[END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว  (อ่าน 56285 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คิดๆก็น่าสงสารภู่ อยู่คนเดียว ห่อเหี่ยว
เฝ้ารอลุงให้รีบกลับมาฉลองวันเกิด

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
จะทำโทษลุงเขายังไงเนี่ยยน้องภู่

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 17
ว่าด้วยเรื่องการจูบ




“วันนี้ลุงมาช้า ลุงต้องถูกลงโทษ”กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ออกมาพร้อมคำพูดนั้น แต่แล้วผมก็ไม่ได้รับรู้แค่กลิ่นอีกต่อไป เมื่อริมฝีปากที่ขยับตรงหน้าประกบลงมาที่ปากผม ด้วยความตกใจทำให้ปิดปากแน่น และกำลังจะถอยออกแต่เหมือนมือของอีกคนจะไวกว่า มือขวาเค้าสอดอ้อมไปด้านหลังรั้งตัวผมไว้

“อือ”ผมกำลังจะอ้าปากถาม ว่าเค้าทำอะไร แต่มันกลับกลายเป็นการเปิดปากให้เค้าสอดลิ้น เข้ามาในปากของผม ด้วยความทั้งตกใจและไม่เคย มันทำให้หัวใจผม เต้นรัวจนไม่เป็นจังหวะ เค้าที่เป็นเด็กมัธยมดูช่ำชองกว่าคนวัยเบญจเพสอย่างผม จากที่ผมจะต่อต้านในทีแรกเพราะความตกใจ แต่แล้วมันกลับกลายเป็นความหวาบหวาม จนผมเผลอปล่อยตัวไปตามอารมณ์กับเค้า

“ขม”คือความรู้สึกที่เหมือนจะเป็นเบียร์ที่รสชาติยังค้างอยู่ในปากของเค้า แต่มันก็ผสมกับความ “หวาน” ของเค้กในปากของผมเอง มันเป็นรสชาติที่แปลกใหม่และตื่นเต้นสำหรับผม แม้จะไม่เข้าใจว่าเค้าทำแบบนี้กับผมทำไม แต่ผมกลับรู้สึกหลงใหลในสิ่งที่ได้รับ สองมือผมเอื้อมขึ้นรั้งคอของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ ทุกอย่างมันโถมเข้ามารวดเร็วเสียผมตั้งตัวไม่ทัน แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดลง

“แฮ่กๆ”ผมหอบหายใจ สูดอากาศที่ถูกตัดไปเมื่อสักครู่ เค้าค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกไปอย่างอ้อยอิ่ง เราสบตากันนิ่งก่อนที่ต่างคนต่าง ถอยห่างออกจากกัน ต่างคนต่างเหมือนทำตัวไม่ถูก

“เมื่อกี้มันอะไร”ผมพูดออกมาแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ตาก้มลงมองพื้นเป็นที่เรียบร้อย ใจก็ยังเต้นไม่เป็นจังหวะเช่นเดิม

“ผมคง...เมาแล้ว ผมกลับก่อนดีกว่านะครับ”ผมหันหน้าขึ้นมองอีกคน แต่เค้าก็ลุกขึ้นเดินออกจากบ้านผมไปเลย ทิ้งให้ผมที่ยังไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น

“จูบแรก”ไอ้เด็กบ้านี่ผมเสียจูบแรกให้กับเด็กบ้านั่นเหรอเนี่ย ผมรีบเอามือขึ้นจับริมฝีปากตัวเอง แต่พอจับมันกลับยิ่งเหมือนว่ากดปุ่มรีเพลย์เหตุการณ์เมื่อสักครู่ให้เล่นวนในหัวของผมอีกรอบ

“นี่คือการลงโทษผม ของเด็กนั่นเหรอเนี่ย”ผมทิ้งหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง แล้วไอ้เด็กนั่นก็อะไร มาทำแบบนี้แล้วก็ชิ่งหนีไปดื้อๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน ทำไมไม่พูดอะไรบ้าง ไม่สิ เด็กบ้านั่นบอกว่าเมา “เมา” แล้วยังไงละ เมาแล้วมีสิทธิ์มาขโมยจูบแรกของคนอื่นแบบนี้เหรอ ว่าแต่จะเรียกขโมยได้ไหมเพราะผมเองก็ไม่ได้ดูตั้งใจจะขัดขืนสักเท่าไหร่กัน

“โอ้ย”ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวครับ นี่มันเรื่องอะไรกันแล้วนี่คืนนี้ผมจะนอนหลับไหมครับเนี่ย ผมเดินเบลอๆ เข้าห้องนอนทั้งที่ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ชุดทำงานก็ยังไม่ได้เปลี่ยน แต่ตอนนี้ผมไม่มีสติจะทำอะไรทั้งนั้น ผมล้มตัวลงนอนอย่างไม่รู้จะทำยังไง แต่ด้วยความเพลียที่ทำงานมาทั้งวัน จากที่คิดว่าตัวเองจะนอนไม่หลับ ก็ทำให้รู้ว่าไอ้เรื่องในหัวของผมยังต้านทานความอ่อนเพลียของผมไม่ได้

“ชิบหาย 7 โมง”ผมมองดูนาฬิกาทันทีที่สะดุ้งตื่น นี่ปกติเวลานี้ผมแทบจะทานข้าวเสร็จเตรียมออกจากบ้านแล้วนะครับ อีกอย่างทุกครั้งถ้าเด็กบ้านั่นทำกับข้าวเสร็จแล้วและผมยังไม่ตื่น ก็ต้องมาเคาะเรียกปลุกแล้วนี่นา ยิ่งช่วงหลังๆ บางทีผมไม่ล็อคห้องก็เข้ามาปลุกผมถึงเตียงเสียด้วยซ้ำ แล้วนี่วันนี้ทำไมเค้าไม่มาปลุกผม หรือว่าเค้าไม่ได้มาทำกับข้าวเช่นเคย ไวเท่าความคิดเมื่อเหตุการณ์เมื่อคืนช่วยกระตุ้นความจำผม

“พี่แปงตื่นแล้วเหรอครับ”เค้าที่อยู่ในชุดนักเรียนและเหมือนทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีทีท่าตกใจเล็กน้อยที่เห็นผมพรวดพราดออกมา ผมก็เพิ่งจะระลึกได้ว่าเมื่อคืนตัวเองไม่ได้อาบน้ำ แถมหลับไปทั้งชุดทำงานชุดเดิมของเมื่อวาน เรียกว่าสภาพผมตอนนี้น่าจะดูไม่จืดเลยทีเดียว

“ทำไมไม่ปลุก”แม้จะรู้สึกว่าบรรยากาศวันนี้มันดูอึดอัดแปลกๆ แต่ผมก็ยังพยายามทำตัวให้เหมือนปกติ พยายามจะไม่นึกถึงเรื่องเมื่อคืน จะไม่นึกถึงว่าเมื่อคืนเราสองคนจูบกัน จะไม่นึกว่ารสจูบนั้นเหมือนเบียร์ผสมเค้ก นี่คือผมจะไม่นึกถึงจริงๆ นะครับ

“ไม่อยากรบกวนพี่แปงนะครับ เห็นว่าเมื่อคืนกลับดึก”เค้าตอบเสียงเรียบ โดยไม่ได้หันมามองผม แล้วเค้าก็เดินเอาชามข้าวต้มที่กินเสร็จแล้ว เข้าครัวไปล้างเก็บ ทำไมผมว่าวันนี้เค้าทำตัวแปลกๆ กันนะ เพราะเรื่องเมื่อคืนงั้นเหรอ

“ผมไปเรียนก่อนนะครับ พี่แปงก็รีบละเดี๋ยวจะไปทำงานสาย”นิ่ง นี่เค้านิ่งเกินไปจนผิดปกติแล้ว เค้าแทบไม่หันมาสบตาผมเสียด้วยซ้ำ นี่เห็นผมเป็นอากาศธาตุหรือไงกัน

“ภู่”ผมเรียกเค้าไว้ก่อนที่เค้าจะเดินออกไป เค้าเพียงหยุดแต่ไม่ได้หันกลับมามองผม

“ไม่รอไปพร้อมกันเหรอ”

“ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมไปเองสะดวกกว่า”เค้าตอบทั้งที่ไม่หันกลับมามองผมด้วยซ้ำ ไอ้เด็กบ้านี่เมินผม งั้นเหรอ เมินผมเพราะเรื่องไหน ไม่พอใจเรื่องที่ผมให้รอนาน ก็ไม่น่าใช่เพราะผมว่าเมื่อคืนเราก็คุยกันรู้เรื่องแล้ว หรือจะมาเมินผม เพราะเรื่องที่เราจูบกันเมื่อคืน ถ้าเรื่องนั้นมันความผิดผมเมื่อไหร่กัน

ผมไม่ใช่คนเริ่มเสียหน่อย ผมต่างหากไหมที่เป็นคนที่ควรจะรู้สึกอะไรมากกว่าเค้า ได้ถ้าจะเล่นแบบนี้ก็ได้เลยไอ้เด็กบ้าเอ้ย แหมทำมาเป็นเรียกพี่แปงอย่างนั้น พี่แปงอย่างนี้ ทั้งที่เดียวนี้ก็เห็นเรียกผมลุงมาตลอดอยู่แล้ว ผมรีบสลัดไอ้เด็กบ้านั่นออกจากความคิด รีบอาบน้ำแต่งตัว กินข้าวให้เร็วที่สุด

แต่ว่าแม้จะรีบยังไงพอออกผิดเวลาแบบนี้ ด้วยการจราจรแบบนี้มีหวังก็สายอยู่ดีแหละครับ จากที่หงุดหงิดไอ้เด็กบ้านั่นที่มาทำเมินผม ก็ยังต้องมาหงุดหงิดกับรถติดนี่อีก ทำไมชีวิตผมมันรันทดได้ขนาดนี้เนี่ย ก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในรถคนเดียวนั่นแหละครับ สุดท้ายกว่าจะฝ่ารถติดมาถึงที่ทำงานได้ ก็เกือบ 9 โมงครึ่ง ดีที่ไม่ใช่ผมคนเดียวที่สาย เพราะนี่เล่นสายกันยกเซต พี่ฟ่าง พี่ต้าร์ เจ้โอ๋ 3 คนนั้นดูสภาพแล้วไม่น่ามีใครมาครบ 100% นี่คงฝากไว้ที่ร้านเหล้าคนละนิดละหน่อยแน่ๆ

“ไหวไหมพี่”ผมถามพี่ต้าร์ที่เดินกาแฟนสวนไป แต่เหมือนพี่แกจะไม่พร้อมทักทายผมสักเท่าไหร่ นี่คงอาการหนักสุดสินะ ถ้าผมไปด้วยนี่อาจจะน็อคแล้วมั้งครับ แต่ถ้าเมื่อคืนผมไปกับพี่ๆ เค้า ผมกับไอ้เด็กบ้านั่นอาจจะไม่ต้องจูบกันก็เป็นได้

“แปง เป็นไรเนี่ยดูเหม่อๆ นอนไม่พอเหรอ”พี่ฟ่างที่ยังชงกาแฟอยู่ในห้องครัวทักผม ที่ยังคงยืนเอ๋อๆ จับแก้วกาแฟอยู่ ไม่ใช่ว่าผมนอนไม่พออย่างที่พี่ฟ่างว่าหรอกนะครับ แต่ผมแค่ยังคิดไม่ตกเรื่องผมกับไอ้เด็กบ้านนั่นแหละครับ ผมไม่เข้าใจจริงๆ นะครับว่าทำไมเค้าต้องเมินผม จะว่าเขินก็ไม่น่าใช่

“พี่ฟ่างเคยจูบไหม...ครับ”ด้วยความที่สมองผมยังคิดแต่เรื่องนี้วนไปวนมา จากจะทักทายพี่ฟ่างก็ดันเป็นพูดเรื่องจูบเสียอย่างนั้น แล้วเพื่อไม่ให้ตัวเองปล่อยไก่ไปมากกว่านี้ ผมเลยปล่อยเลยตามเลย ไม่แก้ไขมันละ พี่ฟ่างก็ดูงงๆ หน่อยๆ กับสิ่งที่ผมถามและก็เหมือนจะกลั้นขำเอาไว้ด้วย แล้วการถามเรื่องจูบนี่มันน่าขำตรงไหนกันเล่า หรือว่าไม่มีใครเค้าถามกัน หรือผมควรถามคนอื่น แต่จะให้ผมถามใครละ ข้าวหอมเหรอ รายนั้นได้ซักผมจนซีดแน่ งั้นก็ถามพี่ฟ่างนี่แหละ

“ไปจูบกับใครมาละ”หรือผมเปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหม ไม่ถามมันยังจะดีกว่าหรือเปล่า แต่พี่ฟ่างไม่รู้จักภู่นิ ต่อให้เล่าไปถ้าผมแค่ถามเป็นเรื่องสมมติ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรนี่เนอะ อีกอย่างพี่ฟ่างก็ไม่ใช่คนขี้เม้าท์เหมือนเจ้โอ๋กับพี่ต้าร์ ผมมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะขยับเข้าหาพี่ฟ่าง

“ตกลงพี่ฟ่างมีแฟนแล้ว...เหรอครับ”ผมถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก ถึงพี่ฟ่างไม่ได้ตอบว่าเคยจูบมาไหม แต่อาการมันก็ฟ้องว่าเคย อีกอย่างพี่ฟ่างเองก็คงประสีประสากว่าผมเยอะแน่นอน แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมไม่เคยเห็นใครพูดเรื่องแฟนพี่ฟ่างเลย แล้วพี่ฟ่างจะไปจูบกับใคร

“เรียกว่าแฟนไหม...ก็คงไม่ใช่แหละ”พี่ฟ่างทำท่าคิดนิดนึงก่อนจะตอบออกมา ไม่ใช่แฟนแต่ก็เคยจูบกันงี้เหรอ แต่เอะ พี่ฟ่างก็ไม่ได้บอกนิว่าเคยจูบ แต่เอะหรือว่าการจูบกันมันไม่ต้องเป็นแฟนกันก็ได้

“คนเราไม่ต้องเป็นแฟนกัน ไม่ต้องเป็นคนรักกันก็จูบกันได้เหรอครับ”ผมถามอย่างสงสัย เพราะคิดมาตลอดว่าจูบแรกของผมจะเก็บไว้ให้คนที่ผมจะรักเค้าอะไรแบบนั้น หรือผมคิดอะไรที่น้ำเน่าเกินไป

“คนบางคนรู้สึกดีต่อกันแต่อาจจะไม่ได้เป็นแฟนกันก็ได้นิ”ถ้ารู้สึกดีต่อกันแล้วทำไมถึงไม่คบกันเป็นแฟนละ ความคิดผมขัดแย้งกับสิ่งที่พี่ฟ่างกำลังพูด หรือแค่รู้สึกดีแต่มันยังไม่มากพอที่จะเปลี่ยนสถานะ

“หรือบางคนก็จูบกันเพราะมีบางอย่างที่ต้องการเหมือนกัน”ผมยังคงเงียบรับฟังสิ่งที่พี่ฟ่างบอก แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตามที เอาจริงๆ ผมไม่นึกว่าพี่ฟ่างจะมีมุมมองอะไรแบบนี้ หรือมาอธิบายเรื่องนี้ให้ผมฟังด้วยซ้ำ

“บางอย่างที่ต้องการเหมือนกันนี่คืออะไรเหรอครับ”นี่ขนาดตั้งใจฟัง คิดตามผมยังไม่เข้าใจเลยครับ พี่ฟ่างหันมามองผม เหมือนแปลกใจที่ผมไม่เข้าใจถึงขั้นต้องถามแบบนี้ พี่ฟ่างหรี่ตามองผม เหมือนจะถามว่านี่ผมไม่รู้จริงๆ หรือว่าผมแค่อำแกเล่นกรือเปล่า แต่หน้าผมคงกำลังเหมือนคนโง่ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร พี่ฟ่างเลยช่วยชี้ทางสว่าง

“ก็...เซกส์ไง”คำตอบของพี่ฟ่างทำเอาผมแทบทำกาแฟในมือร่วง นอกจากจูบแล้ว คนเรายังมีเซกส์กันโดยไม่ได้รักกันได้ด้วยเหรอ เป็นผมคงทำแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ หรือเพราะคิดแบบนี้ผมถึงยังซิงมาจนเบญจเพศแบบนี้

“แปงนี่อินโนเซนส์กว่าที่พี่คิดนะเนี่ย”อะไรกันเนี่ยพี่ฟ่าง ทำไมต้องมาทำเสียงเอ็นดูผมอะไรขนาดนี้ ก็คนมันไม่เคยนี่นา อยากจะบอกไปแบบนั้นนะครับ แต่ก็กลัวว่าจะยิ่งดูน่าเอ็นดูกว่าเดิม

“ตกลงไปแอบชอบใคร หรือมีใครมาทำให้หวั่นไหวหรือเปล่านิ”ชอบใครงั้นเหรอ หรือหวั่นไหว กับไอ้เด็กบ้านั่นนะเหรอ ไม่ใช่มั้ง เห็นมีแต่เรื่องทำให้ผมหงุดหงิด ออกจะน่ารำคาญสิไม่ว่า

“สมมตินะพี่ สมมติจริงๆ นะครับ”ผมย้ำ เพื่อที่จะได้ไม่ดูว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวผมนัก หรือว่านี่จะยิ่งทำให้พี่แกปักใจว่าคือเรื่องของผม แต่ช่างมันเถอะมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงซะพี่ฟ่างก็คงไม่ได้เจอกับไอ้เด็กบ้านั่น คงไม่มีทางได้รู้จักกันหรอก เพราะงั้นเรื่องนี้มันก็จะจบแค่ที่ห้องชงกาแฟนี่แหละ

“โอเค มันเป็นเรื่องสมมติ ที่คือใครก็ไม่รู้ซึ่งพี่ไม่รู้จัก และไม่ใช่เรื่องของแปงด้วย”โคตรจะไม่เนียนเลย ไม่ใช่พี่ฟ่างนะครับ ผมเองนี่แหละ ผมยิ้มแห้งๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้

“คือถ้าอยู่ๆ มีคนมาจูบเรา โดยที่เค้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่พอมาอีกวันเค้าก็ทำเมินเรา เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แบบนี้มันหมายความว่ายังไงอะพี่ เค้าคิดอะไรทำไมถึงทำแบบนี้”พี่ฟ่างนิ่งเงียบไปเหมือนใช้ความคิด ส่วนผมก็นิ่งรอฟังคำตอบอยู่เช่นกัน

“ที่จริงในความรู้สึกพี่ มันก็แค่จูบอะเนอะ แต่พี่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น งั้นเอางี้ดีกว่า ก่อนที่เราจะอยากรู้เค้าทำแบบนี้เพราะอะไร เราตอบตัวเองให้ได้ก่อนดีกว่า ว่าตัวเราเองรู้สึกยังไงกับเค้า”



TBC

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
พี่ฟ่างกะใคร อยากรู้มากกกกก

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
น้องภู่ ทำไมทำกับพี่แปงแบบนี้ครับ พี่แปงคิดมากเรื่องน้องภู่แล้วนะเนี่ย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 18
เมิน



“แล้ววันนั้นเค้าเมาหรือเปล่า”พี่ฟ่างที่ยังช่วยผมวิเคราะห์ ถามรายละเอียดเพิ่มเติม ผมนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา ภาพกระป๋องเบียร์ที่วางอยู่ไม่น้อย และรสจูบที่ผมได้รับก็เจือด้วยแอลกอฮอล์อีกต่างหาก

“เค้าก็ดื่มไปประมาณนึงแหละพี่”ผมตอบกลับไปอย่างไม่มั่นใจนักเพราะไม่รู้ว่าดื่มขนาดนั้น ไอ้เด็กบ้านั่นจะเมาหรือยัง ว่าแต่นี่ผมยอมรับกับพี่ฟ่างแล้วเหรอว่า มันคือเรื่องของผมเอง

“งั้นพี่มีอยู่สองสมมติฐาน แต่มันก็แค่การคาดเดาของพี่นะ”ขนาดแค่ฟังผมเล่าพี่แกยังคิดไปได้ 2 แบบเลยเหรอ แล้วทำไมผมที่เป็นเจ้าของเรื่องนึกไม่ออกสักทางเลยละ ว่ามันหมายความว่ายังไงกันแน่ นี่ผมคงอินโนเซนส์อย่างที่พี่ฟ่างว่าจริงๆ สินะ

“อย่างแรก ก็อาจจะแค่อารมณ์มันพาไป เพราะเมาด้วยก็เลยทำแบบนั้นลงไป แค่พอสร่างเมาขึ้นมาก็คงคิดว่าไม่น่าทำแบบนั้นเลย ก็เลยอาจจะไม่อยากพูดถึง แกล้งลืมๆ ไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”พอฟังไปแล้วคิดตาม ทำไมใจผมมันรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาละครับเนี่ย

“อย่างที่สอง เค้าอาจจะคิดอะไรด้วยอยู่แล้ว แต่อาจยังไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง แล้วพอเมา เผลอทำลงไปแล้ว ก็เลยยิ่งสับสนในใจ ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ”สับสนอย่างนั้นเหรอ ผมว่าผมเองก็สับสน และน่าจะเป็นคนที่มีความรู้สึกแบบนี้มากกว่าไอ้เด็กบ้านั่นอีก

“แล้วนี่ผมควรทำยังไงต่อดีครับ”พี่ฟ่างมองผมยิ้มๆ ก่อนจะทำท่าคิด แล้วนี่พี่ฟ่างจะไม่ล้ออะไรผมใช่ไหมเนี่ย ที่มาถามอะไรกับแกแบบนี้

“แปงอยากให้มันเป็นยังไงละ ถ้าแปงไม่ได้คิดอะไรกับเค้าก็ปล่อยมันผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เค้าเงียบเราก็เงียบตอบ ทำตัวเหมือนเดิม”ถ้าทำแบบนั้นมันจะไม่อึดอัดกันพอดีเหรอครับเนี่ย อีกคนนั่นผมไม่รู้หรอกว่าเค้าคิดยังไง แต่ผมนี่อึดอัดแน่นอน

“แต่ถ้าอยากชัดเจน หรือเคลียร์ให้จบ ก็ถามตรงๆ เลย”

ถามตรงๆ งั้นเหรอ ผมนั่งทบทวนคำแนะนำจากพี่ฟ่างมาจะเป็นชั่วโมงแล้ว ตอนนี้ผมเลิกงานกลับถึงบ้านตามปกติ นั่งรออีกคน แต่นี่เลยเวลากลับบ้านของเค้ามาพักใหญ่แล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าเค้าจะกลับมา และไม่มีการส่งข้อความ โทรมาบอกอะไรทั้งนั้น นั่นยิ่งทำให้ผมทั้งหงุดหงิด ทั้งกระวนกระวาย

“ไอ้เด็กบ้าเอ้ย”ผมบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กนี่ต้องมาวนเวียนในหัวผมตลอดเวลาแบบนี้ สลัดยังไงก็ไม่หลุด ผมโทรไปดีไหม ปกติผมก็โทรหาเค้าได้นิ ทั้งถามเรื่องเวลากลับบ้านอะไรพวกนี้ เราก็โทรหากันได้อยู่แล้วนี่นา ทำไมครั้งนี้ผมต้องคิดมากด้วยละ

ผมกดโทรศัพท์หาเบอร์ของเค้า ชั่งใจอยู่ครู่นึงก่อนจะกดโทรออก รู้สึกใจเต้นอย่างบอกไม่ถูกกับการรอสายในครั้งนี้ แต่ทว่ารอสายจนตัดไป เค้าก็ไม่รับสาย อะไรของเค้าวะเนี่ย นี่ผมชักจะเริ่มโมโหหน่อยๆ แล้วนะครับเนี่ย แถมนี่ก็ชักจะเริ่มหิวแล้วด้วย

ผมลุกจากโซฟา เดินเข้าครัวเปิดตู้เย็น มองของสดที่ยังมีอยู่เต็มตู้เย็น แต่จะให้ผมทำกินเองตอนนี้ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำ นี่ขนาดแค่เมนูง่ายๆ อย่างต้มมาม่า ผมยังรู้สึกไม่อยากทำเลยครับตอนนี้ ผมกวาดสายตามองหาทุกสิ่งอย่างว่ามันมีอะไรประทังชีวิตผมได้บ้างโดยที่ไม่ต้องลงมือทำ

“ปลากระป๋อง”นั่นคือสิ่งที่ผมประเมินแล้ว ว่ามันเปิดเทแล้วก็น่าจะกินได้เลย แม้ผมจะยังไม่เคยเปิดกินเปล่าๆ แบบนี้ มาก่อนก็เถอะผมหยิบออกมาจากชั้นวาง 3 กระป๋อง เปิดเทออกมา สีส้มๆ ของซอสมะเขือเทศกับปลาไม่มีหัวไม่มีหางอีกหลายชิ้น อยู่ในชามใบพอเหมาะ มันดูหยืยๆ ยังไงบอกไม่ถูกเหมือนกันครับ ผมจิ้มนิ้วชี้ลงไปแตะๆ ก่อนจะนำเข้าปากชิม

“ก็ไม่แย่เท่าไหร่”พูดปลอบใจตัวเองครับ ถึงจะหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดียังไง ตอนนี้ผมก็ไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างครับ ผมยกชามมาตั้ง เริ่มตักกิน คำแรกรู้สึกมันก็ออกจะปะแล่มๆ อยู่ไม่น้อย แต่พอนึกถึงหน้าไอ้เด็กบ้านั่นแล้วผมต้องมานั่งรอให้เค้าทำกับข้าวให้ในวันนี้ ผมยอมกินแบบนี้ดีกว่า แต่ในระหว่างที่ผมกำลังตักปลากระป๋องเข้าปากอย่างเมามัน โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น

“ไม่รับหรอกไอ้เด็กบ้า”พอเห็นว่าเป็นใครที่โทรเข้ามา ผมก็ปล่อยโทรศัพท์ให้ดังอยู่แบบนั้น อยากเมินผมดีนักใช่ไหม ได้เลย เดี๋ยวผมจะเมินกลับบ้าง เมินมาเมินกลับครับงานนี้ ไม่มีโกง หน้าจอดับไป แต่ก็ไม่นานนักชื่ออีกคนก็ปรากฏขึ้นอีก ผมปล่อยให้โทรศัพท์อย่างนั้นจนดับไปเช่นเคย ผมหันมาตักปลากระป๋องเข้าปากอีกรอบ อย่างกับว่ามันอร่อยเสียนักหนา

ผมเก็บชามล้าง อาบน้ำเปลี่ยนชุดนอน แต่ก็ยังนั่งอยู่หน้าทีวี กดเปลี่ยนช่องเรื่อยเปื่อย ไม่ได้รอใครนะครับ แค่มันยังไม่ง่วง นี่ขนาดผมทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยังแค่ 3 ทุ่มเอง และไอ้เด็กบ้านั่นก็ยังไม่กลับมา ยืนยันอีกทีนะครับว่าผมไม่ได้รอเค้า ผมแค่ยังไม่ง่วง แต่ทีวีนี่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเอาเสียเลย ผมเหลือบมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางไว้ห่างๆ ซึ่งไม่ได้จับมาดูอีกเลยตั้งแต่เค้าโทรเข้ามาครั้งที่สอง

“พี่แปงยังไม่นอนเหรอครับ”อยู่ๆ ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ประตูบ้านที่ผมยังไม่ได้ล็อคก็ถูกเปิดขึ้น ชายหนุ่มที่ทำผมหงุดหงิดมาทั้งวัน ยืนสะพายกีต้าร์อยู่ แม้จะแปลกใจว่าเมื่อเช้าผมไม่เห็นเค้าถือมันนี่นา ทำไมกลับมาพร้อมกีต้าร์แบบนี้ แล้วนี่ก็เห็นอยู่ว่าผมยังนั่งตาแป๋วอยู่นี่ แถมยังไม่ดึก ก็ยังจะมาถามอีกว่าผมยังไม่นอน

“ก็ยังไม่ง่วง”ผมตอบเสียงเรียบ โดยหันกลับมาสนใจรายการทีวีตรงหน้า เหมือนมันน่าสนใจมากๆ ทั้งที่จริงผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่รายการอะไร ภาพบนหน้าจอแทบไม่ได้เข้าไปในหัวผมเลยด้วยซ้ำ

“กินข้าวหรือยังครับ”เค้าเดินผ่านหน้าผมเอากีต้าร์ไปวาง ก่อนจะหันมาถาม

“กินแล้ว”ผมยังคงตอบเรียบๆ โดยที่สายตายังจ้องมองที่จอทีวี

“กินกับอะไร”ผมขมวดคิ้ว หันไปมอง แล้วเค้าจะมาสนใจผมทำไม อยากเมินผมนักก็ไม่ต้องมาสนใจผมสิ

“ก็ของที่มีในบ้านนี่แหละ”ผมตอบเหมือนตัดรำคาญ ก่อนจะหันมาทำเป็นสนใจทีวีตรงหน้าต่อ

“แล้วมันคืออะไรละครับ”

“จะมาสนใจทำไมนิ ก็บอกว่ากินแล้วไง ถ้าไม่มีอะไรก็กลับบ้านไปเลย อีกเดี๋ยวจะนอนแล้ว”ด้วยความหงุดหงิดผมเลยเผลอเสียงแข็งใส่เค้านิดหน่อย ที่จริงตอนแรกเลย ก่อนที่จะโทรหาเค้า แล้วเค้าไม่รับนั่น ผมตั้งใจจะคุยเรื่องที่เราจูบกัน กับเค้าตรงๆ มันจะได้ไม่คาใจและติดในหัวผมแบบนี้ แต่พอเค้าไม่รับมันเลยรู้สึกอยากเมินใส่เค้าบ้างนี่แหละ เลยเปลี่ยนใจไม่ถามดีกว่า ปล่อยมันไว้แบบนี้แหละ

“พี่เป็นไรหรือเปล่าครับ ผมโทรมาก็ไม่รับ”ผมไหมละที่ต้องถามประโยคนี้ เค้าเองไม่ใช่เหรอที่เมื่อเช้าก็เมินใส่ผม แล้วเค้าก็เป็นคนที่ไม่รับสายผมก่อนด้วย นี่กลับมาก็ยังทำท่าทางเรียบๆ นี่อีก ทั้งที่ปกติเค้ามักจะร่าเริงจนน่าหมั่นไส้ตลอดเวลาเสียด้วยซ้ำ เพราะงั้น ผมต่างหากที่ต้องถามเค้า ว่าตกลงเค้าเป็นอะไร

“เปล่า”ผมตอบสั้นๆ แค่นั้นเหมือนเดิม และยังคงนั่งจ้องทีวี เค้าไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เดินเข้าไปทางห้องครัว ผมมองตามนิดนึงก่อนจะหันกลับมาทำเป็นมองทีวีเหมือนเดิม ไม่นานนักจากการมองด้วยหางตาผมก็เห็นว่าเค้าเดินกลับออกมา

“ผมจะต้มมาม่า พี่แปงจะให้ทำเผื่อไหมครับ กินปลากระป๋องเปล่าๆ แบบนั้นเดี๋ยวกลางดึกก็หิวอีกนะครับ”นี่แค่เข้าครัวไปก็รู้แล้วเหรอว่าผมกินอะไรไป ที่จริงอยากจะปฏิเสธนะครับว่าไม่ต้องทำอะไร แต่ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกแล้วละครับ ว่าไอ้ปลากระป๋องที่กินเข้าไปมันคงย่อยไปหมดแล้ว

“อยากทำไรก็ทำไปสิ”ต้องยั้งฟอร์มไว้ก่อนครับ เค้าหายเข้าครัวไปอีกรอบ ไม่นานนักกลิ่นหอมๆ ก็ลอยมาเตะจมูกผม เค้าเดินถือชามใบใหญ่มีควันลอยฟุ้งออกมาวางบนโต๊ะ น้ำย่อยในกระเพาะของผมก็เหมือนจะรับรู้แล้วว่ามีของกิน ผมเดินไปโดยไม่รอเค้าเรียก แต่ก็แค่นั่งเงียบๆ รับตะเกียบจากเค้าเงียบๆ และก็ตักเข้าปากโดยไม่พูดอะไรกับเค้า หลังจากกินไปหลายคำแล้วเพิ่งสังเกตว่าเค้าไม่ได้กินเลย ผมเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าเค้ามองผมอยู่ก่อนแล้ว แต่เป็นการมองที่นิ่งเฉยจนผมไม่รู้ว่าคนมองกำลังคิดอะไรอยู่

“ผมมาช้าเพราะไปซ้อมดนตรีกับเพื่อน”เค้าเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน แม้จะไม่อยากรู้ในสิ่งที่เค้ากำลังบอกแต่ผมก็ยอมรับว่ารู้สึกหายหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยนึงที่ได้ยินแบบนั้น

“แล้วไง”ผมเองก็ถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยังคงวางท่าไม่สนใจเค้า

“ก็เผื่อพี่แปงอยากรู้ไงครับ แล้วที่ไม่ได้รับสายพี่ ก็เพราะเสียงในห้องซ้อมมันดัง ผมเลยไม่รู้ตัวว่าพี่โทรมา”ก็แล้วทำไมไม่บอกก่อน ตั้งแต่แรกละ ว่าจะอยู่ซ้อมดนตรี ผมแค่คิดในใจนะครับไม่ได้ถามออกไป

“บอกทำไม”ผมก้มลงกินมาม่าต่อ และยังทำไม่สนใจเค้าเช่นเดิม

“ก็เห็นเมินผม นึกว่าพี่โกรธเรื่องนี้”รอบนี้ผมเงยหน้าขึ้นมองตาขวางเลยครับ ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ตัวเองเมินผมก่อนแท้ๆ ยังจะมาว่าผมเมินตัวอีก แล้วไอ้เรื่องพวกนี้ออกจะมีส่วนอยู่บ้างก็จริง แต่ประเด็นหลักที่ผมกำลังเป็นตอนนี้ มันเพราะ “จูบแรก” ของผมนั่นต่างหากละ แล้วนี่ยังไม่เห็นเด็กนี่พูดถึงสักคำเลย เมาจนจำไม่ได้รึไง ซึ่งก็ไม่น่าใช่ อีตอนคราวก่อนเมามากกว่านี้ ยังจำได้เลยว่าผมสัญญาอะไรกับเค้า

“ไม่กินเหรอ”ผมไม่ตอบคำถามเค้า แต่เปลี่ยนประเด็นแทน

“ไม่หิวครับ”ผมย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

“ไม่หิวแล้วทำมาทำไม”ผมวางตะเกียบแทบจะทันที เพราะรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ทำให้พี่กินไงครับ”นี่ผมใกล้จะหมดความอดทนแล้วนะครับ ทำไมต้องมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียง ท่าทางที่ไม่เหมือนเดิมขนาดนี้ แต่ก่อนเรียกผมลุงทุกคำ กวนตีนทุกช็อต แล้วตอนนี้มาทำสุภาพเรียบร้อย โคตรจะไม่ปกติ และผมเองก็โคตรจะอึดอัดเลย

“อิ่มแล้ว เก็บให้ด้วย เสร็จแล้วก็รีบกลับไปเลยนะ พี่จะนอนแล้ว”ผมลุกจากโต๊ะกินข้าว เดินไปนั่งที่โซฟา หน้าทีวีตามเดิม คำพูดของพี่ฟ่าง ดังวนเวียนมาในหัวผมรอบแล้วรอบเล่า

“ถ้าอยากชัดเจน หรือเคลียร์ให้จบ ก็ถามตรงๆ เลย”

“ถ้าอยากชัดเจน ถ้าอยากชัดเจน ถ้าอยากชัดเจน”

“เคลียร์ให้จบ เคลียร์ให้จบ เคลียร์ให้จบ”

“ถามตรงๆ เลย”

“ถามตรงๆ เลย”

“ถามตรงๆ เลย”

ประโยคเดิมๆ ดังก้องๆ วนไปวนมาในหัวผม จนผมอยากให้ความคิดผมดังออกมาเองให้รู้แล้วรู้รอด เค้าเดินกลับออกมาจากครัว หยิบกีต้าร์ขึ้นสะพาย เดินมาผ่านหน้าผม

“กลับแล้วนะครับ”นั่นไง ถ้าปกติมันต้อง “กลับแล้วนะครับลุง” ตามด้วยรอยยิ้มกวนๆ สิ แต่นี่อะไรทั้งคำพูดสีหน้าแววตา เย็นชาสุดๆ ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ผมทนไม่ไหวแล้ว

“ทำไมไม่เรียกลุงเหมือนทุกที”


TBC

เมินลุงเค้าทำไมละภู่  :z6:

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
พี่ฟ่างกะใคร อยากรู้มากกกกก

พี่ฟ่างกับน้องข้าวโพดละมั้งคะ จากเรื่องใหม่ของไรท์ค่ะ เป็นเรื่องของพี่ฟ่าง อิอิ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60918.0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ลุงแปง จัดการไอ้เด้กจอมป่วนเลย :katai1: :z6: :z6:

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มันก็น่าโมโหอย่างแปงคิดนะ มันยังไงกันแน่ :m16: :m16: :m16:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 19
กลัว





“ทำไมไม่เรียกลุงเหมือนทุกที”ผมถามออกไปเสียงดัง จนอีกคนต้องหันกลับมามองผม ส่วนผมเองตอนนี้คงมองเค้าด้วยสีหน้าท่าทางพร้อมหาเรื่องเต็มที่

“ก็พี่แปงไม่ชอบให้ผมเรียกไม่ใช่เหรอครับ”เค้ายังคงตอบด้วยท่าทางเหมือนเดิม มันก็ใช่ที่ตอนแรกผมไม่ชอบกับการที่เค้าเรียกผมว่าลุง แต่ตอนนี้มันชินไปแล้วไง

“แล้วทำไมยังเรียกทั้งที่รู้ว่าไม่ชอบ”พออยากเรียกก็มาเรียก ไม่อยากเรียกแล้วก็เลิกหรือไงเล่า ทำอะไรก็ให้มันสม่ำเสมอไม่ได้หรือไง อยากจะพูดออกไปตามสิ่งที่คิดนะครับ แต่ปากผมมันดันพูดไม่ค่อยตรงกับที่คิดสักเท่าไหร่

“ตอนแรกผมก็แค่อยากแกล้งพี่”อะไรนะ แค่อยากแกล้งแค่นั้นเองเหรอ คำตอบที่ได้ยินทำให้ผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิด

“แล้วตอนนี้ละ”ผมเริ่มถามเสียงแข็ง

“ตอนนี้ผมก็แค่...”ยังไม่ทันที่เค้าจะพูดจบ

“เปรี้ยง!!!”/ “เชี่ย”ผมร้องเสียงหลงทันทีที่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง สองมือผมรีบอุดหู หลับตาปี๋ ทรุดลงแทบจะมุดใต้โซฟา เรียกว่าเลิกสนใจทุกอย่างไปชั่วขณะ แล้วนี่อยู่ๆ ฝนฟ้ามันเทลงมาได้ยังไงกัน ทั้งที่ไม่เห็นมีวี่แววอะไรกันมาก่อนเลย หรือว่าผมอยู่แต่ในบ้านเลยไม่เห็นฟ้าฝนที่ตั้งเค้ามา

“เป็นไรหรือเปล่าพี่”เค้าถามผมด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะตกใจ คงมาจากการที่เห็นอาการของผมนั่นแหละครับ ผมยังคงเอามือขึ้นปิดหูและหรี่ตามองไปทางนอกบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“เปรี้ยง/พรืบ”

“เชี่ยปิดไฟทำไมเนี่ย”พอผมหลับตาตามเสียงฟ้าร้อง แล้วลืมตาขึ้นมาอีกทีกลับพบเพียงความมืดทำให้ผมเริ่มโวยวาย เพราะตอนนี้สติผมเริ่มไม่อยู่กับตัวแล้วครับ รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังสั่น จนใกล้จะควบคุมตัวเองไม่ได้

“ไฟมันดับไหมละลุง”ผมแทบไม่สนใจในสิ่งที่อีกคนตอบ แทบจะลืมสังเกตุว่าน้ำเสียงหรือคำพูดเค้าปกติหรือเปลี่ยนไปหรือเปล่า

“เปรี้ยง/โอ๊ยจะร้องทำไมนักหนา”ผมทรุดลงกับโซฟา รู้สึกอยากมุดเข้าไปในพื้นโซฟาให้รู้แล้วรู้รอดไปครับ ไม่ต้องแปลกใจไปครับ ผมแค่เป็นโรคกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่า เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่คงไม่ค่อยกลัวกัน หรือพอจะมีคนกลัวบ้างก็อาจจะอาการไม่หนักหนาบ้าบอเท่ากับผม คือถ้ารู้ก่อนว่าจะมีฝนตกและเตรียมตัวตั้งรับทัน อาการผมก็จะไม่รุนแรงสักเท่าไหร่

แต่ถ้าเจออย่างตอนนี้บอกเลยว่าผมพังครับ ไม่เหลือสติใดๆ ทั้งสิ้นเห๋นอะไรมุดได้แอบได้ผมแทบจะมุดเข้าไปทุกอย่าง เพราะงั้นที่บ้านผม พ่อกับแม่เลยสั่งบุผนังให้เก็บเสียงแทบทุกห้อง แต่ขนาดไม่ให้ได้ยินเสียงแล้วผมก็ต้องไม่เห็นฟ้าแลบด้วย แถมถ้าปกติอยู่บ้านถ้ารู้ว่าฝนตก ตอนเด็กๆ ผมจะนอนคนเดียวไม่ได้เลย วุ่นวายร้องไห้ทั่วบ้านประจำเลย โชคดีมาหน่อยที่พอโตขึ้น ผมจะพอคุมตัวเองได้บ้างถ้ารู้ก่อนว่าฝนจะตก

“เป็นไรเนี่ยลุง”ถึงจะอยากอธิบาย แต่ตอนนี้ผมคงพูดอะไรไม่ถูกหรอกครับ

“อยู่ไหน”ผมตะโกนถามทั้งที่ยังเอามือปิดหู หลับตา พยายามเอาหัวมุดโซฟา

“อะไร อยู่ไหนละลุง”แต่เหมือนอีกคนจะยังไม่เข้าใจที่ผมถาม

“ภู่อยู่ไหนมานี่หน่อย”ผมต้องตะโกนเสียงแข็งย้ำอีกรอบ ทั้งที่ตัวก็อยู่ในสภสภาพเดิม

“ตกลงเป็นไรเนี่ยลุง”ตอนนี้ชักจะเริ่มโมโหอีกคนแล้วละครับ ทำไมต้องมาเข้าใจอะไรยากเอาตอนนี้ เค้าน่าจะรู้ไหมว่าอาการผมตอนนี้ควรให้เค้าเซ้าซี้หรือเปล่า

“บอกให้มาก็มาเซ่”น้ำเสียงผมโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนี้ความกลัวผมมันอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว

“มาแล้ว อยู่นี่แล้ว”ผมรีบคว้ามือเค้ามาเกาะแน่นๆ กลัวว่าเค้าจะหายไป และเค้าคงเริ่มสัมผัสได้ว่าผมเริ่มสั่นไปทั้งตัว แถมเหงื่อก็ออกจนเปียกโชค มือไม้ตอนนี้ของผมคงเย็นไปหมด

“ไม่เป็นไรลุง ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่แล้วไง”เค้าดึงผมลุกขึ้น ก่อนจะดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด ลูบหลังผมเหมือนเป็นการปลอบเพราะคงรู้แล้วว่าผมกลัว แม้ที่เค้าทำจะช่วยให้ผมสงบลงได้บ้าง แต่ความกลัวที่มีก็ยังไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อยครับ

“พาเข้าห้องนอน พาเข้าห้องนอนหน่อย”ผมบอกทั้งๆ ที่ยังกอดเค้าแน่น และก็ยังคงพยายามหลับหูหลับตาอยู่

“ปล่อยก่อนสิครับ ผมจะได้พาไป”ผมส่งเสียงปฏิเสธทันที วินาทีนี้ผมจะไม่ปล่อยแหล่งยึดเหนี่ยวเดียวของผมให้หลุดดไปไหนได้อย่างเด็ดขาด

“ไม่ปล่อยแล้วเราจะไปกันยังไงละครับ”เสียงเค้าออกจะเหมือนกำลังอยากดุผมหน่อยๆ

“งั้นหันหน้าไป”ผมสั่งอย่างเอาแต่ใจ ซึ่งตอนนี้ผมไม่สนหรอกว่าอีกคนจะคิดยังไง ผมจับตัวเค้าให้พลิกหันหลังมาทางผม แล้วก็คว้าหมับเข้าที่เอวของเค้า ก่อนจะออกแรงดันให้เค้าเดินนำ

“ใจเย็นๆ ผมอยู่ด้วยทั้งคน”ผมรู้สึกได้ถึงมือของเค้าที่สัมผัสเบาๆ มาที่แขนผมซึ่งกอดเค้าไว้ เราค่อยๆ ขยับได้ทีละนิดเพราะคนเดินนำที่คงเดินไม่สะดวกสักเท่าไหร่ กับการที่มีผมเกาะแจแบบนี้

“เร็วอีกนิดดิ”ผมยังคงเร่งโดยไม่สนใจอะไร คิดแค่ว่าตอนนี้อยากคลุมโปงอยู่บนเตียงนอนให้ได้เร็วที่สุด

“ถึงแล้วคร๊าบเปิดประตูแล้ว”เค้าทำเสียงล้อๆ จนผมนึกอยากทำร้ายเค้าสักอย่าง แต่ตอนนี้ทั้งมือก็ต้องกอดยึดตัวเค้าไว้ เท้าก็ต้องเดิน คิดไปคิดมาเลยเลือกที่จะเอาหัวของตัวเอง กระแทกกับหลังของเค้า แต่เหมือนมันจะแรงเกินไป

“เฮ้ยลุง ทำไร”ดูเหมือนว่าด้วยการเดินที่ติดขัดอยู่แล้ว และแรงกระแทกที่ผมทำ มันเลยทำให้อีกคนเสียการทรงตัว แถมเหมือนจะสะดุดอะไรบางอย่างด้วย ผมที่หลับตาอยู่แล้วยิ่งหลับตาปี๋เข้าไปอีก เพราะรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลังล้มหน้าคะมำลง สองแขนผมยิ่งกอดเค้าแน่นขึ้น ตอนนี้ทั้งกลัวเสียงฟ้าร้อง ทั้งกลัวเจ็บด้วย

“ตุ๊บ”ไม่เจ็บแฮะ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นก็เลยนึกขึ้นได้ว่าผมจะเจ็บได้ยังไงในเมื่อผมมีอีกคนรองอยู่ข้างล่าง

“ลงก่อนได้ไหมลุง ผมจุก”คนที่อยู่ด้านล่างผมบอกเสียงอ้อแอ้ เพราะเหมือนผมจะทับเค้าอยู่ โชคดีที่เราทั้งคู่ล้มลงบนเตียงนอนของผม นี่ถ้าล้มลงพื้น คนข้างล่างนี่คงมีเลือดตกยางออก หรือฟกช้ำบ้างแน่ๆ ผมค่อยๆ เลื่อนตัวลงข้างๆ เค้าแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือเสียทีเดียว มือนึงยังคงดึงเสื้อเค้าอยู่

“ตกลงนี่กลัวเสียงฟ้าร้องขนาด..”เค้าชะงักคำพูดไป เพราะขณะที่เค้ากำลังพลิกตัวจะลุก ผมดันดึงเค้าด้วยสัญชาตญาณกลัวว่าเค้าจะหนีหายไป ไม่ต้องถามผมนะครับว่าทำไมผมคิดแบบนั้น เพราะตอนนี้ผมไม่มีสติ ไม่มีตรรกะใดๆทั้งสิ้นครับ มีแต่ความกลัวจนหลุดจากทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว

แต่สภาพตอนนี้กลายเป็นว่าอีกคนพลิกขึ้นมาคร่อมผมอยู่ แม้ภายในห้องจะมืดจนมองอะไรไม่ค่อยชัด ผมก็ยังสัมผัสได้จากลมหายใจว่าตอนนี้ใบหน้าของเราใกล้กันมากขนาดไหน ทุกอย่างเงียบลง ฝนเริ่มซาและยิ่งพอเข้ามาในห้องนอน เสียงของสายฝนก็เบาลงไปกว่าเดิมด้วย จนตอนนี้ผมรู้สึกได้

“ลมหายใจของอีกคนกำลังใกล้ผมเข้ามาเรื่อยๆ”นั่นคือเสียงที่ดังขึ้นในหัวของผม มือผมที่กำชายเสื้อเค้าอยู่เผลอกำมันแน่นเข้าไปอีก

“เปรี้ยง”ผมสะดุ้งสุดตัว สองมือรีบคว้าคนตรงหน้าและซุกเข้ากับอกเค้า ผมกอดแน่นจนสัมผัสได้ถึงหัวใจของเค้า หัวใจของเค้าที่เต้นแรงพอๆ กับผม นี่เค้าตกใจผมหรือไงกันถึงได้ใจเต้นขนาดนี้ หรือเค้ากลัวเสียงฟ้าคำรามนี่เหมือนผม แต่ไม่น่าจะใช่นี่นา

“ผ้าห่ม ดึงผ้าห่มมาคลุมหน่อย”ผมเริ่มออกคำสั่ง หรือร้องขอก็ไม่แน่ใจ แต่ผมต้องให้เค้าช่วยดึงผ้าห่มคลุมเราทั้งคู่เพราะผมไม่สามารถปล่อยมือที่กอดเค้าอยู่เพื่อดึงผ้าห่มมาคลุมเองได้

“พรืบ”ผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงถูกอีกคนที่ผมยังเกาะอยู่ เอื้อมไปหยิบพร้อมดึงขึ้นมาอย่างทุลักทุเล

“เฮ้อ”ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาหน่อยเมื่อได้มาอยู่ใต้ผ้าห่มนี่แล้ว และยิ่งอุ่นใจขึ้นด้วยว่ามีอีกคนที่มาอยู่ใต้ผ้าห่มนี้กับผมด้วย ตอนนี้ผมพักเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับคนข้างๆ นี่เอาไว้ก่อนครับตอนนี้ เค้าจะเคยเมินผม หรือผมจะอยากเมินเค้า นาทีนี้พักให้หมดครับ

“หาหมอไหมลุง ถ้าจะกลัวขนาดนี้ มันน่าจะไม่ปกติแล้ว”ผมยังเบียดตัวเข้าหาเจ้าของคำพูดอย่างไม่สนใจอะไร

“หาแล้ว”ผมตอบออกไปอย่างเหมือนเป็นเรื่องปกติ

“เฮ้ย ผมแค่พูดเล่นนี่ตกลงถึงขั้นต้องหาหมอจริงๆ เหรอเนี่ย”เค้าถามกลับด้วยน้ำเสียงตกใจ

“อือ เด็กๆ หนักกว่านี้อีก พอพบจิตแพทย์ค่อยดีขึ้นมาหน่อย”นี่เค้าจะมองผมอ่อนแอ ปัญญาอ่อนมากไหมเนี่ย ผมก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้นักหรอกแต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมกลัวอะไรแบบนี้มากขนาดนี้ คุณหมอก็เคยอธิบายนะครับ ว่าคนเรามันมีสิ่งที่กลัวแตกต่างกันไป สิ่งที่คนๆนึงกลัว อาจจะเป็นอะไรธรรมดาๆ สำหรับคนอื่นอะไรประมาณนั้นแหละครับ

“นี่ดีขึ้นแล้วเหรอ”พอตัวผมเองเริ่มสงบลงทำให้เริ่มสังเกตแล้วว่าเค้าดูกลับมาเป็นภู่คนเดิมที่ชอบกวนประสาทผมแล้ว

“อือ”ผมตอบรับสั้นๆ เพราะพอเริ่มมีสติก็เริ่มจะคิดได้ว่าตอนนี้ผมกับเค้าอยู่กันแนบชิดเกินไปแล้ว แต่ก็นั่นแหละครับถ้าไม่แน่นขนาดนี้ผมก็จะยังไม่อุ่นใจ

“นี่ลุงโตมาในปราสาท หอคอยอะไรแบบนั้นหรือเปล่าเนี่ย ดูยังกะไม่เคยเจอโลกภายนอก”เหมือนเป็นคำพูดล้อเลียนผม แต่ผมกลับหลุดยิ้มออกมา เพราะเข้าใจว่านี่เค้ากำลังพูดให้ผมผ่อนคลายขึ้น

“แล้วนี่เราต้องนอนคลุมโปงแบบนี้กันอีกนานแค่ไหนอะลุง”เค้าพลิกตัวตะแคงหันหน้าหาผม

“คืนนี้นอนเป็นเพื่อนหน่อยสิ”เพราะความกลัวทำให้ผมบอกออกไปแบบนั้นได้อย่างง่ายดาย

“ผมยังไม่ได้อาบน้ำนะ ทนกลิ่นเหงื่อผมได้เปล่า”เค้าบอกขำๆ

“กลิ่นเหงื่อภู่ไม่น่ากลัวเท่าเสียงฟ้าร้อง”ผมบอกเสียงอ้อนๆ คืออันนี้ไม่ได้ตั้งใจนะครับ แต่มันชินเวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ซึ่งปกติคนที่ผมอ้อนขอนอนด้วยก็มีแค่พ่อกับแม่และพี่สาว แค่นั้น ใครจะไปคิดว่าวันนึงต้องมาอ้อนเด็กบ้านี่ด้วย

“ลุงนี่เหมือนเด็กเลยเนอะ”เค้าบอกกลั้วเสียงหัวเราะ

“เปรี้ยง”นั่นไงละครับ ถ้าผมไม่ขอให้เค้านอนเป็นเพื่อน ผมจะผ่านคืนนี้ไปได้ยังไงกันละ แล้วนี่ผมก็แทบจะกระโจนเข้ากอดเค้าทันทีที่เสียงฟ้าคำรามดังขึ้น แต่ดูเหมือนเค้าเองก็ตกใจไม่น้อย แต่คงไม่ได้ตกใจเสียงฟ้าร้อง คงตกใจผมนี่แหละ แถมนี่ผมรู้สึกว่าเค้าตัวแข็งทื่อไปแป๊บนึงด้วย ผมคงทำให้เค้าตกใจสินะ

“กอดผมแน่นขนาดนี้ ไม่กลัวผมหวั่นไหวเหรอครับลุง”ถ้าผมเห็นหน้าเค้าตอนนี้ผมว่าเค้าต้องกำลังยิ้มกวนประสาทผมอยู่ตามที่เค้าชอบทำประจำแน่ๆ เลยครับ ได้ทีนี่เอาใหญ่เลยนะไอ้เด็กบ้า แล้วนี่ผมต้องยอมฝ่ายเดียวหรือไงเนี่ย

“แล้วตอนที่จูบกันวันก่อนนั่นไม่ใช่เพราะหวั่นไหวแล้วเหรอ”




TBC

ยังไงดีละภู่ ตกลงลุงหวั่นไหว หรือภู่หวั่นไหว
 o13

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นั่นสิ  ตกลงลุงหวั่นไหว หรือภู่หวั่นไหว

สรุป น่าจะหวั่นไหวทั้งคู่  :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

ฟ้าฝนช่างป็นใจ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
เอาแล้วววว  :hao7:  :hao6:  o13

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 20
เตะบอลกัน



“แล้วตอนจูบกันวันก่อนนั่นไม่ใช่เพราะหวั่นไหวแล้วเหรอ”ประโยคที่ผมพูดออกไปเหมือนจะถูกกลบด้วยเสียงฟ้าคำราม แล้วก็ตามด้วย ตัวผมที่กอดเค้าแน่นขึ้นมากกว่าเดิม เค้าไม่ได้พูดอะไรตอบผมมาอีก แต่มีสัมผัสแผ่วเบาลูบที่ท้ายทอยของผม ทั้งที่ผมกลั้นใจถามออกไปขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเค้าไม่ได้ยิน หรือว่าได้ยินแล้วไม่อยากตอบกันแน่

ส่วนผมที่ตอนนี้กลายเป็นซุกในอ้อมกอดเค้าไปแล้ว ไอ้ เด็กบ้าที่กอดผมอยู่นี่ ก็ทำให้ผมมีความรู้สึกที่ไม่เคยเป็นเกิดขึ้นหลายอย่างเหลือเกิน ผมเองก็ไม่มีประสบการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน แฟนก็ไม่เคยมี มันเลยกลายเป็นไม่มั่นใจอะไรเลยสักอย่าง แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมขอผ่านคืนนี้ไปก่อนแล้วกันนะครับ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

เมื่อเราทั้งคู่ต่างเงียบ ทำให้ผมเลือกจะปิดเปลือกตาลง พยายามหลับทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของอีกคน อ้อมกอดที่ช่วยให้ผมคลายความกังวล และรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

“ไม่ต้องกลัวนะครับ คืนนี้ผมจะอยู่กับลุงทั้งคืน”เสียงพูดนั้นหายไปพร้อมกับความรู้สึกหยุ่นๆ ที่หน้าผากของผม แม้จะแผ่วเบาและแค่แป๊บเดียว แต่ผมก็จำได้ว่ามันเป็นสัมผัสเดียวกันกับตอนที่มีสองสาวจะมาตบกันหน้าบ้านแย่งเค้า แล้วเค้าจุ๊บแก้มผมโชว์สองสาวนั่น นี่เค้าจุ๊บหน้าผากผมงั้นเหรอ เค้าทำไปทั้งที่คิดว่าผมหลับหรือยังไม่หลับกันนะ

ผมคิดเรื่องนั้นจนหลับไปและตื่นมาอีกทีในตอนเช้า เค้าก็ยังอยู่เป็นหมอนข้างให้กับผมในท่าเดิม ไม่รู้ว่าเค้าจะโดนเหน็บกินไปบ้างหรือเปล่า แต่ผมหลับสนิทรวดเดียวถึงเช้า และเช้านี้ทั้งผมและเค้าก็เจอพิษจากการที่ฝนตกอย่างหนักเมื่อคืน จนตอนนี้ก็ยังมีปรอยๆ มาประปราย ฟ้าก็ยังไม่เปิด โรงเรียนของเค้าต้องประกาศหยุด เพราะน้ำขังรอการระบาย เรียกว่าระดับน้ำสูงมากเลยทีเดียว ส่วนผมได้รับคำแนะนำจากพี่ๆ ว่าอย่าเสี่ยงไปทำงานเลย เพราะคงติดอยู่บนถนนทั้งวัน และเจ้านายเราก็อนุญาตให้หยุดกันได้ แต่ถ้าใครโดนตามงานก็ต้องทำส่งจากบ้านนี่แหละครับ

“เสร็จแล้วลุง มากินกัน”น้ำเสียงเรียกผมตามแบบฉบับภู่คนเดิม เพิ่มเติมคือสองเรื่องแล้วที่เค้าทำให้ผมคิดไม่ตก ส่วนตัวเค้ากลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อย่างน้อยรอบนี้เค้าก็ไม่ได้เมินผมอย่างครั้งแรก

“อ้าว เรียกลุงไม่ลุก ต้องเรียกน้องแปงหรือเปล่านา น้องแปงไม่ต้องกลัวนะครับเดี๋ยวพี่ภู่ดูแลเอง”แต่พอทำตัวปกติ ผมก็ต้องเข้าโหมดปวดประสาทอีกแล้วสินะครับเนี่ย แล้วนี่เรื่องนี้คงเป็นเรื่องให้เค้าเอามาล้อผมได้อีกนานแน่ๆ เลยครับ

“ไอ้เด็กลามปาม”ผมลุกเดินมาที่โต๊ะมองเค้าตาขวางๆ อยากจะหยิบอะไรเขวี้ยงหน้าสักหน่อยนะครับ แต่บนโต๊ะก็มีแต่ของกิน เอามาเขวี้ยงใส่เด็กบ้านี่ก็เสียดายแย่ แถมนี่เค้าก็ตื่นแต่เช้ากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาทำให้ผมกินด้วย แต่เดี๋ยวก่อนนี่ตกลงผมจะว่าหรือจะชมเค้ากันแน่ครับเนี่ย

“แล้วหยุดแบบนี้ทำไรกันดีอะลุง”ผมเงยหน้าขึ้นมอง เพิ่งตักข้าวเข้าปากแท้ๆ ยังจะรีบมาถามอะไรอีก แล้วนี่น้ำก็ยังรอการระบาย ออกไปไหนไม่ได้ ฟ้าก็ยังครึ้ม อยู่ในบ้านมันจะมีอะไรให้ทำนักหนาเชียวครับ

“ขอนอนโง่ๆ ฟังเพลงสบายๆ บรรยากาศแบบนี้น่านอนเป็นที่สุด”ผมบอกอยากขี้เกียจ

“แหม น่านอน ถ้าฟ้าถล่มลงมาอีกรอบ อยากจะรู้นักว่าจะนอนหลับลงหรือเปล่า ทีเมื่อคืนละกอดผมซะแน่นเชียว”เหมือนเค้าจะชะงักไปนิดถึงเมื่อพูดถึงไอ้การที่เราสองคนถึงเนื้อถึงตัวกันเมื่อคืน ทำมาเป็นล้อผม ผมแค่กอดแค่นั้น ตัวเองจุ๊บเหม่งผม ผมยังไม่ว่าไรเลย

“ไม่ได้กลัวขนาดนั้นเสียหน่อย”ผมบ่นอุบอิบ อย่างเคืองๆ

“เหรอครับ...น้องแปง”นั่นไง ได้ทีนี่ล้อใหญ่เชียวนะ อย่าให้ผมรู้บ้างละกันว่าเด็กบ้านี่กลัวอะไร เดี๋ยวจะเอาคืนให้หลาบจำเลยคอยดูเถอะ

“เออๆ เลิกล้อได้แล้ว ละมีอะไรที่มันน่าสนใจกว่าการนอนหรือไงกันเล่า”ผมพยายามจบเรื่องฝนตกฟ้าร้องนี่เอาไว้ก่อน เพราะถ้ายังขืนพูดต่อมันต้องเข้าตัวผมอีกเป็นแน่แท้

“ขอคิดแปป”ผมหันมาสนใจกินข้าวต่อ ส่วนอีกคนก็ทำท่าหยุดคิด เหมือนต้องมีกิจกรรมอะไรสักอย่างให้ได้ ทั้งที่ผมว่าวันหยุดก็นอนพักผ่อน ดูทีวี ฟังเพลง เปิดหนังดูอะไรไปก็จบแล้ว จะมาคิดให้วุ่นวายทำไม แต่เดี๋ยวก่อนผมว่าผมนึกออกแล้ว

“งั้น...เล่นกีต้าร์ให้ฟังบ้างสิ ไอ้ที่ซื้อมาตั้งครึ่งแสนนั่น เอามาเล่นให้ดูหน่อย ว่าฝีมือเป็นไงมั่ง”นี่ตั้งแต่ซื้อมาก็ยังไม่เห็นเอามาเล่นให้ฟังบ้างเลย

“ยังไม่ถึงเวลา”เค้ายักไหล่ อย่างไม่สนใจในข้อเสนอของผม เด็กบ้านี่ถ้าจะเสนออะไรไปก็ค้านมาทุกอย่างแบบนี้ ก็รีบคิดมาเองสักทีสิ แต่ไอ้เรื่องกีต้าร์นี่ผมก็ยังข้องใจอยู่นะครับ

“หมายความว่าไง”

“ก็ยังไม่ถึงเวลาที่ลุงจะได้เห็นฝีมือผมไง”คือการเล่นให้ผมฟังนี่มันต้องรอเวลาด้วยหรือไง หรือยังเล่นไม่เป็น ก็ไม่น่าใช่ ชักจะหมั่นไส้แล้วละครับ ทำมาเป็นลีลา ต้องรอจังหวะ รอโอกาสไรอีกละเนี่ย

“อยากดูตายละ”ผมเบ้ปากอย่างหมั่นไส้

“น่าลุง อดใจรออีกนิดเดี๋ยวได้รับฟัง รับชมแบบเต็มๆ แน่นอน”ดูทำยังกะจะเปิดคอนเสิร์ตใหญ่อย่างนั้นแหละครับ แค่ให้ลองเล่นให้ดูแค่นี้ก็ไม่ได้

“สรุป แล้ววันนี้จะทำไร นอนก็ไม่นอน กีต้าร์ก็ไม่โชว์”ผมมองอีกคนอย่างหน่ายๆ แต่เค้าก็ยักคิ้วใส่ผมอย่างไม่สะทกสะท้าน ดูไม่ได้ใส่ใจเลยว่าผมกำลังหมั่นไส้เค้าอยู่

“เตะบอลม่ะ”

“เตะบอล???”ผมถามอย่างไม่เข้าใจ อะไรอยู่ๆ จะมาชวนเตะบอลอะไรของเค้า

“อือ”เค้ายังคงยิ้มระรื่น พยักหน้ายืนยันกับผม

“ไม่เอาอะ เตะไม่เป็น”เกิดมาเคยเตะบอลแค่ตอนเรียน ซึ่งก็ไม่เรียกว่าเตะเป็นหรอกครับ เรียกว่าเรียนให้รู้มากกว่า อีกอย่างดูสภาพดินฟ้าอากาศ ตอนนี้ มันควรออกไปเล่นเหรอ หรือจะให้ไปสนามหญ้าเทียมอย่างที่เค้าเคยไป ก็ไม่น่าจะเหมาะ ถนนหนทางเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ ดีไม่ดีไอ้แถวสนามบอลนั่นก็น้ำยังระบายไม่หมดหรือเปล่าเหอะ

“ไม่ยากเดี๋ยวสอน”แล้วนี่ก็ดูไม่ได้สนใจคำปฏิเสธของผมเลย ไอ้เด็กเผด็จการ พอเราเสนอละไม่เอาพอเรื่องที่ตัวเองเสนอมาแล้วเราปฏิเสธก็ไม่ฟังเราอีก แล้วนี่บอลเค้าเล่นกันสองคนหรือไง

แต่ก็นั่นแหละครับ สุดท้ายพอทานอาหารเช้าเสร็จ ผมก็ต้องตามเด็กบ้านี่มาบ้านเค้า แม้ผมจะบ่นตามเรื่องตามราวไปบ้างแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ว่าทำไมถึงยอมตามเด็กนี่มา นี่ผมว่าเป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่ผมได้เข้ามาในบ้านที่เค้าอยู่ ปกติมีแต่เค้าที่ไปอยู่บ้านผม

“ไหนบอกชวนเตะบอล”ผมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเค้าเข้ามาเปิดทีวี หยิบนู่นนี่นั่นอยู่กับอุปกรณ์อะไรอีกหลายอย่าง

“นี่ไงวินนิ่งอะรู้จักเปล่าลุง”สรุปที่ชวนเตะบอลนี่คือชวนเล่นเกม ผมส่ายหน้าเพราะอย่าว่าแต่เคยเล่นเลยครับ ชื่อเกมผมยังไม่รู้จักเลย แต่จากที่ฟังมันคงหมายถึงเกมเตะบอลสินะครับ ชีวิตผมนี่เกิดมานี่เรียกว่ารู้จักเกมน้อยมากเลยครับ แล้วนี่จะเล่นเป็นไหมละครับเนี่ย

“ไม่รู้จัก เล่นไม่เป็นด้วย”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ตามด้วยสีหน้าไม่สนใจเลยสักนิดกับกิจกรรมที่เค้าดูภูมิใจนำเสนอขนาดนี้

“อะไรกันเพลย์สเตชั่นไงลุง อ่ะนี่จอยสติ๊กรู้จักป่ะ”ผมชักสีหน้า ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักว่านี่มันอะไร แต่ก็เล่นไม่เป็นไง

“ภู่ก็เล่นไปเถอะ พี่เล่นไม่เป็น”ผมยื่นจอยที่เค้าส่งให้คืน เพราะไม่คิดว่าผมจะสนุกกับไอ้ที่เค้าจะให้ผมเล่นนี่ อีกอย่างผมว่ามันคงไม่ได้เล่นง่ายๆ

“เล่นคนเดียวมันไม่หนุกดิลุง เล่นเป็นเพื่อนหน่อย”เค้ายังคงคะยั้นคะยอ พร้อมดึงผมให้นั่งลงข้างๆ ซึ่งสุดท้ายผมก็ยอมนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ เค้ากดนู่นนี่นั่น หน้าจอก็ขึ้นอะไรมาบ้างไม่รู้ เค้ากดอย่างคล่องแคล่ว มีแต่ผมที่นั่งมองอย่างไม่เข้าใจ

“เอาทีมไหนดีลุง”ผมหันมองเค้าอย่างไม่เข้าใจ นี่ก็มาถามคนไม่เคยเล่น ผมจะรู้ไหมละครับ

“บอลโลกหรือบอลลีกดี”ผมส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะตอบยังไง คือนอกจากจะเตะบอลไม่เป็น เล่นเกมบอลไม่เป็น ผมยังดูบอลไม่เป็นอีกด้วยนั่นแหละครับ คือผมว่าผมไม่น่าจะเข้าถึงไอ้ที่เค้าพยายามกำลังจะทำเนี่ย

“ภู่เล่นไปเลย”ผมเริ่มบ่ายเบี่ยง แม้จะกำลังคิดว่าหรือเวลาเล่นมันต้องเล่น 2 คนเพราะใช้ 2 ทีมอะไรแบบนั้นหรือเปล่า

“เสร็จละ มาๆ เดี๋ยวผมสอน”เหมือนกับว่าเค้าก็ไม่ได้สนใจคำพูดผมสักเท่าไหร่ ยังคงยื่นจอยสติ๊กให้ผมถือเช่นเดิม ผมรับมาอย่างปฏิเสธไม่ได้ พร้อมฟังเค้าอธิบายปุ่มแต่ละอันว่าใช้ทำอะไร

“ลูกศรเอาไว้บังคับทิศทาง ส่วนอันนี้เวลาส่งลูกกด 2 ปุ่มนี้”ไอ้ที่เค้าอธิบายไปมันไม่เข้าหัวผมสักนิด แต่สิ่งที่อยู่ในหัวผมตอนนี้คือความรู้สึกแปลกๆ ที่ได้อยู่ใกล้ๆ เค้าอีกแล้ว ใจผมก็เริ่มเต้นแรงขึ้นตามไปด้วยนี่สิ ตอนนี้เรานั่งเบียดกัน ขาเราก็แทบจะเกยกันอยู่แล้ว ตัวเค้าก็โน้มเค้ามาจับจอยสติ๊กอันเดียวกันกับผม ผมหันมองใบหน้าเค้าที่ตอนนี้ใกล้เค้ามาจนจะชิดกันอยู่แล้ว

“เดี๋ยวลองเริ่มดูเลยแล้วกันนะลุง”ผมรีบละสายตาและตั้งสติ เพราะเผลอจ้องหน้าเค้ามากไป ทำไมวันนี้ผมรู้สึกว่าเด็กนี่มันหล่อขึ้นกันนะ จมูกที่ดูได้รูป ใบหน้าที่ดูสมส่วน แถมริมฝีปากนั่นที่ผมเคยสัมผัสทำไมผมใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้นะ

“ลุง ลุง เขี่ยลูกดิ”เค้าต้องเรียกผมอีกครั้งเพราะผมเหมือนจะยังเรียกสติกลับมาไม่ได้

“หา ยังไงนะ”พอตั้งสติได้ผมก็ยังคงงงๆ กับแต่ละปุ่มว่าต้องเริ่มจากอะไรยังไง เพราะตอนเค้าอธิบายนั่นมันไม่ได้เข้าหัวผม

“นี่ไง กดนี่”เค้าเอื้อมมือมากดให้ ก่อนจะชี้ให้ผมดูที่หน้าจอ ภาพที่เห็นก็เหมือนๆ กับที่เคยเห็นผ่านๆ เวลาเค้าเตะบอลนั่นแหละครับ มีคนวิ่งๆ ตามลูกฟุตบอล แล้วมันสนุกตรงไหนเนี่ย

“ส่งลุงส่ง”เค้ารีบแย่งจอยจากมือผมไป ทำให้ผมเสียจังหวะ เอียงตัวตามเค้าไปด้วยสัญชาตญาณทำให้ผมเหยียดแขนไปจะค้ำเพราะกลัวตัวเองจะล้ม แต่ปรากฏว่ามือผมดันวางลงไปตรงเป้ากางเกงของเค้าพอดี แล้ววันนี้เค้าใส่กางเกงบอลสบายๆ แถมคาดว่าข้างในคงเป็นแค่บอกเซอร์แน่ๆ เพราะมือผมมันสัมผัสเข้าไปแบบ... ภาพที่เคยเห็นแทบจะผุดขึ้นมาในหัวของผมทันที

ทั้งผมและเค้าต่างหันมองหน้ากันนิ่ง ใจผมนี่เต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมา เค้าก้มมองที่มือผมทำให้ผมต้องรีบชักมือกลับ ก่อนจะค่อยๆ ถอยตัวออกเค้าหันมามองผมนิ่ง พร้อมกับการที่โน้มตามผมมา ผมมองเค้าอย่างระแวง ด้วยความที่ทั้งไม่เข้าใจว่าเค้าจะทำอะไร แถมในใจผมก็ยังเต้นไม่เป็นจังหวะกับไอ้ที่มือเพิ่งไปโดนตะกี้ด้วย

แต่แล้วผมก็ต้องใจเต้นแรงกว่าเดิมเพราะเค้าวาดวงแขนดึงตัวผมเข้าหา ประกบริมฝีปากลงมาที่ปากของผม ครั้งนี้ให้ความรู้สึกต่างออกไปจากครั้งก่อนนิดหน่อย ที่มันไม่มีรสเค้ก หรือรสชาติของแอลกอฮอล์ แต่มันก็ยังคงสร้างความปั่นป่วนให้ผมเช่นเดิม แล้วนี่มันหมายความว่ายังไงกันที่เค้าทำแบบนี้กับผม ครั้งก่อนเค้าอาจจะเมา แล้วครั้งนี้

“ใจเต้นแรงเลยนะลุง”



TBC

ใกล้ละคู่นี้
 :hao6:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

อ่านๆ
ไอ้น้องภู่นี่  :katai1:
,,ใกล้อะไร นี่เป็นรายการลุ้นรายวัน :ling1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2017 13:19:01 โดย Billie »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด