[H.E.A.R.T.] A.Avert หัวใจซ่อนรัก
Part 1# Niza คุณชายสายเปย์
“นี่ก็เย็นแล้ว มึงมีธุระหรือต้องรีบกลับมั้ยไอ้พฤกษ์” ผมเรียกชื่อไอ้คุณชายแว่นอย่างสนิทสนม แต่ความจริงผมอยากจะสนิทกับเงินของมันมากกว่า
“ไม่มี มึงพากูไปหาอาจารย์ปรัชญาตอนนี้เลยก็ได้” สีหน้าไอ้พฤกษ์ดูยินดีและพร้อมมากที่จะเจออาจารย์ แต่ฝันไปเถอะว่าผมจะให้มันได้เจอง่ายๆ ไม่อย่างนั้นแผนปอกลอกของผมก็พังทลายฉิบหายกันพอดี!
“มึงจะบ้ารึไง ขืนพามึงไปตอนนี้กูก็ซวยน่ะสิ อาจารย์คงได้เฉดหัวกูออกจากการเป็นผู้ช่วย แถมเงินค่าจ้างกูก็ยังจะชวดอีก พูดอะไรไม่คิดนะมึง” ผมเล่นใหญ่เหวี่ยงไอ้พฤกษ์ไปเพราะไม่อยากให้มันสงสัย แต่ที่ผมพูดไปมันก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องโกหก
“แล้วเมื่อไหร่มึงจะพากูไปหาอาจารย์” สีหน้าของไอ้พฤกษ์ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ก็แน่ล่ะถูกผมด่ากลายๆ ว่าไร้สมองขนาดนั้น แต่เรื่องนั้นผมแคร์ที่ไหน
“ไม่รู้ ขึ้นอยู่กับว่ามึงจะปลีกตัวมาหากูได้บ่อยแค่ไหน ถ้าอาจารย์รู้ว่ามึงสนิทกับกูเมื่อไหร่กูก็จะพามึงไปเมื่อนั้น เพราะถ้าเป็นตอนนั้นอาจารย์คงมองไม่ออกใช่มั้ยล่ะว่ามึงจ้างกู แต่จะคิดว่ากูเห็นแก่เพื่อนอย่างมึงเลยพาไปหา” เห็นผมจนๆ กากๆ แต่ผมก็ฉลาดพอตัวอยู่นะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องการหาเงินสมองของผมจะยิ่งจะมีประสิทธิภาพ
“นั่นสินะ ที่มึงพูดมาก็ถูก เพราะถึงมึงพากูไปหาตอนนี้อาจารย์ก็คงไม่ยอมคุยกับกูอยู่ดี” พอเห็นไอ้พฤกษ์คล้อยตามแบบนี้ผมก็แทบจะลุกขึ้นมาเซิ้งด้วยความลิงโลด ยังดีที่ผมสร้างภาพเก่งสีหน้าเลยไม่ได้เปลี่ยนไปมาก
“เห็นมั้ยล่ะ เพราะงั้นมึงต้องมาหากูบ่อยๆ อย่างช่วงพักเที่ยง เวลาว่างระหว่างรอเรียน หรือก่อนกลับบ้านไรงี้” แต่ถ้าพกมันนี่และของกินติดไม้ติดมือมาด้วยจะดีมาก หึหึ
“โอเค งั้นเอาตารางเรียนมึงมาดู กูจะได้รู้ว่ามีวันไหนมาเจอมึงได้บ้าง” แล้วผมก็รีบยื่นโทรศัพท์ที่เปิดรูปตารางเรียนเอาไว้ไปให้ไอ้พฤกษ์
“อืม...เท่าที่ดูกูก็มาเจอมึงได้ทุกวันเลยนะ บางวันช่วงเที่ยง บางวันช่วงเย็น ว่าแต่มึงเถอะมีธุระที่ต้องไปทำรึเปล่า”
“ก็ถ้ามีเดี๋ยวกูแคนเซิลมาหามึงก็ได้ แต่...”
“จะเอาค่าเสียโอกาสใช่มั้ยล่ะ” ไอ้พฤกษ์พูดอย่างรู้ใจ แหม่...คนฉลาดนี่เข้าใจอะไรง่ายดีจริงๆ
“เออ แต่กับเพื่อนกับฝูงกูไม่เอาอะไรมากหรอก แค่เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำกับให้ค่ารถเมล์กูก็พอ” ผมลอบยิ้มในใจ เท่านี้ผมก็จะประหยัดไปได้วันละหลายตัง
“โอเคตามนั้น แล้วค่ารถเมล์มึงจะเอาวันละเท่าไหร่ พันนึงพอมั้ย?”
“พันนึงพ่องสิ! กูเอาค่ารถเมล์ประเทศไทยไม่ใช่ดูไบนะโว้ย!” ผมเริ่มสงสัยแล้วนะว่าบ้านไอ้คุณชายนี่ค้ายาบ้าหรือว่าค้าอาวุธเถื่อนรึเปล่า แม่ง...เงินถุงเงินถังเปย์หนักฉิบหาย
“ก็แล้วมึงจะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามาสิ ขืนกูให้น้อยไปเกิดมึงไม่พอใจกูก็อดไปหาอาจารย์กันพอดี” ไอ้พฤกษ์ชักสีหน้าใส่ผม คงจะไม่พอใจที่เมื่อกี้ผมด่ามันล่ะมั้ง แต่มันน่ามั้ยล่ะ รถเมล์บ้านป้ามันสิราคาขนาดนั้น
“กูเอาวันละร้อยพอ”
“นี่มึงล้อเล่นใช่มั้ย” ไอ้พฤกษ์ชักสีหน้าใส่ผมมากกว่าเดิม เอ๊า กูผิดอะไร?
“กูเอาวันละสองร้อยก็ได้” เงินเท่านี้กูขึ้นรถเมล์ครีมแดงได้ตั้ง 30 เที่ยวเลยนะเฟ้ย!
“เมื่อไหร่มึงจะเลิกพูดเล่น” กูพูดจริงโว้ยไอ้คุณชาย!
“งั้นกูเอาเท่าค่าแรงขั้นต่ำก็ได้! สามร้อยขาดตัว! รีบดีลมาเลย!”
ให้ตายสิ ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งคนหน้าเงินอย่างผมต้องมาต่อราคาขึ้นไม่ใช่ราคาลง นี่โลกมันกลับตาลปัตรไปแล้วรึไง แล้วไอ้คุณชายนี่ก็เหมือนกัน แทนที่มันจะดีใจที่ผมอยากได้เงินมันน้อยๆ แต่ดั๊นทำหน้าไม่พอใจใส่ผมซะงั้น
ถ้าเงินเหลือใช้ขนาดนั้นก็โอนเข้าบัญชีมาเลยเดี๋ยวกูใช้ให้!
“โอเคสามร้อยก็สามร้อย ว่าแต่ที่มึงถามตอนแรกว่ากูมีธุระต้องรีบกลับมั้ย มึงถามทำไม” เออ ผมก็มัวแต่พูดเรื่องเงินๆ ทองๆ จนลืมเรื่องปากท้องไปแล้วนะเนี่ย
“มึงยังติดเลี้ยงข้าวกับกาแฟกูไม่ใช่รึไง อย่าบอกนะว่าจะทำเนียนไม่เลี้ยง” ผมก็หาเรื่องพูดใส่ไอ้พฤกษ์ไปงั้นล่ะ ถึงจะเจอกันยังไม่ถึงชั่วโมงแต่ผมก็รู้ว่าไอ้นี่มันป๋าขนาดไหน
“มึงอยากกินอะไรก็ว่ามาสิ” ประเด็นคืออันนี้แหละ ที่มันร่ายมาตอนแรกผมไม่เคยกินเลยสักร้าน หรูสุดในชีวิตผมก็แค่ KFC เท่านั้น แล้วผมจะรู้มั้ยล่ะว่าอะไรอร่อย
“เอ่อ...กูตามใจเจ้ามือแล้วกัน มึงอยากกินอะไรกูก็กินอันนั้นไม่เรื่องมากหรอก”
“โอเค มึงไม่ได้เอารถมาอยู่แล้วใช่มั้ย ถ้างั้นก็ไปรถกู” ไอ้พฤกษ์พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินนำผมไปยังลานจอดรถ ซึ่งผมก็เดินตามมันต้อยๆ แถมยังคอยเบะปากไปตลอดทางเพราะสาวๆ ต่างก็ส่งยิ้มให้ไม่ก็เข้ามาทักทายมัน แต่ในจำนวนนั้นไม่มีเลยที่จะมองเห็นผมที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้
หมั่นไส้จริงโว้ย!
“เดินนวยนาดแบบนี้เมื่อไหร่จะถึงรถ! กูหิวจนจะกินควายได้ทั้งตัวอยู่แล้วนะเว่ย!” ผมแยกเขี้ยวใส่ไอ้พฤกษ์ มันที่กำลังยิ้มอย่างมาดคุณชายเลยหน้าบึ้งตึงลงทันที
“พึ่งรู้นะเนี่ยว่าปกติมึงกินเนื้อควายด้วย” ไอ้พฤกษ์พูดด้วยใบหน้านิ่งๆ จากนั้นก็ใช้นิ้วดันแว่นสายตาขึ้นไป หนอย...เดี๋ยวนี้มีตอบโต้นะไอ้แว่น
“กูจะกินหรือไม่กินเนื้อควายแล้วมันไปหนักหัวมึงรึไง”
“ก็เปล่า แต่กูจะได้รู้ไงว่ารสนิยมเรื่องกินมึงเป็นแบบไหน จะได้พาไปกินร้านที่มึงน่าจะถูกใจไงล่ะ” ไอ้พฤกษ์พูดด้วยใบหน้านิ่งๆ แบบเดิม แต่ไหงผมกลับรู้สึกว่ามันกวนตีนผมเพิ่มก็ไม่รู้
“ไม่เป็นไร ไปร้านที่มึงชอบนั่นแหละ”
“กูถามมึงแล้วนะ” ไอ้พฤกษ์เหลือบสายตามามองผม สีหน้าของมันตอนนี้ถึงแม้ว่าจะเรียบเฉย แต่ผมก็พอเดาออกว่ามันกำลังวางแผนแกล้งผมอยู่ ไม่แน่ว่ามันอาจจะพาผมไปร้านที่สั่งยากๆ กะให้ผมอายเพราะสั่งไม่เป็นก็ได้
“เออ มึงเลือกร้านเลย” ส่วนผมก็จะเล่นตามน้ำไป ถ้าหากมันไม่ได้คิดจะทำอะไรผมจะปล่อยผ่าน แต่ถ้ามันคิดจะแกล้งผม ผมจะเอาคืนมันให้สาสมเลยคอยดู!
จากนั้นไม่นานไอ้พฤกษ์ก็ขับรถมาถึงห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งพอไปถึงมันก็เดินนำผมตรงไปยังร้านกาแฟชื่อดัง ซึ่งคนทั้งประเทศน่าจะรู้จักร้านนี้ดีแม้ว่าจะไม่เคยเข้าไปกินเลยก็ตาม...สตาร์บัคส์
“เอา Chocolate Chip Cream Frappuccino® Blended Beverage ครับ” ไอ้คุณชายเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์อย่างโปร ซึ่งพอสั่งเสร็จก็หันมาหาผมที่ยืนต่อคิวอยู่ข้างหลังมัน
“มึงอยากกินอะไรสั่งได้เต็มที่เลยนะไม่ต้องเกรงใจ แต่ถ้าสั่งไม่เป็นก็บอกได้นะเดี๋ยวกูสั่งให้” ดูเผินๆ เหมือนมันจะถามผมอย่างมีน้ำใจ แต่ความจริงแล้วมันตั้งใจจะแกล้งให้ผมอายมากกว่า
แต่โทษทีนะ มึงรู้จักกูน้อยไปแล้วไอ้พฤกษ์ เกรียนมาเกรียนกลับไม่โกงเฟ้ย!
“ไม่เป็นไร กะอีแค่สั่งกาแฟทำไมกูจะสั่งไม่เป็น” คำตอบของผมทำเอาไอ้พฤกษ์เลิกคิ้วขึ้นนิดนึง คงจะผิดคาดเลยสินะ
“โอเค งั้นมึงสั่งเลย” พอมันพูดแบบนี้ผมเลยหันหน้าไปมองพนักงาน จากนั้นก็พูดชื่อเมนูที่ผมตั้งใจจะสั่งตั้งแต่ที่เข้ามาในร้านด้วยเสียงดังฟังชัดว่า...
“โอเลี้ยงใหญ่แก้วนึง!”
เท่านั้นแหละคนทั้งร้านต่างก็พากันหันมองมาทางนี้เป็นสายตาเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังทำค้างไว้ต่างก็หยุดชะงักราวกับต้องมนต์หยุดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ไอ้พฤกษ์ที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ผมด้วย
“อะ...เอ่อ...เมนูนี้ทางร้านเราไม่มี ถ้ายังไงรับเป็น Americano แทนมั้ยคะ” พนักงานที่ดูเหมือนว่าจะได้สติขึ้นมาก่อนเป็นคนพูดขึ้น
“ไม่เอาอะ กาน่งกาโน่อะไรไม่รู้จัก แล้วชานมไข่มุกล่ะมีปะ?” ผมถามต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สา แม้ว่าคนภายในร้านและคนที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังบางคนเริ่มจะหัวเราะผมกันแล้ว
“มะ...ไม่มีค่ะ”
“โหย นู่นก็ไม่มีนั่นก็ไม่มี นี่มันร้านกาแฟจริงปะเนี่ย...เดี๋ยวสิไอ้พฤกษ์มึงจะไปไหน ถ้าจะไปหาที่นั่งก็อย่าพึ่งเลย รอไปพร้อมกูดีกว่า” ผมรีบเดินไปลากไอ้พฤกษ์กลับมา เมื่อมันค่อยๆ ก้าวเท้าถอยห่างทำท่าเป็นไม่รู้จักผม
“ปล่อยกู” ไอ้พฤกษ์กัดฟันพูดแล้วพยายามแกะมือของผมออก แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยแถมยังกอดแขนของมันให้แน่นขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก
“มึงว่ากูควรจะสั่งอะไรดี โอเลี้ยงกับชาไข่มุกไม่มีงั้นเอาเป็นชาไทยดีมั้ย หรือว่าจะเป็นชาเย็น?” ผมทำเป็นไม่รับรู้ถึงสีหน้าของไอ้พฤกษ์ที่กำลังแดงจัดไปจนถึงใบหู ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้มันกำลังอายขนาดไหน เพราะสายตาเกือบทุกคู่ภายในร้านไม่ได้มองมาที่ผมคนเดียว แต่ยังมองมาที่มันด้วยเช่นกัน
สะใจเป็นบ้า ภาพลักษณ์คุณชายของมันป่นปี้ไปหมดแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ
“มึงกำลังแกล้งกูอยู่ใช่มั้ยซ่า” ไอ้พฤกษ์พูดด้วยเสียงรอดไรฟัน
“ทำไมกูต้องแกล้งมึงด้วยล่ะเพื่อน หรือว่ามึงแกล้งอะไรกูก่อนกูถึงต้องเอาคืนมึงรึเปล่า” ผมช้อนตาขึ้นไปมองมันพลางยิ้มหวาน แต่สายตาของผมห่างไกลจากคำว่ายิ้มโดยสิ้นเชิง
“เฮ้ออออ ขอโทษ กูยอมรับก็ได้ว่าตั้งใจจะแกล้งมึง” ในที่สุดผู้ร้ายก็ยอมรับสารภาพแล้ว
“หึ! ก็แค่นั้น” ผมพูดจบก็สะบัดแขนของมันที่ผมกอดอยู่ออกไปอย่างไม่ไยดี จากนั้นก็หันหน้าไปหาพนักงานที่ยืนยิ้มหน้าเจื่อนๆ อยู่ตรงเคาน์เตอร์
“โทษทีเมื่อกี้ผมแกล้งเพื่อนน่ะ เอาชาเขียวปั่นเพิ่มวิปครับ” ถึงผมจะไม่เคยเข้ามากินแต่ผมก็รู้หรอกน่าว่าสั่งแบบธรรมดาพนักงานก็ทำให้ได้ ไม่จำเป็นต้องสั่งแบบเวอร์วังอย่างที่ไอ้พฤกษ์มันสั่งเลยแม้แต่น้อย
“รับทราบค่ะ เดี๋ยวรอรับเครื่องดื่มทางนี้นะคะ” พนักงานพูดจบก็ผายมือไปยังด้านข้าง ผมเลยเดินไปทางนั้นพร้อมกับไอ้พฤกษ์ที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“คราวหน้ายังคิดจะแกล้งกูอยู่มั้ย” ผมหันหน้าไปหาไอ้พฤกษ์แล้วยิ้มที่มุมปาก ตอนนี้ผมคิดว่ามันคงจะเข็ดจนไม่กล้าทำอะไรผมแล้ว
แต่...
“ไม่ ถ้ามึงไม่คิดจะกวนประสาทกู” ไอ้แว่นนี่มันดื้อด้านกว่าที่คิดอีกเว่ย!
“มึงอยากโดนดีรึไง”
“แล้วมึงไม่อยากได้เงินจากกูงั้นหรอ” พอได้ยินแบบนี้ จากที่กำลังวางก้ามอย่างใหญ่โต ผมก็ถึงกับตัวหดลีบลงอย่างรวดเร็ว
“เออ กูอยากได้เงินมึง ส่วนมึงก็อยากให้กูพาไปหาอาจารย์ใช่มั้ยล่ะ ถ้างั้นกูว่าเราสองคนมาทำสัญญาสงบศึกชั่วคราวกันดีกว่า”
“นั่นสินะ ยังไงเราสองคนก็อยู่ด้วยกันเพราะผลประโยชน์อยู่แล้ว” พอไอ้พฤกษ์พูดแบบนี้ก็เป็นเวลาพอดีที่พนักงานเอาเครื่องดื่มที่พวกเราสั่งไปมาวางไว้ ผมกับมันเลยมองตากัน จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหยิบแก้วใครแก้วมันมาชนกันพร้อมกับพูดว่า...
“สงบศึกชั่วคราว!!”
แต่ถึงผมจะพูดว่าจะสงบศึกชั่วคราว เคยได้ยินกันมั้ยล่ะว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร ซึ่งผมมันก็คนประเภทเดียวกันกับโจรนั่นแหละ ดังนั้นฝันไปเถอะว่าผมจะสงบศึกกับไอ้พฤกษ์จริงๆ ไว้สบโอกาสเมื่อไหร่ผมจะแกล้งจนภาพลักษณ์คุณชายของมันย่อยยับกว่านี้อีกคอยดู หึหึ
ส่วนไอ้พฤกษ์ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะคิดแบบผมมั้ย เพราะหน้ามันดูนิ่งๆ สายตาไม่ได้มีแววเจ้าเล่ห์แต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ไว้ใจแล้วระวังตัวทุกฝีเก้าอยู่ดี
“มึงหิวรึยัง จะไปกินข้าวกันเลยมั้ย”
“หวังว่ามึงคงไม่คิดจะแกล้งอะไรกูอีกนะไอ้พฤกษ์” ผมหันไปมองตาขวาง มันเลยมองบนแล้วถอนหายใจออกมา
“เมื่อกี้ก็ทำสัญญาสงบศึกไปแล้วไง หรือว่ามึงมีแผนจะแกล้งกูในใจเลยคิดว่ากูจะทำแบบมึงด้วย” ไอ้พฤกษ์พูดขึ้นราวกับอ่านใจผมได้ ไอ้คุณชายมันจะแสนรู้เกินไปแล้วนะ
“มึงอย่ามาปรักปรำกู กูก็แค่พูดดักคอมึงไว้เฉยๆ”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เถอะ”
“ไอ้...”
“สรุปจะไม่กินข้าวใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นกูจะได้กลับ” ไอ้พฤกษ์รีบพูดขัดขึ้นก่อนที่ผมจะได้ง้างปากด่ามัน เพราะงั้นคำพูดของผมเลยเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือทันที
“แหม...จะรีบกลับไปไหนล่ะเพื่อน ไปกินข้าวกระชับมิตรกับกูก่อนดีกว่า เดี๋ยวกูจะถ่ายรูปแล้วเช็คอินลงเฟซบุ๊กให้ด้วย กูคงยังไม่ได้บอกสินะว่าอาจารย์ปรัชญาก็เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกู”
“พูดจริง?” ไอ้พฤกษ์ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
“เอ๊าไอ้นี่ กูจะโกหกทำมะเขืออะไร ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวกูเปิดให้ดูก็ได้” ว่าแล้วผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเฟซบุ๊ก จากนั้นก็เสิร์ชชื่ออาจารย์ให้ไอ้พฤกษ์ดูว่าเป็นเพื่อนกับผมจริงๆ ไม่ได้โม้
“พึ่งรู้นะเนี่ยว่ามึงสนิทกับอาจารย์ขนาดได้เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กด้วย”
“เอาจริงๆ เลยปะ กูไม่ได้อยากแอดหรอกแต่อาจารย์บังคับเข้ากลุ่มที่มีกัน 2 คน เพราะแกบอกว่าจะส่งงานให้ช่วยหรือลงนัดหมายวันเวลาในนี้ง่ายดี”
“อ้อ” ไอ้พฤกษ์พยักหน้ารับรู้
“ว่าแต่มึงเล่นเฟซบุ๊กมั้ย จะให้กูแอดไปปะ เวลาลงรูปจะได้แท็กมึงด้วย”
“เอางั้นก็ได้” แล้วไอ้พฤกษ์ก็บอกชื่อเฟซบุ๊กของมันมา ซึ่งมันใช้ชื่อว่า ‘Pruk Phumpruk’
“เหยดดดด นี่มึงมีเพื่อนตั้ง 4900 กว่าคนเลยเรอะ!” ผมเบิกตากว้างด้วยความทึ่ง เพราะเพื่อนของมันมีมากกว่าผมเกือบ 10 เท่าเห็นจะได้
“ก็ถ้าเฟซบุ๊กไม่จำกัดกูคงมีเพื่อนเป็นหมื่นไปแล้วมั้ง” ไอ้พฤกษ์ยักไหล่ คำพูดคำจาแม่งน่าหมั่นไส้ฉิบหาย!
“เออ! ไอ้คนดัง! ถ้ายังไงมึงก็กรุณารับแอดกูด้วย!” ผมพูดประชดแล้วเบ้ปากใส่
“บอกชื่อเฟซบุ๊กมึงมาสิ คำขอกูมีเป็นร้อย” หนอย...มันน่าโบกให้แว่นหลุดจริงๆ!
“กูพึ่งแอดไปเมื่อกี้มึงไม่เห็นรึไง หรือโทรศัพท์มึงกากมันเลยไม่แจ้งเตือน” ว่าไปนั่น ถ้าไอโฟนรุ่นล่าสุดของไอ้พฤกษ์มันกาก งั้นโทรศัพท์จีนแดงอย่างผมก็คงยิ่งกว่าเศษซากของเหลือแล้วล่ะ
“มันขึ้นแจ้งเตือนอยู่ แต่กูไม่แน่ใจว่าจะใช่เฟซบุ๊กของมึงมั้ย”
“แล้วมันขึ้นชื่อว่าอะไรล่ะ”
“เจ้ากรรม นายเวร”
“เออ นั่นแหละเฟซบุ๊กกู” เท่านั้นแหละไอ้พฤกษ์ก็ถอนหายใจแล้วมองบนทันที
“กูจ้างมึงพันนึง เปลี่ยนชื่อใหม่เถอะซ่า” สีหน้าของไอ้พฤกษ์ตอนนี้ดูสมเพช เวทนา แล้วก็ละเหี่ยใจจริงๆ ที่ผมใช้เฟซบุ๊กชื่อนี้
“มึงไม่ต้องเอาเงินมาจ้างกู แต่เอาเงินไปจ้างไอ้มาร์คสากกะเบือโน่น! แม่ง...ตอนกูใช้ชื่อจริงมันเสือกบอกว่ากูใช้ชื่อปลอม แล้วพอกูลองใส่ชื่อไปมั่วๆ แม่งเสือกให้ผ่านเฉย” พูดแล้วผมก็ยังเคืองไม่หาย ไอ้มาร์คนะไอ้มาร์ค เจอหน้าพ่อจะด่าให้ยับเลยฮึ่ม!
“เฮ้ออออ นี่กูต้องรับมึงเป็นเพื่อนจริงๆ หรอเนี่ย ‘เจ้ากรรม นายเวร’ ได้เป็นเพื่อนคุณแล้ว นี่กูควรจะดีใจมั้ย” ไอ้พฤกษ์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ก็ถ้ามันลำบากใจขนาดนั้นก็ลบเพื่อนกูซะไป๊จะได้จบๆ” ผมแยกเขี้ยวใส่ ตอนนี้ผมไม่แน่ใจแล้วว่าควรจะโมโหไอ้มาร์คหรือว่าไอ้พฤกษ์มากกว่ากัน
“กูก็คงทำแบบนั้นถ้ามึงไม่เป็นเพื่อนกับอาจารย์ปรัชญา แต่เอาเถอะมี ‘เจ้ากรรม นายเวร’ เป็นเพื่อนมันก็ดูแปลกใหม่ดี” คำพูดคำจาแม่งน่ากระทืบฉิบหาย!
“มึงเลิกพูดถึงชื่อเฟซบุ๊กกูได้แล้วไอ้พฤกษ์! กูหิว! กูอยากกินข้าวแล้วเว่ย!” คอยดูนะ พอไปถึงผมจะสั่งมาเต็มโต๊ะให้มันล้มละลายไม่มีปัญญาจ่ายเลย!
“มึงอยากกินอะไรล่ะ”
“ได้หมด แต่ขอให้ได้กินเลยกูขี้เกียจต่อคิว”
“งั้นเดินไปดูทางนู้นกัน” แล้วไอ้พฤกษ์ก็เดินนำผมไปยังโซนร้านอาหาร แต่ละร้านผมเคยเห็นผ่านทางโฆษณา แต่ว่ามันดูหรูหราและราคาแพงโคตรๆ จนผมไม่มีปัญญากิน
“เอาร้านนี้แล้วกันคนไม่เยอะ มึงไม่มีปัญหาใช่มั้ย” ไอ้พฤกษ์หันมาถามผม เมื่อเดินมาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งซึ่งคนไม่เยอะเท่าไหร่
“กูไม่มีปัญหา” แต่ว่ามึงอาจจะมี เพราะหลังจากนี้อาจไม่มีปัญญาจ่ายจนต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยก็ได้ ฮ่าๆๆๆ
“ถ้างั้นก็ตามเข้ามา” ไอ้พฤกษ์ที่ไม่ได้รับรู้ความคิดของผมเลยเดินนำเข้าไปด้วยท่าทีสบายๆ ส่วนผมก็ลอบยิ้มในใจแล้วเดินตามมันเข้าไปติดๆ
“รับอะไรดีคะ” พนักงานสาวถามขึ้นหลังจากวางเมนูลงตรงหน้าของผมและไอ้พฤกษ์ได้สักพัก ราคาแต่ละอย่างแพงเวอร์วังจนผมแทบตาเหลือก ผิดกับไอ้พฤกษ์ที่แทบไม่ต้องมองเมนูก็สั่งได้ชิลๆ เพราะคงจะมาบ่อย
“เอาราเมนแกงกะหรี่ อลาสก้าแซลมอนโรล แล้วก็เกี๊ยวซ่าครับ” หลังจากไอ้พฤกษ์สั่งพนักงานสาวก็หันหน้ามองมาทางผม ซึ่งผมก็เหลือบสายตาไปมองไอ้พฤกษ์พร้อมกับยิ้มมุมปากนิดนึง จากนั้นก็สั่งอาหารรัวๆ ราวกับไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตลอดทั้งเดือน
“ผมเอาปลาดิบชุดพิเศษ แซลมอนย่างราดซอสสไปซี่ แซลมอนอบหม้อดิน ยำปูอัด สลัดปูนิ่ม หมึกย่างซีอิ๊ว กุ้งผัดกระเทียม สเต็กหอยเชลล์ ซูชิทอดซอสปลาทูน่า สปาเก็ตตี้ไข่ปลา เทมปุระ ทาโกะยากิ พิซซ่าญี่ปุ่น ชุดข้าวปั้นหน้าปลาดิบ ข้าวหน้าปลาทูน่ากับปลาแซลมอน แล้วก็ข้าวหน้าปลาไหลครับ” ผมยิ้มกว้างเมื่อสั่งอาหารทั้งหมดเสร็จ ค่าเสียหายของมื้อนี้ไม่ต่ำกว่า 5000 อย่างแน่นอน!
“อะ...เอ่อ...ขออนุญาตทวนรายการอาหารนะคะ” พนักงานพูดขึ้นอย่างอึ้งๆ และงงๆ เพราะคงไม่เคยมีใครสั่งล้างผลาญราวกับจะกินได้ทั้งหมู่บ้านทั้งที่มากันแค่ 2 คน ก่อนที่พนักงานจะทวนรายการอาหารที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของผม บอกตามตรงผมจำรายการที่สั่งไปไม่ได้หรอก เพราะผมก็แค่เปิดเมนูแล้วอ่านไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
“สั่งมาเยอะเอาเรื่องเลยนะซ่า” ไอ้พฤกษ์พูดขึ้นหลังจากที่พนักงานเดินออกไป น่าแปลกที่ผมคิดว่ามันคงจะต้องโกรธจนหน้าดำหน้าแดง แต่ผมก็คิดผิดเพราะมันยังคงหน้านิ่งแถมติดจะยิ้มที่มุมปากหน่อยๆ ด้วยซ้ำ
“พอดีกูหิวน่ะ แต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้นกูเลยเผลอสั่งมาซะเยอะ มึงคงไม่มีปัญหาใช่มั้ย” ผมยิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า แต่สายตากำลังเยาะเย้ยและกวนตีนสุดๆ
“กูไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ไอ้พฤกษ์ยักไหล่ใจอย่างป๋า
“ถ้างั้นก็ดี” ผมยิ้มค้าง อะไรวะ ทำไมมันถึงไม่มีปฏิกิริยาอย่างที่ผมคิดเอาไว้เลย ถึงแม้มันจะไม่ได้โกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่มันก็ต้องแสดงอาการไม่พอใจออกมาบ้างสิ ไม่ใช่ยังทำหน้านิ่งไม่ทุกข์ไม่ร้อนแบบตอนนี้
เซ็งจริงๆ สงสัยไอ้พฤกษ์มันคงเป็นคุณชายที่ใช้จ่ายได้วันละเป็นพันเป็นหมื่นโดยที่ขนหน้าแข้งไม่ร่วงล่ะมั้ง
หลังจากนั้นไม่นานอาหารก็เริ่มทยอยกันมาจนกระทั่งเต็มโต๊ะ ไม่สิ ต้องเรียกว่าล้นมากกว่าจนผมต้องเอาบางรายการไปไว้ในจานเดียวกัน ซึ่งรายการที่ผมสั่งไอ้พฤกษ์ไม่ได้แตะต้องเลยแม้แต่น้อย มันกินแค่ในส่วนที่ตัวเองสั่งมาเท่านั้น ไม่รู้ว่ามันรังเกียจผมหรือว่าคิดอะไรอยู่
“กูอิ่มแล้วนะ” ไอ้พฤกษ์บอกผมเมื่อมันกินโรลคำสุดท้ายหมด
“อืม กูก็อิ่มแล้วเหมือนกัน เช็คบิลได้เลย” ผมหยิบเทมปุระเข้าปากเป็นคำสุดท้าย จากนั้นก็วางตะเกียบลงพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม
“มึงจะกินแค่นี้เองหรอ อาหารยังเหลืออีกเพียบเลยนะ” ไอ้พฤกษ์กวาดสายตามองจานอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ ซึ่งผมยังกินไปได้ไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ
“หูตึงรึไง เมื่อกี้กูก็บอกไปแล้วนี่ว่าอิ่มแล้ว” ผมตอบอย่างกวนตีนแล้วดื่มน้ำชาต่ออย่างสบายอารมณ์
“อันนั้นกูได้ยิน แต่มึงจะไม่กินให้หมดจริงๆ ใช่มั้ย” ไอ้พฤกษ์ถามพลางใช้สายตาคมกริบภายใต้กรอบแว่นมองตรงมายังผม
แต่คิดว่าผมจะกลัวเรอะ?
เฮอะ! พูดเลยว่าไม่มีทาง!
“มึงจะถามเซ้าซี้อะไรมากมาย กูก็บอกไปแล้วไงว่ากูอิ่ม กูกินได้แค่นี้ ที่กูพูดไปมันเข้าใจยากตรงไหน” พอผมพูดแบบนี้ไอ้พฤกษ์ก็พยักหน้าลงทันที
“โอเค กูเข้าใจแล้ว งั้นกูจะเรียกเช็คบิลเลยนะ แต่...กูจะจ่ายให้เฉพาะจานที่มึงกินหมดนะซ่า ส่วนที่มึงกินเหลือมึงก็รับผิดชอบจ่ายเอาเองแล้วกัน”
เท่านั้นแหละ...
พรูดดดดดดดดด!!!
ผมก็พ่นน้ำชาที่กำลังดื่มออกไปพร้อมกับทำตาเหลือกเลยน่ะสิ!
“นี่มึงล้อกูเล่นใช่มั้ยไอ้พฤกษ์!”
“แล้วหน้ากูเหมือนคนล้อเล่นรึไง” ก็เพราะไม่น่ะสิกูถึงได้ตาเหลือกอยู่แบบนี้!
ฉิบ – หาย – แล้ว! จะเอาปัญญาที่ไหนมาจ่ายเนี่ยกู!
2BC
ฮัลโหลววว สวัสดีค่าาาาา จบไปอีกตอนแล้วสำหรับ Avert หัวใจซ่อนรัก ซึ่งเนื้อหากับชื่อเรื่องนั้นสวนทางกันมาก แต่ก็หวังว่าทุกคนจะชื่นชอบสายฮาหลังจากอ่านสายหวานของพี่ภู และสายหื่นอย่างคุณธารมาแล้วนะคะ
จากคอมเมนท์ที่ผ่านมาจากเว็บต่างๆที่เค้าอัพลง รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของพฤกษ์ที่สั่งสมมาจากเรื่องก่อนๆจะพังทลายลงไปในพริบตา แต่นั่นแหละฮะท่านผู้ชม ต้องไปโทษตัวการตัวเกรียนอย่าง ‘เจ้ากรรม นายเวร’ ที่ชื่อซ่าเลยค่ะ
เกรียนแตกขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่าทุกคนจะเอ็นดูลงมั้ย หรือจะสมน้ำหน้าที่ถูกพฤกษ์แก้เผ็ดได้ ยังไงก็มาตามต่อกันในตอนหน้าด้วยนะคะ
ฝากคู่พฤกษ์ซ่าด้วยน้า มาลุ้นกันค่ะว่าคู่นี้จะรักกันได้ยังไง แล้วใครจะรักใครก่อน อีก 2-3 วันเจอกันค่า บ๊ายบายยยย
ปล. Merry Christmas นะคะทุกคน
(24 ธ.ค. 60)