◦●สมภารกับไก่วัด●◦|| *แจ้งข่าวหนังสือ* || 5-3-63 หน้า 54 ||
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◦●สมภารกับไก่วัด●◦|| *แจ้งข่าวหนังสือ* || 5-3-63 หน้า 54 ||  (อ่าน 338559 ครั้ง)

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อยากให้พี่ปูนหลุดพ้นจากอดีตเสียที

ลุงเป็นแสงนำทางจริง ๆ

กอดลุงไกร ลุงเปรี้ยวมากที่รับแฟนผู้ชายได้

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
สงสารอดีตพี่ปูนอ่ะ โหดร้ายกับเด็กคนนึงมากๆ เป็นเราคือมันให้อภัยลำบากจริงๆนะ  :serius2:
โชคดีจริงๆ ที่พี่ปูนได้มาเจอลุง ฮือ เด็กดี น้องคือความสดใสของพี่

ออฟไลน์ พันวา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-5
เข้าใจปุริม เคยคิดเหมือนกันว่า ถ้าพ่อแม่ที่มีลูกแต่ไม่มีความรักให้ หรือแม้แต่คนที่รักลูกลำเอียงมากๆ สักวันนึงเขาจะยังเห็นค่าคนที่เขาไม่รักแม้จะเป็นลูกหรือเปล่านะ

ออออ สงสารปุริม และรักคนแบบลุงจัง

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เอ็นดูมากเลยลุง ทะเล้นเหลือเกิน ไหนว่าจะงอนไง
แล้วทำอ่อยพี่ยังไงให้พี่ง้อล่ะ

คู่นี้คุณป้ากับคุณแม่โอเคแล้ว รอด ถึงจะถูกจับตา

ชีวิตปุริมโหดร้ายมากเลยนะ พ่อแม่ไม่รักกัน
ไม่เท่าพ่อแม่ไม่รักลูกเลย แถมให้คนอื่นมาทำลาย
ปุริมเจอลุงได้ถูกเวลา และได้จังหวะแล้ว
ต้องขอบคุณตัวเองนะที่เลือกโทรให้ลุงมารับ
แล้วได้คุยกัน ได้ปลดปล่อยมันบ้าง ดีกว่ายึดมันไว้

ปุริมต้องชนแล้วจ้า ลุงเชียร์ขนาดนี้ ให้รู้กันไปเลย
เอาใจช่วยครอบครัวคุณลุงที่ช่วยปุริมมานะ

ออฟไลน์ Lekss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นนิยายที่สุดยอดมากกก :laugh:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โฮรรรรรร TT_____TT ฮรือออ ร้องไห้เป็นเพื่อนพี่ปูน ขอบคุณที่เข้มแข็งและผ่านมันมาได้ และขอบคุณอย่างยิ่งเลยที่ลุงได้เข้ามาในชีวิตพี่ปูน เป็นแสงสว่างในความมืดมิดแห่งนั้น หลุดพ้นแห่งฝันร้ายมาได้แล้ว ก็เอาละ มา!!! สู้ไปเลยพี่ปูน ได้ทั้งเงินทั้งตอบแทนครอบครัวลุงไกรไหนจะได้กดหัวพวกหน้าไม่อายอีก เอาเล้ยยยยยย!! โห้ยยยชอบนิยายเรื่องนี้จริงๆ ชอบมากๆ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆเรื่องนี้ให้อ่านนะคะ รอตอนต่อไปเลย สวัสดีปีใหม่ด้วยค่ะไรท์ ^_^

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 607
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
สงสารพี่ปูน อดีตที่พี่ต้องทนทรมานกับมันมาตลอด มันเลวร้ายกว่าที่คิด พ่อแม่ที่ไร้สำนึก ไม่ค่าควรเป็นพ่อแม่ใครเลย ทำร้ายได้แม้กระทั้งเด็กที่บริสุทธ์ที่เป็นลูกของตัวเอง
 
ลุงน่ารักมากแสงสว่างที่อบอุ่นของพี่ปูน
ทำให้พี่ปูนตาสว่าง หลุดจากวังวนอดีต แถมยุให้ไปเอาคืนคนไร้ค่าพวกนั้น เมียพี่ปูนร้ายนะเนี่ยยย5555555

ออฟไลน์ jaja-jj

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-3

ออฟไลน์ Lekss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อยากจะอ่านต่อมากๆเลย

ออฟไลน์ SeaBreeze

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
เลวร้ายมากไอ้คนพวกนั้น

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
ลุงคิดถึงลุงเมือไหร่จะมา :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คิดถึงมากมาย ............  :z3: :z3: :z3:
พี่ปูน ลุง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
รอ ฉันรอเธออยู่แต่ไม่รู้เธอจะมาเมื่อไร :mew6:

ออฟไลน์ exoxoxo1122

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ exoxoxo1122

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ใดใดคือพี่ปูนร้ายกาจและเจ้าเล่ห์มากค่าคุณ
เอ็นดูน้องลุง55555555หนูรู้กมาก

ออฟไลน์ exoxoxo1122

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่ปูนคือหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่หลอกล้อกระต่ายน้อยลุอ่ะ555555555 หลอกล่อแล้วกิน

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
คิดถึงลุงกับพี่ปูนจัง

ออฟไลน์ exoxoxo1122

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ครอบครัวลุงน่ารักอ่ะ

ปล.พี่ปูนต้องมีปมเกี่ยวกับครอบครัวแน่ๆเลยอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ exoxoxo1122

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่กรกับโป้ยนี่ต้องมีซัมติงแน่ๆเลยอ่ะ พี่กรดูหึงๆโแ้กยังไงไม่รู้

ออฟไลน์ exoxoxo1122

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่ปูนๆก็คือทำเลวกับทุกคนแต่อยากเป็นคนดีในสายเธอ(ลุง)คนเดียวเขินจ้า
ชอบความเด็ดขาดของลุงอ่ะ
ปล.ใครมองอยู่พี่กรรึ???

ออฟไลน์ exoxoxo1122

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่า พี่ปูนมีปัญหาเยอะทากๆ อย่าทำลุงเสียใจก็พอ

ออฟไลน์ exoxoxo1122

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่ปูนคือหลงน้องเข้าขั้นมากๆ55555555

ออฟไลน์ aorpp

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1274
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +250/-3
คิดถึงคนเขียนจัง หายไปน๊านนาน

ออฟไลน์ L@DYMELLOW

  • กำลังงงๆ เพราะหาทางลงจาก “คาน” ไม่เจอ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +826/-4
    • facebook
ตอนที่ 25 _ตัดขาดเพื่อเติมเต็ม_[ปูน]





การหายใจร่วมอากาศกับคนที่เกลียดต้องใช้ความอดทนอย่างมาก...แต่การควบคุมตัวเองให้ได้ในช่วงเวลานั้นต่างหากที่ยากยิ่งกว่า

   ผมคิดว่าตอนออกจากบ้านมาพร้อมรอยจูบอบอุ่นของลุงนั้นปลุกความฮึกเหิมพอแล้ว แต่ทันทีที่ก้าวเท้าลงมาจากรถแล้วเหม่อมองคฤหาสน์หลังงามตรงหน้าแล้วนั้น...เดาว่ามันคงยังไม่เพียงพอ

สองมือสั่นเล็กน้อยอย่างที่ไม่ควรเกิด พอๆ กับที่ช่องท้องมันวูบโหวง ผมรู้สึกรังเกียจอาการทางกายภาพของตัวเองทันที ตลอดการทำงานที่ต้องเดินเข้าออกบริษัทใหญ่กว่านี้มาก็มาก บริษัทข้ามชาติก็เข้าจัดการมาแล้วด้วยซ้ำ กะอีแค่เดินเข้าบ้านหลังเล็กแค่นี้ --  จิ๊!! ผมเดาะลิ้นอย่างขัดใจกับความงี่เง่าของตัวเอง ก่อนจะเริ่มต้นก้าวเดินด้วยความมั่นใจที่มากกว่าเดิม

หญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าผมด้วยกิริยาเรียบร้อยพอดีกับที่ผมเดินขึ้นถึงหน้ามุก คนรับใช้เงยหน้ามองผมเล็กน้อยก่อนจะกลับไปก้มหน้าตามเดิม แต่เพียงเสี้ยววินาทีนั้นผมกลับจำผู้หญิงคนนี้ได้อย่างน่าแปลกใจ แม้จะจำชื่อไม่ได้แต่เสี้ยวหน้าที่มากวัยขึ้นนั้นไม่ได้หลุดไปจากความทรงจำ ไม่คิดเลยว่าทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้จะได้เจอกับคนที่รังแกใส่ร้ายในอดีต

ผมยิ้มเยาะในใจพลางก้าวเดินตามเงาร่างพินอบพิเทาไป ฝ่ามือที่เริ่มมากริ้วรอยหยิบรองเท้าสำหรับใส่ในบ้านออกมาจากตู้เพื่อนำมาวางตรงเท้าผมแล้วยืนรออย่างสงบ

ผมมองรองเท้าเบื้องล่างก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังคนที่ก้มหน้ายืนอยู่ข้างๆ นานจนกระทั่งอีกฝ่ายเอะใจจึงเงยหน้าเพื่อมองใบหน้าผมให้เต็มตาอีกครั้ง แวบแรกนั้นสายตายังเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ไม่นานหลังจากความทรงจำถูกระลึกได้ความตกใจก็ฉายเคลือบไปทั้งหน้า แววตาไหวระริกด้วยความสับสนยิ่งกว่าเดิมแต่คราวนี้มันคละเคล้าไปกับความกังวลด้วย

ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สูงใหญ่น่ากลัวเหมือนเก่า แต่เป็นฝ่ายนั้นต่างหากที่ต้องเป็นคนแหงนหน้าขึ้นมองผมจากเบื้องล่าง    อย่างที่ลุงว่า ผมไม่ใช่เด็กที่เคยถูกขังอยู่ในบ้านหลังนี้อีกแล้ว คนพวกนี้ไม่สามารถทำอะไรผมได้อีกต่อไป

“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ”

“...ค...คุณปูน”

ผมเหยียดยิ้ม อดปลื้มใจไม่ได้ที่ตัวตนของผมยังอยู่ในความทรงจำของคนบ้านนี้ แต่ไม่รู้ว่าความทรงจำของพวกเขากับผมจะเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่าน่ะสิ

“จำได้ว่าเธอมันฉอเลาะเก่ง”  สิ้นคำส่อเสียดจากปากผม อีกฝ่ายกลับเม้มปากแน่นไม่เหมือนการกระทำเมื่อครั้งอดีต  “นึกว่าจะทำตัวฉลาดแล้วปีนขึ้นเตียงไปเป็นเมียน้อยเจ้าของบ้านซะอีก หึ...ไม่คิดว่าเจอกันอีกก็ยังเป็นขี้ข้าอยู่เหมือนเดิม”

“คุณปูน!”  อีกฝ่ายเม้มริมฝีปากแน่น กัดกรามจนขึ้นสัน แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรที่มากกว่าส่งสายตาดุดันมาให้  “กรุณาพูดจาให้เกียรติดิฉันด้วยค่ะ”

“ฮะๆๆ คนอย่างเธอมีเกียรติด้วยเหรอ?”  ตั้งแต่เด็กผมก็ไม่เคยมองเห็นเกียรติใดจากคนใช้บ้านนี้เลย  “เดี๋ยวนี้ยังช่างประจบสอพลออยู่รึเปล่า? ทำต่อไปเถอะ เพราะสันดานมันแก้กันไม่ได้ไปจนตายนั่นแหละ”

“คุณ!”

“หุบปากแล้วนำทางฉันไปพบเจ้าของบ้าน หวังว่าสันดานที่เป็นคงไม่ทำให้ลืมหน้าที่ของตัวเองหรอกนะ”

ความมืดในใจมันกำลังเริงร่าจนน่าหมั่นไส้ยามเห็นคนตรงหน้าจนด้วยฐานะจะตอบโต้ ทำไมเมื่อก่อนผมถึงถูกคนแบบนี้ข่มได้นะ กับเศษคนแบบนี้ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังไร้ค่าแท้ๆ

“เชิญ!”  แม่บ้านกระแทกเสียงขณะผายมือให้ทาง แต่ผมยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่เรียกสายตาดุร้ายตวัดมองกลับมาแล้วพูดย้ำคำเดิมอีกครั้ง  “เชิญค่ะ!”

“เจ้านายที่นี่สอนคนใช้ให้พูดกับแขกด้วยน้ำเสียงแบบนี้เหรอ หรือว่าเจ้านายกับลูกน้องก็สันดานไม่ผิดกัน”

“...เชิญค่ะคุณปูน”  เสียงเดิมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเกือบครึ่ง ถ้าไม่ติดแววตาเชือดเฉือนกับฟันที่กัดกรอดๆ นั่น ผมเกือบจะเทใจปรบมือให้กับการแสดงนั่นแล้วเชียว

ไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีก ผมใส่รองเท้าแล้วก้าวเดินนำไป แม้เสียงจากด้านหลังจะบอกทิศทางของสถานที่นัดพบแต่ผมก็ไม่ตอบรับใด ความทรงจำที่ยังติดตรึงทำให้ผมรู้ว่าตัวเองควรจะก้าวเดินไปยังทิศทางใด หากแต่สภาพแวดล้อมที่สองตากวาดมองนั้นไม่เหมือนเดิม ข้าวของในตู้ กรอบรูปมากมายที่ตั้งวางไว้ แจกันดอกไม้ หรือแม้กระทั่งภาพตกแต่ง ทุกสิ่งล้วนไม่เหมือนเดิม

สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่เดียวกับที่อยู่ในความทรงจำอีกต่อไป

ผมเดินมาถึงห้องทำงาน หยุดรอให้คนรับใช้เคาะประตูและเปิดประตูให้หลังจากได้รับคำอนุญาต ผมก้าวผ่านประตูเข้าไปด้วยไหล่ที่หยัดตรง ชุดสูทสามชิ้นสีกรมท่าที่ตัดเย็บเข้ารูปทำให้ดูภูมิฐานสมกับราคาที่จ่ายไป ผมคิดถึงภาพเก่าก่อนทุกครั้งที่เคยพบเจอคนๆ นั้นในอดีต ผมจะไม่มีวันดูด้อยในสายคนผู้ชายคนนั้นเด็ดขาด

แต่หลังสิ้นเสียงประตูปิด ภาพของคนในอดีตไม่อาจซ้อนทับกับคนตรงหน้าได้เลย ชายหนุ่มที่เคยหล่อเหลาดูดี สูงสง่าและสวมเสื้อผ้าเช่นเดียวกับผมในวันนี้...ผมเกือบจะจำคนๆ นี้ไม่ได้ ถ้าไม่เพราะเค้าโครงหน้าของเราจะคล้ายกันถึงเพียงนี้

“ไม่ได้เจอกันนานนะ...”  เขาทักทายด้วยถ้อยคำไม่ต่างจากที่ผมพูดกับแม่บ้านคนนั้น เพียงแต่แววตาและสีหน้านั้นไร้ซึ่งความเหยียดหยาม สองตาอิดโรยมองผมราวกันได้พบคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันมานาน

“นั่งสิ ฉันคงลุกต้อนรับเธอไม่ไหว”  ความโรยแรงในน้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งการปิดบัง

ผมพยายามจับจ้องภาพตรงหน้าให้ชัดเจนด้วยกลัวว่าสายตาจะคลาดเคลื่อนจนมองผิดเพี้ยนไป แต่ไม่เลย...คนตรงหน้าผมไม่เหลือเค้าของความสมบูรณ์แบบอีกแล้ว เป็นแค่เพียงผู้ชายธรรมดาที่ใบหน้าดูสูงวัยกว่าที่ควรจะเป็น ร่างกายซูบผอมจนเห็นข้อกระดูกปูดโปนชัดเจน เบ้าตาลึกโหลเหี่ยวย่น เส้นผมสีดอกเลาเบาบางเห็นหนังศีรษะรำไร เขานั่งบนเก้อี้ทำงานตัวใหญ่ที่คล้ายจะดูดกลืนร่างผอมโทรมนั้นให้จมหายไปได้

ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ไหนว่าเป็นแค่เส้นเลือดในสมองอุดตัน?

สองขาสืบเท้าพาร่างสูงใหญ่เข้าไปนั่งยังเก้าอี้เบื้องหน้าโต๊ะทำงานไม้สีเข้มตัวใหญ่ สองตาเหี่ยวเฉาของคนตรงหน้าจับจ้องผมทุกอากับกิริยา เช่นเดียวกับที่ผมจ้องมองเขากลับด้วยความระแวดระวัง ภายในห้องทำงานที่ไม่ได้ยินแม้เสียงเครื่องปรับอากาศ ผมและเขาต่างจ้องมองกัน ต่างกันตรงที่ผมกำลังประเมินสถานะการณ์ แต่ผมกลับอ่านสายตาของอีกฝ่ายไม่ออก

“รีบตกลงกันให้จบๆ ไปเถอะ”  ผมพูดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว แม้สภาพร่างกายเขาจะเปลี่ยนไปจนน่าตกใจแค่ไหน แต่มันก็ไม่อาจลบภาพความทรงจำที่คนๆ นี้มองให้ผมได้

“...โตขึ้นเยอะนะ”  หัวคิ้วขมวดฉับกับน้ำเสียงเรียบเรื่อย ริมฝีปากแห้งแตกแย้มยิ้มเอื่อยๆ มองผมเช่นเดิม  “เราไม่ได้เจอกันนานเท่าไหร่แล้วนะ?”

ผมไม่แน่ใจว่านี่เป็นคำถามหรือไม่ แต่ผมเลือกที่จะนิ่งเงียบและอดกลั้นความรู้สึกเดือดดาลที่ใกล้จะปะทุ

“ฉันเองก็จำไม่ได้แล้ว แต่มันคงนานพอที่จะทำให้อะไรๆ มันเปลี่ยนแปลงแน่ๆ”  เขายิ้มขื่น แววตามีร่องรอยเศร้าหมองอย่างที่ผมอดแค่นยิ้มไม่ได้  “เธอมีอนาคตที่ดี ยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้อย่างมั่นคง ส่วนฉันก็กำลังจะตาย”

“เพ้อเจ้ออะไรของคุณ”  ผมเอ่ยด้วยความรำคาญ แต่ท่าทีของอีกฝ่ายกลับยังไม่เปลี่ยนแปลง เต็มไปด้วยความเสื่อมถอยและไร้เรี่ยวแรง

“ฉันกำลังยินดีกับอนาคตของเธอ และก็รู้สึกผิดบาปในคราวเดียวกัน”

“อย่าให้ผมต้องสำรอกออกมาตรงนี้เลยนะ” 

“มันก็แค่...หึ ที่จริงฉันก็ไม่ได้รู้สึก ไม่คิดจะรู้สึกหรอกนะ”  เขาส่ายหัวเล็กน้อยราวกับมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับตัวเอง  “แต่พอรู้ว่าชีวิตมันเหลือน้อยลงทุกวันๆ อะไรที่เคยปล่อยผ่านก็ดันคิดถึงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ฉัน...”


ปัง!!


เสียงตบโต๊ะดังกังวานขัดคำพูดไร้สาระของคนตรงหน้า นัยน์ตาผมลุกวาวจ้องมองคล้ายจะสื่อให้รู้ว่าถ้าขืนพูดเรื่องไร้สาระอีกแม้แต่คำเดียวผมพร้อมจะลุกขึ้นไปเชือดเนื้อเถือหนังอีกฝ่ายแน่นอน

เขามองผมอย่างนิ่งงัน เพียงชั่วครู่ร่างผอมติดกระดูกจึงเริ่มขยับเขยื้อนอีกครั้ง มือผอมแห้งล้วงหยิบซองเอกสารจากลิ้นชักขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วเลื่อนมันมาหยุดตรงหน้าผม

“เอกสารสัญญา รายละเอียดงานในระยะเวลา 1 ปีของเธอ”

ผมมองผ่านซองเอกสารอย่างไม่ให้ความสนใจ แต่เลื่อนไปสบตาคนตรงหน้าอย่างท้าทายแทน  “ช่วยบอกเหตุผลที่ผมควรหยิบปากกาขึ้นมาลงลายเซ็นบนเอกสารนี้หน่อยซิ”

“...เพื่อที่คนรู้จักของเธอจะได้งานและเงินก้อนใหญ่ยังไงล่ะ”

“ผมว่ามันยังไม่มากพอ”  ผมหัวเราะในลำคอ เอนกายลงพิงพนักด้วยท่วงท่าสบาย ยกเท้าขึ้นไขว่ห้างกระดิกปลายเท้าไปมา  “พวกคุณลงทุนตื๊อผมอยู่ตั้งนานสองนาน อุตส่าห์ไปควานหาตัวคนสำคัญของผมจนเจอเพื่อเอามาต่อรอง ขอโทษนะ...ผมว่าตัวเองมีค่ามากเกินกว่าราคาที่คุณเสนอมา”

“เธอต้องการเท่าไหร่”

ผมไหวไหล่ ล้วงหยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดตัวเลขที่ต้องการให้เจ้าของบ้านดูชัดๆ

“มันไม่เกินไปหน่อยรึไง ราคามากกว่าคนจากบริษัทใหญ่อีกนะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาคนอื่นสิ ผมไม่ได้อยากเอาตัวเองมาเกลือกกลั้วกับพวกคุณอยู่แล้ว”  ริมฝีปากเหยียดลึก ส่ายหน้าไปมาอย่างดูแคลน  “ผมเป็นมืออาชีพด้านนี้คุณรู้ดี ที่ผมต้องการราคานี้เพราะว่ามันเปลืองตัวและเสียสุขภาพจิต แค่คิดว่าลูกชายโง่ๆ ของคุณจะรับความรู้จากผมไปได้ช้าแค่ไหนก็รู้สึกสงสารตัวเองแล้ว”

“นนท์เป็นคนเรียนรู้เร็ว เธอวางใจเถอะ” 

“ผมคิดว่าไม่นะ”  ผมยิ้มเยาะ  “ไม่อย่างนั้นผู้ถือหุ้นคงไม่แอบเทขายหุ้นกันเงียบๆ หรอก”

“..........”

“ขาเก้าอี้กำลังจะโดนเลื่อยอยู่แล้ว ยังมีใจชื่นชมลูกชายตัวเองให้คนอื่นฟังอีก”  ผมหัวเราะเบาๆ พลางปรบมือให้  “ช่างเป็นพ่อที่หน้ามืดตามัวดีจริง”

“ฉันถึงต้องการให้เธอช่วย ฉันไม่อาจไว้ใจคนอื่น”

“คุณลืมไปรึเปล่าว่าผมก็เป็นคนอื่น”

“..........”

“และผมคือคนแรกที่อยากเห็นพวกคุณล่มจมลงไปต่อหน้า อยากเห็นความพินาศของบริษัทที่คุณปลุกปั้นขึ้นมา อยากจะเห็นเมียกับลูกสุดที่รักของคุณตกต่ำจนถึงขีดสุดเมื่อคุณตาย”

บนหน้ากากของใบหน้าเรียบเฉย แววตาไหวระริกที่โอนอ่อนไปกับคำพูดของผมนั้นเคลือบด้วยหยาดน้ำใส ผมเหยียดยิ้มให้กับความเข้มแข็งที่กำลังกร่อนพังลงช้าๆ

“ตายเมื่อไหร่ก็ช่วยมาเข้าฝันทีนะ ผมอยากจะรู้ว่าความทรมานแม้จะตายไปแล้วน่ะเป็นยังไง”

“..........”

คนตรงหน้ากำลังทำให้คนในความทรงจำกลายเป็นความฝันร้ายชั่วคราว ภาพลักษณ์แข็งกร้าวเย็นชาเมื่ออยู่ต่อหน้าผมนั้นไม่หลงแม้แต่น้อยในขณะนี้ เหลือเพียงชายร่างผ่ายผอมที่กำลังหลุบตามองต่ำด้วยทีท่าข่มกลั้น สีหน้าเจ็บปวดหากยังนิ่งงันยอมรับคำว่าร้ายจากปากผมโดยไม่ขุ่นเคือง

ซอกหลืบในหัวใจสักที่มันเคยแอบคิดว่าตัวเองมีความสำคัญ ยิ้มเยาะ ลำพองกับความรู้สึกแบบนั้นอยู่ชั่วครู่ชั่วยาม แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมต้องเป็นผม ที่พวกเขาเพียรพยายามมาตลอดนั้นก็เพราะเขารู้ว่าผมเกลียดชังมากพอที่จะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวาย ยิ่งไม่มีทางที่ผมจะเอาข่าวสุขภาพที่แท้จริงของเขาไปออกสื่อที่ไหน




ตัวตนของผมสำหรับเขานั้นช่างเบาบางเสียยิ่งกว่าอากาศ



ไม่รอให้อีกฝ่ายโต้ตอบอะไรกลับมา ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดันเก้าอี้ออกเล็กน้อยเพื่อจะก้าวเดิน แต่เสียงแหบพร่าจากคนใกล้ตายรั้งขาทั้งสองเอาไว้

“ความตายมันทำให้ฉันระลึกถึงการกระทำของตัวเอง”

ผมกัดกรามแน่น สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อข่มอารมณ์กับคำพูดไร้ยางอาย แต่คนเบื้องหลังกลับไม่หยุด ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยต่อไป  “ฉันรู้ว่ามันไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ และ...และต่อให้ทำได้ ฉันก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะแก้ไขมันรึเปล่า”

ผมหันกลับไปมองคนป่วยใกล้ตายด้วยสีหน้าเรียบเฉย อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้พูดคำชวนอ้วกออกมาอย่างที่ผมคิด ไม่ได้พร่ำเพ้อว่าจะรักและดูแลผมอย่างที่สมควรกระทำ ผมมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตาอีกครั้งพร้อมกับคำถามหนึ่งที่เนิ่นนานมาแล้วผมเคยถามกับตัวเอง

“...เคยมีสักครั้งมั้ย”  ผมกลืนก้อนขมลงคอ  “...สักครั้งที่คิดว่าผมเป็นลูก”

มันเป็นคำถามที่กรีดใจผมจนเว้าแหว่งในทุกครั้งที่อยู่ลำพังกับความมืด หลายครั้งหลายหนจนบาดแผลตกสะเก็ดจนด้านชา นานวันเข้าทุกการกระทำที่คนๆ นี้แสดงมันก็ช่วยตอบคำถามนั้นโดยที่ไม่ต้องออกเสียง ผมรู้ แต่ผมไม่เคยเข้าใจ เจ็บจนชา ชาจนชิน แต่ใช่ว่ารอยแผลมันจะจางหายไป

เขาเบิกตามองผม คล้ายไม่คาดคิดว่าหลังจากคำพูดร้ายกาจทั้งหลายแหล่นั่นจะมีคำถามแบบนี้ได้ หลายวินาทีหลังจากทำความเข้าใจ เขาหลุบตาลง จำยอมกับความรู้สึกของตัวเอง

“ในหลายครั้ง...ฉันรู้ว่าเธอคือลูกชาย”  เขาหลับตาพลางส่ายหน้า เสียงถอนหายใจดังยาวก่อนที่ประโยคสุดท้ายจะหลุดออกมา 

“แต่ฉันไม่อาจรักเธออย่างที่ควรจะเป็นได้ ไม่เคยรักเธออย่างที่พ่อคนหนึ่งควรทำ...แม้กระทั่งตอนนี้”



เหลือเพียงความเงียบงันหลังสิ้นเสียงสารภาพอย่างอ่อนแรง



ผมยืนนิ่ง รอคอยให้แผลเป็นนั้นเจ็บปวดขึ้นมา แต่สุดท้ายมันกลับไม่รู้สึกอะไรเลย... หัวใจของผมก็ยังเต้นได้เหมือนเดิม มันไม่ได้เจ็บปวด ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับความพูดไร้หัวใจนั้นอย่างผิดคาด ผมคิดว่าเขาจะหว่านล้อมผมทุกวิถีทาง ยอมพูดคำหวานหูเพื่อซื้อใจ และเมื่อไปถึงจุดนั้นเมื่อไหร่ผมจะเหยียบย่ำทุกอย่างของเขาด้วยตัวเอง

แต่...

แม้กระทั่งความตายก็ไม่อาจทำให้ผู้ชายคนนี้มอบความรักให้ผมได้แม้เพียงลมปาก มีเพียงความรู้สึกผิดบาปในใจเท่านั้นที่เขาได้รับมา 



อย่างน้อยเขาก็ซื่อสัตย์กับตัวเอง



อย่างน้อยเขาก็ไม่คิดทำร้ายผมอีกครั้ง...ด้วยคำเสแสร้ง…


ถ้าในหัวใจของคนเรามีสี่ห้องได้อย่างที่ใครสักคนพูด หนึ่งในห้องนั้นคงเป็นสถานที่เก็บความรู้สึกเลวร้ายเอาไว้แล้วปิดล็อกอย่างแน่นหนา วันแล้ววันเล่าที่ใช้ชีวิตโดยทำเป็นไม่สนใจมัน แต่มันก็ยังคงอยู่ที่เดิม เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่คอยสร้างความเจ็บปวดให้

ผมหลีกหนีมาเนิ่นนาน ปฏิเสธที่จะข้องเกี่ยว แต่ตอนนี้ผมกลับสงสัยว่าแท้จริงแล้ว เพราะอะไรที่ทำให้ตัวเองก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้เพื่อเผชิญหน้ากับคนที่ทำร้ายตัวเอง เพราะคำพูดของพัทลุง? เพราะลุงไกร? หรือเพราะในที่สุดผมเรียนรู้ที่จะรัก... แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ล้วนแต่ทำให้ผมกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน

ในที่สุด ประตูบานนั้นในหัวใจของผมค่อยๆ คลายพันธนาการ มันแง้มออกเชื่องช้า ขณะเดียวกันหัวใจของผมก็ค่อยๆ เบาสบายขึ้น

ผมมองผู้ชายตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย

“ผมจะติดต่อรุ่นน้องที่ไว้ใจได้มาให้คุณ”  บอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบแม้กระทั่งตัวเองยังแปลกใจ  “หมอนั่นเป็นคนเก่งและรู้ว่าจะต้องปิดปากตัวเองให้เงียบยังไง”

“...ขอบใจ”

“ด้วยเงื่อนไขจ้างงานคุณเกรียงไกรตามที่คุณเคยพูดไว้”

“ตกลง”

“และผมหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวของคุณจะมาวุ่นวายกับผม ไม่อย่างนั้นคราวนี้จะเป็นผมเองที่ก้าวเข้าไปช่วยเลื่อยขาเก้าอี้ลูกชายคุณให้ตกลงมาตายทั้งเป็น”  ผมขู่ด้วยเสียงหนักแน่น

“ฉันเข้าใจแล้ว”  คนตรงหน้ากล่าวสั้นๆ แต่ในขณะที่ผมหมุนตัวเพื่อจากไปเสียงเดิมกลับเอ่ยต่อ  “ฉันกับแม่ของเธอไม่ได้รักกัน...”

ฝ่าเท้าชะงักกับสุ้มเสียงไร้พลังของคนเบื้องหลัง ผมหยุดยืนนิ่ง ไม่คิดหันกลับไปมองว่าคนพูดแสดงสีหน้าเช่นไร ผมนึกว่าการสนทนาได้ปิดฉากไปแล้ว ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรถึงได้เท้าความถึงผู้หญิงที่แม้แต่ผมเองก็จำหน้าไม่ได้แล้ว

“ทั้งหมดก็เพียงเพราะธุรกิจและคำสัญญาที่ทำให้เราต้องมาอยู่ด้วยกัน เธอไม่ได้เกิดจากความรักและฉันก็ใจแคบเกินกว่าที่จะรักเธอ จะเรียกใจร้ายก็ช่าง ใจดำก็ได้ แต่ฉันก็ปฏิบัติต่อเธอด้วยสติรับรู้เพราะฉะนั้นเธอจะโกรธเกลียดมันก็เป็นเรื่องสมควร... ที่ฉันเพียรพยายามให้ทุกคนติดต่อเธอมันเป็นเพียงความเอาแต่ใจของคนใกล้ตายก็เท่านั้น ฉันมีคำบางคำอยากจะบอกกับเธอก่อนที่จะไม่มีโอกาส

“ขอโทษ... สำหรับความรู้สึกของเธอ สำหรับที่เธอต้องเจ็บปวดเพราะฉัน ขอโทษที่ไม่สามารถให้ความรักและให้ความสุขได้เหมือนพ่อคนอื่น”

“..........”

“ขอบใจนะ ขอบใจจริงๆ ที่ยอมรับฟัง...ฉัน...”  เขาเงียบไปชั่วครู่ เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนดังแผ่วเบา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเหนื่อยเกินกว่าจะพูดต่อ หรือว่าคำพูดต่อจากนั้นอาจจะยากเกินกว่าจะเอ่ยออกมา แต่ถึงจะเป็นเช่นไรผมก็ไม่พร้อมที่จะอยู่ตรงนี้อีกต่อไป ทุกคำของเขามันเผยความจริงใจออกมาแล้วและนั่นคือทุกอย่างที่ผมเคยเฝ้าถามกับตัวเอง

ผมเดินออกจากห้องเงียบๆ โดยไม่โต้ตอบคำใดกลับคืน ผมไม่สามารถเอ่ยอภัยให้ทั้งที่ใจยังไม่รู้สึกตามนั้นได้ คำขอโทษมันไม่ได้มีพลังมากพอที่จะลบล้างอดีต แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีพลังมากพอที่พร้อมจะรับฟัง

สองเท้าก้าวสม่ำเสมออย่างมั่นคงหลังจากเสียงประตูปิดลง ผ่านสิ่งรอบตัวที่ค่อยๆ เลือนผ่านไปอย่างช้าๆ ผมเดินลงบันไดหน้ามุกลงมาด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่าตัวเองไม่ใช่ตัวเองอย่างที่เคย

ประตูรถถูกเปิดออก ร่างสูงชะงักเล็กน้อยเมื่อตัดสินใจมองภาพของสิ่งก่อสร้างตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย คล้ายกับว่าในที่สุดผมก็หลุดพ้นจากบางสิ่งบางอย่างเสียที ความเศร้า ความทรมาน ความรู้สึกต่างๆ ที่เกาะกินใจมันค่อยๆ หลุดลอกออกไป

แน่นอนว่าไม่อาจลบความทรงจำเลวร้ายไปได้ แต่มันคงจะไม่มีอิทธิพลกับผมอีกต่อไปแล้ว

ในที่สุดคนที่ทำร้ายก็กลายเป็นคนที่ทำให้ผมหลุดพ้นอย่างแท้จริง

ผมเหยียดยิ้มให้บ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยอดีตเน่าเฟะของตัวเอง ก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไปโดยไม่คิดหันกลับไปมองอีกเลย



.

.

.



บนถนนแสนแคบในช่วงค่ำ ผมนั่งอยู่ในรถคันเก่งที่จอดแอบการสัญจรจนแทบจะเบียดประตูรั้วบ้านจนเป็นรอย ใช้เวลาครู่ใหญ่ในการมองลอดกระจกผ่านซี่ไม้ระแนงเล็กๆ เข้าไปด้านใน หวังว่าจะมีเจ้าของบ้านสักคนสังเกตเห็นแล้วออกมาเชื้อเชิญผมให้เข้าไป แต่จนแล้วจนรอดบ้านหลังงามก็ยังเงียบสงบ ผมเห็นแสงไฟสาดส่องออกมาจากทางหน้าต่างทุกบานที่เปิดไว้ รถยนต์ทั้งสองคันจอดเป็นระเบียบอยู่ในโรงเก็บ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกขัดเขินเล็กน้อยถ้าจะมาหาถึงบ้านอีกฝ่ายโดยไม่มีธุระปะปังอะไร

ผมอยากอยู่กับลุง แต่อีกใจก็อยากให้ลุงได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว

ความรู้สึกมันขัดแย้งกันจนแม้แต่หัวสมองยังตัดสินใจไม่ได้ว่าอย่างไหนกันแน่ที่มีอิทธิพลมากที่สุด เพราะงั้นผมถึงได้แต่จอดรถอยู่หน้าบ้านพัทลุงแบบนี้มาเกือบสิบนาทีแล้ว เป็นการทิ้งเวลาโดยเปล่าประโยชน์ได้อย่างน่าสมเพชที่สุด เวลาเป็นเรื่องเกี่ยวกับลุงทีไร ผมแทบจะลืมเรื่องภาพลักษณ์ที่ปั้นแต่งขึ้นมาจนสิ้นชนิดที่ว่าถ้าคู่ขาเก่าๆ ได้มารับรู้ก็คงจะแสยะปากสาสมใจกันเป็นทิวแถว

เสียงถอนหายใจดังขึ้นกลางความเงียบงัน รถที่ขับสวนไปมาในซอยแคบเริ่มบางตา ผมฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยรถพลางขบคิด วันนี้ผมควรจำยอมอยู่ลำพังไปก่อน การดื้อดึงจะอยู่กับลุงในคืนนี้อาจจะทำให้แม่กับพี่สาวของลุงเขม่นผมได้เนื่องจากวันนี้ผมเพิ่งจะปล่อยให้ลุงกลับบ้านหลังจากพาไปนอนกกอยู่ด้วยกันถึงสามคืน

การลืมตาขึ้นแล้วพบว่าใบหน้าพัทลุงคือสิ่งแรกที่ได้เห็นนั้นคือหนึ่งสิ่งที่สร้างความสุข ได้มองแก้มนิ่มๆ ได้เห็นจมูกน่ารักๆ ทำท่าฟุดฟิดไปมา ได้อมยิ้มไปกับริมฝีปากอิ่มที่ขยับแจ๊บๆ แลบลิ้นเลียน้ำลายที่ปริ่มออกมาให้กลับเข้าปาก และการเผลอผายลมออกมาบ้างในบางที

ผมรักทั้งหมดที่ลุงเป็น รูป รส กลิ่น เสียง เหล่านั้นกลายเป็นยาเสพย์ติดโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว


ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!


ผมเงยหน้าขึ้นมองกระจกฝั่งที่ถูกเคาะ เงาร่างคุ้นตายืนด้อมๆ มองๆ มือแปะกระจก แนบหน้าชิดจนผิวแก้มบู้บี้ให้เห็น ผมหัวเราะเบาๆ พลางลดกระจกลงมาจนสุดเผยใบหน้าของพัทลุงแย้มยิ้มกว้างจนตายิบหยี ต่อเมื่อสร้างอาการใจเต้นให้คนมองจนพอใจแล้ว เสียงนุ่มๆ ก็เริ่มเอ่ยถึงที่มาที่ไป

“คุณดาหลาก็นึกว่ารถใครมาจอดหน้าบ้านตั้งนาน เห็นไม่ไปสักทีก็เลยให้บุรุษอย่างผมมาดู”  ผมได้แต่มองดูลุงเจื้อยแจ้วด้วยรอยยิ้ม ทำไมกันนะ? แค่เพียงลุงมาอยู่ตรงหน้าทุกอย่างก็ดูจะไร้ความสำคัญไปเลย

“มาแล้วทำไมถึงไม่เข้าบ้านนะ ปล่อยให้คนเขาคิดว่าเป็นโรคจิตไปได้ บ้านผมยิ่งมีสาวสวยอยู่กันตั้งสองคน”  ลุงยังเจื้อยแจ้วต่อ  “ผมเดินออกมานะ คิดเลยว่าจะจัดการยังไงดีไม่ให้ตัวเองโดนฆ่าตายหน้าบ้านตัวเอง นี่ถ้าจำรถพี่ไม่ได้ผมมิเครียดตายเลยเหรอ”

“ถ้างั้นก็อย่าเดินออกมาแบบนี้สิ มันอันตราย”

“ตอนแรกผมก็มองจากในรั้วเหอะ กะนั่งวัดใจกันเลย แต่ยี่ห้อรถมันคุ้นๆ ไงเลยออกมาดูให้แน่ใจ”

ผมหัวเราะเบาๆ

“แล้วนี่มาทำไมอ่ะ? ธุระเสร็จแล้วเหรอ?”

“คิดถึงลุง”

“อย่าน้ำเน่าให้มาก! เปิดประตูซิ”  ผมกดปลดล็อกเพื่อให้ลุงเปิดประตูขึ้นมานั่ง กระจกถูกลุงกดขึ้นจนชิดขอบทันที จากนั้นจึงหันใบหน้ายิ้มแย้มมาทางผมแล้วยืดตัวเข้ามาใกล้ ทำปากจู๋เรียกร้องในสิ่งที่ผมเองก็ยิ่งกว่าต้องการ ผมก้มตัวลงไปสมทบเพื่อมอบจูบนุ่มนวล แผ่วเบาเมื่อแรกเริ่ม ต่อเมื่อได้ลิ้มชิมรสที่ติดอยู่ปลายลิ้นก็เริ่มรุกเร้ารุนแรง ลุงครวญครางในลำคอแผ่วเบา จนกระทั่งร่างกายเริ่มรู้สึกถึงความรุ่มร้อน ผมจึงผละออกมาอย่างเสียดายแต่ก็ยังไม่วายคลอเคลียผิวเนื้อนุ่มนวลด้วยริมฝีปาก

“ดื่มเหล้ามาอีกแล้ว...”  ลุงพึมพำด้วยความไม่ชอบใจเล็กน้อย ผมเพียงแค่ยิ้มรับแล้วพาบทสนทนาไปเรื่องอื่นในหัวที่สำคัญมากกว่า

“อยากพาไปโรงแรมมาก” 

“ไม่ได้ๆ”  ลุงค้านเสียงสูงพลางผลักตัวผมออก  “ก้นยังระบมอยู่เลย”

“แสดงว่าถ้าก้นไม่ระบมก็จะไปด้วยกัน?”

“ปุริมต้องหยุดหื่นทุกครั้งที่คลุกวงในกันได้แล้วนะ”  ลุงบอกเสียงเครียดด้วยสีหน้าที่ออกจะรังเกียจอยู่เล็กน้อย

“ลุงก็เลิกน่ารักน่าเอาตลอดเวลาให้ได้ก่อนสิ”  ผมเถียงกลับทันที โปรยยิ้มมุมปากให้คนตรงหน้าขัดเขินเล่น และก็เป็นเช่นเดิมที่ลุงจะไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับผมในเรื่องนี้ต่อ คนหน้าบางตีแขนผมหนึ่งทีแบบหมั่นไส้ติดหมัดแล้วเฉไฉไปเรื่องอื่น

“ดื่มมาแบบนี้ถ้าเจอด่านนี่ซวยเลยนะ”

“นิดหน่อยเอง ไปดื่มกับรุ่นน้องที่ฝากเรื่องงานให้”  ก็รู้อยู่ว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ถ้าไม่เถียงปนอธิบายไปบ้างลุงคงได้สวดผมยาวแน่

“ตำรวจเขาไม่หน่อยกับพี่หรอก แล้วกลิ่นที่ออกมาจากปากพี่มันเกินคำว่าหน่อยมากนะ ถ้าตำรวจเรียกจอดผมว่าพี่อมเหล้าแล้วพ่นใส่หน้าจ่าแกเหอะความเข้มข้นน่าจะพอกัน”  คนขี้บ่นยังคงงึมงำ ทำเสียงจิ๊จ๊ะแบบขัดใจเต็มที ผมเองก็ไม่ได้รำคาญที่จะต้องเห็นอะไรแบบนี้ซะด้วย ผมเดาว่าตัวเองคงมองลุงหงุดหงิดได้เพลินเป็นชั่วโมง ถ้าความหงุดหงิดนั้นมันจะมาจากความเป็นห่วงผมล่ะก็

“ค้างคืนที่บ้านผมแล้วกัน จะได้ไม่ต้องขับกลับให้เสียงอันตราย”

“เป็นห่วง?”  คำชวนนี้ไม่ได้อยู่ในสารบบความคิดแม้แต่น้อย

“ก็ใช่ไง นอกจากจะห่วงพี่แล้ว ยังห่วงว่าพี่จะไปก่ออุบัติเหตุให้คนอื่นต้องรับเคราะห์”  ว่าจบก็ขยับตัวเปิดประตูรถออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ถามความสะดวกใจของคนฟังสักคำ

ท่ามกลางความเงียบ ผมส่ายหัวให้กับคำห่วงใยปนเสียดสีของอีกฝ่ายก่อนจะลงตามไปด้วยรอยยิ้ม ลุงเดินนำผมเข้าไป สองตากวาดสำรวจบริเวณบ้านขณะเดินตาม ทุกอย่างช่างสะอาดสะอ้านแม้จะมีข้าวของวางไว้ตามการใช้งานแต่มันกลับดูเป็นธรรมชาติน่ามองมากกว่าบ้านที่เรียบร้อยไปทุกกระเบียดนิ้ว สวนเล็กๆ ที่พอมีแสงไฟประดับดูแล้วอยากให้คนมานั่งเล่นผ่อนอารมณ์

ความอบอุ่นเป็นกันเองมันแผ่ซ่านออกมาทันทีที่ลุงเปิดประตูเข้าด้านใน ไม่ใช่เพราะอุณหภูมิที่มากกว่าด้านนอกหากเป็นเพราะบ้านหลังนี้คือความฝันที่ผมอยากจะมี บ้านที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความรักและคำว่าครอบครัว...




-----[มีต่อค่ะ]

ออฟไลน์ L@DYMELLOW

  • กำลังงงๆ เพราะหาทางลงจาก “คาน” ไม่เจอ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +826/-4
    • facebook
“คุณดาหลาวันนี้พี่ปูนมานอนด้วยนะ”  ลุงร้องบอกสองสาวที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์เช่นที่ผมเคยเห็นประจำ หนึ่งในนั้นหันมาแย้มยิ้มพรายเหมือนทุกครั้ง แล้วตอบตกลงโดยไม่ตั้งคำถามใด ผิดกับอีกหนึ่งสาวที่หันมามองผมผ่านหางตาคมๆ

“บ้านช่องมีทำไมถึงไม่กลับ”  ปราจีนถามห้วนๆ ถ้าเป็นในยามปกติผมก็พอจะโต้ตอบด้วยความสนุกได้แต่นั่นไม่ใช่วันนี้

คนกลางอย่างพัทลุงเห็นผมเงียบไปจึงตอบคำถามแทน แขนขาวๆ ยกขึ้นมากอดอก ยืดตัวพองลมได้อย่างน่ารักน่าชังที่สุด  “ก็เพราะน้องป้าน่ารักไง แฟนเลยทั้งรักทั้งหลง ไม่เห็นหน้าก็นอนไม่หลับ”

ผมเกือบหลุดขำยามเห็นคนเป็นพี่กรอกตาดำด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อ  “ขอความจริง”

“...พี่ปูนไปดื่มกับเพื่อนมา ลุงเลยไม่อยากให้ขับรถกลับ”

“ก็เท่านั้น”  พูดจบก็เลิกให้ความสนใจพวกผมแล้วหันไปดูโทรทัศน์ต่อ

ต้องนับว่าหลังจากการเปิดใจกันครั้งนั้น ปราจีนค่อนข้างจะมีมุมมองต่อผมเปลี่ยนไปหรืออย่างน้อยที่สุดก็เพราะพยายามควบคุมตัวเองให้มองผมในแง่ร้ายน้อยลง ไม่ต้องต้อนรับขับสู้ผมเหมือนกับน้าดาหลาหรอก แค่ไม่มองจิกผมเป็นไก่เหมือนก่อนก็พอแล้ว

“คุณปูนทานข้าวมารึยัง หิวรึเปล่า?”  คุณน้าแย้มยิ้มหวานเอ่ยถามอย่างเอื้อเฟื้อ ผมที่ดื่มเหล้ามาเกินครึ่งกระเพาะก็ตั้งใจจะปฏิเสธ แต่คนข้างตัวผมกลับช่วยรบเร้าอีกแรง

“ใช่ๆ กินข้าวก่อนค่อยนอนเหอะ ลุงว่าพี่คงดื่มอย่างเดียวไม่ได้กินอะไรมาหรอก”

ผมทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ แล้วเดินตามแรงฉุดแบบไม่ขอความคิดเห็นไปทางห้องครัว ปล่อยให้สองสาวดูละครต่อไปอย่างออกรส

ถามว่าตอนนี้อยากจะทำอะไรที่สุด... แน่นอนว่าเป็นการคว้าลุงไปกอดแล้วนอนหลับบนที่นอน! ไม่ใช่การนั่งหน้าจานข้าวร้อนๆ พร้อมกับข้าวหอมๆ สามอย่างแบบนี้

“กินเยอะๆ นะพี่ปูน ลุงทำเองทุกจานเลย”  ลุงนั่งฝั่งตรงข้าม เท้าคางมองผมแล้วยิ้มจัดหนัก เจออย่างนี้เข้าไปต่อให้กระเดือกข้าวไม่ลงก็ต้องทำการยัดเข้าไปบ้างล่ะ

พัทลุงเป็นคนทำอาหารได้ออกมาหน้าตาบ้านๆ แต่อร่อยมาก น้าดาหลาเคยชื่นชมให้ผมฟังว่า ลูกชายคนดีของเธอนั้นได้รสมือมาจากพ่อแต่พิถีพิถันไม่เท่า ก่อนจะได้มาเป็นคนรักกันผมเคยนั่งพิจารณาลุงอยู่บ้าง ผู้ชายคนนี้มีความสามารถหลายอย่างเสียแต่ว่าไปไม่สุดสักทาง อาจจะเพราะลุงไม่เลือกที่จะมุ่งเน้นไปด้านใดด้านหนึ่งอย่างจริงจัง แต่พอหลังได้มาคบกันผมกลับรู้สึกว่าลุงมีสิ่งหนึ่งที่เลือกจะจริงจังเหมือนกัน นั่นคือการดูแลคนใกล้ตัว

ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกที่ยังจะต้องบอกคนที่บ้านเสมอเวลาไปค้างคืนที่อื่น คอยโทรถามว่ากินข้าวหรือยัง? เสื้อผ้ามีพอใช้หรือเปล่า? คอยห่วงนั่นห่วงนี่ไปหมด ทั้งซักผ้า ทำความสะอาด ล้างรถ รดน้ำต้นไม้ ต่อให้ทำไปบ่นไปแค่ไหนแต่เหล่านี้คือสิ่งที่ลุงทำอย่างตั้งใจเสมอ เวลาลุงรักใคร ลุงจะห่วงใยและใส่ใจเต็มที่ ผมรู้สึกอิจฉาในความโชคดีของผู้หญิงบ้านนี้ ส่วนผม...ผมคงใช้ความโชคดีทั้งชีวิตแลกไปแน่ๆ ถึงได้ลุงมาอยู่ข้างกันแบบนี้

“ยิ้มอะไร?”

ผมส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับคำถาม ลุงขมวดคิ้วเล็กน้อยต่อเมื่อผมตักข้าวเข้าปากอีกคำหัวคิ้วก็คลายลง ลุงนั่งมองผมกินเงียบๆ ไม่มีการเล่นมือถือเพื่อฆ่าเวลา ทุกความสนใจของลุงพุ่งตรงมาที่ผม มันอาจจะน่าอึดอัดสำหรับใครหลายคน แต่ผมกลับชอบที่มันเป็นแบบนี้

หลังจากฝืนทานต่อไปอีกสามสี่คำผมจึงรวบช้อนเพื่อจบมื้ออาหาร ข้าวอาจจะไม่พร่องสักเท่าไหร่ แต่ความอร่อยจากกับข้าวทำให้ผมกินเข้าไปไม่น้อย โดยเฉพาะผัดผักรวมที่ถูกกวาดจนหมดเกลี้ยง ชื่นใจคนทำเขาล่ะ...

“มีลูกตาลลอยแก้วด้วยนะ เอามั้ย?”

“ขืนกินต่อ พี่คงได้อ้วกใส่หน้าลุงแน่”  ผมบอกเสียงเครียด เท่านี้ก็จุกขึ้นมาถึงคอหอยแล้ว!

“งั้นก็อย่าไปกินมันเลยเนอะ”

ผมอมยิ้มนั่งมองลุงเก็บล้างทำความสะอาดถ้วยชามอย่างมีความสุข จากนั้นเราก็บอกลาสองสาวที่ยังติดตามละครอย่างไม่คลาดสายตาขึ้นไปชั้นบน ห้องนอนของลุงเล็กกว่าห้องนอนของคอนโคฯ ผมเสียอีก แต่ว่าทั่วทุกพื้นที่กลับมีร่องรอยของการใช้ชีวิตอยู่เต็มไปหมด กลิ่นอายเจ้าของห้องอบอวลอยู่ทั่วพลอยให้ผ่อนคลาย ผมนั่งเอกเขนกบนเตียงนอนแคบๆ ปล่อยให้เจ้าบ้านจัดหาชุดนอนและของใช้ไปตามเรื่อง

ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ลุงมองมาทางผมแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปหาเสื้อต่อ  ผมหยิบมือถือขึ้นมามองชื่อผู้โทรก่อนจะกดรับสายด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย

“ว่าไง”

“ทำไมนายทักทายไร้เยื่อใยอย่างนี้”  เสียงเจน่าดังแหลมแข่งกับเสียงเพลงที่แทรกเข้ามา

“อยู่ที่ไหนเนี่ย”

“แดนซ์อยู่น่ะซี่! มันมากเลย นายมาดื่มกับฉันสิ มาเร็วๆ” ฟังจากเสียงผมเดาได้เลยว่าบรรยากาศต้องสนุกมาก เพราะถ้าทำให้เจน่าเมาได้นี่ต้องสุดเหวี่ยงจริงๆ ผมเคยไปเป็นเพื่อนอยู่หนึ่งงานและสัญญากับตัวเองว่าจะไม่หลงกลอีก เพราะงานนั้นเจน่าทั้งเมา ทั้งเต้นกับคนไปทั่ว สุดท้ายก็ลืมผมไว้แล้วหิ้วนายแบบรุ่นน้องไปนอนกกแทน

“เมาให้ตายไปเลยเจน่า เดี๋ยวก็มีคนหิ้วเธอกลับไปเอง”  จากหางตาผมเห็นลุงชะงักเล็กน้อย ผมแสร้งทำไม่สนใจขณะที่สองตาคอยจับภาพลุงที่กำลังแอบหันมามองทางผมเป็นระยะ จากภาษากายทำให้ผมพอสรุปได้ว่าลุงยังคงมีความกังวลอยู่ เพราะถ้าหากลุงไม่คิดอะไรจริงๆ คงไม่มานั่งหูผึ่งเงียบๆ แบบนี้แน่

เพื่อความสบายใจผมจึงเปิดลำโพงซะเลย

“พูดเหมือนเห็น! เด็กรุ่นน้องไอแต่ละคนน่ากินมาก” ในสาย เจน่าหัวเราะครึกครื้นมาก แต่ในห้องนั้นลุงสะดุ้งตกใจหันมาจ้องผมตาแป๋ว 

“วันนี้ต้องได้แน่ คิกๆ”

“งั้นก็ขอให้โชคดี”  ผมพูดเสียงเนือยพลางลุกขึ้นเดินไปนั่งซ้อนหลังคนไม่สบายใจ โอบให้อีกฝ่ายพิงตัวแนบลงมา

“แล้วนี่นายจะไม่มาจริงเหรอ ไทป์ของนายเพียบเลยนะ”

“ฉันอยู่กับแฟน”

“โอ้!! ฉันมักลืมเสมอว่านายไม่เหมือนเดิมแล้ว”

“พูดมาก”

“คิกๆ แล้วเมื่อไหร่จะยอมพาคนรักของนายมาเจอฉันบ้าง ฉันอยากเห็นหน้าคนที่ทำให้นายเลิกเป็นแบดบอย”

“ฉันจะวางแล้วนะ”  เรื่องตั้งเยอะแยะไม่พูด เปิดปากทีมีอันต้องวกเข้าเรื่องอดีตตลอด

“ตามสบาย วู้ว! มีเด็กหนุ่มยกแก้วเชิญชวนฉันด้วย ไปล่ะ”

เจน่าไวเสมอเมื่อมีเรื่องความถูกใจเข้ามาเกี่ยว ผมวางโทรศัพท์ลงข้าวตัวแล้วโอบกอดคนในอ้อมแขนให้แน่นกว่าเดิม

“สบายใจขึ้นรึยัง?”  ผมถาม พลางซุกหน้าเข้ากับซอกคอของลุงแล้วจูบเบาๆ

“ผม...ผมขอโทษ”  ลุงหน้าตื่นทันทีที่ถูกจับได้  “ผมทำเหมือนอยากรู้มากเลยใช่มั้ย?”

“นั่นหมายความว่าลุงรักพี่ยังไงล่ะ เพราะรักก็เลยหึงไม่ใช่หรือ?”

“ก็ไม่เชิงหึง...คือ...”  แล้วเด็กดีอย่างลุงก็พ่นออกมาทุกอย่างทั้งเรื่องที่ปราจีนไปเจอผมนั่งดื่มกับเจน่า และเรื่องที่ไปปรึกษาโป้ย รวมถึงความรู้สึกของตัวเองที่ผมฟังแล้วให้กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม

“อย่ายิ้มนะ!”  ลุงหันมาทุบผมเป็นการใหญ่ด้วยความเขิน

“พี่รู้ว่าควรจะต้องเสียใจ แต่ทำไมมันดีใจนักก็ไม่รู้”  ผมรีบรวบมือลุงมากอดไว้ในท่าเดิม

“...ขอโทษนะ ลุงจะไม่คิดแบบนั้นกับพี่อีก”

“ลุงคิดได้เพราะพี่ให้สิทธิ์นั้นกับลุง”  ผมหอมแก้มนิ่มของคนนั่งหงอย ถึงผมจะไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่คนส่วนมากมักจะเลือกโวยวายและโยนความผิดใส่อีกคน บางคนโพล่งสิ่งที่คิดออกมาจนทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย บ้างก็เก็บเอาไว้ในใจจนเกิดเป็นความระแวง

ลุงเก็บเอาไว้ในใจแต่ไม่เคยแสดงออกถึงความระแวง พอพูดออกมาก็กลับเป็นความรู้สึกผิดที่ตัวเองคิดไปแบบนั้น มันทั้งน่าเอ็นดู น่าสงสาร แล้วก็น่าหงุดหงิดไปพร้อมกัน

“ลุงจะหึงพี่ให้มากกว่านี้ โวยวายใส่ หรือสั่งห้ามพี่ไปเลยก็ได้ พี่ให้สิทธิ์นั้นกับลุงนะ”

คราวนี้เป็นลุงที่หันมามองหน้าผมตาโต  “พี่ปูน...ผมไม่ใช่คนแบบนั้น”

“พี่แค่อยากให้รู้ไว้”  ผมยิ้มเอ็นดู

“แล้วต่อให้ผมทำแบบนั้นได้จริงเราก็คบกันไม่ยืดหรอก พี่จะเบื่อและผมก็จะเหนื่อยหน่าย”  ลุงขมวดคิ้วแน่น คล้ายจินตนาการไปถึงอนาคตที่เป็นเช่นนั้น   “เราจะไม่มีความสุข และผมไม่ชอบถ้ามันเป็นแบบนั้น”

“พี่รู้”

“คราวหน้าผมจะถามพี่ตรงๆ”

“พี่ก็จะตอบอย่างไม่ปิดบัง พี่จำคำสัญญาที่ให้กับลุงได้”

เราจูบกันแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม นี่คืออีกหนึ่งข้อดีของลุงที่ผมชอบ ไม่ว่าเราจะทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรแต่เมื่อเคลียร์กันได้ลุงจะไม่หยิบยกเรื่องเดิมมาพูดซ้ำไปมา

“ว่าแต่วันนี้พี่เป็นยังไงบ้าง” 

ผมนิ่งไปเล็กน้อย ลุงหันมามองแล้วหน้าเสียตามคล้ายกลัวว่าตัวเองถามเรื่องที่ไม่ควร ผมส่งยิ้มให้พลางส่ายหน้าบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องกังวล ก่อนจะเริ่มเล่าการพูดคุยสั้นๆ ออกไปด้วยน้ำเสียงที่สบายผิดคาด ผิดกับลุงที่เหมือนจะฮึดฮัดแทนผมอยู่หลายที เสียงถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าหมดไปและสุดท้ายก็หลงเหลือเพียงอ้อมกอดของลุงที่ทำให้หัวใจผมอ่อนยวบ

“พี่ไม่เป็นไร”

“จะไม่เป็นไรได้ไงกัน”  น้ำเสียงนั้นอบอุ่น แต่อ้อมกอดของลุงนั้นอบอุ่นยิ่งกว่า

“มันแค่เป็นเหมือนเดิม เพียงแต่มันไม่เจ็บปวดเหมือนเคยอีกแล้ว”  ผมซุกตัวแนบแผ่นอกผอมบาง น้ำเสียงนั้นสบายราบเรียบอย่างที่ใจรู้สึก

“พี่ว่าเขาป่วยเป็นอะไรเหรอ?”

“ไม่รู้สิ แต่ดูจากสภาพคงไม่ใช่เส้นเลือดในสมองแตกแน่”

“แล้วพี่...”

“คนนอกไม่จำเป็นต้องไปรับรู้นี่”

ลุงเงียบไปเล็กน้อย หากอ้อมกอดนั้นยังคงอบอุ่นผสานกับการตบเบาๆ สม่ำเสมอบนแผ่นหลังที่ช่วยให้ความสุขสบายรุกคืบไปทั้งร่างกายจนอยากจะหลับไปซะเดี๋ยวนี้ แต่ทั้งกลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่มันคงไม่เหมาะที่ลุงจะต้องมานอนดมไปทั้งคืน ผมจำต้องผละจากอ้อมกอดคนรักเพื่อไปอาบน้ำชำระกาย ลุงเตรียมเสื้อนอนกับกางเกงไว้ แต่เสื้อเก่าตัวนิ่มนั้นมันยังคงเล็กเกินไป ผมจึงเลือกใส่เพียงกางเกงขาสั้นยางย้วยๆ ตัวเดียว

เตียงนอนที่กว้างเพียง 3.5 ฟุตนั้นดูเล็กไปถนัดตาเมื่อผู้ชายสองคนนอนด้วยกัน แม้พื้นที่เหลือน้อยจนไม่พอให้ดิ้นได้ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสักนิดเพราะผมชอบที่จะนอนกอดลุงแน่นๆ รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้สะดวกสบายนักหรอก แต่คำดุคำบ่นก็ไม่เคยออกปากให้ได้ยินเช่นกัน ลุงยอมนอนวาดขาก่ายเอวผมไปครึ่งค่อนคืนประจำ มือก็มักจะโอบผมเอาไว้ ลูบหัวตบหลังไปตามเรื่องเหมือนกำลังกล่อมเด็ก

“รักพี่มั้ย?”

“รักสิครับ”  ลุงตอบคำถามด้วยน้ำเสียงง่วงงุน ฝ่ามือที่หยุดการทำงานไปสักพักก็กลับมาทำหน้าที่ลูบท้ายทอยไปมาเหมือนเดิม

“รักมากมั้ย?”

“อืม...มากๆ เลย”

ผมซุกหน้าลงกับอกแบนๆ ของลุง แนบหูฟังเสียงหัวใจเต้นกับลมหายใจสม่ำเสมอด้วยรอยยิ้ม ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้ ‘มากๆ’ ของลุงนั้นมันมากสักแค่ไหน ผมไม่หวังให้ตัวเองต้องได้เป็นที่หนึ่งด้วยเพราะลุงยังมีครอบครัวที่น่ารัก ผมแค่อยากให้ลุงรักผมจนขาดไม่ได้ ต่อให้ไม่ใช่ที่หนึ่งหรือที่สอง, สาม, สี่ แต่ที่ที่ผมยืนอยู่ต้องไม่ใช่สิ่งที่ลุงสลัดทิ้งได้ง่าย

นั่นล่ะ...ผมอยากจะอยู่ตำแหน่งนั้นไปนานแสนนาน


.

.

.


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะดังขึ้นก่อนที่บานประตูจะเปิดออกโดยพระรองหนุ่มหล่อ ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงพอดีตัว ผมละสายตาจากการสนทนากับลูกค้าทางโปรแกรมโซเชียลเพื่อต้อนรับใบหน้าเปื้อนของเพื่อน พันกรเดินมาตรงเข้ามาพร้อมกับแฟ้มงานสองชิ้นในมือ มันวางปุปลงบนโต๊ะผมแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกยาว

“แฟ้มสีดำคือเจ้าที่ยังปิดงานไม่ได้ สั่งแก้งานหลายรอบแล้วแต่ยังสรุปกันไม่ได้”

“ว่าง่ายๆ คือเรื่องมาก”  ผมขยายความให้สั้นๆ ลูกค้าประเภทนี้คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยกับสายงานแบบนี้ มีทั้งพวกแก้งานไม่จบสิ้น เปลี่ยนบรีฟไปมาเหมือนพวกสมองมีปัญหา พวกยกเงิกงานอย่างหน้าด้านๆ พยายามเบี้ยวเงินก็มี แต่ประเภทหลังๆ นั้นคนที่เจอก็จะเป็นพวกฟรีแลนซ์เสียมากกว่า พอมาในรูปบริษัทมันก็จะมีการตกปากรับคำในรูปสัญญาทำให้บิดพลิ้วกันไม่ได้ง่ายๆ

“แฟ้มสีน้ำเงินคือลูกค้าที่นัดเข้าไปคุยนะ”

ผมรับแฟ้มงานมาเปิดดูคร่าว แผ่นกระดาษแต่ละแผ่นมีรายละเอียดงานกับความต้องการคร่าว ชื่อบริษัทกับชื่อคนติดต่อ มีสถานที่นัดพร้อมกับเบอร์โทรชัดเจน ผมดูรายชื่อลูกค้าแล้วเดาะลิ้นเบาๆ พันกรมันหาลูกเก่งเหมือนเคย คราวนี้ได้บริษัทเครื่องสำอางชั้นนำมาซะด้วย ถึงจะต้องไปฟาดฟันกับเจ้าอื่นอีกแต่ผมค่อนข้างแน่ใจว่าฝีปากตัวเองต้องทำให้คว้างานมาได้แน่

“แล้วนี่มึงจะไปกี่โมง?”  ผมปิดแฟ้มแล้วหันมาถามเพื่อน พ่อหนุ่มหล่อพระรองขายดีนั้นมีคิวไปถ่ายละครที่ต่างประเทศหนึ่งสัปดาห์มันถึงเอางานมาประเคนให้ผมถึงที่ 

“เครื่องออกห้าโมงครึ่ง แล้วมึงจะเอาอะไรเพิ่มก็ส่งข้อความไปนะ” 

“ยังกะจะมีเวลามาเดินช้อปมากมาย”

“เอาน่า กูแว่บได้”  ว่าแล้วมันก็หัวเราะหึหึ แน่นอนว่าผมฝากรายการสั่งซื้อไปหลายอย่าง พวกนาฬิการุ่นลิมิเต็ดที่ยังไม่นำเข้ามาแล้วก็พวกรองเท้ากับหมวกของลุงที่เจ้าตัวเคยชี้ให้ดูรูปแต่ยังไม่มีโอกาสได้ซื้อ ...ก็ติดอยู่เรื่องเงินเท่านั้นล่ะคนนี้ ความอดทนต่อการอยากได้อะไรสักอย่างเป็นเลิศ คุณดาหลาก็เคยเปรยให้ฟังถึงความขี้งกของลูกชายว่าเงินเก็บมีเยอะแยะแต่กลับไม่เคยซื้อความสุขให้ตัวเอง

“แล้วนี่กูต้องเก็บเงินกับลุงหรือกับมึงล่ะ”  มันยกยิ้มถามทั้งที่รู้ดี

“ก็ต้องกับกูสิวะ”

“แหม มึงนี่มันพ่อบุญทุ่มจังเว้ย มึงเพิ่งซื้อเป้ราคาเป็นหมื่นให้น้องมันไปไม่ใช่เหรอ เปย์หนักมากนะมึงจนตอนนี้ลุงแทบจะแบรนด์เนมทั้งตัวแล้ว”

ผมยักไหล่ไม่ใส่ใจกับคำเสียดสี  “มันไม่เคยขอให้กูซื้อนั่นนี่ให้ แต่กูซื้ออะไรให้มันก็ใส่ทั้งนั้นแหละไม่รู้หรอกว่าราคาเท่าไหร่มั่ง”

“หลงมากไอ้ปูน ทั้งรักทั้งหลงจริงๆ”  พันกรส่ายหัวให้กับความหลงเมียขั้นหนักของผม  “นี่ถ้าน้องมันอยากได้บ้านได้รถขึ้นมา...”

“กูจะจูงมือมันไปเลือกเลย”

“ป๋าโคตรๆ”

ผมทำเพราะมันเป็นความสุขของผมต่างหาก ถ้าผมคบกับลุงแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็คงไม่มีลูกเต้าให้มาผลาญเงินในอนาคต เมื่อเห็นแน่ๆ แล้วว่ามันมากเกินที่จะใช้กันแค่สองคนไปจนแก่ หาได้เพิ่มเติมเท่าไหร่ผมก็เอามาบำรุงบำเรอเมียไม่ดีกว่าหรือ

“หามาให้ได้แล้วกัน” 

“ถ้ามึงไปส่งกูที่สนามบินวันนี้น่ะนะ”

“ต่อรองเก่ง... เออ! กูไปส่งแน่”  ผมสำทับก่อนจะโบกมือไล่เพื่อนแล้วกลับไปคุยงานที่ค้างอยู่ต่อ

มันอาจจะเหนื่อยเล็กน้อยที่ต้องขาดผู้ร่วมงานไปเพราะบริษัทนี้กำลังมั่นคงมากขึ้น มีงานหลากหลายเข้ามาพร้อมกับฐานลูกค้าเดิมที่จำนวน ผมคิดว่าคงต้องเปิดรับสมัครงานอีกสักหนึ่งรึสองตำแหน่งเพื่อมาช่วยงานในกรณีแบบนี้ แต่พันกรก็ดูว่าจะรับงานในวงการน้อยลงทุกที ดูจากการรับงานละครปีหนึ่งๆ แค่เรื่องหรือสองเรื่องเท่านั้น จะมีเพียงงานพิธีกรที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสทำที่ยังคงทำอยู่สม่ำเสมอและดูจะรุ่งในทางนี้เสียด้วย

พันกรคงอยากเอาตัวเองออกมาจากวงการนี้ทีละเล็กทีละน้อย ผมเองก็ไม่แน่ชัดว่าทำไมแต่ที่รู้คือ ‘โป้ย’ มีส่วนอยากมากในการตัดสินใจเช่นนี้

เพื่อนผมมันรักของมันจนจะเป็นจะตาย คนงี่เง่าน่าสมเพชแบบนั้นในที่สุดก็เริ่มจะกล้าให้ความหวังกับตัวเอง มันคงไม่อยากให้คนที่มันรักต้องมาเป็นขี้ปากชาวบ้านเท่าไหร่หรอก


.

.

.


เกือบอาทิตย์แล้วที่พันกรไม่อยู่

ลุงดูจะเป็นห่วงเพื่อนที่ดูจะหงุดหงิดงุ่นง่านจนผมชักจะรำคาญใจ เดี๋ยวก็ทิ้งผมไปนอนค้างห้องเพื่อน เดี๋ยวก็ชวนกันไปดื่มเหล้า ผมไม่รู้ว่าโป้ยมันไม่ชินหรืออย่างไรที่แฟนมันเป็นคนแบบนี้! การที่ไม่ชอบเล่นโซเชียล ไม่ค่อยตอบข้อความน่ะเป็นเรื่องปกติสำหรับกรมาตั้งนานแล้ว ถ้ามีธุระด่วนก็เป็นอันรู้กันว่าต้องโทรไปหาเท่านั้น


อ้อ...แต่เห็นว่าโทรไปแล้วไม่มีสัญญาณตอบรับนี่นะ


มองอีกมุมผมก็เข้าใจโป้ยอยู่หรอก เพราะถ้าเกิดขึ้นกับตัวเองผมคงจะบินไปหาลุงแล้วถามความให้กระจ่างไปแล้ว ผมเชื่อว่าโป้ยมันก็คงอยากทำแบบนั้นอยู่หรอก แต่ติดตรงที่ว่าถ้าขืนมันทำลงไปคงกลายเป็นข่าวใหญ่แน่

“มาแล้วๆๆ”  เสียงร่าเริงของลุงมาพร้อมกับถุงใส่ของกินเต็มสองมือ โดยที่มีผมเดินหิ้วถุงน้ำแข็งกับน้ำอัดลมสองขวดใหญ่ตามมาติดๆ

“มาเลยๆ เตรียมพร้อมแล้ว”  พี่ริชเดินผ่านลุงมาหาผมด้วยสีหน้าเริงร่ายิ่งกว่า ส่งมือมารับของทั้งหมดไปถือเอง  “ขอบคุณนะครับอุตส่าห์เลี้ยงแท้ๆ ยังต้องออกไปซื้อมาให้อีก”

“พี่ริช! ของผมก็หนักนะ”  ผมอมยิ้มกับสีหน้าปึ่งงอนของคนรัก แก้มป่องๆ นิ่มๆ นั่นทำให้คนอยากจะส่งนิ้วไปคีบเล่นเสียงจริง

“พี่เลือกปฏิบัติจ้ะ”  ว่าพลางยักไหล่แล้วก็เร่งฝีเท้าตามคนงอนไป

ผมตามเข้าไปหลังสุดเพราะหยุดรับโทรศัพท์จากลูกค้าชั่วครู่ พอเดินเข้ามาที่ห้องอาหารก็ไม่มีที่นั่งเสียแล้ว อาหารอีสานร้านเด็ดในละแวกละลานตาเต็มโต๊ะไปหมด บางอย่างผมไม่เคยกินด้วยซ้ำ บางอย่างลุงก็สั่งเบิ้ลอย่างรู้ดีว่าทุกคนชอบ ทุกคนมองผมเป็นตาเดียวเมื่อเดินเข้าไป

“ทำไมยังไม่กินกัน”

“ก็รอเจ้าภาพมาเปิดงานไงครับ”  โป้ยตอบเสียงเนือย แต่ในมือมีน่องไก่ที่แหว่งจากการกัดไปแล้ว

“พี่ปูนมานั่งนี่”  ลุงเรียกผม พร้อมเลื่อนที่ว่างที่เว้นไว้ให้ออกให้ผมแทรกตัวลงนั่ง พอมองดีๆ แล้วลุงกับโป้ยนั่งเก้าอี้พลาสติกที่ไม่ได้เข้าพวกกับชุดโต๊ะอาหารอย่างดีเสียเท่าไหร่  “แล้วเก้าอี้พวกนี้?”

“อ๋อ~ พวกผมหุ้นเงินกันซื้อมาครับ เวลาสังสรรค์กันจะได้นั่งกันครบๆ”  พี่ริชชี้แจง ผมก็พยักหน้ารับโดยไม่ต่อความอะไร แต่คิดถึงว่ายามรับพนักงานมาเพิ่มห้องอาหารแคบๆ แบบนี้จะเพียงพอหรือไม่

“กินกันเลยครับ”  ผมพูดเปิดงาน เพียงเท่านั้นก็ไม่รู้แล้วว่ามือใครเป็นมือใคร จิ้มนั่น ตักนี่ ขวักไขว่กันเหมือนสงครามย่อมๆ มีสุภาพชนหน่อยก็เห็นจะเป็นพี่เปี๊ยกที่ค่อยๆ ตัก ค่อยๆ เคี้ยว ยิ่งคนข้างผมนี่เหมือนองค์ปอบลง กินเร็วจนช้อนกระทบฟันดังกึกทำเอาน้ำส้มตำเลอะมาตามคาง

“ค่อยๆ กินสิ”  ผมดึงทิชชู่จากเคาน์เตอร์ข้างหลังมาเช็ดปากให้เด็กตะกละ

“หยิบน้ำให้ลุงหน่อย”  สิ้นคำสั่ง ผมก็หันไปหยิบแก้วน้ำอัดลมส่งให้อีกฝ่ายดื่ม เสร็จสรรพก็ยังหันกลับไปวางที่เดิมให้

“พี่ปูนกินหมูย่าง”  ลุงก็ทำน่ารักโดยกันตักหมูย่างหอมๆ ให้ผมหลายชิ้นพร้อมกับน้ำจิ้มแจ่วที่ตักวางไว้เล็กน้อยตรงขอบจาน  “ข้าวเหนียวมั้ย?”  ผมส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธ ลุงก็เปลี่ยนไปตักตำข้าวโพดคู่กับไข่เค็มหนึ่งซีกมาให้แทน

“พี่อยากกินปลาเผา”

“ได้สิ แถวบ้านมีร้านเมี่ยงปลาเผาอร่อยๆ อยู่ แล้วลุงจะทำต้มยำให้ด้วย”

“ไอ้ลุง…”  เสียงเรียบๆ ดังขึ้นจากด้านข้าง ผมหันไปมองโป้ยที่กำลังสะกิดเพื่อนตัวเองให้สนใจ

“มีอะไร เอาน้ำเหรอมึง?”

“เปล่า แค่อยากรู้ว่า...”  โป้ยมองลุงแล้วเลยมาทางผมด้วยสายตาเบื่อหน่าย  “มึงคิดว่าตอนนี้กินข้าวกันอยู่แค่สองคนเหรอ”

“อ่ะ!!...”  ลุงชะงักไปเล็กน้อย กวาดสายตามองคนอื่นรอบโต๊ะเหมือนคนไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไงดี ผมเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้  “เอ่อ ผมหมายถึงซื้อปลาเผามากินด้วยกันที่ออฟฟิศแล้วผมจะทำต้มยำมาด้วยไง”

ผมมองทุกคนที่พากันก้มหน้ากลั้นยิ้มเงียบๆ หูก็ได้ยินเสียงพี่ริชแซวเบาว่า ‘ไม่ทันแล้วจ้า’ สงสัยความสัมพันธ์ของผมกับลุงก็คงรู้กันทั่วไปแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมาเท่านั้นเอง

“พวกพี่อยากกินใช่มั้ย? ใช่หรือเปล่า?”  แต่เจ้าตัวเขาดูจะยังยอมรับไม่ได้เลยชักชวนให้คนอื่นคล้อยตามเป็นการใหญ่

“ครับๆ พี่อยากกิน”  พี่เปี๊ยกพยักหน้าตามน้ำไปด้วยสีหน้าแบบกึ่งขำกึ่งสงสารรุ่นน้องเต็มที

“จ้า พี่ก็อยากกิน เดี๋ยวหาร้านให้นะว่าที่ไหนอร่อย”  พี่ริชอมยิ้มแล้วทำทีหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเล่น ผมเดาว่าเขาคงไม่ได้ตั้งใจหาร้านหรอกเพียงแค่อยากแก้เก้อให้น้องก็เท่านั้น เพราะนั่งปัดหน้าจอไปได้สักพักก็เอนหัวชนกับพี่จิ๋ม คิ้วขมวดมุ่นปากก็เริ่มซุบซิบแลกเปลี่ยนข้อสงสัยกัน

“ไม่จริงหรอกค่ะ พี่ว่าข่าวลวง”  พี่จิ๋มพูดเสียงเบาแต่มันก็ดังพอให้คนบนโต๊ะได้ยินกัน

“แต่คุณกรไม่เคยมีข่าวกับใครเลยนะพี่”  คราวนี้มีชื่อของหัวข้อสนทนาหลุดมาจากปากพี่รีชด้วย เล่นเอาเมียผมหูผึ่งตั้งใจสนอกสนใจทันที

“ข่าวพี่กรเหรอพี่?” 

“ใช่ นี่ไง!”  พูดจบพี่ริชก็ยื่นมือถือข้ามโต๊ะส่งให้ลุงดูปากก็ยังพูดวิเคราะห์ไปด้วย ผมหันไปมองตามก็เห็นสองเพื่อนซี้เอาหัวติดกันไปอีกคู่  “คุณกรอยู่ในวงการมานานไม่เห็นเคยจะมีข่าวกับใครสักคน ลุงว่าคนนี้ใช่แฟนคุณกรมั้ย?”

“คนนี้ที่เป็นนักแสดงใหม่นี่ ลุงเคยเห็นว่อบไปแว่บมาในละคร”  ลุงบอกรายละเอียดได้นิดหน่อย ไอ้ละครที่ว่าก็คงมาจากสองสาวที่บ้าน  “แต่พี่สาวลุงบอกว่าถึงจะหน้าตาพอไปวัดได้ แต่เล่นแข็งก็เลยยังไม่ดัง”

“ใช่ค่ะ ป้าก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”  ป้าจิ๋มรับคำทันท่วงที  “เล่นมาหลายเรื่องแล้วนะ แต่ไม่เห็นพัฒนาเลย”

“นี่คงเล่นเรื่องเดียวกับคุณกรแน่ แต่ทำไมถึงได้มีรูปแบบนี้มาก็ไม่รู้”

ปกติแล้วผมไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านหรอกนะ แต่...คราวนี้มันอดใจลำบากจริงๆ

ผมยื่นหน้าเข้าไปร่วมสุมหัวด้วยอีกคน สองตามองข้อความที่ลุงเลื่อนอ่านอย่างช้าๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ เนื้อหาดูจะเป็นการอธิบายว่าผู้ชายในภาพเป็นใคร งานในวงการมีอะไรบ้าง แล้วก็คล้ายจะโปรโมทละครที่กำลังเล่นไปในตัว

‘คู่จิ้นคู่ใหม่ปรากฏ!’

‘พักกองสุดหวาน หรือบทบาทจะกลายเป็นการสานสัมพันธ์รัก’

‘การพลิกบทบาทสวมบทชายรักชายครั้งแรกของกร พันกร’


จากนั้นลุงก็ปัดนิ้วเลื่อนไปเจอรูปภาพที่ดูเหมือนเป็นการแอบถ่าย ภาพนั้นคุณภาพไม่ละเอียดเท่าไหร่นักแต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นรูปของพันกรถูกชายหนุ่มหนึ่งคนหอมแก้ม รูปต่อมาเป็นรูปที่ทั้งคู่มองหน้ากัน และรูปสุดท้ายเป็นรูปที่พันกรกำลังยีผมอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


อู้ว~


ผมเหลือบตาไปยังสุดที่รักของคนในรูปแต่กลับพบเพียงสายตาเรียบนิ่ง ผมเกือบจะเชื่อว่าโป้ยมันไม่คิดเชื่ออะไรแบบนี้อยู่แล้วเชียวถ้าไม่ทันได้เห็นกรามที่ขึ้นเหลี่ยมมุมชัดเจนจากการขบฟันจนแน่น

“คุณปูนว่าไงครับ?”  พี่ริชหันมาขอความคิดเห็น

“ริช อย่าเกินไป”  พี่เปี๊ยกเอ็ดเพื่อนเบาๆ ทำเอาพี่ริชหน้ายู่ลงอย่างขัดใจแต่ก็สงบปากลงไม่ถามเซ้าซี้อะไรอีก แต่เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมซึ่งเป็นเพื่อนของบุคคลในหัวข้อสนทนาจะไม่ชี้แจงอะไรเลยก็จะหาว่าสนิทกันไม่มากพอ

“มันก็แค่รูปถ่ายน่ะครับ”  ผมเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นพี่ริชกับป้าจิ๋มพยักหน้าเห็นด้วยจึงพูดต่อว่า  “แต่มันก็เป็นหลักฐานอย่างดีพี่ว่ามั้ย?”

“เอ๊ะ?? หมายความว่าไงคะ!!”

ผมเหยียดยิ้มมองคนอยากรู้อยากเห็นแต่ไม่พูดอธิบายอะไรเพิ่มเติม สองสาวต่างบ่นอุบแต่นาทีต่อมาก็เริ่มหันไปคุยเรื่องอื่นกันต่อ ผิดกับบางคนที่โดนผลกระทบจากภาพถ่ายมากกว่าใคร

ครืด!

เสียงเก้าอี้ถูกเคลื่อนโดยแรง ทุกสายตาหันไปมองคนบางคนนั้นที่ลุกเดินจากไปเงียบๆ

“พี่ปูน!”

ลุงดุพร้อมกับตีแขนผมเบาๆ ผมแค่ยกยิ้มสมใจ

ใครใช้ให้ไอ้โป้ยชอบปั่นหัวผมกันล่ะ! 

 
 

 ------------------------------------------------------------------------------

ย้อนอ่านเลยจ้า  ย้อนอ่านเลยจ้า
นานเป็นชาติกว่าจะมาแต่ละตอน
กราบขอโทษนักอ่านงามๆ เลยค่ะ
 :mew4: :mew4:




ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 574
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
กลับมาแล้ว~  :mc3: :mc2: :mc4:
น้องลุงก็ยังน่ารัก ดีกับใจเหมือนเดิม
ดีใจกับพี่ปูนที่หลุดพ้นจากอดีตได้แล้ว มีความสุขกับปัจจุบันดีกว่าเนอะ
เอ็นดูน้องลุง ดูแลพี่ปูนดีขนาดนั้น ความรักที่น้องมีให้พี่ปูนมันแสดงออกมาจนเขาเห็นกันทั้งบริษัทแล้วครับ
 :pig4:

ออฟไลน์ aorpp

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1274
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +250/-3
งือๆๆ ได้อ่านต่อแล้ว ดีใจๆๆๆๆ
ลุงน่ารักที่สุด ยังคงเป็นพลังใจให้พี่ปูน คู่นี้เลิฟๆกันจริง
อีกคู่นี่สิ ลุ้นต่อไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด