ตอนที่ 21
“จะทำอะไรข้า”
วันว่างในครั้งต่อมา ผมก็ได้ฤกธิ์ลงมือทาสีศาลใหม่เสียที ไม่อยากจะอวดเลยว่าตอนนี้มันดูดีมากกก สวยมากกก ขนาดนี่แค่ทาสีตัวศาลที่ด้านบนนะครับ ยังไม่ได้ทาสีต้นเสาเลย โอ้โห ฟรุ้งฟริ้งสีชมพูพาสเทลมาก ชิคกะแด่วแด๊ว(?)สุดๆ
ศาลพระภูมิที่เคยวางแผนวาดแปลนเอาไว้ตอนนี้เป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซนต์อย่างไม่น่าเชื่อว่าใช้เวลาทำแค่ไม่กี่วัน แถมยังทำแบบไม่เต็มวันด้วยนะแต่ก็สร้างเสร็จจนได้ น่าประทับใจจริงๆ ครับ
ตัวศาลก็ตามที่ท่านเจ้าที่เขาอยากได้เป็นบ้านสองชั้นทรงสี่เหลี่ยมโมเดิร์นๆ ไม่มีหลังคาเพราะทำเป็นดาดฟ้าแทน ส่วนที่เป็นด้านหลังของบ้านฉาบปูนทาสีชมพูอ่อน อีกสามด้านที่เหลือติดกระจกแทน ทำให้มองเห็นด้านนได้ชัดเจน แต่ตอนนี้ข้างในโล่งว่างไม่มีอะไรนอกจากเคาน์เตอร์ที่ทำให้ดูเหมือนส่วนของครัวทำอาหาร ข้างผนังหลังเคาท์เตอร์บิลอินท์ติดตู้เก็บของไว้บนผนังเหนือส่วนทำครัว แบบเดียวกับที่เห็นได้จากในคอนโดฯ นั่นล่ะครับ
ครับ ศาลพระภูมิมีบาร์บิลอินท์ด้วย เจ๋งป่ะล่ะ! ฮะฮ่า!
ด้านนอกของตัวบ้านทางฝั่งขวามือก็คือสระว่ายน้ำตามที่ท่านเจ้าที่เขารีเควสต์มา เป็นสระกว้างกำลังพอดีปูด้วยกระเบื้องสีฟ้า แต่ยังไม่ได้ใส่น้ำลงไปหรอกนะครับ กะว่าจะรอให้ทาสีทั้งศาลจนหมดก่อนแล้วค่อยใส่ และในส่วนของพื้นที่ว่างอีกสามด้านรอบบ้านทรงโมเดิร์นนี้ ไอ้ธีร์เสนอว่าให้ปูหญ้าเทียมลงไป แล้วก็ซื้อพวกต้นไม้ปลอมมาวางตกแต่ง เอาให้เหมือนโมเดลตัวอย่างบ้านของพวกบริษัทรับสร้างบ้านไปเลย...ผมลองเสนอกับท่านเจ้าที่แล้วด้วยนะ ซึ่งอีกฝ่ายก็เห็นดีเห็นงาม ให้เงินมาซื้อของตกแต่งอย่างง่ายดายเลยครับ
ทีนี้ก็เหลือแค่ทาสีในส่วนของตัวเสากับเพนต์ลายยูนิคอร์น...อืมมม ผมควรจะเพนต์ลายก่อนสินะ จากนั้นก็รอให้มันแห้ง แล้วใช้พลาสติกซีลในส่วนที่เพนต์ไว้ ก่อนจะลงสีพื้นที่ว่างที่เหลือ ประเด็นคือผมทำงานฝีมือไม่เก่ง จะให้มาตัดไม้ทำแบบก็ดูจะเกินกำลังตัวเอง คงต้องรอให้ไวท์ทำให้แล้วล่ะ
“อ้าว ทาสีแล้วเหรอแทงค์ ทำไมไม่รอให้เรามาช่วยล่ะ”
ผมลดแปรงทาสีในมือลงก่อนจะหันไปมองไวท์ที่เดินเข้ามาพร้อมกับไอ้ธีร์ “นี่น่ะงานง่ายๆ เราไม่อยากรบกวนไวท์มากไปกว่านี้แล้วน่ะ เกรงใจ”
“เฮ้ย คิดมากไปได้ เราเต็มใจช่วยจริงๆ นะแทงค์” ไวท์โบกมือไปมาเป็นเชิงบอกไม่ให้ผมคิดเยอะ ขณะที่ไอ้ธีร์เข้ามาหยิบแปรงทาสีที่ยังว่างอยู่อันหนึ่งขึ้นแล้วว่า...
“อีกอย่างมึงบอกจะพาพวกเราไปเลี้ยงหมูกระทะด้วยนี่ เพราะงั้นต้องทำงานให้คุ้มกับค่าแรงที่มึงจะให้ดิวะ”
ผมงี้หันไปมองไอ้ธีร์ตาโต “มึงมีหัวคิดเรื่องอะไรแบบนี้กับเขาด้วยเหรอวะ”
“นั่นปากเหรอเพื่อน อยากโดนรองเท้าเบอร์สี่สิบสองตบปากเปล่า?”
“ฮ่าๆๆๆ” ผมกับไวท์หัวเราะเมื่อมันทำท่าจะถอดอดิดาสคู่สองพันกว่าที่ใส่อยู่มาตบปากผมจริงๆ
“แล้วนี่กินอะไรกันมายังล่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่องถาม เอี้ยวหน้าไปมองนาฬิกาข้อมือของไอ้ธีร์แล้วก็เห็นว่าตอนนี้เก้าโมงครึ่งแล้ว วันนี้เป็นวันจันทร์ ผมไม่มีงานพิเศษอะไรที่ไหน คลาสเรียนอาจารย์ก็แคนเซิลทั้งสองวิชาเลยว่างสุดๆ หวังว่าวันนี้จะได้ทำศาลพระภูมิให้เสร็จแบบสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์น่ะครับ เอาให้ท่านเจ้าที่เข้าไปอยู่อาศัยได้เลยไรงี้
ส่วนเพื่อนทั้งสองคนนี่ก็ไม่มีเรียนเหมือนกัน จริงๆ มันก็หยุดกันแทบจะทั้งมหา’ลัยนั่นล่ะครับ เพราะมันเป็นวันที่อาจารย์หลายสาขาหลายคณะไปสัมมนากัน อาจารย์น้อยคนที่จะไม่ได้ไป
“กินมาแล้วล่ะ แล้วก็แวะซื้อของกินมาฝากแทงค์ด้วยนะ” ไวท์ชูของในมือให้ผมดู
“โหย ไม่เห็นต้องลำบากเลย”
“ไม่ลำบากอะไรหรอกน่า แทงค์กินข้าวหรือยังล่ะ ถ้ายังเราจะได้ไปใส่จานมาให้”
ผมส่ายหน้าให้แทนคำตอบ ก่อนจะวางแปรงทาสีลง “เดี๋ยวเราไปทำเองดีกว่า ให้แขกทำให้แล้วมันแปลกๆ”
“อย่าพิธีรีตองเยอะได้ป่ะไอ้แทงค์ พูดเหมือนพวกกูเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ ก็เพื่อนกันเปล่าวะ” ไอ้ธีร์แทรก ก่อนจะเดินเข้าไปหาไวท์แล้วดึงเอาถุงทั้งหมดในมือเขามาถือเอง “ถ้ามึงเกรงใจไวท์ งั้นเดี๋ยวกูไปทำให้เอง ขอใช้ครัวนะ”
แล้วมันก็ก้าวเท้าเข้าบ้านของผมไปเลยประหนึ่งว่ามันเป็นเจ้าของบ้านไม่ใช่ผม แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกเพราะบ้านของผมก็เหมือนบ้านหลังที่สองของเพื่อน พวกไอ้เนสมาก็ทำตัวตามสบายกันตลอด ยิ่งไอ้พัฟนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ทำเหมือนบ้านตัวเองยิ่งกว่าผมที่เป็นเจ้าของบ้านเสียอีก
“งั้นไวท์เข้าไปนั่งเล่นในบ้านเถอะ เดี๋ยวเราล้างมือแล้วจะตามไป”
อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ เดินหายเข้าบ้านไปอีกคน ผมก็เลยตรงไปยังก็อกน้ำที่อยู่ตรงริมรั้ว เปิดน้ำล้างมือที่เปื้อนสีออกลวกๆ ก่อนจะสะบัดๆ แล้วเช็ดกับขากางเกงให้พอแห้ง กลับเข้ามาในบ้านอีกทีก็เจอเพื่อนทั้งสองคนนั่งอยู่ที่พื้นห้องนั่งเล่น ตรงกลางของทั้งคู่ซึ่งเป็นโต๊ะวางของเล็กๆ มีจานส้มตำ ลาบหมู หมูย่างจิ้ม ไก่ย่าง และต้มแซ่บชามโตวางอยู่ เคียงกันด้วยจานผักสดและห่อข้าวเหนียว
“มาพอดี มากินเร็ว” ไอ้ธีร์กวักมือเรียกยิกๆ ผมก็เลยทรุดตัวลงนั่ง มองของบนโต๊ะตาโต กระเพาะร้องโครกครากขึ้นมาเสียเฉยๆ ทั้งที่ผมก็ไม่ได้รู้สึกหิวอะไรเลยในตอนแรก
“ซื้อมาเยอะจัง ไหนว่ากินข้าวกันมาแล้ว” ผมออกปากถามขึ้น ไวท์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบไขข้อข้องใจของผม
“ก็กินมานิดหน่อยแหล่ะ แต่มื้อหลักตั้งใจซื้อส้มตำมากินด้วยกัน”
ผมพยักหน้ารับ รับส้อมจากไอ้ธีร์มาตักส้มตำเข้าปาก มืออีกข้างหยิบชิ้นกระหล่ำปลีเคี้ยวตาม...แซ่บดีว่ะ รสชาติใช้ได้เลยนะเนี่ย
“แล้วพี่ภูไม่ได้มาบ้านมึงเหรอไอ้แทงค์?”
ผมชะงักไปนิดเมื่อโดนถาม แล้วรีบกลับมาเป็นปกติด้วยการส่ายหน้าแทนคำตอบ หยิบเอาข้าวเหนียวมาปั้นเป็นก้อนแล้วจิ้มลงไปในน้ำส้มตำก่อนจะยัดเข้าปาก ตามด้วยหยิบน่องไก่มาแทะ
หลังๆ มานี้แค่ผมได้ยินชื่อของท่านเจ้าที่ หรือแค่ปล่อยให้สมองตัวเองว่างจนเผลอไปคิดถึงอีกฝ่าย ใจผมก็เต้นไม่ส่ำขึ้นมาในทันที...อาการเหมือนคนตกหลุมรักเลยให้ตายสิ!
แต่เฮ้! ไม่มีทางหรอกที่ผมจะหลงรักเขาได้ ก็นั่นน่ะพระภูมิเจ้าที่นะเว้ย ไม่ใช่มนุษย์ปกติธรรมดา นั่นน่ะเทวดาที่อยู่มาสองร้อยปีและกำลังจะไปเกิดแล้วด้วย ผมไม่มีทางไปหลงรักคนแบบนั้นได้หรอก
ก็บอกว่าไม่ได้ชอบไง แค่...ใจสั่นด้วยเฉยๆ เฟ้ย!
“นึกว่ามาจะได้ชวนมากินด้วยกัน” ไวท์ว่าอย่างเสียดาย
“อืม ช่วงนี้เขายุ่งๆ เรื่องงานน่ะ” ผมตอบหลังจากกลืนของในปากลงคอไปหมดแล้ว ก่อนจะนิ่งคิดอีกเล็กน้อย แล้ว... “แต่เดี๋ยวเราลองไปชวนเขามาแล้วกันนะ รอแป๊บนึง”
ผมวางน่องไก่ลงก่อนจะลุกออกมา คิดไปด้วยว่าตอนนี้อีกฝ่ายน่าจะอยู่ที่ไหน เพราะจะว่าไปแล้วนอกจากห้องนั่งเล่นกับห้องครัว ผมก็ไม่เคยเห็นท่านเจ้าที่อยู่ที่อื่นอีกเลย ที่แรกที่ผมไปหาคือห้องครัวแต่ก็ไม่เจอ มาคิดดูอีกทีตอนไอ้ธีร์เข้ามาก็คงไม่เจอเหมือนกัน ไม่งั้นมันคงไม่ถามผมหรอกว่าอีกฝ่ายอยู่ไหน ถ้างั้น...แล้วท่านเจ้าที่จะไปอยู่ที่ไหนได้ล่ะ?
ผมลองเดินออกไปหน้าบ้าน ไปหาที่ศาลาไม้ริมรั้วก็ไม่เจอ ไปแถวๆ ศาลพระภูมิก็ไม่เจอ วุ้ย! หายไปไหนของเขานะ หรือต้องเรียก?
เอาวะ เรียกก็ได้
“ท่านเจ้า...” ผมงับปากตัวเองเมื่อเผลอตะโกนเสียงดังเรียกอีกฝ่าย ด้วยเพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนทั้งสองที่อยู่ในบ้านจะได้ยินเข้า...จะให้ตายยังไงผมก็ไม่ชินกับการเรียกไอ้ท่านเจ้าที่ด้วยชื่อเลยจริงๆ แต่ก็ต้องเรียกล่ะนะ “พะ พี่ภู!! อยู่หรือเปล่า!?”
“...” ไร้เสียงตอบรับหรือการปรากฏกายของอีกฝ่าย
“พี่ภู!!!” ผมลองเรียกอีกครั้ง หันซ้ายขวามองหาไปด้วย ก่อนจะเห็นบางอย่างที่หางตาไวๆ เลยเงยหน้าขึ้นไปมองที่หน้าต่างห้องนอนของตัวเอง
ตรงนั้นมีร่างโปร่งบางจนแทบมองไม่เห็นยืนอยู่ ผมหรี่ตามองก็เห็นลางๆ ว่าเป็นผู้หญิงในเกาะอกผ้าไหมสีเหลืองอ่อน คลุมไหล่ด้วยผ้าแพรสีขาว ช่วงล่างสวมกระโปรงผ้าไหมสีน้ำตาล เส้นผมสีดำปล่อยสลวย ใบหน้างามแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ เป็นธรรมชาติ ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อนั่นคลี่ยิ้มเล็กน้อย ขณะที่กวักมือเรียกผมให้ขึ้นไป
ผมขมวดคิ้ว พลันนึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นนางไม้ที่ท่านเจ้าที่เคยพูดถึง...เลขาฯ ของอีกฝ่ายไงล่ะ แล้วที่เรียกผมขึ้นไปนี่หมายความว่าท่านเจ้าที่อยู่บนห้องนอนของผมเหรอ?
ผมเดินอ้อมไปทางหลังบ้านเพื่อเข้าบ้านทางประตูด้านหลังแล้วขึ้นบันไดสู่ชั้นสอง ไม่อยากเดินผ่านห้องนั่งเล่นน่ะ ขี้เกียจตอบคำถามพวกมันว่าทำไมถึงไปตามหาท่านเจ้าที่ในบ้านตัวเองทั้งๆ ที่พวกมันเข้าใจว่าบ้านของอีกฝ่ายอยู่ข้างกัน พอมาถึงชั้นบนผมก็เปิดประตูเข้าไปในห้องของตัวเองทันที แล้วก็ได้เจอกับนางไม้ที่กำลังยืนยิ้มส่งมาให้ผมที่ตรงตำแหน่งเดิม ดวงตาสีเขียวจางๆ ของอีกฝ่ายมองไปที่เตียงให้ผมต้องมองตาม
บนนั้นมีร่างสูงใหญ่ของท่านเจ้าที่นอนอยู่ แถมยังใส่ชุดสูทเต็มยศอยู่เลยด้วย ใบหน้าที่หลับตาพริ้มนั้นดูอ่อนล้ากว่าครั้งล่าสุดที่เจอกัน...ช่วงหลังๆ อีกฝ่ายก็ไม่ได้มานอนเป็นเพื่อนผมด้วยนี่นะ นับตั้งแต่วันที่เจอกองทัพผีเอฟซีท่านเจ้าที่ดักหน้ารถนั่นล่ะครับ ก็เลยเจอกันนับครั้งได้
“เขาดูเหนื่อยมาก” ผมพึมพำกับตัวเอง แต่เหมือนว่านางไม้จะได้ยินด้วย เพราะเสียงใสๆ ก้องๆ ของเธอดังขึ้นมาตอบคำถามของผม
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านภูตลาเพิ่งกลับจากประชุมที่เพิ่งหาข้อยุติได้ หลังจากผ่านมาสองวันกับอีกสิบสองชั่วโมง”
“หา?” ผมทำหน้าเหวอ หันกลับไปมองนางไม้ผู้เป็นเลขาฯ ของท่านเจ้าที่แล้วถามย้ำ “จะบอกว่าพวกเทวดาเขาประชุมกันไม่หยุดพักมาสองวันครึ่งเลยเหรอครับ?!”
“เจ้าค่ะคุณแทงค์”
“แล้วท่านเจ้าที่นอนไปนานหรือยังครับ” ผมถามอีก หลังจากปล่อยให้ตัวเองอึ้งตะลึงอยู่พักหนึ่ง
“ราวห้าชั่วโมงได้แล้วเจ้าค่ะ และถ้าคุณแทงค์ต้องการจะปลุกท่านภูตลาไปทานมื้อกลางวันล่ะก็ ลองปลุกดูก็ได้นะเจ้าคะ ท่านภูตลาไม่ได้ทานอะไรมาเกือบหนึ่งวันแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ”
“โอเค ขอบคุณมากนะครับ คุณนางไม้เองก็คงยังไม่ได้พักผ่อน ไปพักเถอะครับ ทางนี้ผมจัดการเอง” ผมบอกพลางยกยิ้มบางๆ ให้กับอีกฝ่าย หวังจะให้เธอคลายใจไม่ต้องเป็นห่วงเจ้านาย
นางไม้มองผมด้วยสายตาแปลกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากถอนสายบัวให้ กล่าวขอบคุณและสลายหายไปพร้อมกับสายลมที่พัดมาอ่อนๆ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ
หือ? เวลานางไม้หายตัวนี่เป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่านะ กลิ่นหอมเชียว
ผมหันกลับมาให้ความสนใจกับท่านเจ้าที่อีกครั้ง ก้าวเท้าเข้าไปหาแล้วค่อยๆ ทรุดลงนั่งที่ขอบเตียง มองใบหน้าคมคร้ามก่อนจะยื่นมือไปลูบปลายคางที่มีไรหนวดจางๆ ของอีกฝ่ายเบาๆ ผมเอ่ยถามแม้รู้ว่าคงไม่ได้คำตอบเพราะอีกฝ่ายกำลังหลับ ก่อนปลายนิ้วจะเลื่อนขึ้นไปแตะที่ริมฝีปากของร่างสูงแทน
“เป็นเจ้าที่ศาลพระภูมิต้องทำงานจนไม่ได้นอนขนาดนี้เลยหรือไงน่ะ” ผมลูบเรียวปากของอีกฝ่ายเบาๆ นึกไปถึงสัมผัสร้อนผ่าวที่แนบประทับบนเรียวปากของผมเมื่อหลายวันก่อนแล้วหัวใจมันก็เต้นตุบๆ ขึ้นมาด้วยจังหวะถี่กระชั้นขึ้น คิดบ้าอะไรของผมอีกแล้ววะเนี่ย ไปนึกถึงทำไมกันเล่า! พอๆ ปลุกไอ้ท่านเจ้าที่จอมกวนประสาทนี่ไปกินส้มตำดีกว่า หายมาตั้งนานป่านนี้ไอ้พวกนั้นนั่งรอจนกินหมดไปแล้วมั้ง
ตั้งใจจะเลื่อนมือไปเขย่าไหล่ร่างสูงให้ตื่น แต่กลายเป็นผมที่ต้องตกใจแทนเมื่อมือหนาของท่านเจ้าที่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของผมอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลงเพราะไม่ทันตั้งตัว
ท่านเจ้าที่ปรือตาขึ้นมามองผม ก่อนจะหลับตาลงไปใหม่แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง หรี่ตาเล็กน้อยมองหน้าผม ให้ผมต้องรีบเรียกสติอีกฝ่าย
“ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นสิ ปล่อยมือผมด้วย”
“จะทำอะไรข้า” นอกจากไม่ลุกไม่ปล่อยแล้วยังตั้งคำถามอีกต่างหากนะ
ผมพ่นลมหายใจก่อนจะตอบ “มาปลุกไปกินส้มตำ ไวท์กับธีร์มันซื้อมาเยอะแยะเลย ให้ชวนท่านไปกินด้วยกัน”
“เหรอ”
“แล้วอีกอย่างท่านก็ยังไม่ได้กินอะไรมาจะวันหนึ่งแล้วใช่ไหมล่ะ ทีนี้ก็รีบลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนชุดใหม่แล้วก็ลงไปกินได้แล้ว” ผมว่ารัวๆ บิดข้อมือเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้เขาปล่อยข้อมือผมสักที แต่ท่านเจ้าที่ยังไม่ยอมปล่อย แถมยังจับแน่นขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก ทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นไปด้วย
“เหมือนได้กลิ่นไก่ย่าง”
ฉิบหาย! มือข้างนี้ผมหยิบน่องไก่กินนี่หว่า ยังไม่ได้เช็ดได้ล้างด้วย แล้วยังเอาไปจับคางจับปากไอ้ท่านเจ้าที่มันอีก ตายๆ กูต้องโดนด่าแน่ๆ เลยว่ะ
“ผะ ผมกินไก่ย่างมาอ่ะ แล้วก็แบบ...ลืมล้างมือ แหะๆ” ชิงสารภาพผิดก่อนเว้ย เผื่อจะไม่โดนหนัก
ท่านเจ้าที่มองหน้าผมนิ่งอยู่อีกนาทีหนึ่งเต็มๆ ก่อนที่จะ...แผล่บ
“!!!”
อะ อะ อะ อะ...
ผมอ้าปากค้าง มองร่างสูงที่นอนอยู่ตาโตจนแทบถลน!
ก็จะไม่ให้ผมตกใจได้ไงในเมื่อจู่ๆ ท่านเจ้าที่ดึงมือผมเข้าไปหาแล้วแลบลิ้นเลียนิ้วที่เปื้อนไก่ย่างของผมอ่ะ!!
ไอ้เหี้ยยยยยย!!!!! ทำอะไรของคุณมึ้งงงงง!!! ไอ้ท่านเจ้าที๊!!!!
“ถ้าหิวก็ลุกสิโว้ย! ไม่ใช่มาเลียมือคนอื่นเขา!” ผมโวยวายลั่น สะบัดมือเต็มแรงจนหลุดจากการเกาะกุม จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นถอยห่างจากอีกฝ่าย มองหน้าท่านเจ้าที่ตาเขม็ง
...ก่อนจะวิ่งหนีออกมาพร้อมกับแหกปากลั่น
“อ๊ากกก!!!”
เมื่อกี้นี้มันเกิดอะไรขึ้นกับกูวะ ว้ากกกก
__________
5555555 น้องแทงค์แมนๆ แหกปากร้องก็คราวนี้ อีคุณท่านเจ้าที่นางเหนื่อยไง เพิ่งตื่นไง แล้วก็ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันไง หิวอ่ะหิววว ได้กลิ่นไก่ย่างก็เลียไว้ก่อน ดีนะที่ไม่งับไม่กัด ก๊ากกก
เรามีอีกอย่างนึงจะบอกพวกเธอด้วย หลังจากตอนนี้เราจะหายหน้าไปสักพักนะคะ แงง้ ตอนนี้ติดงานหลวงแสนยิ่งใหญ่มาก วิชาสัมมนาค่ะ สัมมนาตัวร้ายกับควายตัวหนึ่งมาก ฮืออ เป็นวิชาที่สูบพลังชีวิตของเราอย่างมหาศาล เห็นเปเปอร์ภาษาอังกฤษยาวเป็นพรืดที่ต้องแปลแล้วก็อยากจะร้องไห้ ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าอะไรดลใจให้เลือกเรียนเอกภาษาอังกฤษเหรอมึ้งงง //โวยวาย
ก็นะ ชีวิตเด็กปีสี่ก็งี้แหล่ะ ฮือๆ เอาเป็นว่าถ้าผ่านพ้นช่วงพรีเซ็นต์เลือกหัวข้อสัมมนาได้เมื่อไหร่ เราจะกลับมาอัพให้ทันทีเลยค่ะ กรุณารอเราด้วยเถอะพี่น้องทั้งหลาย แล้วเราจะกลับมาอย่างอลังการ...รึเปล่า? งุงิ แล้วเจอกันนะคะ เราจะคิดถึงทุกคนเด้อออ