ตอนที่ 14
“มองข้าขนาดนี้ หลงเสน่ห์ข้าล่ะสิ”
วันเสาร์ : 08.40 น.
ผมแต่งตัวเสร็จก็ลงมารอไอ้ธีร์ที่หน้าบ้านทันที ล่าสุดที่คุยกันในแชทมันไปรับไวท์แล้ว ตอนนี้กำลังมารับผม
ผมมองหาท่านเจ้าที่ไปด้วยเพราะนี่มันจะเก้าโมงเข้าไปแล้วทำไมเขายังไม่โผล่หน้ามาอีก แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาอยู่ดี กำลังคิดว่าจะเดินไปเรียกที่ศาลพระภูมิดีมั้ยก็นึกขึ้นได้เสียก่อนว่าท่านเจ้าที่เขาบอกว่าปิดบ้านรอปรับปรุงไปแล้ว...งั้นตะโกนเรียกมันตรงนี้เลยละกัน
“ท่านเจ้าที่!! อยู่ไหนน่ะ ออกมาได้แล้ว จะไปไหมเนี่ย!?”
“เออ มาแล้ว” เสียงทุ้มดังตอบ พร้อมกับการปรากฏตัวของอีกฝ่ายที่ด้านข้างตัวผม หันไปมองก็เจอร่างสูงในชุดใหม่ เมื่อวานใส่สูท วันนี้ใส่สบายๆ เป็นเสื้อยืดสีส้มสว่างสดใสธรรมดา กางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาลอ่อนกับรองเท้าแตะธรรมดาๆ ปล่อยผมปรกหน้าแล้วปัดไปด้านขวา ดวงตาสีรัตติกาลถูกบดบังด้วยแว่นกันแดด
แหมเท่ เท่จังเลย นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นเจ้าที่โรคจิต ผมก็คงจะยืนกรี๊ดอีกฝ่ายจนไข่สั่นไปแล้ว...หมายถึงถือไข่ไก่ไว้ในมือแล้วสั่นน่ะนะ แฮะๆ แต่ขอยอมรับเบาๆ ในใจว่าตอนนี้ผมอดใจเต้นไม่ได้เหมือนกันว่ะ แม่งเท่เกิ๊น กูใจสั่นไปหมดละ อยากได้เจ้าที่เป็นผั---แค่กๆ โทษที ถือว่าไม่ได้พูด(อีกครั้ง)แล้วกัน
“มองข้าขนาดนี้ หลงเสน่ห์ข้าล่ะสิ” ท่านเจ้าที่เอ่ยเสียงเย้าแหย่ ด้วยประโยคที่เรียกความหมั่นไส้จนน่ากระทืบ
เออ หลง! แต่ผมไม่ยอมรับหรอกเว้ย หมั่นไส้ฉิบหาย ชิ!
“กินยาระงับประสาทบ้างนะ หลงตัวเองเหลือเกิน” ผมตอบสิ่งที่ไม่ตรงกับใจออกไปแล้วเบือนหน้าหนีไปมองทางอื่นแทน เมินเสียงโวยวายของท่านเจ้าที่ที่ดังตามมา
“นี่เอ็งว่าข้าเป็นโรคประสาทรึไอ้เด็กนี่!? ปากคอเราะร้าย ถ้าข้าเป็นพ่อแม่เอ็งคงเอาขี้เถ้ายัดปากไปแล้ว!”
“...” ผมแกล้งเมินตามเดิม
“เด็กเวร! เมินข้าเรอะ?! คืนนี้เอ็งนอนคนเดียวไปเลยนะ!”
“คืนนี้ผมไปทำงาน ลืมเหรอ” ผมว่าเสียงเรียบ เหลือบมองท่านเจ้าที่จากหางตาด้วยความเอือมระอาปนเบื่อหน่าย...เบื่อที่จะเถียงด้วยนี่แหล่ะ!
“จริงสิ เอ็งทำงานพิเศษ งั้นพรุ่งนี้เช้าข้าจะไปรับเหมือนเดิมนะ”
“จะไปรับผมทำไม?” ผมหันหน้าไปถามอย่างงุนงง แต่ก็รู้ทันในวินาทีต่อมายามนึกไปถึงครั้งก่อนที่ท่านเจ้าที่ไปรับผมกลับบ้านโดยไม่บอกล่วงหน้า “อ๋อ กลัวผมหลับในขี่รถไปล้มตายที่ไหนแล้วกลัวไม่ได้ตามรังควานผมอีกล่ะสิ”
“ฉลาดนี่ อย่าได้คิดว่าข้าจะเป็นห่วงเอ็งเสียล่ะ ความห่วงใยของข้ามีค่ามหาศาล จงรู้ไว้ซะ”
ผมถอนหายใจใส่เขา “เออ รู้แล้ว”
ผมส่ายหน้าให้กับอีกฝ่ายแล้วหันไปมองหน้าบ้านแทน เผื่อรถไอ้ธีร์มาจอดจะได้รีบออกไป แต่ท่านเจ้าที่ก็เหมือนจะว่างจัดอ่ะ เพราะแทนที่จะอยู่เงียบๆ บ้างกลับหาเรื่องชวนผมคุยอีกแล้ว...ชวนคุยหรือชวนทะเลาะนี่ก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำ
“จริงๆ เอ็งไม่ต้องให้เพื่อนของเอ็งมารับก็ได้นะ”
“แล้วจะให้ผมขี่มอ’ไซค์ไปหรือไงล่ะ ไกลจะตาย ไม่เอาหรอก”
“ข้ามีพาหนะเร็วที่จะพาเราไปต่างหากเล่า”
พาหนะเร็ว?
“อะไร รถยนต์เหรอ พระภูมิเจ้าที่มีรถเหมือนชาวมนุษย์เขาด้วยอีกหรือไง ผมนึกว่าใช้หายตัววุบวับเอาก็ไปถึงที่หมายเลยอะไรงี้เสียอีก”
“ไม่มีหรอก ถ้าข้าตั้งใจจะเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวด้วยตนเองน่ะ แต่ถ้าต้องทำตัวให้กลมกลืนไปกับมนุษย์ ข้าจึงจะมีพาหนะ และจะเลือกมาใช้แล้วแต่ว่าสถานที่ที่จะไปนั้นเป็นที่ไหน” ผมทึ่ง โอ้โห มีให้เลือกหลายแบบด้วยว่ะ
“แล้วไหนพาหนะของท่าน?” ผมถามพลางมองซ้ายมองขวาหาพาหนะที่ว่า
“นี่ไง” ท่านเจ้าที่หยิบของบางอย่างออกมาโชว์ให้ผมดู
ผมมองเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือของเขาแล้วก็ได้แต่ทำหน้าเหมือนปลานอนตายใส่เขา...ก็ในมือของเขาน่ะมีรูปปั้นขนาดเท่ามือเด็กสามขวบวางอยู่ เป็นรูปปั้นม้าสีน้ำตาล เคยเห็นรูปปั้นม้ารูปปั้นช้างที่ประดับบนศาลพระภูมิหรือศาลตายายไหมครับ? ไอ้ที่อยู่ในมือท่านเจ้าที่ก็นั่นล่ะครับ แบบนั้นเลย
นี่อ่ะนะพาหนะของคุณมึง ไอ้ท่านเจ้าที่!!
“รูปปั้น ท่านเจ้าที่ นี่มันก็แค่รูปปั้น นี่มันรูปปั้น!” ผมอดรนทนไม่ไหว แหกปากแล้วชี้นิ้วยิกๆ ไปที่ของในมืออีกฝ่าย
ท่านเจ้าที่ทำหน้าเหมือนเห็นคนโง่ก่อนจะว่า “เอ็งนี่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์เอาเสียเลย มันเป็นรูปปั้นก็จริง แต่มันเป็นของศักดิ์สิทธิ์โว้ย”
ศักดิ์สิทธิ์ยังไงวะ!?
และเพราะผมคงแสดงออกอย่างชัดเจนไปหน่อยว่าไม่เชื่อถือคำพูดกับของในมือของเขา ท่านเจ้าที่เลยหลับตาลงแล้วงึมงำอะไรก็ไม่รู้ จากนั้น...รูปปั้นม้าในมือของอีกฝ่ายก็หายวับไป
ฮี้~~
...กลายเป็นม้าตัวจริงเสียงจริงที่โผล่มาตรงหน้าผมแทน!
ม้าจริงๆ ว่ะเฮ้ย! ม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ ส่งเสียงร้องพลางยกขาย่ำไปมา ความหัศจรรย์ตรงหน้าทำให้ผมเกิดคำถามที่เคยถามตัวเองมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่า...นะ นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมวะ!?! เฮ้ยยย
“นี่ม้าของข้าเอง” ท่านเจ้าที่ว่าพลางยื่นมือไปลูบหน้าลูบแผงคอสีเข้มของมัน และเจ้าม้าก็เอียงหัวดุนจมูกเข้าหาบ่งบอกให้รู้ว่ามันเชื่องกับเจ้าของมากแค่ไหน
ไอ้ฉิบหาย นี่มันม้าตัวเป็นๆ เลยนะเว้ย!!
“โทรไปบอกเพื่อนของเอ็งสิว่าให้ไปเจอกันที่ร้าน ไม่ต้องมารับเอ็งแล้ว”
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อนนะท่านเจ้าที่” ผมยกมือขอเวลานอก หันหลังให้กับท่านเจ้าที่และม้าของเขา ลูบหน้าลูบตาตัวเองเพื่อตั้งสติ ใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าที่ผมจะหันกลับไปได้ “ท่านเจ้าที่จะขี่ม้าไป?”
“ใช่ เอ็งกับข้า ขี่ม้าไปที่ร้านขายวัสดุก่อสร้าง”
“ซึ่งร้านมันอยู่ไกลมากและอากาศก็ร้อน แดดแรงจนแทบจะเผาเราให้เป็นจุณ แต่ท่านก็ยังจะไปด้วยการขี่ม้า?”
“เรื่องร้อนน่ะเอ็งไม่ต้องเป็นห่วง” ท่านเจ้าที่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอมภูมิ ก่อนจะดีดนิ้ว แล้วบนหลังม้าก็ปรากฏร่มอันใหญ่ผูกติดเอาไว้ กลายเป็นที่กันแดดชั้นดี...หากแต่สีหน้าของเจ้าม้าเหมือนโดนรถสิบแปดล้อวิ่งทับก็ไม่ปาน
ผมมองตาค้าง พูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ ได้แต่พะงาบๆ ปากแค่ว่า “นี่...นี่...”
“หรือถ้าเอ็งคิดว่ามันยังไม่พอล่ะก็...” ท่านเจ้าที่ยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ เพราะเจ้าตัวดีดนิ้วอีกที จากร่มก็กลายเป็นตู้กระจกที่ข้างในติดแอร์เอาไว้ด้วย ครั้งนี้เจ้าม้าทำหน้าเหมือนโดนรถสิบแปดล้อคันเดิมวิ่งวนกลับมาเหยียบมันซ้ำ
ถ้ามันพูดได้ ผมสาบานว่ามันคงจะพูดว่า ‘ช่วยผมด้วย ถ้าจะให้ผมออกไปวิ่งทั้งๆ ที่มีตู้ติดแอร์ประหลาดๆ นี่อยู่บนหลัง ก็ได้โปรดฆ่าผมทิ้งเสียยังดีกว่า’
เออ เป็นกูก็อยากตายเหมือนกันล่ะวะ!
“ไม่ขำนะท่านเจ้าที่!” ผมหาเสียงของตัวเองเจอก็เอ่ยขึ้นพลางถลึงตาใส่ท่านเจ้าที่ไปด้วย “ไม่เอาร่มกันแดด! ไม่เอาตู้ติดแอร์หรืออะไรทั้งนั้น! ไม่เอาม้าไปขี่ด้วย!”
“บ๊ะ! แต่มันเป็นพาหนะที่เร็วที่สุดเลยนะ!”
“เร็วแค่ไหนก็ไม่เอา! เอามันเก็บไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ผมเถียงกับท่านเจ้าที่อยู่อีกสิบนาทีเห็นจะได้ ก่อนสุดท้ายฝ่ายที่พ่ายแพ้ไปก็คือเขา...อีกฝ่ายบ่นอุบ ก็ไม่หรอก บ่นแล้วตามด้วยด่ามากกว่าต่างหาก จนผมนี่ประสาทจะเสียเต็มทนแล้ว! ไอ้ธีร์นะไอ้ธีร์ ถ้ามึงไม่รีบมาในอีกสองนาทีข้างหน้า กูจะเฉาะหัวไอ้ท่านเจ้าที่ด้วยพลั่วขุดดินแล้วนะ!
ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ มองนาฬิกาข้อมือนับถอยหลังไปด้วย...สองนาทีนะมึง แค่สองนาที ก่อนที่ความอดทนของกูจะสิ้นสุด แล้วไอ้ท่านเจ้าที่นี่ก็อีก จะพูดอะไรนักหนา เหงาไง๊?! เป็นคนเหงาศตวรรษที่ 21 เหรอออ
เข็มเวลาที่บอกวินาทีเคลื่อนผ่านครบวงเป็นเวลาสองนาทีพอดีเด๊ะ ผมตั้งใจจะหันไปฉะกับท่านเจ้าที่อีกสักยกตามความตั้งใจเงียบๆ ของตัวเอง แต่แล้วเสียงบีบแตรที่ดังขึ้นหน้าบ้านก็ทำให้ผมโห่ร้องในใจ มาสักทีไอ้ฉิบหาย!
“เลิกบ่นเลิกด่าผมแล้วขยับเท้าเดินสักทีดิ๊!” ผมจิกตามองท่านเจ้าที่ก่อนจะเดินนำไปที่รถ...วันนี้ไอ้ธีร์เอารถกระบะมาเพราะต้องใช้ขนของกลับบ้านผมด้วย ไอ้นี่บ้านมันรวยครับ มีรถหลายคัน จะใช้คันไหนก็แค่เสียบกุญแจแล้วขับออกมาเลย ชีวิตมันก็ดีแต่ทำไมมีนิสัยกวนตีนก็ไม่รู้
อย่าไปบอกมันนะว่าผมแอบด่ามันในใจ
พอขึ้นมาได้ก็เอ่ยทักทายกับไวท์และไอ้ธีร์ ท่านเจ้าที่ก้าวตามขึ้นมานั่งข้างกัน แถมยังปรับสีหน้าจากที่กำลังโมโหให้กลายเป็นรอยยิ้มใจดีอ่อนโยนอย่างรวดเร็วแทน...สร้างภาพเก่งขนาดนี้ทำไมถึงเป็นเทวดาได้ฟะเนี่ย
กว่าเราจะมาถึงร้านขายวัสดุก่อสร้างก็สิบโมงกว่าเข้าไปแล้ว บอกแล้วว่าร้านมันไกลมาก กว่าจะฝ่ารถติดมาได้ก็ใช้เวลานานไม่น้อยเลยทีเดียว นี่ถ้าผมเป็นพวกบ้าจี้แล้วยอมขี่ม้าของท่านเจ้าที่มาล่ะก็ ผมคงตัวไหม้แดดตายกลางถนนไปแล้ว
“เดี๋ยวเราไปดูเหล็กที่จะใช้ขึ้นโครงหล่อปูน ส่วนแทงค์ไปดูสีนะ แยกกันไปจะได้เร็วขึ้น”
“โอเค” ผมตอบรับ ก่อนจะเดินแยกไปอีกทางโดยมีท่านเจ้าที่เดินตามหลังมาด้วย ขณะที่ไอ้ธีร์ไปกับไวท์ มันบอกจะได้ไปช่วยไวท์ยกของขึ้นรถ
มาจนถึงโซนขายสี ผมเลือกดูเฉพาะสีถังเล็กสุดเพราะคงใช้ไม่เยอะ...เดินดูสีแต่ละถังไปเรื่อยๆ แต่ก็ต้องเลิกคิ้วเมื่อท่านเจ้าที่กวักมือเรียก ผมเลยเดินเข้าไปหาเขา
“ข้าจะเอาสีนี้” เขาว่าพลางชี้นิ้วไปที่ถังสีเมื่อผมเดินมาถึงตัวเขา
ผมมองก่อนจะพยักหน้ารับ “ชมพูพาสเทลอ่อนๆ ก็สวยดี จะเอาสีนี้แน่นะ?”
“ใช่” เทวดาหน้าหล่อพยักหน้าหงึกหงัก ริมฝีปากได้รูปจุดยิ้มขึ้นมาเหมือนเด็กดีใจยามได้ของเล่นใหม่ จนผมเผลอยิ้มตาม...มุมนี้ไม่เคยเห็นไง แปลกดี
เราเลือกดูสีสำหรับเอาไปเพนต์ลายด้วย จริงๆ ที่คุยกันไว้คือถ้าเอาไปเพนต์น่ะมันต้องเป็นสีอีกแบบ แต่ท่านเจ้าที่เสนอไอเดียมาว่าให้แกะไม้เป็นรูปยูนิคอร์นแล้วทาบกับตัวเสาของศาล จากนั้นก็ค่อยทาสีลงไปในส่วนที่แกะเป็นช่องไว้แล้วแทน ใช้แปรงเบอร์เล็กหน่อย แค่นี้ก็ไม่ต้องยุ่งยากเพนต์มันด้วยพู่กันให้ลำบาก ผมก็เห็นด้วยนะ เพราะถ้าเกิดเพนต์เองแล้วบูดๆ เบี้ยวๆ เสียหายขึ้นมา เดี๋ยวเจ้าของศาลเขาจะโกรธาเอาได้ ทำแบบที่เจ้าตัวเขาเสนอมานี่แหล่ะ ง่ายดี
“ท่านบอกจะเอายูนิคอร์นสีรุ้งนี่ใช่ไหม” ผมถาม เงยหน้ามองสีสารพัดเฉดที่อยู่สูงขึ้นไป ขนาดผมสูงเกือบร้อยแปดสิบยังต้องเงยจนปวดคอ ทำไมต้องจัดเชลฟ์สูงขนาดนี้ด้วยเนี่ย ดีซีซุปเปอร์ฯ ยังไม่จัดเชลฟ์สูงขนาดนี้เลย
ผมเอื้อมมือขึ้นไปกะจะหยิบสีฟ้า เกี่ยวหูของถังสีได้ก็ดึงมันลงมา แต่เพราะก้าวถอยหลังโดยไม่ทันระวังเลยเผลอสะดุดอะไรเข้าสักอย่างจนเสียหลักเซล้ม แย่ยิ่งกว่าคือผมเผลอปล่อยมือจากถังสีที่ดึงลงมา มันก็เลยหล่นตามมาด้วย
“เฮ้ย!”
ในจังหวะที่ผมกำลังจะล้มโดยมีถังสีหล่นใส่หัวอีกทอด จู่ๆ ก็มีแรงดึงจากมือหนารั้งผมกลับไปข้างหน้า ก่อนที่ท่านเจ้าที่จะพลิกตัวผมให้หันหลังแล้วดันให้ไปพิงกับเชลฟ์เพื่อเอาตัวเองบังถังสีที่หล่นลงมาแทนผม
พลั่ก!
“ท่านเจ้าที่!” ผมร้องเรียกด้วยความตื่นตระหนก เงยหน้ามองคนที่สูงกว่าแค่ไม่กี่เซนต์ตาเบิกกว้าง เฮ้ยๆๆ ผมมั่นใจว่าท่านเจ้าที่โดนถังสีหล่นใส่แทนผมนะ ว่าแต่มันหล่นโดนตรงไหนของร่างกายเขาเนี่ย
ผมกำลังจะดึงแขนของอีกฝ่ายที่กักตัวผมเอาไว้อยู่ลง เพื่อจะได้ขยับไปตรวจดูร่างกายของเขาว่าบาดเจ็บตรงไหน แต่ท่านเจ้าที่กลับก้มลงมามองผมเสียก่อน ทำให้จมูกของเราสองคนแตะกันโดยไม่ได้ตั้งใจ...กึก
ผมนิ่ง เขาก็นิ่ง ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่
ลมหายอุ่นๆ ของท่านเจ้าที่รินรดที่เหนือริมฝีปากของผม ไหนจะอ้อมแขนแกร่งที่กักผมเอาไว้นี่อีก มันเป็นความใกล้ชิดที่ทำให้ผมใจสั่นอย่างที่ไม่เคยสั่นขนาดนี้มาก่อน
ผมตั้งสติแล้วค่อยๆ เบือนหน้าไปอีกทาง มือทั้งสองข้างยกขึ้นจับแขนของท่านเจ้าที่เอาไว้ ดันให้เว้นระยะห่างจากผม...อย่างน้อยก็ขอให้ห่างให้มากพอที่ผมจะไม่ต้องใจสั่นมือสั่นมากไปกว่านี้
“ทะ ท่านเป็นไงบ้าง ถังสีหล่นใส่นี่ใช่ไหม” ผมถาม ดันร่างสูงออกไปอีกนิดเพื่อสำรวจร่างกายของอีกฝ่าย ก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นเทวดาแล้วจะบาดเจ็บแบบมนุษย์มนาเขาได้ไหม แต่ในเมื่อถังสีมันหล่นใส่ดังพลั่กขนาดนั้น ผมก็ต้องกังวลไว้ก่อนแหล่ะว่าท่านเจ้าที่จะบาดเจ็บ
“ข้าไม่เป็นไร” เขาตอบพลางเอื้อมมือไปจับไหล่ข้างซ้ายของตัวเองเล็กน้อย ผมก็เลยขยับเข้าไปแล้วถกคอเสื้อของเขาลงเพื่อดูว่ามีรอยฟกช้ำหรือเปล่า แต่ก็ต้องมาหัวเสียเมื่อท่านเจ้าที่พูดขึ้นว่า “มาถกเสื้อข้าในที่สาธารณะแบบนี้ได้ยังไง หน้าไม่อายเลยนะเอ็ง”
“โว้ย! มันใช่เวลาป่ะ นี่เป็นห่วงเว้ย ไม่ได้จะลวนลาม!” ผมหันมาต่อว่าต่อขานใส่ ถลึงตามองด้วยเอ้า! ไอ้ที่กูใจสั่นก่อนหน้านี้แม่งหายเป็นปลิดทิ้งเลยเมื่อเจอความกวนส้นตีนของท่านเขา โว๊ะ! แล้วกูจะใจสั่นไปเพื่ออะไรฟะไอ้ฉิบหาย!
ผมมองหารอยช้ำไปพร้อมๆ กับก่นด่าท่านเจ้าที่ในใจ แต่ก็ไม่พบรอยอะไรสักอย่าง และดูเหมือนเจ้าของร่างกายจะรู้ว่าผมกำลังงงมากแค่ไหน เลยยอมเปิดปากอธิบายให้ผมเข้าใจ
“ไม่มีบาดแผลหรอก ข้าส่งพลังไปรักษาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ไม่เจ็บไม่ปวดอะไรทั้งนั้น”
“ก็ดี จะได้หายห่วง” ผมตอบรับ ปล่อยมือจากคอเสื้อของอีกฝ่ายแล้วก้มลงไปเก็บถังสีที่หล่นอยู่ไม่ไกล แต่ก็ต้องชะงักเมื่อท่านเจ้าที่เอ่ยขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
“แหม ย้ำหลายรอบจังนะว่าเป็นห่วงข้า หวังจะให้ข้ายินดีแล้วเลิกรังควานเอ็งล่ะสิ”
ผมกลอกตาทำหน้าเซ็ง หันกลับมาสบตาแล้วตอบแค่... “เออ!!!”
จากนั้นก็เดินหนีมาพร้อมกับถังสี หย่อนใส่รถเข็นใส่ของดังโครมใหญ่ ก่อนจะเข็นมันเดินลิ่วๆ เร่งเท้าหนี...คือจะไปที่ไหนก็ได้อ่ะตอนนี้ ขอแค่ผมไม่ต้องเห็นหน้าไอ้ท่านเจ้าที่จอมกวนประสาทสักวินาทีก็ยังดีวะ!
คนเขาเป็นห่วงจริงๆ ก็ยังมากวนตีน ประสาทจะกินครับ!
__________
อยากขี่ม้าไปร้านขายวัสดุกับท่านเจ้าที่จังงง 55555 บางทีก็คิดนะว่าท่านภูกับแทงค์นี่จะด่ากันให้ตายไปข้างนึงเลยหรือเปล่า นี่กลัวว่าพวกนางจะตีกันมากกว่ามุ้งมิ้ง เลยเอาความมุ้งมิ้งมาให้ แม้จะแค่นิดเดียวก็ตาม ก๊ากกก
ขอพูดถึงหน่อย คือมีคอมเมนต์ของนักอ่านท่านนึงทักท้วงเรื่องนี้มา เรื่องเงินที่ท่านเจ้าที่มี เราก็ไม่ได้อธิบายที่มาอ่ะเนอะว่าทำไมเทวดาถึงมีเงินกันได้ ก่อนอื่นเราต้องขอบอกก่อนเลยว่า สวรรค์ในเรื่องนี้เป็นจินตนาการของเราค่ะ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเราสร้างให้สวรรค์มีทุกอย่างคล้ายโลกมนุษย์ มีพรรคการเมือง ธนาคาร ฯลฯ เพราะงั้นก็ต้องมีเงินเดือน แล้วเงินที่ได้นี่ไม่ได้มาจากเสกนะคะ มาจากโรงพิมพ์ธนบัตรแห่งสวรรค์ค่ะ 555
เอาล่ะ ทอล์คแค่นี้ดีกว่า แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บๆ