Rule of secret Love “กฎของคนแอบรัก” อัพเดท แจ้งข่าว!!! (28/12/2017) P.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Rule of secret Love “กฎของคนแอบรัก” อัพเดท แจ้งข่าว!!! (28/12/2017) P.6  (อ่าน 190621 ครั้ง)

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ก่อจากความผูกพัน ความจริงใจ กลายเป็นรักแท้
เนื้อเรื่องน่ารักมากๆ เพิ่งได้อ่านอ่ะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะ
อยากมีใครมารักจริงๆแบบนี้บ้างจัง

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฎข้อที่ 17 อย่าใส่ใจคนอื่นมากกว่า
เวลาเยียวยาหัวใจของเราได้เสมอ
หากแต่มันอาจจะนานไปจนมองไม่เห็นแล้ว...ว่ามีคนรอ









“สวัสดีครับ ผมคิง ชื่อจริงชื่อคนิน เทวากุล กำลังจะขึ้นชั้นปีที่สาม มาฝึกงานที่นี่เป็นที่แรก ฝากตัวด้วยครับ”

ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับสีหน้ายิ้มๆ ของพี่ๆ ในศูนย์วิจัยด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ค่อนข้างจะเขินและประหม่าไม่น้อย ต่างจากเพื่อนจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่แนะนำตัวอย่างฉะฉาน ทั้งบางคนยังมีอารมณ์ขันร่วม เรียกเสียงหัวเราะและรอยเอ็นดูจากใบหน้าของพวกพี่ๆ ได้เป็นอย่างดี

ในบรรดาเด็กฝึกอย่างพวกผม (มีแค่สี่คนเองครับ) มีผู้หญิงแค่คนเดียว ซึ่งมาไกลจากมหาวิทยาลัยเขตภาคเหนือ ส่วนอีกสองคนมาจากทางตะวันออกและอีสาน ดูท่าทางแล้วคงจะเก่งกันทั้งคู่ ชักจะเกร็งแล้วแฮะ -_-;; กลัวจะเผลอทำเด๋อๆ ด๋าๆ ให้อายถึงมหาลัยจังวุ้ย...

“...ก็แบ่งตามนี้นะคะ เพราะถึงการฝึกงานครั้งนี้จะไม่หนักเท่าปีหน้า แต่ก็หนักพอสมควรด้วยตัวศูนย์ที่นี่เขาค่อนข้างใหญ่ พี่เลยอยากให้เราคอยดูแลงานในส่วนที่รับผิดชอบกันเป็นคู่ ให้น้องดิวกับน้องฝ้ายเป็นบัดดี้กัน แล้วก็น้องคิงกับน้องฟิวส์นะคะ ไม่มีปัญหาเนอะ”

“ครับ/ค่ะ”

“โอเคค่ะ ส่วนที่พักกับเรื่องจิปาถะ เอาไว้ไปฟังจากพี่ๆ สตาฟด้านในได้เลย ข้าวของที่เอามาฝากพี่เขาเอาไว้ได้เลยนะ วันแรกนี้จะเป็นการแนะแนวเรื่องแผนงานคร่าวๆ ไม่ซีเรียสจ๊ะ ^_^”

นี่ขนาดไม่ซีเรียสนะ... ผมยิ้มมองใบแผนงานและกำหนดการณ์จำพวกงานในแต่ละฝ่ายและเป้าหมายการฝึกงานครั้งนี้ของพวกผม ถึงมันจะไม่สูงเกินระดับที่เรียน แต่ใช่ว่ามันจะง่ายนี่หว่า บางอันผมเคยทำแล้ว แต่ทำพลาดบ่อยก็มี โอ๊ย ชีวิต

เห็นทีต้องขอเกาะเพื่อนร่วมชะตาแล้วล่ะ T_T

ผมมองตามแผ่นหลังเพื่อนใหม่ทั้งสามคนที่เดินอยู่ด้านหน้า เป็นกลุ่มคนที่สะดุดตามากจริงๆ ครับ คนหน้าสุดคือดิว นายคนนี้ตัวสูงพอๆ กับผม แต่เรื่องหน้าตานี่ความดูดีออร่าความหล่อพุ่งกระแทกตามากครับ ดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่มีความเป็นผู้นำอยู่ในท่าทางเหล่านั้น คนต่อมาคือฝ้าย สาวคนเดียวในกลุ่ม พกมากับความฉลาดคือใบหน้าที่น่ารัก ไม่ได้น่ารักแบบเห็นแล้วต้องร้องว้าวนะครับ แต่น่ารักแบบ...มองไม่เบื่ออ่ะ -.- มองได้มองดี ต่อให้ตอนนี้ผมชอบพี่เพจ แต่ถ้าจะให้จ้องหน้าคนน่ารักแบบนี้ก็ทำได้ทั้งวันนะ เพลินดี

คนสุดท้ายคือฟิวส์ ตาคนนี้ไม่น่าคบสุดเลย ต่อให้หน้าตาดีที่สุดในกลุ่มพวกผมก็เถอะ เฮียแกมากับความสูงที่น่าจะสูงราวๆ พี่เพจ ไม่ก็พี่สิงห์ แต่สไตล์การแต่งตัวทรงผมนี่คล้ายๆ กับพี่ทีม แต่หน้าตาไม่รับแขกของฟิวส์นี่น่ากลัวกว่าเยอะ ทว่าพอรวมกับท่าทางนิ่งขรึม ก็เรียกคะแนนนิยมเสียงกรี๊ดกร๊าดของพี่ๆ ผู้หญิงในศูนย์ได้แล้วล่ะ โชคดีอย่างหนึ่งคือเหมือนฟิวส์จะเรียนเก่งใช้ได้ ถึงจะดูไม่น่าคบหา (ด้านลักษณะภายนอกน่ะนะ...) แต่เรื่องเรียนผมน่าจะพึ่งพาเขาได้ไม่มากก็น้อย

พวกเราทั้งหมดเดินวนเวียนอยู่ในศูนย์ที่จะต้องทำการฝึกงานช่วงหนึ่งเดือนนี้จนแทบจะจำได้หมดแล้วว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหน ชื่ออะไร มีใครประจำอยู่บ้าง ก่อนจะกล่าวลาพวกพี่ๆ เพื่อเอาข้าวของที่นำติดตัวมาด้วย ขึ้นไปยังห้องพักที่ทางศูนย์ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้

ดีอย่างหนึ่ง แม้ว่าห้องจะเล็ก แต่ก็มีพอสำหรับสี่คน ทุกคนจึงได้มีห้องเป็นของตัวเอง เสียอย่างเดียว ห้องน้ำรวม...

ไม่ได้เป็นห้องน้ำรวมแบบห้องน้ำค่ายลูกเสือหรือค่ายรด.หรอกนะครับ แต่หมายถึงห้องน้ำและห้องอาบน้ำหลายๆ ห้องในห้องน้ำใหญ่อีกทีน่ะ พวกผมเลยคุยและยกให้หญิงสาวเพียงคนเดียวเข้าจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วค่อยแจ้งเหล่าหนุ่มๆ ให้ไปอาบน้ำเอา จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์พวกเปิดเข้าไป โป๊ะกับภาพที่ไม่น่าเผยแพร่และเป็นอันตรายต่อเรตเยาวชน -_-;

หลังจากเก็บของก็ไม่มีอะไรแล้วครับ พี่เขาก็ปล่อยให้ทำความรู้จัก ทำความคุ้นเคยกับพื้นที่รอบๆ ทั้งวันที่เหลือ ทางฝ้ายและดิวขอตัวไปสำรวจว่าแถวนี้มีร้านอาหารหรือร้านค้าอะไรบ้าง (ดิวนี่ยักคิ้วหลิ่วตาจนผมรู้นิสัยเพื่อนใหม่อย่างหนึ่งล่ะ ไอ้นี่มันไปหาร้านเหล้า เตรียมเมาชัวร์ =_=) ฟิวส์นั้นนับตั้งแต่เข้าตึกไปเก็บของก็ยังไม่ออกมาเลย ส่วนผมนั้น...

“ทุกอย่างโอเคดีครับ”

(จริงน่ะ? ห้องน้ำห้องท่า รุ่นพี่? ทุกอย่างโอเคจริงเหรอ?)

ผมยิ้มขำๆ แม้ว่าปลายสายจะไม่เห็นก็เถอะ “จริงครับ ทุกอย่างโอเคมาก เพื่อนใหม่ของผมก็น่ารักมากกกกก”

(ไอ้น่ารักมากน่ะหมายความว่าไง)

คราวนี้ผมหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เมื่อได้ยินเสียงคล้ายจะไม่ชอบใจและดูเหมือนจะติดงอนนิดๆ จากพี่เพจ ก่อนจะกลั้นเสียงหัวเราะที่เริ่มดังเกินไปแล้วตอบกลับไป

ผมควรตอบกลับไปยังไงดีล่ะ?

“ก็...หน้าตาน่ารักดีมั้งครับ”

ใครใช้ให้พี่เขาทำตัวน่ารักละเนอะ ผมจึงอดแกล้งกลับไปไม่ได้

(คิง...)

“ครับ?”

(...สามวันจากนารีเป็นอื่นจริงๆ ด้วย)

“พี่เพจ ผมเป็นผู้ชายนะ”

(ครับ พี่ก็ผู้ชายไง)

“จะมาใช้คำว่านารีได้ไงละ เอ้อ”

(ก็พี่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นผู้หญิงซะหน่อย หมายถึงในแง่ว่า คนที่เพิ่งบอกรักกันไปหยกๆ พอห่างหน่อยก็ทำตัวเปลี่ยนไปต่างหาก -3-)

“อี๋ หลงตัวเอง” ผมเผลอกัดปากตัวเองนิดหน่อยตอนพูดประโยคนั้นจบ หน้าเหนอนี่ร้อนเห่ออย่างกับเอาไปอบในตู้อบมาแน่ะ ให้ตายเถอะ ไกลกันขนาดนี้ แค่เสียง...ทำไมถึงได้ส่งผลถึงผมขนาดนี้กันนะ

(เฮ้อ เดือนหนึ่งเลยเหรอ คิดถึงแย่เลย)

“ขี้โม้”

(ไม่โม้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ขับรถไปหาซะหรอก พี่กลับมามีบ้านแล้วนะเฟ้ย พ่อยอมให้กุญแจรถแล้ว T_T)

“ฮ่าๆๆ ทำไมอ่ะ”

(เคยขับรถไปชนกระถางต้นไม้สุดที่รัก พ่อพี่เลยไม่ยอมให้ขับจนกว่าจะเรียนจบอ่ะ (._.)

“งั้นพี่อย่าขับมาหาผมดีกว่า กลัวตลอดชีวิตนี้พี่จะไม่มีวันอยู่หลังพวงมาลัยตลอดกาล”

(คิง!!)

ผมหัวเราะและเดินออกไปยังริมหน้าต่างบานเดียวที่เปิดให้เห็นทิวทัศน์ที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาถูกปกคลุมด้วยคลื่นสีเขียวของต้นไม้หลายร้อยต้น ลมเย็นๆ และแสงแดดที่โผล่พ้นก้อนเมฆยามบ่าย การที่ได้คุยกับคนที่คิดถึง...ทำให้ผมอดจะยิ้มออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนคนบ้าไม่ได้เลย

“พี่เพจ”

(อะไร? พี่งอนเราอยู่ ไม่อยากคุยด้วยหรอก)

“ไม่คุยก็ได้ แค่ฟังไง”

(...)

“คิงคิดถึงพี่นะ”

(...)

“ถ้าได้วันหยุด...จะรีบไปหานะ”

เขินแฮะ...

(...พูดแบบนี้ พี่จัดกระเป๋า จองโรงแรมไปเฝ้าเลยดีกว่ามั้ง งานเงินไม่ต้องหามันล่ะ)

“บ้า! อย่านะพี่เพจ”

(ก็อย่ามาพูดอะไรน่ารักๆ แบบนั้นสิ -_-// เขินนะเนี่ย)

“ผมไม่เขินหรือไงเล่า”

(เรียกอีกได้หรือเปล่า?)

“หมายถึง?”

(แทนตัวเองด้วยชื่อของเราอีกครั้งไง)

ผมยิ้ม อดใจอ่อนไปไม่ได้กับน้ำเสียงติดจะอ้อนเล็กๆ นั่น ทว่าข้อตกลงของเราและภาพวันนั้นยังคงติดตา แม้ว่าในใจจะวางใจและรักแค่ไหน เราสองคนก็ควรมีอะไรสักอย่างมาเพื่อประคองและทำให้ความรู้สึกไม่พังทลายไปง่ายๆ อีก ดังนั้นข้อตกลงของเราก็ยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป

“ไม่ได้ รอคะแนนความประพฤติพี่เต็มร้อยก่อนค่อยว่ากัน”

(ใจร้าย)

“นานทีไง พี่จะได้ไม่เบื่อ”

(พูดชื่อเราข้างหูทุกวันก็ไม่เบื่อเชื่อดิ)

“...”

(อยากลองพิสูจน์ป่ะ?)

“ไม่! วางสายไปเลย!” ผมว่ากลับไปพร้อมกับที่หัวสมองผุดสีหน้าของพี่เพจตอนที่พูดประโยคนั้นออกมา มันจะต้องเจ้าเล่ห์และกวน (ใจ) มากแน่ๆ โอย ให้ตายเถอะ แค่นึกถึงหัวใจผมก็เต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว

เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ยังดังขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่ามาจากคนที่ผมกำลังคิดถึงอยู่ เขาส่งทั้งสติกเกอร์และข้อความกวนๆ ทั้งหลาย จนผมไม่อาจะหุบรอยยิ้มได้เลย

เหมือนแค่ขึ้นชื่อว่าเป็นเขา ผมก็พร้อมจะยิ้มอย่างมีความสุขอย่างไรอย่างนั้นเลย

อย่างกับคนบ้าเลยเนอะ ว่าไหมครับ? :)















ผมกลัว
กลัวว่าสุดท้ายแล้ว การรอคอยมันจะนานจนคุณลืม
ว่าคุณคอย














“แถวนี้ดีมากเลยอ่ะ มีทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารก็เยอะไปหมด มีทั้งร้านหมูกระทะ ชาบู ก๋วยเตี๋ยว ที่เด็ดสุด! คือร้านส้มตำ! โอ๊ยยย เรารอเที่ยงพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้วอ่ะ อยากกินตำปูปลาร้า”

“ฝ้ายนี่ดูไม่เหมือนคนที่จะกินอะไรแบบนั้นเลยนะ”

หญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มตวัดหางตาสวยๆ ไปมองดิวก่อนจะพูดตอบ “ทำไม คนสวยจะกินปลาร้าไม่ได้หรือไง หรือของอร่อยจะกินได้แต่คนธรรมดา ยกเว้นนางฟ้าอย่างเราห้ามกิน”

“โหย ว่าไปประโยคเดียว พูดกลับมาเป็นสิบประโยคเลยเว้ย”

“ดีแล้วนี่” คิงยิ้ม “จะได้สนิทกันไวๆ ทำงานอะไรจะได้ง่าย เนอะ”

“เนอะ” ฝ้ายขยิบตาให้เขาอย่างขี้เล่น เผลอใจเต้นไปแว่บหนึ่งแน่ะ เจ้าตัวคิด แต่ต่อมารอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็เกร็งไปชั่วครู่เมื่อใบหน้าของใครอีกคนก็ดันโผล่มาแทนที่ใบหน้าน่ารักของฝ้าย แต่ใบหน้านั้นกลับไม่ได้ยิ้ม กลับตีหน้าดุคล้ายจะบ่นว่าเขาที่คิด (เหมือนจะ) นอกใจ จนอดสะบัดหัวแรงๆ สักทีไม่ได้

หลอกหลอนทั้งในฝันทั้งมโนภาพเลยวุ้ย -_-;

ตอนนี้พวกเขาสี่คนออกมาทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารตามสั่งแห่งหนึ่งไม่ไกลจากศูนย์ฝึกงาน แม้จะเป็นแค่ร้านเล็กๆ แต่ราคาและอาหารอร่อยใช้ได้ จึงตั้งใจว่าจะฝากท้องที่นี่บ่อยๆ ตลอดการฝึกงานครั้งนี้ นอกจากการมาทานข้าวจะเป็นการลองเชิงเกี่ยวกับเรื่องของกิน ยังเพื่อกระชับมิตรระหว่างเด็กฝึกงานด้วยกัน ด้านดิวกับฝ้ายนั้น คิงค่อนข้างจะมั่นใจในระดับหนึ่งว่าพอจะกล้อมแกล้มเรียกว่าเพื่อนได้ค่อนข้างเต็มปาก แต่เมื่อเหลือบสายตามามองข้างซ้ายตัวเอง มองฟิวส์ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานราวกับมันทำมาจากทองก็อดใจฝ่อไม่ได้

มีแต่ไอ้หมอนี่นี่แหละที่เข้าถึงไม่ได้เลย (โว้ย)

แม้คนอื่นจะพยายาวนคุยยังไงเจ้าตัวก็ตอบแค่สั้นๆ ถามคำตอบคำ ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนหรอกนะว่ารำคาญ แต่อาการชะงักและกวาดสายตามอง จบท้ายด้วยการถอนหายใจนี่ โคตรจะชัดเจนถึงความรู้สึกลึกๆ ของไอ้หมอนี่เลยล่ะ

ไม่ใช่เพราะต้องฝึกงานด้วยกันอีกนาน คนไร้มนุษย์สัมพันธ์อย่างนายก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกโว้ยย! (จากใจคิง ผู้พยายามฝืนยิ้มเป็นมิตรกับก้อนหินที่ชื่อฟิวส์ข้างตัว)

ดิวกับฝ้ายถอดใจไปนานแล้วเรื่องชวนฟิวส์พูด แต่ก็ไม่ได้ออกอาการต่อต้านอะไร เพราะเชื่อในเรื่องของการมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองในเรื่องงาน เพราะหากความประพฤติของฟิวส์ไม่ดี ทางมหาวิทยาลัยของฟิวส์คงไม่ส่งอีกคนมายังที่นี่

พวกเขานั่งเล่นอีกสักพักก่อนจะจ่ายเงินแล้วเดินกลับห้องพักกัน ดิวเป็นคนเฮฮาและมักจะมีเรื่องเล่ามากมายมาเล่า จึงเดินนำหน้าพร้อมเสียงพูดคุยอันดังพอสมควรในยามค่ำคืนเช่นนี้ ข้างๆ กันมีฝ้ายที่ร่วมหัวเราะไปด้วย ตามเขาและเดินรั้งท้ายคือฟิวส์
เขาคอยสังเกตคนด้านหลังเป็นระยะ เห็นเพียงใบหน้าหล่อเหลาที่มีแสงจากหน้าจอโทรศัพท์กระทบเท่านั้น

แต่เขาอาจจะตาฝาดไปเองก็ได้

เมื่อชั่วพริบตาที่เขามองเพื่อนใหม่ ในดวงหน้านั้นปรากฏรอยเศร้าสร้อยพาดผ่านก่อนจะหายไปโดยสิ้นเชิง เมื่ออีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงแววตาที่มองมาของเขา

“มองอะไร?”

ถามคนเป็นด้วย? นึกว่าเป็นใบ้ คิงแอบกลอกตามองฟ้าแล้วค่อยตอบกลับไป

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“ยุ่ง”

เหมือนเส้นเลือดตรงขมับของคิงปูดขึ้นมานิดหน่อย คนเขาอุตส่าห์ยื่นความเป็นมิตรให้ ตอบมาแค่นี้เนี่ยนะ

โว้ยยย ไม่สนแล้วโว้ย (ได้ที่ไหนล่ะ บัดดี้ทำงานนี่หว่า T_T)

“มีอะไรก็บอกกันได้นะ เราเป็นบัดดี้กันนี่”

ไม่รู้เมื่อไหร่ที่พวกเขาหยุดเดินและค่อยๆ ห่างไปจากดิวและฝ้ายหลายก้าว แสงจากข้างทางส่องกระทบใบหน้าของพวกเขาทั้งคู่ ทำให้คิงมองได้ไม่ชัดเจนนักว่าคนตรงหน้ามีสีหน้าหรือความรู้สึกเช่นไร

อาจจะรำคาญเขาก็ได้มั้ง คิงคิดอย่างง่ายๆ แล้วทำท่าเหมือนจะเดินต่อ แต่ขาทั้งสองกลับถูกรั้งเอาไว้ด้วยคำพูดเบาๆ จากคนด้านหลัง ที่เบาจนเหมือนจะลอยล่องไปกับลม

“เพิ่งอกหักมา จากเพื่อน...ไม่สิ คนที่แอบรักมาเกือบครึ่งชีวิต”

“...”

“ขอโทษด้วยละกันที่ทำตัวไม่น่าคบ แต่...ยังทำใจไม่ได้เท่าไหร่”

“...”

“เรื่องงานไม่ต้องกังวล เพราะฉันไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน แต่เรื่องความเป็นเพื่อน...ขอพักไว้ก่อนดีกว่า”

“...มีเพื่อนมันไม่ดีกว่าหรือไง?”

“...”

“เวลาอกหักใครให้อยู่คนเดียวกัน”

“ฉันนี่ไง”

“งั้นก็เพิ่มบัดดี้ตัวเองไปอีกคนซะก็สิ้นเรื่อง”

“...” ฟิวส์มองใบหน้าของคิงที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย คนตรงหน้าของเขาสูงยังไม่เท่าเขาเสียด้วยซ้ำ มีใบหน้าที่ธรรมดาที่พบได้ทั่วไป แต่พอยิ้มออกมา...ยิ้มเช่นที่กำลังยิ้มอยู่ตอนนี้ ก็คล้ายกลับจะพิเศษกว่าจนทำให้ลืมไม่ลง ไหนจะคำพูดที่ดูเป็นคนดีจนเกินไปนั่นอีก หมอนี่ไม่รู้หรือไง ว่าคนดีน่ะเขาไม่ได้เป็นกันง่ายๆ

ไม่รู้หรือไงว่าคนดี มักจะโดนคนอื่นเอาเปรียบ

ไม่รู้บ้างหรือไงว่า คนดี...มักจะเป็นคนที่เสียใจมากกว่าใครทั้งนั้น

“ฉันไม่ได้อยากได้คนปลอบ”

“ก็ไม่ได้จะปลอบนี่ ใครบอกว่าคนอกหักต้องการเพื่อนไปปลอบล่ะ”

“แล้วจะมาทำไม”

“อยู่ข้างๆ ไง”

“เพื่อ?”

“ก็...ร้องไห้เสร็จจะได้ไม่ลืมไงว่ามีคนอยู่ข้างๆ ไง”

นั่นไง เขาบอกแล้วใช่ไหมว่าคนดีมันไม่ได้เป็นกันง่ายๆ

โง่

คนตรงหน้าเขาคนนี้โง่สุดๆ เลย

“...งั้นนายก็ควรรู้เอาไว้อย่างหนึ่ง”

พริบตาเดียวที่คิงไม่ทันจะรู้ตัว ใบหน้าของเขาก็ถูกคนตัวสูงกว่ารั้งให้เงยขึ้น กว่าจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าของฟิวส์ก็ก้มลงมาหาพร้อมกับประทับริมฝีปากลงมา สัมผัสนุ่มนิ่มนั่นอยู่เพียงไม่นาน แต่ในความรู้สึกของคิงที่กำลังอึ้งอยู่นั้น ไม่มีทางลืมได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน





ไอ้เหี้ย!

“ฉันชอบผู้ชาย โดยเฉพาะคนที่เราเคยแอบรักก็เป็นคนดีโง่ๆ แบบนายนี่แหละ”

“ไอ้...”

ฟิวส์ค่อยๆ ขยับริมฝีปากขยายออกจนกลายเป็นรอยยิ้มเส้นหนึ่งพาดผ่านใบหน้า ทั้งที่เขาควรจะดีใจที่เพื่อนคนนี้ยิ้มเสียทีหลังจากที่ทำหน้านิ่งมาตลอด แต่ตอนนี้คิงกลับนึกอยากจะตะกุยหน้าคนตรงหน้าให้หน้าแหกเสียมากกว่า!

“อยากจะช่วยฉันใช่ไหม? ได้! นายได้ช่วยฉันแน่”

“...”

“วิธีลืมคนเก่าของฉันคือหาคนใหม่ คิง...นายจะกลายเป็นเป้าหมายคนใหม่ของฉัน”

“...”

“เตรียมใจไว้ด้วยละกัน คุณบัดดี้ผู้แสนดี”

ในตอนนั้นคิงคิดเพียงอย่างเดียว

กูไม่น่าเป็นคนดีไปเห็นใจมันเลยโว้ยยยย -_-^^










จะรักกันได้ง่ายๆ ได้ยังไง มันต้องมีคู่แข่งบ้างสิ!!!
พี่ฟิวส์จะมาป่วนประสาททั้งพี่เพจและคิงเลยล่ะ ฮ่าๆๆ
พรุ่งนี้จะหนีเที่ยวเลยมาลงก่อน อิอิ ฝากติดตามเช่นเคยค่ะ :) เจอกันตอนหน้าเน้อ : NAVY


อนึ่ง อาจจะมีคนสังเกตเห็นหรือเอะใจไม่วันใดก็วันหนึ่ง เหมือนเราจะสับสนชื่อเพื่อนพี่เพจคนหนึ่ง
5555 ตอนแรกสุดเขียน กาย ตอนหลังเป็นเกม กรี๊ดดดด TT เด๋อมาก 555
แก้เป็นพี่เกมนะคะ พี่กายนี่วันนั้นน่าจะเมาขี้ตา ง่วงสุดอะไรสุด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2017 14:06:13 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฎข้อที่ 18 อย่ายิ้ม (ให้คนอื่น)
ผมมั่นใจในความรักของเรามากแค่ในงั้นหรือ?
คงมั่นใจมากพอๆ กับที่ผมมั่นใจว่าอีกร้อยปีข้างหน้าพระอาทิตย์ก็ยังขึ้นทางทิศตะวันออกล่ะมั้ง?












ผมแอบคิดมาทั้งคืนว่าบางทีมันคงจะเป็นการล้อเล่น

เดี๋ยวนี้ผู้ชายอย่างเราก็บ้าๆ บอๆ พอที่จะหาเรื่องล้อเล่นมาเล่นกับเพื่อนทีตัวเองอยากแกล้ง พยายามจะไม่คิดอะไรมาก แต่ในส่วนหนึงของใจก็เหมือนจะรู้ดี...ว่าแววตาเศร้าๆ นั่นไม่ใช่เรื่องโกหก

แล้วมันก็ดันเป็นจริงแบบนั้นเสียด้วย

“กินแอปเปิ้ลมะ? อ้ามม”

“-_-“

แม่งเง้ย กวนตีน!

“ไม่กิน เอากลับไปเลยนะ” ผมโวยออกมาเมื่ออีกฝ่ายโยนแอปเปิ้ลที่เพิ่งได้รับมาจากพี่ในศูนย์ฝึกงานคนหนึ่งมาใส่ในจานข้าวของผม โดยที่ผมยังกินไม่หมด! เสียของหมด แอปเปิ้ลอร่อยจะตาย แต่พอเห็นใบหน้าของฟิวส์ยังคงนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิด ผมก็จำใจหยิบแอปเปิ้ลที่เปื้อนกับข้าวชิ้นนั้นเข้าปากอย่างเสียไม่ได้

พริบตาเดียวเท่านั้นแหละที่ผมเห็นว่าไอ้คนตรงหน้ามันแอบยิ้ม

เออ ให้มันได้อย่างนี้สิวะ

“เลิกเล่นได้หรือยัง?”

“เล่นอะไร นี่จริงจังมากเลยนะเนี่ย”

“อย่ามาล้อเล่นแบบนี้นะฟิวส์ ฉันไม่ตลกไปด้วยนะเว้ย”

“ก็บอกอยู่นี่ไงว่าไม่ได้ล้อเล่น”

ผมเงียบไปเมื่อน้ำเสียงและท่าทางของฟิวส์บอกอย่างนั้นชัดเจน เราจ้องตากันท่ามกลางคามวุ่นวายในโรงอาหาของศูนย์ ทำราวกับไม่มีใครอื่นอยู่รอบด้านเราหรือกำลังจ้องมองเราด้วยแววตาแบบไหน สุดท้ายฟิวส์ก็เป็นคนที่หลบตาและยอมลุกขึ้นไปเก็บจานก่อน

จะไปก็ไม่ว่าหรอก แต่ทำไมต้องมาทำให้ผมรู้สึกผิดด้วยฟะ!

ผมรีบกินข้าวที่เหลือและรีบลุกกลับไปยังห้องทำงาน เมื่อไปถึงก็พบกับแผ่นหลังของฟิวส์อย่างที่คิดเอาไว้ เราทั้งสองทำงานที่ค้างเอาไว้เมื่อเช้าก่อนพักไปเงียบๆ ฟิวส์เก่งเหมือนอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริง บางเรื่องที่ผมยังไม่รู้หรือยังไม่ถนัด หมอี่สามารถอธิบายและทำให้ดูได้เป็นฉากๆ ตอนๆ หรือแม้แต่ความรู้ใหม่ ถ้าผมไม่เข้าใจหรือตามไม่ทัน หมอนี่ก็สามารถจะหาวิธีอธิบายง่ายๆ ให้ผมได้ เรียกได้ว่า เป็นคนที่ทั้งฉลาดและเหมาะกับงานด้านนี้อย่างสุดๆ

ใจหนึ่งผมก็ดีใจแหละที่ได้ทำงานร่วมกัน แต่อีกใจมันก็แอบไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่

ก็เพราะเรื่องเมื่อวานด้วยแหละ ไหนจะการแสดงออกวันนี้

ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรอกนะ แต่ว่าผมรู้...รู้ว่าต่อให้ฟิวส์คิดจะจีบหรือชอบผมยังไง ในใจของเขาก็ไม่อาจะลืมคนคนนั้นไปได้
เหมือนเช่นผม

หรือแม้ว่าสุดท้ายแล้ว ความชอบที่เอ่ยออกมาเล่นๆ นั้นจะกลายเป็นความจริง ผมก็คงไม่ชอบเขาอยู่ดี

ผมไม่ได้เป็นเกย์เพราะชอบผู้ชายทุกคน แต่ผมยอมรับว่าเป็นเพราะผมชอบแค่พี่เพจ

กับคนอื่น ผมไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่า เพื่อน รุ่นพี่หรือคนรู้จัก

ความรู้สึกเช่นนั้นผมมีให้ได้แค่คนเดียวจริงๆ

“...เครื่องชั่งมันค่อนข้างรวนนะ ดูหน้าปัดดีๆ ล่ะ”

“ได้”

“คิง”

“หือ?”

“ที่พูดว่าจะจีบนั่นคือจริงจังนะ”

มือที่กำลังเลือกสารไปตักชะงัก แต่ต่อมผมก็เลือกต่อเหมือนไม่ได้ยิน ทำเหมือนไม่ได้ฟังอีกคนอยู่แม้แต่น้อย

“เรื่องคนนั้น จริงอยู่ว่าอกหัก แต่ว่ามันก็นานมากแล้วล่ะ มีแต่ฉันที่ไม่ลืม”

“...”

“ส่วนหมอนั่นก็ลืมไปหมดแล้วมั้ง เพราะแม้แต่ความเป็นเพื่อนก็ไม่มีเหลือ”

“...”

“ฉันทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากปล่อยหมอนั่นไป”

“...”

ผมรับรู้ได้ถึงเงาร่างของฟิวส์ที่ขยับมายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง มาถึงตรงนี้จะให้ทำเหมือนไม่รับรู้ตัวตนก็คงไม่ได้แล้ว ผมจึงหันกลับไปมอง ใบหน้าแบบเดียวกับตอนเที่ยงก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมกลับเป็นฝ่ายหลบตาก่อนเสียอย่างนั้น

ไม่รู้สิ ผมก็อยากจะหลอกตัวเองว่าหมอนี่มันต้องแค่อยากแกล้งเท่านั้นเอง แต่ผมกลับทำไม่ได้แล้ว

“ฉันเคยคิดนะ ว่าตอนนั้นที่พูดออกไปมันคือเรื่องล้อเล่น แต่นายทำให้ฉันเปลี่ยนใจ”

“...ฉันไปทำอะไร”

“นายไม่ได้ทำอะไรเลยคิง นายแค่เป็นตัวของตัวเอง”

“...”

“แต่แค่นั้น...แปลกดีเหมือนกันที่ไม่กี่วันที่เราได้ทำงานด้วยกัน มันทำให้ใจของฉันเลิกคิดเรื่องเศร้าบ้าๆ นั่นไปได้”

“นายก็แค่ทำงานหนักจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น ไม่เกี่ยวกับฉันเสียหน่อย”

“แค่งานไม่ทำให้ฉันลืมหรอกนะ ว่าผ่านวันเวลาแบบนั้นมาได้ยังไง”

“...”

“นาย...นายต่างหากที่ทำให้ฉันลืม”

“...งั้นก็ขอโทษด้วยล่ะกัน ฉันมาที่นี่เพื่อฝึกงาน ไม่ได้มาหาแฟน ขอตัว”

ไม่ชงไม่ชั่งมันล่ะตาช่างห้องนี้ หนีไปหาฝ้ายดีกว่า ได้ยินว่าห้องของฝ้ายและดิวมีอุปกรณ์ดีกว่าห้องนี้เยอะแยะ ผมจะไปหมกตัวทำงานที่นั่นสักสิบนาทีค่อยกลับมา แต่ขาทั้งสองกลับถูกรั้งเอาไว้...ด้วยประโยคนั้นของฟิวส์เสียก่อน

“นายก็ชอบผู้ชายไม่ใช่หรือไง คนที่ชื่อเพจอะไรนั่นน่ะ”

“...!!”

“ทำหน้าเหมือนจะถามเลยนะว่าไปรู้ได้ยังไง”

“...”

“คิดว่ากำแพงมันหนาเสียจนไม่ได้ยินอะไรเลยหรือไง”

“แล้วยังไง ฉันชอบผู้ชายแล้วยังไง เกี่ยวอะไรกับนายไม่ทราบ”

“ฉันก็ผู้ชาย ในเมื่อนายชอบผู้ชายคนนั้นได้ ทำไมฉันจะทำให้นายมาชอบฉันไม่ได้”

“การที่ฉันชอบผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าฉันจะสามารถชอบผู้ชายได้ทุกคนบนโลกหรอกนะ”

“...”

“ที่มันเป็นแบบนั้น แค่เพราะคนเดียวที่ฉันรักเป็นผู้ชาย ฉันถึงได้รัก”

“...”

“เพราะมันต้องเป็นแค่เขาเท่านั้น ต่อให้นายจะพยายามทั้งชีวิต นายก็ไม่มีวันเป็นเขาที่ฉันชอบ”

“...”

“ฉันไปชั่งสารห้องอื่นแล้วกัน สงบสติอารมณ์ได้เมื่อไหร่แล้วค่อยกลับมาทำงาน”










ประตูห้องปิดไปแล้ว เหมือนจะลั่นกลอนไปถึงหัวใจของคนที่กระชากมันปิดด้วย

ฟิวส์มองประตูบานนั้นที่ปิดลงแล้วหลับตา คล้ายว่าความเงียบงันในห้องกำลังดึงเขากลับไปยังความเศร้าเดิมๆ นั่นที่สลัดออกจากหัวใจไม่ได้

ที่เขาบอกว่าคิงทำให้เขาลืมความเศร้า เขาโกหก

แต่ที่บอกว่าเปลี่ยนใจ นั่นคือเรื่องจริง

เขาไม่อยากรักคนๆ นั้นอีกแล้ว อยากจะก้าวไปข้างหน้า

แต่เหมือนมันคงจะเป็นไปไม่ได้

ก็จริงอย่างที่คิงพูด

พอไม่ใช่คนในใจคนนั้น การที่จะเริ่มรักใหม่มันก็ยากมากมายเหลือเกิน















แต่ความจริงแล้วผมไม่ได้มั่นใจอะไรเลย
ผมแค่รู้ว่าผมรักคุณในเมื่อวาน วันนี้และวันพรุ่งนี้เท่านั้นเอง












(เป็นไงฝึกงาน เหนื่อยไหม?)

หากตอนนี้เขาอยู่ที่หอ หากมีใครคนที่เขากำลังคุยอยู่นั่งข้างๆ จะดีสักแค่ไหนนะ คิงคิดในใจ

แม้จะเหนื่อยใจแค่ไหนเขาก็ยังยิ้มและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ (คิดว่า) สดใส

“ทุกอย่างโอเคดีครับ งานยังไม่ยากเท่าไหร่ ผมพอจะจัดการได้”

(ดีแล้ว อย่าหักโหมนะ พักผ่อนเยอะๆ)

“พี่เพจล่ะ หางานได้ถึงไหนล่ะ”

(อย่าพูดเลยดีกว่า -3- ไม่อยากฟังอ่ะ)

“ได้ไง นี่เรื่องงานพี่นะ”

คิงหลุดหัวเราะออกมาเมื่อปลายสายเริ่มบ่นรัวๆ เป็นชุดถึงการสัมภาษณ์งานในแต่ละที่ที่ยื่นใบสมัครไป เขาสามารถหัวเราะเสียงดังๆ ได้ไม่ต้องสนใจใครเพราะตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในห้องพัก แต่อยู่ในสวนที่ห่างจากที่ตั้งห้องพักไม่ไกล เขาเพิ่งค้นพบสถานที่นี้ไม่นานและพบว่ามันเป็นสถานที่ที่ทั้งแอบงีบและมานั่งคุยโทรศัพท์กับพี่เพจได้อย่างสบายใจ

(...แล้วเรารู้ไหมว่าเขาพูดต่อว่ายังไง เขาบอกว่าความสามารถที่พี่มีมันไม่ตรงกับที่เขาต้องการ คือเขาต้องการอะไรวะ ไม่ได้ต้องการคนทำงานแต่อยากได้พรีเซนเตอร์หรือไง?)

“โห แล้วงี้พี่จะหางานได้ไหมเนี่ย”

(ไม่มีก็ไม่หาเล่า ทำงานที่บ้านดีกว่า)

“ร้านอาหารเหรอ?”

(อืม เห็นงี้พี่ก็ทำอาหารอร่อยนะ ไว้เดี๋ยวจะทำให้ชิม)

คิงยิ้มพร้อมกับที่ความหวังในใจเบ่งบาน พี่เพจคงไม่รู้ว่าตอนนี้เขานั้นเฝ้ารอแค่ไหนที่จะได้เจออีกฝ่าย ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาก็เอาแต่ขีดปฏิทินที่หัวเตียง นับวันเวลาเฝ้าคอยที่จะได้กลับไป แม้ว่าพวกเขาจะโทรคุยกันทุกวัน แต่มันก็ไม่เพียงพอจริงๆ

(วันนี้คะแนนพีเป็นยังไงบ้าง? ไหนว่ามาซิ)

“ให้คะแนนความสม่ำเสมอ ตอนนี้มีอยู่หกคะแนนละ”

(โหยย อีกตั้งเก้าสิบสี่คะแนน ได้โหรหาจนแก่เลยมั้งเนี่ย)

“เว่อร์ งั้นก็เลิกโทรมาหาผมสิ”

(ไม่ได้หรอก)

“ทำไม?”

(คิดถึงไง หูย ถามมาได้)

“...”

(ไม่คิดถึงพี่หรือไงห๊ะ ถึงไม่อยากให้โทรหา)

“...พูดอะไรเพ้อเจ้อ”

(หมายความว่าไง)

“...”

(คิง?)

“...คิดถึงเหมือนกันไง ไม่งั้นจะคุยบ้าๆ บอๆ แบบนี้เป็นชั่วโมงเรอะ”

(ฮ่าๆๆ ดีๆ เป็นเด็กดีมาก)

“พี่เพจก็ต้องเป็นเด็กดีรอผมกลับไปหานะ”

(รออยู่แล้วน่า ไว้รอไม่ไหวเดี๋ยวไปหาแทน)

“...”

(ตอนนี้พักได้แล้ว ดึกแล้ว)

“ครับ พ่อ”

(ทูนหัวด้วยมะ?)

“กวนตีน!”

(ฮ่าๆๆ ฝันดีนะคิง)

เขากดวางสายและยิ้มออกมาคนเดียวเหมือนคนบ้า ก่อนจะก้าวเท้าออกจากสวนเพื่อจะกลับไปห้องพักเพื่อนอนหลับเสียที ทว่าทันทีท่ออกมาจากที่นั่น ก็พบกับใครที่เหมือนจะคอยเขาอยู่

ฟิวส์นั่นเองที่ยืนอยู่ตรงนั้น

แต่ที่ทำให้คิงหยุดยืนไม่ใช่เพราะแค่นั้น

แต่มันเป็นเพราะ บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีแต่น้ำตา

พวกเขาเอาแต่จ้องหน้ากันแบบนั้นนานพอสมควร จนเมื่อฟิวส์ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่มีบนใบหน้าทิ้งไปและเบี่ยงตัวหลบให้คิงสามารถขึ้นกลับไปข้างบนได้นั่นแหละ คิงถึงได้รู้ตัวว่าเขายืนมองอีกฝ่ายอยู่นานมาก

“ขึ้นไปสิ เดี๋ยวก็ตื่นสายหรอก”

“...”

“คิง?”

“...แอบมาร้องไห้แบบนี้ทุกวันเลยหรือไง”

“บางวัน ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”

คิงเบ้ปาก “มาแอบร้องไห้คนเดียวแท้ๆ ยังกล้าพูดแบบนั้นอีกนะ”

ฟิวส์มองคนทีตัวเตี้ยกว่าเดินเข้ามาหาแล้วกดไหล่ของเขาให้นั่งลงกับขั้นบันได ก่อนจะทิ้งตัวลงมานั่งข้างกันเงียบๆ คิงไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น แต่ฟิวส์กลับรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการเยียวยาเงียบๆ จากคนข้างกาย

เหมือนเขาไม่ได้โดดเดี่ยว

“บอกแล้วใช่ไหม ว่าเวลาร้องไห้เขาไม่ให้ร้องคนเดียว ไอ้โง่”

“นายมีสิทธิ์พูดคำนั้นกับฉันหรือไง”

“หมายถึงอีคิว ไม่ใช่ไอคิว”

“งั้นฉันก็พูดได้ว่านายมันโง่ เพราะไอคิวต่ำ”

“กวนตีน!”

ฟิวส์หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพิงลงไปยังไหล่ที่ต่ำกว่า มันค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อแก้มเขาสัมผัสกับความอบอุ่นนั้น...น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ดันไหลออกมาเหมือนคนน่าสมเพซเสียอย่างนั้น

“ฉันให้หนึ่งชั่วโมง ร้องวันนี้แล้ว คืนต่อๆ ไปก็อย่าร้องอีกล่ะ”

“ห้ามน้ำตาได้ด้วยหรือไง”

“คนเราทุกคนสมควรมีความสุข หรือนายไม่คิดแบบนั้น?”

“...”

“นายเองก็เหมือนกับคนอื่นๆ นายสมควรจะมีความสุขมากกว่ามานั่งร้องไห้แบบนี้ ไอ้โง่...”












หายไปหลายวันเลย ขอโทษค่ะ
ฝากติดตามเช่นเคย ^^ เจอกันตอนหน้าค่ะ :) : NAVY

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
พี่เพจมาหาน้องเลยเหอะ มาสวีทกันต่างจังหวัดบ้างไรบ้าง อยากอ่านซีนหวานๆอ่ะ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
 :pig4: อ่านรสดเดียวตาบวมเป่งเลยค่ะ ร้องตลอด

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เราชอบนะ ภาษาดี อ่านลื่น คำผิดไม่มี และความรักมันต้องมีอุปสรรค

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฎข้อที่ 19 อย่าสงสัยไม่เข้าท่า
จะตื่นจากฝันดีหรือพบเจอความจริงที่โหดร้าย
สุดท้าย
ก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน












หลังจากค่ำคืนที่น่าอาย (สำหรับฟิวส์ ซึ่ง...เอาจริงๆ ผมว่ามันก็ไม่ได้น่าอายอะไรสักหน่อย แต่เจ้าตัวยืนยันว่ามันน่าอายจริงๆ) ก็ราวกับความมึนตึงทั้งหลายที่ผมและฟิวส์เคยมีให้กันสลายไป เขาไม่ทำตัวเหมือนจะสนใจผมอีก เช่นเดียวกับที่ผมไม่ได้จงใจเอาตัวออกห่างอีกคน ราวกับเราต่างรู้ดีถึงสิ่งที่อยู่และสิ่งที่อีกฝ่ายรู้สึก

ผมเองก็เคยเป็นคนแอบรักที่ (เกือบ) ไม่สมหวัง ความทุกข์ทรมานที่อยากลืมแต่ก็ทำไม่ได้นั้น ผมเข้าใจดีและรู้อยู่เต็มอกว่ามันจัดการยากเพียงใด โดยเฉพาะหากเขาคนนั้นคล้ายกับเป็นเงาความสุขอันเลือนรางเพียงอย่างเดียวของเราด้วยแล้ว

แต่ผมคิดว่าคนอย่างฟิวส์ แม้แผลนี้จะลึกไปสักนิด คนอย่างเขาคงไม่ปล่อยให้แผลนี้เป็นหนองจนอักเสบไปมากกว่านี้
เขาในตอนนี้รู้จักใส่เบตาดีนและรอให้แผลสมานตัวเองช้าๆ โดยไม่ต้องพึ่งยาใดๆ ที่ไม่ดี (ไม่ดีต่อผมน่ะ) เช่นว่า หาใครสักคนมาเป็นคนชอบคนใหม่

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังติดนิสัยชอบหยอกล้อผมหน้าตาย ทำเหมือนเข้าถึงเนื้อถึงตัว แต่มันก็แค่การหยอกล้อธรรมดา แต่ผมก็อดโมโหไม่ได้ นานเข้ามันก็ชิน แต่ในความชินชามันก็รำคาญอยู่บ้าง แต่ผมทำอะไรไม่ได้นี่! ใครให้ผมต้องพึงพาหมอนี่ทำงานเล่า!

“วันนี้กินข้าวที่ไหน”

“ที่โต๊ะ” ผมตอบเสียงเรียบ ไม่สนใจคำถามของอีกฝ่าย ขณะก้มหน้าก้มตาจดบันทึกในกระดาษประจำวัน ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อุตส่าห์เปิดปากชวนคุยได้หยุดการกระทำทั้งหมด เปลียนมาเท้าคางหันหน้ามองเสี้ยวหน้าผมพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

“โต๊ะไหน”

“โต๊ะไหนก็ได้ที่ฉันไม่ต้องไปกินข้าวกับนาย”

“ใจร้าย”

“ใช่”

“ใจดำ”

“อืม”

“คิง”

“อะไรอีก (วะ)” แน่นอนว่าในวงเล็บผมพูดมันออกไปไม่ได้ เพราะในห้องไม่ได้มีแค่ผม ลำพังแค่การต่อปากต่อคำน่ารำคาญนี่ก็ก่อกวนมากแล้ว ผมได้แต่หยุดเขียน เพราะรู้สึกว่าเขียนไปก็เขียนไม่รู้เรื่อง ได้แต่หันหน้าตวัดไปมองคนที่ยิ้มทะเล้นเหมือนพอใจเป็นอย่างมากที่ทำให้ผมต้องหยุดทุกอย่างไปมองเขา ในดวงตาที่เคยเปื้อนความเศร้าโศกในคืนนั้นพราวระยับราวกับเด็กๆ แม้จะรำคาญแค่ไหน แต่ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า ดวงตาของอีกฝ่ายในตอนนี้ขับเน้นให้ความหล่อที่มีอยู่แล้วเด่นชัดมากขึ้นไปอีก

แต่ขอโทษที ผมไม่ได้ใจง่ายขนาดนั้น

เทียบกันแล้วใบหน้าหล่อธรรมดาๆ กับหนึ่งรอยยิ้มของพี่เพจมีอิทธิพลต่อใจผมมากกว่า

ดังนั้นผมจึงทำเพียงแค่ถอนหายใจใส่อีกคน แล้วกลับไปเขียนบันทึกต่อ ทางฟิวส์ก็คงเห็นแหละว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล จึงกลับไปทำงานต่อ ไม่วายบ่นเบาๆ

“นึกว่าจะหน้าแดงใจเต้นซะอีก”

“อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไง”

“ฉันก็ว่าฉันหน้าตาดีนะ ไม่หวั่นไหวหน่อยเหรอ?”

“ระหว่างคนที่หน้าตาดีมากๆ กับคนที่ชอบนายเลือกใคร?”

“...”

“สมองเราอาจจะเลือกหรือเปรียบเทียบสิ่งที่ดีกับสิ่งที่ด้อย แต่กับหัวใจ มันจะเลือกสิ่งที่ใจเราเห็นว่าดี เห็นว่ามันพอดีกับใจเรา ไม่ได้เลือกเพราะมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”

“...กินหนังสือคำคมเป็นอาหารหรือไง”

“อ่านแก้เซ็งปลอบใจตัวเองไปวันๆ ตอนที่แอบรักน่ะ”

ฟิวส์ทำเพียงแค่หัวเราะเบาๆ ในลำคอกับคำตอบนั้นของผม เขาไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก แต่ชั่วพริบตาที่เดินผ่านผมไป คล้ายกับผมได้ยินคำพูดหนึ่งจากเขา

คำที่ไม่คิดว่าเขาจะพูดมันออกมา

“นายไม่เหมือนคนที่เศร้าจนต้องหาหนังสืออ่านปลอบใจตัวเอง”

“...”

“นายเหมือนกับคนที่สามาถเผชิญกับความเศร้าได้ทั้งรอยยิ้ม”

“...”

“ถ้าไม่เจ็บจนชิน นายก็บ้าไปแล้ว”

มือที่จับปากกากำแน่นโดยไม่รู้ตัว ขณะที่สายตามองตามแผ่นหลังของฟิวส์ที่เดินออกจากห้องไป ผมหันหน้ากลับมายังรายงานก่อนจะถอนหายใจแล้วลงมือทำต่อ

เขาเป็นคนที่สองแล้วที่พูดแบบนี้ คนแรกคือพี่สิงห์

ไม่มีอะไรจะเถียงเลยแฮะ

เพราะสิ่งที่เขาพูดคือเรื่องจริงทั้งหมด

กว่าจะมาถึงจุดที่ทำเหมือนทุกความเจ็บปวดเป็นเรื่องง่ายๆ ผมเคยเป็นแบบเขามาก่อน จนเมื่อรู้ว่าไม่ยอมตัดใจ ยอมเจ็บ...จนมันชิน กระทั่งวันนี้แม้จะเหมือนสมหวัง แต่ก็ทำให้ผมที่กกกอดความหวังนั้นราวกับเดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบางๆ ที่ถ้าก้าวพลาดเพียงก้าว...ก็จะจมสู่ห้วงความเจ็บปวดอันยาวนานคล้ายนิรันดร์ทันที

ผมก็เคยคิดว่าตัวเองบ้าไปแล้ว

แต่เมื่อได้มองรอยยิ้มที่พี่เขามองมายังผม ผมก็ทำได้ยิ้มตอบกลับไปอย่างคนโง่ๆ คนหนึ่ง

สุดท้ายก็ได้แต่ยอมรับกับตัวเองว่า ตกเป็นทาสความรักอย่างโง่งมไปแล้ว

ผมหลุดยิ้มเยาะตัวเอง สงสัยจะบ้าไปจริงๆ อย่างที่สองคนนั้นบอกแล้วล่ะ

“น้องคิง มีพัสดุมาแน่ะ”

“ครับ สักครู่จะออกไปครับ”

ผมวางงานทุกอย่างถอดเสื้อนอกที่ใส่เฉพาะตอนอยู่ในห้องแอร์ออกก่อนจะเดินไปยังด้านนอกสำนักงาน หลายครั้งที่แม่หรือทางบ้านของผมส่งของมาให้ที่สำนักงาน มักจะเป็นพวกของกินไม่ก็ผลไม้ ผมได้รับจนชินแล้ว แต่ปรากฎว่าครั้งนี้พอเดินออกไป ผมกลับไม่พบว่ามีบุรุษไปรณีย์จะหอบสิ่งนี้มาส่งมาก่อน

“ไง ไม่ได้เจอกันนานเลย”

“...”

“ไหนว่าคิดถึงไง โกหกพี่เหรอ”

ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าไปรษณีย์จะหอบความคิดถึงของผมมาตรงหน้าได้เช่นนี้

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งและหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นเหมือนคนบ้า แต่ก่อนที่คนตรงหน้าจะโมโหจนอายหนีกลับไปเสียก่อน ผมก็พุ่งตรงเข้าไปหาแล้วกอดเต็มรัก ทั้งที่ผ่านมาผมมักจะวางท่าทีเหินห่างและไม่แตะเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายก่อนเลยด้วยซ้ำ ทว่าครั้งนี้แรงที่กอดกลับไม่คลายเลยแม้แต่น้อย ผมสูดดมกลิ่นคุ้นเคยที่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้หัวใจที่หว่าเหว้ดวงนี้สงบลง พร้อมกับที่สัมผัสได้ถึงแรงกระชับกอดตอบของพี่เพจที่แน่นไม่ต่างกัน

“คิดถึง”

“...”

“คิดถึงมากๆ เลย”

“พี่ก็คิดถึง”

“นี่ไม่ใช่ความฝันสิเนอะ ใช่มั้ย?” ท้ายเสียงของผมแผ่วลงเหมือนไม่มั่นใจ จนแผ่นอกของคนที่ผมสวมกอดอยู่ขยับขึ้นลงเป็นเสียงหัวเราะ แรงกระชับแน่นขึ้นอีกแล้ว แต่ผมกลับไม่อึดอัดเลยสักนิด กลับกันกลับรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างประหลาด ขณะฟังเสียงทุ้มที่แสนคิดถึงกล่าวข้างหู

“ไม่ได้ฝันไปหรอก พี่อยู่นี่แล้วจริงๆ”

“...”

“สุดท้ายพี่ก็แพ้ อดใจไม่ได้จนต้องมาหาเราก่อนจนได้”

“พี่ไม่ได้แพ้ แต่ถ้าแพ้คิงก็แพ้ด้วย”

“...”

“เพราะวันนี้ถ้าฝึกงานเสร็จเร็วคิงก็กะว่าจะไปหาพี่เหมือนกัน”

“ฮ่าๆ งั้นเราก็ใจตรงกันอ่ะดิ”

“...”

“ดีจัง”

พี่เพจพูดไปแค่นั้นก็เงียบไป ซึ่งผมก็ไม่ได้อยากจะพูดอะไรออกมาอีก พวกเราแค่กอดกันเงียบๆ อยู่ที่บันไดทางเดินนั้น เนิ่นนานคล้ายกับจะไม่แยกจากกันอีกเลย














ได้แต่หวังว่าคนที่มอบความเจ็บปวดนั้นแด่ผม
คนที่จะยืนตรงข้ามมองผมร้องไห้
จะไม่ใช่คุณ












เพจมองตึกที่เด็กน้อยของเขามาฝึกงานขณะที่เดินเล่นรอเวลาอีกฝ่ายเลิก ตึกใหญ่โตรอบด้านมีต้นไม้เขียวและดอกไม้หลากสีสัน ดูร่มรื่นดี แม้ว่าแดดในวันนี้จะร้อนไปสักหน่อย แต่ก็พอจะกล้อมแกล้มได้ว่าเป็นสถานที่ที่ดีที่หนึ่งในการมาฝึกงานเพื่อเอาประสบการณ์และความรู้กลับไป

ระหว่างทางเขาพบกับเด็กนักศึกษาอีกชุดเดินผ่านไป เป็นคู่ชายหญิง คงจะเป็นดิวและฝ้ายที่คิงเคยเล่าให้เขาฟัง ผู้หญิงที่ชื่อฝ้ายนั้นน่ารักเช่นที่คิงบอกจริงๆ เขายังมองแทบเหลียวหลัง แต่มันก็แค่นั้น มองเสร็จแล้วเขาก็แค่เดินต่อไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้รู้สึกว่าสะดุดตาใครถึงขนาดอยากเดินเข้าไปทำความรู้จักมานานแล้ว

หลายคนที่เขายอมเข้าหา ล้วนแต่ใช้เวลา...กว่าเขาจะยอมให้ก้าวเข้ามา

แต่คิงเหมือนจะใช้เวลาได้เร็วที่สุด อาจเพราะเด็กคนนั้นเข้าใจและเฝ้ามองเขามาตลอดกระมัง

คิดมาถึงตรงนี้ก็อดเขินจนทำตัวไม่ถูกขึ้นมาไม่ได้ ถึงท่าทางของเขาตอนนี้จะดูบ้าๆ บอๆ ในสายตาคนที่เดินผ่านไปผ่านมา แต่เขามีความสุดนี่นา

ไม่ได้ยิ้มจนเหมือนคนบ้าแบบนี้มาสักพักแล้วจริงๆ

เดินวนไปวนมาสุดท้ายเขาก็กลับมายังที่ที่เขาและคิงเจอกัน เมื่อนึกถึงเด็กที่ชอบตีหน้ารำคาญหรือเบื่อหน่ายเขาคนนั้นกระโดดกอด ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอยู่แล้วก็ยิ่งฉายชัดถึงความสุขที่ระบายอยู่บนนั้นมากยิ่งขึ้น ยิ่งคิดถึงก็คล้ายกับรับรู้ได้ถึงอ้อมกอดที่เพิ่งผละจากไปได้ไม่ถึงชั่วโมงนั้น

เขารู้ รู้ว่าคิงคิดถึง

แต่อย่างไรด้วยสิ่งที่เขาเคยทำให้อีกคนเสียใจ ความคิดถึงนั้นก็คงจะน้อยกว่าเขาเล็กน้อย

ใครจะไปรู้ว่าในใจเด็กคนนั้น...เคยให้มากมายเท่าไหร่ก็ยังยินดีที่จะมอบเท่าเดิมให้เขา

เขาที่เคยเป็นต้นตอที่ทำให้เด็กคนนั้นเสียใจ

แต่ก็เป็นคนที่คิงพูดเสมอว่าเป็นความสุข

เพจทั้งมีความสุขทั้งอดเสียใจไม่ได้กับเรื่องที่ผ่านๆ มาระหว่างพวกเขา แต่ถึงจะคิดแบบนั้นความรู้สึกเช่นนั้นก็อยู่กับเขาได้แค่ไม่นาน เพราะตอนนี้ไม่ใช่อดีตอีกแล้ว เขาไม่ใช่เพจคนนั้นที่ยังสับสนอีกแล้ว ตอนนี้คือปัจจุบัน...และเป็นปัจจุบันที่เขาอยากจะรักษาไว้ให้นานที่สุด

“รอนานไหมครับ?”

“นานอะไร เราเพิงกลับไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ” เพจมองสีหน้ากระอักกระอ่วนของคิงแล้วนึกสงสัยขึ้นมา กำลังจะอ้าปากถามอยู่แล้วเชียว ด้านหลังของคิงก็ปรากฏร่างของนักศึกษาอีกสามชีวิตขึ้นมา สองในนั้นเป็นเด็กที่เขาเคยเห็น แต่อีกคน...น่าจะเป็นบัดดี้ของคิงที่ชื่อฟิวส์ สายตาสงสัยแต่ก็พอจะมีมารยาทที่มองมายังเขาของดิวและฝ้ายดูคล้ายจะเลือนรางไปเลย เมื่อเทียบแววตาเหมือนประเมินจากคนมาใหม่คนนี้

ในแววตาของหมอนี้ไม่ได้มีความสงสัย แปลกใจ แต่กลับสงบนิ่งและเต็มไปด้วยความรู้สึกท้าทายอย่างบอกไม่ถูก

เพจไม่สบายใจเอาเสียเลยที่คิงต้องอยู่ใกล้คนแบบนี้

“ใครอ่ะ?”

“รุ่นพี่ของคิงเหรอ?”

“อืม จบปีนี้ล่ะ พี่เพจนี่ดิว ฝ้ายแล้วก็ฟิวส์ที่ผมเคยเล่าให้ฟังไง”

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ/ค่ะ” ทั้งสามไหว้พอเป็นพิธีไม่ได้จริงจังอะไรมาก ก่อนจะเริ่มพูดคุยกันถึงอาหารเที่ยงที่จะกินกันในวันนี้ มาถึงตรงนี้เพจจึงได้เข้าใจว่าทำไมคิงถึงได้ทำหน้าลำบากใจ เขาจึงลงมือลงบนเส้นผมนุ่มๆ ของคิงแล้วยี้มันเบาๆ แทนคำว่าไม่เป็นไรที่วันนี้พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆ ในการพักของคิงด้วยกันสองคน

“พี่เพจกินอะไรได้บ้าง?”

“ได้หมด”

“งั้นเลี้ยง!”

“โหย อะไรเนี่ย”

ดิวหัวเราะร่า แม้จะเพิ่งเคยเจอแต่เขาก็พอจะเดานิสัยเพจออก จึงสนิทสนมกันได้ไม่ยาก “ใจป๋าหน่อยพี่เพจ น้องร่วมคณะเลยนะ ถึงต่างสถาบันแต่ใจเรามันสีเดียวกันนะพี่”

“แน่ล่ะ มีใครใจสีน้ำเงินบ้างล่ะ” เพจว่าเสียงหน่ายๆ แต่ดูก็รู้ว่าไม่ได้ปฏิเสธคำขอของดิว เจ้าตัวจึงได้ร้องเย้เสียงดังแล้วเดินนำไปยังร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลนัก ฝ้ายเองก็พลอยเฮฮาไปด้วย เธอตรงมาลากคิงให้เดินไปหาดิว จับมือเกี่ยวคอพูดคุยเฮฮา ไม่ได้สนใจเลยว่าสองคนที่ถูกทิ้งอยู่ด้านหลังจะสาดบรรยากาศแบบไหนใส่กัน

เพจไม่ได้มองไปที่หน้าของฟิวส์ เช่นเดียวกับที่ฟิวส์เองก็มองไปข้างทางมากกว่าจะอยากมองหน้าเพจ

ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีใส่กัน แต่กลับไม่ได้รู้สึกเลยสักนิดว่าจะสนิทสนมได้กับคนข้างๆ ทั้งสองคนต่างคิดแบบนี้

จู่ๆ ในตอนที่ความเงียบที่น่าอึดอัดกำลังโอบล้อมพวกเขา ฟิวส์ก็พูดขึ้นมา

“ได้ยินว่าคิงชอบคุณ”

“...ก็ใช่”

“แล้วคุณก็ชอบหมอนั่น”

“ใช่” คำนี้หนักแน่นเสียจนฟิวส์อดกระตุกยิ้มหยันไม่ได้

“แล้วก่อนที่จะพูดอย่างมั่นใจแบบนี้ ทำหมอนั่นร้องไห้เสียใจมานานแค่ไหนแล้วล่ะ”

“...!”

คราวนี้ฟิวส์ไม่ได้หลบตาอีกแล้ว เขาหยุดเดินและมองตรงไปยังแววตาทีเริ่มกรุ่นไปด้วยความไม่พอใจของเพจ จริงอยู่ที่เขานั้นละทิ้งความรู้สึกที่อยากจะชอบคิงเพื่อเบี่ยงเบนความเจ็บปวดของตัวเองไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมองไม่เห็นเลยว่า ผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้โชคดีแค่ไหนที่ได้รับความรักที่เหมือนไม่มีก้นบึ้งนั้นจากคิง

ก่อนที่จะทะนุถนอมเช่นนี้ ก่อนจะอ่อนโยนเช่นนี้ ผู้ชายคนนี้คงทำให้น้ำตาหลายหยดเปื้อนแก้มนั่นของหมอนั่นนับครั้งไม่ถ้วน

“มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาย”

“ก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกันนี่ ไม่ใช่หรือไง?”

“...”

ฟิวส์ยิ้มยียวน “นั่นแปลว่าทุกคนมีโอกาสไม่ใช่หรือไง”

“แต่ก็ไม่ได้แปลว่าโอกาสนั้นจะตกมาถึงมือของนาย”

“แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ทำลายโอกาสมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วเพิ่งมาถนอมแบบคุณ จะได้รับโอกาสซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากหมอนั่นนี่”

“...”

“ไม่ใช่ทุกครั้งหรอกนะครับที่คนเราจะกล่อมตัวเองว่าไม่เจ็บแล้วทนยืนยิ้มต่อไปได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“...”

“อย่าพลาดแล้วกัน ไม่อย่างนั้นไอ้โอกาสที่คุณว่าผมไม่มีวันได้รับจะมาหล่นตรงหน้าผม”


‘เลิกหลอกตัวเองว่าไปชอบคนอื่นแล้วจะลืมคนเก่าได้เสียที’

จู่ๆ คำพูดของคิงในคืนวันนั้นที่เขาร้องไห้เหมือนคนบ้าก็หวนกลับมาในสมองเขาตอนนี้

ราวกับจะตอกย้ำถึงสิ่งที่ใจเขารับรู้อย่างแน่วแน่ ณ ตอนนี้

‘ก็ไม่ได้คิดสักหน่อยว่าจะลืม ก็แค่คิด...’

‘คิดว่า?’

‘ถ้าฉันชอบคนแบบนาย บางทีฉันอาจจะมีความสุขขึ้นมาก็ได้’



ความรักเก่าของเขาเหมือนไม้เลื้อยที่หยุดเจริญเติบโต คล้ายถูกแช่แข็งในวันเวลาเก่าๆ เหล่านั้น ไม่มีวันได้งอกงามอีกแล้ว แต่ความรู้สึกที่แตกหน่อในใจตอนนี้คือต้นอ่อนที่เติบโตอย่างมั่นคง แม้จะโตช้าไปหน่อย แต่ใช่ว่าต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านมาเนิ่นนานจะไม่พังโค่นนี่นา

“ถ้าผมได้รับโอกาสนั้น ผมจะไม่ทำให้เขาต้องร้องไห้แบบที่คุณทำแน่”









มาป๊ะกันแล้ววว ฮัดช่าาาาา
ไปจัดการตารางเรียนมา วุ่นทั้งอาทิตย์เลยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามกันเสมอ เจอกันตอนหน้าค่ะ :) :NAVY
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2017 20:52:59 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
จะฟาดฟันกันแล้ว
บั่บ มีคู่แข่งแล้ววว ค่อยมีแบบรสชาตินิดนึงแต่จริงๆบรรยากาศ ของเพจกับคิงก็โอนะ ตอนแบบจู๋จี๋กันอ่ะ แต่แค่อดีตมันทำให้มีชนักปักหลังกันเฉยๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
พี่เพจสู้ๆ แค่ทำให้คิงมั่นใจยังไงคนอื่นก็สู้ไม่ได้

ออฟไลน์ MorethanMore

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สำหรับเรา พี่เพจไม่ผิดเลยสักนิด
เราไม่ปลื้มฟิวส์ด้วย คนบ้า ไ่เห็นจะดีตรงไหนนอกจากมั่นหน้าว่าหล่อ ฟิวเองก็ไม่ต่างไปจากพี่เพจเลย อาจจะทำให้คิงร้องไห้หนักกว่าก็ได้ ไม่ชอบคนแบบฟิว

พี่เพจ อย่าไปดิ้นตามคนบ้า ไม่ได้ ไม่มีความสุข โรคจิตอยากให้คนอื่นทุกข์ตาม เหอะ ไา่แปลกใจเลยทำไม ถึงเป็นได้แค่คนแอบรัก เพราะนิสัยแบบนี้ไง

ตอนนี้เราเทใจให้พี่เพจ คิง เท่านั้น

ออฟไลน์ chaichan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
บททดสอบเล็กๆ

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฎข้อที่ 20 อย่าคิดไปเอง
ผมไม่ได้กลัวว่าสักวันคุณจะเบื่อผม
เพราะเมื่อไหร่ที่คุณนึกเบื่อผมขึ้นมา
นั่นคงเป็นช่วงเวลาหลังการได้อยู่เคียงข้างกันอย่างยาวนานของเราแล้ว









ตั้งแต่เข้ามาในร้านอาหาร ผมจับอารมณ์และความรู้สึกจากพี่เพจได้อย่างชัดเจนว่าพี่เขากำลังไม่พอใจ

แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มและยังพูดคุยกับคนอื่นๆ ในโต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าทั้งที่เป็นแบบนั้น พี่เพจกลับไม่ได้พูดกับฟิวส์เลยแม้แต่คำเดียว ส่วนฟิวส์เองก็ยังคงเงียบเหมือนเคย แต่ครั้งนี้ดูจะเงียบกว่าปกติ

บางทีในตอนที่ผมไม่ทันสังเกตอาจจะเกิดเรื่องผิดใจกันก็ได้มั้ง...?

ผมเหลือบมองใบหน้าและเสียงหัวเราะที่เปล่งออกจากคนข้างๆ แล้วเลื่อนมือที่อยู่ใต้โต๊ะไปแตะเบาๆ เข้าที่มือของพี่เพจที่วางอยู่บนหัวเข่าของตัวเอง ตอนแรกมือของพี่เพจกระตุกเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนกลับขึ้นมากุมมือของผมเอาไว้ ราวกับรู้ว่าผมกำลังจะจับมือของเขา

มือของเราจับกันแน่นอยู่ใต้โต๊ะ เราสองคนยิ้มและหัวเราะเหมือนไม่ได้สัมผัสถึงความอบอุ่นนั้น

ผมอาจจะคิดไปเอง แต่...ผมว่ารอยยิ้มของพี่เพจที่ยิ้มออกมาตอนนี้มันแผ่ลามไปถึงดวงตา ทำให้แววตานั้นทอความอ่อนโยนออกมามากกว่าเดิมเล็กน้อย

นั่นทำให้ผมยิ้ม

เพราะคนแอบรักเช่นผม จะต้องการอะไรไปมากกว่าคนที่ตัวเองรักยิ้มได้จากใจกัน?















“โกรธฟิวส์เหรอพี่เพจ”

“...พี่ว่าจะไม่คิดถึงแล้วนะ พอเราพูดแบบนี้ชักจะหัวร้อนนิดๆ”

คนพูดแสร้งทำหน้าบูดแต่ผมรู้ว่าพี่เขาไม่ได้โกรธจริงจังอะไรเช่นเมื่อตอนที่อยู่ในร้านอาหารแล้ว ตอนนี้เราสองคนแยกออกมาเดินเล่น ส่วนคนที่เหลือก็แยกตัวกลับไปยังหอพัก ไม่ได้ตามมาเดินต่ออะไร ดูเหมือนดิวจะสังเกตได้ถึงความสัมพันธ์ของผมกับพี่เพจ เขาจึงยิ้มล้อเลียนเล็กน้อยแล้วจึงเดินจากไป แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่จะเรียกสีแดงให้แผ่กระจายบนผิวแก้มของผม แววตาหยอกล้อทั้งจากดิวและพี่เพจ มีอานุภาพรุนแรงกว่าคำพูดแซ็วจากปากเสียอีก

“ทำไมอ่ะ? ทะเลาะอะไรกัน”

“ไม่ได้ทะเลาะสักหน่อย มันกวนพี่ต่างหาก”

“จริงอะ ฟิวส์ไม่ค่อยพูดเลยนะพี่เพจ”

“นั่นน่ะนะไม่ค่อยพูด! ตอแหลว่ะ”

“โห ขนาดนั้นเลย” แม้ว่าผมจะลำเอียงเข้าข้างพี่เพจก็เถอะ แต่กับฟิวส์ถึงจะกวนตีน แต่กับคนแปลกหน้าเช่นพี่เพจ มันทำให้ผมทำใจเชื่อยากอยู่สักหน่อยที่เขาจะออกปากหาเรื่องอีกฝ่ายก่อน พี่เพจถอนหายใจแรงๆ เหมือนจะระลบายความขุ่นข้องในใจออกมา ขณะที่เหล่มองผมเหมือนมีเรื่องอยากจะพูด

“ต่อจากนี้ก็ระวังๆ หมอนั่นหน่อยแล้วกัน”

“ระวังยังไง”

“อย่าไปใกล้มันมาก ห่างเท่าไหร่ยิ่งดี”

“ทำไม่ได้หรอก นั่นคู่ฝึกงานผมนะ”

พี่เพจเบ้ปาก “เปลี่ยนคนได้ไหมล่ะ พี่ไม่ไว้ใจมันเลย”

“ทะเลาะกันเรื่องอะไรเนี่ยตกลง โตๆ กันแล้วนะพี่เพจ”

“เรื่องเราน่ะแหละ”

“...”

“มาเสน่ห์แรงอะไรตอนนี้ครับ ตอนที่พี่อยู่กับเรายาวๆ ไม่ได้เนี่ย”

ผมทำเป็นมองไม่เห็นสายตาจับผิดระคนหงุดหงิดของพี่เพจ เอาแต่มองดินมองฟ้าไปเรื่อย

“เสน่ห์แรงอะไร ไม่มีอะไรเหอะ”

“ถ้าไม่มีอะไรทำไมมันต้องมาพูดจาเหมือนจะจีบเราให้พี่ฟังด้วยล่ะ”

“...” ไอ้บ้านั่น! ยังไม่เลิกล้อเล่นไม่เข้าท่านั่นอีก

โอเค ผมรู้แล้วว่าทำไมพี่เพจถึงได้หัวเสียแบบนี้ -_-^

“เขาล้อพี่เล่นเฉยๆ แหละน่า อย่าไปเชื่ออะไรกับคำพูดหมอนั่นเลย”

“แต่มันก็น่าเป็นห่วงนี่”

“งั้นก็เชื่อใจคิง”

“...”

แม้จะอาย แต่ผมก็พยายามที่จะบังคับให้ตัวเองกล้าสบตากับแววคู่นั้นของพี่เพจที่มองมา “พี่ก็รู้ว่า คิงชอบแค่พี่คนเดียว”

พี่เพจเหมือนจะยิ้มออกมาแต่ก็ไม่ยอมยิ้ม เอาแต่ตีหน้าขรึม ทว่าทำไปทำมาก็หลุดยิ้มออกมาจนได้ เขายิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะบดคมคางลงที่บนหน้าผากของผมเหมือนจะแกล้ง แต่สุดท้ายก็เพียงแค่วางคางตัวเองไปแบบนั้นเงียบๆ ส่วนผมก็ฉวยโอกาสเอาเปรียบ ยกแขนขึ้นกอดเอวสอบของอีกฝ่ายเบาๆ โชคดีที่จุดที่เรากำลังเดินเป็นถนนที่ไม่ค่อยพลุ่งผล่านเช่นตอนกลางวัน จึงไม่ค่อยมีใครผ่านไปผ่านมานัก

“เฮ้อ ไม่โกรธก็ไม่โกรธ”

“...”

“พี่เชื่อเรา”

แม้ว่าจะเป็นแค่คำสั้นๆ แต่มันกลับทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาเหมือนคนบ้า ผมผละออกจากอ้อมกอดของพี่เพจ มองใบหน้าที่เหมือนอ่อนใจแต่ก็ยังมีความสุขปะปนในนั้น ก่อนจะโผเข้าไปกอดอีกที คราวนี้คนที่ถูกผมกอดก็เอื้อมมือขึ้นกอดตอบเช่นกัน

“ช่วยเชื่อใจในตัวพี่เร็วๆ หน่อยนะคิง”

“ทำไมครับ ขี้เกียจเป็นเด็กดีแล้วเหรอ?”

พี่เพจหัวเราะเบาๆ เพราะคงเดาออกว่าผมพูดประโยคนั้นไปเพื่อที่จะล้อเขาที่พักหลังมักทำตัวว่าง่ายตามใจผมเสมอ

“เปล่า พี่หึง”

“...”

“อยากเรียกว่าเราเป็นคนของพี่อย่างเต็มปากเสียที”

“...ขี้หวง”

“ก็มีอยู่คนเดียวไม่ให้หวงเราแล้วจะไปหวงใครห๊ะ เด็กบ๊อง”

ผมยิ้มอยู่คนเดียวกับแผ่นอกอุ่น “อีกนิดเดียวนะ”

“รอคิงก่อนนะพี่เพจ”

“อืม บอกแล้วไงว่าจะรอ”

“...”

“ยังไงก็จะรอ”















แต่ผมไม่มีวันเบื่อคุณอย่างแน่นอน ที่รัก















เพจยังไม่ได้กลับไปในทันที เพราะมาหาคิงครั้งนี้เขาตั้งใจว่าจะมาหลายๆ วันหน่อย ก่อนจะกลับบ้านไปเตรียมสัมภาษณ์งานใหม่ตามจดหมายเรียกจากบริษัทที่ลเรซูเม่ไปสามถึงสามที่ นอกจากจะมาเยี่ยมคิงแล้วเขาก็ถือโอกาสพักผ่อนไปด้วยเลย ตอนนี้จึงนอนแผ่อยู่ที่โรงแรมที่ตั้งห่างไปจากศูนย์ฝึกงานของคิงไปไม่เท่าไหร่เท่านั้นเอง

เมื่อวานหลังจากที่เขาไปส่งคิงที่หน้าหอพัก เขาก็ขับรถกลับมายังห้องตัวเองและหลับเป็นตาย แต่ก่อนจะหลับได้ก็ลำบากพอตัว ด้วยมีเรื่องให้คิดมากมาย เอาจริงๆ เขาก็เครียดเรื่องหางานนะ แต่พอมาที่นี่เจอคนกวนประสาทอีกคำรบ ก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ สุดท้ายเช้าวันนี้ที่ตื่นมาหน้าตาเขาที่โทรมอยู่แล้วก็ยิ่งโทรมเข้าไปใหญ่ เรียกได้ว่าถ้าเอาเขาไปยืนอยู่ข้างหมีแพนด้า น่าจะไม่ต่างกันเท่าไหร่

(แล้วไง มันเกี่ยวอะไรกับกูครับ)

“กูโทรมาเพื่อปรึกษาไม่ได้มาให้มึงกวนประสาทกูนะสิงห์” เขาว่าเสียงระอา รู้แหละว่าเพื่อนพร้อมจะรับฟัง แต่ทุกครั้งที่โทรไปปรึกษาไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องหัวใจ ไอ้สิงห์มันก็ชอบกวนประสาทเขาเหลือเกิน ทว่ากับคิงกลับทำตัวเป็นผู้ใหญ่ใจดีเสียจนอดเบ้ปากให้ลับหลังไม่ได้

(ก็แล้วไงวะ ก็แค่เด็กคนหนึ่งป่ะ? อะไรวะเพจ แค่นี้มึงถึงกับเครียดเลยหรือไง)

“จะไม่ให้เครียดได้ยังไงวะ แม่งกวนซะขนาดนั้น”

(แล้วคิดว่าน้องมันเชื่อไม่ได้ขนาดนั้นเลย?)

“...ไม่ใช่อย่างนั้น”

(ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่น้องมันพูด เชื่อใจน้องมันซะ แค่นั้นเองง่ายๆ)

“กูไม่สบายใจเลยที่ให้ไอ้หมอนั่นมาอยู่ใกล้ๆ คิงนี่หว่า”

(แล้วจะให้กูทำไงละเพื่อน รุ่นใหญ่แบบเราใจมันต้องนิ่ง ไม่ใช่ว่านิดๆ หน่อยๆ ก็วิ่งโร่ไปหาเรื่อง หัวร้อนกับคำแหย่ของเด็ก บ้าเปล่ามึงอ่ะ)

เพจหลุดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ที่ดูเหมือนว่าสุดท้ายการปรึกษาจะเปิดช่องให้เพื่อนเขาเอ่ยแขวะเสียอย่างนั้น

กำลังจะตะโกนด่าให้ปลายสายฟัง เสียงกริ่งจากหน้าห้องพักก็ดังขึ้นเสียก่อน เขาจึงฉวยโอกาสนั้นตัดสายจากเพื่อนรักที่แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยกับเรื่องที่เขากลุ้มใจ ก่อนจะเดินไปส่องตาแมวเพื่อดูว่าใครมาและมันค่อนข้างน่าแปลกใจที่เป็นคนคนนั้น
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มตรงหน้าไม่ได้ทำให้เพจระแวงอะไรเลยแม้แต่น้อย

“อ้าว เธอ...?”

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่เพจ :)












“นายไปกวนประสาทอะไรพี่เพจ”

ยังไม่ทันจะพูดคุยเรื่องงานให้สมกับที่เมื่อครู่ตั้งใจฟังพี่ๆ บรีฟงานในวันนี้ ฟิวส์ก็มีอันชะงักมือที่กลังเตรียมของทั้งหมดไปกับคำพูดของคิงที่เปิดประเด็นขึ้นมาทันทีที่ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน ฟิวส์วางขวดแก้วลงและหันกลับไปมองคนที่ตัวเตี้ยกว่าด้วยแววตาที่มองไม่ออกถึงอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ มองอยู่นานฟิวส์ก็ยังไม่ตอบเสียที คิงที่อุตส่าห์ทำใจนิ่งๆ กลับเผลอหลุดปากก่อนเสียได้

“ว่าไง ตกลงนายไปพูดอะไรไม่ดีกับพี่เพจใช่ไหม?”

“ใจคอนายจะไม่ถามเลยหรือไงว่าฉันโดนพูดอะไรไม่ดีใส่หรือเปล่า?”

“ไม่อ่ะ ฉันรู้นิสัยพี่เพจดีพอ ฉันเชื่อใจเขา”

“เชื่อใจ? ฮึ” ฟังแล้วโคตรขัดใจชะมัด

สีหน้าเยาะๆ จากฟิวส์ยิ่งทำให้คิงมั่นใจว่าคนตรงหน้าจะต้องพูดจาอะไรไม่น่าพอใจใส่พี่เพจอย่างที่เขารับรู้ได้เมื่อวานแน่ๆ ดังนั้นสีหน้าที่เรียบเฉยจึงค่อยเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น

“ฟิวส์ ฉันถามอีกครั้ง นายพูดอะไรกับพี่เขา”

“หมอนั่นมีอะไรที่นายคิดว่าเชื่อถือได้งั้นเหรอ”

“หมายความว่ายังไง”

“ก็ตามที่พูด มันน่าเชื่อถือยังไงผู้ชายคนนั้นที่ทำให้นายร้องไห้คนนั้นน่ะ”

“...น่าเชื่อมากกว่านายแล้วกัน”

ฟิวส์เบ้ปากออกมาเมื่อได้ยินคำนี้ออกจากปากของคิง ขณะที่นัยน์ตากวาดมองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจตรงหน้าด้วยอาการดูแคลน เชื่อใจ? มันก็แค่คำพูดที่ฟังดูดีในตอนนี้เท่านั้นแหละ เมื่อไหร่ที่ได้พบความจริงตรงหน้า เดี๋ยวหมอนี่ก็จะได้รู้ว่า ไอ้คำพูดที่เชื่อใจคนที่รักได้ทุกเรื่องนั้นน่ะ มันไม่มีอยู่ในโลก!

“ก็ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อยก็แค่ถามว่าเขาเป็นแฟนนายเหรอ?”

“...”

“ฉันนึกว่านายกับเขาคบกันซะอีก”

“...แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ฉันถามนายไม่ทราบ”

“เกี่ยวสิ เกี่ยวเต็มๆ เลย เพราะฉันบอกเขาไปว่าฉันจะแย่งนายมา”

“ฟิวส์! เลิกล้อเล่นแบบนี้เสียที ฉันไม่ตลกไปกับนายหรอกนะ”

 คราวนี้ฟิวส์ดูออกว่าคิงโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ต่างจากครั้งอื่นที่แค่ระอากับคำพูดของเขา เพราะอีกฝ่ายคงรู้ดีว่าคำพูดในตอนนั้นไม่ได้จริงจังอะไร แต่กับครั้งนี้ แม้มันจะแค่เบาบาง แต่เขาก็นึกจริงจังขึ้นมาจริงๆ มือข้างที่ว่างฉวยจับข้อมือของคิงทีเตรียมจะเดินไปจากห้องให้กลับมายืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของพวกเขาใกล้กันมากเสียจนฟิวส์สามารถเห็นได้ถึงรอยไม่พอใจที่วาดผ่านนัยน์ตาของคิง แต่ใจกลับไกลราวกับอยู่คนละขั้วโลก
“ทำไมฉันจะทำแบบนั้นไม่ได้ ในเมื่อนายไม่ได้มีใคร”

“แต่ฉันก็บอกนายไปแล้ว ไม่ว่านายจะพูดเล่นหรือพูดจริงว่าฉัน ไม่-มี-วัน-ชอบ...อื้อ!!”

ไม่ทันจะพูดจบประโยคคิงก็ไม่มีโอกาสได้พูดต่อ เมื่อคนตรงหน้าตัดสินใจเคลื่อนใบหน้าเข้ามากระทั่งริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกัน รอยบดเบีบยดจากฟิวส์ทำให้ริมฝีปากของคิงบวมช้ำ แต่ใช่ว่าคิงจะยอมง่ายๆ เพียงพริบตาฟิวส์ก็ผละออกมาพร้อมกับสบถเสียงเข้มเจือโทสะ เมื่อพบว่าในริมฝีปากของตัวเองมีกลิ่นคาวของเลือดจางๆ

“นี่ขนาดกัดลิ้นเลยเหรอ?”

“ก็เผื่อนายจะหายบ้าขึ้นมาไง! ฉันน่าจะเชื่อพี่เพจว่าควรอยู่ห่างจากนาย”

“ทำไม? จะทำตัวเป็นหมาเชื่อฟังเจ้าของหรือไง? เขากระดิกนิ้วเรียกไปซ้ายนายก็จะไปตามหรือไง”

“ใช่ ...!! จะทำอะไรวะ” คิงพลันถดตัวหนีเมื่อฟิวส์คล้ายจะกระชากเขากลับเข้าไปหาอีกครั้ง ครั้งที่แล้วเขาอาจจะพลาดที่ไม่ทันตั้งตัว แต่ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีกแน่!

ในตอนที่ยื้อยุดกันอยู่นั้นเอง ประตูห้องที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออก พร้อมกับที่สายตามากกว่าสองคู่จับจ้องมาที่ท่าทางของพวกเขาที่ชวนให้คิดไปไกลด้วยความตกใจ คิงรีบสะบัดให้ตัวเองหลุดพ้นจากการเกาะกุมของฟิวส์ เมื่อสังเกตเห็นว่านอกจากพวกดิวและพี่ๆ ในศูนย์แห่งนี้แล้ว พี่เพจก็อยู่ที่นี่ด้วย!

“พี่เพจ”

“นี่น้องคิงกับน้องฟิวส์เป็นแฟนกันเหรอ?”

“นั่นสิ พี่ก็นึกว่าพวกเราแค่หยอกกัน ที่ไหนได้เรื่องจริงนี่นา”

คิงส่ายหัวรัวๆ กับคำกล่าวเหล่านั้น “ไม่ใช่นะครับ! ไม่ใช่อย่างนั้น”

“...”

“พี่เพจ” คิงวิ่งไปหยุดตรงหน้าเพจที่มองมายังตน ในแววตาคล้ายจะอ้อนวอน “มันไม่ใช่อย่างที่พี่เห็นนะ”

“...”

แต่ที่ได้รับกลับมา...

“พี่เพจ เชื่อคิงนะ”

มีเพียงความเงียบงันเท่านั้นเอง





อุ้ยยยยยยยย ยังไงน้ออออ มันก็แค่ลูกระนาดเล็กๆ ของชีวิตรักของคิงเองงง
ฝากติดตามเช่นเคยยย เจอกันตอนหน้าค่า :) :NAVY

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
คิงง้อด่วนเลย ปล่อยไปพี่เพจคงนอนไม่หลับอีกหลายคืน
พี่เพจก็ใจเย็นๆนะเอาความเป็นผู้ใหญ่ของเพื่อนสิงห์มาใช้บ้าง

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
เพิ่งจะเริ่มจีบกันเอง อุปสรรคมาเลย :hao3: สู้ๆ ต้องเชื่อใจกันเท่านั้น

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Readyaoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ใครมาหาเพจจจจจ ฮือรู้สึกค้าง ไหนจะตอนจบตอนนั้นอีก  :ling1: :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฎข้อที่ 21 อย่า (ไม่) ไว้ใจ
เมื่อไหร่ที่ผมหมดแรงจะถือร่มให้คุณ
วันนั้นผมจะยืนตากฝนเป็นเพื่อนคุณเอง













เหมือนหัวสมองของผมว่างเปล่าไปหมดเลย เมื่อเห็นว่าที่หน้าประตูมีพี่เพจยืนอยู่และเหมือนเขาจะมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ รวมถึงคำพูดที่พูดส่งเดชเหล่านั้นด้วย

“พี่เพจ เชื่อคิงนะ”

ผมไม่รู้ว่าเขาจะยอมเข้าใจไหมถึงสิ่งที่ผมอยากจะสื่อไป ไม่ได้หมายถึงอยากจะแก้ตัวใดๆ แต่ผมหมายความตามนั้นจริงๆ มือที่กุมแขนเสื้อของพี่เพจจนเหมือนขยำนั่นสั่นไปหมด ในหัวคิดไปมากมายกลัวว่าเรื่องมันจะจบลงตรงที่พี่เขาปัดมือของผมออกและหันหลังจากไป

ในช่วงเวลาเงียบงันอันยาวนานหลังจากประโยคนั้นของผมจบลง ในที่สุดมือของพี่เพจก็ปัดมือของผมออกจากแขนของเขา ตอนนั้นน้ำตาของผมที่กลั้นเอาไว้ก็ร่วงหล่นลงมา

แต่พริบตาเดียวทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด เมื่อจู่ๆ มือข้างนั้นของพี่เพจที่ปัดมือของผมออกได้เอื้อมมากุมมือของผมแล้วออกเดินไปจากวงล้อมผู้คนแทน

น้ำตาของผมยังไหลอยู่จากความคิดด้านแย่ๆ นั่น แต่ขาทั้งสองก็ยังคงก้าวเดินจนเหมือนวิ่งตามแผ่นหลังกว้างของพี่เพจไปเรื่อยๆ กระทั่งพวกเราทั้งสองคนมาอยู่ที่ทางหนีไฟที่ค่อนข้างเงียบและไร้ผู้คน วินาทีที่ผมจะเอ่ยปากพูด ทั้งตัวก็ถูกคนตรงหน้าโอบกอดจนแน่น แน่นจนหายใจไม่ออก แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกอยากผลักไสเลยแม้แต่น้อย กลับกอดตอบให้แน่นเท่าที่จะทำได้แทน

“พี่เพจ มันไม่มีอะไรนะ เชื่อคิงนะ”

“ชู่ว ไม่เอา ไม่ร้อง”

“แต่คิงกลัว...”

“พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าพี่เชื่อเรา”

“...”

“พี่เชื่อว่าความรู้สึกเราที่มีต่อพี่มันคือเรื่องจริง เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรนะ อย่าร้องไห้”

“ฮือ...” ทั้งที่ผมควรจะหยุดร้องไห้และยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ แต่ผมกลับเผลอสะอื้นและร้องไห้ต่อจนได้ เหมือนกับผมไม่อาจจะยิ้มรับต่อความเจ็บปวดได้อีกแล้ว

ผมร้องไห้ ร้องไห้ แล้วก็ร้องไห้เหมือนเด็กเล็กๆ ฟังเสียงปลอบประโลมข้างหูที่บอกผมซ้ำๆ ว่าไม่เป็นไรนะ ก่อนจะรู้ซึ้งว่าแท้จริงแล้ว ที่ผมเคยบอกว่าแม้สุดท้ายเรื่องราวของเราจะต้องจบลงโดยไม่มีตอนต่อไป ผมก็ยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้

มันคือเรื่องโกหก

ผมทำมันไม่ได้อีกแล้ว

ยิ่งรัก ยิ่งได้อยู่เคียงข้างแบบนี้ การได้มีชีวิตต่อไปโดยไม่มีพี่เขาในชีวิตก็ยิ่งยากขึ้นทุกที

เหมือนการมีอยู่ของพี่เพจทำให้ผมนึกอยากจะอ่อนแอ

ผมไม่ได้ฝากทุกอย่างไว้ที่พี่เขา แต่เหมือนกับ...ความสุขของผมมันอยู่ที่เขา ผมอาจจะยังมีชีวิตต่อไปได้ในฐานะมนุษย์ กระนั้นเมื่อไม่มีพี่เพจ...ผมคงอยู่อย่างคนไร้หัวใจที่ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้หัวใจดวงนั้นกลับคืนมา

มือของพี่เพจคอยลูบอยู่บนเส้นผมของผม เสียงทุ้มที่ปลอบอยู่เริ่มเจือเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอเมื่อเขาได้ยินผมบ่นพึมพำอย่างจับใจความไม่ได้ข้างหู

“พูดอะไรของเราน่ะ งึมงำๆ ไม่รู้เรื่อง”

“คิงรักพี่เพจ”

“...”

“คิงไม่อยากเสียพี่ไป”

“...”

“คิงอยากให้ช่วงเวลาแบบนี้มีต่อไปเรื่อยๆ”

“พี่รู้ พี่ก็เหมือนกัน”

“อยู่กับพี่แล้วคิงมีความสุขและความสุขแบบนี้คิงไม่มีวันหาได้จากคนอื่นอีก”

“...”

“เชื่อคิงนะ คิงไม่ไปหาคนอื่น คิงไม่ชอบคนอื่นนอกจากพี่”

“เด็กบ๊อง” จนเมื่อคำพูดของผมคล้ายคนเพ้อไม่รู้ตัว พี่เพจจึงได้ดันผมออกจากอ้อมกอดของเขา เขกเบาๆ ที่กลางหน้าผากคล้ายเรียกสติ ใบหน้าของเขาจริงจังและเต็มไปด้วยความอ่อนใจ เมื่อพบว่าใบหน้าของผมเปรอะไปด้วยน้ำตาจนมองไม่เห็นผิวที่แท้จริง มือที่เคยลูบหัวค่อยๆ เลื่อนมาเช็ดน้ำตาที่แก้ม พร้อมกับพูดไปด้วย

“ไว้ใจพี่หน่อยสิ”

“...”

“ในเมื่อพี่ไว้ใจเราว่าเราไม่มีทางไปชอบคนอื่น เราก็ช่วยไว้ใจพี่บ้างว่าพี่เองก็ชอบเราคนเดียวเหมือนกัน”

“...”

“ไม่ใช่แค่เราหรอกนะที่ไม่อยากเสียเวลาในตอนนี้ไปน่ะ”

“...ขอโทษ คิงสติแตกไปหน่อย”

“แทนตัวเองว่าคิงก็สติแตกพอสมควรล่ะ -.-“

ผมช้อนสายตามอง พบว่ามันเต็มไปด้วยประกายอ้อนโดยไม่รู้ตัว “ไม่อยากให้แทนตัวเองแบบนี้หรอครับ?”

“ใช่ที่ไหน... แต่เราบอกว่าจะแทนตัวเองแบบนี้อีกครั้งตอนที่ความประพฤติพี่ครบร้อยไม่ใช่หรือไง”

“คะแนนของพี่มันเต็มมาตั้งแต่แรกเล่า”

“...”

“ที่ผ่านมา...คิงแค่อยากจะเห็น ได้ยินเสียงพี่ ได้มีความสุขกับการที่พี่คอยเอาใจคิงเฉยๆ เท่านั้นล่ะ”

พี่เพจหลุดยิ้มออกมาแล้วโยกหัวผมเบาๆ “พี่ก็ชอบเอาใจเรานะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องให้เต็มทันทีหรอก”

“...จะดีเหรอ?”

“อืม พี่จะได้ไม่ต้องคิดเหตุผลเยอะเวลามาหาเรา”

ผมหลุดยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ร้องไห้เหมือนคนบ้า ก่อนจะโผเข้ากอดพี่เพจอีกครั้ง ซึ่งพี่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธกอดนี้ พวกเรากอดกันอย่างนั้นจนผมเอ่ยขึ้น

“แล้วทำไมพี่เพจถึงมาที่ศูนย์ล่ะ? วันนี้ไม่ได้จะนอนเล่นหรอกเหรอครับ”

สิ้นคำถามนั้นใบหน้าของพี่เพจที่ยิ้มแย้มก็มีรอยกระอักกระอ่วนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน เสียงถอนหายใจหนักๆ จากพี่เพจดังขึ้นก่อนเจ้าตัวจะตอบ

“ความจริงแล้วพี่มาเพราะมีใครคนหนึ่งพูดเกี่ยวกับเราน่ะ”

“เกี่ยวกับผม?”

“อื้ม พูดประมาณว่าเรามีคนอื่นอะไรแบบนั้น”

“ห๊ะ!”

“พี่รู้อยู่แล้วล่ะว่าเราไม่ทำแบบนั้น แต่ก็ยอมมาแค่อยากจะรู้ว่าเขาจะทำอะไร จนมาเจอเรากอดรัดฟัดเหวี่ยงกับไอ้เด็กฟิวส์นั่นล่ะ” ท้ายเสียงพี่เพจคล้ายจะกัดฟันอยู่เล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะกอดผมแน่นขึ้น

“พูดแล้วโมโห มากอดคนของพี่ได้ไงวะ”

“อย่าเพิ่งเล่นสิพี่เพจ แล้วคนที่ไปบอกพี่คือใคร?”

“ถ้าพี่บอกเราต้องไม่เชื่อแน่ๆ”

“...”

“เอาเป็นว่า ถ้ารู้แล้วอย่าไปเพิ่งไปยุ่งวุ่นวายกับเขาจนรู้ตัวล่ะ”













เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวนะ
ผมจะอยู่ข้างๆ คุณเสมอ













“ไหนบอกจะไม่แตะต้องตัว?”

“ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วจะเข้าแผนได้ยังไงล่ะ?”

เสียงพูดคุยของคนคู่หนึ่งดังขึ้นในยามวิกาลหลังจากที่ทุกชีวิตที่ทำงานในตอนพระอาทิตย์ขึ้นพากันหลับใหลหมดแล้ว คนหนึ่งยืนซ่อนอยู่หลังเงา ส่วนอีกคนนั้นยืนอาบแสงจันทร์ยามเที่ยงคืนพร้อมกับสูบบุหรี่ไปด้วย คนๆ นั้นคือฟิวส์

ใบหน้าของฟิวส์มีร่องรอยหงุดหงิดเพิ่มเติมจากปกติเล็กน้อย เมื่อนึกย้อนกลับไปยังตอนกลางวัน หลังจากที่คิงกลับมาพร้อมกับคนที่ชื่อเพจคนนั้น แม้ใบหน้าจะมีร่องรอยว่าร้องไห้ แต่รอยยิ้มที่ติดอยู่ที่มุมปากของคนทั้งสองพร้อมกับมือที่เกาะเกี่ยวกันเอาไว้ เป็นตัวยืนยันได้ดีว่าทั้งคู่ไม่ได้ผิดใจกันเลยแม้แต่น้อย

ทั้งที่หากเป็นคนอื่น ป่านนี้แผนโง่ๆ นี่คงสำเร็จโดยง่าย

น่าหงุดหงิดชะมัด

“แค่จับมือหรือทำท่าทางอย่างที่เธอบอกมันจะไปพออะไร ดูสิ ฉันทำไปซะขนาดนั้น สองคนนั้นยังคืนดีกันได้หน้าตาเฉย”
“คราวหน้าไม่เป็นแบบนี้แน่”

“ยังพิสูจน์ไม่พออีกหรือไง?” ความจริงแผนนี้ไม่ได้เริ่มขึ้นเพื่อทำให้คนรักกันสองคนแตกแยกกันจริงๆ สักหน่อย แต่พอเขาหลุดพูดออกไปแบบนั้น เจ้าของนัยน์ตาคมที่หลบซ่อนในมุมมืดก็ตวัดมามองเขาทันที

“เฮ้ๆ อย่ามองแบบนั้นสิ ก็เธอบอกเองนี่นาว่า มันแค่เรื่องพิสูจน์ขำๆ น่ะ”
“นายไม่ได้ชอบคิงหรือไง ทำไมไม่ฉวยโอกาสนี้ล่ะ”

“มีโอกาสตรงไหนให้แทรก?”

“...”

“เธอก็เห็น วินาทีที่ไอ้หมอนั่นโผล่มา คิงได้มองคนอื่นไหม? สายตาสองคนนั้นมีแค่กันและกัน จะเอาตรงไหนให้คนนอกอย่างเธอกับฉันไปแทรกกันล่ะ”

“...มันต้องมีสักทางสิ! มันจะจบแค่นี้ได้ยังไง”

“อ้อ นี่ที่พยายามมาทั้งหมด พูดเสียดูดีว่าแค่ทดสอบผู้ชายคนนั้นกับคิง ก็คิดที่จะแย่งมาจริงๆ สินะ”

“ฟิวส์!”

เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกด้วยความโกรธเคืองทำเพียงยิ้มเยาะมุมปากส่งให้ แล้วพ่นควันสีขาวให้ล่องลอยไปช้าๆ

“แย่งคนไหนล่ะ? หมอนั่นเหรอ? ที่ชื่อเพจน่ะ”

“ฉันไม่ได้ชอบเขา”

“งั้นก็คิง?”

“...”

“ว้าว” น้ำเสียงของฟิวส์ติดจะล้อเลียนมากกว่าจะประหลาดใจจริงๆ เพราะเอาจริงๆ เขาก็พอจะเดาได้จากสายตาที่เธอมองไปยังเพจ พบว่ามันก็แค่การเสแสร้ง ต่างจากตอนที่เขาเห็นเธอจ้องมองคิงในยามเผลอไผล เขาเดินออกจากแสงไปหาคนที่แอบซ่อนจนใบหน้าส่วนหนึ่งถูกกลืนไปกับความมืด สบตากับดวงตาที่เจือด้วยความโกรธนั่น

“เหลือเชื่อแฮะ ที่คนอย่างเธอจะชอบหมอนั่น”

“อย่างน้อยก็น่าหลงไปชอบมากกว่าคนแบบนาย!”

“แล้วยังไง? สุดท้ายไม่ว่าเธอหรือฉันก็ไม่ได้อยู่ดี”

“...”

“ถอดใจเถอะ ฉันขี้เกียจร่วมเล่นไปกับเธอแล้ว หมอนั่นเกลียดขี้หน้าฉันจนทำงานด้วยกันแทบไม่ได้แล้วเนี่ย”

“ฟิวส์! นายจะหยุดง่ายๆ แค่นี้เหรอ ไม่ได้นะ!” ทันทีที่ฟิวส์ตัดสินใจหันหลังเตรียมจะกลับไปยังห้องพัก ร่างที่แอบซ่อนมาตลอดก็วิ่งตามมายื้อยุดไว้ ทว่าเธอเพิ่งจะมาสังเกตว่าไม่ใช่เพราะแรงที่เธอยื้อฟิวส์จึงหยุดยืน แต่เป็นเพราะตรงหน้าของพวกเขาสองคนคือใครคนหนึ่งที่เป็นหัวข้อสนทนาของเขากำลังยืนมองอยู่ต่างหาก

“นี่...มันหมายความว่ายังไง?”

คิงถามขึ้นขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างยังคงจับจ้องที่คนสองคนที่นิ่งไปราวกับถูกสาปทันทีสังเกตเห็นเขา ความจริงเขาก็ไม่ได้ตั้งใจมาแอบฟังอะไร ทว่าวินาทีที่ได้ยินชื่อตัวเองออกจากปากของคนทั้งสอง มันทำให้เขาไม่อาจกลับห้องไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้

ยิ่งเห็นความตกใจจากใบหน้าของ ‘เธอ’ คนนั้น คนเดียวกับที่พี่เพจบอกว่าเป็นคนเรียกพี่เพจให้มาเจอเรื่องเมื่อตอนกลางวัน ในดวงตาของคิงยิ่งฉายแววผิดหวังและเหมือนเธอจะเห็น ใบหน้าตกตะลึงจึงเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกผิดแทน

แต่แค่นั้นมันจะพออะไรกับสิ่งที่เสียไป?

มันไม่อาจซ่อมความรู้สึกที่เสียไปได้เสียหน่อย

นึกมาถึงตรงนี้คิงก็พลันหวนคิดถึงคำพูดที่พี่เพจได้เตือนตนเองเอาไว้ถึงเรื่องทีกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้

‘พี่เพจหมายความว่ายังไง?’

‘หมายถึงว่าเรื่องในวันนี้เหมือนถูกจัดฉากมากกว่าบังเอิญน่ะสิ’


คิงขมวดคิ้ว ‘แต่...การที่เราสองคนผิดใจกันมันจะทำให้คนที่วางแผนได้ประโยชน์ยังไง’

‘ก็แทรกกลาง...แย่งใครคนใดคนหนึ่งน่ะสิ’

‘แย่งพี่เพจ?’


แทนที่เพจจะพยักหน้าตามคำพูดของคิง เขากลับส่ายหน้าและจิ้มลงที่กล้างหน้าผากของคนตรงหน้า แทนการยืนยันว่าสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้คือเรื่องจริง

‘เป้าหมายของคนที่วางแผนคือเราต่างหาก’

‘ห๊า! คิงเนี่ยนะ’

‘ใช่ อ้อ พี่ไม่คิดหรอกนะว่าคนที่วางแผนทั้งหมดนี่คือเจ้าเด็กฟิวส์นั่น เพราะมันคงเป็นแผนที่โง่เกินไป’

‘แล้ว...’

‘คนที่คิดแผนนี้ขึ้นมาคือผู้หญิงคนที่พาพี่มาคนนั้น’

‘...’

‘ผู้หญิงคนนั้นคือ...’





“ฝ้าย...”

“คิง รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเป็นฝ้าย”

คิงเบือนหน้าหลบสายตานั้นของฝ้ายที่มองมา เพราะนอกจากความตกใจและรู้สึกผิดแล้วมันยังเจือด้วยความรู้สึกที่เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมี

“พี่เพจสงสัยฝ้ายน่ะ”

“ว่าแล้วเชียว”

“ฝ้ายทำทั้งหมดนี่ไปเพื่ออะไร ฝ้าย...ชอบพี่เพจเหรอ”

แทนที่เธอจะตอบ เธอกลับหัวเราะออกมาและเลิกยื้อฟิวส์เอาไว้ก่อนจะเดินตรงมาหาคิงจนพวกเขาห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว ใกล้จนคิงได้เห็นใบหน้าอ่อนหวานของหญิงสาวได้ชัดเจน พอๆ กับที่ฝ้ายมองเห็นแต่ความไม่เข้าใจและเสียใจจากนัยน์ตาของคิงที่มองไปยังเธอ

“ฝ้ายไม่ได้ชอบพี่เพจ”


“งั้นทำไม...”

“คิงจำไม่ได้เหรอ?”

“...”

“จำเราไม่ได้จริงๆ เหรอ?”

“...”

“ที่เราทำไปทั้งหมด เพราะคิงต่างหาก”










เอาแล้ววววว
หายไปหลายวันเลย นอนโง่ๆ กับไปเรียนเสริมค่ะ 55555 ขอโทษค่า ใกล้จะจบไปทุกทีแล้ววว ><
เจอกันตอนหน้าเช่นเคยค่ะ :) :NAVY

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
วงวารน้องคิง ขอให้ฝึกงานผ่านไปด้วยดีทีเถ๊ออออออออ

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฏข้อสุดท้าย อย่าบอกรัก
ผมไม่รู้ว่าร่องรอยในอดีตบางครั้งก็มีความหมาย
จนเมื่อมาพบคุณ ผมถึงได้รู้ว่าวันที่ได้พบคุณช่างพิเศษเหลือเกิน










“ยินดีด้วย พวกเธอผ่านการฝึกงานโดยสมบูรณ์แล้ว”

“ขอบคุณครับ / ค่ะ”

สีหน้าปลอดโปร่งและแสดงความยินดีรอบตัวทำให้ผมแทบลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อหลายคืนก่อนที่ต้องเร่งปิดมินิโปรเจ็คที่ทางศูนย์มอบให้และพรีเซนต์ไปหมาดๆ    มันยากมากจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มอบประสบการณ์มกมายให้แก่ผมไม่น้อย เพื่อนำไปใช้ต่อยอดหรือในการเรียนรู้ในชั้นปีสูงๆ ได้เป็นอย่างดี

“ยินดีด้วยนะคิง”

“ขอบคุณครับ”

พี่คนหนึ่งในศูนย์ยิ้มล้อเลียนมองผมก่อนจะถองศอกใส่ “สรุปว่าไง คนไหนเหรอที่เราเลือก”

คำถามนั้นทำเอารอยยิ้มกว้างของผมเฝื่อนไปเล็กน้อยขณะที่สายตาของผมมองตามสายตาของพี่เขาไปยังกลุ่มของเด็กฝึกงานอีกสามคนที่เหลือ ฟิวส์ ฝ้ายและดิวที่ถูกล้อมจากเหล่าพี่ๆ ที่ฝึกงาน พูดคุยจ้อกันด้วยสีหน้ามีความสุข

“ไม่มีสักหน่อยครับ แค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้นเอง”

“ได้ไง ตอนนั้นออกจะใหญ่โตหรือต้องแอบกิ๊กกันถึงบอกคนอื่นไม่ได้”

“เลอะเทอะใหญ่แล้วครับ ไม่มีอะไรจริงๆ”

ครับ ก็อย่างที่พูดว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ ต่อให้ตอนนั้นจะเกิดเรื่องวุ่นวายก็เถอะ

สุดท้ายเรื่องราวความเข้าใจผิดและแผนการมากมาย (?) ก็จบลงอย่างง่ายๆ ด้วยการพูดคุยของผมและฝ้าย ตั้งแต่เธอยอมรับในคืนนั้นว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเธอชอบผม (เอาจริงๆ ถ้าเธอมาบอกว่าชอบพี่เพจยังจะน่าเชื่อมากกว่าอยู่เลย) ครั้งแรกที่ได้ยินผมก็รู้สึกเหลือเชื่ออยู่สักหน่อยที่คนแบบผมจะมีผู้หญิงน่ารักๆ มาชอบ ผมได้แต่ยืนฟังเธอเล่าเรื่องราวต่างๆ แผนมากมายที่เธอคิดขึ้นมาเพียงเพื่อให้ได้ใกล้กับผมกับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า

เรื่องราวที่เธอมีต่อผม คล้ายจะเล่าได้ว่ากาลครั้งหนึ่ง เธอได้พบผมในช่วงเวลาและสถานการณ์ที่ถูกต้อง

คล้ายกับเมื่อครั้งที่ผมได้พบกับพี่เพจ ความประทับครั้งก่อนเก่าได้ฝังลึกในใจของฝ้ายเช่นเดียวกับที่ผมได้เจอ

เธอไม่คิดเช่นกันว่าจะได้พบผมที่ศูนย์ฝึกงาน แต่เมื่อได้พบแล้วเธอก็ไม่คิดว่าจะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ ทว่าเรื่องมันมายุ่งยากตรงที่ว่าฟิวส์ดันมาบังเอิญได้ยินที่ผมพูดกับพี่เพจผ่านโทรศัพท์และเดาได้ว่าผมนั้นน่าจะชอบคนอื่นอยู่แล้ว แล้วที่พีคกว่านั้นคือแท้จริงแล้วฟิวส์กับฝ้ายเคยเรียนที่เดียวกันมาก่อน จึงพอจะกล้อมแกล้มพูดได้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนวัยเด็กที่สนิทสนมกันพอสมควร จึงทำให้ฝ้ายได้รู้ในวันแรกว่าผมนั้นกำลังมีความรัก (ที่น่าจะสมหวัง) กับใครคนหนึ่งอยู่

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจหรือแค่อยากจะลองพิสูจน์ใจอย่างที่ว่า เมื่อฝ้ายรู้ว่าผมคุยกับผู้ชาย เธอจึงขู่แกมบังคับให้เพื่อนสนิทอย่างฟิวส์มาลองเชิงดูว่าพอจะมางแทรกพวกผมได้หรือไม่ แรกๆ มันก็แค่เป็นแผนขำๆ ไม่จริงจังอะไร ทว่ามันมาพลิกผันตรงที่ฟิวส์ดันเกิดเอาจริงขึ้นมาในวินาทีสุดท้าย

ผมก็เพิ่งมารู้ว่าหมอนั่นโกหกเรื่องที่ชอบผู้ชาย แต่กับเรื่องที่แอบชอบเพื่อนสนิทและอกหักนี่เรื่องจริง

เพื่อนคนที่ว่าก็คือฝ้าย

ผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมวันแรกที่ได้เจอกันฟิวส์ถึงได้เงียบแบบนั้น อาจจะลำบากใจที่ต้องรับคำขอจากฝ้ายล่ะมั้ง

หลังจากนั้นก็อย่างที่ผมได้พบ แผนการดำเนินมาเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะผมโชคดีหรือพี่เพจดันความรู้สึกไวกับเรื่องนี้ (ทั้งที่ผ่านมาโคตรจะซื่อบื้อจนผมอ่อนใจ -_-) ทำให้แผนของพวกเขาไม่สำเร็จเสียที จนต้องแอบมาคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จำได้ว่าตอนที่คุยมาถึงตรงนี้ฝ้ายได้ยิ้มขื่นๆ ว่าเธอยังไม่ถอดใจเสียเท่าไหร่และยอมรับอย่างจริงจังว่าเธอยังคงชอบผมเหมือนเดิม

เหมือนวันแรกที่เธอได้พบผม

แต่น่าเสียดาย...


‘น่าเสียดายที่ช้าไป’

‘...’

‘น่าเสียดายที่ฝ้ายไม่โชคดีเหมือนคิงที่เจอคนแบบพี่คนนั้น’

‘...’
ผมจำได้ดีว่ารอยยิ้มงดงามและนัยน์ตาแสนสวยที่เปื้อนน้ำตามองมายังผมคู่นั้น ฉายความเศร้าไว้มากมายแค่ไหน ราวกับกระจกสะท้อนเอาเรื่องราวที่ผ่านมาของผมออกมาเลยด้วยซ้ำ ทว่าก็อย่างที่เธอพูด มันน่าเสียดาย...

น่าเสียดายที่ผมไม่ได้รักเธอ

พอคุยจบเราก็แยกย้ายกันกลับห้อง เหลือเพียงความเป็นเพื่อนร่วมฝึกงานกันต่อไปและไม่รื้อฟื้นเรื่องแผนบ้าๆ นี่อีก ก่อนที่ผมจะได้กลับไปนอน ฟิวส์ที่เงียบมานานก็รั้งผมเอาไว้ก่อน สีหน้าลำบากใจและรู้สึกผิดทำให้ผมรู้ว่าเขาคงอยากขอโทษ

‘ไม่ต้องขอโทษหรอก’

‘...ใครจะขอโทษ แค่อยากจะให้นายเก็บเรื่องนั้นไว้เท่านั้นเอง’


ผมขมวดคิ้วที่ได้ยินแบบนั้น ‘ฝ้ายไม่ได้รู้อยู่แล้วเหรอ?’

‘เธอไม่รู้’

‘...’

‘ไม่รู้ไปตลอดชีวิตยิ่งดี ฉันไม่อยากเสีย ‘เพื่อน’ ไป’


หากจะบอกว่าฝ้ายน่าสงสารผมคงพูดไม่ได้เต็มปาก เพราะเอาเข้าจริงผมก็นึกสงสารฟิวส์มากกว่า อาจจะดูลำเอียงที่ผมสงสารเขากกว่าเพราะได้ยินเรื่องของเขามาตลอด แต่การที่ฝ้ายยังสามารถบอกผมได้ถึงความรู้สึกที่มีกับฟิวส์ที่แม้แต่จะพูดออกไปยังไม่ได้ ผมก็ยังคิดว่าฟิวส์เจ็บมากกว่า

ผมได้แต่ภาวนาว่าสักวันเขาจะบอกออกไปได้และลองถามว่าจะเริ่มต้นความสัมพันธ์แบบใดได้อีกกับฝ้าย นอกจากความเป็นเพื่อนของพวกเขา

แม้กระทั่งตอนนี้... ผมมองภาพตรงหน้า ภาพรอยยิ้มงดงามของฝ้ายที่ยิ้มหัวเราะอยู่กับดิวถึงเรื่องความซุ่มซ่ามของดิวระหว่างทำงาน ข้างกายของเธอไม่ห่างคือร่างของฟิวส์ที่จับจ้องเสี้ยวใบหน้าของเธอ แม้จะไร้รอยยิ้มเช่นเคย แต่ในแววตาที่เฉยชานั้นคล้ายจะทอแววอ่อนโยนออกมาหลายส่วน

ได้แต่พูดอีกครั้งซ้ำๆ ว่าน่าเสียดายเหลือเกินที่ฝ้ายไม่ยอมหันไปสบแววตาคู่นั้นของฟิวส์เสียที

แต่ต่อให้หันไป ฟิวส์ก็คงไม่อยากให้เธอเห็นอยู่ดี

เพราะเขารับรู้มาตลอดถึงมิตรภาพ ไม่ใช่ความรักในใจของเธอที่มอบแด่เขา

“ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้วครับ”

“จริงเหรอ ใครเอ่ย”

ผมยิ้มนิดๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรต่อ นอกจากขอตัวไปร่วมถ่ายรูปกับคนอื่นที่รออยู่

สุดท้ายการฝึกงานของผมก็จบลง พร้อมกับที่การเรียนในชั้นปีต่อไปกำลังจะเริ่มต้นขึ้น...




“แต่ยังไงพี่ก็ไม่ชอบมันอยู่ดี”

...ซะที่ไหนล่ะ

ผมถอนหายใจเล็กน้อยต่อหน้าชามก๋วยเตี๋ยวที่แวะกินข้างทางระหว่างเดินทางกลับหอ พี่เพจกินลูกชิ้นและเคี้ยวอย่างกับเจ้าหมูที่เป็นเนื้อทำลูกชิ้นลูกนี้ไปทำให้พี่แกโกรธมาตั้งแต่ชาติปางก่อนอย่างนั้น

“พี่เพจ มันผ่านไปแล้วน่า”

“แต่มันแอบฉวยโอกาสลวนลามเรา”

“แล้วไง พี่จะไปลวนลามกลับให้คิงป่ะล่ะ”

“พูดมาได้ ไม่กลัวฟ้าผ่าหรือไง” เสียงฉุนๆ กับคำเถียงข้างๆ คูๆ ของพี่เพจทำให้ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“แล้วกับผมไม่ผ่าหรือไง ติ๊งต๊อง”

“กับเราฟ้าเป็นใจหรอก”

“...”

“คิง ไม่กินเอาให้พี่ก็ได้ อย่าคายทิ้ง!”

“พี่เป็นคนเสี่ยวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” กลายเป็นว่าตอนนี้ผมชักไม่มั่นใจเสียแล้วสิว่า ผมรู้จักพี่เพจหมดทุกวอกทุกมุม
อย่างน้อยๆ พี่เพจคนก่อนก็ไม่ทำตัวเสี่ยวชวนอ้วกแบบนี้ทุกวินาทีที่หยอดผมได้น่ะนะ

และตอนนี้คนที่ถูกว่าได้แต่อมลมทำหน้าบ๊องแบ๊วงอนสุดฤทธิ์ ชนิดไม่เข้ากับใบหน้าของพี่เขาเลยแม้แต่น้อย แต่...ในสายตาผมมันน่ารักแฮะ สุดท้ายผมก็หลุดยิ้มและอดเอามือเลื่อนไปหยิกแก้มพี่เพจไม่ได้

“งอแง”

“เดี๋ยวตอนหลังพี่งานเยอะไม่มีเวลาให้ จะคิดถึงพี่ เชอะ!”

อ้อ พี่เพจได้งานแล้วครับ หลังจากวันนี้ก็ต้องเตรียมไปสัมภาษณ์งานแล้ว โชคดีมากๆ ที่งานของพี่เพจใกล้กับบ้านของพีเขามาก จึงไม่ต้องเช่าหรือหาที่พักอื่น แต่พี่เพจบ่นใหญ่ว่ามันห่างจากมหาลัยไปหน่อยรถก็ติดอีกต่างหาก ตอนนี้พี่เขาเลยวุ่นอยู่กับความคิดประหลาดๆ มากมาย เพื่อหาเวลาให้เราได้มาเจอกันบ้าง

“ไม่ต้องตอนนั้น คิงก็คิดถึงพี่เพจ”

“ไม่ต้องมาพูดเอาใจเลย เด็กใจร้าย”

“นี่ยี่สิบสองหรือสามขวบหือ? พี่เพจ”

“ไม่เคยได้ยินหรือไงว่าคนมีความรักจะเด็กลงน่ะ”

โอ้ย! ดูพูด “พี่เพจคิงไหว้ล่ะ เลิกพูดแบบนี้เถอะ ขนลุกอ่ะ”

พี่เพจคนคูลหายไปไหนแล้วครับ T_T

แต่จู่ๆ ใบหน้าที่ทะเล้นมาตลอดของพี่เพจก็กลับมานิ่งเฉย พี่เขายังคงก้มหน้าก้มตากิน แต่มือหนึ่งที่ว่างกลับเอื้อมมาจับมือของผมเอาไว้

“คิง ไว้ว่างๆ ไปบ้านพี่นะ”

“...”

นัยน์ตาคู่นั้นที่ผมหลงรักมองสบมายังผมคล้ายจะถามหาคำยืนยัน ซึ่งผมที่เรียกสติตัวเองกลับมาได้ก็ทำได้แค่ยิ้มตอบและพยักหน้าซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนบ้า

“อืม คิงจะรอนะ”

บางทีการแอบรักของผมคงจะจบลงแล้ว

แต่ความรักของเราสองคนกำลังเริ่มต้นขึ้น...












และผมก็ได้แต่ภาวนาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ขอให้วันเวลาของเราดำเนินเช่นนี้ไปเนิ่นนาน













(อยู่ไหนแล้ว?)

“กำลัง...แฮ่กๆ วิ่งครับ”

(ตอบไม่ตรงคำถามนะ พี่ถามว่าเราอยู่ไหนต่างหาก) ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วเสียงหัวเราะ ชวนให้คนที่ฟังหงุดหงิดขึ้นมาจับใจ แต่เนื่องจากหนทางข้างหน้ายังยาวนานกว่าความโกรธนี้ เขาจึงเก็บแรงที่จะตะโกนสู้คนในสายเปลี่ยนเป็นแรงที่สับขาวิ่งฝ่ากลุ่มคนแทน

“ไว้ถึงก่อนเถอะ...” แต่ก็ยังไม่วายฝากอาฆาตเอาไว้ จนปลายสายหลุดหัวเราะออกมาชุดใหญ่

(ไม่ต้องรีบๆ แค่พี่มีสาวๆ มารุมขอถ่ายรูปเยอะแยะเท่านั้นเอง -.-)

คิงขมวดคิ้วมุ่นขณะวิ่งข้ามไปอีกฝั่งของถนนและรีบลัดเลาะไปตามสนามหญ้าสีเขียวที่บัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งที่ปกติสนามจะถูกทิ้งร้าง หากไม่มีพิธีการอะไร เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ รอยยิ้มเฮฮาของเหล่าบัณฑิตจบใหม่ทำให้คิงนึกอิจฉาพวกเขาเหล่านั้น ทั้งนึกอิจฉาคนปลายสายมากมายที่นอกจากจะจบแล้วเช่นคนอื่นๆ ยังได้งานในบริษัทที่ดีอีกต่างหาก

ถึงคราวเขาแล้ว จะได้พบเรื่องดีๆ แบบนั้นไหมนะ?

“คิงเข้ามาแล้ว พี่เพจยืนอยู่แถวไหนอ่ะ”

(ทางซ้ายซุ้มหน้าหอประชุมไง)

“ไหน?”

(มองไปไหนเนี่ยหือ? เดินมาก็เห็นได้ง่ายๆ เลยแท้ๆ)

“คนเยอะเป็นหนอนขนาดนี้ คิงไม่ได้บินได้นะ จะได้รู้ว่าพี่อยู่ตรงไหน”

(ไหนว่าไม่ว่าพี่จะอยู่ตรงไหน เราก็หาพี่เจอไง”

เขาลอบถอนหายใจ “...ลองพี่มาเป็นคิงตอนนี้สิ เดี๋ยวก็รู้”

(พี่เห็นเราแล้ว)

“...”

“หันมาทางซ้ายมือสิ...”

คราวนี้เสียงที่ดังคล้ายจะไม่ได้ออกมาจากโทรศัพท์ แต่เหมือนดังอยู่ข้างตัวเสียมากกว่า คิงจึงวางสายและหันไปตามที่เพจพูดและก็พบ...กับใบหน้าทีมีรอยยิ้มแสนสุขกำลังมองมายังเขาคล้ายจะล้อเลียนคำพูดหวานหูที่เขาพูดเมื่อนานมาแล้ว วันนี้พี่เพจของเขายังคงหล่อเหลาเช่นเคย ผมที่เคยยุ่งไม่เป็นทรงถูกจัดเสียเรียบแปล้ เผยใบหน้าขาวผ่องสดใส ในอ้อมแขนของบัณฑิตจบใหม่เต็มไปด้วยดอกไม้และตุ๊กตาแสดงความยินดีมากมาย แน่นอนว่าเป็นเช่นที่อีกฝ่ายพูด เมื่อเขาชะโงกหน้าไปมองด้านหลังพี่เพจ ก็พบกลุ่มหญิงสาวมากมายที่คุยกันจอแจและเดินตรงมาหาคนข้างกายเขาเพื่อถ่ายรูป

“พี่เพจคะ ถ่ายรูปกับกิ๊งหน่อยนะ”

“อืม เอาไงดี”

“โธ่ พี่บ่ายเบี่ยงมาหลายทีแล้วนะ ทำไมกับเพื่อนๆ พี่ถ่ายได้ แต่กับพวกหนูไม่ยอมถ่ายสักที” หญิงสาวหน้าหมวยบ่นอุบ

“ฮ่าๆ ก็...ลองถามคนนี้ดู ถ้าเขาอนุญาตพี่ก็โอเค” ไม่ทันจะได้ฟังให้จบประโยค เพจก็รีบดันคิงที่ยืนเหวออยู่ข้างๆ ให้ไปยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวกลุ่มใหญ่ที่เป็นหนึ่งในแฟนคลับวงดนตรีของเขา สีหน้าตลกๆ ของคิงทำให้เพจหลุดหัวเราะออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะหยุดหัวเราะเปลี่ยนมาฉีกยิ้มเมื่อถูกลากไปถ่ายรูปจนได้

คิงอดจะทุบที่ต้นแขนของพี่เพจไม่ได้ เมื่อสาวๆ เหล่านั้นได้ถ่ายรูปมากพอแล้ว ซึ่งคนที่โดนทำร้ายร่างกายก็ทำเพียงแค่ยักไหล่และฉวยเอากล้องที่ห้อยคอมาตลอดหลังจากจบงานพิธีรับปริญญาบัตรในช่วงเช้าขึ้นมา ในกล้องปรากฏใบหน้างอนๆ ของคนข้างกาย ก่อนเจ้าตัวจะอ้าปากกว้างในคราที่หันมาพบว่าตัวเองกำลังโดนแอบถ่าย

“พี่เพจ!”

แชะ!

“ฮ่าๆๆ อ้าปากซะกว้างเลยอ่ะ ตลก”

“ทำไมชอบแกล้งคิงฮะ นิสัยไม่ดี”

ถึงจะถูกบ่นเช่นนั้นแต่เพจก็ยังส่องกล้องจับภาพของคิงไปเรื่อยๆ ภาพที่ยิ้ม ภาพที่กำลังบ่น ภาพหลุดเหวอหรือแม้กระทั่งรูปที่หลุดถอนหายใจออกมา ทุกภาพทำให้คนที่ถ่ายได้แต่ยิ้มแล้วยิ้มอีก

“พอแล้ว เลิกถ่ายได้เล่า”

“ดูสิ พี่ถ่ายออกมาสวยจะตาย”

คิงเหล่มองรูปในกล้องก่อนจะฉวยโอกาสตอนนั้นเป็นคนถือกล้องเสียเองและเริ่มกดถ่ายบัณฑิตใหม่ไปเรื่อยๆ แต่ครั้งนี้เขาได้รับการร่วมมือมากกว่าครั้งที่ตัวเองถูกแอบถ่ายเยอะ คิงเลื่อนดูรูปที่ถ่ายแล้วยิ้มออกมา เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่เพจถึงได้ชอบถ่ายรูปเขา ไม่ว่าจะครั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว

การได้เฝ้ามองเก็บความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตด้วยกัน เก็บเอาไว้ในวันที่ไม่อาจย้อนกลับและทำได้แค่คิดถึงจะได้หยิบมันขึ้นมาดู

“ไหนของขวัญรับปริญญาของพี่?”

คิงแกล้งถอนหายใจหน่ายๆ เหมือนเบื่อที่ได้ยินคำนี้ แต่ก็ยอมล้วงเอาของขวัญที่ตนหานานอยู่พอสมควรออกมา ของขวัญที่ว่าวางอยู่ในกล้องของขวัญผูกโบเล็กๆ    สีเขียวแสนน่ารัก เมื่อเปิดฝาออกก็พบกับจี้ที่เป็นโหลคริสตัลเก็บกักดอกไม้สดเอาไว้ ต่างตรงที่จี้ชิ้นนี้ของคิงนั้นไม่ใช่ดอกไม้แต่เป็นใบโคลเวอร์สี่แฉก มือทั้งสองแยกสายสร้อยออกจากกันและเอื้อมตะขอให้คนตรงหน้าที่ย่อตัวลงมาอำนวยความสะดวกให้ เขาตบลงที่กลางอกที่มีจี้นั้นก่อนจะพูดเบาๆ

“ใบโคลเวอร์สี่แฉกเขาบอกว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี แฉกแรกคือความหวัง แฉกที่สองคือความศรัทธา แฉกที่สามคือความรักและแฉกสุดท้ายคือความโชคดี ถึงจะฟังดูแปลกๆ แต่คิงขอให้ชีวิตของพี่ต่อจากนี้ได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ คนดีๆ แล้วก็มีความสุขมากๆ นะครับ”

“...”

“ไม่ชอบเหรอ?”

“พูดไม่ออกมากกว่า” แทนที่เพจจะสนใจสายตารอบข้าง เขากลับทำเหมือนเห็นเพียงแววตาและความรู้สึกที่สื่อออกจากแววตาคู่นี้ ความปรารถนาดีที่เขาเคยได้รับแต่ก่อนอย่างไร ตอนนี้ก็ยังได้รับเช่นนั้น แขนทั้งสองข้างกางออกเพื่อโอบเอาคนตรงหน้ามากอดแน่นๆ “ขอบคุณครับ”

“พี่เพจเก่งที่สุดเลย คิงดีใจมาก”

“ปากหวานแฮะวันนี้ -.-“

“ยอมแค่วันนี้เท่านั้นแหละ”

เพจอมยิ้มขณะผละออกจากร่างอีกฝ่าย เคาะหน้าผากอีกคนเบาๆ “จะเอาใจแฟนตัวเองก็ช่วยทำให้ตลอดรอดฝั่งด้วยเถอะครับ”
แทนที่คิงจะเขิน กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มองฟ้ามองนกไปเรื่อยจนเพจนึกหมั่นไส้ หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย ไม่นานก่อนเขาจะรับปริญญา ในที่สุดคิงก็ยอมรับคำขอเป็นแฟนของเขาและได้ไปพบกับครอบครัวของเขาในเวลาต่อมา ตอนแรกเขาก็กังวลว่าที่บ้านจะว่าอย่างไร เพราะต่อให้เขาชอบผู้ชายและเขายังมีน้องชายอยู่ แต่ใช่ว่าจะเป็นทุกครอบครัวที่ยอมรับได้ในเรื่องดังกล่าว
เขายังจำได้ดีถึงวันที่เขาเปิดปากพูดเรื่องนี้กับที่บ้านเป็นครั้งแรก...







‘พ่อ เพจชอบผู้ชายแหละ’


‘...’

‘...’

‘นี่ไม่ใช่เรื่องโจ๊กหรือล้อเล่นก่อนมื้ออาหารนะครับ เพจพูดจริงๆ’


ทุกคนที่กำลังจะเริ่มกินข้าวด้วยกันบนโต๊ะอาหารถึงกับชะงักช้อนที่จะตักเข้าปาก บรรดาพี่น้องและแม่ของเพจได้แต่มองหน้ากันไปมาด้วยความกระอักกระอ่วน ด้วยตัวพวกเธอนั้นเพจได้มาตะล่อมแอบบอกได้สักพักแล้ว เว้นแต่บิดาแค่คนเดียวที่ยังไม่ทราบถึงเรื่องนี้ แม้ปกติพ่อของพวกเขาจะไม่ได้ช่างพูดหรือดุด่ารุนแรง แต่ก็ทราบดีถึงความเข้มงวดในบางเรื่องตามประสาคนที่อยู่มานาน

เพจลอบมองตามการขยับของผู้เป็นพ่อด้วยความกังวล เมื่อเห็น่ว่าอีกฝ่ายยอมวางช้อนลง แสดงออกถึงการพูดคุยอย่างจริงจังกับเขาที่เริ่มเปิดประเด็นโดยไม่ส่งซิกให้คนอื่นเลยแม้แต่น้อย

‘เป็นคนที่พ่อรู้จักหรือเปล่า?’

‘เปล่า รุ่นน้องเพจเอง’

‘แล้วทำไมถึงต้องเป็นคนนี้?’


เพจเงียบไป ทั้งที่คนอื่นๆ ในบ้านก็เคยถามคำถามคล้ายๆ นี้กับเขา เขาสามาถตอบให้ทุกคนได้อย่างราบรื่นว่าทำไมเขาถึงได้เลือกเด็กคนนี้ เพราะอะไรเขาถึงได้ชอบและทำไมถึงไม่เป็นคนนี้ไม่ได้ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อของเขาคำพูดเหล่านั้นกลับดูเวิ่นเว้อคล้ายจะพร่ำพรรณาเกินไปจนจับใจความไม่ได้ จนสุดท้ายเขาก็ตอบไปเพียงแค่ว่า

‘เพจว่า เพจอยู่กับเขาแล้วเพจมีความสุขน่ะพ่อ’

พ่อของเขาไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่ก้มหน้าลงตักกับข้าวใส่จานตัวเองและภรรยาข้างกายที่มองการสนทนาของพ่อลูกคู่นี้ด้วยความเป็นห่วง เพจเองก็เริ่มขยับมือขยับปากเคี้ยวข้าวเช่นกัน แต่ไม่ค่อยรู้รสเสียเท่าไหร่ เพราะหากไม่ได้ยินคำว่า ‘ยอมรับ’ จากปากของพ่อ เขาก็ไม่อาจคล้ายความกังวลได้

‘พ่อ...’

‘เป็นเด็กที่ดีคนหนึ่งใช่ไหม’

‘...’

‘เด็กคนนั้นของเราน่ะ’


มุมปากที่ฉายความกังวลค่อยๆ คลี่ขยายออกน้อยๆ เมื่อจับได้ว่า ความนัยที่แฝงมากับคำถามที่เหมือนไม่มีอะไรนั้นคืออะไร ‘ครับ เป็นเด็กที่ดีมากเลย’

‘อืม ไว้วันหลังพาแวะมาบ้านบ้างแล้วกัน’


แล้วจากนั้นไม่กี่วันคิงก็ถูกเขาพา (น่าจะลากมากกว่า) เข้ามายังบ้านของเขาและกลายเป็นส่วนหนึ่งในที่สุด










“คิง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก”

“สวัสดีครับ มาได้เมื่อครู่เอง คุณน้าล่ะครับ”

แม่ของเพจค้อนมองไม่จริงจังนัก “เรียกน้าอีกแล้ว ฟังดูแก่จัง -3-“

“งั้นคุณพี่?”

“อันนั้นก็สาวไปจ๊ะ! เรียกแม่ให้ชินปากได้แล้วมั้ง”

“อ่า...” คิงรู้สึกว่าแม้แดดจะร้อนแต่คงไม่ร้อนเท่าหน้าเขาตอนนี้แล้วล่ะ ใครมันจะชินได้ง่ายๆ ล่ะครับคุณน้...แม่ -_-///

“ไหน เอาของขวัญอะไรมาให้พี่เพจล่ะคิง” พีท น้องชายคนเล็กของบ้าชะโงกหน้าออกมาจากหลังมารดา ก่อนจะทักทายเพื่อนอายุใกล้เคียงกันด้วยความสนิทสนมในระดับหนึ่ง แม้คิงจะดูเงียบๆ แต่หลังจากที่ได้รู้จักกับทางบ้านของเพจ ก็ดูเหมือนจะสนิทกับพีทที่เรียนชั้นปีเดียวกันไม่น้อย คิงยิ้มและชี้ไปที่จี้ที่เพจสวมอยู่ ซึ่งพีทก็จุ๊ปากแซวกลับทันที

“อิจฉาว่ะ พี่เพจ ไม่ใส่แล้วพีทยืมบ้างนะ สวยดี”

“เสือก”

“แม่ พี่เพจพูดคำหยาบใส่น้อง”

“เพจ!”

เพจแอบกลอกตาบนทันทีที่โดนแม่แหวใส่ “แม่ก็เข้าข้างมันทุกที”

“แม่ไม่เคยสอนให้เรียกน้องว่ามันจะเจ้าเพจ”

“โอ้ย! แม่ๆๆ อย่าหยิก แม่!! นี่วันดีของเพจนะ เจ็บ!” เสียงร้องโอดโอย ประสานไปกับเสียงบ่นและเสียงหัวเราะของคนที่เหลือ ภาพความอบอุ่นตรงหน้าทำให้คิงอดคิดถึงครอบครัวของตัวเองไม่ได้ แต่ทว่าทันทีที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของบใครบ้างคน ความเหงานั่นก็จางหายไปช้าๆ

“คิงถึงที่บ้านหรือ?”

“ครับ นิดหน่อย” ถึงจะรู้จากพี่เพจแล้วว่าทางพ่อของพี่เพจไม่ได้คัดค้านอะไร แต่คิงก็ยังเกร็งทุกทีที่ต้องพูดคุยกับท่าน ไม่ใช่เพราะกลัว...แต่อาจเพราะกลัวทำให้ท่านผิดหวังกระมัง

ก็เขาไม่น่าจะเป็นที่พอใจเท่าไหร่สำหรับครอบครัวที่ต้องการให้ชีวิตครอบครัวของลูกตัวเองสมบูรณ์

ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ทันทีที่ได้ยินประโยคถัดมาของอีกฝ่าย ความกังวลทั้งหลายที่ว่าก็เหมือนจะปลิวหายไปอย่างไม่เคยพบมาก่อนในหัวใจ

“ขอบคุณที่เข้ามาเป็นความสุขให้ลูกชายของพ่อนะ”

“...ครับ?”

รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่แสดงถึงความขลาดกลัวของเด็กข้างกาย เปลี่ยนเป็นความลนลาน คล้ายว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปคือความแปลกประหลาดที่สุดในโลก พอเห็นแบบนี้แล้วเขาที่ค่อนข้างจะเป็นคนยิ้มยากยังอดยิ้มให้ไม่ได้ มือกร้านวางลงบนเล่นผมของคิงและขยี้เบาๆ แทนความเอ็นดู เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมลูกชายถึงเลือกเด็กคนนี้

“ไปถ่ายรูปกันเถอะ ตากล้องรอนานแล้ว”

“เอ่อ...ผมรอข้างนอกดีกว่า”

“อะไรกัน พาไปแนะนำตัวขนาดนั้นแล้วยังจะวางตัวเป็นคนนอกของบ้านนี้อีกหรือ?”

“...”

“วันนั้นมาฝากตัวเป็นลูกชายของพ่ออีกคนไม่ใช่หรือไง”

คิงเม้มปากแน่น ในแววตาไม่มีความกังวลใดๆ อีก ก่อนจะหลุดยิ้มและยอมเดินตามบิดาของคนที่เขารักไปยังกลุ่มคนที่ต่อจากนี้จะไม่ได้เป็นเพียงครอบครัวของพี่เพจ...แต่จะกลายเป็นครอบครัวของเขาอีกหนึ่งครอบครัว เพจอ้าแขนโอบรับให้คิงมายืนอยู่ข้างกาย แต่มีเหตุให้ขัดแย้งเล็กน้อยเมื่อทุกคนเกิดหมั่นไส้ลูกชายตัวดีที่ออกอาการหวงออกหน้า จนผู้เป็นพ่อต้องส่งเสียงปรามนั้นล่ะ ความวุ่นวายจึงได้จบลงและได้ถ่ายรูปเสียที

“เอาละนะครับ ยิ้มหวานมองกล้องนะครับ ^^”

แชะ!

หลังจากนั้นผ่านไปอีกหลายสิบปี รูปนี้ก็ยังติดอยู่ที่ผนังบ้าน โดยที่ไม่มีใครคิดจะปลดมันออก กลายเป็นภาพที่เมื่อไหร่นัดกันมาพบหน้าเป็นต้องเล่าเรื่องราวที่สนุกสนานและมีแต่เสียงหัวเราะ รวมทั้ง...เรื่องราวความลับของ ‘คุณอา’ ผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มและแฟนสุดหวงของคุณลุงเพจ

เรื่องราวของการแอบรัก...ที่ไม่จำเป็นต้องจบด้วยการไม่สมหวังเช่นที่ใครต่อใครเคยกล่าวเอาไว้เลย :)









(จบบริบูรณ์)










จบแล้ว!
จบแล้วจริงๆๆๆๆๆ
เฮ้อออออออออออออออออออออ
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนจบนะคะ ยังมีตอนพิเศษน้า อย่าเพิ่งหายไปไหนน้าาาา TTT
รักทุกคนมากเล้ยยย เจอกันตอนพิเศษค่ะ :) :NAVY
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2017 21:49:19 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
ตอนแรกๆ เป็นการแอบรักที่หน่วงเหลือเกิน~~~~
แต่พออิพี่เพจหายโง่...และเครียกับเจ๊แฟนเก่า...
ทุกอย่างก้อดีงาม ละมุนมากอ่ะ ฮ่อลลลลล >\\\\<

ออฟไลน์ แม่น้องเปา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
สนุกมากค่ะ..ต้องคิดถึงพี่เพจน้องคิงมากแน่ๆ :mew6:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ดีงามมีความสุขกับคิงด้วย :กอด1:

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฏข้อพิเศษ กว่าจะรู้ตัว
แม้มันอาจจะช้า แต่ว่าก็ไม่สายไปสักเท่าไหร่
อย่างมากก็ฝังมันลงดิน กลายเป็นไทม์แคปซูลที่น่าคิดถึงทุกครั้งที่ขุดขึ้นมาดูก็ยังดี












(สิงห์)

“ซื้ออะไรไปให้น้องดีวะ?”

ผมมองเพื่อนที่กระวนกระวายไม่เข้าท่าแล้วตบหัวมันเบาๆ จนมันเหล่มอง “จะเลือกอะไรก็รีบเลือก เมื่อกี้น้องมันโทรมาบอกกูแล้วว่าออกจากหอประชุมแล้ว รอมึงอยู่”

“ชิบหาย! เอาวะ ดอกไม้ก็ดอกไม้ ว่าแต่...เอาดอกอะไรดี”

ผมถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่ล้าน ก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่อื่นในร้านดอกไม้ฆ่าเวลาหลังจากที่เพื่อนจอมวุ่นวายของผมเลือกได้เสียทีว่า จะเลือกอะไรไปให้แฟนที่เพิ่งเรียนจบ

ใช่ครับ ตอนนี้คิง...หรือแฟนไอ้เพื่อนปัญญาอ่อนของผมได้เรียนจบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าน้องจะยังเรียนอยู่และผมกับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ จะทำงานแล้ว ทว่ากลับไม่เคยรู้สึกเลยว่าพวกเราขาดการติดต่อกัน อาจเพราะว่าระหว่างพวกเรามีเจ้าเพจคอยเชื่อมล่ะมั้ง พวกผมถึงได้เห็นหน้าน้องเขาบ่อยครั้งเวลาสังสรรค์หรือน้องมาขอความช่วยเหลือเรื่องโปรเจคจบ

คิดถึงคนที่ชอบยิ้มหน้าเป็นตลอดเวลาคนนั้นผมก็อดยิ้มไม่ได้และเพิ่งนึกได้ว่าผมเองก็ไม่ได้เตรียมอะไรไปให้เหมือนกัน เมื่อเห็นพนักงานคนหนึ่งหอบช่อดอกไม้สีม่วงมาเตรียมห่อก็อดถามขึ้นไม่ได้

“ดอกอะไรหรือครับ?”

“ดอกโรสแมรี่ค่ะ คุณลูกค้า คุณผู้ชายที่มาด้วยกันเขาเลือกดอกนี้น่ะค่ะ เห็นว่าจะเอาไปให้แฟน”

“อืม มันแปลว่าอะไรเหรอครับ?”

“คะ?”

ผมยิ้มเล็กน้อยกับสีหน้างงๆ ของอีกฝ่าย “พอดีเคยได้ยินมาบ้างว่าดอกไม้แต่ละชนิดมีความหมายต่างกัน”

“อ้อ ดอกโรสแมรี่หมายถึง การที่คุณเข้ามาในชีวิตผม ทำให้ชีวิตของผมมีชีวิตชีวา หรือจะแปลว่า คุณมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอ ก็ได้ค่ะ”

คนบื้อๆ แบบมันก็เลือกดอกไม้ได้ดีแฮะ ผมมองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาหาพนักงานที่กำลังห่อดอกไม้อยู่สลับกับเพื่อนตัวเองที่ออกไปโทรศัพท์ด้านนอกแล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าโทรหาใคร คนที่ทำให้มันยิ้มและหัวเราะไปในการโทรศัพท์ได้ ก็มีไม่กี่คน
 “พอดีผมอยากได้ดอกไม้สักช่อไปแสดงความยินดีน่ะครับ ช่วยแนะนำได้หรือเปล่า?”

“คุณลูกค้าชอบดอกไหนเป็นพิเศษไหมคะ?”

“กุหลาบก็ได้ครับ ง่ายดี”

“ถ้างั้นกุหลาบขาวเลยค่ะ เหมาะสำหรับแสดงความยินดี”

 “งั้นเอาดอกนี้แหละครับ ช่วยห่อให้ด้วย” ผมว่าพร้อมกับหยิบกระเป๋าเงินออกมา ส่วนเรื่องช่อของเจ้าเพจค่อยไปทวงกับมันทีหลัง

เมื่อจ่ายเงินแล้วผมก็ยืนรอดอกไม้ของตัวเองห่อแล้วหยิบมันทั้งสองช่อเดินขึ้นรถของเพจตรงไปยังมหาวิทยาลัย ขณะที่นั่งรถผมก็อดถามขึ้นไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าเปี่ยมสุขของเพื่อน

“มึงกับน้อง ไปด้วยกันดีใช่ไหมวะ”

“ดีสิ มึงถามแปลก”

“กูก็แค่นึกว่ามึงจะซื่อบื้อทำน้องเสียใจอีกเฉยๆ”

“อ้าว นั่นปากหรือครับเพื่อน กวนตีนนะ แช่งกูเนี่ย”

ผมไม่ตอบอะไรกลับ ปล่อยให้เพลงจากวิทยุดังกลบเสียงอื่นในใจที่ร่ำร้อง ทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ยินมัน ในใจผมไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยนไปเลย นับตั้งแต่วันที่ได้พบกัน ทั้งที่จริงๆ แล้ว...มันไม่เหมือนเดิม

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่เมื่อได้สำรวจหัวใจตัวเองอีกที ผมก็พบว่า...ในใจของผมถูกแทรกด้วยเงาของใครเอาไว้เลือนราง

ใคร...ที่ไม่อาจมอบรอยยิ้มให้ได้เพียงผมคนนั้น

ใคร...ที่กลายเป็นความสุขของเพื่อนรักผมไปแล้ว

“มึงซื้อให้น้องเหรอ กุหลาบนั่นน่ะ”

“อืม ไม่รู้จะซื้ออะไรเหมือนกัน”

“โธ่ แล้วทำมาว่ากู”

“แล้วทำไมมึงเลือกโรสแมรี่วะ” ผมไม่ค่อยเชื่อว่ามันจะรู้ความหมาย แต่สุดท้ายก็คิดผิด เมื่อฟังคำตอบจากเพจ

“ก็ต้องความหมายดิวะ คุณมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ โรแมนติกจะตาย!”

“เหรอ”

“กูเกลียดเสียงตอบรับมึงจัง” มันว่าอุบอิบระหว่างที่เลี้ยวรถในที่จอดรถ ปากก็ยังพูดเจื้อยแจ้วเรื่อย ผมที่เหมือนไม่ได้ฟังนั้นที่จริงจำได้หมดทุกประโยค “กูแค่อยากจะแสดงความยินดีแล้วก็ขอบคุณน้อง ดอกไม้นี้ก็เหมือนน้องมันนั่นล่ะ แค่อยากจะขอบคุณที่ยังจำกูได้และยอมทำทุกอย่างกระทั่งมายืนอยู่ต่อหน้ากูจนถึงทุกวันนี้โดยไม่หนีไป อยากจะบอกว่าการมีน้องเข้ามาในชีวิตกู มันทำให้กูมีความสุข”

“...”

“กูโชคดีจริงๆ น่ะแหละที่ได้เจอน้อง”

ผมไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนอีก นอกจากเดินตามหลังมึงไปเรื่อยๆ จนพบกับบัณฑิตใหม่ยืนยิ้มแป้นอยู่กับครอบครัวของตัวเอง มันรีบเข้าไปเสนอสวัสดี ทักทายคนไปทั่ว โชคดีที่เรื่องของมันไม่ค่อยเป็นที่ต่อต้าน (คิงเล่าว่าชอบพร่ำเพ้อให้ที่บ้านฟังจนชิน) จึงคบกันสะดวกราบรื่นมาตลอด

ผมมองสีหน้ามีความสุขของคิงยามได้รับดอกไม้จากเพจ ก่อนที่นัยน์ตาคู่นั้นจะเบนมามองผมพร้อมรอยยิ้ม ทำให้ผมจำต้องยิ้มตอบกลับไป “พี่สิงห์”

“ไง”

“มาด้วยหรือครับ นึกว่างานยุ่งเสียอีก”

“บ้าเหรอ งานรับปริญญาของเราทั้งที ไม่มาได้ไง”

ผมยื่นดอกไม้ไปตรงหน้าน้อง “ยินดีด้วยนะ”

“ขอบคุณนะครับพี่”

“ไม่เป็นไร” พี่ยินดี

คำหลังนั้น ผมได้แต่พูดกับตัวเอง เมื่อมองดอกไม้สองช่อในอ้อมกอดของน้องก็หวนนึกถึงคำพูดที่ผมได้พูดกับพนักงานในร้านดอกไม้ที่พูดถึงความหมายของดอกกุหลาบขาว


“แล้วกุหลาบขาวนี่มันมีความหมายอื่นไหมครับ?” พนักงานละมือออกจากงานตรงหน้าที่เสร็จแล้ว เดินตรงไปยังดอกกุหลาบสีขาวที่ชูช่อบานในตู้ให้ความเย็น กลีบดอกสีขาวของมันบอบบางและแสนบริสุทธิ์ ทำให้ผมอดนึกถึงคนที่ผมจะให้ไม่ได้

“กุหลาบขาวมีความหมายอีกว่า ฉันรักเธอด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ค่ะ นอกจากสดงความยินดี คู่รักก็นิยมมอบให้กันไม่น้อยกว่ากุหลาบแดงหรือกุหลาบชมพูเลย เพราะความหมายดีพอๆ กัน”



“ฉันรักเธอ โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนงั้นเหรอ...” ผมพึมพำคำนั้นก่อนจะยิ้มออกมา เสนอตัวเป็นตากล้องให้กลุ่มคนตรงหน้าที่หนึ่งในนั้นมีเพื่อนรักของผมกับ...คนที่ผมแอบรัก

แบบนี้มันคงดีที่สุดแล้ว เหมือนกับความหมายของดอกไม้นั่นแหละ

แชะ!

ผมมองรอยยิ้มของคนทั้งสองคนผ่านกล้องและยิ้มออกมาอีกครั้ง

ให้มันเป็นแค่ความหวังดี...เป็นแค่ความรู้สึกชื่นชมทิ้งไว้ในใจแค่นั้นก็พอแล้วจริงๆ








พี่สิงห์มาาา คิดถึงทุกคนนะคะ ^^
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ :):NAVY
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2017 23:53:20 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
สงสารฟิวส์.. สงสารสิงห์.. เป็นแค่คนแอบรัก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด