[END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว  (อ่าน 56287 ครั้ง)

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 35
คนขี้หึงกับผลสอบ





“ขอโทษนะครับน้อง คนนี้แฟนพี่”

หลังจากบอกออกไปแบบนั้นผมก็ลากคนของผม ใช่ครับเค้าเป็นของผม ผมไม่ได้สนใจมองน้องผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำว่ามีสีหน้าท่าทาง หรือแสดงอาการยังไง แต่เธอก็ไม่ได้โวยวายหรือตามมาแต่อย่างใด ส่วนไอ้คนที่เดินตามผมนี่ก็ยังจะมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีก ไม่รู้ตัวหรือไงว่ากำลังทำให้ผมหงุดหงิดอยู่ ก็ไอ้ที่เค้าจูบกับน้องผู้หญิงคนนั้นแหละ ถึงตอนหลังเค้าจะปฏิเสธ แต่ทีแรกก็ยอมให้เค้าจูบอยู่ตั้งนาน

“ไม่ต้องถาม ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่พร้อมคุย ไม่พร้อมตอบ”ทันทีที่ผมลากภู่มาถึงรถ ผมก็บอกกับข้าวหอมที่กำลังจะอ้าปากถามด้วยความสงสัย ก็แน่ละอยู่ๆ ผมลากภู่มาด้วยแบบนี้เป็นใครก็คงต้องงง ต้องสงสัยเป็นธรรมดา ยกเว้นพี่โตที่เหมือนจะรู้งานและออกรถโดยไม่ถามอะไรสักคำ ส่วนคนที่ผมลากมาด้วยนี่ผมก็ชี้คาดโทษให้เค้านิ่งเงียบไว้ตลอดทาง

“อย่าหักโหมนะคะเพื่อน เผื่อแรงไว้ไปเที่ยวพรุ่งนี้บ้าง”เสียงข้าวหอมแซวไล่หลังมาทันทีที่เราจะแยกย้ายไปห้องพัก ผมไม่ได้หันไปตอบหรือสนใจอะไร เพราะตอนนี้อยู่ในอารมณ์ที่ค่อนข้างจะทั้งหงุดหงิด ทั้งความต้องการทำบางอย่าง เรียกว่าตอนนี้ไม่พร้อมคุยกับใครทั้งนั้นแหละครับ

“ฝ้ายคือแฟนเก่าผม”พอเปิดประตูเข้าห้องมาเค้าก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดมากขึ้น รู้สึกไม่ชอบใจยิ่งกว่าเดิมที่รู้สถานะของน้องผู้หญิงคนนั้น

“ใครอนุญาตให้พูด”ผมบอกเสียงเคืองๆ แหงนมองหน้าเค้าที่เดินเข้ามาประชิดด้วยความไม่พอใจ

“นี่ลุงเมาใช่ไหมครับ”เค้าเหมือนไม่ได้สนใจอาการฮึดฮัดของผม ยังคงทำตัวสบายๆ ก้มลงมาใช้จมูกดมกลิ่นตามตัวผมเหมือนกำลังสนุก จมูกเค้าทำเสียงฟุดฟิดๆ ยังกับว่ากลิ่นจากตัวผมมันเหม็นเสียเต็มประดา ด้วยความหมั่นไส้สองมือผมจึงตะบบเข้าที่ใบหน้าของเค้าจับจนแน่นแล้วดึงให้มาอยู่นิ่งๆ ตรงหน้าผม

ก็ไม่เข้าใจตัวเองหรอกนะครับว่าทำไมรู้สึกอะไรบ้าๆ แบบนี้ได้ไง แต่พอนึกถึงภาพที่เค้าจูบกับน้องผู้หญิงคนนั้น ผมก็อยากจะจูบซ้ำ ลบร่องรอยนั้นออกไปให้หมด เค้าตกใจในทีแรกที่ผมประกบริมฝีปากเข้าหาเค้า แต่เพียงไม่นานปฏิกิริยาตอบกลับของเค้าก็ดีเสียจนผมแทบลืมหายใจ ลิ้นของเราทั้งคู่เหมือนกำลังหยอกเย้า และเข้าไปสำรวจในโพรงปากของกันและกัน

“เมาแล้วทำตัวน่ารักนะเราเนี่ย”รอยยิ้มพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเค้า แต่ผมกลับยังไม่คลายความหงุดหงิดในใจลงไปเลย

“พี่กับแฟนเก่าภู่ใครจูบเก่งกว่ากัน”แม้จะรู้ว่าคำตอบมันคงไม่ใช่ผมที่เป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าเค้าจะโกหกสักนิดผมก็จะไม่ว่าอะไรเค้าสักคำ

“ลุงสู้เค้าไม่ได้หรอก”ละนี่ทำไมต้องมาตอบแบบเยาะเย้ยกันขนาดนี้ด้วย ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ใช่สิผมไม่เคยจูบกับใครนอกจากเค้านิจะให้ไปเก่งกาจ ช่ำชองได้ยังไงกัน ไม่เห็นต้องตอกย้ำกันขนาดนี้เลยแต่คิดเหรอว่าพูดแบบนี้แล้วผมจะไล่เค้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ฝันไปเถอะ ผมดึงเค้าเข้ามาจูบอีกรอบ และครั้งนี้มันออกจะรุนแรงกว่าครั้งแรกสักหน่อย แถมเหมือนผมจะเผลอกัดปากเค้าเข้าไปด้วย กลิ่นเลือดจางๆ กับรสชาติความปะแล่มๆ ทำให้ผมต้องรีบผละออกจากเค้า

“ถึงฝ้ายเค้าจะจูบเก่งกว่า แต่ผมก็ชอบจูบกับลุงมากกว่านะครับ”เค้าแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่ มีน้ำสีแดงๆ ซึมออกมาเล็กน้อย พูดกับผมด้วยเสียงที่อ่อนลง สองมือเค้าประคองใบหน้าผมที่กำลังเบือนหนีให้มองเค้า

“ชอบมากกว่า แต่ก็ยังจูบกับเค้าตั้งนาน”ผมพึมพำกับสิ่งที่ยังติดค้างอยู่ในใจ

“ขอโทษนะครับ แต่เชื่อผมเถอะว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ผมสัญญา”คำพูดที่ฟังดูหนักแน่นทำให้ผมบอกกับตัวเองว่าคงต้องเชื่อเค้า แม้ในใจจะยังมีคำถามอยู่บ้าง แต่คงต้องเอาไว้ก่อนเพราะตอนนี้ผมว่าผมคงโดนฤทธิ์แอลกอฮอล์กระตุ้นบางอย่างเข้าให้แล้ว อีกอย่างคงเพราะทั้งผมและเค้าห่างกันมาสักพักแล้วด้วย

“พี่เชื่อก็ได้ แต่ภู่ทำผิดภู่ต้องโดนลงโทษ”นี่ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงไม่กล้าทำอะไรแบบนี้แน่ๆ ผมเป็นฝ่ายดึงแขนเค้าไปที่เตียงนอน แถมผลักเค้าให้ล้มลงนอนหงายบนเตียงอีกด้วย

“นี่ถ้ารู้ว่าลุงหึงแล้วเป็นแบบนี้ ผมแกล้งให้หึงบ่อยๆ ดีกว่า”เค้าบอกยิ้มๆ เมื่อผมตามขึ้นไปนั่งคร่อมบนตัวเค้าสองมือค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเค้าทีละเม็ดๆ จนเผยให้เห็นแผงอกแกร่ง

“ใครหึง ไม่ได้หึงเลยสักนิด”ผมก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูเค้าก่อนจะยันตัวขึ้นถอดเสื้อตัวเองออกขว้างไปอย่างไม่สนใจทิศทาง เค้าจ้องมองมาที่ผมอย่างพอใจ เค้ายันตัวลุกขึ้นมานั่งพร้อมสองแขนที่รั้งตัวผมไว้ ทำให้ตอนนี้เหมือนผมนั่งบนตักเค้าหันหน้าเข้าหากันในระยะประชิดจนเนื้อแนบเนื้อ

“ไม่หึงก็ไม่หึงครับ”ริมฝีปากเค้าพรมไปทั่วใบหน้า ต่ำลงมาที่ซอกคอ ไหนว่าทีแรกผมจะลงโทษเค้าทำไมตอนนี้มันคล้ายๆ จะกลายเป็นผมที่ถูกทำโทษอีกแล้วละครับเนี่ย แต่ช่างเถอะครับมาถึงขนาดนี้แล้ว กางเกงของเราทั้งคู่ก็ไม่รู้ถอดไปตอนไหน ใครจะลงโทษใครผลสุดท้ายมันก็คงไม่ต่างกันหรอกน่าจริงไหมครับ พอคิดได้แบบนั้นระหว่างเราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก มีเพียงภาษากายที่สอดประสานกัน




“ขอบคุณนะครับ”หลังจากผ่านสงครามบนเตียงกันไปอย่างยาวนาน และผมก็น่าจะเริ่มสร่างเมาแล้วทำให้ตอนนี้ผมได้แต่ก้มหน้าซุกกับแผงอกของเค้า นี่ผมว่าผมไม่ควรจะเมาที่ไหนอีกแล้วถ้ายังเป็นแบบนี้อีก

“ขอบคุณที่มาเซอร์ไพรส์ครับลุง”เค้าจรดริมฝีปากลงมาที่หน้าผากผม ผมค่อยๆขยับตัวออกเพื่อมองหน้าเค้า ทีแรกก็กะว่าจะแกล้งหลับๆ ไป แต่เหมือนเค้าจะรู้ทันเลยคิดว่ามาคุยกันให้รู้เรื่องดีกว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วไอ้เรื่องแฟนเก่าเค้าที่ยังคาใจผมอยู่จะได้หมดไปสักที

“นี่ พี่ถามหน่อยสิ”ผมขยับตัวให้สายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน

“ครับ”เค้ายิ้มทำหน้าทะเล้นตามสไตล์ของเค้า ก่อนใบหน้าจะค่อยๆ ราบเรียบลงเมื่อได้ยินคำถามของผม

“น้องผู้หญิงคนนั้น กับคนที่ภู่เคยบอกว่าทิ้งภู่ไปและคิดจะกลับมาคือคนเดียวกันไหม”

“คนเดียวกันครับ”ก็ไม่ได้ผิดไปจากที่ผมคาดไว้สักเท่าไหร่ เค้าถอนหายใจเบาๆ เหมือนกำลังตัดสินใจ ว่าจะเปิดโอกาสให้ผมถามต่อหรือเปล่า แค่ผมเองก็ไม่ปล่อยให้เค้ามีเวลาคิดนานหรอกครับ

“แล้วตอนนี้ ภู่รู้สึกยังไงกับเค้า”ผมเองก็ไม่อยากต้องมานั่งคิดเองว่าที่จริงแล้ว ภู่ยังคิดอะไรกับน้องคนนั้นหรือเปล่า คือไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองว่าตอนนี้ภู่ก็เลือกผมแล้ว แต่สิ่งที่เห็นเมื่อคืนก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้เกิดความกังวลในใจของผมอยู่บ้างเหมือนกัน ว่าภู่ยังเหลือเยื่อใย และอาจยังย้อนกลับไปได้

“ก็เป็นเพื่อนกันเฉยๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”เค้าบอกด้วยน้ำเสียง สีหน้าแววตาที่หนักแน่น ผมพยายามมองลึกเข้าไปในดวงตานั้นว่าผมเชื่อเค้าได้จริงๆ หรือเปล่า

“เรื่องจูบนั่นผมแค่ไม่ทันตั้งตัว และผมคงเคยชินกับสัมผัสของเค้า และเค้าเองก็คงอยากพิสูจน์ว่าผมไม่รู้สึกอะไรกับเค้าแล้วจริงๆ หรือเปล่า”เหมือนเค้าจะอ่านใจผมออกว่าหลักๆ ที่ผมคาใจที่สุดก็คงเป็นเรื่องนี้

“และผมก็ไม่ได้ไปกับเค้าสองคน มีเพื่อนๆ รออยู่ในร้านด้วย มีอะไรสงสัยอีกไหมครับ”ผมยังคงรับฟังเงียบๆ ปล่อยให้เค้าได้อธิบาย เพราะพอได้ฟังจากปากของเค้า ผมจะมั่นใจได้ว่าเค้าจะไม่โกหกผม

“ผมเคยบอกแล้วไงครับว่าผมรู้สึกยังไง จากนี้ไปผมไม่มีวันเปลี่ยนใจจากลุงหรอกครับ”จากตอนแรกๆ มันก็ซึ้งดีนะครับ แต่ภู่ก็ยังเป็นภู่ ไอ้ท่าทางกวนๆ ที่มาตอนหลังนี่มันทำเอาผมอดจะหมั่นไส้ไม่ได้อีกแล้ว

“มั่นใจขนาดนั้นเลย”

“ก็เหมือนจะมีแฟนขี้หึง ใครจะกล้าไม่มั่นใจละครับ”เค้าขยับเข้ามาเอาจมูกชนกับจมูกผม ก่อนจะเขี่ยไปมาเบาๆ รอยยิ้มกว้างของเค้าทำเอาผมเขินเหมือนกันนะเนี่ย

“ใครขี้หึง ไม่เคยหึงสักนิด”ผมตีมึนเพื่อกลบความเขินและอาย นี่ยังคิดอยู่เลยว่าตัวเองทำอะไรต่างๆ ลงไปได้ยังไง

“ไม่ได้หึงเลย แต่ไปจูบโชว์เค้า แถมประกาศอีกว่าผมเป็นแฟน กลับมายังมาพยายามจูบเอาชนะเค้าอีก ไม่ได้หึงเลยเนอะ”นั่นไงดูสิครับ ยิ่งรู้ว่าเราอายก็ยังจะมาล้ออีก นี่เรื่องนี้คงทำให้ผมโดนล้อไปอีกนานเลยแน่ๆ

“พอเลย หยุดพูดเดี๋ยวนี้”

“ทำไมละครับ น่ารักจะตายไป ผมชอบนะเวลาแฟนหึงแบบนี้ แถมหึงแล้วทำตัวแบบลุงนี่ผมยิ่งชอบเข้าไปใหญ”ตัวผมถูกเค้าดึงกระชับเข้าหาด้วยวงแขนของเค้า เค้ากอดผมไว้หลวมๆแล้วกดจมูกลงดมที่หัวของผม นี่หัวผมเหม็นหรือเปล่าเนี่ย วันนี้ยังไม่ได้สระผมเลย

“เพราะเมาหรอก”ผมขืนศีรษะออกเล็กน้อยเพราะไม่มั่นใจในความเน่าของหัวตัวเอง

“งั้นก็เมาบ่อยๆ นะครับผมชอบ”ผมถูกดึงเข้าไปดมศีรษะอีกรอบ แสดงว่ากลิ่นคงยังไม่เน่าสินะ

“แต่เมาแล้วอย่าไปทำแบบนี้กับใครนะ มาทำกับผมคนเดียวพอ”แหม ไอ้ที่ผมทำลงไปเนี่ยยังกับว่าผมจะไปทำแบบนี้กับใครที่ไหนได้นอกจากเค้างั้นแหละ

“ไม่คุยด้วยแล้ว นอนดีกว่า”เหมือนยิ่งคุยทุกอย่างจะยิ่งเข้าตัว แล้วนี่ก็ดึกจนเรียกว่าจะใกล้เช้าแล้ว ผมกับเค้าควรนอนกันสักทีครับ เปลือกตาผมค่อยๆ ปิดลงและสุดท้ายก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดอุ่นๆ ของอีกคน






เราทั้งคู่ตื่นขึ้นมาตอนสายๆ ของอีกวัน และผมก็พบว่าพี่โตกับข้าวหอมออกไปเที่ยวกันสองคนโดยไม่รอผม แต่จะโทษข้าวหอมก็คงไม่ถูกเพราะกว่าผมจะตื่นกันก็ลากยาวมาจนจะบ่ายอยู่แล้ว แต่ยังดีที่พี่โตเช่ารถเพิ่มอีกคันแล้วทิ้งกุญแจไว้ให้ผมที่เค้าท์เตอร์ ไม่งั้นผมคงลำบากในการใช้ชีวิตแน่ๆ

“พี่หอมกับพี่โตเค้าก็คงอยากสวีทกันแหละ เอางี้เราไปทานข้าวบ้านผมกันไหม”คือเรื่องข้าวหอมกับพี่โตนี่ผมก็บ่นไปงั้นไม่ได้ใส่ใจอะไรนะครับ แต่ไอ้เรื่องไปทานข้าวบ้านเค้าเนี่ย มันมาได้ยังไงกัน

“ตกใจอะไร แค่ไปทานข้าวที่บ้านไม่ได้บอกให้ลุงไปขอผมกับพ่อแม่สักหน่อย”ผมตีแขนเค้าไปเบาๆ ทีนึง ก็ดูสิครับเนี่ยเค้าพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ แถมพูดเล่นนี่อีก แต่ผมนี่สิความกังวลมาเพียบเลย การที่ผมบอกว่าจะมาหาเค้าที่เชียงใหม่นี่ทั้งตามแผนเดิม หรือมาเซอร์ไพรส์ก่อนกำหนด มันไม่ได้มีโปรแกรมการไปบ้านเค้าบรรจุอยู่เลย

“ถ้าลุงไม่พร้อมที่จะให้ผมบอกที่บ้านว่าเป็นแฟนผม เราก็บอกแค่ว่าเราสนิทกันเพราะอยู่บ้านติดกันก็ได้ ตกลงว่าไปนะครับ”

แม้จะบ่ายเบี่ยงไปก็ไม่เป็นประโยชน์สักเท่าไหร่เพราะสุดท้ายเค้าก็บังคับผมมาถึงบ้านเค้าจนได้ แม้บรรยากาศภายในบ้านจะร่มรื่น แต่ใจผมตอนนี้กลับกระวนกระวายเต้นไม่เป็นจังหวะเลย ก็ใครจะไปคิดละครับว่าจะต้องมาเจอครอบครัวภู่แบบนี้ แล้วนี่ก็ไม่คิดจะให้ผมได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรเลย

“อ้าวมากันแล้วเหรอลูก”ผมรีบยกมือไหว้หญิงสาววัยกลางคนที่จัดว่ายังดูสวยอยู่เลย แม้จะดูออกว่ามีอายุแล้วแต่ก็ยังสวยสมวัย หน้าตาของคุณแม่ไม่ต่างจากพี่ปุ๊กมากนัก เราแนะนำตัวกันพอประมาณก็ถูกนำตัวมาที่โต๊ะอาหาร อาหาร 2-3 อย่างถูกจัดวางไว้อย่างดี แน่นอนว่าจัดไว้สำหรับผมสองคนโดยเฉพาะ เพราะนี่มันก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว ทุกคนในบ้านก็ทานกันเรียบร้อยหมดแล้ว

“ขอโทษที่มารบกวนกะทันหันแบบนี้นะครับ”ผมบอกอย่างเกรงใจ ทีแรกก็บอกกับภู่ไปแล้วว่าหาอะไรกินเองดีกว่า ถ้าจะมาบ้านค่อยมาทานมื้อเย็น แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอม

“ไม่เป็นไรหรอก นี่แม่เองก็ได้ยินทั้งปุ๊ก ทั้งภู่พูดถึงพี่แปงกันจนอยากเจอบ้างนี่แหละ พอเห็นภู่เค้าบอกพี่แปงจะมาเที่ยวเชียงใหม่ เลยให้เค้าชวนมาบ้าน”ผมหันมองอีกคนที่ทำเป็นตักกับข้าวทานอย่างไม่รู้ไม่ชี้

“ครับ แต่ไม่ยักรู้เลยนะครับเนี่ยว่าภู่เอาผมมาเผาให้คุณแม่ฟัง”ผมพูดอย่างสบายๆ แต่ก็แอบกัดอีกคนบ้างนิดหน่อย นี่ไปแอบเอาเรื่องผมมาเล่าให้แม่ตัวเองฟังได้ยังไงกันเนี่ย ดีที่คุณแม่ดูเป็นคนอารมณ์ดี คุยสนุกเลยทำให้ผมลดอาการเกร็งๆ กังวลในทีแรกลงไปได้เยอะ ถือว่าเห็นแก่คุณแม่ผมจะคาดโทษคนพาผมมาเอาไว้ก่อน

ดีที่พอได้ฟังคุณแม่พูดแล้ว ภู่เองก็คงจะเล่าแต่อะไรดีๆ ให้แม่เค้าฟัง ทีแรกผมนึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างภู่กับครอบครัวจะไม่ค่อยดีเสียอีก ถึงถูกส่งไปอยู่กรุงเทพฯ คนเดียวแบบนั้น แต่วันนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าที่บ้านเค้าก็แค่อยากให้ภู่ได้ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าแรกๆ ภู่คงไม่ค่อยเข้าใจเลยทำตัวแย่ไปบ้าง

“เสียดายวันนี้พ่อเค้าไม่อยู่ เลยอดเจอพี่แปงเลย”ผมยิ้มแห้งๆ แค่เจอคุณแม่คนเดียวผมก็ตื่นเต้นแทบแย่ ถ้าต้องเจอทุกคนขอเวลาผมทำใจมากกว่านี้ก่อนแล้วกัน ว่าแต่ทำไมคุณแม่มาเรียกผม “พี่แปง” กันละครับเนี่ย หรือติดจากภู่เพราะเห็นเวลาภู่อยู่ต่อหน้าแม่เค้านี่ ไม่มีหลุดเรียกผมลุงสักคำครับ พี่แปงๆ จนบางทีก็นึกขำเพราะหลังๆ ผมก็ชินกับการโดนเรียกลุงไปแล้ว

“ทีแรกแม่ก็กังวลเรื่องการเรียนของน้องภู่ ว่าจะไหวหรือเปล่า จะจบมัธยมอยู่แล้วกลัวว่าจะไปเรียนต่อไม่ไหว”ผมกำลังจะคุยกับคุณแม่ต่อเรื่องการเรียนหลังจากจบมัธยมของเค้า เพราะเหมือนเค้ายังไม่ค่อยอยากคุยเรื่องนี้กับผม และยิ่งตอนนี้ผมยิ่งมั่นใจว่ามันคงมีอะไรบางอย่าง

“แม่ให้พี่แปงกินข้าวก่อนสิครับ มัวแต่ชวนคุยจนพี่แปงจะไม่ได้กินแล้วเนี่ย”นั่นไงครับ เหมือนเค้าจะไม่อยากพูดถึงเรื่องเรียนต่อนี่เอาเสียเลย

“ขอแม่ขอบคุณพี่แปงอีกนิดละกันนะ ก็ตั้งแต่ภู่มาเจอพี่แปง การเรียนก็ดีขึ้น เห็นว่าพี่แปงช่วยติวให้น้องภู่ด้วย ยังไงแม่ฝากดูน้องด้วยนะ”ผมอมยิ้มแก้มแทบแตก เพราะดูคุณแม่จะเอ็นดูผมเหลือเกิน นี่ถ้าคุณแม่รู้ว่าผมไม่ใช่แค่พี่ข้างบ้าน คุณแม่จะยังเอ็นดูผมไหมนะ

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่อยู่บ้านติดกันมีอะไรก็ช่วยๆ กันครับ”ผมบอกอย่างถ่อมตัว ก็ไอ้ที่ผมติวหนังสือนั่นน่าจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับการใช้ลูกชายเค้าทำกับข้าวให้กินทุกวัน

“ไม่ขนาดนั้นอะไรละพี่แปง นี่เทอมนี้น้องภู่สอบได้ตั้งที่ 11 แนะ เพราะพี่แปงช่วยติวแท้ๆ เลย”คำพูดของคุณแม่ทำเอาผมหูผึ่งกันเลยทีเดียวครับ ผมเงยหน้าขึ้นหันไปมองอีกคนที่หน้าเจื่อนไปแล้ว

“อ้าวนี่ผลสอบออกแล้วเหรอครับ”ผมถามพร้อมหันไปยิ้มหวานให้ภู่ แม้จะดีใจกับเค้าที่ทำได้ดีเกินคาด ก็ไอ้ Top 10 นั่นผมก็ไม่ได้จริงจังมากนะครับ แค่หวังให้เค้าทำดีที่สุดก็พอ

“ผลอย่างไม่เป็นทางการออกเมื่อวานครับ เพื่อนส่งมาให้ดู”หึหึ ผมหัวเราะในลำคอผลออกแล้ว และรู้ตั้งแต่เมื่อวาน สงสัยงานนี้คงต้องมีเคลียร์กันยาว จากทีแรกคิดว่าถึงเค้าทำไม่ได้ผมก็คงไม่ใจร้ายกับเค้า ทว่าตอนนี้ผมเลี่ยนใจแล้วครับ ก็ถ้าเค้ารู้ผลเมื่อวานข้อตกลงระหว่างเรามันก็ต้องใช้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วสิ หึหึ “ไอ้เด็กขี้โกง” เตรียมตัวไว้เลย





TBC


มาแรกๆ เหมือนจะมี NC แต่แล้วก็ตัดไปเพดาน โคมไฟคงไม่ว่ากันเนอะ :z6:

ส่วนผลสอบก็ต้องเสียใจกับน้องภู่ด้วยที่พลาดTop 10 ไปอย่างน่าเสียดาย :hao7:

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :laugh:

ผลสอบแบบนี้เหมือนซื้อหวย 37 แล้วมันออก 38
555

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีที่เคลียร์กันได้ แต่แน่หรือ  :katai1:
ที่ฝ้ายยอมลามือ
ฝ้ายเป็นฝ่ายเลิกลาภู่ ทำไมมาอี๋อ๋อ
ทดลองเสน่ห์ดูว่าภู่ยังอยู่ในกำมือตัวเองหรือเปล่าสินะ
หรือไม่ก็ กับคนรักใหม่ไม่เวิร์กเท่าภู่

ฮึ่ย....เวลาลุงหึงหวง เมา เซ็กซี่ไม่เบา
มีจะลงโทษภู่ซะด้วย
แต่คนอ่านไม่รู้ไม่เห็นเลย  :z3: :z3: :z3:
ไรท์ ใจร้าย  :ling1: :ling1: :ling1:
รอตอนต่อไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Tinton

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สนุกดีครับ อ่านวันเดียว ยาวเลย

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
อยากรู้จังว่าพี่แปงจะลงโทษหรือจะให้รางวัลน้องภู่กันน้อ อิ อิ

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 36
แน่ใจ




แสงแดดยามเช้าที่สาดเข้ามากระทบใบหน้าผม ทำให้ผมรู้สึกตัวขึ้นและพยายามปรับสายตาที่เพิ่งลืมขึ้นให้ชินกับแสง วันหยุดแบบนี้ผมไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกครับ เลยเปิดม่านแง้มๆ ไว้ให้รู้สึกตัวยามเช้าแบบนี้ แต่ที่จริงก็ไม่น่าจะเช้าแล้วละครับ ผมกำลังจะขยับตัวลุกแต่ก็ดันขยับไม่ได้

ก็ไอ้คนตัวโตที่ตามผมกลับมาจากเชียงใหม่นี่แหละครับกอดผมไว้เสียแน่นเลย พูดถึงการไปเชียงใหม่นี่ผมก็แทบจะไม่ได้เที่ยวไหนเลยครับ เพราะหลังจากวันที่ผมไปเจอคุณแม่ของภู่ ที่บริษัทดันงานมีปัญหา ถึงเค้าจะไม่ได้เรียกให้ผมกลับมาช่วยแต่มันดันเป็นจุดที่ผมรับผิดชอบพอดี จะให้พี่ๆ เค้าทำแทนทั้งหมดผมก็เกรงใจ เลยตัดสินใจกลับมาทำเอง อีกเหตุผลหนึ่งที่กลับก็อยากจะแกล้งคนสอบได้ที่ 11 นี่ด้วยแหละครับ

“ก็ผมได้ตั้งที่ 11 ลุงก็หยวนๆ ให้ผมหน่อยสิ นะครับ”ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะยอมโอนอ่อนให้เค้าแหละครับ แม้จะไม่ถึงขนาดว่ายอมมีอะไรกับเค้าทุกวันอย่างที่เค้าต้องการ ซึ่งก็คงไม่ห้ามเค้าถึงเดือนนึงอะไรแบบนั้น แต่พอเห็นท่าทางเค้าแล้วเลยหมั่นไส้ กะว่าหนีกลับก่อน ค่อยมาบอกเค้าตอนเค้ากลับมาเรียน ที่ไหนได้ดันบินตามผมมาด้วย นี่ไม่รู้พ่อแม่เค้าจะคิดยังไง ปิดเทอมทั้งทีกลับไปอยู่บ้านไม่กี่วัน

“ไม่รู้ละ ในเมื่อไม่ได้ห้ามกอด จูบ หรือถ้าลุงเป็นฝ่ายเริ่มเองผมก็ไม่ผิดกติกาเพราะงั้นผมจะทำให้ลุงเริ่มก่อนให้ได้คอยดูเถอะ”นี่แหละครับที่มาของการที่ผมโดนกอดเสียแน่นขนาดนี้ แล้วนี่ผมก็ไม่รู้จะทนทำเป็นไม่รู้สึกอะไรได้อีกนานขนาดไหนนะครับเพราะพ่อแฟนเด็กของผมนี่ก็ถึงเนื้อถึงตัวเหลือเกิน ไอ้แค่กอดนั่นมันคงไม่เท่าไหร่ ไอ้ที่อยู่ใต้บอกเซอร์เค้านั่นต่างหากที่ชอบจงใจให้มาโดนตัวผม

“ตื่นแล้วก็ปล่อยเลย”ผมบอกโดยไม่ได้หันไปมอง เพราะสัมผัสที่แก้มฟอดใหญ่นี่คงมาจากคนข้างๆ นี่แหละครับไม่ใช่ใครอื่นอีกแล้ว แล้วนี่บอกเลยนะครับว่ากลับมาจากเชียงใหม่แค่ผมก้าวเข้าบ้านปุ๊บจะได้รับการวอแวจากเค้าทันที ก็ตอนนี้เค้ายังไม่เปิดเทอม เวลาของเค้าเลยค่อนข้างเยอะ บอกให้ไปหาเพื่อนบ้าง ก็เห็นว่าไปแล้วตอนเวลาผมไปทำงาน

“ขอนอนอีกนิดสิครับ”ผมรีบสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติเพราะการจู่โจมหลังการแกล้งเอาภู่น้อยมาโดนผมแล้ว มักจะตามมาด้วยรอยจูบที่พรมมาแทบจะทั้งหน้าผม ลากมาซอกคอ และที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ...

“หยุด”ผมรีบตะครุบมือเค้าที่กำลังจะล้วงเข้าไปใต้กางเกงผม

“ใจร้าย”น้ำเสียงตัดพ้อทั้งที่หน้ายังซุกอยู่กับซอกคอผม แต่เอาจริงๆ ไอ้มือเค้าที่ผมจับไว้เนี่ยถ้าเค้าจะล้วงจริงๆ ผมก็สู้แรงเค้าไม่ได้หรอกครับ ก็ยังดีที่เค้ายังทำตามข้อตกลง ซึ่งความลำบากก็มาตกที่ผมนี่แหละ ที่อีกไม่นานคงตบะแตกตามเกมของเค้าแน่ๆ

“คราวหน้าก็ตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้สิครับหนู”ผมแกล้งบอกอย่างเด็นดูพร้อมกับขยับตัวเอื้อมมือไปลูบหัวเค้าทันทีที่เค้าคลายอ้อมกอดออก เค้าทำหน้างออย่างไม่พอใจ แต่ก็ติดที่มีข้อตกลงค้ำคอนี่แหละครับ เค้าเลยได้แค่ทำท่าฮึดฮัดไปอย่างนั้น แต่แล้วพอผมกำลังจะลุกขึ้นก็โดนกระชากอย่างแรงจนผมตกใจ

“งั้นให้ผมสักครั้งสิครับ แล้วจะตั้งใจเรียน”เค้าเหวี่ยงผมให้กลับไปนอนหงายกับเตียงส่วนตัวเค้าก็ขึ้นมาคร่อมพร้อมสองมือที่กดข้อมือผมไว้ มุมปากยิ้มเยาะผมอย่างเป็นต่อ ใบหน้าเค้าค่อยๆ ก้มลงมาลมหายใจร้อนๆ เป่ารดซอกคอผม ก่อนความรู้สึกเจ็บนิดๆ ที่ซอกคอเพราะคมเขี้ยวของเค้าจะตามมา

“อือ”ผมส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอเมื่อเค้าเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ริมฝีปากของผม นี่ก็เป็นอีกข้อตกลงนึงของผมที่ผมค่อนข้างจะเสียเปรียบ เพราะถ้าไม่อยากเลยเถิดตามเกมเค้าผมต้องดึงสติขั้นสุดในการต่อต้านเค้า

“ก็ลองดูนะครับว่าลุงกับผม ใครจะมีความอดทนมากกว่ากัน”ผมยังคงนอนสูดลมหายใจเข้าปอดแฮ่กๆ ในขณะที่อีกคนผละจากผมทันทีที่พูดจบและเข้าห้องน้ำไป ทำมาเป็นพูดดีไป อย่าคิดว่าผมไม่รู้เชียวว่าที่รีบเข้าห้องน้ำไปนั่น รีบไปทำอะไร นี่มันตัดช่องน้อยแต่พอตัวชัดๆ แล้วผมละทีนี้ยิ่งตอนเช้าแบบนี้ ไอ้ที่ตึงเขม็งอยู่นี่เมื่อไหร่จะสงบละทีนี้

 ผมต้องสงบจิตสงบใจอยู่พักใหญ่เลยครับ นี่ถึงขั้นคิดเลยนะครับว่าหรือผมจะตีเนียนแกล้งยอมๆ เค้าไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่ถ้าแบบนั้นผมต้องโดนล้อแน่ๆ เอาไงดีละครับเนี่ย โอ้ยเครียด

แล้วในระหว่างที่ผมกำลังต่อสู้กับอารมณ์ของตัวเองอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ผมหยิบมาดูพร้อมขมวดคิ้ว “แม่” ชื่อคนที่ปรากฏทำเอาผมแปลกใจเล็กน้อย เพราะแม่ไม่ค่อยโทรมาเช้าๆ แบบนี้

“วันนี้หยุดใช่ไหมแปง”น้ำเสียงของแม่ผมถามไถ่มาอย่างอารมณ์ดี ซึ่งไอ้อารมณ์ดีแบบนี้เนี่ยมันทำให้ผมเริ่มระแวงเพราะมันมักจะตามมาด้วยเรื่องยุ่งๆ สำหรับผมเสมอ

“งั้นชวนแฟนมาทานข้าวที่บ้านหน่อยสิ”

“แฟน?”ผมแทบจะตะโกนใส่โทรศัพท์ ก่อนจะรีบตั้งสติ ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน

“แฟนใครครับแม่”ผมพยายามปรับเสียงให้ปกติ ถามกลับไปด้วยความไม่มั่นใจ และตีมึนแอบหวังลึกๆ ว่าแม่จะไม่ได้หมายถึงผม แม้บทสนทนานี้จะมีแค่เราสองคนก็ตามที

“ก็แฟนเรานั่นแหละ”ชัดเลยครับ น้ำเสียงที่ยังอารมณ์ดีนี่ผมควรดีใจไหมที่เหมือนว่าแม่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการมีแฟนของผม แต่นี่มันเรื่องอะไรกัน ใครไปบอกแม่กันว่าผมมีแฟนแล้ว คนที่รู้ก็มีแค่ข้าวหอมนี่นา ถึงเจ้ปอจะมาถามตรงๆ กับข้าวหอม แต่ยัยหอมก็ปฏิเสธไปนี่นา

“คะ...ใครบอกแม่ว่าผมมีแฟน”คือก็พอเข้าใจว่าที่บ้านผมก็ยอมให้ผมมีแฟนแล้วแหละ แต่ระหว่างผมกับภู่นี่ เราก็เพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน แถมอายุเราที่ต่างกันค่อนข้างเยอะนี่อีก มันอดจะหวั่นใจไม่ได้จริงๆ ครับว่าทั้งพ่อและแม่ผมจะเห็นดีเห็นงามด้วยหรือเปล่า

“เอาเป็นว่ามาให้ทันมื้อเที่ยงนะ จะได้บอกให้พ่อเค้าอยู่ทานมื้อเที่ยงด้วย”นี่คุณแม่ผมจะไม่สนใจฟังสิ่งที่ผมถามสักนิดเลยหรือไงครับเนี่ย แล้วนี่ผมคงต้องยอมรับไปตามตรงสินะครับว่ามีแฟนแล้วจริงๆ และไม่ทันให้ผมได้ถามอะไรเพิ่ม แม่ผมก็ชิงวางสายไปอย่างรวดเร็วหลังจากกำชับผมว่ายังไงก็ต้องไปทานมื้อเที่ยงที่บ้าน

“เป็นไรครับลุง”คนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำมาคงเห็นสีหน้าที่แสดงความกังวลของผมแล้ว เพราะมันคงชัดเสียจนมองจากดวงจันทร์ก็ดูออก แต่จะไม่ให้กังวลได้ยังไงละครับ ตั้งแต่เด็กจนโตผมแทบจะเดินตามกรอบของที่บ้านมาตลอด เพิ่งจะได้มีโอกาสออกมาทำอะไรเองก็แค่ไม่นาน แถมเรื่องมีแฟน ล่าสุดที่พ่อเคยพูดกับผม ถึงจะไม่ขนาดบังคับเสียทีเดียว แต่ภู่นี่แทบจะยังไม่มีคุณสมบัติที่พ่อผมพูดมาในวันนั้นเลย

“แม่พี่ให้ชวนภู่ไปทานข้าวที่บ้าน”ผมบอกออกไปตามตรงด้วยเสียงที่ยังคงกังวลอยู่

“วันไหนครับ”เค้ายังคงถามผมกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ พร้อมเดินเช็ดผมตรงมาที่ผมนั่งอยู่

“เที่ยงนี้เลย”

“แล้วที่ดูเครียดๆ นี่เพราะยังไม่อยากบอกที่บ้านพี่ว่าเราคบกันเหรอครับ”เค้านั่งลงข้างๆ ผมเอื้อมมือมาจับใบหน้าผมให้หันไปสบตากับเค้า ผมถอนหายใจเบาๆ เพื่อระบายความกังวล เพราะตอนนี้เรื่องราวมันเลยจุดที่เค้ากำลังพูดถึงไปแล้ว

“ที่บ้านพี่รู้แล้วแหละว่าเราคบกัน”เค้าขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจทันทีที่ได้ยินผมบอกออกไปอย่างนั้น

“แล้วยังกังวลอะไรอีกละครับ ถ้าเค้ารู้แล้วจากนี้เราสองคนก็แค่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเราพร้อมจะเดินไปด้วยกันจริงๆ เรื่องอายุที่ห่างกัน หรือเรื่องอนาคตของผม ลุงไม่ต้องห่วงหรอก แต่คงต้องรออีกสักหน่อยให้ผมเรียนจบ รับรองว่าผมจะยกขันหมากไปขอแน่นอนครับ”ตอนประโยคแรกๆ มันก็ซึ้งหรอกนะครับ แต่ไอ้ช่วงท้ายๆ นี่ก็ลากมาพูดเล่นอีกแล้ว

“อือ งั้นพี่ไปอาบน้ำละ”แม้ในใจจะยังไม่ค่อยคลายกังวล แต่ผมก็ฝืนยิ้มออกมาเพราะไม่อยากให้เค้ามากังวลกับผมอีกคน อะไรมันจะเกิดก็คงต้องเกิดแหละครับ อย่างเลวร้ายที่สุดถ้าพ่อกับแม่ของผมไม่เห็นด้วยในความสัมพันธ์ครั้งนี้ ผมก็คงต้องขอโอกาสให้เราทั้งสองได้พิสูจน์ก่อนแหละครับ นี่การจะมีแฟนสักคนนี่มีใครเค้าเป็นเหมือนผมไหมครับเนี่ย ไหนจะต้องผ่านด่านครอบครัวก่อน แล้วนี่ยังเหลือครอบครัวภู่อีกนะครับเนี่ย นั่นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเค้ารู้ จะว่ายังไงกันบ้าง

หลังจากเราทั้งคู่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ทานมื้อเช้ากันแบบง่ายๆ ครับเพราะเห็นตรงกันว่าถ้าต้องทำกับข้าวเป็นเรื่องเป็นราว เราทั้งคู่จะไปไม่ทันมื้อเที่ยงตามที่ผมตกลงกับแม่ไว้แน่นอน ซึ่งนั่นมันทำให้ผมกับภู่มาก่อนเวลามากพอสมควรทีเดียวละครับ

“มากันแล้วเหรอ”แค่เดินลงจากรถปุ๊บ พ่อผมที่ร้อยวันพันปีผมไม่เคยเห็นสนใจจะทำสวน แต่วันนี้มาเตรียมดินเหมือนจะเอาต้นไม้มาลงเพิ่ม และมันจะไม่ดูจงใจขนาดนั้นถ้าพื้นที่เตรียมดินนี่มันจะไม่เป็นจุดสังเกตชัดเจนเมื่อผมมาถึงแบบนี้ ทั้งผมและภู่ต่างยกมือไหว้พ่อของผมพร้อมๆ กัน

“ทำสวนเป็นไหมละเรา”หลักจากแนะนำตัวกันเสร็จพ่อผมก็เดินเข้ามาตบไหล่ภู่เบาๆ ผมชักเริ่มระแวงขึ้นมาแล้วนะครับเนี่ย แล้วอยู่ๆ ความทรงจำตอนพี่ต๊าฟมาจีบเจ้ปอก็แว๊บเข้ามาทันที ใช่แล้วครับนี่วันนี้พ่อกับแม่ผมคงกะให้ผมพาภู่มาเพื่อสกรีนสินะครับเนี่ย

“ก็พอได้ครับ”นี่ก็ยังตอบรับอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส

“งั้นมาช่วยทางนี้หน่อย”

“เดี๋ยวสิพ่อ”ผมรีบเรียกไว้ เพราะเท่าที่จำได้ สภาพพี่ต๊าฟ ในวันแรกที่มาบ้านผมเรียกว่าตอนมาอย่างหล่อเนี๊ยบ แต่พอจะกลับนี่ คำว่าเละมันคงยังน้อยไป จนตอนนั้นผมคิดว่าพี่แกจะถอดใจแล้วเสียอีก

“แปงเข้าไปหาแม่ข้างในไป ทำอะไรไม่เป็นมีแต่จะมาเกะกะเปล่าๆ”และนี่ผมคงถูกกันออกไม่ให้ยุ่งสินะครับ ผมมองหน้าภู่อย่างเป็นห่วง แต่เค้ากลับส่งสายตามาประหนึ่งว่าไม่เป็นไร

แม้จะถูกไล่ให้เข้าบ้านไป แต่ผมก็ยังมองทั้งสองคนที่เดินไปยังแปลงต้นไม้นั่น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพ่อผมคิดจะเอาอะไรมาปลูก ผมมองอย่างชั่งใจอีกสักพัก ก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้าน นึกถึงคำพูดของภู่ที่บอกว่าเค้าพร้อมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเรารักกันได้จริงๆ อีกอย่างนี่ถ้าพ่อผมทำแบบนี้ก็แสดงว่าเป็นการเปิดโอกาสรับมาพิจารณาแล้ว

“ไงละ แฟนเด็กโดนพ่อเรากักตัวไปสอบปากคำแล้วสิ”นั่นไง ทำไมผมไม่คิดได้ตั้งแต่ก่อนมาจะได้บอกให้ภู่เตรียมรับมือไว้บ้าง ยิ่งมาได้ยินเจ้ปอพูดแบบนี้ผมว่าผมพอจะรู้แล้วละครับ ว่าที่บ้านผมรู้เรื่องระหว่างผมกับภู่ได้ยังไง ผมไม่น่าลืมเลยว่าตอนพี่ต๊าฟกับเจ้ปอนี่ พ่อกับแม่ผมสืบเสียจนแทบจะรู้จักกิ๊กเก่าของพี่ต๊าฟ ทุกคนเสียอีก แล้ววันที่ผมเจอเจ้ปอวันก่อน ก็คงไม่ค่อยเชื่ออยู่แล้วว่าผมกับภู่ไม่ได้เป็นอะไรกัน

“แม่ละเจ้”ผมแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจในคำพูดของพี่สาว

“อย่าเพิ่งมาทำเฉไฉ เล่ามาเลยว่าไปถึงไหน ยังไงกันแล้ว ได้ข่าวว่าตามเด็กไปถึงเชียงใหม่เลยไม่ใช่เหรอ”น้ำเสียงหยอกล้อจากพี่สาวทำให้ผมต้องหันกลับมามอง เพราะเท่าที่ได้ยินนี่แสดงว่าทั้งบ้านคงรับรู้ไปกันไม่น้อยแล้วแน่ๆ ครับ

“เจ้...พูดมาขนาดนี้นี่ไม่น่าเหลืออะไรให้ผมต้องเล่าแล้วมั้ง”ผมตอบกลับไปอย่างหมั่นไส้

“มาแล้วเหรอลูก”ไม่ทันที่ผมกับเจ้ปอจะได้ต่อปากต่อคำกัน แม่ก็เข้ามาได้จังหวะเหมือนเป็นการห้ามทัพพอดี ผมเข้าไปกอดทักทายแม่พอเป็นพิธี เพราะยังงอนๆ นิดหน่อยที่ไม่บอกผมก่อนว่าวันนี้ที่มาจะต้องเจอสอบสวนแบบนี้

“ดูทำหน้าเข้า ของแม่นะไม่มีอะไรหรอก ก็เคยบอกแล้วไงว่าต่อไปนี้ลูกแม่รักใครแม่ก็รักด้วย”หรือนี่ผมจะกังวลมากไป เพราะที่จริงตั้งแต่ครั้งก่อนทั้งพ่อและแม่ผมก็ยอมรับกันแล้ว คงต้องขอบคุณพี่ต๊าฟอีกรอบจริงๆ จังๆ ละครับเนี่ยที่ครั้งนั้นช่วยพูดกับพ่อแม่ผมจนทุกอย่างมันดูง่ายแบบนี้ ส่วนเรื่องความต่างของอายุระหว่างผมกับภู่คาดว่าตอนนี้ทุกคนก็คงรู้กันหมดแล้ว มันก็ดูไม่เป็นปัญหานิเนอะ คงเป็นผมจริงๆ นั่นแหละครับที่คิดมากไป

ผม แม่ เจ้ปอ พูดคุยกันอีกพักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงของสองคนที่ทำสวนอยู่ข้างนอกหัวเราะอย่างถูกคอกำลังเดินเข้ามาด้านใน

“ไว้ผมไปดูที่ร้านต้นไม้ให้แล้วกันนะครับคุณพ่อ”อะไรนะครับ ปล่อยให้อยู่ด้วยกันแป๊บเดียวนี่ถึงขั้นเรียกคุณพ่อเต็มปากเต็มคำแล้วเหรอครับ เนี่ย พอมาถึงก็เหมือนมองผมแค่ผ่านๆ แต่แม่กับพี่สาวผมนั่นแหละครับกลายที่แย่งกันทักทายเค้า

“ภู่ไปล้างไม้ล้างมือก่อน ไปลูก จะได้มาทานข้าวกัน”คนนึงเรียกพ่อ อีกคนก็เรียกลูก นี่มันครอบครัวตัวจริงผมหรือเปล่าเนี่ยอะไรมันจะดูง่ายไปหมดขนาดนี้ แล้วไอ้ที่ผมอุตส่าห์กังวลมาทั้งหมดนั่นละครับ

“แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าเลือกคนนี้”พอคล้อยหลังภู่พ่อผมก็หันมาถามผมเสียงเรียบ จนทุกคนต่างก็เงียบลง






TBC

หายไปหลายวันมากๆ

ขอโต๊ด  :z3:

ช่วงนี้ยุ่งเหลือเกิน ยังไงรอติดตามกันด้วยนะคร๊าบ

เนื้อเรื่องก็อย่างที่บอกว่าตอนนี้ยังไม่ม่า แต่ตอนหน้าไม่แน่  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ดูท่าน้องภู่คงจะผ่านแรกมาได้แล้วสินะ   :katai2-1:

เหลือแต่ความมั่นใจของลุงแล้วล่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ภู่น่าจะผ่านนะ  :hao3:
ก็พ่อแปง ยอมให้ภู่เรียกคุณพ่อ
แม่แปง ก็เรียกภู่ว่าลูกอีกด้วย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่แปงตอบพ่อกับแม่เลย ภู่รอฟังอยู่
ภู่มันขี้อ้อน

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
พลิกล็อกจ้าาาา

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 37
ยังบอกไม่ได้





วันนี้ผมเลิกงานกลับบ้านมาตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ วันนี้บ้านดูเงียบผิดปกติ เพราะถึงช่วงนี้ภู่จะเปิดเทอมแล้ว แต่เค้าก็กลับถึงบ้านก่อนผมแทบทุกวัน ยกเว้นวันไหนที่เค้าไปกับเพื่อนก็จะบอกไว้ก่อนเสมอ แต่วันนี้เค้าก็ไม่ได้บอกอะไรไว้นี่นา ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาชั่งใจอยู่ครู่นึงว่าจะโทรถามดีไหม หรือไม่ควรดี คือก็ไม่อยากให้เค้าคิดว่าผมตามเค้ามากไป ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตัดสินใจ ชื่อเค้าก็ปรากฏบนหน้าจอมือถือของผมแทน

“กำลังกลับนะครับ อาจถึงช้าหน่อยพอดีคำนวณเวลาผิดนึกว่าจะเสร็จเร็วกว่านี้เลยไม่ได้โทรบอกลุงก่อน หิวยังครับเนี่ย ถ้าหิวก็ทนก่อนนะครับ โทษทีที่ไม่ได้บอกก่อน”

“อือ”เค้าร่ายยาวเสียจนผมไม่รู้จะตอบประโยคไหนของเค้าก่อน เลยได้แค่รับคำสั้นๆ และยกยิ้มนิดๆ กับการรายงานตัวของเค้า เพราะเหมือนรู้ว่าผมต้องกำลังสงสัยว่าทำไมเค้าถึงบ้านช้ากว่าผม

“อ้าว แล้วไม่ถามหน่อยเหรอว่าผมไปไหนมา”น้ำเสียงตัดพ้อดังมาตามสายจนผมนึกหมั่นไส้ เพราะคงแกล้งพูดมางั้นเองแหละครับ คงไม่ได้น้อยอกน้อยใจอะไรหรอก

“ไม่อยากรู้”ผมบอกอย่างอารมณ์ดี

“โหไรอ่ะ นี่อุตส่าห์เอาต้นไม้ไปเอาใจพ่อตามานะเนี่ย”คำตอบของเค้าทำเอาผมต้องหุบยิ้มลง เมื่อรู้ว่าเค้าไปไหนมา แม้ว่าเค้าจะเป็นที่รู้จักของครอบครัวผมแล้วว่าคือใคร แต่คำพูดที่พ่อพูดกับผมในวันนั้นก็ยังทำให้ผมเกิดความกังวลขึ้นมาอีก

“แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าเลือกคนนี้”คำถามที่จะว่าซีเรียสก็คงซีเรียส เพราะพ่อผมก็ถามด้วยสีหน้า น้ำเสียงที่ค่อนข้างจริงจังทีเดียว ทั้งที่ผมเองก็เคยคิดมาแล้วว่าจะไม่กังวลหรือลังเลในความสัมพันธ์ของผมกับภู่ แต่พอโดนถามตรงๆ แบบนี้มันก็ชักไม่มั่นใจเหมือนกันแหละครับ

ผมไม่ได้ตอบคำถามพ่อในทันที เพราะภู่กลับเข้ามาเสียก่อน แล้วการทานข้าวร่วมกันในมื้อนั้น พ่อ แม่ พี่สาวของผม ทุกคนก็ดูให้ความเป็นกันเองกับภู่ไม่น้อย ทว่าก่อนที่จะกลับออกมาพ่อก็ขอคุยส่วนตัวกับผมอีกรอบ

“พ่อจะไม่ห้าม แต่อยากให้ทบทวนดูดีๆ ว่ามันจะไปกันรอดจริงๆ ไหม เค้าอายุยังน้อย ยังต้องเจอสังคมอีกมาก กว่าเค้าจะเรียนจบ หรือเค้าจะเลือกเรียนที่ไหน เค้าจะยังมั่นคงแค่ไหน”ผมรับฟังสิ่งที่พ่อพูดเงียบๆ พร้อมกับคิดตาม

“ไม่รู้สิครับพ่อ ผมกับเค้าอาจจะรู้จักกันได้ไม่นาน หรือท้ายที่สุดผมกับเค้าอาจจะไปไม่รอด แต่มันก็เหมือนบทเรียนชีวิต ที่ผมต้องเรียนรู้และอยู่กับมันจริงไหมครับ”ก็ต้องยอมรับครับว่าผมเองก็เคยมีความคิดเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนกัน

“มันก็จริง และก็คงผิดที่พ่อกับแม่ด้วย ที่ไม่ปล่อยให้แปงได้เรียนรู้เร็วกว่านี้”พ่อผมหันมายิ้มอย่างเป็นห่วง ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเห็นในมุมนี้ของพ่อสักเท่าไหร่นะครับเนี่ย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ได้เรียนรู้ตอนโตก็ดีจะได้ไม่อ่อนแอมาก เอาเป็นว่าแค่รู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ห้าม ผมก็ดีใจแล้วครับ ถ้าวันนึงผมต้องเสียใจ ก็แค่คิดเสียว่าคนเราก็ไม่ได้เกิดมามีแฟนคนเดียวนี่ครับ บางคนกว่าจะเจอคู่ชีวิตก็แฟนคนที่เท่าไหร่แล้ว”ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าถ้าวันนึงผมกับภู่ต้องเลิกรากันไป มันจะเป็นยังไง และถึงไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้น แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกอย่างมันไม่แน่นอน

“เอาๆ ก็ลองดู แต่ถ้ามีอะไรก็อย่าลืมว่ายังมีพ่อ แม่ พี่สาวเราอีกที่จะคอยเป็นกำลังใจ แล้วนี่แฟนเราเค้าบอกหรือยังละว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนยังไง”นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมก็หวั่นใจอยู่เหมือนกันเพราะก็คงอีกไม่กี่เดือนที่เค้าจะเรียนจบ และผมเองก็ต้องกลับมาทำงานกับที่บ้าน เราคงไม่ได้เจอกันทุกวันแบบนี้

“ไม่ได้คุยเลยครับ”

“แล้วเรื่องทางบ้านเค้าละ ฝั่งโน้น พ่อแม่เค้าโอเคหรือเปล่า”แทนที่ผมจะสบายใจกับการที่ครอบครัวผมไม่ได้กีดกันความสัมพันธ์ครั้งนี้ กลายเป็นว่าผมดันเก็บเรื่องครอบครัวของอีกฝั่งมาเป็นกังวลแทนเสียได้ ซึ่งที่จริงก็จะหาจังหวะคุยกับภู่เรื่องนี้หลายทีแล้วละครับ แต่ก็ไม่สบโอกาสสักที วันนี้คงต้องคุยจริงจังแล้ว

“ลุง ลุง ยังอยู่ไหมเนี่ย”เสียงจากอีกฝั่งเรียกสติผมกลับมาจากความคิดที่แทรกคั่นจังหวะสนทนา ผมคุยกับภู่อีกนิดหน่อยก่อนจะวางสายไป รออยู่พักใหญ่ภู่ก็มาถึงบ้าน พร้อมกับข้าวมากมาย ที่เค้าหิ้วมาจากบ้านผม

“คุณแม่ฝากมา บอกกลัวลูกเขยเหนื่อยทำเอง”เค้ายื้มแป้นอย่างน่าหมั่นไส้ เดินถือกับข้าวเข้ามาโชว์ให้ผมดู ผมส่งยิ้มให้เค้าตามปกติ เราทานข้าวด้วยกันเหมือนทุกวัน ผมยังคงทำตัวปกติ แต่ในหัวก็คิดอยู่ตลอดว่าจะใช้จังหวะช่วงไหนในการคุยกับเค้า ที่จริงมันก็เป็นเรื่องธรรมดานะครับ ก็แค่ถามเรื่องเรียนต่อเรื่องครอบครัว แต่ผมดันรู้สึกเกร็งๆ ไม่กล้าถามยังไงไม่รู้สิครับ หรือเพราะเค้าเองก็แทบไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้เลย นั่นยิ่งทำให้บางทีผมก็คิดว่าหรือบางทีผมก็ยังไม่ควรไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเค้า

“ทำไมวันนี้ดูลุงใจดีแปลกๆ กันนา”เค้าถามทีเล่นทีจริง ตอนนี้เราทานข้าวเรียบร้อย หลังเก็บจานไปล้างผมเป็นคนอาบน้ำก่อน และเค้าที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ หัวก็ยังเช็ดไม่แห้งดี เลยเป็นผมเองที่มายืนเช็ดให้เค้า ทั้งที่ปกติถ้าเค้าไม่อ้อนหรือตื้อให้ทำผมก็แทบไม่ค่อยทำอะไรแบบนี้ให้เค้าเลย

“ไม่ชอบเหรอ ถ้าไม่ชอบจะได้ไม่ทำให้อีก”

“ชอบสิครับแหมแฟนน่ารักแบบนี้ใครจะไม่ชอบ”เค้ารีบดึงมือผมไว้ทันทีที่ผมแกล้งจะหยุดทำให้และเดินหนี ผมอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะเช็ดผมให้เค้าต่อ แถมด้วยการแกล้งเขย่าหัวเค้าแรงๆ ไปสองสามที

“ภู่ ถามอะไรหน่อยสิ”หลังแกล้งเค้าไปสักพักผมก็ปรับน้ำเสียงจริงจังขึ้น เพราะคิดว่านี่น่าจะเป็นเวลาเหมาะแล้วที่จะถามเค้าในเรื่องที่ผมสงสัยอยู่

“ได้สิครับ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”เค้ายังทำเป็นเล่นหันมาส่งสายตาหื่นๆ ใส่ผมจนผมต้องตีหน้านิ่งส่งสายตาปรามๆ ให้เค้ารู้ว่ากำลังจะคุยอะไรที่จริงจัง แต่จริงๆ มันก็แค่เรื่องเรียนของเค้ามันไม่น่าจะกลายเป็นเรื่องเครียดๆ อะไรแบบนี้นี่นา

“นี่ซีเรียสเหรอครับเนี่ย”เค้าขยับดึงให้ผมนั่งลงข้างๆ ผมพยักหน้าจ้องมองเค้าด้วยสีหน้าจริงจัง

“นี่ก็ใกล้จะจบมัธยมแล้ว ภู่จะไปเรียนต่อที่ไหนเหรอ”อาการของเค้าหลังจากที่ได้ยินคำถามของผม ทำเอาผมรู้สึกใจหายเพราะดูเหมือนมันจะมีอะไรสักอย่าง เค้าหลบตาผมแทบจะทันที ทั้งที่ปกติเค้าไม่เคยมีอาการแบบนี้เลย

“ยังไม่ได้คิดเลยครับ”เค้าหันกลับมาตอบผมด้วยรอยยิ้มแห้งๆ และน้ำเสียงที่ฟังดูชัดมากว่าไม่ได้พูดความจริง

“รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองโกหกไม่เนียน”เค้าหุบยิ้มลงทันทีที่เห็นทีท่าของผม อาการของเค้ามันยิ่งทำให้ผมแปลกใจว่ามันยังไงกันแน่ ทำไมเค้าถึงดูไม่กล้าที่จะพูดกับผมตรงๆ กับแต่เรื่องเรียนต่อ

“เรายังไม่คุยเรื่องนี้กันได้ไหมครับ”

“ทำไมละ”ผมขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย หรือนี่ผมก้าวก่ายชีวิตเค้ามากไป แต่เรื่องการเรียนต่อของเค้าผมก็มีสิทธิ์รู้ไม่ใช่เหรอ เราเป็นแฟนกันแล้ว หลังจากนี้พอผมเองต้องกลับไปอยู่บ้านตามที่ตกลงกับพ่อแม่ไว้ เค้าจะยังอยู่ที่นี่เรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ หรือเค้าจะไปที่ไหน มันก็ควรเป็นสิ่งที่ผมน่าจะต้องรู้ไม่ใช่เหรอ

“อย่าทำตัวเป็นเด็กสิภู่ เราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ แล้วพี่ไม่มีสิทธิ์รู้เลยหรือไงว่าแฟนตัวเองจะเรียนต่อที่ไหน”ผมบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นเค้ายังคงเงียบไม่อธิบายอะไร

“ผมไม่ใช่เด็กแล้ว”ก็พอรู้นะครับว่าเค้าไม่ชอบให้พูดว่าเค้าเด็ก แต่มันก็คือความจริงนิ เค้ายังเป็นแค่เด็กมัธยม แล้วนี่ก็กำลังทำตัวเป็นเด็กเต็มๆ เลยกับการที่มาขึ้นเสียงใส่ผมแบบนี้ ตกลงนี่มันอะไรกัน แค่เรื่องการเรียนต่อของเค้า ทำไมมันจะลามปามจนเราจะทะลาะกันเลยหรือไงเนี่ย

“โอเค ไม่เด็กก็ไม่เด็ก งั้นไหนขอฟังเหตุผลแบบผู้ใหญ่ได้ไหมว่าทำไมถึงบอกพี่ไม่ได้ว่าจะเรียนต่อที่ไหน”ผมพยายามจะปรับอารมณ์ตัวเองลง ไม่พูดให้ไปในทางชวนทะเลาะ แต่มันก็ยอมรับว่ายังแอบประชดประชันเค้าอยู่

“มันไม่ใช่บอกไม่ได้ครับ เพียงแต่ผมกำลังตัดสินใจ”น้ำเสียงเค้าดูอ่อนลง แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความไม่เต็มใจที่จะบอกกับผม

“แล้วสิ่งที่กำลังตัดสินใจนั่น มันเล่าให้พี่ฟังไม่ได้เลยอย่างงั้นเหรอ”ตอนนี้มันเหมือนความรู้สึกหลายๆ อย่างในใจผมมันตีกันไปหมด ทั้งความไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าถึงไม่อยากบอกผม ผมไม่สำคัญพอสำหรับเค้า ผมก้าวก่ายเค้ามากเกินไป รวมทั้งอาการที่เริ่มจะน้อยใจที่เค้าไม่ยอมเล่า

“ผมแค่เคยตัดสินใจไปแล้วว่าจะเรียนอะไร ที่ไหน แต่พอวันนึงมีลุงเข้ามาในชีวิตผม มันทำให้ผมต้องคิดใหม่”เค้าดึงมือผมเข้าไปกุมไว้ จ้องมองมาที่ผมอย่างมีความหมาย

จากคำพูดของเค้ามันทำให้ผมพอจะเดาได้ว่า ก่อนหน้านี้เค้าคงไม่ได้คิดที่จะเรียนต่อในกรุงเทพฯ แน่นอน แล้วผมควรจะรู้สึกยังไงกับการที่ผมไปมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเค้า ดีใจงั้นเหรอ เปล่าเลยครับ ออกจะโกรธเค้าเสียด้วยซ้ำ คนที่ต้องเดินตามกรอบที่พ่อแม่ขีดไว้มาตลอดอย่างผม เมื่อก่อนแทบจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ แต่เค้าที่คงรู้ว่าตัวเองรักหรือชอบที่จะอยากทำอะไรในอนาคต กลับจะมายอมทิ้งสิ่งนั้น เพื่อให้ได้อยู่ใกล้ผมอย่างนั้นหรือ

“เด็ก”ผมหลุดปากออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ผมยอมรับว่าก็ยังไม่อยากอยู่ห่างจากเค้า แต่ถ้าแลกกับการที่ห่างกับเค้าแค่ช่วงระยะนึงเพื่อให้เค้าได้เลือกในสิ่งที่อยากทำและติดตัวเค้าไปตลอด ผมก็ยอม

“ทำไมต้องย้ำด้วย คำก็เด็กสองคำก็เด็ก ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ใช่เด็กแล้ว”

“หึ”ผมหัวเราะในลำคอ แม้รู้ว่านี่จะยิ่งทำให้เค้าไม่พอใจ แต่ผมเองก็คุมอาการตัวเองไม่อยู่ด้วยแหละครับ

“ตอนพี่อายุเท่าภู่ พี่เหมือนไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะเรียนอะไร ไม่สิเรียกว่าพี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากเรียนอะไร แต่ถ้าภู่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นหรืออยากเรียนอะไร แล้วจะมาเปลี่ยนใจ เพราะเหตุผลเด็กๆ แบบนี้”ผมหยุดคำพูดตัวเองไว้แค่นั้นอยากให้เค้าได้ลองทบทวนเอง ซึ่งดูจากอาการแล้ว เค้าน่าจะยังคิดไม่ได้ และดูจะติดใจกับคำว่าเด็กที่ผมพูดออกไปเสียมากกว่า

“ผมยังไม่อยากทะเลาะกับลุง เพราะงั้นวันนี้ผมกลับไปนอนบ้านโน้นแล้วกันนะครับ”เค้าสูดลมหายใจยาวๆ เหมือนกำลังคุมสติตัวเอง ซึ่งผมว่าที่เค้าเสนอมานั่นก็ดีเหมือนกัน เลยเลือกที่จะไม่คัดค้านอะไร ปล่อยให้เค้าออกจากห้องไปทั้งๆ ใส่แค่ผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียว

ผมถอนหายใจยาวๆ ด้วยความงงๆ ว่านี่มันอะไรกัน ผมทิ้งตัวลงนอนที่เตียงค่อยๆ คิดทบทวนสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือจะเป็นผมที่ผิด แต่เรื่องเรียนที่ผมถามเค้าผมว่าผมไม่ผิดนะ แต่เรื่องที่ผมไปว่าเค้าเด็กนั่น โอเคผมอาจจะมีส่วนผิดอยู่บ้างที่รู้ทั้งรู้ว่าเค้าไม่ชอบ แล้วผมยังจะพูดแบบนั้นอีก

“เปรี้ยง/เฮ้ย”

ผมสะดุ้งหัวใจแทบวาย เพราะอยู่ๆ เสียงฟ้าก็ร้องดังสนั่นหวั่นไหว แถมยังดังคำรามตามมาเรื่อยๆ ผมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเองโดยอัตโนมัติ สองมือรีบปิดหู นี่มันอะไรกัน เวลามีคนอยู่ด้วยดันไม่คิดจะครึ้มฟ้าครึ้มฝนอะไร แต่พอผมอยู่คนเดียวนี่ดันจะมาฝนฟ้าคะนองอะไรเอาตอนนี้

“เอาวะ”ผมเอาสองมืออุดหูรีบผุดลุกขึ้น เป็นไงเป็นกันผมต้องรีบหาที่พึ่งก่อนที่ฝนฟ้ามันจะมาแรงกว่านี้ แน่นอนว่าเป้าหมายของผมคืออีกคนที่อยู่บ้านข้างๆ เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนแล้วกันตอนนี้ขอใช้เค้าเป็นที่พึ่งให้ผมก่อนละกัน

“ลุงจะไปไหน”จังหวะที่ผมเปิดรั้วบ้านออกมาก็พบว่าอีกคนยืนอยู่หน้าบ้านแล้วเช่นกัน

“เปรี้ยง”เสียงฟ้าคำรามทำให้ผมพุ่งเข้าไปกอดเค้าแน่นพร้อมหลับตาปี๋

“กลัวขนาดนี้ยังจะออกมาอีก รีบเข้าบ้านเถอะครับ”เค้ารีบดันตัวผมให้เปิดประตู ผมรีบเดินทั้งที่ยังเกาะเค้าแน่น ตัวแทบจะสิงอีกคนเสียให้ได้ พอเข้าบ้านได้ถึงห้องนอนผมรีบดึงตัวเค้าให้มุดใต้ผ้าห่มกับผมอย่างรวดเร็ว

“กะแล้วเชียวว่าลุงต้องกลัวจนตัวสั่น แต่ไม่คิดว่าจะกล้าออกไปแบบนั้นนะครับเนี่ย จะไปง้อผมเหรอ”น้ำเสียงล้อๆ ดังขึ้นมาในความมืดของผ้าห่มที่คลุมเราทั้งคู่

“ก็ไม่อยากนอนคนเดียวนี่นา”

“แล้วคิดว่าฟ้าร้องขนาดนี้ ผมจะปล่อยให้ลุงนอนคนเดียวหรือไง”จะว่าไปไอ้ฟ้าฝนนี่ก็เป็นใจดีเหมือนกันนะครับ เพราะพอฟ้าฝนมา ไอ้ที่เราสองคนตึงๆ ใส่กันนั่นก็แทบจะลืมกันไปเลย

“เลิกพูดมากได้แล้ว”ผมบอกพร้อมขยับตัวซุกหน้าเข้ากับแผงอกของเค้า





TBC
------------------------------------------------
หายไปนานมาก T_T
ช่วงนี้วุ่นๆ จริงๆ แถมด้วยอาการป่วยอย่างยาวนาน
เลยหายไปพักใหญ่
ขอโทษทุกคนที่ปล่อยให้รอนะฮ่ะ

ตอนนี้ก็แอบมาสุมไฟให้ลุงกับน้องภู่หน่อย เดี๋ยวชีวิต
ของทั้งคู่จะราบรื่นไป
ก็อาจจะมีนิดนึงให้ทั้งคู่ได้ฝ่าฟันไปด้วยกัน
และนี่ก็เข้าสู่ช่วงปลายๆ ของเรื่องแล้ว
จากที่วางไว้เรื่องนี้จะมีจำนวนตอนประมาณ 40 กว่าๆ

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามนะฮ่ะ ^_^

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เหมือนภู่ จะทำให้เป็นเรื่องซะและ  :z3:
ยิ่งฟังจากพ่อลุงเรื่องภู่ยังเด็ก มาแล้ว
ภู่มาทำให้เห็นถึงความไม่ชัดเจน ไม่กล้าพูด หลบหน้าหลบตา
แค่เรื่องที่เรียนต่อ กลิ่นมาม่ามาเลย  :z6: :z6: :z6:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มีแฟนเด็กมันชุ่มชื่นหัวใจ :hao3:

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
มีอะไรก็เปิดใจคุยกันซะนะ  ฟ้าฝนเป็นใจขนาดนี้แล้ว

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 38
ปิดบัง



จากวันนั้นที่ผมถามภู่ไปเรื่องการเรียนต่อ จนวันนี้ก็ผ่านมาจะเป็นเดือนเราก็ยังใช้ชีวิตปกติเดิมๆ โดยที่ไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้อีก แม้มันจะยังคาใจผมอยู่แต่ในเมื่อเค้าบอกเหมือนกับว่าจะเล่าให้ผมฟังเองเมื่อตัวเค้าพร้อม ผมก็ได้แต่รอ รอแล้วรออีกจนผมเริ่มคิดว่าผมจะถามเค้าอีกรอบดีไหม

“แปง แปงโว้ย”ผมหันมองหน้าพี่ต้าร์ที่มาตะโกนใส่หน้าผม

“ว่าไงพี่ อยู่แค่นี้ตะโกนทำไม”แล้วก็ก็ได้รับการส่ายหน้าหน่ายๆ เป็นคำตอบ

“เรียกตั้งกี่รอบแล้ว เป็นไรเนี่ย นั่นโทรศัพท์ดังตั้งนานแล้ว ทำไมไม่รับ”ผมหันไปตามที่พี่ต้าร์ชี้ นี่ผมคิดอะไรเพลินจนไม่รู้สึกเลยเหรอเนี่ยว่ามีสายเข้า

“โทษทีพี่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”ผมบอกขอโทษที่ปล่อยให้โทรศัพท์ส่งเสียงรบกวน ก่อนจะหยิบมาดูสายที่โทรเข้ามากดรับ

“ครับพี่ปุ๊ก”ผมกดรับสายอย่างคุ้นเคย แม้จะไม่ได้คุยอะไรกันบ่อยแต่ทุกครั้งที่คุยกับพี่ปุ๊ก ก็รู้สึกเหมือนคุยกับพี่สาวคนนึง

“เย็นนี้น้องแปงว่างไหม พอดีมีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย”ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ทำไมผมรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรไม่ปกติกันนะ

“ก็ว่างนะครับ มีปุ๊กมีอะไรหรือเปล่าครับ”ปกติผมกับพี่ปุ๊กแทบไม่เคยได้เจอกันสักเท่าไหร่ แล้วการที่เปิดมาแบบนี้แสดงว่าคงไม่ใช่เรื่องที่จะคุยผ่านโทรศัพท์

“งั้นตอนเย็นเลิกงานแล้วมาเจอพี่หน่อยแล้วกันเนอะ ส่วนรายละเอียดค่อยคุยกันทีเดียว”

“เรื่องนี้เกี่ยวกับภู่หรือเปล่าครับ”ถ้าให้ผมเดามันคงไม่น่าจะพ้นเรื่องของอีกคน ที่ทำให้พี่ปุ๊กต้องเรียกผมไปคุยแบบนี้ ว่าแต่มันเรื่องอะไรกันละ หรือว่าพี่ปุ๊กรู้แล้วว่าผมกับหลานเค้า “เป็นแฟนกัน”

“อ๋อ อีกอย่างไม่ต้องบอกน้องภู่นะว่าพี่นัดกับน้องแปง”ชัดเลยครับ นี่ทำเอาผมเครียดเลยนะเนี่ย แล้วนี่ก็ใกล้เวลสเลิกงานแล้วด้วย ทำไมไม่นัดผมล่วงหน้านานกว่านี้หน่อย จะได้มีเวลาให้ผมทำใจ แต่สุดท้ายผมก็ต้องรับปากไปตามนัดของพี่ปุ๊กอย่างเสียไม่ได้ เรานัดแนะสถานที่กันอีกนิดหน่อยก็วางสายไป

“เป็นไรแปง ทำไมต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้น”พี่ฟ่างที่เพิ่งกลับเข้ามา ทักทายผมพร้อมยิ้มขำ แต่ผมนี่สิขำไม่ออก มีแต่ความเครียดเต็มไปหมด ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยสิให้ตาย แล้วแถมพี่ปุ๊กก็ทิ้งปริศนาไว้บอกก่อนอีกว่าจะคุยเรื่องอะไร หรือผมควรถามภู่ก่อนดี ว่าตกลงเค้าไปสร้างเรื่องอะไรไว้หรือเปล่า ไม่ได้สิผมรับปากพี่ปุ๊กไปแล้วว่าจะไม่บอกภู่นี่นา

“อ้าวคุยด้วยก็ไม่คุย เป็นไรเนี่ย”พี่ฟ่างหันกลับมาถามย้ำกับผมอีกรอบเมื่อเห็นผมไม่มีปฏิกิริยาตอบ

“โทษทีพี่ พอดีคิดอะไรนิดหน่อย”ผมรีบกล่าวขอโทษ เพราะเหมือนกลายเป็นเสียมารยาทที่รุ่นพี่คุยด้วยแล้วดันไม่ตอบ

“หมู่นี้เป็นไรวะ ทำไมดูมีอะไรในใจตลอดเวลาเลย”พี่ต้าร์เข้ามาสมทบ เหมือนเตรียมจะซักฟอกผมอีกคน แต่ผมจะไม่ยอมบอกพี่ๆ พวกนี้เด็ดขาดว่าผมมีแฟนแล้ว เพราะถ้ารู้ขึ้นมา ผมคงโดนล้ออยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ นี่ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ครั้งนั้นภู่มาหาผมแล้วเป็นพี่ฟ่างที่ได้เจอ เพราะถ้าเป็นพี่ต้าร์หรือเจ้โอ๋ ป่านนี้ผมโดนเค้นเอาคำตอบไปแล้วว่าภู่คือใคร

“ไม่มีอะไรหรอกพี่ พอดีช่วงนี้ใกล้จะต้องกลับไปอยู่บ้านแล้ว ก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยแหละครับ ยังไม่อยากกลับเท่าไหร่”ถึงเรื่องนี้จะไม่ใช่ประเด็นหลักที่อยู่ในหัวผม แต่มันก็มีส่วนเหมือนกัน เพราะนี่ก็ใกล้ครบกำหนดที่ผมต้องกลับเข้าบ้านเต็มทีแล้ว ส่วนภู่ก็ยังไม่เปิดปากพูดกับผม เรื่องเรียนต่อสักที

“ถึงสัญญาจ้างจะหมด แต่นายก็ยังอยากให้แปงอยู่ต่อนิ ไม่ลองขอที่บ้านอีกที”พี่ฟ่างเสนอแนวทางให้ผม แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะผมก็ตกลงกับที่บ้านไว้แล้ว แถมกลับไปกว่าจะเรียนรู้งานอะไรอีกก็คงต้องใช้เวลาไม่น้อย ตอนนี้ก็เห็นว่าเจ้ปอของผมนี่แทบตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตอยู่แล้ว

“ไม่ได้หรอกครับ”ผมตอบเลี่ยงๆ เราคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายเคลียร์งานที่ค้างอยู่ แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เข็มนาฬิกาที่ผนังห้องบอกเวลา ว่าหมดเวลาทำงานแล้ว แต่ละคนก็ต่างเตรียมตัวกลับบ้านบ้าง ไปสังสรรค์ต่อบ้าง เพราะนี่คือเย็นวันศุกร์ สุดสัปดาห์ ที่พรุ่งนี้ทุกคนจะได้พักผ่อน แต่สำหรับผมแน่นอนว่าคงต้องไปพบพี่ปุ๊กตามนัด ผมไม่ลืมที่จะทิ้งข้อความบอกกับภู่ไว้ ว่าวันนี้โดนพี่ๆ ที่ทำงานบังคับให้ไปนั่งชิลๆ ด้วย

แน่นอนว่าวันนี้พี่ฟ่าง พี่ต้าร์ เจ้โอ๋ 3 คนนี้มีจุดนัดพบแน่นอน ผมเลยอาศัยตรงนี้เป็นข้ออ้างโกหกภู่ ส่วนการโกหกปกติผมก็ไม่ทำนะครับ อันนี้เรียนรู้มาจากพี่ต้าร์ล้วนๆ แต่ผมต้องยังไม่คุยอะไรกับภู่เยอะเพราะเดี๋ยวจะโดนจับได้เสียก่อนว่าโกหกเค้า ผมรีบเก็บของออกจากที่ทำงาน โชคดีที่สถานที่นัดหมาย ไม่ได้ไกลจากที่ทำงานของผมมากนักทำให้ผมมาก่อนเวลาเล็กน้อย นั่งรอไม่นาน พี่ปุ๊กก็มาถึง ทว่าไม่ได้มีแค่พี่ปุ๊กคนเดียวนี่สิครับ

“สวัสดีครับพี่ปุ๊ก สวัสดีครับคุณแม่”ตอนนี้รู้ตัวเลยครับว่าผมเองคงกำลังสั่น แต่ต้องพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด แม้เม็ดเหงื่อแทบจะผุดมาทุกรูขุมขนแล้ว ก็จะไม่ให้ตื่นเต้น ตกใจได้ไงละครับ การที่คุณแม่มาแบบนี้ แถมพี่ปุ๊กไม่ให้ผมบอกภู่ มันจะมีเรื่องอะไรอีกถ้าไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับภู่

“ไม่ต้องเกร็ง แม่ไม่ได้จะมาบอกให้พี่แปงเลิกกับน้องภู่หรอก”

“คุณแม่...ว่าไงนะครับ”นี่ผมคงหน้าตาตื่นมองพี่ปุ๊กกับคุณแม่ของภู่เป็นแน่ นี่มันหมายความว่ายังไง ทุกคนรู้งั้นเหรอว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับภู่เป็นอะไรกัน แล้วทำไมภู่ไม่เห็นเคยเล่าอะไรเลย มันตั้งแต่ตอนไหนกันละ แล้วตอนที่ผมไปเจอคุณแม่ที่เชียงใหม่ ตอนนั้นคุณแม่รู้หรือยัง ตอนนี้มีแต่คำถามวิ่งในหัวผมเต็มไปหมด

“แม่ไม่อ้อมค้อมแล้วกันเนอะ เอาเป็นว่าทั้งปุ๊ก แม่ แล้วก็พ่อของน้องภู่ ทุกคนรู้เรื่องพี่แปงกับน้องภู่แล้ว”ยิ่งคุณแม่พูดผมยิ่งไม่เข้าใจ คือทุกคนรู้จากไหน จากภู่หรือจากใคร ถ้ารู้จากภู่ทำไมภู่ไม่เล่าให้ผมฟัง หรือว่าพี่ปุ๊กรู้จากเจ้ปอ ผมพยายามเดาสุ่มไปเรื่อย เพราะยังไม่อยากเสียมารยาทถามออกไปตรงๆ

“ไม่ต้องตกใจ แม่บอกแล้วไงว่าไม่ได้จะมาขอให้เลิกกัน”

“ครับ”คุณแม่ยื่นมือมาจับมือผมเพื่อให้ผ่อนคลายเพราะตอนนี้อาการผมคงเหมือนกำลังลนลานอยู่แน่ๆ พี่ปุ๊กเองก็เหมือนยิ้มให้กำลังใจผมอยู่ ผมพยายามสูดหายใจลึกๆ เรียกสติให้กับตัวเองก่อนจะตัดสินใจถามในสิ่งที่กำลังสงสัย

“คุณแม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ”ผมถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ บอกตรงๆ นะครับคือทีแรกก็มีคิดอยู่นิดหน่อยว่าพี่ปุ๊กไปรู้อะไรมาหรือเปล่า ก็เตรียมใจไว้ประมาณนึง แต่ไม่คิดว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับคุณแม่ของภู่แบบนี้ แถมการที่คุณแม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเราด้วยแล้ว เรียกว่าตั้งรับไม่ทันจริงๆ ครับงานนี้

“น้องภู่เล่าให้ฟังตอนกลับบ้านช่วงปิดเทอมนั่นแหละ”ภู่เป็นคนเล่าเอง แล้วทำไมเค้าไม่บอกผมละเนี่ย ทำไมกันนะ

“แสดงว่าตอนที่ผมไปเชียงใหม่คุณแม่ก็...”ผมจบประโยคไว้แค่นั้นเพราะคุณแม่ก็พยักหน้าตอบรับให้ผมเข้าใจแล้วว่าท่านรับรู้สถานะของผมแต่แรกแล้วในตอนที่พบกันครั้งนั้น

“ทีแรกพวกพี่ก็ตกใจแหละ แต่พอฟังน้องภู่พูดถึงในสิ่งที่ น้องแปงเองช่วยเหลือหรืออะไรต่างๆ ที่ทำแล้ว แม้จะยังไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ครั้งนี้เต็มร้อย แต่ก็ไม่ได้คิดจะคัดค้าน”พี่ปุ๊กเป็นฝ่ายอธิบายเพิ่มเติม

“แม่แองก็ว่ายังไง พี่บึ้งกับพี่ผึ้ง ก็คงมีหลานให้แม่อยู่แล้ว น้องภู่จะไม่มีหลานสักคนก็คงไม่เป็นไร”เอาจริงๆ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงนะครับ เพราะก็ยังไม่มั่นใจว่าจุดประสงค์ที่ทั้งคู่มาหาผมวันนี้คืออะไร อีกอย่างเรื่องนี้ถ้าที่บ้านของภู่ไม่คัดค้านอะไรจริงๆ ทำไมภู่ถึงไม่เล่าทั้งหมดนี่ให้ผมฟัง

“แล้วนี่ที่นัดผมมาวันนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”ผมรีบเข้าประเด็นเพราะมันยิ่งฟังคุณแม่พูด ผมยิ่งมีคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ คุณแม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ อย่างตัดสินใจหันไปมองพี่ปุ๊ก ก่อนจะหันกลับมาที่ผม

“คือคุณพ่อของน้องภู่เนี่ย ถึงจะไม่ได้ห้ามน้องภู่คบกับพี่แปง แต่คุณพ่อก็ยังเชื่อว่า เรื่องระหว่างพี่แปงกับน้องภู่เนี่ย มันแค่อารมณ์ชั่ววูบ สักวันนึงมันก็คงจบลง”ผมนิ่งเงียบรับฟัง เพราะคงต้องยอมรับตามตรงว่าตัวผมเองก็ยังไม่มั่นใจเลย ว่าระหว่างผมกับภู่มันจะยั่งยืนขนาดไหน แล้วคนเป็นพ่อเป็นแม่มันก็คงต้องคิดเป็นห่วงอยู่แล้ว ขนาดพ่อผมเองก็คงยังคิดไม่ต่างจากนี้สักเท่าไหร่

“ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ ว่าตกลงทางคุณแม่ต้องการให้ผมทำอะไร”จากที่คุณแม่บอกว่าจะคุยกับผมแบบไม่อ้อมค้อม แต่ตอนนี้ผมว่าเหมือนทุกอย่างที่พูดมา มันยังไม่เข้าจุดประสงค์ที่นัดผมมาในวันนี้เลย

“พี่แปงรู้ใช่ไหมว่า อีกไม่นานน้องภู่ก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัย”เรื่องนี้สินะ แสดงว่ามันคงเกี่ยวกับที่ภู่เองไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับผมสักทีด้วยสินะ

“ครับ”ผมรับคำ รอฟังรายละเอียดอีกว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง

“น้องภู่เคยบอกว่าอยากไปเรียนต่อที่อเมริกา”จริงสินะผมลืมคิดข้อนี้ไปเสียสนิท ลืมไปเลยว่าทั้งพี่สาว พี่ชายของเค้าก็ไปเรียนต่อเมืองนอกกันหมด แต่ทุกคนที่ไปคือไปตอนเรียนปริญญาโท ผมเลยคิดแค่ว่าที่เค้าไม่ยอมบอกผมเพราะแค่อาจจะอยากเลือกมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด

“ตอนแรกแม่กับคุณพ่อก็ไม่เห็นด้วยหรอก เพราะเรื่องภาษาเอย อะไรอีกหลายอย่าง ก็เคยคิดว่าจะให้ไปตอนเรียนปริญญาโท เหมือนพี่ๆ เค้าแหละ แต่รายนี้ก็รั้นเหลือเกิน พ่อกับแม่เลยส่งมาลองให้ใช้ชีวิตคนเดียวที่กรุงเทพฯ นี่แหละ เพื่อดูความเป็นไปได้ จนเห็นว่าก็น่าจะไปรอดส่วนภาษาก็คงต้องไปลงเรียนเพิ่มให้แน่น นี่พ่อกับแม่ก็เตรียมทุกอย่างตามที่เค้าเคยขอไว้หมดแล้ว แต่มาวันนี้...”

“เค้าเปลี่ยนใจจะไม่ไปใช่ไหมครับ”ผมเดาเรื่องทุกอย่างได้อย่างไม่ยากนัก บอกตรงๆ ว่าใจหายนะครับที่รู้ว่าวันนึงเค้าอาจต้องไปเรียนในที่ที่ห่างจากผมไปครึ่งค่อนโลก แต่ตอนนี้ผมรู้สึกโกรธเค้ามากกว่า โกรธที่จะยอมทิ้งอนาคตตัวเอง ทิ้งสิ่งที่ตัวเองเคยเลือก เพียงเพราะเราต้องห่างกัน

“คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ยังไงเค้าต้องไปตามแผนเดิมแน่นอน เดี๋ยวผมจัดการเอง”ผมบอกอย่างจริงจังและมั่นใจ แม้ความจริงจะยังหวั่นๆ ก็ตามทีเพราะจากที่ฟังภู่เองก็ดื้อพอสมควร ไม่สิจากที่ผมสัมผัสมาเรียกว่ามีความดื้ออยู่มากทีเดียว

“เห็นไหมแม่ว่าแล้วเชียวว่าพี่แปงต้องช่วยได้ แม่จะได้ไปบอกให้คุณพ่อคิดใหม่เสียทีว่าน้องภู่ตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกคบพี่แปง”นี่คงเป็นอีกบททดสอบสินะ ที่จะทำให้พ่อของภู่ยอมรับในความสัมพันธ์นี้ ผมตกปากรับคำกับคุณแม่อีกนิดหน่อย ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ

ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่ในรถนานแค่ไหน เพราะพอแยกกับคุณแม่และพี่ปุ๊กสมองผมมันก็ตื่อไปเสียหมด มันเหมือนทุกอย่างจุกอยู่ที่อก ผมไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกไหนก่อน มันมีทั้งน้อยใจที่เค้าไม่บอกผมตามตรงว่าที่บ้านรู้เรื่องของเราแล้ว

“ที่น้องภู่ยังไม่บอกพี่แปงก็คงเพราะอยากให้คุณพ่อยอมรับจริงๆ ก่อน เค้าบอกไม่อยากให้พี่แปงคิดมาก”แต่เรื่องนี้ก็โกรธเค้าไม่ลงหรอกครับเพราะคงทำไปด้วยความเป็นห่วงผม

ที่ยังหนักใจก็เรื่องที่เค้าต้องไปเรียนต่อต่างประเทศนี่แหละครับ แล้วไหนจะต้องทำให้เค้ายอมไปอีก โดยที่ผมเองก็ต้องไม่ให้เค้ารู้ว่าคุณแม่กับน้าของเค้ามาหาผม

“ลุงจะกลับหรือยังครับ”ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งสติได้ ก็เป็นเค้าเองที่โทรเข้ามา

“กำลังจะโทรหาเลย จะบอกว่าวันนี้พี่ต้องเข้าบ้านพ่อกับแม่นะ”ผมว่าผมยังทำตัวปกติต่อหน้าเค้าตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ ครับ




TBC
------------------------------------------------
ถือว่ายังไม่ม่าเนอะ
แต่เค้าลางมาแล้วววว

ถือว่าพอเป็นสีสันนิดนึงแล้วกันเนอะ

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามและติชมให้กำลังใจนะฮ่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ระยะห่างเริ่มมาและ  :z3: :z3: :z3:
เป็นบททดสอบของคู่รัก ที่ยากกกกกกยิ่งจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
คิดถึงเรื่องนี้จุง :impress2:

หลังจากนี้คงต้องเผชิญกับรักทางไกลสินะ :hao5:


ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ถึงทางแยกที่ต้องเลือก หรือจะเรียกว่าบทพิสูจน์ความรักดีนะ  พี่แปงเข้มแข็งกว่าที่คิดนะ สู้ สู้ ค่า

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
เอาใจช่วยทั้งน้องภู่และพีแปงนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด