◦●สมภารกับไก่วัด●◦|| *แจ้งข่าวหนังสือ* || 5-3-63 หน้า 54 ||
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◦●สมภารกับไก่วัด●◦|| *แจ้งข่าวหนังสือ* || 5-3-63 หน้า 54 ||  (อ่าน 315689 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1087
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
เย้ดีใจที่กลับมาแล้ว คิดถึงน้องลุงที่สุดเลย
ยังฮาแลัยังหื่นเหมือนเดิมเลยนะ

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ขอบคุณนะคะ ที่กลับมาเสริพความหวานของลุงกับพี่ปูนต่อ

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
กลับมาพร้อม 2 ตอนที่ดีมาก ป้ายอมลงให้พี่ปูนบ้างแล้ว

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ยังติดตาม ยังรออ่านอยู่ตลอดค่า

ออฟไลน์ may27

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :katai1:   นึกว่าตัวเองตาฝาดค่ะ.......ยังไม่ได้อ่านแต่ขอมาเม้นท์ก่อน5555 เกือบจะโหวตให้เป็นนิยายดองเค็มแล้วนะเนี่ย....ขอตัวกลับไปอ่านย้อนก่อนนะคะ   เดี๋ยวอารมณ์ไม่ต่อเนื่อง555555

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
คุณปราจีนยอมแล้ว  :hao5:

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
ดีจังเลยยยย ดีมากกก สงสารโป้ยหน่อยๆแหะมาขัดเพื่อนเหมือนคนมีปม55555

ออฟไลน์ กฟหวดสาหฟยดนำาด

  • เลือดสีม่วงมันข้น
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
ขอบคุณคนแต่งค่า รอติดตาตอนต่อไป :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ A_Narciso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 879
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
 :pig4: เป็นกำลังใจให้ลุง และพี่ปูน นะ

ออฟไลน์ may27

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :mew1:  หลังจากย้อนกลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ตอนแรก เพื่อความต่อเนื่องของอารมณ์   ก็รู้สึกดีใจที่น้องเขยกับพี่เมียยอมสงบศึกกัน .....แต่ยังคงหัวเราะกับความเป็นพัทลุงของปุริม  ความหื่นแบบจิตๆขิงปุริม  และยังคงโกรธยัยป้าที่ตบหน้าปุริม  โดยที่ไม่ได้เอาคืน(อาจดูไม่แมนไปนิด  แต่โกรธจริงไปนะเออ)...
รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อค่ะ

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 607
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ดีใจที่กลับต่อนะคะ  :pig4:

ลุ๊งง ตั้งแต่ยอมรับสภานะเมียเขาเนี่ย โง้ยยย ..รักผัว ..ผัวรัก ยั่วเก่ง แต่อิผัวตัวดีดันเอาความลับเมียมาแฉ
55555555555555555555 แล้วทำไรได้ไหม ก็ไม่!!!555555555555555

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โฮรรร โคตรรรซึ้งงงงกับฉากสุดท้ายย! น้ำตาคลอเลยตอนพี่ปูนบอก “อย่าทิ้งพี่...พี่ไม่มีลุงไม่ได้จริงๆ” ยินดีกับพี่เขามากจริงที่มาเจอลุงเป็นเหมือนแสงสว่างนำทางจิตใจอันมืดมน และดีใจกับลุงด้วยที่ได้ผัวโคตรหล่อบวกเปย์ขั้นสุด >< 5555 ทั้งตลกทั้งชอบและดูน่ารักเวลาที่ลุงอวยพี่ปูนแล้วเรียก "ผัวรัก" ฟังละตลกและชอบมาก 555 พี่ปูนเองก็อยากได้ยินละสิ! อิอิ //สองคนนี้แม่งโคตรเคมี มันใช่ละที่ป้าเปิดใจยอมเชื่อ และให้โอกาสพวกเขาพิสูจน์กับความรักครั้งนี้ รักครั้งนี้มันจะเป็นรักแท้รักนิรันดร์รักตลอดไปตลอดกาลไหม รอดู แต่ยังไงตอนนี้ก็ดีใจกับทั้งคู่มาก โคตรดีใจเลยจริงๆที่พวกเขามาเจอกัน แม่งเห้ยยยย แต่ละประโยคบอกความในใจของพี่ปูนสุดซึ้งและหนักแน่น ก็หวังว่าหากมีอุปสรรคอะไรเข้ามาก็อย่าหันหลังให้กันนะ แต่เหนือสิ่งใดในตอนนี้คือโคตรเป็นปลื้มที่ไรท์กลับมาต่อ แถมลงสองตอนรวด โอ้ยยยโคตรปลิ่มเลย ยินดีคัมแบ๊คค่าาาาา 5555 ชอบเรื่องนี้มากกกกก ถึงนานอัพทีแต่ก็ไม่ลืมและรออยู่เสมอนะคะ สู้ๆในการปั่นตอนต่อไปค่ะ ปากำลังใจ ไฟท์ติ้ง :) ^_^ (ปล.รอพวกเขาไปเที่ยวกันสองคน 5555555)

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
คู่โป้ยคืบหน้าบ้างไหมเนี่ยยย
อย่าหายไปนานอีกน๊า

ออฟไลน์ Aomoto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณที่กลับมาต่อ สนุกสมกับการรอคอย :mew1:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ดีใจจังกลับมาต่อแล้ว

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
พี่ปูนหื่นมากกกกกกกกก

ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อ่านอีก ก็ฮาอีก   :m20: :laugh: :pigha2:

“ผมรักน้องชายคุณ”
“พัทลุงคือโลกทั้งใบของผม”
 
โอย...............พี่ปูน กระแทกใจสุดๆ   :o8: :heaven

ไปเขาใหญ่ คราวนี้การเกษตรเจริญก้าวหน้ามาก  :haun4:
โดยเฉพาะด้านการทำสวนแตงพันธุ์ดีเท่านั้น  พืชผักอื่นๆถอยไป  :pighaun:
เห็นภาพลุงที่สภาพอเนจอนาถ หลุมแตงถูกขุดซะเต็มๆเลย  :z3: :z3: :z3:

พี่ปูน  ลุง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Lekss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมากค่ะ เป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ กลับมาตอนเร็วๆนะ :-[

ออฟไลน์ L@DYMELLOW

  • กำลังงงๆ เพราะหาทางลงจาก “คาน” ไม่เจอ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +826/-4
    • facebook
ตอนที่ 24_เส้นผมบังภูเขา_ [ปุริม]






ภายในห้องทำงานขนาดกะทัดรัดที่ดัดแปลงจากหนึ่งในห้องของบ้านเดี่ยวกลางเก่า แต่กระนั้นก็ยังสะอาดสะอ้านทั้งด้านในและนอกอย่างที่เจ้าของเอาใจใส่อย่างดี มีเสียงพลิกหน้ากระดาษไปมาโดยไร้เสียงสนทนาใดๆ ดูให้บรรยากาศเย็นเยียบยิ่งกว่าที่เป็น

เอกสารหลายแผ่นผ่านตาผมด้วยความรวดเร็ว ทั้งหมดเป็นรายละเอียดงานในส่วนที่ผมต้องเข้าไปดูแล ไม่ได้ต่างจากงานที่ปรึกษาด้านธุรกิจทั่วไปเท่าไหร่ จะมีบางส่วนที่ทำเอาหัวคิ้วกระตุกก็ตรงที่เงื่อนไขงานในคราวนี้คือที่ปรึกษาส่วนตัวโดยเฉพาะ

ผมเงยหน้ามองผู้สูงวัยกว่าที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตรงหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตาลงอ่านข้อเสนอในมืออีกรอบด้วยความเครียดที่พุ่งขึ้นสูงจนศีรษะข้างหนึ่งปวดแปลบ

“ลุงไม่เคยเจอข้อเสนออะไรที่ดีเท่านี้มาก่อน”  เจ้าของห้องเอ่ย น้ำเสียงคล้ายกับว่านี่คือข้อเสนอจากลูกค้าที่ดีที่สุดในชีวิตของแก  “แต่ลุงก็ไม่เข้าใจว่าทำไมงานงามๆ แบบนี้ถึงตกมาที่คนแก่อย่างลุงได้ ค่าจ้างขนาดนี้สามารถจ้างบริษัทใหญ่จากต่างประเทศได้เลยด้วยซ้ำ”

“เพราะลุงเป็นมือเก๋าน่ะสิครับ”  ผมพูดเอาใจทั้งที่คิดตามแล้วก็เห็นเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด

ผมปิดแฟ้มเอกสารพลางลอบถอนหายใจ ใบหน้าที่ฉายแววความหวังของชายตรงหน้า ทำให้ผมจนคำพูดที่จะไปดับแสงอนาคตของผู้ที่ผมยอมรับอย่างเต็มใจว่าเป็นผู้มีพระคุณเพียงคนเดียวได้ ผมยิ้มบางๆ ตอบรับ แม้ในใจจะเข่นเขี้ยวกับลูกค้ารายใหญ่เจ้านี้

‘พิบูลย์พัฒน์กรุ๊ป’

ไม่ว่ายังไงก็ตามกัดไม่ปล่อยจริงๆ นี่คงยอมวางไพ่ใบสุดท้ายแล้วสินะถึงได้ทุ่มเงินเป็นล้านจ้างวิศวกรระบบที่ใกล้จะปลดเกษียรเต็มทีแบบนี้ ถึงผมจะรู้ดีว่าความชราที่มากขึ้นไม่ได้ทำให้ความเก่งกาจของผู้ชายคนนี้ลดน้อยลง แต่ในยุคที่คนเก่งมีมากมายนี้ย่อมไม่ใช่ตัวเลือกที่ผุดขึ้นในใจเป็นอันดับแรกแน่

ผู้เฒ่าในวงการตรงหน้าผมนี้ เรียกได้ว่าโอบอุ้มผมจากเด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาเท่าที่จะทำได้ แม้จะไม่ใช่ส่วนยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ผมก้าวมาถึงจุดนี้ได้ แต่ถ้าไม่มี ‘ลุงเกรียงไกร’ คนนี้ ผมก็อาจจะไม่ใช่ผมอย่างที่เป็นก็ได้ เพราะฉะนั้นผมจะถือว่าลุงเป็นผู้มีพระคุณก็ไม่ผิด จะทึกทักเอาเองว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ต่างสายเลือดก็ใช่ ก็ใครใช้ให้ลุงไกรเป็นคนดีที่ไม่เอาเปรียบผมกันล่ะ

“ลุงอยากรับงานนี้มั้ย? บริษัทใหญ่ขนาดนี้ต้องใช้คนพอดูนะ”  ผมแสร้งถาม แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามีแค่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธ

“ผู้ช่วยจะมีใครเล่าถ้าไม่ใช่เจ้าปายกับเพื่อน แต่เงื่อนไขการจ้างลุงก็คือต้องได้ปูนมาเป็นที่ปรึกษาด้วยน่ะสิ”  ลุงไกรเผยสีหน้าครุ่นคิด  “แต่ลุงได้ยินมาว่าบริษัทที่ปูนทำอยู่ก็ยุ่งพอตัว ถ้าจะปฏิเสธลุงก็เข้าใจนะ”

“พอสมควรครับ ก็เป็นออฟฟิศที่คนไม่กี่คนเอง”

“นั่นน่ะสิ เจ้าปายมันเลยให้ลุงมาขอความเห็นปูนก่อน”  ว่าแล้วผู้สูงวัยกว่าก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่  “เงินก็อยากได้นะ แต่ลุงไม่มีทางบังคับปูนเด็ดขาด”

คราวนี้เป็นผมที่เป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง ผมเชื่อว่าลุงไกรไม่ได้เสแสร้งแกล้งพูดแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไรก็เคารพการติดสินใจของผมเสมอ คนดีก็ย่อมเป็นคนดีอยู่วันยังค่ำ ส่วนไอ้พวกเลวร้ายก็มักจะใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบนี้เสมอเช่นกัน พวกมันคงคิดสินะว่าท่าทำแบบนี้ผมจะต้องใจอ่อนแน่

ผมจะปฏิเสธ ถ้าหากลุงไกรร่ำรวย

ผมจะปฏิเสธอย่างหนักแน่น ถ้าลุงไกรไม่ลำบากเรื่องการเงินอย่างที่เป็นอยู่

ผมจะปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าเลยถ้ามีสักครั้งที่ลุงจะขอหยิบยืมเงินของผม

ไอ้พวกที่ใช้ความลำบากของคนอื่นมาเป็นข้อได้เปรียบแบบนี้นับว่าเป็นตัวอะไรกัน!


“ผมขอเวลาคิดอีกสักวันสองวันได้มั้ยครับลุง”  คำตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ของผมทำให้ลุงไกรพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ

“เอาสิ ทางนั้นก็ไม่ได้เร่งรัดลุงเหมือนกัน”

แฟ้มสีดำถูกเลื่อนกลับไปตรงหน้าเจ้าของบ้าน ลุงไกรยิ้มละไมให้ผมอย่างเคย ริ้วรอยแห่งความชราปรากฏมากขึ้นกว่าครั้งก่อนที่ผมเห็น ระยะเวลาหลายเดือนที่ผมไม่ได้มาเยี่ยมคงมีเรื่องเครียดรุมเร้าแกมากขึ้น

“ผมไม่เห็นป้าอรเลยครับ ร่างกายป้าเป็นยังไงบ้าง”  ผมถามหาภรรยาคู่บุญของลุงไกร ทุกครั้งที่ผมมาหาก็มักจะยิ้มกว้างหาขนมขมเนยออกมาต้อนรับเสมอ

“ก็เป็นไปตามสภาพล่ะนะ”  ชายวัยใกล้ชรายิ้มขืน แววตาทอประกายความโศกเศร้าออกมาอย่างปิดไม่มิด  “เซลล์มะเร็งมันกระจายไปทั่วแล้ว ทุกวันนี้ก็มีโรงพยาบาลเป็นบ้านไปแล้วล่ะ ฮ่ะๆ”  เสียงหัวเราะที่เค้นออกมามันกลับทำให้น้ำเสียงที่ดังออกมาหดหู่ยิ่งกว่าเดิม

ป้าอรนั้นเป็นโรคร้ายมาหลายปีแล้ว แรกเริ่มก็หาทางรักษาได้แต่กลายเป็นว่าเมื่อกลางปีที่ผ่านมาเซลล์มะเร็งกลับรุกลามไปส่วนอื่นแทน และครั้งนี้ทำให้ร่างกายป้าอรทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว ลุงไกรทำทุกอย่างเพื่อหาวิธีการรักษาที่ดีที่สุดเพื่อภรรยา ถึงขนาดจำนองบ้านจนเป็นหนี้สินก้อนโต

แต่ดูจากสีหน้าลุงในตอนนี้แล้ว...ทุกอย่างที่ทำไปคงเรียกได้ว่าสูญเปล่า

แต่ยิ่งกว่าเงินที่สูญเสียไป คือการต้องมองดูคู่ชีวิตที่อยู่กันมานานหลายสิบปีค่อยๆ จากไปต่างหาก และนั่นทำให้ลุงไกรเป็นทุกข์จนสภาพร่างกายถดถอยขนาดนี้

“ว่าแต่เราเถอะเป็นอย่างไรบ้าง”  ลุงไกรย้อนถาม เค้าความใจดีปรากฏขึ้นในทุกครั้งที่ยิ้มออกมา  “ลุงว่ามาคราวนี้ สีหน้าปูนดูมีความสุขขึ้น”

“หึหึ ลุงก็พูดเกินไป”

“เมื่อก่อนเราเหมือนพวกอมทุกข์นะปูน หน้านิ่วคิ้วขมวดได้ตลอด”

“ผมไม่เหมือนนายปายนี่จะได้หน้าระรื่นทั้งวัน”  ผมแขวะลูกชายคนโตของเจ้าบ้าน และนั่นก็เป็นเรื่องจริงพอที่จะทำให้คนเป็นพ่อหัวเราะร่าอย่างเห็นด้วย

“ที่จริงลุงต้องขอบใจเจ้าปายที่มีนิสัยแบบนี้นะ ไม่งั้นลุงกับแม่เขาคงแย่”

แม้แต่คนฟังอย่างผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน คงต้องนับว่าเป็นโชคดีของครอบครัวนี้ที่ลูกชายกับลูกสาวร่าเริงอารมณ์ดี แม้จะขมขื่นกันแค่ไหนก็ยังกอดขอกันฟันฝ่าไปได้ด้วยรอยยิ้ม ครอบครัวนี้คล้ายนับวันรอความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังไม่ถูกความเศร้าทำร้ายจนเจ็บเจียนตายก็ควรต้องขอบคุณกันและกันแล้ว

“ไว้ผมจะพาแฟนมาเยี่ยมลุงนะ”

“เฮ้ยไอ้เสือ! ลุงก็นึกว่าเราจะครองตัวเป็นพ่อปลาไหลซะอีก”  ลุงไกรตบเข่าฉาด สีหน้าทั้งยินดีทั้งตกใจ

“ก็ลำบากพอดูกว่าจะได้คนนี้มา”  ผมนึกย้อนไปตั้งแต่วันที่ตัวเองรู้สึกรักชอบจนกระทั่งวันที่ลุงยอมตกลงเป็นแฟนกับผมอย่างเป็นทางการ มันก็นับว่าลำบากมากทีเดียวนะ  “เขาเป็นคนดีมากๆ เลยล่ะลุง นิสัยก็น่ารัก มองโลกในแง่ดี ยิ้มง่าย คุยสนุก น่าแกล้ง ...เขาทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันก็น่าอยู่ดีเหมือนกัน”

“...เอ็งเป็นมากแล้วเจ้าปูนเอ๊ย”  ลุงไกรยิ้มพรายพลางส่ายหน้าอย่างเห็นขัน แต่ผมกลับหุบยิ้มไม่ได้เลยสักนิดแม้จะถูกผู้ใหญ่กึ่งล้อเลียนอยู่ก็ตาม

“ลุงจะหาว่าผมเกินไปสินะ”

ผู้มากวัยส่ายหน้าอีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่นุ่มนวลขึ้น  “เรื่องแบบนี้มันไม่มีที่มากเกินไปหรอก อะไรก็ตามที่มันออกมาจากใจเราจะไปบังคับกะเกณฑ์มันได้ยังไง จะคบนานแล้วหรือว่าเพิ่งคบมันก็ไม่สำคัญเหมือนกัน มันดูที่ความรู้สึกต่างหากว่ายังเหมือนกับวันแรกที่ได้รักกันหรือเปล่า ยิ่งถ้าคนนั้นทำให้เราดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เติมเต็มชีวิตเราจนเต็มได้...มันไม่มีอะไรที่มากเกินไปสำหรับความรักที่ดีแบบนั้นหรอก

“ลุงยังจำวันแรกที่เราเจอกันได้อยู่เลย อายุมากว่าเจ้าปายแค่ปีเดียวแต่ทำอย่างกับว่าใช้ชีวิตมาจนบรรลุ หน้าตาเดี๋ยวก็อมทุกข์ เดี๋ยวก็เฉยเมย แววตาที่บอกว่าไม่เชื่อใจใครน่ะมันส่งมาจนลุงยังตกใจเลย”

“..........”

“แล้วมาดูตอนนี้สิ ลุงว่าปูนคนเก่าคนนั้นคงจากไปแล้วล่ะ”

ผมยิ้มให้กับลุงไกร คิดถึงวันเวลาที่ผ่านมา คิดถึงพัทลุงแล้วก็อนาคตข้างหน้าที่วาดหวังเอาไว้ ฉับพลันกระบอกตาก็คล้ายจะร้อนวูบขึ้นมา การที่มีใครสักคนมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเรามันให้ความรู้สึกว่าน้ำตาจะไหลออกมาแบบนี้สินะ หัวใจมันอบอุ่นแปลกๆ ทั้งที่ครอบครัวก็ไม่ใช่ เกี่ยวพันทางสายเลือดรึก็ไม่สักนิด แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังเอ็นดู ยังจำวันแรกที่เจอกันได้แม้จะผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็ตาม

ถ้าเป็นผมคนก่อนคงไม่ซาบซึ้งสักเท่าไหร่ แต่ผมคนนี้...คนที่มีพัทลุงอยู่ข้างๆ นั้นมองโลกต่างออกไปแล้ว

“แล้วนี่คิดเรื่องแต่งงานรึยัง?”

“ก็อยากอยู่นะครับ แต่แฟนผมเป็นผู้ชายน่ะสิ”

“เอากะเอ็งซี่! เรานี่มันเกินความคาดหมายของลุงตลอดเลยเชียว”  ลุงไกรหัวเราะร่วน ไม่ได้มีเค้าความเดียดฉันท์ให้เห็น และผมรู้ดีว่าทั้งหมดที่ลุงแสดงออกนั้นมาจากใจ

“แล้วผมจะพาเขานะ”

“ดีๆ ลุงจะให้เจ้าปิ่นทำกับข้าวรอ”

ผมรู้ดีเชียวล่ะว่าพัทลุงจะต้องชอบครอบครัวนี้เหมือนที่ผมชอบ ที่จริงวันนี้ผมก็ตั้งใจจะพาลุงมาเหมือนกัน แต่ติดที่อีกฝ่ายจำต้องเร่งงานให้เสร็จทันในวันมะรืน แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องพาลุงมาทักทายลุงไกรให้ได้ในฐานะคนที่ใกล้ชิดคำว่า ‘ครอบครัว’ ของผมมากที่สุดคนหนึ่ง

เราคุยกันอีกสักพักใหญ่เรื่องทั่วๆ ไป ตามประสาคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันบ่อยนัก ก่อนที่ผมจะกล่าวลาในช่วงเวลาที่ลูกสาวของลุงไกรกลับบ้านมาพอดี ผมคุยกับปิ่นอีกเล็กน้อยจึงขอตัวกลับจริงสักที

ครอบครัวนี้ทำให้ผมสบายใจที่จะคบหา สบายใจที่จะนอนค้าง กินข้าว หรือแม้แต่จะใช้เวลาว่างสักเล็กน้อยด้วยกัน แม้ขณะที่ผมขับรถจากมาก็ยังรู้สึกอิ่มใจเสียจนรอยยิ้มตามติดที่ใบหน้า

แต่วันนี้นั้นต่างออกไปเล็กน้อย

ผมยังคงรู้สึกอบอุ่นใจ ทว่าความรู้สึกขัดเคืองที่อัดแน่นนั้นก็ไม่อาจสลัดออกไปง่ายๆ ข่าวคราวที่ลุงไกรทำให้ผมต้องเก็บกลับมาคิดนั้นช่างสร้างแรงเสียดทานให้ใจไม่น้อยจริงๆ


.

.

.


“ดื่มเบาๆ หน่อยไอ้ปูน”

เสียงปรามดังขึ้นจากเจ้าของร่างตรงหน้า แต่ผมก็ยังคงกรอกน้ำสีอำพันลงคอไม่สนเสียงถอนหายใจที่ดังตามมา ต่อเมื่อพอใจจึงวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะแล้วเอนตัวพิงพนัก ปล่อยอารมณ์ไปกลับเสียงเพลงจังหวะสนุกที่ดังผ่านเข้ามาที่ห้องวีไอพีชัดเจน

“ไม่เจอกันหลายเดือน มาทีก็แดกเหล้าเป็นน้ำเชียว”  เสียงเดิมยังพูดจ้อไม่หยุดจนผมต้องผงกหัวขึ้นมอง  “หรือมึงอยากได้เด็กสักหน่อยมะ? กูจัดแบบแจ่มๆ ให้ได้นะ”

“มึงเป็นเจ้าของผับหรือว่าพ่อเล้าวะไอ้แมน”  ผมส่ายหัวพลางพยักพเยิดให้คนพูดมากชงเหล้ามาเพิ่มอีกหนึ่งแก้ว

“อย่าพูดให้กูขำน่า”  ไอ้พ่อเล้าว่าพลางส่งเสียงหึหึ มือก็ชงเหล้าส่งให้ผมอย่างว่าง่าย  “เด็กมึงเกือบครึ่งก็เป็นกูหาให้ไม่ใช่รึไง?”

ผมไม่เถียง เมืองแมนเป็นเพื่อนที่รู้จักสมัยเรียน แม้จะไม่ได้สนิทสนมมากนักแต่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวที่นับว่าใช้ได้ แมนมันอาจจะไม่ได้ทำให้ผมสบายใจเหมือนอยู่กับพันกร แต่ผมมีคติเลือกคบเฉพาะส่วนที่คบได้เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ของผมกับเพื่อนคนนี้จึงมีแค่มุมชีวิตกลางคืนเสียมาก

ด้วยรู้ความชอบของกันและกันดี แมนจึงมักจะหาคนมานั่งดื่มร่วมด้วยเสมอ แล้วเกือบทุกครั้งก็มักจะไปจบที่ฐานะคู่นอน ระยะยาวบ้างสั้นบ้างก็ว่ากันไปตามลีลาบนเตียง

แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่คนตัวเปล่าอีกแล้ว

“กูแค่อยากมาดื่ม แล้วมึงก็ไม่ต้องหาคนมาให้กูอีกแล้วไอ้พ่อเล้า”

“ถามจริง!?”  มันถามเสียงสูง มองผมที่กำลังยกแก้วซดเหล้าสักพักก่อนจะยกยิ้มคล้ายไม่เชื่อ  “คนมักมากอย่างมึงเนี่ยนะจะเลิกหาคู่นอน หึหึ...เอาเหอะ กูไปดูลูกค้าก่อน”

เมืองแมนเดินมาตบบ่าผมเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินไปทันที ผมมองจนกระทั่งประตูที่ถูกเปิดค่อยๆ ปิดตัวจนส่งเสียงลงสลักชัดเจน ก่อนจะดื่มเหล้าต่ออีกครั้งด้วยความผ่อนคลายมากขึ้น ผมไม่ว่าหรอกถ้าหากเมืองแมนมันจะไม่เชื่อว่าผมจะเปลี่ยนไปได้ เพราะแม้แต่ตัวผมเองก็ยังยากจะเชื่อเลย

เมื่ออยู่กับตัวเองอีกครั้งโดยไม่มีคนช่างจ้อ หัวสมองก็กลับไปคิดถึงต้นเรื่องที่ทำให้ผมต้องมานั่งดื่มเหล้าเช่นนี้อีกครั้ง

ถ้ามีแค่ตัวผม เรื่องทุกอย่างมันจะง่ายดายมาก แต่คนพวกนั้นกลับกัดไม่ปล่อยคอยแต่จะดึงคนอื่นเข้ามาพัวพัน
ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่มอีกหลายอึก แล้วหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาข่าวสารเกี่ยวกับพิบูลย์พัฒน์กรุ๊ป ผมเลื่อนผ่านพวกข่าวสารทั่วไป พยายามมองหาหัวข้อลึกภายในที่พวกนักข่าวสายธุรกิจชอบขุดคุ้ยกัน จนกระทั่งเจอสองสามข่าวล่าสุด -- ผมดื่มอีกครั้งพลางกดเข้าไปดูเนื้อหา

‘ส่อแววล่ม! ตระกูลยักษ์ใหญ่แห่งวงการธุรกิจถึงคราวสิ้นสุดแล้วจริงหรือ?

เป็นที่ทราบกันดีว่าคลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวมาได้สักพักแล้วภายใต้อาณาจักรยิ่งใหญ่อย่างพิบูลย์พัฒน์กรุ๊ป นับตั้งแต่ข่าวคราวสุขภาพร่างกายของผู้กุมบังเหียนใหญ่อย่าง ชาคริต พิบูลย์พัฒน์ ถูกเปิดเผยออกไป ก็ทำให้หุ้นที่เคยพุ่งสูงอย่างต่อเนื่องกลับชะงักตัวลง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ยักษ์ใหญ่สั่นคลอนได้เท่าที่ควร

จนกระทั่งการล้มป่วยกะทันหันอีกครั้งถูกตีแผ่ออกมา หุ้นที่ทำว่าจะกระเตื้องอีกครั้งก็มีอันทิ้งดิ่งลงไปอย่างน่าใจหาย และคราวนี้เองที่ทำให้เกิดคลื่นลมที่จะรอถล่มเมืองใหญ่แห่งนี้

นายตรีเทพ ชีวนา รองประธานกรรมการบริหาร กลายเป็นผู้ควบคุมบังเหียนชั่วคราว และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ถือหุ้น เลยกลายเป็นข้อถกเถียงกันว่าหรือนี่จะเป็นการเปลี่ยนมือประธานบริษัทแห่งนี้’


ผมกดปิดหน้าเว็บไซต์ข่าวสารธุรกิจที่เต็มไปด้วยข้อความเยิ่นเย้อลง แล้วเปิดอีกหนึ่งเว็บไซต์ขึ้นมาอ่าน กวาดสายตาไปตามตัวหนังสือคร่าวๆ ก็พบว่านี่เป็นเพียงบล็อกที่ร่วมรวมโปรไฟล์ของนักธุรกิจเอาไว้


‘นายชานนท์ พิบูลย์พัฒน์

อายุ 22 ปี

จบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ

ลูกชายคนเดียวของนาย ชาคริต พิบูลย์พัฒน์ (ประธานบริษัทพิบูลย์พัฒน์กรุ๊ป)
ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทพิบูลย์พัฒน์กรุ๊ป’


ผมยิ้มหยันตัวเองให้กับข้อความ ‘ลูกชายคนเดียว’ บนหน้าจอ รูปภาพที่แสดงขึ้นนั้นคือชายหนุ่มในชุดสูทเรียบหรู ใบหน้าเปื้อนยิ้มทำให้ดูอ่อนกว่าวัย ดวงตาเปล่งประกายอ่อนโยน ก็ดูจะเหมาะสมแล้วกับคนที่ถูกเลี้ยงดุมาด้วยความรักอย่างดี

“หึ...ลูกชายคนเดียวงั้นเหรอ”

แล้วตัวตนของผมนับว่าเป็นอะไร

ผมโยนโทรศัพท์ลงข้างตัวแล้วตัดสินใจที่จะไม่ยุ่งเรื่องนี้อีก ผมจะไม่สนใจต่อให้ลุงไกรต้องชวดงานใหญ่ ถ้าลุงลำบากเรื่องเงินนัก ผมจะจ่ายแทนให้หมดทุกอย่างโดยไม่ขอรับคืน ขอแค่ผมไม่ต้องกลับไปเกลือกกลั้วกับคนพวกนั้นอีกเป็นพอ

น้ำสีอำพันแก้วแล้วแก้วเล่าไหลลงคอไปง่ายดายราวกับมันเป็นน้ำเปล่า ในหัวมึนงงจนแทบประคองศีรษะให้ตั้งตรงไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ลืมเรื่องไร้สาระทั้งหลายไปได้ ผมโคลงตัวยื่นมือไปคว้าขวดเหล้าที่ตั้งอยู่ขึ้นมาหมายจะรินลงแก้วอีก แต่มันกลับว่างเปล่าเหลือเพียงสีใสของขวดแก้วที่สะท้อนแสงไฟอยู่ แม้จะขัดใจ แต่สติที่ยังพอหลงเหลืออยู่นั้นบอกให้ผมพอแต่เพียงเท่านี้

ผมส่งมือควานหามือถือขึ้นมาเปิดใช้งานอีกครั้ง จากสายตาที่เริ่มพร่ามัวนั้นยังพอมองเห็นว่ามีข้อความจากแอพฯ สนทนาค้างอยู่ พอกดเข้าไปดูก็พบว่ามาจากพัทลุง ข้อความแรกส่งมาราตรีสวัสดิ์ผมตอนสี่ทุ่มสิบสองนาที และเมื่อผมไม่ตอบและไม่ได้อ่าน อีกข้อความถึงได้ส่งมาอีกครั้งเมื่อเที่ยงคืนกว่าถามว่าผมยังปกติดีอยู่ใช่มั้ย? ...แค่นั้น

ลุงมักเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะโทรจิกจนกว่าผมจะรับสาย หรือไม่คงส่งข้อความมาเป็นสิบเป็นร้อยเพื่อต้องการรู้ว่าผมอยู่ที่ไหนและทำอะไรกับใคร นี่อาจจะเป็นหนึ่งที่ผมรู้สึกสบายใจกับการคบกัน ลุงให้พื้นที่ผมได้หายใจในความอิสระ ไม่ตีกรอบบังคับจนต่างฝ่ายต่างอึดอัด แต่คงกลายเป็นผมเองเสียมากกว่าที่จะโหยหาลุงมากกว่าเดิม

ผมกดหมายเลขโทรศัพท์เพื่อโทรออก เสียงสัญญาณลากยาวนานจนเกือบจะตัดใจ แต่เสี้ยววินาทีก่อนที่คิดจะวางสายเสียงงัวเงียก็ดังขึ้นข้างหู

“ลุง...”

“หืม?...พี่ปูน?...อือ~ เดี๋ยวนะๆ”  เสียงอู้อี้ตอบรับ ตามด้วยเสียงขยับตัวไปมา ผมยิ้มโง่ๆ กับการฟังเสียงขยับตัวที่ลอดผ่านให้ได้ยิน ไม่กี่วินาทีต่อมาลุงก็กลับมาสนทนาต่อด้วยเสียงที่มีสติมากกว่าเดิม

“มีอะไรรึเปล่า? นี่ตีหนึ่งกว่าแล้วนะ”

“...มารับพี่หน่อยสิ”  ผมกรอกเสียงตอบไป พยายามคงสติเอาไว้ให้มากที่สุด

“นี่ไปกินเหล้ามาเหรอ เสียงเปลี้ยมากอ่ะ”

“หึหึ นิดหน่อยเอง” 

“ฟังจากเสียงนี่ไม่นิดนะพี่ปูน”  ลุงทำเสียงเข้มขึ้นอีกระดับ แต่มันกลับทำให้ผมยิ้มเผล่ยิ่งกว่าเดิม

“นะ...มารับพี่หน่อย”  ผมนิ่งรอฟังคำตอบ แต่ถึงลุงจะไม่มาผมก็เข้าใจ เพราะส่วนหนึ่งของจิตสำนึกก็ไม่อยากให้ลุงต้องมาลำบากตอนดึกดื่นแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้ผมอยากอยู่กับลุงมากกว่าที่เคย

เสียงเดาะลิ้นคล้ายไม่สบอารมณ์ดังขึ้นเล็กน้อย แต่คำพูดต่อจากนั้นหาได้มีความหงุดหงิดปะปนอยู่สักนิด “รออยู่นิ่งๆ ห้ามไปไหนเข้ามั้ย? และถ้าผมรู้ว่าพี่กินเหล้าต่ออีกได้เจอดีแน่!”  ลุงถามที่อยู่ร้านซึ่งไม่น่าจะหายาก เพราะผับนี้ก็คือผับเดียวกับที่ผมหิ้วลุงกลับบ้านไปนั่นแหละ แค่เพียงขึ้นมาห้อง V.I.P ที่ชั้นสองก็เท่านั้น

ผมวางสายจากลุงแล้วเอนศีรษะลงกับพนักพิง ระบายยิ้มพลางถอนหายใจยาวเหยียดก่อนที่ความมึนเมาจะกล่อมให้เปลือกตาปิดลง

เนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้ แต่สัมผัสแปลกปลอมบนร่างค่อยๆ ปลุกสติให้กลับคืนอย่างเชื่องช้า ผมรับรู้ได้ถึงฝ่ามืออุ่นที่รูปไล้อยู่ทั่วร่าง แทรกผ่านเสื้อเข้ามาแตะต้องผิวเนื้อ ลำคอถูกลมหายใจกรุ่นกลิ่นสุรารินรสสร้างร่องรอยเปียกชื้นจนผมต้องเบี่ยงหน้าหนี หน้าตักกำลังรับน้ำหนักจากใครสักคนที่กำลังบดเบียดความเป็นชายให้ตื่นตัวขึ้น

ผมขมวดคิ้วแน่น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะลืมตามองคนบนร่างที่กำลังปลุกเร้าผมทุกวิถีทาง

“คุณรูปหล่อคะ...เรามาสนุกกันเถอะ”

เสียงยั่วยวนกระซิบข้างหูผมพร้อมกับที่ซิบกางเกงถูกรูดลง ความตกใจทำให้ผมลืมตาพรึบขึ้นมาดีดความมึนงงก่อนหน้าให้ออกไปจากหัวสมอง หูสองข้างรับฟังเสียงหัวเราะแผ่วเบา ความโป่งนูนใต้ชั้นในถูกเรียวนิ้วล้วงแตะต้อง ตรงหน้าผมคือผู้หญิงหน้าตาสะสวยที่คงผ่านการศัลยกรรมมาอย่างดี เธอยิ้มหวานมองผมด้วยแรงปรารถนาในแววตา กลีบปากสีแดงสดจูบริมฝีปากผมแผ่วเบาหากอ้อยอิ่งยั่วยวน เข้าขากับเบื้องล่างที่ส่งนิ้วทั้งล้วงทั้งควักอย่างไร้ซึ่งยางอาย

“ทำอะไร”  ผมถามเสียงเข้ม แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะท้าน ยังคงเล่นหูเล่นตาปลุกอารมณ์ผมต่อไป

“ก็มาทำให้คุณมีความสุขไงคะ”

“ใครใช้ให้เธอเข้ามา”

“อุ๊ย~ ทำไมเสียงแข็งจัง”  ผู้หญิงแปลกหน้าหัวเราะคิกคัก

“ออกไปซะ...”  ผมไม่เล่นด้วย เธอมองสีหน้าเรียบตึงของผมอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมรู้ได้ในทันทีว่าผู้หญิงคนนี้คงถูกใครสักคนให้เข้ามาทำเรื่องแบบนี้โดยเฉพาะ และคนนั้นคงไม่พ้นไอ้แมนที่ทำทีไม่เชื่อในความเปลี่ยนไปของผม

“ไม่เอาน่า...เรามาสนุกันดีกว่า”

“ออกไป...”  ผมเค้นเสียงเข้มอีกครั้ง พยายามสะกดกลั้นความขุ่นเคืองให้ได้มากที่สุด

“แต่ฉันรู้ว่าคุณต้องการนะคะ”  เสียงกระเซ้าดังรับการแตะต้องส่วนล่าง

ผมถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วจิกลงไปบนเส้นผมใกล้หนังศีรษะแล้วกระชากอย่างแรงจนอีกฝ่ายส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บ

“ฉันบอกว่าให้ออกไปยังไงล่ะ”  ผมกรอกเสียงเข้มอีกครั้งใส่หูคนสวยที่แหงนหน้าเริดเพราะแรงดึง

“กรี๊ด!! ไอ้บ้า ปล่อยฉันนะ!”  มือบางปัดป่ายตัวผมหวังได้รับอิสระ ผมลุกขึ้นทันทีพลันให้ร่างอวบอัดไถลลงอย่างไม่ทันตั้งตัวพลอยให้กลุ่มผมที่ถูกจิกรั้งหลุดติดฝ่ามือมาเป็นกระจุก ผมรีบปัดเส้นผมออกจากมือราวกับมันเป็นของน่าขยะแขยง 

“กรี๊ดๆๆ เจ็บๆ กูเจ็บ!!”

สาวศัลยกรรมตวัดสายตามองผมอย่างดุร้าย ก่อนยันตัวลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้ามาด้วยแรงอาฆาต แต่ถูกผมจับเหวี่ยงออกไปอย่างง่ายดาย โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะกระแทกโดนโต๊ะหรือว่าจะล้มลงไปแรงแค่ไหน เด็กที่ไอ้แมนหามาให้หมดสิ้นสภาพความสวย ดวงหน้าฉ่ำน้ำตาเงยหน้ามองผมด้วยความแค้นแต่ก็หวาดกลัวเกินกว่าจะพุ่งเข้ามาทำอะไรอีก

“ออกไปซะ ก่อนจะโดนมากกว่านี้!”  สิ้นเสียงตวาด ร่างที่เคยงดงามก็รีบตะเกียกตะกายไปเปิดประตู ผมถึงได้เห็นว่ามีใครบางคนยืนแอบดูฉากสำคัญอยู่

เมืองแมนหลีกทางให้หญิงสาวออกไปโดยไม่พูดอะไรก่อนจะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ มันยืนมองผมจัดการกับเสื้อผ้าตัวเองอยู่สักครู่จากนั้นจึงหย่อนก้นลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม สายตาคมปราบมองสำรวจราวกับจะค้นหาว่าผมเป็นเพื่อนของมันจริงหรือไม่

“มึงก็ใจร้ายเกิน เด็กมันอยากมึงตั้งแต่เห็นแล้ว”  มันว่าขำๆ  “กระแซะถามกูหลายรอบจนน่ารำคาญ ก็เลยส่งขึ้นมาให้ซะเลย”

“กูก็ไม่อยากรุนแรง แต่ห้ามแล้วเสือกไม่ฟังเอง” 

“ก็เห็นปกติมึงไม่เคยปฏิเสธใคร”

“กูบอกแล้วไงว่าไม่ต้องหาใครมาให้อีก”  ผมทิ้งตัวนั่งลงบ้าง ยื่นปลายนิ้วออกไป กระดิกสองสามครั้งใส่คนตรงหน้าอย่างรู้กัน ไอ้แมนหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าอย่างว่าง่ายจัดการจุดไฟต่อให้เสร็จสรรพจึงส่งมาให้ ผมรับมาสูดควันเข้าปอดแล้วพ่นควันสีเทาออกมาช้าๆ ร่างกายที่ตึงเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง

“ทำไมวะ?”  มันยังคงค้นหาเหตุผล

“กูมีแฟนแล้ว”

“เชี่ย!!”  เมืองแมนอุทานลั่นให้กับคำตอบสั้นๆ ของผม สีหน้ามันตกใจพอๆ กับครั้งที่ตำรวจบุกเข้าตรวจร้าน   “โทษทีมึง กูแค่คิดไม่ถึงว่ะ”

“คนนี้กูรักของกูมาก เพราะงั้นมึงอย่าหาเรื่องแบบเมื่อกี้อีก”  สิ้นคำเตือน ไอ้แมนยกมือคล้ายยอมแพ้แต่มันก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าเต็มไปความอยากรู้อยากเห็น

“อะไร?”

“สวยป่ะวะ? กูเดาว่าผู้หญิงที่ตกมึงได้ต้องเจ๋งแน่”

“ผู้ชาย”

“โอ้โห! เหนือความคาดหมายกูไปอีก”  ผมส่ายหัวให้กับอาการเหลือเชื่อจนตาโตของเพื่อน แต่วินาทีต่อมาสีหน้ามันก็ปรับเป็นความใคร่รู้ แถมยังถามออกมาได้อย่างไม่รู้สึกกระดากปากสักนิด  “กูอยากจะถามมึงมานานแล้ว ตรงนั้นของผู้ชายแม่งรัดแน่นกว่าจริงรึเปล่าวะ”

ผมจนใจกับคำถาม ไม่รู้จะด่ามันด้วยสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดไหนดีแล้ว

“ลองสิมึง จะได้รู้กันไปเลย”

“ก็จริงของมึง...”  ไอ้แมนก็ดันเห็นด้วยกับคำตอบส่งๆ ของผมไปอีก เชื่อได้เลยว่ามันต้องหาเด็กไปลองแน่

เมืองแมนดึงดันที่จะถามเรื่องใต้สะดือระหว่างผู้ชายต่ออีกสองสามหัวข้อ ผมก็ได้แต่กุมขมับตอบมันไปส่งๆ เช่นเดิม เรื่องอะไรจะต้องให้มันมารู้เรื่องราวในมุ้งของผม ถึงผมจะพูดทะลึ่งล้อเล่นเรื่องของลุงแต่ก็อยู่ในหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทที่สุด อย่างไอ้แมนไม่มีทางได้รู้หรอกว่าเมียผมเด็ดแค่ไหน
[/size][/font]
[มีต่อค่ะ]

ออฟไลน์ L@DYMELLOW

  • กำลังงงๆ เพราะหาทางลงจาก “คาน” ไม่เจอ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +826/-4
    • facebook
หลังเมืองแมนจากไปไม่ถึงสิบนาทีประตูก็ถูกแง้มเปิดอีกครั้ง ผมหันไปมองทันเห็นหัวใครบางคนผลุบๆ โผล่ๆ ตามรอยแยกเหมือนสังเกตการณ์ จนกระทั่งเห็นผมนั่นแหละจึงยิ้มออกแล้วพาตัวแทรกประตูเข้ามาหาผม แล้วชุดที่พ่อคุณสวมใส่ก็ทำเอาผมอมยิ้มให้กับความสะดวกสบายเข้าว่าของอีกฝ่าย ผมยังจำวันที่ลุงมาหาผมที่ห้องด้วยกางเกงเลเก่าๆ กับเสื้อยืดย้วยๆ ได้ติดตา ยังดีที่วันนี้ลุงเปลี่ยนจากกางเกงเลมอซอเป็นกางเกงยีนเก่าสีซีด แต่เสื้อก็ยังย้วยเหมือนเดิมไม่ผิด

 สองตาไร้เหล่าเต๊งกวาดมองขวดเหล้ากับมิกเซอร์บนโต๊ะด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็ตวัดสายตาดุดันมามองผม มือเท้าเอวตั้งท่าหาเรื่องเต็มที่ มันจะน่ากลัวอยู่หรอกถ้าลุงจะไม่น่ารักแบบนี้ และสารรูปโทรมๆ กับหัวฟูๆ ก็ทำให้ผมอมยิ้มได้มากกว่าจะรู้สึกอย่างอื่น

“อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนี่คือดื่มคนเดียว”

“บ้าแล้วลุง คนออกเต็มห้อง”  ผมกวาดมองไปทั่ว ทำเอาลุงมองซ้ายขวาหน้าตาเลิ่กลั่ก ผมกลั้นยิ้มแล้วก็ชี้ไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม  “เอ้า! สวัสดีพี่เขาสิ เขามองมาตั้งนานแล้ว”

“ตลกแล้วปุริม”  ลุงทำสีหน้าจริงจังได้น่าขันที่สุด ผมหัวเราะออกมาทันทีขณะที่เจ้าตัวรีบสาวเท้ามานั่งข้างผมอย่างไว มาถึงก็ตีผมแรงๆ ไปหนึ่งทีแล้วก็ยื่นหน้ายื่นตามาใกล้ ทำจมูกฟุดฟิดไปมา

“กลิ่นเหล้าหึ่งเลย”

“ก็กินไปหมดขวดนี่”

“...แล้วไมมีกลิ่นน้ำหอมด้วย”  ลุงเสียงเข้มขึ้นทันที จากนั้นก็กลายร่างเป็นนักสืบจมูกเพชรเที่ยวดมตามตัวผมไปทั่ว  “ไม่ใช่น้ำหอมของพี่นี่นา นี่หนีเมียมาออฟเด็กเหรอ”

“หึหึ ถ้าหนีมาเอาเด็กจริงจะโทรให้มารับรึไง”  ผมผลักหัวเด็กขี้มโนจนหน้าหงาย

“ไม่แน่อ่ะ! แบบจัดหนักมากจนขาอ่อนเลยขับรถกลับไม่ไหวไง”  ว่าจบก็หัวเราะให้กับจิตนาการของตัวเอง มีการมาบีบๆ นวดๆ ขาผมประกอบไปด้วย

“เพื่อนมันส่งเด็กขึ้นมาให้ พี่ก็เมาเลยเหมือนจะเผลองีบไป รู้ตัวอีกทีก็โดนคลุกวงในแล้ว”  ผมสารภาพความจริง มือนุ่มนิ่มที่ออกแรงนวดอยู่หยุดชะงักไป พร้อมกับเจ้ามองที่เหลือบสายตาขึ้นมองผมเงียบๆ  “พี่โดนล้วงไข่ด้วยนะ”

ลุงนิ่วหน้า ง้างฝ่ามือทุบขาผมแรงๆ อีกหนึ่งที  “งัดไข่ออกมาเลย! ลุงจะจับลบรอยให้!”

“ฮะๆๆ พี่ให้ลุงยิ่งกว่าล้วงอีก”  โอ้ย~ เมียผมนี่มันจะน่ารักไปถึงไหนกันนะ ผมคว้าตัวลุงมากอดแล้วหอมแก้มยุ้ยๆ เสียหลายที ส่งเสียงกระซิบข้างหูแล้วถอยตัวออกมาเพื่อดูปฏิกิริยาของคนรัก   

“หึงมั้ย?”

ลุงหยุดคิดไปหลายวิ ผมไม่เชื่อหรอกว่าภายใต้ความตลกนั่นจะไม่คิดอะไร เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นผมต้องมาเจอสถานการณ์เดียวกันบ้างผมอาจจะโมโหก็ได้ ...ไม่สิ? ผมต้องโมโหมากแน่ๆ ขนาดตอนนี้แค่แอบคิดว่าจะมีสักวันที่ไข่ใบน้อยๆ ของลุงถูกคนอื่นที่ไม่ใช่ผมลูบคลำก็อยากจะซัดไอ้ห่านั่นให้คว่ำแล้ว

แล้วก็โคลงศีรษะไปมาเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ  “ก็หึงนิดๆ แต่ถ้าพี่อยากจะมีเล็กมีน้อยจริงๆ คงไม่มาเปิดเผยกับผมแบบนี้หรอกจริงรึเปล่า?”

“จริงครับ”  ผมจูบเอาใจคนรักที่แสนจะมีเหตุมีผลหนึ่งฟอดใหญ่ และอุบอิบเรื่องที่กระชากผมผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นผมคงถูกสุภาพบุรุษขั้นสุดอย่างลุงนั่งอบรมกันยาวแน่

เราพากันกลับบ้านหลังจากนั้น

ลุงขับรถพาเรากลับคอนโด พยุงผมที่เริ่มจะทรงตัวไม่อยู่จนถึงห้อง นั่งเฝ้าผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ปล่อยให้ผมซุกร่างในอ้อมกอดบนที่นอนที่มีกลิ่นกายของลุงอบอวล ...แล้วจากนั้นเราทั้งคู่ก็หลับไป


.


.


.



“แม่! แม่จะไปไหน? ...แม่ ปูนไปด้วย แม่~”

ร่างของเด็กชายวิ่งตามมารดาส่งเสียงเอ็ดอึงไปทั่วบ้านหลังใหญ่ที่เงียบเหงาลงทุกวัน ไขว่คว้าแขน เกาะเกี่ยวกระเป๋าที่ถูกลากไปตามพื้นอย่างมั่นคง แต่ไม่เป็นผลสักนิดเมื่อผู้หญิงที่สวยที่สุดในความคิดของเด็กชายยังคงก้าวฉับๆ ด้วยรองเท้าส้นสูง มุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่อาทรกับเสียงร้องร่ำของลูกชายคนเดียว จนเมื่อจะก้าวขึ้นรถแล้วยังถูกลูกชายตามรังควานนั่นแหละ ใบหน้าสดสวยถึงได้ก้มมองลงมาด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว

“ปล่อยฉัน!”  แรงฝ่ามือนั้นทรงพลังพอจะทำให้เด็กชายล้มลงไปนั่งกับพื้น มองความสวยดั่งเทพธิดาที่แปรเปลี่ยนเป็นความน่ากลัว ดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถามนั้นก่อเกิดหยาดน้ำไหลพราก

“ให้ปูนไปกับแม่นะ”

“ใครจะอยากได้แกไปกัน! ฉันทนแกกับพ่อแกมาพอแล้ว!”

“แม่...”  น้ำตานั้นนองหน้าไม่ขาดสาย หัวใจเจ็บจนปวดหนึบ มือสองข้างที่พยายามจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นคล้ายจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ในสมองมีแต่ความไม่เข้าใจอัดแน่นจนแทบระเบิด

“แกมันเป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการ! พ่อแกก็ไม่ได้รักทั้งฉันทั้งแกนั่นแหละ!”

สายตาที่ราวกับมองขยะสักชิ้นนั่น คือสายตาของคนเป็นแม่ที่ควรจะมองลูกอย่างนั้นหรือ? ถึงตลอดมาจะห่างเหินกันไปสักหน่อย ไม่ค่อยได้พบหน้ากันเท่าไหร่ แต่เด็กชายก็เชื่อมาตลอดว่าครอบครัวที่มีนั้นสงบสุขและเปี่ยมไปด้วยความรัก

...และคำพูดครั้งสุดท้ายของแม่ก็ทำให้ทุกความเชื่อนั้นพังทลาย

ครอบครัวที่อบอุ่นนั้นมันไม่เคยมีมาแต่แรกแล้ว ถ้ามองย้อนกลับไปก็น่าจะพอเห็นชัดอยู่แล้วแท้ๆ พ่อที่ไม่มีเวลาให้ แม่ที่มักจะไม่อยู่บ้านสม่ำเสมอ อันที่จริงแล้วเคยถูกสองคนนั้นโอบกอดบ้างหรือเปล่าก็จำความไม่ได้ด้วยซ้ำ เคยถูกบอกรักบ้างหรือไม่? ได้จับมือกันครั้งสุดท้ายคือเมื่อไหร่? รอยยิ้มที่ส่งมาให้...มันเนิ่นนานกี่ปีแล้วนะ?

ท่ามกลางบ้านที่สวยงามหลังใหญ่โตที่ใครหลายคนต่างอิจฉา มีเพียงตัวผมเท่านั้นที่นั่งร้องไห้อยู่ลำพัง

หลังจากนั้นไม่กี่วัน พ่อที่เพิ่งจะกลับมาบ้านในรอบหนึ่งเดือนก็พาแขกอีกสองชีวิตตามติดมาด้วย ผู้หญิงที่เดินเคียงข้างพ่อนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าสวย เพราะเทียบไม่ได้เลยกับแม่ที่ทิ้งผมไป ท่าทางนั้นดูประหม่าและเก้อเขินแต่ทุกก้าวย่างนั้นกลับมั่นคง พ่อโอบเอวผู้หญิงคนนั้นพลางก้มหน้าส่งยิ้มให้เด็กตัวเล็กๆ ที่กระโดดโลดเต้นไปรอบตัว ผมมองสีหน้ารักใคร่ที่พ่อแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง มองท่วงท่าอ่อนโยนยามก้มลงช้อนตัวเด็กคนนั้นขึ้นอุ้ม ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างอย่างที่ผมไม่เคยเห็น แล้วหอมแก้มเด็กน้อยหลายครั้งหลายครา

ผม...ผมไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนั้น...ไม่เคยเลยสักครั้ง

“นับจากนี้คุณแก้วคือแม่คนใหม่ของแก”  ใบหน้าของพ่อเรียบตึงทันทีที่หันมาทางผม

“เด็กคนนั้นล่ะ?”

“นนท์คือลูกชายของฉันกับคุณแก้ว”

แล้วผมล่ะ?

พ่อไม่คิดอธิบายอะไรมากไปกว่านั้น เหมือนกับมันเป็นเรื่องที่ผมไม่จำเป็นต้องไปสอดรู้ให้มาก แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะค้นพบความหมายในตัวตนของผมนับจากนี้แล้ว พ่อกำลังทำให้คำพูดของแม่ที่กราดใส่หน้าผมมันชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ผมกลายเป็น ‘คนนอก’ โดยสมบูรณ์เมื่ออยู่ท่ามกลางพ่อแม่ลูกที่อบอุ่นมีความสุข นั่นทำให้พ่อมักจะเขม่นตามาทางผมบ่อยๆ เวลาที่เริ่มเห็นว่าเป็นตัวเกะกะ แม้ว่าผมจะเพียงแค่นั่งเงียบๆ ไม่ต่างจากของตกแต่งก็ตาม แต่กับเด็กคนนั้นที่วิ่งวนไปมาจนน่าเวียนหัว พ่อกลับพอใจที่จะได้อยู่ใกล้ๆ ทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะ ทำราวกับว่าต้องการให้ทุกอิริยาบถของเด็กคนนั้นอยู่ในสายตา

ผมคิดมาตลอดว่าพ่อเป็นเสือยิ้มยาก เคยคิดว่าพ่อทำงานหนักมากถึงไม่ค่อยได้กลับบ้าน คิดว่าที่พ่อไม่อุ้ม ไม่กอด ไม่เคยใช้เวลาอยู่กับผมเพราะว่าพ่อกำลังเหนื่อย ...มาตอนนี้ผมถึงได้รู้ พ่อสามารถทำได้ทุกอย่าง เพียงแค่นั่นไม่มีไว้ใช้กับผมก็เท่านั้นเอง แต่เศษส่วนความเชื่อที่ยังหลงเหลือในใจนั้นทำให้ผมแอบคิดว่า ถ้าผมช่างออดอ้อนเหมือนเด็กคนนั้น ตัวผมยังจะพอมีหวังรึเปล่า?

“พ่อครับ ปูนสอบได้ที่หนึ่งของชั้นปีเลยล่ะครับ”  ผมชูผลสอบเข้าไปหา

“อืม”  พ่อไม่แม้แต่จะปรายตามองกระดาษด้วยซ้ำ

ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมพยายามตั้งใจเรียน สอบเข้าโรงเรียนที่ชื่อดังที่สุด ประกวดล่ารางวัลทุกอย่างที่จะทำให้พ่อแสดงความภูมิใจตัวผมบ้าง

“พ่อครับ ปูน --”

“ทำไมแกถึงได้น่ารำคาญอย่างนี้นะ ไม่ต้องมาบอกฉันทุกครั้งที่แกได้อะไรหรอก!”



ช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน...



ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ อดทนไปอีกนานแค่ไหน ทุกอย่างมันก็ไม่เคยมีความหมาย แค่เพราะว่าผมไม่ใช่ ‘เด็กคนนั้น’ ทุกอย่างจึงดูไร้ค่า ไร้ความสำคัญ แม้แต่การรับฟังก็เลยไม่พร้อมจะทน

“โอ้~ ปูนปั้นของปู่เก่งนะ ฉลาดแบบนี้โตขึ้นมาต้องเป็นเจ้าคนนายคนแน่ๆ”

จะมีก็เพียงคุณปู่ที่แวะมาเยี่ยมเยียนบ้างบางทีที่พอจะแสดงความยินดีกับผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ผมรู้อยู่หรอกถึงเบื้องหลังรอยยิ้มนั้น ผมแอบได้ยินพ่อทะเลาะกับคุณปู่


‘แกไม่สงสารปูนบ้างรึไง ถึงอย่างไรเด็กคนนั้นก็เป็นลูกแกนะ’

‘เด็กนั่นเกิดมาเพราะว่าพ่อบังคับให้ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นต่างหาก ถ้าไม่เพราะสัญญาบ้าบอนั่นของพ่อเด็กคนนั้นก็ไม่ต้องเกิดมา’

‘แต่ตอนนี้แกก็เอาคนที่ตัวเองรักมาเชิดหน้าชูตาแล้วนี่ ช่วยดีกับปูนบ้างไม่ได้รึไง’

‘ถ้าพ่อสงสารปูนมากนัก ก็รับไปอยู่ด้วยเลยสิ’



แต่สุดท้ายผมก็ยังคงต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไป คนที่ไม่มีใครต้องการแบบผมก็ทำได้แค่ยอมรับในความเป็นจริงเท่านั้น จากคุณหนูของบ้านกลับต้องกลายเป็นใครก็ไม่รู้ บรรดาคนรับใช้ก็หวังเกาะความสบายจากคุณผู้หญิงคนใหม่ ดูแลคุณหนูคนใหม่ที่คุณผู้ชายรักปานดวงใจ และไม่จำเป็นต้องพูดออกมาก็พอจะรู้กันอยู่ว่าผมคือคนที่ไม่สำคัญอีกต่อไป แค่ดูแลรับใช้ไปตามหน้าที่ อะไรที่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ก็พร้อมที่จะทำ ต่อให้ไม่สบายป่วยหนักแค่ไหนก็ทำเพียงแค่เอายามาให้แล้วทิ้งผมไว้ลำพัง โรงพยาบาลงั้นเหรอ? ในเมื่อคุณผู้ชายไม่ได้สั่งจะต้องไปใส่ใจทำไม

ผมนอนร้องไห้ทั้งคืน ความรู้สึกที่โลกทั้งใบถล่มทลายลงมานั้นหนักหนาเกินกว่าจะทานได้ไหวอีกต่อไป ในโลกโหดร้ายที่มีแค่ตัวเองเท่านั้น ถ้าขืนยังอ่อนแอต่อไปก็คงไม่พ้นต้องตายเหมือนหมาข้างถนน ผมเรียนรู้ความโสมมของโลกจาก ‘บ้าน’ ของตัวเอง เรียนรู้ความเกลียดชังจาก ‘ครอบครัว’ ของตัวเอง และเรียนรู้ความเข้มแข็งในค่ำคืนที่ไม่เหลือใคร

แต่ทุกอย่างย่อมมีสิ่งแลกเปลี่ยนทั้งนั้น เมื่อความแข็งขืนที่แสดงออกมันไม่ต่างอะไรจากความก้าวร้าวในสายตาผู้ใหญ่ และคนนั้นก็คงจะกลัวเสียมือถ้าจะต้องลงโทษผมด้วยการทุบตี ดังนั้นการจับขังให้พ้นหูพ้นตาจึงเป็นวิธีการที่ดีที่คนแบบนั้นจะคิดออก มีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งที่ต่อไป ห้องเก็บของสกปรกที่มืดมิดจึงไม่ต่างอะไรจากที่พักพิงแหล่งที่สอง

แต่ทุกครั้งที่ต้องเข้าไปอยู่ก็กินเวลายาวนานขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีใครจงใจปล่อยลืม และคนที่เปิดประตูให้ผมก็มักจะเป็นคุณผู้หญิงคนใหม่เกือบทุกครั้งไป เธอมักจะยิ้มให้ผมด้วยแววตาเศร้าสร้อย และรีบหาข้าวหาปลาให้ผมกินอยู่เสมอ หลายครั้งก็เป็นฝ่ายห้ามสามีไม่ให้ลงโทษผมซ้ำซาก ผมเกือบจะคิดว่าเธอไม่เหมือนใคร แต่ถึงอย่างไรผมก็เป็นคนอื่นอยู่ดี

เขาว่ากันว่าแม่หมามักจะหวงลูก ผู้หญิงคนนั้นก็เช่นกัน

เย็นวันหนึ่ง คุณหนูของบ้านที่มักจะเล่นซนอยู่สม่ำเสมอ วิ่งพลาดพลั้งไปชนแจกันดอกไม้หล่นแตก เศษแก้วบาดฝ่าเท้าลึก เลือดสีแดงฉานไหลรวมไปกับน้ำที่นองอยู่จนน่ากลัว คนรับใช้ที่วิ่งตามมาทีหลังตกใจกรีดร้องลั่นบ้าน พานให้เจ้านายที่นั่งทอดอารมณ์กันอยู่ในห้องนั่งเล่นต้องวิ่งมาดู ต่างฝ่ายต่างโผเข้าหาเด็กน้อยที่ร้องไห้ปานขาดใจ

มันจะกลายเป็นแค่ความซุ่มซ่ามธรรมดา ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ พอดี

“แอ๋วว่าคุณปูนต้องผลักคุณนนท์แน่ๆ เลยค่ะ”

หึ ช่างเป็นการใส่ร้ายเด็กสิบกว่าขวบได้อย่างหน้าชื่นตาบาน เพียงแค่เพราะอยากจะได้หน้าได้ตาจากเจ้านาย ในวินาทีนั้นที่ผมค้นพบว่าผู้หญิงที่ปฏิบัติกับผมอย่างอ่อนโยน มันก็แค่ฉากหน้าที่สร้างขึ้นเท่านั้น สายตาที่มองมาที่ผมนั้นมีแต่ความโกรธเคือง ไม่ออกปากห้ามอย่างที่เคยทำแม้ว่าผมจะถูกสามีของเธอตบเข้าที่หน้าอย่างแรง

การถูกตีครั้งแรกจากพ่อผู้ให้กำเนิด ไม่ต่างจากการเอาเท้ากระทืบหัวใจผมสักนิด

ผมเดาว่าการที่ถูกใครก็ไม่รู้เอามีดมาแทง น่าจะเจ็บปวดน้อยกว่านั้น

ทำไมต้องเป็นผม...

ทำไม...



ทำไมถึงไม่มีใครรักผมเลยสักคน...



ความทรงจำที่ไม่เคยหวนกลับไปนึกถึงมาเนิ่นนานหลายปี ค่อยๆ ถูกสีดำมืดฉาบทับ ผมได้แต่ร้องตะโกนในความมืดนั้น มองหาทางออกจากสถานที่หนาวเหน็บแห่งนี้ ก้าวเท้าวิ่งหนีบ่อน้ำคลำแห่งความเจ็บปวดที่รัดตรึงทรมาน ผมก็แค่อยากจะเป็นที่รักบ้าง ผมขอมากไปหรือไงกัน...


.

.


พี่ปูน


.

.


“พี่ปูน”


เสียงคุ้นหูดังก้องไปทั่วบริเวณ ความมืดมิดค่อยๆ สลายไป บ่อโคลนโสโครกที่ฉุดรั้งฝ่าเท้าเหือดแห้งในพริบตา ผมกระพริบตาหลายครั้งยามเห็นแสงไฟสลัว


พี่ปูน

เบื้องหน้าผมคือใบหน้าของชายหนุ่มที่เค้าความน่ารักฉายชัด แม้หัวคิ้วจะขมวดมุ่นส่งให้ใบหน้าดูตึงเครียดก็ตาม ผมกระพริบตาถี่เพื่อปรับมุมมองภาพให้ชัดเจน ภายใต้สติที่คืนกลับมาช้าๆ ผมเห็นลุงชะโงกมองเหนือร่าง และพบว่าแสงที่เห็นนั้นคือแสงจากโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียง

“ทำไม?”  ลุงพรูลมหายใจยาวเหยียดเมื่อสิ้นคำถาม ผมมองลุงด้วยความสับสน ขยับตัวลุกขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองเวลาก่อนจะทิ้งตัวลงตามเดิม  “ยังไม่ตีห้าเลย ลุงตื่นมาทำไม? ฝันร้ายรึเปล่า?”

“คนที่ฝันร้ายคือพี่ต่างหาก”  ลุงโต้กลับทันควันทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจน ...มันคือความฝัน แต่เป็นฝันร้ายที่ไม่ว่าจะเก็บกดไว้เท่าไหร่ก็ยังตามหลอกหลอนไม่เลิกรา

ลุงขยับตัวลงนอนอีกครั้ง ครานี้เป็นฝ่ายขยับตัวมากอดผมเอาไว้ ลูบศีรษะของผมที่แนบอยู่กับอกเบาๆ เรียวขาเกาะเกี่ยวเอวผมเอาไว้จนสองร่างแนบแน่น มันทั้งอึดอัดแล้วก็อบอุ่น ไม่สะดวกสบายแต่ผมก็ชอบเกินกว่าที่จะผละออก

“พี่กระสับกระส่ายจนผมตื่น พูดงึมงำอะไรไม่รู้ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วย”  ลุงยังคงปลอบประโลมผมด้วยการลูบเนื้อตัวเหมือนเด็กน้อย

“...ก็แค่ฝันร้ายน่ะ”

“อยากเล่ามั้ย?” 

ผมนิ่งไป ลุงเองก็เช่นกัน แต่เพียงไม่นานฝ่ามืออบอุ่นก็ลูบแผ่นหลังผมดังเดิม กระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า ‘ไม่เป็นไร’ ซ้ำไปซ้ำมา

มันเป็นเรื่องยากสำหรับผม เป็นความอ่อนแอที่ชัดเจนที่สุด ผมไม่ต้องการให้ใครสงสาร ยิ่งไม่ต้องการสายตาเห็นใจจากใคร ผมก้าวผ่านเรื่องนี้มาโดยลำพัง และหวังว่ามันจะถูกซุกซ่อนเอาไว้จนกระทั่งผมตาย


แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่เพียงลำพัง


ลุงรักผม มากกว่าที่ใครหน้าไหนจะรู้สึกเท่า

“ลุงรู้จักบริษัทพิบูลย์พัฒน์กรุ๊ปมั้ย?”  ผมเอ่ยเสียงพร่า รู้สึกราวกับตัวเองเป็นประตูที่ค่อยๆ คลายสลักออก

“รู้จักสิ...ผู้หญิงคนนั้น เอ่อ...คนที่มาพบพี่วันนั้น”  ลุงนึกออกได้ในทันที แถมยังเท้าความได้อย่างตรงประเด็น

“ผู้หญิงคนนั้น...เคยเป็นแม่เลี้ยง...”

ประตูที่ฝืนปิดสนิทไว้เนิ่นนานถูกเปิดออกไปในที่สุด ทุกเหตุการณ์ในความทรงจำ ทุกคำพูด ทุกเรื่องราวในความฝันออกมาจากปากผมไม่หยุด ไหลเชี่ยวกรากเหมือนแม่น้ำในหน้าฝน ผมนึกขอบคุณลุงที่ไม่พูดอะไรออกมาขัดจังหวะ มีเพียงอ้อมกอดที่โอบแน่นเป็นระยะ กับใบหน้าที่ซุกซบลงมายามที่สุ้มเสียงของผมแหบพร่าไป

ผมอยากให้มันเป็นเพียงฝันร้ายธรรมดา ที่เมื่อตื่นขึ้นมาจะจำรายละเอียดอะไรไม่ได้นอกจากความหวาดกลัวที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ทุกอย่างนั้นมันกลับเป็นฝันร้ายซ้ำซากที่ไม่ว่าจะตื่นขึ้นมาอีกกี่ครั้งผมก็ยังคงจดจำทุกรายละเอียดได้อย่างชัดเจน ทุกคำพูด ทุกความรู้สึกในทุกวันที่ผ่านไป...ต่อให้อยากลืมแค่ไหนก็ไม่มีทางทำได้สำเร็จ

แต่ในตอนนี้... ทุกประโยคที่ผมเอ่ยออกไปนั้นกลับทำให้หัวใจเบาสบาย ความอึดอัด ความคับแค้นที่สุมอยู่ภายในมันคล้ายจะเจือจางลงไปอย่างน่าอัศจรรย์ ทุกสิ่งยังคงละเอียดแจ่มชัดหากมันไม่เผาผลาญหัวใจผมอย่างที่เคย

“หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดพวกเขาพยายามส่งตัวพี่ไปอยู่โรงเรียนประจำ แต่เมื่อถูกคุณปู่คัดค้านอย่างรุนแรง เขาเลยสร้างเรือนแยกให้พี่ต่างหาก ไม่ต้องเจอหน้า ไม่ต้องได้ยินเสียง มีเพียงแค่เงินที่ถูกส่งผ่านมาเท่านั้น 

ไม่กี่ปีต่อมาคุณปู่ก็เสีย ทนายความประจำตระกูลที่อยู่กับคุณปู่มานานกลายเป็นผู้ดูแลมรดกของพี่ตามคำสั่งเสียในพินัยกรรม พี่ใช้ทุกนาทีที่ต้องอดทนอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังนั้นหมดไปกับการศึกษาเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น พี่จะไม่ยอมด้อยค่าให้คนบ้านนั้นดูถูกเด็ดขาด

จนเมื่อทุกอย่างพร้อม พี่ตัดสินใจซื้อห้องนี้โดยมีทนายประจำตระกูลตรวจสอบที่ทางและความเหมาะสมให้ จากนั้นก็ย้ายออกมา เปลี่ยนนามสกุลเฮงซวยแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่”

ผมถอนหายใจออกมา สมองโล่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมซุกหน้าซึมซับกลิ่นกายของลุงก่อนจะเล่าต่อ

“พี่หวังจริงๆ ว่าความเกี่ยวข้องจะจบเพียงแค่นั้น แต่พอคนพวกนั้นเจอปัญหา และเห็นว่าพี่สามารถช่วยเหลือได้ก็เลยเข้ามาวุ่นวาย พี่ไม่สนใจหรอกว่าคนพวกนั้นจะเข้าหาใครบ้าง แต่ลงท้ายก็มีคนหนึ่งที่พี่ต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธดีหรือไม่

ลุงเกรียงไกรเป็นคนที่เกือบๆ จะเรียกว่าครอบครัวสำหรับพี่ก็ไม่ผิด แกมีปัญหาหลายอย่าง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือเรื่องเงินที่แกเต็มใจเอาไปรักษาภรรยา แต่ตลอดมาแกไม่เคยขอความช่วยเหลือจากพี่แม้แต่น้อย ไม่เคยพูดเป็นเชิงหยิบยืมให้พี่ไม่สบายใจ แล้วสุดท้ายไม่รู้เป็นมายังไง คนพวกนั้นก็ยื่นงานให้ลุงโดยมีเงื่อนไขว่าพี่ต้องไปเป็นผู้ชายส่วนตัวของลูกชายเขา”

“..........”

ที่ผ่านมาผมตัดสินใจด้วยตัวเอง แม้จะได้รับคำแนะนำแต่สุดท้ายฝ่ายที่เลือกทางเดินก็คือตัวเอง ไม่ว่าจะหนักหนา หรืออาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดแค่ไหน ผมก็ยืนยันในความตั้งใจของตัวเองเสมอมา...ผมหลับตา ปล่อยความคิดไปตามหัวใจมากกว่าที่จะเป็นสมองสั่งการดังเช่นเคย

“...พี่จะทำยังไงดี”

 ลุงงีบไปหลายอึดใจ ผมคงคิดว่าลุงคงเผลอหลับไปแล้วถ้าไม่ติดที่ว่าฝ่ามืออุ่นๆ ยังคงปลอบประโลมผมอยู่ล่ะก็ กระทั่งผมตัดสินใจจะเอ่ยถามอีกครั้ง ลุงก็เอ่ยย้อนถามกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ก่อนหน้านี้พี่มีคำตอบให้ตัวเองรึเปล่า?”

“พี่จะไม่รับ และไม่ว่าลุงไกรแกต้องการเงินมากขนาดไหนพี่ก็จะช่วยทุกบาทโดยไม่ขอรับคืน ...แต่”

“แต่พี่รู้ผลลัพธ์ของมันใช่มั้ย?”  ลุงพูดต่อราวกับมานั่งอยู่ในห้วงลึกของความคิด  “พี่รู้ว่าหลังจากที่พี่พูดออกไปความสัมพันธ์กับคนที่พี่คิดว่าเป็นครอบครัวมันจะไม่เหมือนเดิม”

“..........”

“ผมไม่รู้จักลุงไกร แต่เดาว่าต้องเป็นผู้ชายที่มีมีศักดิ์ศรีคนหนึ่ง การที่ลุงแกไม่ขอหยิบยืมเงินจากพี่เพราะต้องการคงความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ ผมคิดว่าแกคงเห็นพี่เป็นลูกเป็นหลานแน่ๆ เลยไม่อยากสร้างความลำบากใจให้พี่”  ริมฝีปากอุ่นชื้นแนบเนาหน้าผากแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยคำพูดที่ทำเอากระบอกตาของผมร้อนผ่าวขึ้นมา  “มันมีไม่เยอะหรอกนะ กับคนที่ไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือดแต่ก็รักและเป็นห่วงเราแบบนี้น่ะ”

“...พี่คิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ลุงว่าพี่ควรทำยังไงดี”  ผมวนกลับมาที่จุดเดิม พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมเสียงไม่ให้สั่น ผมคงอายไม่น้อยถ้าลุงจะคิดว่าผมร้องไห้

“ใครมีความสำคัญกับพี่มากกว่ากันล่ะ”

ผม...ผมไม่เคยมองในมุมนี้มาก่อน

“ถ้าพี่ยกให้ฝ่ายนั้นมีอิทธิพลเหนือกว่า พี่ก็ปฏิเสธลุงไกรไปเถอะ แต่พี่จะไม่มีวันหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้ได้อีกเลย และถ้าพี่คิดว่าลุงไกรเป็นครอบครัว พี่ต้องลุกขึ้นเผชิญหน้ากับคนพวกนั้นได้แล้ว พี่จะไม่ทำให้พวกเขาเห็นหน่อยเหรอว่าตอนนี้พี่มีชีวิตที่ดีขนาดไหน คนที่มาขอร้องเด็กที่ตัวเองทิ้งขว้างไปต่างหากคือพวกหน้าไม่อาย”

ตอนนี้ผมคล้ายกับคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ สองแขนยันร่างตัวเองขึ้นนั่งเพื่อจ้องมองลึกเข้าไปในแววตาแสนจริงจังของคนพูด ลุงสบตาผมด้วยแววตาเชื่อมั่นเต็มที่ หัวใจผมเต้นระรัวราวกับตัวเองถูกปลุกความเข้มแข็งขึ้นมา หัวใจและความคิด...ทุกอย่างมันกำลังคล้อยตามคนตรงหน้า

ตอนนี้พี่ถือไพ่เหนือกว่าเขาไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าเสนออะไรไปเขาก็คงขัดไม่ได้แน่ ...พี่ไม่อยากลองเป็นฝ่ายกดหัวคนพวกนั้นสักหน่อยหรือไง”

เรื่องแบบนี้มันควรเป็นผมที่คิดได้ตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ผมมัวแต่พาตัวเองไปยืนในจุดไหนมาเสียตั้งนาน! ผมมองลุงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อไม่น้อย มองคนรักที่แสนจะเป็นสุภาพบุรุษคลี่ยิ้มมุมปาก ยืดสองแขนออกมารั้งร่างผมให้ลงมาแนบชิด กลีบปากนุ่มจูบแก้มผม โอบกอดผมด้วยวงแขนนุ่มนิ่ม กระซิบบอกรักผมด้วยเสียงที่หวานเข้าไปละลายขั้วหัวใจ

“ผมรักพี่นะ”

ผมปล่อยตัวเองให้จมกับความอบอุ่น รู้สึกได้ถึงเศษเสี้ยวหัวใจค่อยๆ รวมกันเป็นรูปร่างอีกครั้ง 

“พี่ยังมีลุงไกร มีพี่กร แล้วก็ผมนะ ...พี่ไม่ใช่เด็กที่ถูกขังอยู่ในห้องเก็บของคนนั้นอีกต่อไปแล้ว


หยดน้ำตาหลั่งรินเงียบๆ


ผมหลับตาลง ภาพอดีตที่วิ่นวนในสมองค่อยๆ แตกร้าว หล่นกระจายอยู่ในความทรงจำอย่างแท้จริง ผมรู้ดีว่าตัวเองคงไม่มีทางลืมได้

แต่มันจะต้องไม่กลายเป็นตัวขัดขวางความสุขของผมอีกต่อไป




_________________________________________________TBC.




สวัสดีค่ะ

ตอนนี้มาพบกับอดีของปุริม
คนที่เคยอ่านเรื่อง รักเราไม่เท่ากัน คงจะคิดว่าคนแต่งเล่นเรื่องชีวิตครอบครัวอีกแล้ว
แต่เรื่องนั้น ทิวา คือคนมองโลกในแง่ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังจับส่วนดีของคำว่าครอบครัวเพื่อให้อภัยในทุกสิ่ง
แต่กลับพี่ปูน เราอยากเล่นในจุดที่เคยคิดเอาไว้ว่า ต่อให้เป็นผู้ให้กำเนิด แต่ถ้าเขาไม่เห็นค่า เรายังจำเป็นต้องเห็นค่าพวกเขาด้วยหรือไม่?
ก็เลยออกมาเป็นความเว้าๆ แหว่งๆ ของปุริมเช่นนี้
พอมีลุงมาเติมเต็มส่วนที่ขาด ปุริมก็จะกลายเป็นคนตาบอดที่ได้ลืมตามองโลกได้ครั้งแรก 555

เนื้อเรื่องหลักคิดว่าใกล้จะเห็นฝั่งแระ(ตอนนี้ยังอยู่กลางทะเล555)  แต่ตอนพิเศษที่คิดได้นี่อีกบานนนน

ปล. ส่วนนังโป้ยกับพี่กร มีได้เสียกันก่อนจบแน่ เหอะ เหอะ

ขอได้รับความขอบคุณจาก LADY MELLOW
[/size]

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 574
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ดีใจที่พี่ปูนได้เจอทางออกจากอดีต
น้องลุงคือพระเอกตัวจริง!!!!  :m3:
ขนาดเป็นแค่คนอ่านยังรู้สึกเลย 
พี่ปูนตอนคิดถึงเรื่องครอบครัวเนี่ยสภาพดูย่ำแย่มากจริงๆ
แต่แค่พี่ปูนคิดถึงน้อง
ออร่าความรัก ความสุข มันก็ฟุ้งกระจายเต็มไปหมดแล้ว

 :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ใจจะขาดแล้วเอย อยากต่อ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
คู่รองเขาก็ได้คบกันแล้ววว

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
พี่ปูนโชคดีที่ได้ลุงเป็นแฟน ลุงเข้าใจในตัวตน คอยช่วยแกปัญหา หาทางออกให้พี่ปูนได้ตลอด เป็นสุดยอดแฟนจริงๆ

พี่ปูนคงจะหลุดพ้นจากอดีตขมขื่น โดยมีลุงอยู่เคียงข้างได้ในเร็วๆ นี้แน่

ออฟไลน์ may27

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :z6:  เอาคืนมันเลย......เล่นให้หนักๆ....ยังเจ็บใจไม่หายกับฝ่ามือที่ตบหน้าพี่ปูนครั้งก่อน......เอาบริษัทมันมาเลย555555.....น้องลุงเป็นกองเชียร์ดีเด่น

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด