าวหอมเรียบร้อย
“บอกไปว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”ผมบอกก่อนจะเงียบให้ข้าวหอมรับโทรศัพท์
“ค่ะน้องภู่...เอะติดต่อไม่ได้เหรอคะ...พี่ก็ไม่รู้สิ นี่ก็ไม่ได้อยู่บ้านพอดีออกมาทำเล็บ ถ้าอยู่บ้านจะไปดูที่บ้านแปงให้เลยเนี่ย...สงสัยคงแบตหมดมั้ง...ไม่เป็นไรๆ งั้นพี่ทำเล็บต่อนะ”เรื่องแบบนี้นี่ไว้ใจข้าวหอมได้จริงๆครับ
“เล่ามาให้หมดค่ะคุณเพิ่อน”
ผมเริ่มเล่าทุกอย่างให้ข้าวหอมฟังตั้งแต่ประเด็นที่ภู่ไม่ยอมคุยเรื่องเรียนต่อกับผม จนแม่ของภู่กับพี่ปุ๊กมาหาผม และล่าสุดวันนี้ที่น้องฝ้ายแฟนเก่าของภู่ที่เหมือนต้องการมาปั่นหัวผม
“แกอย่าไปยอม เอางี้แกก็ตามไปเรียน ป.โท ที่อเมริกากับน้องภู่ด้วยเลย”หลังฟังที่ผมเล่าจบ ข้าวหอมก็ออกความเห็นอย่างออกรสออกชาติทันที
“ลืมไปหรือเปล่าว่าเพื่อนแกจบโทแล้ว”ผมเบรกคำแนะนำของข้าวหอมเพราะมันฟังดูเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย
“โหนี่แกแก่กว่าน้องภู่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย คนนึงกำลังจะจบมัธยม แต่อีกคนนึงจบปริญญาโทไปแล้ว”
“ไม่ต้องมาย้ำ”ผมสวนกลับอย่างเซ็งๆ จะว่าไปเรื่องความห่างของอายุนี่มันก็...จะว่าเป็นปัญหามันก็เป็นนะครับเพราะดูแนวทางการดำเนินชีวิตของเราทั้งคู่มันก็เดินไปพร้อมกันยากอยู่เหมือนกัน ที่เห็นชัดๆ ก็ช่วง 3-4 ปีต่อจากนี้นี่แหละครับ
“งั้นจากที่ฟังแกเล่า น้องภู่ก็ไม่ได้อยากไปเรียกต่อเมืองนอกนิแก ก็สรุปว่าแกไม่ต้องทำไรไง อยู่เฉยๆ ผู้ชายไม่หนีไปไหน”นี่เพิ่อนผมเข้าใจที่ผมพูดไปบ้างไหมครับเนี่ย ก็บอกอยู่ว่าที่จริงภู่ก็คงอยากไป หรือว่าที่จริงเหตุผลที่จะไปนี่ตัดสินใจไว้พร้อมกับน้องฝ้ายนั่นตั้งแต่ตอนยังคบกัน
“อ้าวหงอยทำไมละเนี่ย เป็นอะไรอีกคะคุณเพื่อน”ข้าวหอมที่สังเกตเห็นอาการของผม ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ ผมกำลังจะหันไปตอบ ข้าวหอมก็ยกมือห้าม แล้วหยิบโทรศัพท์มาให้ผมดูอีกครั้ง คราวนี้เป็นเบอร์ของพี่สาวผม
“ให้รับเลยไหม”ผมพยักหน้ารับ เพราะถ้าเป็นพี่สาวผมก็ไม่น่าจะมีอะไร อีกอย่างภู่เองก็น่าจะไม่ถึงขนาดมีเบอร์พี่สาวผม หรือว่า...คงไม่ใช่ว่าภู่บุกไปถึงบ้านผมหรอกนะ แต่ไม่น่าใช่เพราะตอนคุยกับข้าวหอมก็มีการกล่าวถึงบ้านผมอยู่เหมือนกัน
“เจ้ปอจะคุยกับแก”ทันทีที่ข้าวหอมรับสาย ก็ส่งต่อมาให้ผมแทบจะทันที
“ปิดเครื่องทำไมเนี่ย”เปิดฉากมาก็เสียงดุใส่ผมเลยครับ แถมยังมาทำเป็นรู้ทัน ไม่คิดว่าผมจะแบตหมดกันบ้างหรือไงเล่า
“มีอะไรด่วนเหรอครับเจ้ นี่น้องกินข้าวเสร็จอีกสักพักก็จะกลับแล้ว หรือคิดถึงจนทนไม่ไหว”ผมแกล้งทำเสียงพูดทีเล่นทีจริง เพราะไม่ค่อยมั่นใจว่าเจ้ผมอยู่ในอารมณ์ไหน แต่แค่ดุๆ ยังไม่ถึงกับด่านี่แสดงว่าผมยังล้อเล่นกับเจ้ได้อยู่ครับ
“น้องภู่โทรหาเจ้”แต่แล้วผมก็ต้องสงบปากสงบคำลง
“เค้ามีเบอร์เจ้ได้ยังไง”ผมรีบถามอย่างสงสัย
“ขอพี่ปุ๊กมานะสิ แล้วนี่มีอะไรกัน เห็นเค้าบอกว่าวันนี้นัดกัน แล้วไปเบี้ยวนัดน้องเค้า แถมติดต่อไม่ได้อีก ไหนจะยังให้ข้าวหอมช่วยกันโกหกอีก”ไอ้เรื่องอื่นๆ นี่เข้าใจนะครับ แต่เรื่องให้ข้าวหอมโกหกนี่ เจ้ผมจะรู้ได้ไงเนี่ยเก่งเกินไปแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ไว้เดี๋ยวผมโทรไปคุยกับเค้าเอง”ใจหนึ่งก็อยากคุยกับเค้าต่อหน้านะครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้จริงๆ ว่าจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเค้าไหม จะว่าไปผมก็ควรโทรไปบอกเค้าว่าผมยังไม่พร้อมเจอหรือไม่พร้อมคุย ไม่ควรจริงๆ ที่จะหายเงียบไปเฉยๆ แบบนี้
“มีอะไรก็คุยกันดีๆ แปงนะเป็นผู้ใหญ่กว่า ก็ควรทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ทำตัวเป็นเด็กแล้วหนีปัญหาแบบนี้”โดนบ่นจนได้สินะครับเนี่ย ผมตกปากรับคำผู้เป็นพี่สาวและโดนบ่นอีกนิดหน่อยก็วางสายไป ผมค่อยๆ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดเปิดเครื่อง และยังไม่ทันจะตั้งตัว ว่าจะโทรหาอีกคนไหมชื่อเค้าก็ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ของผมแล้ว
“รับสิแก ลีลาทำไมเนี่ย จะได้คุยได้เคลียร์”ข้าวหอมเร่งเหมือนผมทำอะไรก็ไม่ได้อย่างใจเธอสักอย่าง นี่ดีนะครับที่เราเป็นเพื่อนกัน ถ้าเป็นแฟนกันนี่ไม่อยากจะคิดสภาพ เอาเป็นว่าชะตากรรมนั้นให้พี่โตรับไปแล้วกันครับ
“ลุง”
“อย่าเพิ่งพูด”ผมรีบห้ามอีกฝ่ายที่เหมือนกำลังจะร่ายยาวผ่านสายโทรศัพท์ เพราะถ้าจะคุยกันระหว่างผมกับเค้ามันคงต้องคุยกันยาว เพราะงั้นผมว่าไปคุยกันต่อหน้าให้เคลียร์ไปเลยดีกว่า ที่จริงปัญหามันก็มาจากผมเองนี่แหละที่ไม่ยอมไปเจอเค้าตั้งแต่แรก
“เดี๋ยวพี่ไปหาที่บ้าน”มันคงถึงเวลาที่ต้องหันหน้าคุยกันอย่างจริงจังแล้วสินะ
“รีบมานะครับ ผมรออยู่”ทำไมน้ำเสียงของเค้ามันถึงได้ดูเศร้าขนาดนี้ละเนี่ย
“อือ”
ผมวางสายไปแล้วหันมองข้าวหอมที่ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผมอีกครั้ง ก่อนจะไล่ให้ผมรีบไปเพราะเธอเรียกพี่โตให้มานั่งเป็นเพื่อนแล้ว ผมเลยต้องรีบเพราะคาดว่าออกไปตอนนี้ รถคงกำลังติด และอีกคนคงต้องรอผมอีกพักใหญ่แน่นอน ผมใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะถึงที่หมาย ดูจากแสงไฟในบ้านแล้ว แม้ผมจะไม่อยู่ แต่เค้ายังอยู่บ้านหลังฝั่งผมสินะ
“ผมนึกว่าลุงจะไม่มา”ผมยังไม่ทันจะก้าวเข้าตัวบ้านด้วยซ้ำ เหมือนพอรู้ว่าผมมาเค้าก็รีบออกมาหาผม ร่างของผมถูกดึงเข้าไปกอดเสียแน่น แน่นจนผมเริ่มรู้สึกเจ็บ นี่เค้าเองก็คงกำลังคิดไม่ตก เหมือนผมเช่นกันสินะ
“ปล่อยก่อนสิภู่ จะได้เข้าไปคุยกันในบ้านดีๆ”เค้าคลายวงแขนออก เปลี่ยนมาเป็นจับมือผมเดินนำเข้าไปในบ้าน เรานั่งลงที่โซฟา ข้างๆ กัน ต่างคนต่างมองหน้ากันอย่างตัดสินใจ
“วันนี้ฝ้ายมาหาพี่”ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน ซึ่งดูเค้าเองก็ไม่ได้แสดงอาการตกใจในสิ่งที่ได้ยิน นั่นแสดงว่าเค้ารู้แล้วว่าน้องฝ้ายมาหาผม
“แม่ผมก็เคยมาหาพี่ด้วยใช่ไหมครับ”น้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังและสรรพนามที่เปลี่ยนไป ทำให้รู้สึกว่าบรรยากาศมันชวนอึดอัดยังไงบอกไม่ถูกเลยครับ
“พี่ยังอยากให้ภู่เลือกในสิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกนะ”ตลอดทางที่ขับรถมาความคิดผมมันตีกันไปหมดทั้งอยากให้เค้าไป และไม่อยากให้เค้าไป แต่ท้ายที่สุดที่ผมเลือกแบบนี้ เพราะผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างเราสองคน มันไม่ใช่แค่ความหลงใหล เพียงชั่วคราว ผมเองที่ไม่เคยมีใครมาก่อน หรือเค้าเองที่อายุยังน้อย ระยะทางมันอาจจะช่วยพิสูจน์อะไรบางอย่างก็เป็นได้
“แสดงว่าพี่ ก็ไม่ต้องการผมเหมือนๆ กับทุกคนในครอบครัวผมสินะ”น้ำเสียงตัดพ้อและใบหน้าที่ผิดหวังของเค้า ทำเอาผมไม่เข้าใจ นี่เราแค่ห่างกันเพราะเค้าจะไปเรียน ทำไมพูดซะเหมือนเราจะเลิกกันงั้นแหละ
“หมายความว่ายังไง”
“พี่ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าผมไม่ไปเรียนต่อเมืองนอก ที่บ้านผมจะไม่ส่งเสียผมอีก”เดี๋ยวนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน ก็ไหนวันนั้นที่ผมคุยกับคุณแม่ของเค้า ก็แค่อยากให้ผมช่วยทำให้เค้ายอมไปเรียนเมืองนอกไม่ใช่เหรอ
“เรื่องนี้พี่ไม่เห็นรู้เลย”เค้ามองมาที่ผมอย่างไม่ค่อยเขื่อสักเท่าไหร่
“แต่พี่ว่า ที่บ้านภู่เค้าก็คงแค่ขู่ เพราะหวังดีกับภู่นั่นแหละ”ผมพยายามระวังน้ำเสียงและคำพูดให้มากที่สุดเพราะตอนนี้ดูเหมือนภู่กำลังจะเครียดมากอยู่ทีเดียว
“หวังดีเหรอ ผมว่าเค้าก็แค่อยากให้ผมแยกกับพี่เท่านั้นแหละ”
“แต่เท่าที่พี่คุยกับคุณแม่ภู่ คุณแม่ก็”แม้จะเริ่มเอนเอียงไปตามคำพูดของเค้าแต่ผมว่าที่เจอคุณแม่วันนั้นมันก็ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำดีกับผมนะครับ
“แม่ผมอาจจะเอ็นดูพี่นะครับ แต่คนที่ยังอยากให้ผมเลิกกับพี่คือพ่อ ถึงพ่อจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ผมก็รู้”ผมเริ่มไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เค้าพูดเต็มร้อย เพราะรู้สึกว่าจากที่ฟังคุณแม่ของเค้ามา คุณพ่อก็อาจไม่ได้จะกีดกันขนาดนั้น และถ้าให้ผมประเมินผมว่าคุณพ่อเองอาจจะอยากใช้ระยะทางที่ห่างกันแบบนี้มาพิสูจน์ความสัมพันธ์ของเราก็เป็นได้
“งั้นถ้าที่บ้านภู่ไม่ได้มีใครบอกให้เราเลิกกัน ออกมาตรงๆ ก็แสดงว่าเราก็ยังคบกันได้ การไปเรียนตามที่พ่อแม่ของภู่อยากให้ไปมันก็ไม่ได้แย่ อีกอย่างมันคือสิ่งที่ภู่เลือกเองตั้งแต่ต้นเลย ไม่ใช่เหรอ เราสองคนก็จะได้พิสูจน์ ความสัมพันธ์ด้วยว่าระยะทางทำอะไรเราทั้งคู่ไม่ได้”ผมกุมมือพร้อมอธิบายเค้า แน่นอนว่าสำหรับผมเองมันก็เป็นเรื่องยาก แต่ผมว่านี่มันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“แต่เราจะไม่ได้เจอกันเลยนะครับ”เค้ายังคงไม่เห็นด้วย
“มันก็แค่ไม่กี่ปี”ผมพยายามโน้มน้าว แม้ว่าที่จริงผมก็รู้สึกไม่ต่างจากเค้านักหรอก
“ทำไมพี่ดูอยากให้ผมไปจังเลย”อะไรละเนี่ย ทีแรกกะดูอ่อนลงแล้วแท้ๆ ทำไมนี่เหมือนจะโมโหขึ้นมาละเนี่ย
“พี่ก็แค่แนะนำให้มันออกมา กระทบทุกฝ่ายน้อยที่สุด”ผมยังคงพยายามไม่อารมณ์ร้อนไปตามเค้าเพราะดูตอนนี้เค้าเริ่มจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลแล้ว
“พี่ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เข้าใจจริงๆ เหรอว่าการที่พ่อผมอยากให้ไปเรียนเมืองนอกเพราะอยากให้เราสองคนห่างกัน ให้ผมกลับไปใกล้ชิดกับฝ้าย เค้าต้องการให้เราเลิกกัน”คำพูดรอบนี้ทำเอาผมเองก็ชักสีหน้าเหมือนกัน เพราะฟังแล้วเหมือนเค้ากำลังว่าผมว่าโตแล้ว แต่คิดไม่ได้
“ก็ไหนบอกว่าตัวเองโตแล้วไง เรื่องแค่นี้จะผ่านมันไปไม่ได้เหรอ ถ้าเราสองคนมั่นคงซะอย่าง มันก็จะเป็นการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นด้วยไง ว่าเราจริงจังกันแค่ไหน”แม้จะพยายามข่มอารมณ์แล้วแต่ผมก็ยังอดที่จะประชดเค้าไม่ได้
“คือยังไงก็จะให้ผมไปให้ได้ใช่ไหม”อะไรกันเนี่ยทำไมเหมือนยิ่งคุยกันกลับยิ่งไม่เข้าใจ
“คุยกันด้วยเหตุผลสิภู่ อย่าเพิ่งงี่เง่าเหมือนเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้”ตกลงนี่คือเราต้องทะเลาะกันใช่ไหมเนี่ย
“ถ้าพี่ว่าผมเด็ก ว่าผมงี่เง่า ก็เลิกกันไปเลยก็ได้”ไปกันใหญ่แล้ว อะไรของเค้าละเนี่ย
“ภู่ มีสติหน่อยสิ”ผมว่าตอนนี้เค้าเริ่มสติแตกแล้ว ผมไม่รู้ว่าเค้าเก็บเรื่องนี้มานานแค่ไหน หรือจริงๆ ครอบครัวเค้าพูดะไรมาบ้าง ผมก็คงไม่ได้รับรู้มาทั้งหมด แต่ผมไม่อยากให้เค้าเอาอารมณ์มาคุยกันแบบนี้เลย
“ผมมีสติดีครับ และผมก็ตัดสินใจแล้วว่ายังไงผมก็จะเรียนต่อที่นี่”
“ถ้าพี่อยากให้ผมไปนักเราก็เลิกกัน พี่กล้าเลิกกับผมไหมละ”
TBC
------------------------------------------------
ตอนหน้ามาลุ้นให้เค้าเลิกกัน
เอ้ย ปรับความเข้าใจกันสิเนอะ
หึหึ