กฏข้อสุดท้าย อย่าบอกรัก
ผมไม่รู้ว่าร่องรอยในอดีตบางครั้งก็มีความหมาย
จนเมื่อมาพบคุณ ผมถึงได้รู้ว่าวันที่ได้พบคุณช่างพิเศษเหลือเกิน
“ยินดีด้วย พวกเธอผ่านการฝึกงานโดยสมบูรณ์แล้ว”
“ขอบคุณครับ / ค่ะ”
สีหน้าปลอดโปร่งและแสดงความยินดีรอบตัวทำให้ผมแทบลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อหลายคืนก่อนที่ต้องเร่งปิดมินิโปรเจ็คที่ทางศูนย์มอบให้และพรีเซนต์ไปหมาดๆ มันยากมากจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มอบประสบการณ์มกมายให้แก่ผมไม่น้อย เพื่อนำไปใช้ต่อยอดหรือในการเรียนรู้ในชั้นปีสูงๆ ได้เป็นอย่างดี
“ยินดีด้วยนะคิง”
“ขอบคุณครับ”
พี่คนหนึ่งในศูนย์ยิ้มล้อเลียนมองผมก่อนจะถองศอกใส่ “สรุปว่าไง คนไหนเหรอที่เราเลือก”
คำถามนั้นทำเอารอยยิ้มกว้างของผมเฝื่อนไปเล็กน้อยขณะที่สายตาของผมมองตามสายตาของพี่เขาไปยังกลุ่มของเด็กฝึกงานอีกสามคนที่เหลือ ฟิวส์ ฝ้ายและดิวที่ถูกล้อมจากเหล่าพี่ๆ ที่ฝึกงาน พูดคุยจ้อกันด้วยสีหน้ามีความสุข
“ไม่มีสักหน่อยครับ แค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้นเอง”
“ได้ไง ตอนนั้นออกจะใหญ่โตหรือต้องแอบกิ๊กกันถึงบอกคนอื่นไม่ได้”
“เลอะเทอะใหญ่แล้วครับ ไม่มีอะไรจริงๆ”
ครับ ก็อย่างที่พูดว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ ต่อให้ตอนนั้นจะเกิดเรื่องวุ่นวายก็เถอะ
สุดท้ายเรื่องราวความเข้าใจผิดและแผนการมากมาย (?) ก็จบลงอย่างง่ายๆ ด้วยการพูดคุยของผมและฝ้าย ตั้งแต่เธอยอมรับในคืนนั้นว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเธอชอบผม (เอาจริงๆ ถ้าเธอมาบอกว่าชอบพี่เพจยังจะน่าเชื่อมากกว่าอยู่เลย) ครั้งแรกที่ได้ยินผมก็รู้สึกเหลือเชื่ออยู่สักหน่อยที่คนแบบผมจะมีผู้หญิงน่ารักๆ มาชอบ ผมได้แต่ยืนฟังเธอเล่าเรื่องราวต่างๆ แผนมากมายที่เธอคิดขึ้นมาเพียงเพื่อให้ได้ใกล้กับผมกับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
เรื่องราวที่เธอมีต่อผม คล้ายจะเล่าได้ว่ากาลครั้งหนึ่ง เธอได้พบผมในช่วงเวลาและสถานการณ์ที่ถูกต้อง
คล้ายกับเมื่อครั้งที่ผมได้พบกับพี่เพจ ความประทับครั้งก่อนเก่าได้ฝังลึกในใจของฝ้ายเช่นเดียวกับที่ผมได้เจอ
เธอไม่คิดเช่นกันว่าจะได้พบผมที่ศูนย์ฝึกงาน แต่เมื่อได้พบแล้วเธอก็ไม่คิดว่าจะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ ทว่าเรื่องมันมายุ่งยากตรงที่ว่าฟิวส์ดันมาบังเอิญได้ยินที่ผมพูดกับพี่เพจผ่านโทรศัพท์และเดาได้ว่าผมนั้นน่าจะชอบคนอื่นอยู่แล้ว แล้วที่พีคกว่านั้นคือแท้จริงแล้วฟิวส์กับฝ้ายเคยเรียนที่เดียวกันมาก่อน จึงพอจะกล้อมแกล้มพูดได้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนวัยเด็กที่สนิทสนมกันพอสมควร จึงทำให้ฝ้ายได้รู้ในวันแรกว่าผมนั้นกำลังมีความรัก (ที่น่าจะสมหวัง) กับใครคนหนึ่งอยู่
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจหรือแค่อยากจะลองพิสูจน์ใจอย่างที่ว่า เมื่อฝ้ายรู้ว่าผมคุยกับผู้ชาย เธอจึงขู่แกมบังคับให้เพื่อนสนิทอย่างฟิวส์มาลองเชิงดูว่าพอจะมางแทรกพวกผมได้หรือไม่ แรกๆ มันก็แค่เป็นแผนขำๆ ไม่จริงจังอะไร ทว่ามันมาพลิกผันตรงที่ฟิวส์ดันเกิดเอาจริงขึ้นมาในวินาทีสุดท้าย
ผมก็เพิ่งมารู้ว่าหมอนั่นโกหกเรื่องที่ชอบผู้ชาย แต่กับเรื่องที่แอบชอบเพื่อนสนิทและอกหักนี่เรื่องจริง
เพื่อนคนที่ว่าก็คือฝ้าย
ผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมวันแรกที่ได้เจอกันฟิวส์ถึงได้เงียบแบบนั้น อาจจะลำบากใจที่ต้องรับคำขอจากฝ้ายล่ะมั้ง
หลังจากนั้นก็อย่างที่ผมได้พบ แผนการดำเนินมาเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะผมโชคดีหรือพี่เพจดันความรู้สึกไวกับเรื่องนี้ (ทั้งที่ผ่านมาโคตรจะซื่อบื้อจนผมอ่อนใจ -_-) ทำให้แผนของพวกเขาไม่สำเร็จเสียที จนต้องแอบมาคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จำได้ว่าตอนที่คุยมาถึงตรงนี้ฝ้ายได้ยิ้มขื่นๆ ว่าเธอยังไม่ถอดใจเสียเท่าไหร่และยอมรับอย่างจริงจังว่าเธอยังคงชอบผมเหมือนเดิม
เหมือนวันแรกที่เธอได้พบผม
แต่น่าเสียดาย...
‘น่าเสียดายที่ช้าไป’
‘...’
‘น่าเสียดายที่ฝ้ายไม่โชคดีเหมือนคิงที่เจอคนแบบพี่คนนั้น’
‘...’ ผมจำได้ดีว่ารอยยิ้มงดงามและนัยน์ตาแสนสวยที่เปื้อนน้ำตามองมายังผมคู่นั้น ฉายความเศร้าไว้มากมายแค่ไหน ราวกับกระจกสะท้อนเอาเรื่องราวที่ผ่านมาของผมออกมาเลยด้วยซ้ำ ทว่าก็อย่างที่เธอพูด มันน่าเสียดาย...
น่าเสียดายที่ผมไม่ได้รักเธอ
พอคุยจบเราก็แยกย้ายกันกลับห้อง เหลือเพียงความเป็นเพื่อนร่วมฝึกงานกันต่อไปและไม่รื้อฟื้นเรื่องแผนบ้าๆ นี่อีก ก่อนที่ผมจะได้กลับไปนอน ฟิวส์ที่เงียบมานานก็รั้งผมเอาไว้ก่อน สีหน้าลำบากใจและรู้สึกผิดทำให้ผมรู้ว่าเขาคงอยากขอโทษ
‘ไม่ต้องขอโทษหรอก’
‘...ใครจะขอโทษ แค่อยากจะให้นายเก็บเรื่องนั้นไว้เท่านั้นเอง’ผมขมวดคิ้วที่ได้ยินแบบนั้น
‘ฝ้ายไม่ได้รู้อยู่แล้วเหรอ?’‘เธอไม่รู้’
‘...’
‘ไม่รู้ไปตลอดชีวิตยิ่งดี ฉันไม่อยากเสีย ‘เพื่อน’ ไป’หากจะบอกว่าฝ้ายน่าสงสารผมคงพูดไม่ได้เต็มปาก เพราะเอาเข้าจริงผมก็นึกสงสารฟิวส์มากกว่า อาจจะดูลำเอียงที่ผมสงสารเขากกว่าเพราะได้ยินเรื่องของเขามาตลอด แต่การที่ฝ้ายยังสามารถบอกผมได้ถึงความรู้สึกที่มีกับฟิวส์ที่แม้แต่จะพูดออกไปยังไม่ได้ ผมก็ยังคิดว่าฟิวส์เจ็บมากกว่า
ผมได้แต่ภาวนาว่าสักวันเขาจะบอกออกไปได้และลองถามว่าจะเริ่มต้นความสัมพันธ์แบบใดได้อีกกับฝ้าย นอกจากความเป็นเพื่อนของพวกเขา
แม้กระทั่งตอนนี้... ผมมองภาพตรงหน้า ภาพรอยยิ้มงดงามของฝ้ายที่ยิ้มหัวเราะอยู่กับดิวถึงเรื่องความซุ่มซ่ามของดิวระหว่างทำงาน ข้างกายของเธอไม่ห่างคือร่างของฟิวส์ที่จับจ้องเสี้ยวใบหน้าของเธอ แม้จะไร้รอยยิ้มเช่นเคย แต่ในแววตาที่เฉยชานั้นคล้ายจะทอแววอ่อนโยนออกมาหลายส่วน
ได้แต่พูดอีกครั้งซ้ำๆ ว่าน่าเสียดายเหลือเกินที่ฝ้ายไม่ยอมหันไปสบแววตาคู่นั้นของฟิวส์เสียที
แต่ต่อให้หันไป ฟิวส์ก็คงไม่อยากให้เธอเห็นอยู่ดี
เพราะเขารับรู้มาตลอดถึงมิตรภาพ ไม่ใช่ความรักในใจของเธอที่มอบแด่เขา
“ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้วครับ”
“จริงเหรอ ใครเอ่ย”
ผมยิ้มนิดๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรต่อ นอกจากขอตัวไปร่วมถ่ายรูปกับคนอื่นที่รออยู่
สุดท้ายการฝึกงานของผมก็จบลง พร้อมกับที่การเรียนในชั้นปีต่อไปกำลังจะเริ่มต้นขึ้น...
“แต่ยังไงพี่ก็ไม่ชอบมันอยู่ดี”
...ซะที่ไหนล่ะ
ผมถอนหายใจเล็กน้อยต่อหน้าชามก๋วยเตี๋ยวที่แวะกินข้างทางระหว่างเดินทางกลับหอ พี่เพจกินลูกชิ้นและเคี้ยวอย่างกับเจ้าหมูที่เป็นเนื้อทำลูกชิ้นลูกนี้ไปทำให้พี่แกโกรธมาตั้งแต่ชาติปางก่อนอย่างนั้น
“พี่เพจ มันผ่านไปแล้วน่า”
“แต่มันแอบฉวยโอกาสลวนลามเรา”
“แล้วไง พี่จะไปลวนลามกลับให้คิงป่ะล่ะ”
“พูดมาได้ ไม่กลัวฟ้าผ่าหรือไง” เสียงฉุนๆ กับคำเถียงข้างๆ คูๆ ของพี่เพจทำให้ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“แล้วกับผมไม่ผ่าหรือไง ติ๊งต๊อง”
“กับเราฟ้าเป็นใจหรอก”
“...”
“คิง ไม่กินเอาให้พี่ก็ได้ อย่าคายทิ้ง!”
“พี่เป็นคนเสี่ยวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” กลายเป็นว่าตอนนี้ผมชักไม่มั่นใจเสียแล้วสิว่า ผมรู้จักพี่เพจหมดทุกวอกทุกมุม
อย่างน้อยๆ พี่เพจคนก่อนก็ไม่ทำตัวเสี่ยวชวนอ้วกแบบนี้ทุกวินาทีที่หยอดผมได้น่ะนะ
และตอนนี้คนที่ถูกว่าได้แต่อมลมทำหน้าบ๊องแบ๊วงอนสุดฤทธิ์ ชนิดไม่เข้ากับใบหน้าของพี่เขาเลยแม้แต่น้อย แต่...ในสายตาผมมันน่ารักแฮะ สุดท้ายผมก็หลุดยิ้มและอดเอามือเลื่อนไปหยิกแก้มพี่เพจไม่ได้
“งอแง”
“เดี๋ยวตอนหลังพี่งานเยอะไม่มีเวลาให้ จะคิดถึงพี่ เชอะ!”
อ้อ พี่เพจได้งานแล้วครับ หลังจากวันนี้ก็ต้องเตรียมไปสัมภาษณ์งานแล้ว โชคดีมากๆ ที่งานของพี่เพจใกล้กับบ้านของพีเขามาก จึงไม่ต้องเช่าหรือหาที่พักอื่น แต่พี่เพจบ่นใหญ่ว่ามันห่างจากมหาลัยไปหน่อยรถก็ติดอีกต่างหาก ตอนนี้พี่เขาเลยวุ่นอยู่กับความคิดประหลาดๆ มากมาย เพื่อหาเวลาให้เราได้มาเจอกันบ้าง
“ไม่ต้องตอนนั้น คิงก็คิดถึงพี่เพจ”
“ไม่ต้องมาพูดเอาใจเลย เด็กใจร้าย”
“นี่ยี่สิบสองหรือสามขวบหือ? พี่เพจ”
“ไม่เคยได้ยินหรือไงว่าคนมีความรักจะเด็กลงน่ะ”
โอ้ย! ดูพูด “พี่เพจคิงไหว้ล่ะ เลิกพูดแบบนี้เถอะ ขนลุกอ่ะ”
พี่เพจคนคูลหายไปไหนแล้วครับ T_T
แต่จู่ๆ ใบหน้าที่ทะเล้นมาตลอดของพี่เพจก็กลับมานิ่งเฉย พี่เขายังคงก้มหน้าก้มตากิน แต่มือหนึ่งที่ว่างกลับเอื้อมมาจับมือของผมเอาไว้
“คิง ไว้ว่างๆ ไปบ้านพี่นะ”
“...”
นัยน์ตาคู่นั้นที่ผมหลงรักมองสบมายังผมคล้ายจะถามหาคำยืนยัน ซึ่งผมที่เรียกสติตัวเองกลับมาได้ก็ทำได้แค่ยิ้มตอบและพยักหน้าซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนบ้า
“อืม คิงจะรอนะ”
บางทีการแอบรักของผมคงจะจบลงแล้ว
แต่ความรักของเราสองคนกำลังเริ่มต้นขึ้น...
และผมก็ได้แต่ภาวนาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ขอให้วันเวลาของเราดำเนินเช่นนี้ไปเนิ่นนาน
(อยู่ไหนแล้ว?)
“กำลัง...แฮ่กๆ วิ่งครับ”
(ตอบไม่ตรงคำถามนะ พี่ถามว่าเราอยู่ไหนต่างหาก) ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วเสียงหัวเราะ ชวนให้คนที่ฟังหงุดหงิดขึ้นมาจับใจ แต่เนื่องจากหนทางข้างหน้ายังยาวนานกว่าความโกรธนี้ เขาจึงเก็บแรงที่จะตะโกนสู้คนในสายเปลี่ยนเป็นแรงที่สับขาวิ่งฝ่ากลุ่มคนแทน
“ไว้ถึงก่อนเถอะ...” แต่ก็ยังไม่วายฝากอาฆาตเอาไว้ จนปลายสายหลุดหัวเราะออกมาชุดใหญ่
(ไม่ต้องรีบๆ แค่พี่มีสาวๆ มารุมขอถ่ายรูปเยอะแยะเท่านั้นเอง -.-)
คิงขมวดคิ้วมุ่นขณะวิ่งข้ามไปอีกฝั่งของถนนและรีบลัดเลาะไปตามสนามหญ้าสีเขียวที่บัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งที่ปกติสนามจะถูกทิ้งร้าง หากไม่มีพิธีการอะไร เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ รอยยิ้มเฮฮาของเหล่าบัณฑิตจบใหม่ทำให้คิงนึกอิจฉาพวกเขาเหล่านั้น ทั้งนึกอิจฉาคนปลายสายมากมายที่นอกจากจะจบแล้วเช่นคนอื่นๆ ยังได้งานในบริษัทที่ดีอีกต่างหาก
ถึงคราวเขาแล้ว จะได้พบเรื่องดีๆ แบบนั้นไหมนะ?
“คิงเข้ามาแล้ว พี่เพจยืนอยู่แถวไหนอ่ะ”
(ทางซ้ายซุ้มหน้าหอประชุมไง)
“ไหน?”
(มองไปไหนเนี่ยหือ? เดินมาก็เห็นได้ง่ายๆ เลยแท้ๆ)
“คนเยอะเป็นหนอนขนาดนี้ คิงไม่ได้บินได้นะ จะได้รู้ว่าพี่อยู่ตรงไหน”
(ไหนว่าไม่ว่าพี่จะอยู่ตรงไหน เราก็หาพี่เจอไง”
เขาลอบถอนหายใจ “...ลองพี่มาเป็นคิงตอนนี้สิ เดี๋ยวก็รู้”
(พี่เห็นเราแล้ว)
“...”
“หันมาทางซ้ายมือสิ...”
คราวนี้เสียงที่ดังคล้ายจะไม่ได้ออกมาจากโทรศัพท์ แต่เหมือนดังอยู่ข้างตัวเสียมากกว่า คิงจึงวางสายและหันไปตามที่เพจพูดและก็พบ...กับใบหน้าทีมีรอยยิ้มแสนสุขกำลังมองมายังเขาคล้ายจะล้อเลียนคำพูดหวานหูที่เขาพูดเมื่อนานมาแล้ว วันนี้พี่เพจของเขายังคงหล่อเหลาเช่นเคย ผมที่เคยยุ่งไม่เป็นทรงถูกจัดเสียเรียบแปล้ เผยใบหน้าขาวผ่องสดใส ในอ้อมแขนของบัณฑิตจบใหม่เต็มไปด้วยดอกไม้และตุ๊กตาแสดงความยินดีมากมาย แน่นอนว่าเป็นเช่นที่อีกฝ่ายพูด เมื่อเขาชะโงกหน้าไปมองด้านหลังพี่เพจ ก็พบกลุ่มหญิงสาวมากมายที่คุยกันจอแจและเดินตรงมาหาคนข้างกายเขาเพื่อถ่ายรูป
“พี่เพจคะ ถ่ายรูปกับกิ๊งหน่อยนะ”
“อืม เอาไงดี”
“โธ่ พี่บ่ายเบี่ยงมาหลายทีแล้วนะ ทำไมกับเพื่อนๆ พี่ถ่ายได้ แต่กับพวกหนูไม่ยอมถ่ายสักที” หญิงสาวหน้าหมวยบ่นอุบ
“ฮ่าๆ ก็...ลองถามคนนี้ดู ถ้าเขาอนุญาตพี่ก็โอเค” ไม่ทันจะได้ฟังให้จบประโยค เพจก็รีบดันคิงที่ยืนเหวออยู่ข้างๆ ให้ไปยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวกลุ่มใหญ่ที่เป็นหนึ่งในแฟนคลับวงดนตรีของเขา สีหน้าตลกๆ ของคิงทำให้เพจหลุดหัวเราะออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะหยุดหัวเราะเปลี่ยนมาฉีกยิ้มเมื่อถูกลากไปถ่ายรูปจนได้
คิงอดจะทุบที่ต้นแขนของพี่เพจไม่ได้ เมื่อสาวๆ เหล่านั้นได้ถ่ายรูปมากพอแล้ว ซึ่งคนที่โดนทำร้ายร่างกายก็ทำเพียงแค่ยักไหล่และฉวยเอากล้องที่ห้อยคอมาตลอดหลังจากจบงานพิธีรับปริญญาบัตรในช่วงเช้าขึ้นมา ในกล้องปรากฏใบหน้างอนๆ ของคนข้างกาย ก่อนเจ้าตัวจะอ้าปากกว้างในคราที่หันมาพบว่าตัวเองกำลังโดนแอบถ่าย
“พี่เพจ!”
แชะ!
“ฮ่าๆๆ อ้าปากซะกว้างเลยอ่ะ ตลก”
“ทำไมชอบแกล้งคิงฮะ นิสัยไม่ดี”
ถึงจะถูกบ่นเช่นนั้นแต่เพจก็ยังส่องกล้องจับภาพของคิงไปเรื่อยๆ ภาพที่ยิ้ม ภาพที่กำลังบ่น ภาพหลุดเหวอหรือแม้กระทั่งรูปที่หลุดถอนหายใจออกมา ทุกภาพทำให้คนที่ถ่ายได้แต่ยิ้มแล้วยิ้มอีก
“พอแล้ว เลิกถ่ายได้เล่า”
“ดูสิ พี่ถ่ายออกมาสวยจะตาย”
คิงเหล่มองรูปในกล้องก่อนจะฉวยโอกาสตอนนั้นเป็นคนถือกล้องเสียเองและเริ่มกดถ่ายบัณฑิตใหม่ไปเรื่อยๆ แต่ครั้งนี้เขาได้รับการร่วมมือมากกว่าครั้งที่ตัวเองถูกแอบถ่ายเยอะ คิงเลื่อนดูรูปที่ถ่ายแล้วยิ้มออกมา เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่เพจถึงได้ชอบถ่ายรูปเขา ไม่ว่าจะครั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
การได้เฝ้ามองเก็บความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตด้วยกัน เก็บเอาไว้ในวันที่ไม่อาจย้อนกลับและทำได้แค่คิดถึงจะได้หยิบมันขึ้นมาดู
“ไหนของขวัญรับปริญญาของพี่?”
คิงแกล้งถอนหายใจหน่ายๆ เหมือนเบื่อที่ได้ยินคำนี้ แต่ก็ยอมล้วงเอาของขวัญที่ตนหานานอยู่พอสมควรออกมา ของขวัญที่ว่าวางอยู่ในกล้องของขวัญผูกโบเล็กๆ สีเขียวแสนน่ารัก เมื่อเปิดฝาออกก็พบกับจี้ที่เป็นโหลคริสตัลเก็บกักดอกไม้สดเอาไว้ ต่างตรงที่จี้ชิ้นนี้ของคิงนั้นไม่ใช่ดอกไม้แต่เป็นใบโคลเวอร์สี่แฉก มือทั้งสองแยกสายสร้อยออกจากกันและเอื้อมตะขอให้คนตรงหน้าที่ย่อตัวลงมาอำนวยความสะดวกให้ เขาตบลงที่กลางอกที่มีจี้นั้นก่อนจะพูดเบาๆ
“ใบโคลเวอร์สี่แฉกเขาบอกว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี แฉกแรกคือความหวัง แฉกที่สองคือความศรัทธา แฉกที่สามคือความรักและแฉกสุดท้ายคือความโชคดี ถึงจะฟังดูแปลกๆ แต่คิงขอให้ชีวิตของพี่ต่อจากนี้ได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ คนดีๆ แล้วก็มีความสุขมากๆ นะครับ”
“...”
“ไม่ชอบเหรอ?”
“พูดไม่ออกมากกว่า” แทนที่เพจจะสนใจสายตารอบข้าง เขากลับทำเหมือนเห็นเพียงแววตาและความรู้สึกที่สื่อออกจากแววตาคู่นี้ ความปรารถนาดีที่เขาเคยได้รับแต่ก่อนอย่างไร ตอนนี้ก็ยังได้รับเช่นนั้น แขนทั้งสองข้างกางออกเพื่อโอบเอาคนตรงหน้ามากอดแน่นๆ “ขอบคุณครับ”
“พี่เพจเก่งที่สุดเลย คิงดีใจมาก”
“ปากหวานแฮะวันนี้ -.-“
“ยอมแค่วันนี้เท่านั้นแหละ”
เพจอมยิ้มขณะผละออกจากร่างอีกฝ่าย เคาะหน้าผากอีกคนเบาๆ “จะเอาใจแฟนตัวเองก็ช่วยทำให้ตลอดรอดฝั่งด้วยเถอะครับ”
แทนที่คิงจะเขิน กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มองฟ้ามองนกไปเรื่อยจนเพจนึกหมั่นไส้ หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย ไม่นานก่อนเขาจะรับปริญญา ในที่สุดคิงก็ยอมรับคำขอเป็นแฟนของเขาและได้ไปพบกับครอบครัวของเขาในเวลาต่อมา ตอนแรกเขาก็กังวลว่าที่บ้านจะว่าอย่างไร เพราะต่อให้เขาชอบผู้ชายและเขายังมีน้องชายอยู่ แต่ใช่ว่าจะเป็นทุกครอบครัวที่ยอมรับได้ในเรื่องดังกล่าว
เขายังจำได้ดีถึงวันที่เขาเปิดปากพูดเรื่องนี้กับที่บ้านเป็นครั้งแรก...
‘พ่อ เพจชอบผู้ชายแหละ’
‘...’
‘...’
‘นี่ไม่ใช่เรื่องโจ๊กหรือล้อเล่นก่อนมื้ออาหารนะครับ เพจพูดจริงๆ’ทุกคนที่กำลังจะเริ่มกินข้าวด้วยกันบนโต๊ะอาหารถึงกับชะงักช้อนที่จะตักเข้าปาก บรรดาพี่น้องและแม่ของเพจได้แต่มองหน้ากันไปมาด้วยความกระอักกระอ่วน ด้วยตัวพวกเธอนั้นเพจได้มาตะล่อมแอบบอกได้สักพักแล้ว เว้นแต่บิดาแค่คนเดียวที่ยังไม่ทราบถึงเรื่องนี้ แม้ปกติพ่อของพวกเขาจะไม่ได้ช่างพูดหรือดุด่ารุนแรง แต่ก็ทราบดีถึงความเข้มงวดในบางเรื่องตามประสาคนที่อยู่มานาน
เพจลอบมองตามการขยับของผู้เป็นพ่อด้วยความกังวล เมื่อเห็น่ว่าอีกฝ่ายยอมวางช้อนลง แสดงออกถึงการพูดคุยอย่างจริงจังกับเขาที่เริ่มเปิดประเด็นโดยไม่ส่งซิกให้คนอื่นเลยแม้แต่น้อย
‘เป็นคนที่พ่อรู้จักหรือเปล่า?’
‘เปล่า รุ่นน้องเพจเอง’
‘แล้วทำไมถึงต้องเป็นคนนี้?’เพจเงียบไป ทั้งที่คนอื่นๆ ในบ้านก็เคยถามคำถามคล้ายๆ นี้กับเขา เขาสามาถตอบให้ทุกคนได้อย่างราบรื่นว่าทำไมเขาถึงได้เลือกเด็กคนนี้ เพราะอะไรเขาถึงได้ชอบและทำไมถึงไม่เป็นคนนี้ไม่ได้ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อของเขาคำพูดเหล่านั้นกลับดูเวิ่นเว้อคล้ายจะพร่ำพรรณาเกินไปจนจับใจความไม่ได้ จนสุดท้ายเขาก็ตอบไปเพียงแค่ว่า
‘เพจว่า เพจอยู่กับเขาแล้วเพจมีความสุขน่ะพ่อ’พ่อของเขาไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่ก้มหน้าลงตักกับข้าวใส่จานตัวเองและภรรยาข้างกายที่มองการสนทนาของพ่อลูกคู่นี้ด้วยความเป็นห่วง เพจเองก็เริ่มขยับมือขยับปากเคี้ยวข้าวเช่นกัน แต่ไม่ค่อยรู้รสเสียเท่าไหร่ เพราะหากไม่ได้ยินคำว่า ‘ยอมรับ’ จากปากของพ่อ เขาก็ไม่อาจคล้ายความกังวลได้
‘พ่อ...’
‘เป็นเด็กที่ดีคนหนึ่งใช่ไหม’
‘...’
‘เด็กคนนั้นของเราน่ะ’มุมปากที่ฉายความกังวลค่อยๆ คลี่ขยายออกน้อยๆ เมื่อจับได้ว่า ความนัยที่แฝงมากับคำถามที่เหมือนไม่มีอะไรนั้นคืออะไร
‘ครับ เป็นเด็กที่ดีมากเลย’
‘อืม ไว้วันหลังพาแวะมาบ้านบ้างแล้วกัน’แล้วจากนั้นไม่กี่วันคิงก็ถูกเขาพา (น่าจะลากมากกว่า) เข้ามายังบ้านของเขาและกลายเป็นส่วนหนึ่งในที่สุด
“คิง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก”
“สวัสดีครับ มาได้เมื่อครู่เอง คุณน้าล่ะครับ”
แม่ของเพจค้อนมองไม่จริงจังนัก “เรียกน้าอีกแล้ว ฟังดูแก่จัง -3-“
“งั้นคุณพี่?”
“อันนั้นก็สาวไปจ๊ะ! เรียกแม่ให้ชินปากได้แล้วมั้ง”
“อ่า...” คิงรู้สึกว่าแม้แดดจะร้อนแต่คงไม่ร้อนเท่าหน้าเขาตอนนี้แล้วล่ะ ใครมันจะชินได้ง่ายๆ ล่ะครับคุณน้...แม่ -_-///
“ไหน เอาของขวัญอะไรมาให้พี่เพจล่ะคิง” พีท น้องชายคนเล็กของบ้าชะโงกหน้าออกมาจากหลังมารดา ก่อนจะทักทายเพื่อนอายุใกล้เคียงกันด้วยความสนิทสนมในระดับหนึ่ง แม้คิงจะดูเงียบๆ แต่หลังจากที่ได้รู้จักกับทางบ้านของเพจ ก็ดูเหมือนจะสนิทกับพีทที่เรียนชั้นปีเดียวกันไม่น้อย คิงยิ้มและชี้ไปที่จี้ที่เพจสวมอยู่ ซึ่งพีทก็จุ๊ปากแซวกลับทันที
“อิจฉาว่ะ พี่เพจ ไม่ใส่แล้วพีทยืมบ้างนะ สวยดี”
“เสือก”
“แม่ พี่เพจพูดคำหยาบใส่น้อง”
“เพจ!”
เพจแอบกลอกตาบนทันทีที่โดนแม่แหวใส่ “แม่ก็เข้าข้างมันทุกที”
“แม่ไม่เคยสอนให้เรียกน้องว่ามันจะเจ้าเพจ”
“โอ้ย! แม่ๆๆ อย่าหยิก แม่!! นี่วันดีของเพจนะ เจ็บ!” เสียงร้องโอดโอย ประสานไปกับเสียงบ่นและเสียงหัวเราะของคนที่เหลือ ภาพความอบอุ่นตรงหน้าทำให้คิงอดคิดถึงครอบครัวของตัวเองไม่ได้ แต่ทว่าทันทีที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของบใครบ้างคน ความเหงานั่นก็จางหายไปช้าๆ
“คิงถึงที่บ้านหรือ?”
“ครับ นิดหน่อย” ถึงจะรู้จากพี่เพจแล้วว่าทางพ่อของพี่เพจไม่ได้คัดค้านอะไร แต่คิงก็ยังเกร็งทุกทีที่ต้องพูดคุยกับท่าน ไม่ใช่เพราะกลัว...แต่อาจเพราะกลัวทำให้ท่านผิดหวังกระมัง
ก็เขาไม่น่าจะเป็นที่พอใจเท่าไหร่สำหรับครอบครัวที่ต้องการให้ชีวิตครอบครัวของลูกตัวเองสมบูรณ์
ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ทันทีที่ได้ยินประโยคถัดมาของอีกฝ่าย ความกังวลทั้งหลายที่ว่าก็เหมือนจะปลิวหายไปอย่างไม่เคยพบมาก่อนในหัวใจ
“ขอบคุณที่เข้ามาเป็นความสุขให้ลูกชายของพ่อนะ”
“...ครับ?”
รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่แสดงถึงความขลาดกลัวของเด็กข้างกาย เปลี่ยนเป็นความลนลาน คล้ายว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปคือความแปลกประหลาดที่สุดในโลก พอเห็นแบบนี้แล้วเขาที่ค่อนข้างจะเป็นคนยิ้มยากยังอดยิ้มให้ไม่ได้ มือกร้านวางลงบนเล่นผมของคิงและขยี้เบาๆ แทนความเอ็นดู เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมลูกชายถึงเลือกเด็กคนนี้
“ไปถ่ายรูปกันเถอะ ตากล้องรอนานแล้ว”
“เอ่อ...ผมรอข้างนอกดีกว่า”
“อะไรกัน พาไปแนะนำตัวขนาดนั้นแล้วยังจะวางตัวเป็นคนนอกของบ้านนี้อีกหรือ?”
“...”
“วันนั้นมาฝากตัวเป็นลูกชายของพ่ออีกคนไม่ใช่หรือไง”
คิงเม้มปากแน่น ในแววตาไม่มีความกังวลใดๆ อีก ก่อนจะหลุดยิ้มและยอมเดินตามบิดาของคนที่เขารักไปยังกลุ่มคนที่ต่อจากนี้จะไม่ได้เป็นเพียงครอบครัวของพี่เพจ...แต่จะกลายเป็นครอบครัวของเขาอีกหนึ่งครอบครัว เพจอ้าแขนโอบรับให้คิงมายืนอยู่ข้างกาย แต่มีเหตุให้ขัดแย้งเล็กน้อยเมื่อทุกคนเกิดหมั่นไส้ลูกชายตัวดีที่ออกอาการหวงออกหน้า จนผู้เป็นพ่อต้องส่งเสียงปรามนั้นล่ะ ความวุ่นวายจึงได้จบลงและได้ถ่ายรูปเสียที
“เอาละนะครับ ยิ้มหวานมองกล้องนะครับ ^^”
แชะ!
หลังจากนั้นผ่านไปอีกหลายสิบปี รูปนี้ก็ยังติดอยู่ที่ผนังบ้าน โดยที่ไม่มีใครคิดจะปลดมันออก กลายเป็นภาพที่เมื่อไหร่นัดกันมาพบหน้าเป็นต้องเล่าเรื่องราวที่สนุกสนานและมีแต่เสียงหัวเราะ รวมทั้ง...เรื่องราวความลับของ ‘คุณอา’ ผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มและแฟนสุดหวงของคุณลุงเพจ
เรื่องราวของการแอบรัก...ที่ไม่จำเป็นต้องจบด้วยการไม่สมหวังเช่นที่ใครต่อใครเคยกล่าวเอาไว้เลย
(จบบริบูรณ์)
จบแล้ว!
จบแล้วจริงๆๆๆๆๆ
เฮ้อออออออออออออออออออออ
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนจบนะคะ ยังมีตอนพิเศษน้า อย่าเพิ่งหายไปไหนน้าาาา TTT
รักทุกคนมากเล้ยยย เจอกันตอนพิเศษค่ะ
:NAVY