ตอนที่ 24_เส้นผมบังภูเขา_ [ปุริม]ภายในห้องทำงานขนาดกะทัดรัดที่ดัดแปลงจากหนึ่งในห้องของบ้านเดี่ยวกลางเก่า แต่กระนั้นก็ยังสะอาดสะอ้านทั้งด้านในและนอกอย่างที่เจ้าของเอาใจใส่อย่างดี มีเสียงพลิกหน้ากระดาษไปมาโดยไร้เสียงสนทนาใดๆ ดูให้บรรยากาศเย็นเยียบยิ่งกว่าที่เป็น
เอกสารหลายแผ่นผ่านตาผมด้วยความรวดเร็ว ทั้งหมดเป็นรายละเอียดงานในส่วนที่ผมต้องเข้าไปดูแล ไม่ได้ต่างจากงานที่ปรึกษาด้านธุรกิจทั่วไปเท่าไหร่ จะมีบางส่วนที่ทำเอาหัวคิ้วกระตุกก็ตรงที่เงื่อนไขงานในคราวนี้คือที่ปรึกษาส่วนตัวโดยเฉพาะ
ผมเงยหน้ามองผู้สูงวัยกว่าที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตรงหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตาลงอ่านข้อเสนอในมืออีกรอบด้วยความเครียดที่พุ่งขึ้นสูงจนศีรษะข้างหนึ่งปวดแปลบ
“ลุงไม่เคยเจอข้อเสนออะไรที่ดีเท่านี้มาก่อน” เจ้าของห้องเอ่ย น้ำเสียงคล้ายกับว่านี่คือข้อเสนอจากลูกค้าที่ดีที่สุดในชีวิตของแก “แต่ลุงก็ไม่เข้าใจว่าทำไมงานงามๆ แบบนี้ถึงตกมาที่คนแก่อย่างลุงได้ ค่าจ้างขนาดนี้สามารถจ้างบริษัทใหญ่จากต่างประเทศได้เลยด้วยซ้ำ”
“เพราะลุงเป็นมือเก๋าน่ะสิครับ” ผมพูดเอาใจทั้งที่คิดตามแล้วก็เห็นเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด
ผมปิดแฟ้มเอกสารพลางลอบถอนหายใจ ใบหน้าที่ฉายแววความหวังของชายตรงหน้า ทำให้ผมจนคำพูดที่จะไปดับแสงอนาคตของผู้ที่ผมยอมรับอย่างเต็มใจว่าเป็นผู้มีพระคุณเพียงคนเดียวได้ ผมยิ้มบางๆ ตอบรับ แม้ในใจจะเข่นเขี้ยวกับลูกค้ารายใหญ่เจ้านี้
‘พิบูลย์พัฒน์กรุ๊ป’
ไม่ว่ายังไงก็ตามกัดไม่ปล่อยจริงๆ นี่คงยอมวางไพ่ใบสุดท้ายแล้วสินะถึงได้ทุ่มเงินเป็นล้านจ้างวิศวกรระบบที่ใกล้จะปลดเกษียรเต็มทีแบบนี้ ถึงผมจะรู้ดีว่าความชราที่มากขึ้นไม่ได้ทำให้ความเก่งกาจของผู้ชายคนนี้ลดน้อยลง แต่ในยุคที่คนเก่งมีมากมายนี้ย่อมไม่ใช่ตัวเลือกที่ผุดขึ้นในใจเป็นอันดับแรกแน่
ผู้เฒ่าในวงการตรงหน้าผมนี้ เรียกได้ว่าโอบอุ้มผมจากเด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาเท่าที่จะทำได้ แม้จะไม่ใช่ส่วนยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ผมก้าวมาถึงจุดนี้ได้ แต่ถ้าไม่มี ‘ลุงเกรียงไกร’ คนนี้ ผมก็อาจจะไม่ใช่ผมอย่างที่เป็นก็ได้ เพราะฉะนั้นผมจะถือว่าลุงเป็นผู้มีพระคุณก็ไม่ผิด จะทึกทักเอาเองว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ต่างสายเลือดก็ใช่ ก็ใครใช้ให้ลุงไกรเป็นคนดีที่ไม่เอาเปรียบผมกันล่ะ
“ลุงอยากรับงานนี้มั้ย? บริษัทใหญ่ขนาดนี้ต้องใช้คนพอดูนะ” ผมแสร้งถาม แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามีแค่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธ
“ผู้ช่วยจะมีใครเล่าถ้าไม่ใช่เจ้าปายกับเพื่อน แต่เงื่อนไขการจ้างลุงก็คือต้องได้ปูนมาเป็นที่ปรึกษาด้วยน่ะสิ” ลุงไกรเผยสีหน้าครุ่นคิด “แต่ลุงได้ยินมาว่าบริษัทที่ปูนทำอยู่ก็ยุ่งพอตัว ถ้าจะปฏิเสธลุงก็เข้าใจนะ”
“พอสมควรครับ ก็เป็นออฟฟิศที่คนไม่กี่คนเอง”
“นั่นน่ะสิ เจ้าปายมันเลยให้ลุงมาขอความเห็นปูนก่อน” ว่าแล้วผู้สูงวัยกว่าก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เงินก็อยากได้นะ แต่ลุงไม่มีทางบังคับปูนเด็ดขาด”
คราวนี้เป็นผมที่เป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง ผมเชื่อว่าลุงไกรไม่ได้เสแสร้งแกล้งพูดแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไรก็เคารพการติดสินใจของผมเสมอ คนดีก็ย่อมเป็นคนดีอยู่วันยังค่ำ ส่วนไอ้พวกเลวร้ายก็มักจะใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบนี้เสมอเช่นกัน พวกมันคงคิดสินะว่าท่าทำแบบนี้ผมจะต้องใจอ่อนแน่
ผมจะปฏิเสธ ถ้าหากลุงไกรร่ำรวย
ผมจะปฏิเสธอย่างหนักแน่น ถ้าลุงไกรไม่ลำบากเรื่องการเงินอย่างที่เป็นอยู่
ผมจะปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าเลยถ้ามีสักครั้งที่ลุงจะขอหยิบยืมเงินของผม
ไอ้พวกที่ใช้ความลำบากของคนอื่นมาเป็นข้อได้เปรียบแบบนี้นับว่าเป็นตัวอะไรกัน!
“ผมขอเวลาคิดอีกสักวันสองวันได้มั้ยครับลุง” คำตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ของผมทำให้ลุงไกรพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ
“เอาสิ ทางนั้นก็ไม่ได้เร่งรัดลุงเหมือนกัน”
แฟ้มสีดำถูกเลื่อนกลับไปตรงหน้าเจ้าของบ้าน ลุงไกรยิ้มละไมให้ผมอย่างเคย ริ้วรอยแห่งความชราปรากฏมากขึ้นกว่าครั้งก่อนที่ผมเห็น ระยะเวลาหลายเดือนที่ผมไม่ได้มาเยี่ยมคงมีเรื่องเครียดรุมเร้าแกมากขึ้น
“ผมไม่เห็นป้าอรเลยครับ ร่างกายป้าเป็นยังไงบ้าง” ผมถามหาภรรยาคู่บุญของลุงไกร ทุกครั้งที่ผมมาหาก็มักจะยิ้มกว้างหาขนมขมเนยออกมาต้อนรับเสมอ
“ก็เป็นไปตามสภาพล่ะนะ” ชายวัยใกล้ชรายิ้มขืน แววตาทอประกายความโศกเศร้าออกมาอย่างปิดไม่มิด “เซลล์มะเร็งมันกระจายไปทั่วแล้ว ทุกวันนี้ก็มีโรงพยาบาลเป็นบ้านไปแล้วล่ะ ฮ่ะๆ” เสียงหัวเราะที่เค้นออกมามันกลับทำให้น้ำเสียงที่ดังออกมาหดหู่ยิ่งกว่าเดิม
ป้าอรนั้นเป็นโรคร้ายมาหลายปีแล้ว แรกเริ่มก็หาทางรักษาได้แต่กลายเป็นว่าเมื่อกลางปีที่ผ่านมาเซลล์มะเร็งกลับรุกลามไปส่วนอื่นแทน และครั้งนี้ทำให้ร่างกายป้าอรทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว ลุงไกรทำทุกอย่างเพื่อหาวิธีการรักษาที่ดีที่สุดเพื่อภรรยา ถึงขนาดจำนองบ้านจนเป็นหนี้สินก้อนโต
แต่ดูจากสีหน้าลุงในตอนนี้แล้ว...ทุกอย่างที่ทำไปคงเรียกได้ว่าสูญเปล่า
แต่ยิ่งกว่าเงินที่สูญเสียไป คือการต้องมองดูคู่ชีวิตที่อยู่กันมานานหลายสิบปีค่อยๆ จากไปต่างหาก และนั่นทำให้ลุงไกรเป็นทุกข์จนสภาพร่างกายถดถอยขนาดนี้
“ว่าแต่เราเถอะเป็นอย่างไรบ้าง” ลุงไกรย้อนถาม เค้าความใจดีปรากฏขึ้นในทุกครั้งที่ยิ้มออกมา “ลุงว่ามาคราวนี้ สีหน้าปูนดูมีความสุขขึ้น”
“หึหึ ลุงก็พูดเกินไป”
“เมื่อก่อนเราเหมือนพวกอมทุกข์นะปูน หน้านิ่วคิ้วขมวดได้ตลอด”
“ผมไม่เหมือนนายปายนี่จะได้หน้าระรื่นทั้งวัน” ผมแขวะลูกชายคนโตของเจ้าบ้าน และนั่นก็เป็นเรื่องจริงพอที่จะทำให้คนเป็นพ่อหัวเราะร่าอย่างเห็นด้วย
“ที่จริงลุงต้องขอบใจเจ้าปายที่มีนิสัยแบบนี้นะ ไม่งั้นลุงกับแม่เขาคงแย่”
แม้แต่คนฟังอย่างผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน คงต้องนับว่าเป็นโชคดีของครอบครัวนี้ที่ลูกชายกับลูกสาวร่าเริงอารมณ์ดี แม้จะขมขื่นกันแค่ไหนก็ยังกอดขอกันฟันฝ่าไปได้ด้วยรอยยิ้ม ครอบครัวนี้คล้ายนับวันรอความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังไม่ถูกความเศร้าทำร้ายจนเจ็บเจียนตายก็ควรต้องขอบคุณกันและกันแล้ว
“ไว้ผมจะพาแฟนมาเยี่ยมลุงนะ”
“เฮ้ยไอ้เสือ! ลุงก็นึกว่าเราจะครองตัวเป็นพ่อปลาไหลซะอีก” ลุงไกรตบเข่าฉาด สีหน้าทั้งยินดีทั้งตกใจ
“ก็ลำบากพอดูกว่าจะได้คนนี้มา” ผมนึกย้อนไปตั้งแต่วันที่ตัวเองรู้สึกรักชอบจนกระทั่งวันที่ลุงยอมตกลงเป็นแฟนกับผมอย่างเป็นทางการ มันก็นับว่าลำบากมากทีเดียวนะ “เขาเป็นคนดีมากๆ เลยล่ะลุง นิสัยก็น่ารัก มองโลกในแง่ดี ยิ้มง่าย คุยสนุก น่าแกล้ง ...เขาทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันก็น่าอยู่ดีเหมือนกัน”
“...เอ็งเป็นมากแล้วเจ้าปูนเอ๊ย” ลุงไกรยิ้มพรายพลางส่ายหน้าอย่างเห็นขัน แต่ผมกลับหุบยิ้มไม่ได้เลยสักนิดแม้จะถูกผู้ใหญ่กึ่งล้อเลียนอยู่ก็ตาม
“ลุงจะหาว่าผมเกินไปสินะ”
ผู้มากวัยส่ายหน้าอีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่นุ่มนวลขึ้น “เรื่องแบบนี้มันไม่มีที่มากเกินไปหรอก อะไรก็ตามที่มันออกมาจากใจเราจะไปบังคับกะเกณฑ์มันได้ยังไง จะคบนานแล้วหรือว่าเพิ่งคบมันก็ไม่สำคัญเหมือนกัน มันดูที่ความรู้สึกต่างหากว่ายังเหมือนกับวันแรกที่ได้รักกันหรือเปล่า ยิ่งถ้าคนนั้นทำให้เราดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เติมเต็มชีวิตเราจนเต็มได้...มันไม่มีอะไรที่มากเกินไปสำหรับความรักที่ดีแบบนั้นหรอก
“ลุงยังจำวันแรกที่เราเจอกันได้อยู่เลย อายุมากว่าเจ้าปายแค่ปีเดียวแต่ทำอย่างกับว่าใช้ชีวิตมาจนบรรลุ หน้าตาเดี๋ยวก็อมทุกข์ เดี๋ยวก็เฉยเมย แววตาที่บอกว่าไม่เชื่อใจใครน่ะมันส่งมาจนลุงยังตกใจเลย”
“..........”
“แล้วมาดูตอนนี้สิ ลุงว่าปูนคนเก่าคนนั้นคงจากไปแล้วล่ะ”
ผมยิ้มให้กับลุงไกร คิดถึงวันเวลาที่ผ่านมา คิดถึงพัทลุงแล้วก็อนาคตข้างหน้าที่วาดหวังเอาไว้ ฉับพลันกระบอกตาก็คล้ายจะร้อนวูบขึ้นมา การที่มีใครสักคนมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเรามันให้ความรู้สึกว่าน้ำตาจะไหลออกมาแบบนี้สินะ หัวใจมันอบอุ่นแปลกๆ ทั้งที่ครอบครัวก็ไม่ใช่ เกี่ยวพันทางสายเลือดรึก็ไม่สักนิด แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังเอ็นดู ยังจำวันแรกที่เจอกันได้แม้จะผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็ตาม
ถ้าเป็นผมคนก่อนคงไม่ซาบซึ้งสักเท่าไหร่ แต่ผมคนนี้...คนที่มีพัทลุงอยู่ข้างๆ นั้นมองโลกต่างออกไปแล้ว
“แล้วนี่คิดเรื่องแต่งงานรึยัง?”
“ก็อยากอยู่นะครับ แต่แฟนผมเป็นผู้ชายน่ะสิ”
“เอากะเอ็งซี่! เรานี่มันเกินความคาดหมายของลุงตลอดเลยเชียว” ลุงไกรหัวเราะร่วน ไม่ได้มีเค้าความเดียดฉันท์ให้เห็น และผมรู้ดีว่าทั้งหมดที่ลุงแสดงออกนั้นมาจากใจ
“แล้วผมจะพาเขานะ”
“ดีๆ ลุงจะให้เจ้าปิ่นทำกับข้าวรอ”
ผมรู้ดีเชียวล่ะว่าพัทลุงจะต้องชอบครอบครัวนี้เหมือนที่ผมชอบ ที่จริงวันนี้ผมก็ตั้งใจจะพาลุงมาเหมือนกัน แต่ติดที่อีกฝ่ายจำต้องเร่งงานให้เสร็จทันในวันมะรืน แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องพาลุงมาทักทายลุงไกรให้ได้ในฐานะคนที่ใกล้ชิดคำว่า ‘ครอบครัว’ ของผมมากที่สุดคนหนึ่ง
เราคุยกันอีกสักพักใหญ่เรื่องทั่วๆ ไป ตามประสาคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันบ่อยนัก ก่อนที่ผมจะกล่าวลาในช่วงเวลาที่ลูกสาวของลุงไกรกลับบ้านมาพอดี ผมคุยกับปิ่นอีกเล็กน้อยจึงขอตัวกลับจริงสักที
ครอบครัวนี้ทำให้ผมสบายใจที่จะคบหา สบายใจที่จะนอนค้าง กินข้าว หรือแม้แต่จะใช้เวลาว่างสักเล็กน้อยด้วยกัน แม้ขณะที่ผมขับรถจากมาก็ยังรู้สึกอิ่มใจเสียจนรอยยิ้มตามติดที่ใบหน้า
แต่วันนี้นั้นต่างออกไปเล็กน้อย
ผมยังคงรู้สึกอบอุ่นใจ ทว่าความรู้สึกขัดเคืองที่อัดแน่นนั้นก็ไม่อาจสลัดออกไปง่ายๆ ข่าวคราวที่ลุงไกรทำให้ผมต้องเก็บกลับมาคิดนั้นช่างสร้างแรงเสียดทานให้ใจไม่น้อยจริงๆ
.
.
.
“ดื่มเบาๆ หน่อยไอ้ปูน”
เสียงปรามดังขึ้นจากเจ้าของร่างตรงหน้า แต่ผมก็ยังคงกรอกน้ำสีอำพันลงคอไม่สนเสียงถอนหายใจที่ดังตามมา ต่อเมื่อพอใจจึงวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะแล้วเอนตัวพิงพนัก ปล่อยอารมณ์ไปกลับเสียงเพลงจังหวะสนุกที่ดังผ่านเข้ามาที่ห้องวีไอพีชัดเจน
“ไม่เจอกันหลายเดือน มาทีก็แดกเหล้าเป็นน้ำเชียว” เสียงเดิมยังพูดจ้อไม่หยุดจนผมต้องผงกหัวขึ้นมอง “หรือมึงอยากได้เด็กสักหน่อยมะ? กูจัดแบบแจ่มๆ ให้ได้นะ”
“มึงเป็นเจ้าของผับหรือว่าพ่อเล้าวะไอ้แมน” ผมส่ายหัวพลางพยักพเยิดให้คนพูดมากชงเหล้ามาเพิ่มอีกหนึ่งแก้ว
“อย่าพูดให้กูขำน่า” ไอ้พ่อเล้าว่าพลางส่งเสียงหึหึ มือก็ชงเหล้าส่งให้ผมอย่างว่าง่าย “เด็กมึงเกือบครึ่งก็เป็นกูหาให้ไม่ใช่รึไง?”
ผมไม่เถียง เมืองแมนเป็นเพื่อนที่รู้จักสมัยเรียน แม้จะไม่ได้สนิทสนมมากนักแต่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวที่นับว่าใช้ได้ แมนมันอาจจะไม่ได้ทำให้ผมสบายใจเหมือนอยู่กับพันกร แต่ผมมีคติเลือกคบเฉพาะส่วนที่คบได้เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ของผมกับเพื่อนคนนี้จึงมีแค่มุมชีวิตกลางคืนเสียมาก
ด้วยรู้ความชอบของกันและกันดี แมนจึงมักจะหาคนมานั่งดื่มร่วมด้วยเสมอ แล้วเกือบทุกครั้งก็มักจะไปจบที่ฐานะคู่นอน ระยะยาวบ้างสั้นบ้างก็ว่ากันไปตามลีลาบนเตียง
แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่คนตัวเปล่าอีกแล้ว
“กูแค่อยากมาดื่ม แล้วมึงก็ไม่ต้องหาคนมาให้กูอีกแล้วไอ้พ่อเล้า”
“ถามจริง!?” มันถามเสียงสูง มองผมที่กำลังยกแก้วซดเหล้าสักพักก่อนจะยกยิ้มคล้ายไม่เชื่อ “คนมักมากอย่างมึงเนี่ยนะจะเลิกหาคู่นอน หึหึ...เอาเหอะ กูไปดูลูกค้าก่อน”
เมืองแมนเดินมาตบบ่าผมเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินไปทันที ผมมองจนกระทั่งประตูที่ถูกเปิดค่อยๆ ปิดตัวจนส่งเสียงลงสลักชัดเจน ก่อนจะดื่มเหล้าต่ออีกครั้งด้วยความผ่อนคลายมากขึ้น ผมไม่ว่าหรอกถ้าหากเมืองแมนมันจะไม่เชื่อว่าผมจะเปลี่ยนไปได้ เพราะแม้แต่ตัวผมเองก็ยังยากจะเชื่อเลย
เมื่ออยู่กับตัวเองอีกครั้งโดยไม่มีคนช่างจ้อ หัวสมองก็กลับไปคิดถึงต้นเรื่องที่ทำให้ผมต้องมานั่งดื่มเหล้าเช่นนี้อีกครั้ง
ถ้ามีแค่ตัวผม เรื่องทุกอย่างมันจะง่ายดายมาก แต่คนพวกนั้นกลับกัดไม่ปล่อยคอยแต่จะดึงคนอื่นเข้ามาพัวพัน
ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่มอีกหลายอึก แล้วหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาข่าวสารเกี่ยวกับพิบูลย์พัฒน์กรุ๊ป ผมเลื่อนผ่านพวกข่าวสารทั่วไป พยายามมองหาหัวข้อลึกภายในที่พวกนักข่าวสายธุรกิจชอบขุดคุ้ยกัน จนกระทั่งเจอสองสามข่าวล่าสุด -- ผมดื่มอีกครั้งพลางกดเข้าไปดูเนื้อหา
‘ส่อแววล่ม! ตระกูลยักษ์ใหญ่แห่งวงการธุรกิจถึงคราวสิ้นสุดแล้วจริงหรือ?
เป็นที่ทราบกันดีว่าคลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวมาได้สักพักแล้วภายใต้อาณาจักรยิ่งใหญ่อย่างพิบูลย์พัฒน์กรุ๊ป นับตั้งแต่ข่าวคราวสุขภาพร่างกายของผู้กุมบังเหียนใหญ่อย่าง ชาคริต พิบูลย์พัฒน์ ถูกเปิดเผยออกไป ก็ทำให้หุ้นที่เคยพุ่งสูงอย่างต่อเนื่องกลับชะงักตัวลง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ยักษ์ใหญ่สั่นคลอนได้เท่าที่ควร
จนกระทั่งการล้มป่วยกะทันหันอีกครั้งถูกตีแผ่ออกมา หุ้นที่ทำว่าจะกระเตื้องอีกครั้งก็มีอันทิ้งดิ่งลงไปอย่างน่าใจหาย และคราวนี้เองที่ทำให้เกิดคลื่นลมที่จะรอถล่มเมืองใหญ่แห่งนี้
นายตรีเทพ ชีวนา รองประธานกรรมการบริหาร กลายเป็นผู้ควบคุมบังเหียนชั่วคราว และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ถือหุ้น เลยกลายเป็นข้อถกเถียงกันว่าหรือนี่จะเป็นการเปลี่ยนมือประธานบริษัทแห่งนี้’
ผมกดปิดหน้าเว็บไซต์ข่าวสารธุรกิจที่เต็มไปด้วยข้อความเยิ่นเย้อลง แล้วเปิดอีกหนึ่งเว็บไซต์ขึ้นมาอ่าน กวาดสายตาไปตามตัวหนังสือคร่าวๆ ก็พบว่านี่เป็นเพียงบล็อกที่ร่วมรวมโปรไฟล์ของนักธุรกิจเอาไว้
‘นายชานนท์ พิบูลย์พัฒน์
อายุ 22 ปี
จบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ
ลูกชายคนเดียวของนาย ชาคริต พิบูลย์พัฒน์ (ประธานบริษัทพิบูลย์พัฒน์กรุ๊ป)
ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทพิบูลย์พัฒน์กรุ๊ป’
ผมยิ้มหยันตัวเองให้กับข้อความ ‘ลูกชายคนเดียว’ บนหน้าจอ รูปภาพที่แสดงขึ้นนั้นคือชายหนุ่มในชุดสูทเรียบหรู ใบหน้าเปื้อนยิ้มทำให้ดูอ่อนกว่าวัย ดวงตาเปล่งประกายอ่อนโยน ก็ดูจะเหมาะสมแล้วกับคนที่ถูกเลี้ยงดุมาด้วยความรักอย่างดี
“หึ...ลูกชายคนเดียวงั้นเหรอ”
แล้วตัวตนของผมนับว่าเป็นอะไร
ผมโยนโทรศัพท์ลงข้างตัวแล้วตัดสินใจที่จะไม่ยุ่งเรื่องนี้อีก ผมจะไม่สนใจต่อให้ลุงไกรต้องชวดงานใหญ่ ถ้าลุงลำบากเรื่องเงินนัก ผมจะจ่ายแทนให้หมดทุกอย่างโดยไม่ขอรับคืน ขอแค่ผมไม่ต้องกลับไปเกลือกกลั้วกับคนพวกนั้นอีกเป็นพอ
น้ำสีอำพันแก้วแล้วแก้วเล่าไหลลงคอไปง่ายดายราวกับมันเป็นน้ำเปล่า ในหัวมึนงงจนแทบประคองศีรษะให้ตั้งตรงไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ลืมเรื่องไร้สาระทั้งหลายไปได้ ผมโคลงตัวยื่นมือไปคว้าขวดเหล้าที่ตั้งอยู่ขึ้นมาหมายจะรินลงแก้วอีก แต่มันกลับว่างเปล่าเหลือเพียงสีใสของขวดแก้วที่สะท้อนแสงไฟอยู่ แม้จะขัดใจ แต่สติที่ยังพอหลงเหลืออยู่นั้นบอกให้ผมพอแต่เพียงเท่านี้
ผมส่งมือควานหามือถือขึ้นมาเปิดใช้งานอีกครั้ง จากสายตาที่เริ่มพร่ามัวนั้นยังพอมองเห็นว่ามีข้อความจากแอพฯ สนทนาค้างอยู่ พอกดเข้าไปดูก็พบว่ามาจากพัทลุง ข้อความแรกส่งมาราตรีสวัสดิ์ผมตอนสี่ทุ่มสิบสองนาที และเมื่อผมไม่ตอบและไม่ได้อ่าน อีกข้อความถึงได้ส่งมาอีกครั้งเมื่อเที่ยงคืนกว่าถามว่าผมยังปกติดีอยู่ใช่มั้ย? ...แค่นั้น
ลุงมักเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะโทรจิกจนกว่าผมจะรับสาย หรือไม่คงส่งข้อความมาเป็นสิบเป็นร้อยเพื่อต้องการรู้ว่าผมอยู่ที่ไหนและทำอะไรกับใคร นี่อาจจะเป็นหนึ่งที่ผมรู้สึกสบายใจกับการคบกัน ลุงให้พื้นที่ผมได้หายใจในความอิสระ ไม่ตีกรอบบังคับจนต่างฝ่ายต่างอึดอัด แต่คงกลายเป็นผมเองเสียมากกว่าที่จะโหยหาลุงมากกว่าเดิม
ผมกดหมายเลขโทรศัพท์เพื่อโทรออก เสียงสัญญาณลากยาวนานจนเกือบจะตัดใจ แต่เสี้ยววินาทีก่อนที่คิดจะวางสายเสียงงัวเงียก็ดังขึ้นข้างหู
“ลุง...”
“หืม?...พี่ปูน?...อือ~ เดี๋ยวนะๆ” เสียงอู้อี้ตอบรับ ตามด้วยเสียงขยับตัวไปมา ผมยิ้มโง่ๆ กับการฟังเสียงขยับตัวที่ลอดผ่านให้ได้ยิน ไม่กี่วินาทีต่อมาลุงก็กลับมาสนทนาต่อด้วยเสียงที่มีสติมากกว่าเดิม
“มีอะไรรึเปล่า? นี่ตีหนึ่งกว่าแล้วนะ”
“...มารับพี่หน่อยสิ” ผมกรอกเสียงตอบไป พยายามคงสติเอาไว้ให้มากที่สุด
“นี่ไปกินเหล้ามาเหรอ เสียงเปลี้ยมากอ่ะ”
“หึหึ นิดหน่อยเอง”
“ฟังจากเสียงนี่ไม่นิดนะพี่ปูน” ลุงทำเสียงเข้มขึ้นอีกระดับ แต่มันกลับทำให้ผมยิ้มเผล่ยิ่งกว่าเดิม
“นะ...มารับพี่หน่อย” ผมนิ่งรอฟังคำตอบ แต่ถึงลุงจะไม่มาผมก็เข้าใจ เพราะส่วนหนึ่งของจิตสำนึกก็ไม่อยากให้ลุงต้องมาลำบากตอนดึกดื่นแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้ผมอยากอยู่กับลุงมากกว่าที่เคย
เสียงเดาะลิ้นคล้ายไม่สบอารมณ์ดังขึ้นเล็กน้อย แต่คำพูดต่อจากนั้นหาได้มีความหงุดหงิดปะปนอยู่สักนิด “รออยู่นิ่งๆ ห้ามไปไหนเข้ามั้ย? และถ้าผมรู้ว่าพี่กินเหล้าต่ออีกได้เจอดีแน่!” ลุงถามที่อยู่ร้านซึ่งไม่น่าจะหายาก เพราะผับนี้ก็คือผับเดียวกับที่ผมหิ้วลุงกลับบ้านไปนั่นแหละ แค่เพียงขึ้นมาห้อง V.I.P ที่ชั้นสองก็เท่านั้น
ผมวางสายจากลุงแล้วเอนศีรษะลงกับพนักพิง ระบายยิ้มพลางถอนหายใจยาวเหยียดก่อนที่ความมึนเมาจะกล่อมให้เปลือกตาปิดลง
เนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้ แต่สัมผัสแปลกปลอมบนร่างค่อยๆ ปลุกสติให้กลับคืนอย่างเชื่องช้า ผมรับรู้ได้ถึงฝ่ามืออุ่นที่รูปไล้อยู่ทั่วร่าง แทรกผ่านเสื้อเข้ามาแตะต้องผิวเนื้อ ลำคอถูกลมหายใจกรุ่นกลิ่นสุรารินรสสร้างร่องรอยเปียกชื้นจนผมต้องเบี่ยงหน้าหนี หน้าตักกำลังรับน้ำหนักจากใครสักคนที่กำลังบดเบียดความเป็นชายให้ตื่นตัวขึ้น
ผมขมวดคิ้วแน่น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะลืมตามองคนบนร่างที่กำลังปลุกเร้าผมทุกวิถีทาง
“คุณรูปหล่อคะ...เรามาสนุกกันเถอะ”
เสียงยั่วยวนกระซิบข้างหูผมพร้อมกับที่ซิบกางเกงถูกรูดลง ความตกใจทำให้ผมลืมตาพรึบขึ้นมาดีดความมึนงงก่อนหน้าให้ออกไปจากหัวสมอง หูสองข้างรับฟังเสียงหัวเราะแผ่วเบา ความโป่งนูนใต้ชั้นในถูกเรียวนิ้วล้วงแตะต้อง ตรงหน้าผมคือผู้หญิงหน้าตาสะสวยที่คงผ่านการศัลยกรรมมาอย่างดี เธอยิ้มหวานมองผมด้วยแรงปรารถนาในแววตา กลีบปากสีแดงสดจูบริมฝีปากผมแผ่วเบาหากอ้อยอิ่งยั่วยวน เข้าขากับเบื้องล่างที่ส่งนิ้วทั้งล้วงทั้งควักอย่างไร้ซึ่งยางอาย
“ทำอะไร” ผมถามเสียงเข้ม แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะท้าน ยังคงเล่นหูเล่นตาปลุกอารมณ์ผมต่อไป
“ก็มาทำให้คุณมีความสุขไงคะ”
“ใครใช้ให้เธอเข้ามา”
“อุ๊ย~ ทำไมเสียงแข็งจัง” ผู้หญิงแปลกหน้าหัวเราะคิกคัก
“ออกไปซะ...” ผมไม่เล่นด้วย เธอมองสีหน้าเรียบตึงของผมอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมรู้ได้ในทันทีว่าผู้หญิงคนนี้คงถูกใครสักคนให้เข้ามาทำเรื่องแบบนี้โดยเฉพาะ และคนนั้นคงไม่พ้นไอ้แมนที่ทำทีไม่เชื่อในความเปลี่ยนไปของผม
“ไม่เอาน่า...เรามาสนุกันดีกว่า”
“ออกไป...” ผมเค้นเสียงเข้มอีกครั้ง พยายามสะกดกลั้นความขุ่นเคืองให้ได้มากที่สุด
“แต่ฉันรู้ว่าคุณต้องการนะคะ” เสียงกระเซ้าดังรับการแตะต้องส่วนล่าง
ผมถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วจิกลงไปบนเส้นผมใกล้หนังศีรษะแล้วกระชากอย่างแรงจนอีกฝ่ายส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บ
“ฉันบอกว่าให้ออกไปยังไงล่ะ” ผมกรอกเสียงเข้มอีกครั้งใส่หูคนสวยที่แหงนหน้าเริดเพราะแรงดึง
“กรี๊ด!! ไอ้บ้า ปล่อยฉันนะ!” มือบางปัดป่ายตัวผมหวังได้รับอิสระ ผมลุกขึ้นทันทีพลันให้ร่างอวบอัดไถลลงอย่างไม่ทันตั้งตัวพลอยให้กลุ่มผมที่ถูกจิกรั้งหลุดติดฝ่ามือมาเป็นกระจุก ผมรีบปัดเส้นผมออกจากมือราวกับมันเป็นของน่าขยะแขยง
“กรี๊ดๆๆ เจ็บๆ กูเจ็บ!!”
สาวศัลยกรรมตวัดสายตามองผมอย่างดุร้าย ก่อนยันตัวลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้ามาด้วยแรงอาฆาต แต่ถูกผมจับเหวี่ยงออกไปอย่างง่ายดาย โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะกระแทกโดนโต๊ะหรือว่าจะล้มลงไปแรงแค่ไหน เด็กที่ไอ้แมนหามาให้หมดสิ้นสภาพความสวย ดวงหน้าฉ่ำน้ำตาเงยหน้ามองผมด้วยความแค้นแต่ก็หวาดกลัวเกินกว่าจะพุ่งเข้ามาทำอะไรอีก
“ออกไปซะ ก่อนจะโดนมากกว่านี้!” สิ้นเสียงตวาด ร่างที่เคยงดงามก็รีบตะเกียกตะกายไปเปิดประตู ผมถึงได้เห็นว่ามีใครบางคนยืนแอบดูฉากสำคัญอยู่
เมืองแมนหลีกทางให้หญิงสาวออกไปโดยไม่พูดอะไรก่อนจะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ มันยืนมองผมจัดการกับเสื้อผ้าตัวเองอยู่สักครู่จากนั้นจึงหย่อนก้นลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม สายตาคมปราบมองสำรวจราวกับจะค้นหาว่าผมเป็นเพื่อนของมันจริงหรือไม่
“มึงก็ใจร้ายเกิน เด็กมันอยากมึงตั้งแต่เห็นแล้ว” มันว่าขำๆ “กระแซะถามกูหลายรอบจนน่ารำคาญ ก็เลยส่งขึ้นมาให้ซะเลย”
“กูก็ไม่อยากรุนแรง แต่ห้ามแล้วเสือกไม่ฟังเอง”
“ก็เห็นปกติมึงไม่เคยปฏิเสธใคร”
“กูบอกแล้วไงว่าไม่ต้องหาใครมาให้อีก” ผมทิ้งตัวนั่งลงบ้าง ยื่นปลายนิ้วออกไป กระดิกสองสามครั้งใส่คนตรงหน้าอย่างรู้กัน ไอ้แมนหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าอย่างว่าง่ายจัดการจุดไฟต่อให้เสร็จสรรพจึงส่งมาให้ ผมรับมาสูดควันเข้าปอดแล้วพ่นควันสีเทาออกมาช้าๆ ร่างกายที่ตึงเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“ทำไมวะ?” มันยังคงค้นหาเหตุผล
“กูมีแฟนแล้ว”
“เชี่ย!!” เมืองแมนอุทานลั่นให้กับคำตอบสั้นๆ ของผม สีหน้ามันตกใจพอๆ กับครั้งที่ตำรวจบุกเข้าตรวจร้าน “โทษทีมึง กูแค่คิดไม่ถึงว่ะ”
“คนนี้กูรักของกูมาก เพราะงั้นมึงอย่าหาเรื่องแบบเมื่อกี้อีก” สิ้นคำเตือน ไอ้แมนยกมือคล้ายยอมแพ้แต่มันก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าเต็มไปความอยากรู้อยากเห็น
“อะไร?”
“สวยป่ะวะ? กูเดาว่าผู้หญิงที่ตกมึงได้ต้องเจ๋งแน่”
“ผู้ชาย”
“โอ้โห! เหนือความคาดหมายกูไปอีก” ผมส่ายหัวให้กับอาการเหลือเชื่อจนตาโตของเพื่อน แต่วินาทีต่อมาสีหน้ามันก็ปรับเป็นความใคร่รู้ แถมยังถามออกมาได้อย่างไม่รู้สึกกระดากปากสักนิด “กูอยากจะถามมึงมานานแล้ว ตรงนั้นของผู้ชายแม่งรัดแน่นกว่าจริงรึเปล่าวะ”
ผมจนใจกับคำถาม ไม่รู้จะด่ามันด้วยสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดไหนดีแล้ว
“ลองสิมึง จะได้รู้กันไปเลย”
“ก็จริงของมึง...” ไอ้แมนก็ดันเห็นด้วยกับคำตอบส่งๆ ของผมไปอีก เชื่อได้เลยว่ามันต้องหาเด็กไปลองแน่
เมืองแมนดึงดันที่จะถามเรื่องใต้สะดือระหว่างผู้ชายต่ออีกสองสามหัวข้อ ผมก็ได้แต่กุมขมับตอบมันไปส่งๆ เช่นเดิม เรื่องอะไรจะต้องให้มันมารู้เรื่องราวในมุ้งของผม ถึงผมจะพูดทะลึ่งล้อเล่นเรื่องของลุงแต่ก็อยู่ในหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทที่สุด อย่างไอ้แมนไม่มีทางได้รู้หรอกว่าเมียผมเด็ดแค่ไหน
[/size][/font]
[มีต่อค่ะ]