กฎข้อที่ 9 อย่ารู้ไปทุกเรื่อง
ในขณะที่ผมใช้ใจทุกห้องที่มีแลกเพียงไม่กี่นาทีที่ได้อยู่กับคุณ
ทั้งๆ ที่มันคือทั้งหมดของผมแท้ๆ
แต่ทำไมมันถึงเหมือนไม่มีค่าอะไรกับคุณเลยนะ...
หลังจากวันที่ได้ใช้วันหยุดพักผ่อนไปด้วยกัน พี่เพจก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมในที่สุด
แต่น่าเสียดายที่หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้เจอพี่เพจอีกเลย
พอวันจันทร์ปุ๊บ กิจกรรมที่วางโครงวาดแผนงานก็ถล่มทับจนผมไม่มีเวลาจะไปตามกรี๊ดตามติดชีวิตพี่เพจอีกต่อไป โชคดีอยู่ที่พี่เขาเองก็ยุ่งอยู่กับการทำโปรเจ็คจบ ดังนั้นต่อให้ผมว่างเราก็ยังไม่ได้เจอกันอยู่ดี
ดังนั้นผมจึงทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปที่งานกิจกรรมและตามเรียนให้ทันเพื่อนๆ
จากวันนั้นก็เกือบสองอาทิตย์แล้ว...ที่ไม่ได้เจอพี่เพจเลย
“ขอบใจทุกคนมากนะ แยกย้ายๆ ใครจะไปกินอะไรเรียกได้ พร้อมเมา!”
“เอาด้วยย จบสักทีกีฬาเวร ฮือออ”
“ร้านหลังม.คนน่าจะยังไม่เยอะ ใครจะไปมานี่ จะได้จองโต๊ะครบจำนวนคน”
เสียงจอแจของเพื่อนๆ ดังขึ้นทันทีที่จบการประชุมสรุปงานที่เพิ่งจบไป ผมเพียงแค่ยิ้มๆ ไม่ได้ตอบรับอะไรกับคำชวนของเพื่อนๆ เมื่อมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาเกือบเที่ยงคืนผมก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย ป่านนี้พี่เพจคงหลับปุ๋ยไปแล้ว ว่าจะแวะไปหาหลังจากที่ประชุมงานเสร็จเสียหน่อย อดเลย
เมื่อไม่ได้ตอบรับการเลี้ยงฉลองหลังจบงานกับเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ ผมกับเพื่อนอีกสองสามคนจึงอาสาเก็บโต๊ะเก้าอี้ในห้องที่ใช้ประชุมกันแทน ยังดีที่มันเป็นห้องของคณะ จึงไม่ต้องมากังวลว่าใช้เวลาดึกดื่นแล้วจะโดนด่า เพราะทำเรื่องขออนุญาตอาจารย์เรียบร้อย แถมอาจารย์ยังใจดีให้กุญแจมาไว้เผื่อในกรณีที่อาจารย์ไม่อยู่อนุญาต จะได้สามารถใช้ห้องไว้สำหรับงานคณะได้เลย
ผมโบกมือลาเพื่อนที่ช่วยกันเก็บของในห้องประชุมที่หน้าตึกเรียน ก่อนจะเดินแยกมาคนเดียวตรงกลับหอพักที่ไม่ต้องต่อเรือ ขึ้นรถเมล์หรือโบกแท๊กซี่ เพียงแค่อาศัยสองขาเดินไปตามถนนริมฟุตบาทกลับเท่านั้นเอง
ระหว่างที่เดินผมก็หยิบหูฟังขึ้นมาเสียบฟังเพลงเช่นทุกที ปล่อยให้เสียงเพลงพาหัวใจที่เหนื่อยล้าได้รับการปลอบประโลม ...จะดีมากถ้าเปลี่ยนจากเพลงเป็นหน้าพี่เพจสักนาที
คิดถึงจัง
คิดไปแล้วก็คอตก ต้องรอตั้งวันพรุ่งนี้ ดีไม่ดีก็ไม่ได้เจออีก เพราะพี่เพจยุ่งกับเรื่องเรียนกับโปรเจ็ค ช่วงโค้งสุดท้ายแบบนี้ยิ่งต้องขยัน คงวิ่งรอกเข้าออกห้องอาจารย์เป็นว่าเล่น คงจะมีเวลาออกมาให้ผมเจอหน้าหรอกมั้ง
ระหว่างที่คิดฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อไปตามเรื่องตามราว ผมก็พลันสะดุ้งกับฝ่ามือปริศนาที่วางแปะบนไหล่ของผมด้วยแรงที่ไม่เบานัก ทำเอาผมนึกหวั่นๆ ว่าจะเป็นคนหรือผีที่ตรงมาทักทายผมในยามค่ำคืนแบบนี้
“หันมาสิ”
เสียงแว่วๆ จากนอกหูฟังดังขึ้น พร้อมกับที่ฝ่ามือนั่นออกแรงรั้งให้ผมหันกลับไปให้ได้ แต่มันมีอะไรรับประกันว่ะว่าข้างหลังผมมันคนไม่ใช่ผี! หรือมั่นใจว่าคนก็ไม่รู้ว่าโจรมั้ย เรื่องอะไรจะหันให้โง่!
“คิง พี่เอง”
หรือเขาจะวิ่งเลยดี ยืนนิ่งแบบนี้โคตรจะเป็นเป้านิ่งให้เขาล้วง หลอก
“คิง นี่พี่เพจไง หันมาดิ๊!”
“...” ห๊ะ
ผมที่เผลอหลับตาปี๋ค่อยๆ หรี่ตาขึ้นแล้วหันกลับไปด้านหลังอย่างหวาดๆ ถึงเสียงจะคุ้นและชวนให้เชื่อแค่ไหน แต่ผมก็ยังกลัวอยู่ดี กลัวจะไม่ใช่คน! แต่เมื่อเห็นสีหน้ากังวลและห่วงๆ ของคนด้านหลัง ใจที่แขวนลอยเคว้งไปมาก็ค่อยๆ ลอยกลับมาอยู่กับตัวในที่สุด ผมลอบถอนหายใจแล้วเบี่ยงตัวจนกระทั่งมือของพี่เพจหลุดจากบ่าในที่สุด อดจะบ่นใส่ไม่ได้
“พี่เพจ คิงโคตรกลัวเลยรู้ป่ะเนี่ย นึกว่าโดนผีหลอกไม่ก็โดนปล้น”
“ผีอะไรจะหล่อขนาดนี้ โหดร้าย!”
“...แน่นอนครับ ว่าผีไม่หลงตัวเองเท่าพี่ -*-“
“ล้อเล่นๆ ว่าแต่ทำไมกลับดึกจัง ประชุมสรุปงานมันแปบเดียวไม่ใช่หรือไง”
“ปีนี้มันมีปัญหา ข้อจำกัดเยอะ เลยต้องประชุมรวบรวมปัญหา ทางแก้เอาไว้สำหรับให้ปีถัดไปเขาเอาไปปรับปรุงน่ะครับ” ผมว่าพร้อมกับเริ่มออกเดินไปพร้อมๆ กับพี่เพจที่ไม่ได้เห็นหน้ามานาน เมื่อลอบมองใบหน้าคนข้างๆ ก็พบว่าพี่เพจดูซูบลงนิดหน่อย ใบหน้าที่เคยใสกิ๊งเริ่มปรากฏตอหนวดบางๆ รำไร ผิวซีดขึ้นอีกหน่อยด้วย สงสัยเพราะอยู่ในห้องตลอดไม่ค่อยได้ออกไปไหนเช่นแต่ก่อนละมั้ง แต่ที่เห็นชัดสุดเห็นจะเป็นแววตาที่เหนื่อยล้าคู่นั้น ที่แม้จะมองตรงไปข้างหน้าแต่กลับไร้จุดหมายอย่างไรก็ไม่รู้
“เหนื่อยมั้ยครับ”
“...อืม เหนื่อยมาก”
“อดทนอีกนิดนะ เดี๋ยวพี่ก็จบแล้วเนอะ”
“ช่ายย เทียบกับเรามันก็แปบเดียวจริงๆ นั่นแหละ เราต้องเจออีกสองปี หนักหน่อยนะ”
ผมยิ้มออกมา เมื่อเห็นพี่เพจสดใสขึ้นมาเล็กน้อย “คิงอดทนเก่งจะตาย ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก”
“หื้ม ขนาดนั้นเลย มันต้องมีสักเรื่องน่าที่เราสู้ไม่ไหว ไม่ต้องกดดันให้ตัวเองอดทนขนาดนั้นก็ได้”
“เอ้า จริงจริ๊ง! คิงทนได้ทุกเรื่องแหละ”
“พี่ไม่อยากให้เราอดทนแฮะ”
“...”
มือของพี่เพจวางลงบนเส้นผมของผมเช่นที่เคยทำ แต่มันอบอุ่นกว่าครั้งก่อนๆ เสียเหลือเกิน อาจเพราะช่วงเวลาสองอาทิตย์ที่เราต่างยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเองทำให้ความอบอุ่นนั่นจางลง ทว่าเมื่อได้พบกันอีกความอบอุ่นที่เจือจางนั้นก็พลันเพิ่มขึ้น ผ่านฝ่ามือนั้นตรงมาสู่หัวใจของผม
“อะไรที่มันยากจะผ่าน ก็อย่าคิดแต่ว่าต้องอดทนๆ ให้มันผ่านไป เดี๋ยวนานไปมันจะทำให้เราแย่เสียเอง รู้ไหม?”
“แล้วถ้าไม่ให้คิงอดทนแล้วจะให้คิงทำยังไง”
“ก็มาหาพี่ก็ได้ มาบ่นให้ฟัง มาให้พาไปกิน ไปเที่ยวให้ตัวเองเลิกอดทนแล้วมีใจกลับไปสู้กับเรื่องพวกนั้นก่อน ดีไหม?”
ผมนิ่งมองใบหน้าด้านข้างของพี่เพจที่ผมแสนจะคิดถึง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด ผมพยักหน้าให้กับคำพูดใจดีนั่น แล้วชวนคุยเรื่องอื่นให้พี่เขาเลิกสนใจเรื่องที่ว่า เพื่อไม่ให้พี่เพจจับได้ถึงความรู้สึกหวั่นไหวในแววตาของผมที่มันเริ่มจะมากขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่จะสะกดเอาไว้
พี่เพจเข้าใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังใจดี เอาใจใส่จนผมยากที่จะไม่หวั่นไหว
จนผมนึกกลัวขึ้นมา
ว่าวันเวลาที่แสนดีแบบนี้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนกันนะ...
“มึงกำลังโดนกั๊กอยู่แน่นอน!!”
ผมสะดุ้งไปกับประโยคของเพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ตำแหน่งถัดไปจากตัวเอง ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะรู้อยู่เหมือนกันว่าน้ำเสียงที่ใช้พูดกับเพื่อนจะดังจนเกินไป จึงปรับเสียงให้เบาลง กระนั้นด้วยความที่ผมเป็นคนที่มีประสาทหูดี (ไว้ฟังเรื่องเกี่ยวกับพี่เพจ) ทำให้เบายังไงก็ยังได้ยินอยู่ดี จึงตีเนียนฟังเรื่อยๆ ระหว่างที่รออาจารย์เข้ามาสอน
“กั๊กยังไงวะ เขาก็เหมือนเดิม...อาจจะใจดีขึ้นมาหน่อยเท่านั้นเอง”
“ผู้ชายน่ะนะ เขาไม่มีเวลามาใจดีกับคนที่ไม่ชอบหรอกนะ”
“แล้วจะให้คิดว่าเขาชอบกูอ่ะนะ เป็นไปไม่ได้”
“ก็ถ้ามึงยืนยันว่าเขาไม่มางชอบมึง ก็แสดงว่าเขารู้ว่ามึงชอบเขา ถึงได้ใจดีใส่ เนียนกั๊กเวลาที่ไม่มีใครเหลืออยู่ในสต๊อคไง”
อย่างนั้นหรอกเหรอ
ผมเท้าคางทำเหม่อไปเรื่อยๆ ฟังไปก็นึกภาพตามไป ถ้าหากพี่เพจกั๊กผมเอาไว้จริงๆ มันคง...
คงเป็นไปไม่ได้อ่ะ -_-
ถ้าผมเป็นผู้หญิงก็อาจจะพูดแบบนั้นได้ แต่นี่ดันเป็นผู้ชาย จะมามองว่าความใจดีของผู้ชายอีกคนที่เราปลื้มมันเป็นความชอบ ถึงจะไม่ได้ชอบหัวปักหัวปำแค่ชอบเพราะอยากกั๊กอะไรนั่น คงยาก
เหมือนที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าต่อให้ชอบต่อไปก็แห้ว แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ยังอยากชอบต่อไปเรื่อยๆ อยู่ดีน่ะนะ
“แต่เขาจะรู้ได้ยังไงวะ ว่ากูชอบ กูไม่เคยบอกเขาเลยนะเว้ย”
“คนที่แอบชอบเขารู้ตัวกันทั้งนั้นแหละเวลามีคนมาชอบเขา ใครบ้างว่ะจะไม่รู้”
“...”
“แต่ที่เขาทำเป็นไม่รู้เรื่อง คงเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจ ไม่ก็...อยากรักษาความสัมพันธ์แบบนี้เอาไว้ ถึงจะไม่ได้รักก็ตาม”
“ฟังแล้วเจ็บจังวะ” คนพูดพูดเสียงอ่อย จนเพื่อนที่นั่งฟังปรับทุกข์ต้องตบไหล่พูดให้กำลังใจสองถึงสามประโยคกว่าที่เธอจะสามารถกลับไปตั้งใจเรียนได้ ทันทีที่อาจารย์เข้ามา
ทว่าแม้พวกเธอจะคุยกันจบไปแล้ว ผมยังคงนึกถึงคำพูดที่ได้ยินประโยคนั้นที่ผมออกจะเห็นด้วยมากที่สุดในหลายประโยคที่ (แอบ) ฟังมา
มันคงจะจริงที่เหล่าคนที่ถูกแอบรักมักจะรู้ตัว แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพียงแค่อยากรักษาคนที่แอบชอบตัวเองเหล่านั้นเอาไว้ในชีวิต รักษาการดำเนินชีวิตแบบเดิมเอาไว้ แม้ว่าจะไม่มีวันรักอีกฝ่ายเลยก็ตาม
บางทีชั่วชีวิตของผมก็คงจะต้องเป็นแบบนั้น
มันคงจะมีสักวันที่พี่เพจรู้ตัวขึ้นมาว่าแววตาที่ผมมอง...ไม่เคยมองด้วยความเคารพเลื่อมใสเช่นรุ่นน้อง
คงมีสักวันที่พี่เขามองเห็นถึงความหวั่นไหวที่ไม่ควรเกิดขึ้น
และวันนั้นบางที...คงจะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่ข้างพี่เขา
หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น
ก็คงเป็นจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวดในฐานะคนแอบรักตลอดชีวิตก็เป็นได้
ผมเข้าใจคุณดีว่าทำไมคุณไม่ลืมเขา
เพราะทุกครั้งที่มองคุณก็เหมือนผมเห็นภาพของตัวผมเองซ้อนกับคุณเสมอ
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ผมก็ยังเจ็บมากๆ อยู่ดี
ในที่สุด...วันนี้ก็มาถึงในที่สุด
วันแห่งอิสระ!!
“โอเค ผ่าน! แก้งานตรงกับที่อาจารย์คิดไว้พอดี จบสักทีนะนายพิสิทธิ์”
“เยสสส!! ขอบคุณคร้าบ ‘จารย์”
“เออๆ ไปๆ ได้ล่ะ เกะกะ อาจารย์จะทำงานต่อแล้ว”
เขาพูดคุยหยอกล้อกับอาจารย์อีกสองสามคำก่อนจะขอตัวแยกออกมาจากห้อง ทันทีที่พ้นบริเวณห้องพักอาจารย์ น้ำเสียงดีใจที่เก็บกักเอาไว้ก็ระเบิดออกเป็นเสียงหัวเราะดังลั่น ผสมปนเปไปกับเสียงพูดคุยแสดงความยินดีจากเพื่อนในกลุ่ม ดังเสียจนป้าแม่บ้านต้องออกมาดู ทว่าทันทีที่เห็นเป็นกลุ่มนักศึกษาที่ทำโปรเจ็กจบผ่าน พวกเขาก็ทำเพียงกลับไปยังห้องพักพนักงาน คงชินเสียแล้วที่ทุกๆ ปีจะต้องมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
เพจกอดคอทีมขณะฟังเพื่อนเล่าเรื่องตอนที่อยู่ในระหว่างอาจารย์พิจารณาว่าจะให้ผ่านหรือไม่ ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังสนใจเรื่องเล่ายกโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดแอพลิเคชั่นสุดฮิตเขียนข้อความถึงใครบางคนที่ตอนนี้อาจจะนั่งคร่ำเคร่งอยู่กับการเรียน เมื่อกดส่งเขาก็ยิ้มกว้างหลุดเสียงหัวเราะเฮฮาไปกับคนอื่นอย่างเป็นปกติ
คงมีเพียงคนเดียวที่มองเห็น สิงห์ทำเพียงแค่มองการกระทำนั้นเงียบๆ ก่อนเบือนหน้าหนีไปยิ้มนิดๆ
บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้
บางทีเด็กคนนั้น...อาจจะเข้ามาเปลี่ยนเพื่อนเขาและมีความสุขได้ในที่สุดก็เป็นได้
PAGER: พี่จบแล้วนะ
PAGER: ยินดีกับพี่เพจคนเก่งหน่อยเร้ววว
The KING: ดีใจด้วยครับ
The KING: คิงจะเตรียมดอกไม้ไว้รอวันรับปริญญานะ เหลือที่ในแขนไว้ถือดอกไม้คิงด้วยละกัน
“เอ้า ชนนน!!!”
แกร๊ง!!
“เลิกพูดชนสักทีได้มั้ยวะ มึงพูดตั้งแต่เข้าร้านมาจนตอนนี้หมดขวดที่เท่าไรแม่งก็ไม่รู้ล่ะ จะชนทำเชี่ยไรหนักหนา”
“ก็พอพูดว่าชนแล้วเหมือนเหล้ามันอร่อยขึ้นนี่หว่า”
“มึงเมาล่ะ ไอ้เกม สาดด”
เสียงหัวเราะที่ดังเป็นระลอกคลอเคล้ากับเสียงน้ำแข็งก้อนสี่เหลี่ยมกระทบกับแก้วใสใบเล็กที่เต็มไปด้วยน้ำสีอำพัน แม้ว่าจะเจือจางด้วยโซดาหรือน้ำอัดสม กระนั้นเมื่อดื่มมากๆ เข้า หน้าของหมาก็มองเป็นหมีได้ ไม่ต่างอะไรกับพวกเขาในตอนนี้ที่ดื่มกันมานานกว่าสามชั่วโมง สติหายสตังเองก็หายไปด้วย เพจชักจะจำไม่ได้แล้วสิว่าเงินในวันนี้มันจะพอค่าเหล้าในวันนี้ที่ดื่มเหมือนอาบไหม
เอาเถอะ ใครให้พวกเขาต้องเฝ้าห้องทำงาน ห้องตัวเอง (ที่เต็มไปด้วยข้าวของรกรุงรังเหมือนรูหนู) และห้องอาจารย์ตลอดหลายสัปดาห์ โดยไม่มีการพักแบบนี้กันล่ะ ได้ปลดปล่อยให้เต็มที่สักหน่อย จะเป็นไรไป
ทว่าเมื่อกวาดสายตาดูดีๆ อีกครั้ง เพจก็ชักจะไม่แน่ใจกับความคิดตัวเองที่ว่าเต็มที่สักหน่อยแล้ว
นอกจากเขา (ที่กรึ่มๆ) และสิงห์ (เอารถมา ดื่มมากไม่ได้) คนอื่นก็หน้าเหนอแดงเถือกเหมือนเอาไปถูกับพื้นถนนมารอบหนึ่งก่อนจะทิ้งตัวนั่งซดเหล้ากันแล้ว ไหนจากเสียงพูดจาที่เริ่มไม่รู้เรื่อง ยานคางเสียจนคนฟังนึกว่ามันละเมอเสียด้วยซ้ำ ทำให้เพจคิดหนักและวางแก้วเหล้าลง พลางคิดว่าใครจะอาสาพาพวกบ้านี่กลับบ้านกันว่ะเนี่ย -*-
เขายกมือขึ้นนวดขมับ พูดเสียงค่อยกับสิงห์ว่าจะไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย แล้วเดินเลี่ยงออกมาจากโต๊ะ ตรงไปยังห้องน้ำ พอได้สมัผัสกับน้ำเย็นๆ สติที่ลอยไปกับน้ำเมาก็ค่อยๆ กลับมาทีละน้อย
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นขึ้นมาระหว่างที่เดินกลับไปยังโต๊ะ เขาจึงเลือกเปิดมันขึ้นมาระหว่างเดิน สลับกับขยับปากพูดขอโทษเป็นระยะ เนื่องด้วยทางเดินในบาร์เริ่มแคบลงตามจำนวนคนที่เข้ามาใช้บริการ บางครั้งเขาก็รู้สึกว่ามีใครมาเบียดตามเนื้อตามตัว บางก็มากระซิบข้างหูด้วยคำพูดที่เขาฟังไม่ทัน ด้วยเสียงเพลงในนี้ค่อนข้างดัง ทว่าในบรรยากาศสลัวทั้งแสงไฟและผู้คน สิ่งเดียวที่ชัดเจนเห็นจะเป็นใครคนหนึ่ง
ใครที่ตัวไม่อยู่ที่นี่ แต่ความห่วงใยกลับตามเขาติดเขามาเสมอ
The KING: กลับห้องดีๆ นะครับ ถ้าไม่ไหวก็โทรหาคิงได้นะ เดี๋ยวไปรับ
แม้ว่าคำพูดนั้นจะดูราวกับอีกฝ่ายมองเขาเป็นเด็กๆ แต่เพจกลับยิ้มออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนึกดีใจนิดๆ ที่เด็กคนนั้นเป็นห่วงเขา ทั้งที่มันก็แค่เรื่องปกติธรรมดา ไม่ใช่แค่เขาสักหน่อยที่เด็กคนนั้นเป็นห่วง ก็คงห่วงทุกคนนั่นล่ะ
เพจคิดแบบนั้นจริงๆ แต่เขากลับไม่เคยรู้ว่า...ที่เด็กคนที่ว่าห่วงมากจนข่มใจไม่ลง ก็มีแค่เขาเพียงคนเดียว...
“ไอ้เพจ ยืนทำอะไรอยู่วะ ทำไมไม่มานั่งกินต่อ”
เพจรีบกลับไปยังโต๊ะ หน้าจอโทรศัพท์ยังค้างที่หน้าจอแชตไม่ทันได้ปิด “โทษที”
“ใครวะ...อ้อ น้องคิง ทำไมมึงไม่ชวนน้องเขามาด้วยวะ”
“น้องเขาไม่กินเหล้า” เขาว่าพร้อมกับเทน้ำอัดลมแทนเทเหล้าเช่นแก้วที่ผ่านๆ มา ทำเอาเพื่อนๆ ที่นั่งรอบวงต่างพากันมองหน้ากันเอง แน่นอนล่ะว่าเมื่อกี้เขาเห็นข้อความในโทรศัพท์ของเพจ แต่ที่แปลกใจคือ แค่เพราะคำพูดแค่นั้นทำให้เพื่อนเขาเชื่อฟังได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ?
“ชักจะยังไงๆ แล้วนะเนี่ย”
“เพจ มึงชอบน้องเขาเหรอ...”
พรวด!!!
“ไอ้สัสเพจ!!”
“เชี่ยยย มึงพ่นน้ำใส่พวกกูทำไม TOT!!”
“ไอ้พวกเชี่ยนี่นิ!!!” เพจไอค่อกแค่กพร้อมกับปาดคราบน้ำอัดลมเหนียวที่รอบปากออก สลับกับก่นด่าเจ้าเพื่อนตัวแสบที่พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ทั้งยังดันพูดมาในตอนที่เขากำลังกระดกน้ำ จะไม่ให้ตกใจจนเผลอทำอะไรแบบนี้ได้ยังไงวะ!!
“พูดบ้าอะไรของมึงกันวะ กูก็ผู้ชาย น้องเขาก็ผู้ชายนะ!”
“แล้วไงวะ ตอนนี้เกย์ตุ๊ดก็มีเยอะแยะ ทำมาตกใจโอเว่อร์ ไอ้สัสเอ้ย...เสื้อเหนียวหมดเลย -_-^” นินบ่นเซ็งๆ พลางจับเสื้อที่เปื้อนทั้งน้ำลายเพื่อนและน้ำอัดลมเต็มไปหมด ทั้งหน้าทั้งตัว เขาจึงลุกออกไปห้องน้ำเพื่อล้างมันออก ส่วนทีมและเกมนั้นเปื้อนเพียงแค่เล็กน้อย จึงใช้แค่น้ำแข็งลูบๆ ก็เป็นอันเรียบร้อย มีเพียงแค่เพจที่ยังอึ้งอยู่กับประเด็นที่เพื่อนของตัวเองเปิดออกมา
“ถึงจะอย่างนั้น มึงจะเอาความสนิทของผู้ชายทุกคนตีว่าชอบกันไม่ได้นะเว้ย”
“เอ้า ความสนิทก็ก่อเกิดความรักได้ฉันใด มึงก็ชอบคนจากความสนิทได้ฉันนั้น”
“เพ้อเจ้อละ”
“เพ้อเชี่ยไร กูจริงจังนะเนี่ย นับตั้งแต่ตอนนั้น มีคนไหนบ้างวะที่มึงอ่านข้อความด้วยหน้าแบบนั้น”
“...”
“เพจ มึงรู้สึกจริงๆ น่ะเหรอว่ายิ้มตอนที่มึงอ่านข้อความน้องเหมือนยิ้มที่มึงให้กับคนอื่น”
“...เหมือนดิ! พวกมึงนี่คิดอะไรแปลกๆ น้องกับกูมันสนิทกันมากกว่าคนอื่นเพราะอยู่หอเดียวกันหรอก ถ้ามีเด็กคณะเราอยู่หอนั่นอีก กูก็สนิทได้เหมือนกัน” แม้ว่ามันจะฟังเหมือนคำแก้ตัว แต่เพจก็คิดแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขารู้สึกรังเกียจความคิดเช่นนั้น เพียงแต่เขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เสียมากกว่า
เขากับคิง...รักกัน? มันฟังดูไกลตัวยังไงก็ไม่รู้
สิงห์เหลือบมองเพื่อนตัวเองที่ออกเสียงโต้เถียงกับเพื่อนคนที่เหลือหน้าดำหน้าแดง แต่สุดท้ายก็มาขมวดคิ้วคิดไม่ตกด้วยความรู้สึกสงสารคิงขึ้นมาตะหงิดๆ ทำไมน้องเขาต้องมาชอบเพื่อนโง่ๆ ของเขาให้เสียเวลาด้วยนะ -_-
คิดได้แบบนั้น ทั้งตัวเขาที่นึกสงสัยและเพราะอยากจะช่วยคิงด้วย จึงได้เปิดปากถามหลังจากที่เงียบมานาน
“แล้วทำไมมึงถึงคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“ก็ผู้ชายกับผู้ชาย...มันน่าขนลุกจะตายนี่หว่า -_-;; ฟ้าผ่าพอดี”
“กูถามว่าทำไมถึงเป็นไปไม่ได้”
“กูก็ตอบไปแล้วไง”
นัยน์ตาของสิงห์จ้องเพื่อนตัวเองเขม็ง “กูรู้ว่ามึงรู้ว่ากูหมายถึงอะไรนะเพจ”
สิงห์ลอบถอนหายใจออกมา เมื่อเพื่อนของเขาเลือกที่จะละสายตาแทนที่จะตอบเขาเช่นทุกที เกมและทีม รวมไปถึงนินที่เพิ่งกลับมาโต๊ะ เมื่อเห็นบรรยากาศดราม่าในวงเหล้าก็พากันเงียบไปด้วย จนในที่สุดเพจก็ยอมพูดขึ้นมาเป็นคนแรก
“กูแค่...แค่ยังไม่รู้สึกว่าอยากชอบหรือรักใครเท่านั้นเอง”
“...”
“มึงยังไม่ลืมอีกเหรอ มันสองปีแล้วนะ”
“สำหรับกู เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเอง” เพจยิ้มเจื่อนๆ ตอบเกมที่มองมาด้วยสายตาเป็นห่วง
กี่ครั้งแล้วนะที่มันต้องเป็นแบบนี้ เขาชอบอ่อนแอทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อย ทั้งเพื่อนที่คบกันมาหลายปีหรือแม้กระทั่ง...เด็กคนนั้นที่เพิ่งพบได้ไม่นาน
หรือเพราะมันเป็นนิสัยที่แสนดีของเด็กคนนั้นกัน
“ไม่ใช่ว่ามึงขี้ขลาดเกินกว่าจะเริ่มใหม่หรือไง”
“สิงห์! ไม่เอาน่า”
“เราปล่อยให้มันเป็นแบบนี้มาสองปีแล้วนะ ยังจะปล่อยให้แม่งงี่เง่าอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลยหรือไง”
“...”
“สิงห์” นินส่ายหน้าเป็นเชิงปราม จนคนถูกปรามจำต้องเบือนหน้าหนีไปกระดกเหล้าเข้าคอเงียบๆ ทันทีที่เพื่อนคนอื่นรู้สึกว่าคำพูดของเขามันแรงเกินไป ทั้งที่มันก็ไม่ได้ต่างจากความจริงที่เพื่อนของเขาต้องเผชิญสักเท่าไหร่เลย
ความจริงมันอาจจะเจ็บปวดก็จริง แต่ถ้าไม่รู้จักความเจ็บปวดแล้วเมื่อไหร่คนเราจะเติบโตล่ะ?
“อย่าไปห้ามไอ้สิงห์เลย มันพูดจริงนี่นา”
“...”
“กู... ขี้ขลาดจริงๆ นั่นล่ะ”
“น่า มันก็เอฟเฟคจากตอนอกหักเท่านั้นแหละเพื่อน -O-; เอางี้ ลองจีบสาวสักคน เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
“ไม่เห็นถูกใจสักคน ไม่เอาหรอก เสียความรู้สึกกันพอดี”
“งั้นก็ไปจีบน้องคิง”
“-_- ยังไม่เลิกเล่นอีก”
ทีมก้มหัวหลบก้อนน้ำแข็งที่เพื่อนเขาขว้างมาทั้งเสียงหัวเราะ ก่อนจะตอบกลับไปอีกครั้ง “กูไม่ได้พูดเล่นสักหน่อย จริงจังนะเนี่ย ลองดูดิวะ”
“กูไม่ได้ชอบน้อง”
“แต่มึงก็เอ็นดูเขากว่าคนอื่นๆ ยิ้มเวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าคนอื่น เป็นตัวของตัวเองมากที่สุดไม่ใช่หรือไง”
“...”
“เก็บไปคิดดูก็ได้ ชอบใครสักคนมันต้องใช้เหตุผลมากมายซะทีไหน ชอบก็คือชอบเว้ย เชื่อกู”
เพจเงียบไปหลังจากทีมพูดจบ กระนั้นแล้วก็ไม่มีใครอยากจะไปคาดคั้นหรือบังคับให้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ทุกคนหันไปพูดเรื่องอื่นเบี่ยงเบนความสนใจ จนบรรยากาศบนโต๊ะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เพจยังคงจมอยู่กับความคิดของเพื่อนไม่หายอยู่ดี สิงห์จึงฉวยโอกาสนั้นพูดด้วยเสียงที่เบาจนได้ยินเพียงแค่สองคน
“ถ้าจะแค่เล่นๆ กับน้องก็อย่าเลย”
“...หมายถึงคิงเหรอ”
“อืม สงสารน้อง”
“มึงดู...เป็นห่วงน้องเขาจังวะ”
“หรือมึงไม่เป็น?”
เพจเม้มปากกับคำถามนั้นอย่างยอมจำนน “เออน่า กูไม่ทำอย่างนั้นหรอก ไม่จีบอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่ กูหมายถึงถ้ามึงจะจีบจะทำอะไร ก็ขอให้มึงรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”
“...”
“อย่าทำเหมือนว่ามันก็แค่อะไรที่มึงทำเล่นๆ แก้นิสัยเสียตัวเองที่ไม่กล้าจะเริ่มต้นใหม่กับคนอื่น”
“...”
“ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งที่มึงเบื่อจะเล่นเกมนี้ แล้วทิ้งเขามา ถ้าเกิดตอนที่มึงแค่เล่นๆ พิสูจน์ตัวเองอีกฝ่ายเกิดความรู้สึกขึ้นมา คนที่ผิดและจะรู้สึกแย่ที่สุดคือมึง โดยเฉพาะถ้าเขาไม่ได้เป็นแค่คนที่รู้จักผ่านๆ แต่เคยเป็นคนที่อยู่ข้างมึง คอยฟังมึงแบบน้อง”
“...”
“จำสิ่งที่ตัวเองเคยโดน...แล้วอย่าเอาไปใช้มันกับคนอื่น เพจ อย่าให้การกระทำชั่ววูบทำให้เสียอะไรไป มันแย่แค่ไหนตัวมึงรู้ดีอยู่แล้ว”
“อืม รู้ดีเลยล่ะ”
“...”
“แต่กูก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าทำไมพวกมึงต้องเอาน้องมาเป็นทอปปิคขึ้นตอนเชียร์ให้กูไปจีบคนอื่นอยู่ดี”
คราวนี้ไม่เพียงแค่พวกเกมจะหลุดหัวเราะ แม้แต่สิงห์ก็หลุดยิ้มอย่างอดอ่อนใจกับความซื่อบื้อของเพื่อนตัวเองไม่ได้
“ก็ไปสังเกตเอาเอง น้องมันเดาไม่ยากหรอก”
“อะไรของพวกมึงเนี่ย กูงงหมดแล้วนะ”
“ที่เขาว่าคนในโง่ คนนอกฉลาดใช้กับไอ้เพจได้จริงๆ ด้วย =__=” เกม
“บวกหนึ่ง” ทีม
“บวกด้วย” นิน
“ไอ้โง่” และสิงห์
“ไอ้เวรพวกนี้นี่ พูดอะไรให้กูเข้าใจหน่อยได้มั้ยวะ แล้วกูโง่ตรงไหนเนี่ย!”
“ก็บอกว่าให้ไปสังเกตเอาเองไงวะ”
“...”
“ต่อให้ปฏิเสธหรือซ่อนแค่ไหน สักที่หนึ่งในใจของน้อง มันก็รอที่จะบอกมึงสักวันอยู่ดี”
ไปจีบน้องเลย น้องมันรออยู่ อิอิ
ฝากติดตามเช่นเคย
:NAVY