[H.E.A.R.T.] Trap หัวใจพ่ายรัก
Part 4# Wayo ไม่ได้เขิน (จริง ๆ นะ!)
วันต่อมา
พี่ธามมารับผมที่บ้านเหมือนเมื่อวาน เพียงแค่มารับเช้าขึ้น 10 นาทีเพราะเดี๋ยวเข้างานสาย และจากนี้ไปพี่ธามก็จะมารับผมเวลานี้ทุกวัน ส่วนขากลับก็จะมารับเวลาเดิม ยกเว้นถ้าวันไหนพี่ธามมีงานด่วนหรือโดนบังคับให้ทำโอที พี่ชายคนใดคนหนึ่งของผมจะเป็นคนมารับเอง
ผมเคยถามพวกพี่ๆ นะว่าเบื่อรึเปล่าที่ต้องไปรับไปส่งผม เพราะผมขับรถไม่เป็นแล้วก็ไม่อยากไปเรียนด้วย เอาง่ายๆ ก็คือขี้เกียจนั่นแหละ ก็แหม...นั่งอย่างเดียวมันสบายกว่านี่นา ขับรถไปไหนมาไหนเองมันเหนื่อยจะตาย แต่พวกพี่ๆ ก็ไม่มีใครว่าอะไรนะ มีแค่พี่เพลิงคนเดียวนั่นล่ะที่หาเรื่องบ่นให้ผม แต่พอผมบอกให้มารับก็ไม่เห็นจะปฏิเสธสักที
ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ จะโทษพวกพี่ๆ ที่มักจะสปอยล์น้องเล็กอย่างผมตั้งแต่เด็กน่ะก็ใช่ แต่ส่วนใหญ่มันก็มาจากนิสัยของผมด้วยล่ะนะ
ก็ไม่รู้ว่าไอ้คนที่นิสัยแย่อย่างผมมันมีอะไรดีให้พี่ธามชอบ แถมยังชอบมาอย่างยาวนานถึง 3 ปี ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่ได้รู้สึกชอบหรือรักพี่เขา แต่ผมก็หวังว่าสักวันผมจะรู้สึกอย่างนั้น ผมไม่อยากทรยศหักหลังความรู้สึกของพี่เขา เพราะผมรู้ดีว่าการแอบรักโดยที่อีกฝ่ายไม่เคยเห็นค่ามันเจ็บแค่ไหน
“ขอบคุณนะครับพี่ธาม ขอบคุณมากๆ เลย” ผมพูดขึ้นเมื่อรถของพี่ธามมาจอดตรงหน้าบริษัท
“อะไรกันครับ พี่แค่มาส่งก็ขอบคุณซะใหญ่โตเชียว” รอยยิ้มของพี่ธามไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ยังคงอบอุ่นเสมอ แม้ว่าผมกำลังจะทำเรื่องที่พี่เขาไม่ค่อยเห็นด้วยก็ตาม แต่พี่เขาก็ไม่ได้ห้าม ยังคงตามใจผมไม่เปลี่ยน
“ผมขอบคุณสำหรับทุกเรื่องนั่นแหละ แล้วเจอกันตอนเย็นนะครับพี่ธาม” ผมยิ้มกว้างแล้วโบกมือลา จากนั้นก็เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินขึ้นตึกไปเลย
ผมลงเวลาที่ฝ่ายบุคคลแล้วขึ้นไปบนแผนกที่ตัวเองฝึกงาน ตอนนี้พึ่งจะ 8 โมง 20 กว่าๆ อีกตั้ง 30 กว่านาทีจะเริ่มทำงานเพราะงั้นเลยยังไม่มีคน ผมเอากระเป๋าวางไว้ที่โต๊ะแล้วเดินเข้าไปในครัว เพื่อที่จะชงไมโลกับหาขนมที่เป็นสวัสดิการฟรีกินสักหน่อย แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะเจอใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่นี่
“อ๊ะ! พี่โซ่”
“อ้าว มาเช้าจังวา อรุณสวัสดิ์ครับ” อยู่กันแค่สองคนไม่ต้องเก๊กเสียงหล่อแล้วก็แอ๊บพูดเพราะสร้างภาพเป็นคนดีก็ได้มั้งแหม่
“ผมต้องติดรถมากับพี่เลยต้องมาเช้าน่ะครับ แล้วพี่ล่ะ มาเช้าแบบนี้ทุกวันเลยหรอ”
“ก็ส่วนใหญ่ล่ะนะ ออกบ้านสายรถมันติด เอาเวลามานั่งกินกาแฟกับของว่างชิลๆ ดีกว่า”
“อ๋อ” ผมพยักหน้ารับรู้แล้วเดินไปเปิดตู้ชั้นบนเพื่อหาขนม ตอนแรกผมก็ว่าจะชงไมโลนั่นล่ะ แต่ว่าไอ้พี่โซ่กำลังชงกาแฟอยู่ผมเลยต้องหาขนมรอ
“เอาไมโลมั้ยเดี๋ยวพี่ชงให้” ถึงจะถามแบบนั้นแต่ไอ้พี่โซ่ก็หยิบซองไมโล 3 in 1 มาฉีกตรงมุมเรียบร้อย แล้วพี่จะถามผมเพื่อ!
“ขอบคุณครับพี่” แน่นอนว่าผมไม่ได้พูดไอ้ที่อยู่ในใจออกไปหรอก ผมปล่อยให้ไอ้พี่โซ่จัดการชงไมโลให้ผม ส่วนผมก็หยิบขนมที่มีอยู่หลายอย่างออกมาอย่างละอัน ถึงแม้ว่าผมจะอยากกินมากกว่านั้น แต่พอคิดถึงน้ำหนักที่มันจะต้องขึ้นแน่ๆ ผมก็เลยต้องหักห้ามใจ
ทำไมของอร่อยมันต้องอ้วนด้วยว้าาาาาาา
“นี่ไมโลของวา” ไอ้พี่โซ่เลื่อนแก้วไมโลที่คนจนละลายเรียบร้อยแล้วมาให้ผม
“ขอบคุณครับ” ผมยื่นมือออกไปรับแก้วมาแล้วเปิดกระปุกน้ำตาลเพื่อที่จะตักใส่ในแก้วเพิ่มอีกช้อน เมื่อก่อนผมเคยอ้วนล่ะนะมันก็เลยติดหวาน แต่ว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ตักน้ำตาลไอ้พี่โซ่ก็จัดการเบรคซะก่อน
“เดี๋ยวก่อนวา”
“ครับ?”
“จะใส่น้ำตาลหรอ”
“อาฮะ”
“พี่ใส่ไปแล้ว”
“หา?”
“คือพี่ลืมน่ะว่ามันเป็นไมโล 3 in 1” ไอ้พี่โซ่ยิ้มแห้งๆ
บ้าจริง ตกใจหมด ผมก็ยังนึกอยู่ว่าไอ้พี่โซ่มันรู้ได้ไงว่าผมเป็นคนกินหวานขนาดนี้ คนปกติมีที่ไหนจะใส่น้ำตาลเพิ่มลงไปในไมโล 3 in 1
“แล้วนี่ปกติวากินหวานหรอ”
“ครับ ผมชอบกินพวกขนมแล้วก็ของหวานด้วย” ผมก็ตอบไปงั้น ไม่คิดว่าไอ้พี่โซ่มันจะทำป๋าออกปากอยากเปย์ผม
“งั้นวันนี้หลังทำงานเสร็จไปกินกัน เดี๋ยวพี่เลี้ยง” ถ้าเป็นคนอื่นแน่นอนว่าผมต้องไม่พลาด ยิ่งกินฟรีด้วยแล้วไปไหนไปกัน แต่สำหรับคนอย่างไอ้พี่โซ่นั้นบอกเลยว่าโนววววว
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ผมเกรงใจ (แต่ถ้าจะเอาตรงๆ คือรังเกียจมาก) อีกอย่างหลังเลิกงานพี่ผมก็ต้องมารับด้วย” เรื่องอะไรผมจะเทพี่ธามไปกับไอ้พี่โซ่ล่ะ กรงจักรขึ้นสนิมกับดอกบัวสวยๆ แน่นอนว่าผมก็ต้องเลือกดอกบัวอยู่แล้ว
“หลังเลิกงานวาก็กลับกับพี่ชายตามปกตินั่นแหละ แต่ที่พี่บอกน่ะหมายถึงหลังทำงานเสร็จไปกินของหวานกันต่างหาก”
“ผมไม่เข้าใจที่พี่โซ่พูด” ผมก็ว่าผมไม่ได้เป็นคนโง่หรือเข้าใจอะไรยากนะ แต่ประโยคที่ไอ้พี่โซ่พูดมันทำเอาผมมึนตึ้บไปหมดแล้ว
“อ้อ แสดงว่าวายังไม่ได้อ่านจดหมายคำสั่งที่โต๊ะสินะ วันนี้เราสองคนต้องไปแจกแบบสอบถามที่สยามกัน เพราะงั้นวาเลือกร้านที่อยากกินได้เลยเดี๋ยวทำงานเสร็จพี่พาไปกิน”
“แต่พี่โซ่...”
“ห้ามปฏิเสธ” ไอ้พี่โซ่ยื่นนิ้วชี้มาแตะที่ปากของผมเอาไว้ ผมที่ไม่คิดว่าไอ้พี่มันจะทำแบบนี้ก็ถึงกับยืนเอ๋อแล้วก็เบิกตากว้างอย่างเดียวน่ะสิ
ไอ้คนสารเลวชอบฉวยโอกาสเอ๊ย! บอกอย่างเดียวก็พอ นิ้วน่ะไม่ต้องเอามาแตะที่ปากผมก็ได้มั้งแหม่!
...................................................
..................................
.................
ผ่านไปแค่แป๊บเดียวช่วงครึ่งวันเช้าก็ผ่านพ้นไปแล้ว โอเคแหละมันก็มีแค่ 3 ชั่วโมงเอง แต่ระหว่างนั้นผมก็ตระเวนไปตามโต๊ะของพี่คนนู้นคนนี้ว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย ก็ผมไม่อยากคิดถึงเรื่องตอนที่อยู่ในครัว แบบว่ามันทำหน้าไม่ถูก กลัวจะหลุดคีพลุคแล้วด่าไอ้พี่โซ่ไปน่ะสิ
“เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันน้องวา” พี่ฟลุคชวนผมที่กำลังคัดแยกเอกสารอยู่ใกล้ๆ
“โอเคครับพี่” ผมรีบวางงานในมือแล้วไปหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าตังที่โต๊ะ ส่วนไอ้พี่โซ่ผมหรือพี่ฟลุคไม่ต้องเปลืองน้ำลายชวนหรอก เพราะมิ้งได้จัดการชวนเรียบร้อยพร้อมเกาะติดเป็นเห็บหมัด เห็นแล้วชักรำคาญลูกตา แต่ก็เอาเถอะ สมกันดียิ่งกว่าสัมภเวสีกับผีตายซากซะอีก!
วันนี้พวกผมไปกินข้าวร้านข้างนอก ใกล้ๆ บริษัทมีร้านอาหารให้เลือกกินพอสมควร มีตั้งแต่ข้าวราดแกง ตามสั่ง สเต็ก บุฟเฟต์ แล้วก็อาหารจากนานาชาติ ซึ่งพวกผมก็เลือกกินตามสั่งธรรมดานี่แหละ ไว้มีโอกาสพิเศษค่อยกินร้านที่มันดีกว่านี้หน่อย อีกอย่างผมกับไอ้พี่โซ่ก็ค่อนข้างรีบด้วยเพราะช่วงบ่ายต้องไปสยามต่อ
ประมาณครึ่งชั่วโมงพวกเราก็กินข้าวกันเสร็จ ความจริงจะเสร็จเร็วกว่านี้อยู่แหละถ้ายัยมิ้งไม่เอาแต่ชวนคุย แน่นอนว่าก็คุยแต่กับไอ้พี่โซ่ ทำอย่างกับว่าโลกนี้มีแค่เราสองคน ส่วนผมกับพี่ฟลุคก็นั่งเซ็งเป็นธาตุอากาศไป
ผมกับไอ้พี่โซ่ขึ้นไปเก็บของกับเอาแบบสอบถามบนแผนก พอเสร็จก็มาขึ้นรถของไอ้พี่มันตรงลานจอดรถด้านหน้าแล้วตรงไปสยาม ระหว่างทางผมกับไอ้พี่มันไม่ได้คุยอะไรกันมาก แต่การเดินทางก็ไม่นานเพราะรถไม่ค่อยติดเท่าไหร่
“มันต้องเริ่มไงครับพี่โซ่ ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้อะครับ” ตอนนี้พวกผมอยู่ตรงลานพาร์คพารากอน โดยมีแบบสอบถามในมือคนละ 100 แผ่น ถึงจะเป็นช่วงบ่ายแต่คนก็สัญจรไปมาใช้ได้ เด็กนักเรียน (ที่น่าจะโดดเรียน) ก็พอมี ส่วนนักศึกษาก็เห็นพอสมควร
“เริ่มจากยิ้มหวาน ใครยิ้มให้เราตอบก็เดินเข้าไปทักแล้วยื่นแบบสอบถามให้เลย จบ”
“แค่นั้นน่ะหรอครับ มันไม่ดูง่ายไปหน่อยหรอ” จากประสบการณ์ตรงเลยนะ ใครเข้ามาหาแบบนี้มีแต่ผมจะยิ่งเดินหนีไปให้ไกล ไม่รู้ว่าจะมาหลอกขายตรงหรือขายประกันรึเปล่า
“แค่แจกแบบสอบถามมันก็ไม่ได้ยากนี่ครับ”
“แต่ผมว่ามันยากนะพี่ จะมีสักกี่คนที่จะยอมทำให้เรา ยืนทั้งบ่ายจะได้ถึง 20 คนมั้ยก็ไม่รู้”
“ก็ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะยาก แต่ถ้าเป็นพี่กับวาเชื่อเถอะว่าง่าย” ไอ้พี่โซ่ขยิบตาให้ผมแล้วเดินไปหานักศึกษากลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินมาทางนี้ ผมไม่ได้ยินหรอกว่าไอ้พี่มันพูดอะไรบ้าง แต่รอยยิ้มพิฆาตกับหน้าหล่อๆ ของไอ้พี่มันก็ตกสาวๆ กลุ่มนั้นได้แล้ว เพียงไม่ถึง 5 นาทีแบบสอบถามในมือของไอ้พี่มันก็เสร็จไปแล้ว 7 ใบ
“ไงครับวา ไม่ได้ยากอย่างที่พี่บอกเลยใช่มั้ยล่ะ” ไอ้พี่โซ่เดินเข้ามาหาผม ผมรู้สึกหมั่นไส้รอยยิ้มที่มั่นหน้ามั่นโหนกในความหล่อของตัวเอง เลยจัดการแบ่งแบบสอบถามครึ่งนึงในมือของผมไปให้ไอ้พี่มัน
“ถ้างั้นพี่โซ่ก็ช่วยผมทำด้วยแล้วกันนะครับ” ผมพูดยิ้มๆ
“เหมือนพี่จะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธสินะ” ผมยักไหล่ ไอ้พี่โซ่เลยหัวเราะออกมาเบาๆ
จากนั้นไอ้พี่มันก็ชวนผมเดินเข้าไปทักกลุ่มสาวๆ ไม่ว่าจะเป็นสาวน้อยสาวใหญ่ไอ้พี่มันไปหาหมด ซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แถมบางคนโดยเฉพาะสาวใหญ่นี่ให้ความร่วมมือดีเกินไปซะด้วยซ้ำล่ะมั้งผมว่า ทั้งถามชื่อ ขอเบอร์ ขอไลน์ แล้วก็เต๊าะไอ้พี่มันกันใหญ่ (ส่วนผมคงไม่ใช่ทาร์เก็ต) แถมมีหนักกว่านั้นคือถึงขั้นลวนลาม อย่างควงแขน ซบไหล่ ทำเป็นเอามือจับตรงนั้นตรงนี้ หรือแม้กระทั่งหยิกแก้มไอ้พี่มันก็โดน แต่ที่ผมงงคือไอ้พี่มันไม่ได้ว่าอะไรแถมยังยิ้มแย้มคุยเล่นเหมือนเดิมอีกต่างหาก
เฮอะ! สงสัยจะชอบล่ะสิท่าที่ถูกสาวๆ ลวนลามแบบนี้!
ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยเดินหนีไปแจกแบบสอบถามที่อื่น เริ่มจากที่สถานีรถไฟฟ้า จากนั้นก็ลงไปเดินตามสยามซอยนั้นซอยนี้ มีหลายคนที่ให้ความร่วมมือกับผมเป็นอย่างดี แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่มองแรงใส่ไม่คิดจะสนใจ ซึ่งผมก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก แถมยังแอบรู้สึกผิดด้วยซ้ำเพราะเมื่อก่อนผมก็เคยทำแบบนี้ แต่จากนี้ไปผมสัญญาเลยว่าถ้าไม่ใช่ขายตรง ประกัน หรือหลอกล่อให้ช่วยซื้อสินค้าผมจะไม่ทำเป็นเมินอีกเด็ดขาด
ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองเดินมานานขนาดไหนแล้ว เพราะก่อนจะปลีกตัวออกมาผมไม่ได้ดูนาฬิกา แต่ว่ามันคงนานพอดูเพราะตอนนี้ผมเริ่มเจ็บเท้า ท่าทางไอ้รองเท้าที่พึ่งซื้อมาใหม่มันจะทำพิษผมซะแล้ว
ความจริงคู่นี้ผมใส่ตั้งแต่เมื่อวาน แต่ว่าเมื่อวานผมไม่ได้เดินไกลขนาดนี้เลยไม่รู้สึกว่ามันกัด แถมในแผนกผมก็ใส่สลิปเปอร์อยู่ตลอด นี่ถ้าตอนนี้ผมอยู่กับพี่เพลิง ไอ้พี่บ้านั่นมันคงจะบอกให้ผมถอดรองเท้าออกมากัดเพื่อเอาคืนไปแล้ว
“หึหึ” ผมหัวเราะออกมา ทั้งที่ตอนนี้นิ้วก้อยกับหลังส้นเท้านั้นเจ็บแทบบ้า แต่ผมก็ฝืนสังขารลากเท้าไปแจกแบบสอบถามต่อ จนกระทั่งครบแล้วผมถึงค่อยหาที่นั่งพักแล้วก็ถอดรองเท้าออกมา
โอ้มายก็อด! นี่ถึงขนาดเลือดออกเลยงั้นหรอ มิน่ามันได้ถึงเจ็บจนผมแทบน้ำตาเล็ดขนาดนี้
และในขณะที่ผมกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเอายังไงดี โทรศัพท์ของผมที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงมันก็สั่นขึ้นมา ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็คือพี่โซ่
“ครับพี่?” ก่อนจะออกมาจากออฟฟิศไอ้พี่โซ่มันขอเบอร์ผมเอาไว้ ความจริงผมก็ไม่อยากให้หรอกแต่ก็เผื่อหลงกัน นี่ถ้าไม่ติดว่าไอ้พี่มันดูที่หน้าจอของผมตอนเม็มชื่อ ผมจะเม็มชื่ออื่นที่เป็นคำด่าไม่ใช่คำธรรมดาแบบนี้ไปแล้ว
[“วาอยู่ไหนครับ แจกแบบสอบถามเสร็จรึยัง”]
“เสร็จแล้วครับ ผมอยู่ซอย 2 เดี๋ยวเดินไปหา”
[“ให้พี่เดินไปรับมั้ย”]
“ไม่ต้องหรอกพี่ เดินไปเดินกลับเหนื่อยเปล่าๆ เจอกันที่ลานจอดรถเลยก็ได้ แค่นี้นะครับ” แล้วผมก็กดวางสายไป จากนั้นก็สูดหายใจลึกๆ ก่อนจะสวมรองเท้ากลับไปใหม่แล้วกลั้นใจลากสังขารเดินไปหาไอ้พี่โซ่
ระยะห่างจากสยามสแควร์ซอย 2 ไปลานจอดรถของพารากอนมันก็ไม่ได้ไกลมาก แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันห่างกันราวกับอยู่คนละภาคก็ไม่ปาน ซึ่งขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะถอดรองเท้าเดินแม่มเลยดีกว่า ไอ้พี่โซ่ที่ผมคิดว่าตอนนี้น่าจะถึงลานจอดรถแล้วกลับกำลังเดินตรงมาหาผม
“ทำไมถึงเดินมานี่ล่ะครับพี่โซ่” ผมพยายามเดินให้เป็นปกติ แม้ว่าน้ำตากำลังจะเล็ดเพราะเจ็บจะตายอยู่แล้ว
“จำไม่ได้หรอว่าพอเสร็จงานพี่จะพาไปเลี้ยงขนม” เออ ผมก็ลืมไปเลย “ว่าแต่เท้าเป็นอะไรน่ะครับวา ทำไมถึงเดินท่าแปลกๆ แบบนั้น”
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ พี่โซ่คิดมากไปแล้ว”
“รองเท้ากัดใช่มั้ยวา”
“เปล่าหรอกพี่ ไม่มีอะไรจริงๆ” ผมฝืนยิ้มออกมาแล้วกลั้นใจจะเดินต่อ แต่ไอ้พี่โซ่ก็ดันเอาตัวเข้ามาขวาง จากนั้นก็ย่อตัวคุกเข่าที่พื้นโดยหันหลังให้ผม
“ขึ้นมาครับวา”
“หา?”
“มาขี่หลังพี่”
“บะ...บ้า! ไม่เอาพี่! ผมเดินเองได้!” เรื่องน่าอายแบบนั้นใครมันจะไปทำลงกันเล่า แถมนี่ก็เป็นช่วงเย็นแล้วด้วย คนมันเยอะกว่าตอนช่วงบ่ายหลายเท่าเลยนะ
“วาอย่าดื้อ ขึ้นมา ขาเจ็บขนาดนั้นจะเดินเองได้ยังไง” เสียงไอ้พี่โซ่เริ่มเข้มขึ้น
ไอ้พี่บ้า! ถึงจะทำเสียงเข้มขึ้นกว่านี้อีก 10 เลเวลก็ฝันไปเถอะว่าผมจะยอม!
“ก็ผมบอกว่าไม่เป็นไรไงพี่ ผมเดินเองได้จริงๆ”
“ถ้าวาไม่ขึ้นขี่หลัง งั้นพี่ก็จะอุ้มวาท่าเจ้าหญิงนะ จะเอาอย่างนั้นใช่มั้ย” ไอ้พี่โซ่พูดเสียงดุ จากนั้นก็ทำท่าจะลุกขึ้นมาอุ้มผมท่านั้นจริงๆ
ฉิบหายแล้วสิ! นี่ไอ้พี่โซ่มันคิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย!
“ขะ...ขี่หลัง! ขี่หลังก็ได้พี่!” แล้วผมก็ต้อมยอมขึ้นขี่หลังไอ้พี่โซ่จนได้ ไอ้พี่มันที่เห็นผมยอมทำตามก็ยิ้มออกมาอย่างได้ใจ
ให้ตาย! ไม่สบอารมณ์ชะมัด!
“เป็นเด็กดีอย่างนี้สิค่อยน่ารักหน่อย” ไอ้พี่โซ่พูดอย่างอารมณ์ดี แต่ผมนี่สิอยากจะกัดหูไอ้พี่มันเป็นบ้า ตอนนี้หน้าของผมร้อนมากจนแทบจะทอดไข่ได้ ส่วนหัวใจก็เต้นเร็วสุดๆ จนผมกลัวว่ามันจะหลุดออกมา
“ผมไหว้ล่ะพี่ รีบๆ เดินเถอะครับอย่าพูดอะไรเลย”
“ทำไมครับ หรือว่าวาเขิน?” เขินบ้าเขินบออะไรเล่า!
“ผมอายที่ถูกคนมองต่างหาก!” ผมแอบค้อนให้ไอ้พี่โซ่ แถมยังแกล้งเอาสองแขนรัดรอบคอของไอ้พี่มันไปอย่างแรง แต่แทนที่จะโกรธ ไอ้พี่มันกลับหัวเราะอย่างมีความสุขจนคนที่ผ่านไปผ่านมายิ่งมองมาทางนี้ เล่นเอาผมยิ่งอายหนักขึ้นจนไม่กล้าสู้สายตาใคร เลยจัดการซุกหน้าลงที่ไหล่ของไอ้พี่มันไปซะเลย
ผมไม่รู้ว่าตัวเองขี่หลังของไอ้พี่โซ่นานแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าระหว่างทางมีสายตาของคนกี่คู่กำลังมองมา ผมรู้แต่ว่าตลอดเวลาผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของแผ่นหลัง กล้ามเนื้อที่แข็งแรง แล้วก็กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่นจากเสื้อผ้าและเส้นผม ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกันกับเมื่อ 7 ปีที่แล้ว
“เดี๋ยวพี่แวะร้านขายยาแป๊บนึงนะ” พอได้ยินไอ้พี่โซ่พูดแบบนี้ผมถึงได้ลืมตา
ให้ตาย ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่รู้สึกสบายและผ่อนคลายจนเกือบจะหลับคาแผ่นหลังของไอ้พี่มัน
“จะซื้ออะไรครับ”
“ก็ซื้อยามาใส่แผลที่เท้าของเรานั่นแหละ”
“โอ๊ยไม่ต้องหรอกพี่ แค่รองเท้ากัดนิดเดียวเอง” แต่ก็เหมือนเป็นคนหูหนวก ไอ้พี่โซ่แม่มไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยสักนิด
ขายาวๆ ทั้งสองข้างของไอ้พี่มันก้าวเข้าไปในร้านขายยา จากนั้นก็ให้เภสัชดูแผลที่เท้าของผม เมื่อได้ยามาแล้วก็แบกผมต่อไปจนกระทั่งถึงรถ ตลอดเวลาไอ้พี่มันไม่แม้แต่จะปริปากบ่นหรือแสดงอาการเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
“ค่อยๆ ลงนะครับวา” ไอ้พี่โซ่พูดกับผมเมื่อเดินมาถึงรถ จากนั้นก็ย่อตัวลงต่ำเพื่อให้ผมลงไปยืนที่พื้น ก่อนที่ไอ้พี่มันจะเปิดประตูให้ผมเข้าไปนั่งข้างใน
“ขอบคุณนะครับพี่โซ่” ผมกำลังจะปิดประตู แต่ไอ้พี่มันก็เอามือขวางเอาไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวครับวา หันหน้าแล้วก็ตัวมาทางนี้ก่อน”
“ทำไมครับพี่” ผมทำหน้างง
“เถอะน่า รีบหันมาเร็ว” ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่คิดว่าคงไม่น่าเป็นอะไรเลยยอมหันไปตามที่ไอ้พี่โซ่บอก ไอ้พี่มันที่เห็นอย่างนั้นเลยย่อตัวลงโดยชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง จากนั้นก็ใช้มือถอดรองเท้าแล้วยกเท้าของผมขึ้น
“ดะ...เดี๋ยวก่อนสิพี่โซ่ พี่จะทำอะไร” ผมรู้สึกอึ้งและตกใจเลยพยายามจะชักเท้ากลับ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะไอ้พี่มันไม่ยอมปล่อยมือจากเท้าของผมเลย
“พี่ก็จะทำแผลกับทายาให้วาไง”
“ไม่ต้องหรอกครับพี่ เรื่องแบบนี้พี่ไม่ต้องทำให้ผมหรอก ผมทำเองได้” เท้ามันเป็นของต่ำแถมยังสกปรกจะตาย ไอ้พี่โซ่มันคิดอะไรอยู่ถึงได้จับเท้าของผมอย่างหน้าตาเฉยแบบนี้
“อย่าดื้อสิวา แผลตรงหลังส้นเท้าวาทำเองไม่ถนัดหรอก เพราะงั้นนั่งนิ่งๆ ให้พี่ทำให้นะเด็กดี...นะครับ” อย่ามาทำเสียงหวานแล้วก็ส่งสายตาเว้าวอนมาให้ผมจะได้มั้ย!
“กะ...ก็ได้ครับ” บ้าเอ๊ย! ทำไมผมต้องใจอ่อนกับไอ้พี่โซ่ด้วยวะเนี่ย!
“เด็กดี” ไอ้พี่มันยิ้มออกมา ส่วนผมก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูกจึงได้เสหน้าหันไปทางอื่น แต่แป๊บหนึ่งเท่านั้นผมก็ต้องหันกลับมา เพราะว่าผมรู้สึกถึงความอ่อนโยนและความบรรจงของไอ้พี่โซ่ที่กำลังเอาน้ำล้างเท้าของผมอยู่
“แสบมั้ยวา”
“มะ...ไม่ครับ”
“แต่ต่อไปอาจจะแสบนิดนึงนะ เพราะพี่กำลังจะทายาให้” ผมพยักหน้า จากนั้นไอ้พี่โซ่ก็หยดเบตาดีนลงที่สำลีแล้วก็เอามาเช็ดที่แผลของผม ไอ้พี่มันทำอย่างเบามือมากจนผมแทบไม่รู้สึกเลยว่ามันแสบ
หลังจากที่ทายาตรงนิ้วก้อยและหลังส้นเท้าของผมเรียบร้อย ไอ้พี่โซ่ก็ฉีกพลาสเตอร์ยามาแปะทับที่แผลเพื่อกันฝุ่นกับเชื้อโรคเข้า เมื่อเสร็จแล้วก็จับเท้าของผมอีกข้างขึ้นมาทำแบบเดียวกัน ตลอดเวลาผมมองการกระทำของไอ้พี่มันด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง
“ขอบคุณนะครับพี่โซ่” ผมพูดขึ้นเมื่อไอ้พี่มันทำแผลที่เท้าทั้งสองข้างของผมเสร็จเรียบร้อย แน่นอนว่าผมยังคงเกลียดแล้วก็แค้นไอ้พี่มัน แต่ครั้งนี้มันทำดีกับผมผมก็ต้องขอบคุณสิจริงมั้ย
“พรุ่งนี้กับมะรืนวาอาจจะปวดเท้านะครับ แต่เดี๋ยวพี่จะบอกคนที่แผนกให้ว่าไม่ต้องเรียกใช้วานะ” ไอ้พี่โซ่ยิ้มให้ผม ก่อนจะลุกขึ้น ล้างมือ แล้วก็เดินอ้อมไปขึ้นรถที่ฝั่งคนขับ ส่วนผมก็หันกลับมานั่งให้เข้าที่แล้วปิดประตูรถให้เรียบร้อย ซึ่งหลังจากที่เราสองคนคาดเข็มขัดนิรภัยกันแล้วไอ้พี่โซ่ก็จัดการออกรถทันที
“แอบเสียดายเหมือนกันนะเนี่ยที่วันนี้พี่ไม่ได้พาวาไปเลี้ยงขนม”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่โซ่ก็ออกค่ายาให้ผมไปแล้ว” ตอนนั้นผมบอกจะจ่ายเองไอ้พี่มันก็ไม่ยอม
“แต่ค่ายากับค่าขนมมันคนละส่วนกันนี่นา” พูดแบบนี้คือกะจะให้ผมบอกว่าครั้งหน้าค่อยไปกินด้วยกันสินะ แต่ฝันไปเถอะว่าผมจะพูด
“ไฟเหลืองมันจะแดงแล้วนะพี่ หยุดรถก่อนดีมั้ย” เปลี่ยนเรื่องมันซะเลยผม ไอ้พี่โซ่มันก็รู้แหละเลยแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เอาจริงๆ ตอนนี้ผมชักเริ่มสงสัยแล้วว่า ตกลงระหว่างผมกับไอ้พี่มันใครกำลังจีบใครอยู่กันแน่?
แต่เอาเถอะ ไม่ว่าใครจะจีบใครผลลัพธ์มันก็ไม่ต่างกัน เพราะคนที่เสียใจมันก็ต้องเป็นไอ้พี่โซ่ไม่ใช่ผมแน่นอนอยู่แล้ว!
เกือบสองชั่วโมงไอ้พี่โซ่ก็ขับรถมาถึงหน้าบริษัท ขาไปนั้นใช้เวลาไม่ถึง 40 นาทีเพราะรถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ แต่ขากลับเป็นช่วงเวลาเย็นๆ รถเลยติดบรรลัย กว่าที่เราสองคนจะมาถึงบริษัทเวลาก็ปาไป 6 โมงเกือบครึ่งแล้ว
“วานั่งรอพี่ชายมารับที่นี่นะ ไม่ต้องขึ้นไปเซ็นชื่อข้างบนหรอก เดี๋ยวพี่จะแจ้งกับฝ่ายบุคคลให้เอง” ไอ้พี่โซ่พูดกับผมเมื่อเราสองคนเดินมาถึงม้านั่งตรงหน้าบริษัท ตอนนี้แผลที่เท้าของผมมีพลาสเตอร์ยาปิดเอาไว้ เพราะงั้นเวลาเดินเลยไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไหร่นัก
“โอเคครับ แต่พี่โซ่ไม่ต้องนั่งเป็นเพื่อนผมก็ได้ ขึ้นไปลงเวลาเถอะครับเดี๋ยวก็กลับบ้านค่ำหรอก”
“ไม่เป็นไร ถึงกลับไปพี่ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว” คนบ้าอะไรไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป โชคดีที่ผมเห็นรถของพี่ธามกำลังตีไฟเลี้ยวจะเข้ามาในบริษัทพอดี ผมเลยได้โอกาสไล่ไอ้พี่โซ่ให้ออกไปพ้นหูพ้นตา
“พี่ผมมาแล้วครับ เพราะงั้นพี่โซ่ก็ไม่ต้องนั่งรอเป็นเพื่อนผมแล้ว”
“ว้า น่าเสียดาย” ผมที่ไม่รู้จะตอบอะไรเลยตัดบทโบกมือลาไอ้พี่มัน จากนั้นก็ลงบันไดไปยืนรอพี่ธามที่หน้าบริษัท ซึ่งก็ยืนรอไม่กี่วินาทีรถของพี่ธามก็มาจอดตรงหน้าผมเป็นที่เรียบร้อย
“พี่ว่าวาเดินท่าแปลกๆ นะครับ ขาหรือเท้าไปโดนอะไรมารึเปล่า” พอผมขึ้นรถปุ๊บก็ทักปั๊บ ช่างสังเกตจริงๆ พี่ธาม
“ผมโดนรองเท้ากัดน่ะครับ วันนี้ไปแจกแบบสอบถามที่สยามเลยเดินซะเยอะ” ผมยิ้มแห้งๆ
“อ้าว แล้วเท้าเป็นอะไรมากมั้ย ไหนพี่ขอดูหน่อยครับวา” พี่ธามพูดด้วยความตกใจและเป็นห่วงจนถึงกับจะยกขาของผมขึ้นมา แต่ว่าผมก็เอามือเบรกพี่เขาเอาไว้ก่อน
“ไม่ต้องหรอกครับพี่ธาม เท้าผมใส่ยาติดพลาสเตอร์เรียบร้อยแล้ว”
“วาทำเอง?”
“เอ่อ...เปล่าหรอกครับ ไอ้พี่โซ่เป็นคนทำให้ผม” ตอนแรกผมก็ลังเลว่าจะโกหกพี่ธามดีมั้ย แต่ถ้าหากรู้ความจริงทีหลังพี่ธามอาจจะเสียใจก็ได้ อีกอย่างแค่ไอ้พี่โซ่ทำแผลที่เท้าของผมให้ มันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรือเสื่อมเสียขนาดที่จะต้องปิดบังด้วยนี่นา
“.........................พี่”
“ครับ?” พี่ธามพูดด้วยน้ำเสียงที่เบามากจนผมแทบจะไม่ได้ยิน
“ทำไม...ทำไมถึงไม่เป็นพี่...” พี่เขาหลับตาลงแล้วหันหน้าไปมองทางอื่น แต่ผมก็ทันได้เห็นว่าสีหน้าของพี่เขาดูท้อแท้ ผิดหวัง และเสียใจมากแค่ไหน
“พี่ธาม...” ผมพูดได้เพียงแค่เท่านี้เพราะไม่รู้จะพูดอะไร แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าพี่เขาไม่ได้โทษผม พี่เขาโทษตัวเองและโชคชะตามากกว่าที่ไม่ดลบันดาลให้ตอนนั้นคนที่อยู่ข้างๆ ผมเป็นพี่เขา
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาพี่เขาไม่เคยคิดโทษผมเลยสักครั้ง ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะพี่เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ใดๆ เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมไม่เคยรั้งและขอให้พี่เขารอ...
วันนั้นผมกับพี่ธามไม่ได้คุยอะไรกันอีก ถึงแม้ก่อนนอนจะมีไลน์เด้งมาบอกฝันดี แต่ผมก็เริ่มรู้สึกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง แบบว่า...พี่ธามก็มารับมาส่งผมเหมือนเดิมนะ ดูแล เทคแคร์ แล้วก็บอกฝันดีเหมือนเดิม แต่ผมก็รู้สึกได้แหละว่าทุกอย่างมันไม่มีอะไรเหมือนเดิม
บางทีพี่เขาอาจจะท้อจนยอมแพ้แล้วก็ได้...
2BC
สวัสดีค่า Trap หัวใจพ่ายรัก ก็จบลงไปเรียบร้อยอีกหนึ่งตอน นี่ก็เป็นตอนที่ 4 แล้ว เริ่มมั่นใจกันรึยังคะว่าใครคือพระเอกของเรื่องนี้กันแน่ คนที่จะได้หัวใจของวาไปจะเป็นใครกันน้าระหว่างพี่ธามกับพี่โซ่?
วาจะยอมให้อภัยความเลวร้ายที่พี่โซ่เคยทำมั้ย แล้วพี่ธามจะท้อจนยอมแพ้จริงๆรึเปล่า ยังไงก็ต้องมาลุ้นกันในตอนต่อๆไปนะคะที่ร้ากกก
ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เรือของคู่ไหนจะมีมากกว่ากัน แต่ยังไงถ้าเรือตัวเองจมก็อย่าเทเรืออีกลำกันน้า น้องวาเลือกใครก็รักคนคนนั้นเหมือนที่น้องรักเนอะคนดีของเค้า
ส่วนตอนหน้าอาจจะเป็นวันศุกร์นะคะเค้าถึงจะได้ลง ตอนนี้เค้ายังแพคหนังสือคู่เพลิงพายไม่เสร็จเลย ถ้าหากเสร็จแล้วคงจะกลับมาลงทุก 2 – 3 วันเหมือนเดิมได้นะคะ ยังไงก็ช่วยรอกันหน่อยน้า รักทุกคนนะคะ บ๊ายบายยยยย
(10 ก.ย. 61)