บทที่ 19
กลัว
“ทำไมไม่เรียกลุงเหมือนทุกที”ผมถามออกไปเสียงดัง จนอีกคนต้องหันกลับมามองผม ส่วนผมเองตอนนี้คงมองเค้าด้วยสีหน้าท่าทางพร้อมหาเรื่องเต็มที่
“ก็พี่แปงไม่ชอบให้ผมเรียกไม่ใช่เหรอครับ”เค้ายังคงตอบด้วยท่าทางเหมือนเดิม มันก็ใช่ที่ตอนแรกผมไม่ชอบกับการที่เค้าเรียกผมว่าลุง แต่ตอนนี้มันชินไปแล้วไง
“แล้วทำไมยังเรียกทั้งที่รู้ว่าไม่ชอบ”พออยากเรียกก็มาเรียก ไม่อยากเรียกแล้วก็เลิกหรือไงเล่า ทำอะไรก็ให้มันสม่ำเสมอไม่ได้หรือไง อยากจะพูดออกไปตามสิ่งที่คิดนะครับ แต่ปากผมมันดันพูดไม่ค่อยตรงกับที่คิดสักเท่าไหร่
“ตอนแรกผมก็แค่อยากแกล้งพี่”อะไรนะ แค่อยากแกล้งแค่นั้นเองเหรอ คำตอบที่ได้ยินทำให้ผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
“แล้วตอนนี้ละ”ผมเริ่มถามเสียงแข็ง
“ตอนนี้ผมก็แค่...”ยังไม่ทันที่เค้าจะพูดจบ
“เปรี้ยง!!!”/ “เชี่ย”ผมร้องเสียงหลงทันทีที่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง สองมือผมรีบอุดหู หลับตาปี๋ ทรุดลงแทบจะมุดใต้โซฟา เรียกว่าเลิกสนใจทุกอย่างไปชั่วขณะ แล้วนี่อยู่ๆ ฝนฟ้ามันเทลงมาได้ยังไงกัน ทั้งที่ไม่เห็นมีวี่แววอะไรกันมาก่อนเลย หรือว่าผมอยู่แต่ในบ้านเลยไม่เห็นฟ้าฝนที่ตั้งเค้ามา
“เป็นไรหรือเปล่าพี่”เค้าถามผมด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะตกใจ คงมาจากการที่เห็นอาการของผมนั่นแหละครับ ผมยังคงเอามือขึ้นปิดหูและหรี่ตามองไปทางนอกบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“เปรี้ยง/พรืบ”
“เชี่ยปิดไฟทำไมเนี่ย”พอผมหลับตาตามเสียงฟ้าร้อง แล้วลืมตาขึ้นมาอีกทีกลับพบเพียงความมืดทำให้ผมเริ่มโวยวาย เพราะตอนนี้สติผมเริ่มไม่อยู่กับตัวแล้วครับ รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังสั่น จนใกล้จะควบคุมตัวเองไม่ได้
“ไฟมันดับไหมละลุง”ผมแทบไม่สนใจในสิ่งที่อีกคนตอบ แทบจะลืมสังเกตุว่าน้ำเสียงหรือคำพูดเค้าปกติหรือเปลี่ยนไปหรือเปล่า
“เปรี้ยง/โอ๊ยจะร้องทำไมนักหนา”ผมทรุดลงกับโซฟา รู้สึกอยากมุดเข้าไปในพื้นโซฟาให้รู้แล้วรู้รอดไปครับ ไม่ต้องแปลกใจไปครับ ผมแค่เป็นโรคกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่า เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่คงไม่ค่อยกลัวกัน หรือพอจะมีคนกลัวบ้างก็อาจจะอาการไม่หนักหนาบ้าบอเท่ากับผม คือถ้ารู้ก่อนว่าจะมีฝนตกและเตรียมตัวตั้งรับทัน อาการผมก็จะไม่รุนแรงสักเท่าไหร่
แต่ถ้าเจออย่างตอนนี้บอกเลยว่าผมพังครับ ไม่เหลือสติใดๆ ทั้งสิ้นเห๋นอะไรมุดได้แอบได้ผมแทบจะมุดเข้าไปทุกอย่าง เพราะงั้นที่บ้านผม พ่อกับแม่เลยสั่งบุผนังให้เก็บเสียงแทบทุกห้อง แต่ขนาดไม่ให้ได้ยินเสียงแล้วผมก็ต้องไม่เห็นฟ้าแลบด้วย แถมถ้าปกติอยู่บ้านถ้ารู้ว่าฝนตก ตอนเด็กๆ ผมจะนอนคนเดียวไม่ได้เลย วุ่นวายร้องไห้ทั่วบ้านประจำเลย โชคดีมาหน่อยที่พอโตขึ้น ผมจะพอคุมตัวเองได้บ้างถ้ารู้ก่อนว่าฝนจะตก
“เป็นไรเนี่ยลุง”ถึงจะอยากอธิบาย แต่ตอนนี้ผมคงพูดอะไรไม่ถูกหรอกครับ
“อยู่ไหน”ผมตะโกนถามทั้งที่ยังเอามือปิดหู หลับตา พยายามเอาหัวมุดโซฟา
“อะไร อยู่ไหนละลุง”แต่เหมือนอีกคนจะยังไม่เข้าใจที่ผมถาม
“ภู่อยู่ไหนมานี่หน่อย”ผมต้องตะโกนเสียงแข็งย้ำอีกรอบ ทั้งที่ตัวก็อยู่ในสภสภาพเดิม
“ตกลงเป็นไรเนี่ยลุง”ตอนนี้ชักจะเริ่มโมโหอีกคนแล้วละครับ ทำไมต้องมาเข้าใจอะไรยากเอาตอนนี้ เค้าน่าจะรู้ไหมว่าอาการผมตอนนี้ควรให้เค้าเซ้าซี้หรือเปล่า
“บอกให้มาก็มาเซ่”น้ำเสียงผมโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนี้ความกลัวผมมันอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว
“มาแล้ว อยู่นี่แล้ว”ผมรีบคว้ามือเค้ามาเกาะแน่นๆ กลัวว่าเค้าจะหายไป และเค้าคงเริ่มสัมผัสได้ว่าผมเริ่มสั่นไปทั้งตัว แถมเหงื่อก็ออกจนเปียกโชค มือไม้ตอนนี้ของผมคงเย็นไปหมด
“ไม่เป็นไรลุง ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่แล้วไง”เค้าดึงผมลุกขึ้น ก่อนจะดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด ลูบหลังผมเหมือนเป็นการปลอบเพราะคงรู้แล้วว่าผมกลัว แม้ที่เค้าทำจะช่วยให้ผมสงบลงได้บ้าง แต่ความกลัวที่มีก็ยังไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อยครับ
“พาเข้าห้องนอน พาเข้าห้องนอนหน่อย”ผมบอกทั้งๆ ที่ยังกอดเค้าแน่น และก็ยังคงพยายามหลับหูหลับตาอยู่
“ปล่อยก่อนสิครับ ผมจะได้พาไป”ผมส่งเสียงปฏิเสธทันที วินาทีนี้ผมจะไม่ปล่อยแหล่งยึดเหนี่ยวเดียวของผมให้หลุดดไปไหนได้อย่างเด็ดขาด
“ไม่ปล่อยแล้วเราจะไปกันยังไงละครับ”เสียงเค้าออกจะเหมือนกำลังอยากดุผมหน่อยๆ
“งั้นหันหน้าไป”ผมสั่งอย่างเอาแต่ใจ ซึ่งตอนนี้ผมไม่สนหรอกว่าอีกคนจะคิดยังไง ผมจับตัวเค้าให้พลิกหันหลังมาทางผม แล้วก็คว้าหมับเข้าที่เอวของเค้า ก่อนจะออกแรงดันให้เค้าเดินนำ
“ใจเย็นๆ ผมอยู่ด้วยทั้งคน”ผมรู้สึกได้ถึงมือของเค้าที่สัมผัสเบาๆ มาที่แขนผมซึ่งกอดเค้าไว้ เราค่อยๆ ขยับได้ทีละนิดเพราะคนเดินนำที่คงเดินไม่สะดวกสักเท่าไหร่ กับการที่มีผมเกาะแจแบบนี้
“เร็วอีกนิดดิ”ผมยังคงเร่งโดยไม่สนใจอะไร คิดแค่ว่าตอนนี้อยากคลุมโปงอยู่บนเตียงนอนให้ได้เร็วที่สุด
“ถึงแล้วคร๊าบเปิดประตูแล้ว”เค้าทำเสียงล้อๆ จนผมนึกอยากทำร้ายเค้าสักอย่าง แต่ตอนนี้ทั้งมือก็ต้องกอดยึดตัวเค้าไว้ เท้าก็ต้องเดิน คิดไปคิดมาเลยเลือกที่จะเอาหัวของตัวเอง กระแทกกับหลังของเค้า แต่เหมือนมันจะแรงเกินไป
“เฮ้ยลุง ทำไร”ดูเหมือนว่าด้วยการเดินที่ติดขัดอยู่แล้ว และแรงกระแทกที่ผมทำ มันเลยทำให้อีกคนเสียการทรงตัว แถมเหมือนจะสะดุดอะไรบางอย่างด้วย ผมที่หลับตาอยู่แล้วยิ่งหลับตาปี๋เข้าไปอีก เพราะรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลังล้มหน้าคะมำลง สองแขนผมยิ่งกอดเค้าแน่นขึ้น ตอนนี้ทั้งกลัวเสียงฟ้าร้อง ทั้งกลัวเจ็บด้วย
“ตุ๊บ”ไม่เจ็บแฮะ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นก็เลยนึกขึ้นได้ว่าผมจะเจ็บได้ยังไงในเมื่อผมมีอีกคนรองอยู่ข้างล่าง
“ลงก่อนได้ไหมลุง ผมจุก”คนที่อยู่ด้านล่างผมบอกเสียงอ้อแอ้ เพราะเหมือนผมจะทับเค้าอยู่ โชคดีที่เราทั้งคู่ล้มลงบนเตียงนอนของผม นี่ถ้าล้มลงพื้น คนข้างล่างนี่คงมีเลือดตกยางออก หรือฟกช้ำบ้างแน่ๆ ผมค่อยๆ เลื่อนตัวลงข้างๆ เค้าแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือเสียทีเดียว มือนึงยังคงดึงเสื้อเค้าอยู่
“ตกลงนี่กลัวเสียงฟ้าร้องขนาด..”เค้าชะงักคำพูดไป เพราะขณะที่เค้ากำลังพลิกตัวจะลุก ผมดันดึงเค้าด้วยสัญชาตญาณกลัวว่าเค้าจะหนีหายไป ไม่ต้องถามผมนะครับว่าทำไมผมคิดแบบนั้น เพราะตอนนี้ผมไม่มีสติ ไม่มีตรรกะใดๆทั้งสิ้นครับ มีแต่ความกลัวจนหลุดจากทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว
แต่สภาพตอนนี้กลายเป็นว่าอีกคนพลิกขึ้นมาคร่อมผมอยู่ แม้ภายในห้องจะมืดจนมองอะไรไม่ค่อยชัด ผมก็ยังสัมผัสได้จากลมหายใจว่าตอนนี้ใบหน้าของเราใกล้กันมากขนาดไหน ทุกอย่างเงียบลง ฝนเริ่มซาและยิ่งพอเข้ามาในห้องนอน เสียงของสายฝนก็เบาลงไปกว่าเดิมด้วย จนตอนนี้ผมรู้สึกได้
“ลมหายใจของอีกคนกำลังใกล้ผมเข้ามาเรื่อยๆ”นั่นคือเสียงที่ดังขึ้นในหัวของผม มือผมที่กำชายเสื้อเค้าอยู่เผลอกำมันแน่นเข้าไปอีก
“เปรี้ยง”ผมสะดุ้งสุดตัว สองมือรีบคว้าคนตรงหน้าและซุกเข้ากับอกเค้า ผมกอดแน่นจนสัมผัสได้ถึงหัวใจของเค้า หัวใจของเค้าที่เต้นแรงพอๆ กับผม นี่เค้าตกใจผมหรือไงกันถึงได้ใจเต้นขนาดนี้ หรือเค้ากลัวเสียงฟ้าคำรามนี่เหมือนผม แต่ไม่น่าจะใช่นี่นา
“ผ้าห่ม ดึงผ้าห่มมาคลุมหน่อย”ผมเริ่มออกคำสั่ง หรือร้องขอก็ไม่แน่ใจ แต่ผมต้องให้เค้าช่วยดึงผ้าห่มคลุมเราทั้งคู่เพราะผมไม่สามารถปล่อยมือที่กอดเค้าอยู่เพื่อดึงผ้าห่มมาคลุมเองได้
“พรืบ”ผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงถูกอีกคนที่ผมยังเกาะอยู่ เอื้อมไปหยิบพร้อมดึงขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
“เฮ้อ”ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาหน่อยเมื่อได้มาอยู่ใต้ผ้าห่มนี่แล้ว และยิ่งอุ่นใจขึ้นด้วยว่ามีอีกคนที่มาอยู่ใต้ผ้าห่มนี้กับผมด้วย ตอนนี้ผมพักเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับคนข้างๆ นี่เอาไว้ก่อนครับตอนนี้ เค้าจะเคยเมินผม หรือผมจะอยากเมินเค้า นาทีนี้พักให้หมดครับ
“หาหมอไหมลุง ถ้าจะกลัวขนาดนี้ มันน่าจะไม่ปกติแล้ว”ผมยังเบียดตัวเข้าหาเจ้าของคำพูดอย่างไม่สนใจอะไร
“หาแล้ว”ผมตอบออกไปอย่างเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“เฮ้ย ผมแค่พูดเล่นนี่ตกลงถึงขั้นต้องหาหมอจริงๆ เหรอเนี่ย”เค้าถามกลับด้วยน้ำเสียงตกใจ
“อือ เด็กๆ หนักกว่านี้อีก พอพบจิตแพทย์ค่อยดีขึ้นมาหน่อย”นี่เค้าจะมองผมอ่อนแอ ปัญญาอ่อนมากไหมเนี่ย ผมก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้นักหรอกแต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมกลัวอะไรแบบนี้มากขนาดนี้ คุณหมอก็เคยอธิบายนะครับ ว่าคนเรามันมีสิ่งที่กลัวแตกต่างกันไป สิ่งที่คนๆนึงกลัว อาจจะเป็นอะไรธรรมดาๆ สำหรับคนอื่นอะไรประมาณนั้นแหละครับ
“นี่ดีขึ้นแล้วเหรอ”พอตัวผมเองเริ่มสงบลงทำให้เริ่มสังเกตแล้วว่าเค้าดูกลับมาเป็นภู่คนเดิมที่ชอบกวนประสาทผมแล้ว
“อือ”ผมตอบรับสั้นๆ เพราะพอเริ่มมีสติก็เริ่มจะคิดได้ว่าตอนนี้ผมกับเค้าอยู่กันแนบชิดเกินไปแล้ว แต่ก็นั่นแหละครับถ้าไม่แน่นขนาดนี้ผมก็จะยังไม่อุ่นใจ
“นี่ลุงโตมาในปราสาท หอคอยอะไรแบบนั้นหรือเปล่าเนี่ย ดูยังกะไม่เคยเจอโลกภายนอก”เหมือนเป็นคำพูดล้อเลียนผม แต่ผมกลับหลุดยิ้มออกมา เพราะเข้าใจว่านี่เค้ากำลังพูดให้ผมผ่อนคลายขึ้น
“แล้วนี่เราต้องนอนคลุมโปงแบบนี้กันอีกนานแค่ไหนอะลุง”เค้าพลิกตัวตะแคงหันหน้าหาผม
“คืนนี้นอนเป็นเพื่อนหน่อยสิ”เพราะความกลัวทำให้ผมบอกออกไปแบบนั้นได้อย่างง่ายดาย
“ผมยังไม่ได้อาบน้ำนะ ทนกลิ่นเหงื่อผมได้เปล่า”เค้าบอกขำๆ
“กลิ่นเหงื่อภู่ไม่น่ากลัวเท่าเสียงฟ้าร้อง”ผมบอกเสียงอ้อนๆ คืออันนี้ไม่ได้ตั้งใจนะครับ แต่มันชินเวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ซึ่งปกติคนที่ผมอ้อนขอนอนด้วยก็มีแค่พ่อกับแม่และพี่สาว แค่นั้น ใครจะไปคิดว่าวันนึงต้องมาอ้อนเด็กบ้านี่ด้วย
“ลุงนี่เหมือนเด็กเลยเนอะ”เค้าบอกกลั้วเสียงหัวเราะ
“เปรี้ยง”นั่นไงละครับ ถ้าผมไม่ขอให้เค้านอนเป็นเพื่อน ผมจะผ่านคืนนี้ไปได้ยังไงกันละ แล้วนี่ผมก็แทบจะกระโจนเข้ากอดเค้าทันทีที่เสียงฟ้าคำรามดังขึ้น แต่ดูเหมือนเค้าเองก็ตกใจไม่น้อย แต่คงไม่ได้ตกใจเสียงฟ้าร้อง คงตกใจผมนี่แหละ แถมนี่ผมรู้สึกว่าเค้าตัวแข็งทื่อไปแป๊บนึงด้วย ผมคงทำให้เค้าตกใจสินะ
“กอดผมแน่นขนาดนี้ ไม่กลัวผมหวั่นไหวเหรอครับลุง”ถ้าผมเห็นหน้าเค้าตอนนี้ผมว่าเค้าต้องกำลังยิ้มกวนประสาทผมอยู่ตามที่เค้าชอบทำประจำแน่ๆ เลยครับ ได้ทีนี่เอาใหญ่เลยนะไอ้เด็กบ้า แล้วนี่ผมต้องยอมฝ่ายเดียวหรือไงเนี่ย
“แล้วตอนที่จูบกันวันก่อนนั่นไม่ใช่เพราะหวั่นไหวแล้วเหรอ”
TBC
ยังไงดีละภู่ ตกลงลุงหวั่นไหว หรือภู่หวั่นไหว