[H.E.A.R.T.] Trap หัวใจพ่ายรัก
Part 7# Wayo ดับเบิ้ลเดท?
“เอ่อ...ผมก็นึกว่าพี่ธามจะมาคนเดียว” ผมพูดอย่างเอ๋อๆ งงๆ เมื่อเดินเข้าไปหาพี่ธามที่กำลังยืนอยู่ข้างรถ ซึ่งรถก็ไม่ใช่รถของพี่เขาหรอก เป็นรถของพี่เชนที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ข้างใน
จะมาด้วยทำไมก็ไม่รู้!
“ตอนแรกพี่ก็ว่าจะมาคนเดียวนั่นแหละ แต่ไอ้เชนบอกว่าให้มันมาด้วยน่าจะดีกว่า เผื่อเกิดอะไรฉุกเฉินมันจะได้ช่วยทัน”
“อ๋อ ครับพี่ธาม” อ๋อไปงั้นแหละ ผมคิดไม่เห็นออกเลยว่ามันจะเกิดเรื่องฉุกเฉินได้ยังไง ผมว่าพี่เชนต้องมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงแน่ๆ แต่ประเด็นคือผมคิดไม่ออกนี่แหละ อีตานี่สีหน้าอ่านง่ายที่ไหน!
“งั้นเราไปกันเลยมั้ย”
“ครับพี่ธาม” พอผมพยักหน้าพี่ธามก็หันไปเปิดประตูรถที่เบาะหลังให้ ก่อนที่ผมจะทักทายพี่เชนตามมารยาท ส่วนพี่ธามก็ก้าวขึ้นไปนั่งยังเบาะหน้าคู่กับพี่เชน
“ไปพารากอนใช่มั้ย” พี่เชนถามผมโดยมองผ่านกระจก
“ครับ” ให้ตายสิผมไม่ชอบสายตาที่พี่แกมองมาชะมัด สายตาแบบนั้นมันคืออะไร เกลียดก็ไม่ใช่ ไม่ชอบก็ไม่เชิง นี่ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจพี่ธาม ผมคงจะกอดอกถามไปแล้วว่ามีปัญหาอะไรกับผมกันแน่!
เอ...จะว่าไปพอพูดถึงพี่ธามผมก็คิดเหตุผลอย่างหนึ่งได้ หรือที่พี่เชนดูไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่อาจเป็นเพราะผมยังไม่ยอมคบกับพี่ธาม ในมุมมองของพี่เชนอาจจะคิดว่าผมกั๊ก ผมเล่นตัว หรือว่าหลอกพี่ธามรึเปล่า อย่างบางทีก็มีเหมือนกันที่ผมจะโกรธคนอื่นแทนเพื่อน แล้วผมก็เชื่อว่าใครหลายๆ คนก็น่าจะเคยเป็น
อืม...อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ล่ะมั้งที่ทำให้พี่เชนไม่ค่อยชอบผม เพราะถ้าเป็นเหตุผลอย่างอื่นผมก็คิดไม่ออกแล้ว
เกือบชั่วโมงที่อยู่บนรถพวกเราไม่ได้คุยอะไรกันมาก อย่างพี่ธามกับพี่เชนก็ไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว ส่วนผมที่แม้ปกติจะเป็นคนที่ค่อนข้างพูดมาก แต่ตอนนี้ผมรู้สึกอึดอัดเลยขี้เกียจพูดอะไร เลยนั่งไถเฟซบุ๊กกับทวิตเตอร์จนไปถึงสยาม
“วานัดเจอโซ่ที่ไหน” พี่ธามถามผมเมื่อพี่เชนขับรถมาถึงพารากอน
“แถวลานน้ำพุครับพี่ธาม แต่เดี๋ยวผมขอลงไปก่อนนะ แล้วสักพักพี่ธามกับพี่เชนค่อยตามไป” ถ้าไปพร้อมกันเกิดไอ้พี่โซ่อยู่แถวนี้ผมจะโป๊ะแตกเอา
“ครับวา”
“งั้นเดี๋ยวสัก 5 นาทีเราค่อยลงไปแล้วกัน” พี่เชนพูดกับพี่ธาม ส่วนผมก็เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินไปยังจุดนัดพบ เพราะใกล้จะถึงเวลาที่นัดกับไอ้พี่โซ่แล้ว
ผมมาถึงก่อนเวลา 5 นาที แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เห็นไอ้พี่โซ่ยืนรออยู่ใกล้ๆ ประตูทางเข้าห้างฯ แล้ว วันนี้ไอ้พี่มันดูแปลกตานิดหน่อยเพราะใส่ชุดไปรเวทไม่ใช่ชุดทำงาน ถึงแม้ผมจะหมั่นไส้และไม่ชอบไอ้พี่มัน แต่ผมก็ต้องยอมรับล่ะนะว่าวันนี้ความหล่อนั้นท็อปฟอร์มมาก ผู้หญิงที่เดินผ่านไปผ่านมาเกือบทุกคนต้องหันมองอะคิดดู
“มานานรึยังครับพี่โซ่” ผมพูดขึ้นเมื่อเดินไปอยู่ตรงหน้า ไอ้พี่มันที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่เลยสะดุ้งตกใจนิดๆ
“ไม่นานครับวา นี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“เมื่อกี้นี้แหละครับ”
“อ๋อ แล้ววาหิวมั้ย กินอะไรมาแล้วรึยัง”
“ยังเลยครับ พี่โซ่ล่ะ”
“ยังเหมือนกัน พี่ก็รอกินพร้อมวานั่นแหละ อยากกินอะไรบอกพี่ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ อย่างที่บอกว่าวันนี้ฟรีตลอดทริป” ไอ้พี่โซ่ขยิบตา ทำป๋าซะจนผมรู้สึกหมั่นไส้
“งั้นพี่ก็เตรียมขายรถขายคอนโดได้เลย”
“กลัวที่ไหน” มีการทำลอยหน้าลอยตาอีกต่างหาก มันน่าล่อให้หมดตัวจริงจริ้งงงงง
“ผมไม่คุยกับพี่แล้วดีกว่า” แน่นอนว่าที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด ส่วนอีกเหตุผลก็เพราะพี่ธามกับพี่เชนเดินมาแล้ว สองคนนั้นทิ้งระยะห่างจากผมพอประมาณ เพราะงั้นไอ้พี่โซ่คงไม่น่าจะรู้ตัวหรอกมั้งว่าโดนแอบซุ่มดูอยู่
“ถ้างั้นเราไปหาอะไรกินกัน วาอยากกินอะไร”
“อาหารญี่ปุ่นก็แล้วกันครับ ร้านไหนก็ได้”
“โอเค ที่ชั้น 4 มีร้านอร่อยอยู่ร้านนึง ไปกันเลยมั้ย”
“ครับพี่”
แล้วผมก็เดินเข้าไปข้างในโดยมีไอ้พี่โซ่เดินอยู่ข้างๆ ตอนแรกก็แค่เดินข้างกันเฉยๆ แต่พอหลังมือเราแตะโดนกัน ไอ้พี่มันก็ดันเนียนจับมือของผมไปกุมเอาไว้ซะงั้น แถมพอผมแอบมองค้อนและจะชักมือออกก็ดันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เท่านั้นไม่พอ ยังมีการกุมมือของผมให้แน่นขึ้นอีกต่างหาก
“มีคนมองมาทางเราด้วยนะครับพี่โซ่” ผู้ชายสองคนเดินจับมือกันมันปกติที่ไหนเล่า โอเคแหละคนที่มองก็ไม่ใช่ทุกคนที่เดินผ่านหรอก แต่ก็ไม่ใช่น้อยแถมยังแอบซุบซิบกันก็มี
“ถ้าวาอายพี่จะยอมปล่อยมือก็ได้ครับ”
“ผมไม่ได้อายหรอก” แต่แค่เขิน...เอ๊ย! ไม่ใช่สักหน่อย! ผมก็แค่กลัวพี่ธามจะนอยด์เท่านั้นหรอกน่า!
“พี่ก็เหมือนกัน พี่ไม่อายแล้วก็ไม่แคร์สายตาใครหรอก ที่พี่แคร์มีแค่วาคนเดียว” ไอ้พี่โซ่หันมายิ้มให้ผม คำพูดกับรอยยิ้มนั้นทำเอาผมถึงกับเผลอใจเต้นแรงและหน้าร้อนผ่าว แต่ก็แค่ 2 – 3 วินาทีเท่านั้นแหละ นั่นมันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย พอสมองของผมคิดได้ว่าไอ้พี่มันแค่สร้างภาพเป็นเทพบุตรผมก็แทบอยากจะอ้วก
เมื่อไปถึงร้านพนักงานก็พาผมกับไอ้พี่โซ่เดินเข้าไป ตอนนี้พึ่งจะ 11 โมงกว่าๆ ห้างฯ พึ่งเปิดคนเลยไม่ค่อยเยอะมาก ผมเลือกนั่งตรงมุมหนึ่งของร้าน ส่วนพี่ธามกับพี่เชนที่ตามเข้ามาทีหลังสักพักก็นั่งห่างไป 3 – 4 โต๊ะ ผมพยายามไม่หันไปมองทางนั้นเพราะกลัวไอ้พี่โซ่จะจับได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมองมาทางผมบ่อยขนาดไหนล่ะนะ
จากนั้นไม่นานพนักงานก็เดินมาพร้อมกับเมนู อาหารของที่นี่ราคาจะแรงกว่าร้านภูเขาที่ค่อนข้างโด่งดังพอสมควร ถึงผมจะเคยขู่ว่าจะทำให้ไอ้พี่โซ่หมดตัว แต่เอาจริงๆ ผมก็เกรงใจเลยสั่งอาหารเป็นเซตเล็กๆ แค่อย่างเดียว แต่ไอ้พี่มันที่กลัวผมจะไม่อิ่มเลยจัดการสั่งซาชิมิกับซูชิมาให้เพิ่มอีกเซต
รอไม่นานอาหารก็เริ่มทยอยกันมาเสิร์ฟ ซึ่งพอได้กินก็สมราคาเขาล่ะ นอกจากความสดใหม่แล้วรสชาติก็ยังอร่อยสุดๆ จนผมแทบน้ำตาไหล ความหวานและความนุ่มยังตราตรึงในปากแม้ว่าจะเดินออกจากร้านมาแล้วอะคิดดู
“ถ้าชอบเดี๋ยววันหลังพี่พามากินอีก” พอได้ยินแบบนั้นผมก็รีบหันไปพยักหน้าทันที ถึงแม้จะรู้ว่าไอ้พี่โซ่กำลังเอาของกินมาล่อซื้อผม แต่นาทีนี้ผมยอมมมมม ก็มันอร่อยจริงๆ อ่ะ คืออร่อยจนต้องร้องขอชีวิต
“ไปดูหนังกันต่อมั้ย”
“ก็ได้ครับ ผมไม่ได้ดูหนังนานแล้วเหมือนกัน” ถ้าจำไม่ผิดเรื่องที่ดูล่าสุดน่าจะเป็น 1 ในแก๊ง Avengers นี่แหละมั้ง
“แล้ววาชอบหนังแนวไหนเป็นพิเศษมั้ย”
“อืม...ไม่มีนะครับ ผมว่าผมชอบทุกแนวแหละถ้ามันสนุก อย่างหนังผีหรือซอมบี้นี่ผมก็ชอบ”
“วาไม่กลัวผีงั้นหรอ?”
“ไม่กลัวครับ”
“ว้า น่าเสียดาย นี่พี่กะว่าจะหลอกพาวาไปดูหนังผีสักหน่อย เผื่อจะกลัวจนกระโดดกอดพี่ในโรงไรงี้” ไอ้พี่โซ่ทำหน้าฝันสลาย ผมที่ได้ยินแบบนั้นเลยส่ายหน้าไปมา ไอ้พี่มันนี่ก็บ้าคิดไปได้เนอะ
“พอรู้ว่าผมไม่กลัวผีแบบนี้ แล้วพี่ยังคิดจะพาผมไปดูหนังอยู่อีกมั้ยครับ”
“ไปสิ เดี๋ยววัดดวงเอาเลยแล้วกัน เรื่องไหนฉายตอนนี้ก็ดูเรื่องนั้นเลยเนอะ”
“เอางั้นเลยหรอครับพี่” ชักหวั่นๆ แต่ก็แอบลุ้นและตื่นเต้นเหมือนกันนะเนี่ย
“เอางั้นแหละ ไปกันครับวา” แล้วไอ้พี่โซ่ก็จูงมือผมขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้น 5 ผมที่ชินแล้วกับการที่ถูกไอ้พี่มันจับมือจึงปล่อยเลยตามเลยไม่ได้ว่าอะไร
พอขึ้นไปถึงพวกเราก็ดูโปรแกรมฉาย ผมแอบภาวนาให้หนังที่พวกเราจะได้ดูไม่ใช่หนังเฉพาะกลุ่ม หรือเป็นหนังเกรดบีที่ต้นทุนต่ำ พล็อตห่วย แสดงกาก กำกับแย่ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าแต้มบุญผมจะยังมี อีก 5 นาทีหนังที่เข้าฉายนั้นเป็นหนังฝรั่งแนวแอคชั่นผสมคอมเมดี้ เห็นชื่อค่ายและนักแสดงก็มั่นใจได้เปลาะหนึ่งล่ะนะว่าหนังมันน่าจะโอเค
“สรุปเป็นเรื่องนี้เนอะพี่โซ่” ผมพูดชื่อหนังค่อนข้างดังเพื่อให้พี่ธามกับพี่เชนได้ยิน ซึ่งไอ้พี่โซ่ก็ดูจะงงหน่อยๆ แต่ก็ไม่น่าจะสงสัยอะไรเพราะแค่พยักหน้าไม่ได้ถามอะไรผมต่อ
ก่อนจะเข้าโรงเราสองคนต่อแถวซื้อน้ำกับป๊อปคอร์นกันก่อน แน่นอนว่าน้ำน่ะต้องเป็นโค้ก ส่วนป๊อปคอร์นตอนแรกผมก็คิดว่าจะต้องกินผสม เพราะส่วนใหญ่ (วัดจากคนรอบตัวผม) ชอบกินรสชีสด้วยกันทั้งนั้น แน่นอนว่าพี่ธามก็ด้วย แต่ผมน่ะชอบกินรสหวาน แล้วก็บังเอิญที่ไอ้พี่โซ่ก็ชอบรสนี้เหมือนกัน เพราะงั้นทั้งถังเลยเป็นรสหวานอย่างเดียว ไม่ต้องผสมรสอื่นให้เสียอารมณ์เมื่อหลงหยิบเข้าปาก
หลังจากที่ซื้อน้ำกับป๊อปคอร์นเสร็จแล้วผมกับไอ้พี่โซ่ก็เดินเข้าไปข้างใน ที่นั่งที่พวกเราจองไว้อยู่แถว A เกือบจะริมสุดเพราะจองก่อนหนังฉายไม่กี่นาที ส่วนพี่ธามกับพี่เชนที่เดินตามเข้ามาหลังพวกผมสักแป๊บนั้น...โอ้โห! ล่อโซฟาคู่เลยเรอะ! จะเกินหน้าเกินตาคู่ที่ตั้งใจมาเดทอย่างพวกผมเกินไปแล้วนะเนี่ย!
ผมว่านี่ต้องเป็นการเลือกของพี่เชนแน่ๆ เพราะตลอด 3 ปีที่มาดูหนังกับพี่ธามพวกเราก็นั่งแต่เก้าอี้ธรรมดา ไม่เคยนั่งเก้าอี้พิเศษหรือโซฟาคู่แบบนั้นเลยสักนิด ยิ่งกับพวกเพื่อนผมยิ่งไม่เคยมีความคิดที่จะนั่งด้วยเลย ก็นั่นมันเก้าอี้คู่รักที่เอาไว้สวีทกันชัดๆ พี่เชนคิดอะไรอยู่นะไม่รู้สึกขนลุกรึไง แต่บางทีคนรวยเวอร์วังอย่างพี่เชนอาจจะไม่อยากนั่งเก้าอี้แคบๆ แล้วก็เบียดกับคนข้างๆ ที่ไม่รู้จักก็ได้ล่ะมั้ง
“มีอะไรรึเปล่าครับวา” ไอ้พี่โซ่ยื่นหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูเมื่อเห็นผมมองพี่ธามกับพี่เชนอยู่หลายวิ เสียงอันทุ้มต่ำแถมยังกระเส่านิดๆ เล่นเอาผมถึงกับใจหวิวขึ้นมาเลย
“ปะ...เปล่าครับพี่โซ่” แล้วผมจะหน้าร้อนขึ้นมาทำไมฟะเนี่ย!
“รู้จักสองคนนั้นหรอ?” คำถามของไอ้พี่โซ่ทำให้ผมถึงกับใจหล่นวูบ พี่ธามที่เห็นว่าไอ้พี่โซ่หันไปมองก็ถึงกับตัวเกร็ง ผิดกับพี่เชนที่นั่งอย่างชิลๆ ทั้งยังไขว่ห้างแล้วก็วาดมือไปกอดไหล่ของพี่ธามอีกด้วย
แต่คือผมงงว่าจะกอดทำไมครับพี่?
“ไม่ครับ ผมไม่รู้จักครับ ที่ผมมองก็เพราะคิดว่าโซฟามันน่าจะนั่งสบายดีเฉยๆ” ผมพยายามเก็บความตื่นตระหนกและลนลานเอาไว้สุดขีด
“งั้นเดี๋ยวครั้งหน้าที่มาดูหนังเราค่อยนั่งโซฟาก็แล้วกันนะครับ” ไอ้พี่มันนี่ก็เนียนรวบรัดให้ผมมาเดทครั้งหน้าด้วยตลอดดดด
“โอเคครับพี่” ผมหันไปยิ้ม (แห้งๆ) ใส่ไอ้พี่โซ่ ก่อนที่จะหันไปมองหน้าจอแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาดูตัวอย่างหนัง ซึ่งหลังจากนั้นสัก 20 นาทีหนังก็เริ่มฉาย
ตลอด 2 ชั่วโมงผมไม่ได้หันไปมองพี่ธามกับพี่เชนอีกเลย แต่ผมก็พอจะเดาออกว่าพวกพี่เขาโดยเฉพาะพี่ธามคงจะมองมาที่ผมตลอด แต่ผมก็ไม่อยากให้ไอ้พี่โซ่สงสัยไปมากกว่านี้ก็เลยตั้งใจดูหนัง แต่ไอ้พี่มันนี่ยังไง ขยันก้มหน้ามากระซิบคุยเรื่องหนังใกล้ๆ หูผมบ่อยๆ แถมยังบ่นว่าเมื่อยแขนเลยขอเหยียดโดยการสอดมาหลังต้นคอ อย่างนี้มันก็เท่ากับว่ากำลังโอบไหล่ไม่ก็กอดผมอยู่ชัดๆ!
แต่ถ้าคิดว่าหมดแค่นั้นล่ะก็ยัง เพราะไอ้พี่มันยังมีมุกเด็ดในสต็อก ซึ่งก็มีตั้งแต่...
“วาเอียงมาซบไหล่พี่หน่อยได้มั้ย นั่งตรงๆ พี่ชักเมื่อยคอเลยอยากจะเอียงซบวาสักหน่อยน่ะครับ” ไอ้ผมที่ชักจะเมื่อยๆ เหมือนกันก็เลยยอมทำอย่างช่วยไม่ได้ พอเห็นอย่างนั้นไอ้พี่โซ่เลยยิ่งได้ใจ ถึงได้เรียกร้องอ้อนผมมากขึ้น
“พี่อยากกินป๊อปคอร์นจังครับ แต่แขนพี่ขยับไม่ได้วาช่วยป้อนพี่หน่อยสิ” ตอนแรกผมก็นั่งเฉยๆ แต่พอไอ้พี่มันหันหน้ามาทางนี้ แถมยังขยับเข้ามาใกล้จนริมฝีปากจะจุ๊บหน้าผากของผมอยู่แล้ว ผมก็เลยต้องยอมป้อนอย่างช่วยไม่ได้
แต่ทั้งที่ผมคิดว่ามุกของไอ้พี่มันจะหมดแค่นั้น.........ยังครับ! ยังมีเหลืออีก!
“ทีนี้พี่เริ่มคอแห้งแล้ว วาช่วยป้อนน้ำพี่หน่อยนะ...นะครับเด็กดี”
‘โว้ยยยยยย! แขนอีกข้างก็มีหรือว่าพี่เป็นง่อยวะครับ!’ ใจจริงผมก็อยากจะวีนไปแบบนั้น แต่ที่ผมทำก็คือการหยิบแก้วน้ำไปป้อนไอ้พี่โซ่โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมไม่ได้แพ้เสียงทุ้มๆ แล้วก็ลูกอ้อนของไอ้พี่มัน ผมก็แค่ไม่อยากให้คนในโรงที่ตั้งใจมาดูหนังเสียอรรถรสหรอกน่า!
แล้วหลังจากนั้นผมก็ต้องป้อนน้ำป้อนป๊อปคอร์นไอ้พี่โซ่วนไป จนกระทั่งหนังจบนั่นแหละเวรกรรมของผมถึงได้หมดลง โดนไอ้พี่มันเอาคืนซะคุ้มกับเงินที่จ่ายเลยให้ตาย!
“หนังสนุกดีนะว่ามั้ยครับวา” ไอ้พี่โซ่พูดกับผมในระหว่างที่เราสองคนกำลังเดินออกจากโรงเมื่อดูหนังจบ ส่วนพี่ธามกับพี่เชนผมเห็นเดินตามหลังปะปนกับคนอื่นๆ ออกมา โดยทิ้งระยะห่างพอสมควร
“ก็สนุกดีครับ” แต่จะสนุกกว่านี้ถ้าพี่ไม่เอาแต่แต๊ะอั๋งผม แล้วก็ให้ผมเอาแต่ป้อนน้ำป้อนป๊อปคอร์นอย่างกับนางสนมปรนนิบัติฮ่องเต้ตลอดทั้งเรื่อง!
“แล้วนี่วาอยากไปไหนต่อมั้ย” ณ จุดๆ นี้คืออยากไปให้ไกลพี่อะ! แต่ก็นะ...ผมตอบอย่างนั้นได้ที่ไหนกันเล่า
“ผมอยากเดินดูหนังสือสักหน่อย แล้วก็อยากไปกินพวกของหวานอะครับ” ไม่ว่าจะตอนอ้วนหรือผอม แต่ของหวานก็ยังเป็นของที่ผมชอบอยู่ดี
“โอเค งั้นเราลงไปข้างล่างกัน” ผมจะไม่โอเคก็ตรงที่พี่จับมือผมแล้วจูงลงไปข้างล่างนี่แหละ ตอนเด็กๆ ขาดความอบอุ่นไม่เคยมีใครจูงมือรึไง โตขึ้นถึงได้เอาแต่จูงมือผมไปไหนมาไหนแบบนี้เนี่ย
กว่าที่ไอ้พี่โซ่จะปล่อยมือผมได้ก็ตอนถึงร้านแล้วผมต้องหยิบหนังสือขึ้นมาดู ก็ยังดีที่ตอนเดินเลือกไอ้พี่มันไม่ได้เข้ามากวนแต่อย่างใด ผมเลยสามารถเลือกหนังสือได้อย่างสบายใจ แถมยังมีโอกาสส่งไลน์หาพี่ธามที่อยู่ข้างพี่เชนไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวผมด้วย
‘ผมว่าไอ้พี่โซ่กำลังสงสัยเรื่องพี่กับพี่เชน’ผมมีเวลาไม่มากเลยพิมพ์สั้นๆ แล้วก็รีบกดส่งในจังหวะที่ไอ้พี่โซ่หันไปทางอื่น เมื่อส่งเสร็จแล้วผมก็เลือกหนังสือต่อไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แอบเหลือบไปมองไอ้พี่โซ่ว่ามีปฏิกิริยายังไง เมื่อเห็นไม่มีอะไรแปลกไปยังคงหาหนังสืออ่านฆ่าเวลาผมก็ค่อยโล่ง
คราวนี้ผมแอบเหลือบไปทางพี่ธามบ้าง เมื่อได้อ่านข้อความของผมสีหน้าก็ดูกังวลนิดหน่อย จากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์ไปให้พี่เชนดู แต่พี่เชนก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรแม้แต่น้อย ทั้งยังอมยิ้มที่มุมปากนิดๆ แล้วเอียงหน้าลงไปกระซิบที่ข้างหูของพี่ธามที่สูงห่างกันไม่กี่เซนติเมตร พี่ธามที่พอได้ฟังก็ทำหน้าตกใจในตอนแรก แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยอมพยักหน้าลงอย่างช่วยไม่ได้
นี่พี่เชนกระซิบอะไรกับพี่ธามมมมมมมมมมมมม!
ให้ตายสิ จะถามไปตรงๆ ก็ไม่ได้ แต่ถ้าจะส่งไลน์ถามผมก็ทำไม่ได้อีก เพราะตอนนี้ไอ้พี่โซ่กำลังหันมองมา... อ๊ะ! แล้วกัน ไอ้พี่มันดันเดินตรงมาทางนี้ด้วย
“เป็นอะไรไปครับวา พี่เห็นทำหน้าแปลกๆ”
“หา? อะ...เอ่อ...ผมเจอหนังสือที่กำลังหาพอดีน่ะครับ” แล้วผมก็หยิบหนังสือที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาหนึ่งเล่ม
“วาแน่ใจนะว่าเล่มนี้?”
“ก็ต้องแน่ใจ............ว้ากกกกก! ไม่ใช่ครับไม่ใช่!” หนังสือมีตั้งเยอะตั้งแยะทำไมต้องไปหยิบ ‘คัมภีร์จีบผู้ชาย’ มาด้วยฟะเนี่ย! แม่มรีบเก็บเข้าที่แทบไม่ทัน
“อย่างวาไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือเล่มนั้นก็ได้ ก็บอกแล้วไงว่าทั้งตัวทั้งใจพี่ให้วาไปหมดแล้ว” ไอ้พี่โซ่พูดยิ้มๆ แล้วก้มหน้าลงมาใกล้ๆ กวนประสาทซะจริงไอ้พี่บ้านี่!
“ผมว่าผมไปเลือกหนังสือทางนู้นดีกว่า” พูดจบผมก็เบี่ยงตัวออกมาแล้วไปทางมุมการ์ตูนญี่ปุ่น ก่อนจะเจอโคนันเล่มล่าสุดที่วางแผงพอดี ไอ้เด็กนี่อยู่ ป.1 มาตั้ง 20 ปีแล้วนะ เมื่อไหร่จะได้เลื่อนชั้นสักทีก็ไม่รู้ แต่ก็นะ...บ่นไปงั้นแหละผม ยังไงก็ซื้อต่ออยู่ดี ก็การ์ตูนมันสนุกนี่นา
หลังจากที่จ่ายเงินเรียบร้อยผมกับไอ้พี่โซ่ก็ตรงไปยังร้านขนมหวาน ที่นี่มีทั้งเค้ก โทส ไอศกรีม บราวนี่ บิงซู และขนมอีกหลายอย่าง เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ที่อยู่บนโลกสำหรับผมก็ว่าได้
วันนี้เป็นไงเป็นกัน ต่อให้เบาหวานเข้าความดันขึ้นผมก็ไม่ถอย!
“วาไม่ต้องสั่งเผื่อพี่นะครับ เดี๋ยวพี่ชิมกับวาอย่างละคำสองคำพอ” ไอ้พี่โซ่พูดกับผมเมื่อเราสองคนเดินเข้ามานั่งในร้าน ท่าทางจะยังอิ่มป๊อปคอร์นไม่หาย แน่ล่ะ ก็เล่นให้ผมป้อนเอาๆ ขนาดนั้น
“โอเคครับ” แล้วผมก็จัดการสั่งชีสเค้กกับบิงซูชุดใหญ่มา ก่อนที่ไม่ถึงนาทีพนักงานจะเดินเอาชีสเค้กที่ผมสั่งไปมาเสิร์ฟเพราะมีอยู่ในตู้อยู่แล้ว ส่วนบิงซูน่าจะต้องรอสัก 10 นาทีเพราะต้องทำใหม่จากเครื่อง
“อร่อยมั้ยครับ” ไอ้พี่โซ่ถามหลังจากที่ผมตักชีสเค้กเข้าปากไปคำแรก อา...ความเข้มข้นแต่ก็เนียนนุ่มจนแทบละลายในปากนี่มันสวรรค์ชัดๆ
“อร่อยมากครับพี่โซ่” ผมตอบทั้งที่กำลังหลับตาพริ้มและยิ้มหวานด้วยความฟิน
“ถ้างั้นพี่ขอชิมคำนึงสิ”
“เชิญเลยครับพี่” ยังไงมื้อนี้พี่ก็จ่ายผมไม่หวงอยู่แล้ว เพราะงั้นผมเลยเลื่อนจานเค้กไปตรงหน้าไอ้พี่โซ่ แต่ก็โดนไอ้พี่มันเลื่อนคืนมาไว้ตรงหน้าผม
“ถ้าวาป้อนพี่คิดว่ามันต้องอร่อยกว่าเดิมแน่ๆ” ให้ตายสิ! สรุปว่าพี่เป็นง่อยจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย!
แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆ มื้อนี้ไอ้พี่มันก็เป็นคนจ่าย เพราะงั้นผมก็จะป้อนเค้กหนึ่งคำ (ซึ่งก็อาจจะต้องป้อนบิงซูด้วยมั้ง) เป็นการตอบแทนก็แล้วกัน
“อืม...อร่อยอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย” ไอ้พี่โซ่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลังจากที่ผมป้อนชีสเค้กให้กิน ส่วนผมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วลงมือกินชีสเค้กตรงหน้าต่อไป
ในระหว่างนั้นเราสองคนไม่คุยอะไรกัน เพราะผมกำลังจดจ่อและตั้งใจลิ้มรสความอร่อยของชีสเค้ก ส่วนไอ้พี่โซ่ผมก็เห็นมองอะไรอยู่แต่ผมไม่ได้สนใจ จนกระทั่งผมกินชีสเค้กหมดและพนักงานเอาบิงซูมาเสิร์ฟนั่นแหละ ไอ้พี่โซ่ถึงได้พูดกับผม
“วาเห็นผู้ชายสองคนที่นั่งโต๊ะตรงนั้นมั้ย”
“หืม? ไหนครับ” แล้วผมก็หันมองไปทางด้านหลังตามสายตาของไอ้พี่โซ่................โอ้มายก็อด! ไอ้พี่มันหมายถึงพี่ธามกับพี่เชน!
“ทะ...ทำไมหรอครับ” ผมรีบหันกลับมาแล้วพยายามถามด้วยเสียงปกติ แม้ว่าผมจะรู้สึกตกใจสุดๆ จนแทบพ่นบิงซูออกมาก็ตาม
“สองคนนั้นคือคนที่นั่งโซฟาคู่ในโรงหนัง” มืดขนาดนั้นก็ยังจำหน้าได้อีกนะ วิญญาณคุโด้ ชินอิจิ เข้าสิงพี่รึไง!
“จริงหรอครับ? ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ผมทำหน้างงแม้ว่าจะแอบปาดเหงื่อที่กำลังไหลออกมา อากาศก็หนาว บิงซูก็เย็น แต่ผมดันเหงื่อออกได้ไงฟะเนี่ย!
“ไม่ใช่แค่ในโรงหนังนะ แต่ตอนอยู่ที่ลานน้ำพุกับร้านหนังสือสองคนนั้นก็อยู่ใกล้ๆ เราด้วย” ถ้าจะสังเกตขนาดนี้ ผมว่าพี่ลาออกจากบริษัทแล้วไปเป็นนักสืบเถอะครัช!
“อาจจะแค่บังเอิญก็ได้มั้งพี่”
“แต่พี่ว่าไม่นะ พี่ว่าสองคนนั้นตั้งใจตามพวกเรา” พระเจ้าครับ! ตอนนี้ผมแทบจะหยุดหายใจอยู่แล้ว!
“ตะ...ตามหรอครับ พวกพี่เขาจะตามพวกเรามาทำไม ระ...หรือว่าพวกพี่เขาจะเป็นเพื่อนพี่โซ่รึเปล่า ดูท่าทางน่าจะรุ่นๆ เดียวกันนะครับ”
“พี่ก็พยายามคิดอยู่นะ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก พี่ว่าพี่ไม่เคยมีเพื่อนหน้าตาแบบนี้”
“งะ...งั้นหรอครับ”
“แล้วถ้าพี่มองไม่ผิด ผู้ชายเสื้อขาวจะชอบมองมาที่วาบ่อยๆ ด้วย” เอาแล้วววววว ยิ่งไอ้พี่โซ่พูดแบบนี้เหงื่อของผมมันก็ยิ่งไหลออกมาอย่างกับน้ำก๊อก ตอนนี้ถ้าผมแกล้งตายมันจะทำให้รอดมั้ยเนี่ย!
“เอ่อ...คือ...” ที่ผมคิดอะไรไม่ออกแบบนี้อาจเป็นเพราะสมองหยุดทำงาน แต่ไม่สิ สมองของผมมันอาจจะลาตายไปแล้วก็ได้!
“แต่พี่คิดว่าบางทีพี่อาจจะคิดมากไป”
หืม? นี่ผมฟังผิดไปใช่มั้ย? ทำไมไอ้พี่โซ่ที่สงสัยมาตลอดถึงสรุปเอาว่าเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?
“ทำไมล่ะครับ” ความจริงผมควรจะเออออแล้วปล่อยผ่านไป แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้สงสัยไม่อยากให้อะไรคาใจผมก็เลยต้องถาม
“วาลองหันไปดูสองคนนั้นใหม่สิ” ถึงจะงงแต่ผมก็หันไปตามที่ไอ้พี่โซ่บอก ก่อนจะพบว่า...พี่ธามที่ไม่รู้ว่าย้ายไปนั่งข้างพี่เชนเมื่อไหร่ กำลังป้อนบิงซูให้กินอย่างกระหนุงกระหนิงกระดิ่งแมว!
พรวด!
น้ำเปล่าที่หยิบขึ้นมาจิบเพราะคอแห้งเมื่อกี้ถึงกับพุ่งเลยสิครัช!
“เป็นอะไรรึเปล่าวา!” ไอ้พี่โซ่ถามผมด้วยความเป็นห่วงและตกใจ ส่วนผมก็ไอค่อกๆ แค่กๆ อยู่อย่างนั้นเกือบนาที
พี่ธามผีเข้ารึไงถึงได้ไปป้อนบิงซูให้พี่เชนกิน! ขนาดผมที่ตามจีบมา 3 ปียังไม่เคยมีโมเมนต์นั้นเลยสักครั้ง!
“แค่กๆ อะ...โอเคแล้วครับพี่โซ่” เมื่อเห็นผมตอบแบบนั้นไอ้พี่มันก็โล่งใจ
“แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้สำลักน้ำแบบนั้นได้ล่ะ”
“เอ่อ...คือ...”
“หรือเพราะไม่คิดว่าจะมีใครเปิดเผยขนาดนั้นก็เลยตกใจ”
หืม? เปิดเผย? เปิดเผยอะไร?.....................................อ๋อ! ผมเข้าใจแล้ว! ที่แท้พี่ธามกับพี่เชนก็แกล้งเป็นแฟนกัน! ที่พี่เชนกระซิบข้างหูพี่ธามตอนนั้นก็เพราะเสนอความคิดนี้แน่!
“ใช่! ใช่แล้วครับพี่โซ่! ก็แหม...ใครจะไปคิดล่ะครับว่าพวกพี่เขาจะเปิดเผยขนาดนั้น สวีทกันไม่แคร์เวิลด์เลยเนอะ ดูสิครับ น่ารักเชียว” น่ารักกับผีอะไรเล่า! ผู้ชายตัวโตๆ สองคนมานั่งมุ้งมิ้ง ป้อนขนมป้อนบิงซูมันจะมีความน่ารักที่ไหน จริงอยู่ว่าพี่ธามจะตัวบางและเตี้ยกว่าพี่เชนหน่อย แต่ก็ไม่ได้ใกล้เคียงฝ่ายรับเอวบางร่างน้อยเลยสักนิด
“พอเห็นสองคนนั้นสวีทกันพี่ก็ชักอิจฉา อยากให้วาป้อนพี่บ่อยๆ เหมือนผู้ชายเสื้อขาวจังเลยน้า” เวร! ออกจากโหมดนักสืบก็กลับสู่โหมดออดอ้อนเลยนะไอ้พี่บ้านี่
“มือมีก็ตักกินเองสิเป็นง่อยรึไง”
“วาว่าไงนะครับ?” แน่นอนว่าเมื่อกี้ผมแค่พูดงึมงำกับตัวเองเท่านั้นไม่ได้พูดดังหรอก
“ผมบอกว่าถ้าพี่โซ่อยากกินเดี๋ยวผมป้อนก็ได้ครับ” เปลี่ยนสีไวกว่ากิ้งก่าก็ผมนี่แหละ จากที่แอบเบ้ปากผมก็ยิ้มหวานแล้วตักบิงซูป้อนไอ้พี่โซ่ไป เกิดไอ้พี่มันนึกสงสัยอะไรขึ้นมาอีกก็ซวยกันพอดี เพราะงั้นเอาใจไอ้พี่มันให้จบๆ ไปก็แล้วกัน
และนอกจากผมพี่ธามก็กำลังคิดแบบเดียวกัน เลยตั้งหน้าตั้งตาเอาใจพี่เชนเพื่อความแนบเนียน แต่ผมกับพี่ธามหารู้ไม่ว่า ไอ้พี่โซ่กับพี่เชนได้คิดกันไปอีกอย่าง แล้วถ้าผมรู้จักสังเกตสักนิดก็จะเห็นเลยว่าสองคนนั้นแอบสบตากัน แถมยังยกยิ้มที่มุมปากออกมานิดๆ อีกต่างหาก!
2BC
ฮัลโหลววววว สวัสดีค่าทุกคน พบกับเค้าแบบนี้ก็แสดงว่า Trap หัวใจพ่ายรัก ได้จบลงไปแล้วน้า นี่ก็เป็นตอนที่ 7 แล้ว เลยครึ่งเรื่องมานิดนึงแล้วล่ะคะ แถมยังมีเรื่องที่น่าสงสัยเพิ่มขึ้นมาอีก 1 เรื่อง แล้วมาลุ้นกันต่อไปนะคะว่าสรุปเรื่องพี่เชนกับพี่โซ่นี่มันยังไงกันแน่
ตอนแรก Trap ทุกคนคงจะคิดว่าเป็นกับดักของน้องวา แต่ตอนนี้อาจจะเริ่มลังเลแล้วสินะว่าเป็นกับดักของใครกันแน่ แต่อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องที่แน่นอนอยู่น้า นั่นก็คือที่ใครเป็นพระเอกเรื่องนี้ยังไงล่ะ!
ก่อนอื่นเราก็ต้องขอโทษคนที่ลงเรือธามวาด้วยนะคะ คงจะเฟลกันน่าดูเนอะ แต่ก็หวังว่าจะไม่เทเรื่องนี้กันน้า กอดขาของทุกคนแน่นมาก ยังไงก็เปิดใจให้พี่โซ่นิดนึงเนอะ ส่วนพี่เชนกับพี่ธาม...อืม...อาจจะเป็นมิตรภาพของลูกผู้ชายก็ได้เนอะ
ส่วนตอนหน้าเจอกันวันศุกร์นะคะ ค่ำๆหรือดึกๆเจอกันเหมือนเดิม แล้วมาลุ้นและเป็นกำลังใจให้พี่โซ่กับน้องวาด้วยนะคะ (ต้องรวมพี่เชนกับพี่ธามด้วยมั้ย?) ถ้าหากชื่นชอบก็คอมเมนท์หรือเข้ามาเม้ามอยที่แฟนเฟจของเค้าได้น้า กอดดดดด
(2 ต.ค. 61)