-37-
“เฮียสอง! พี่ภูหายไปไหน!”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับคุณหนู”
“เฮียหก! เห็นพี่ภูไหม!”
“ไม่เห็นครับ คุณหนูมีอะไรรึ…”
“ไม่มี! ผมไปหาจ๋าก่อนนะ”
ผมใช้เวลาสิบห้านาทีไปกับการวิ่งไปวิ่งมาตามหาคนที่หายไปไหนก็ไม่รู้ เมื่อคืนผมแยกห้องนอนกับเขาก็จริง แต่ก็บอกไว้แล้วว่าตอนเช้าจะไปปลุก แล้วนี่มันอะไรกัน…ผมว่าตัวเองตื่นไวกว่าปกติแล้วนะ แต่พอเปิดประตูเข้าไปในห้องข้างๆ กลับพบว่าข้าวของบนที่นอนถูกวางพับเก็บเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีคนอยู่มาก่อน แม้แต่กระเป๋าเดินทางของพี่ภูก็หายไปด้วย
อย่าบอกนะว่า…
“จ๋า! พี่ภูทิ้งเราไปไหนไม่รู้!” ผมโวยวายเสียงดัง ก่อนจะผลักประตูเข้าไปในห้องดูหนังที่มีคุณผู้หญิงของบ้านนั่งทำกิจวัตรประจำวันอย่างการดูละครตอนเช้าอยู่
“เบาๆ ค่ะ กำลังสนุก” จ๋าหันมาดุผมแล้วหันกลับไปมองโทรทัศน์จอโตโดยไม่สนใจอะไรอีก ทำเอาผมต้องวิ่งเข้าไปหาแล้วเขย่าๆ แขนให้หันกลับมาสนใจตัวเอง
“จ๋าช่วยเราก่อน พี่ภูหายไปไหนไม่รู้”
“หยุดเขย่าเสียที เดี๋ยวก็ฟาดด้วยแก้วน้ำเสียนี่” จ๋าถลึงตาใส่ผมพร้อมกับชูแก้วน้ำส้มในมือขึ้นเป็นเชิงขู่ ซึ่งผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหยุดมือแล้วทำหน้าตึง
“พี่ภูหายไป เราเป็นห่วง จ๋าเห็นพี่ภูไหม”
“พอเป็นเรื่องคนคนนี้แล้วกลับไปทำตัวเหมือนเด็กทุกทีสิน่า” บ่นเสร็จแล้วก็ยกน้ำขึ้นจิบด้วยมาดผู้ดีที่ดูน่าหมั่นไส้ “คุณแม่ก็ยังไม่เจอคุณภูค่ะ แต่รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงคุณป๋าพึมพำว่าจะให้ใครสักคนไปนอนที่บ้านเล็กริมน้ำ…”
“เราไปละ” ผมยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มจ๋าเป็นการขอบคุณจนฝั่งนั้นร้องยี้ ก่อนจะวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
บ้านเล็กริมน้ำที่จ๋าบอกเป็นบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านหลักนัก ถ้าเดินไปก็อาจต้องใช้เวลาประมาณสิบห้านาที มันเป็นบ้านพักนอนเล่นที่ไม่มีคนอยู่ จะมีก็แต่ผมที่มักจะแอบไปนอนเล่นบ่อยๆ เพราะชอบบรรยากาศบริเวณนั้น และอีกอย่าง…
โฮ่ง!
มันเป็นที่อยู่ของเดอะแก๊งผมเอง
“จัดของตามสะดวก ต่อไปมานอนที่นี่”
เพียงแค่เดินเข้าใกล้ประตูผมก็ได้ยินเสียงเฮียหนึ่งดังขึ้นมา และในวินาทีที่กำลังจะก้าวขาเข้าไปด้านใน เสียงเห่าที่ได้ยินตอนแรกก็ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนเพื่อนที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามานานจะวิ่งกรูกันมาจากหลังบ้าน
โฮ่ง! โฮ่ง!
เสียงเห่าของหมาโกลเด้นที่วิ่งนำมาก่อนใครเพื่อนดังที่สุด มันคงจำผมได้เลยวิ่งมาหาจากทางหลังบ้าน มาถึงแล้วก็วิ่งวนไปวนมาดมฟุดฟิดจนผมต้องนั่งยองๆ เพื่อเล่นด้วย จากนั้นไม่นานหมาอีกห้าตัวที่เหลือก็วิ่งตามมาบ้าง ผมได้แต่หัวเราะเมื่อโดนพวกมันแลบลิ้นเลียมือเลียเท้า
“ตัวเล็ก” เสียงป๋าที่พูดขึ้นอย่างตกใจทำให้ผมต้องเงยหน้ามอง ก่อนจะพบว่าที่ประตูซึ่งเปิดอ้าไว้มีร่างของป๋า เฮียหนึ่ง แล้วก็พี่ภูยืนอยู่ เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหาพวกเขา
“ป๋าพาพี่ภูมาที่นี่ทำไม” ผมขมวดคิ้วมองป๋าด้วยความสงสัย และเมื่อเห็นกระเป๋าเดินทางของพี่ภูวางอยู่ข้างๆ คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วก็ขมวดแน่นกว่าเดิม
“ป๋าจะให้มัน…หมายถึงเขามาอยู่ที่นี่” ป๋าตอบก่อนจะหลบสายตาผม
“ทำไมให้พี่ภูมาอยู่ที่นี่”
“เอ่อ…”
“จะได้มาทำงานสะดวกไงครับคุณหนู” เฮียหนึ่งเข้ามาไกล่เกลี่ยเมื่อเห็นผมจ้องป๋าตาเขม็ง แต่ผมรู้ดีว่าเฮียก็แค่พูดไปแบบนั้นเอง เพราะจริงๆ แล้วที่ป๋าให้พี่ภูมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อกันเขาให้อยู่ห่างจากผมต่างหาก
“ป๋าจะให้พี่ภูมาอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ…” ไม่รู้หรือไงว่าเราต้องใช้เวลากว่าจะมาหาเขาได้ มันลำบากจะตาย
“ตัวเล็กอย่าเถียงป๋าสิครับ เรื่องเมื่อวาน…”
“ไม่เกี่ยว!” ผมรีบพูดแทรก “ป๋าหายโกรธแล้วก็คือหายโกรธแล้ว ห้ามเอามาโกรธใหม่ มันไม่แมน”
“อ้าว…”
“ก้อน…” พี่ภูเดินเข้ามาใกล้ผมก่อนจะส่ายหน้า “กูเต็มใจมาอยู่ที่นี่เอง อย่าทำเสียงแข็งใส่พ่อ”
จริงๆ ผมก็ทำเล่นๆ ไปแบบนั้นเอง และป๋าก็รู้อยู่แล้วด้วย เพราะเราล้อเล่นกันแบบนี้มาโดยตลอด แต่พอเห็นพี่ภูดูจริงจังผมเลยได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเข้าใจแล้วหันไปทำปากขมุบขมิบบอกป๋า
“เห็นไหมว่าเขาดีขนาดไหน”
“เฮอะ…ไม่รู้ล่ะ กลับไปกินข้าวที่บ้านใหญ่กับป๋าด้วย” ป๋าสะบัดหน้าหนีแล้วเดินออกไปด้านนอกเป็นการตัดบท แต่ก่อนไปไม่วายหันมาย้ำพี่ภูอีกที “ทำงานให้เรียบร้อย…แล้วก็อย่าลืม…ห้าม! แตะ! ต้อง! ตัว! เล็ก!”
จบคำแล้วป๋าก็หันหน้าเดินจากไปพร้อมเฮียหนึ่ง ปล่อยให้ผมกับพี่ภูมองตามหลังแบบเพลียๆ โดยมีบรรดาหมานั่งเงียบกริบรออยู่ข้างๆ อย่างสงบเสงี่ยม
“ป๋าสั่งงานอะไรพี่บ้าง” ผมหันกลับมาถามถึงเรื่องสำคัญ แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ พี่ภูก็ดึงแขนให้เดินตามเข้าไปในตัวบ้านเสียก่อน
บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้นขนาดไม่ใหญ่นัก ข้างบนมีห้องนอนแค่ห้องเดียว ส่วนข้างล่างมีห้องรับแขกและห้องครัวเหมือนบ้านทั่วไปทุกประการ เพียงแต่อาจจะไม่ได้มีเครื่องเรือนอะไรมากนักเพราะไม่เคยมีใครมาอยู่นานๆ ผมจะมาใช้ก็แค่ตอนที่ต้องการแต่งเพลงเงียบๆ คนเดียวหรือมาอ่านหนังสือ เพราะมันอยู่ติดกับสระขุดและเป็นทางรับลมเลยมีอากาศที่ดีมาก โดยเฉพาะบริเวณระเบียงห้องนอน
ส่วนพวกแก๊งหมาของผมเองจะมีที่นอนอยู่หลายจุด ถ้าผมไม่อยู่พวกมันจะไปอยู่ตรงบ้านพวกเฮียๆ ที่ห่างออกไปไม่ไกล ช่วงกลางวันก็มักจะมีคนเล่นด้วยและดูแลตลอด บางทีก็จะปล่อยให้วิ่งอิสระเหมือนอย่างวันนี้ที่มันวิ่งมาหาผม ส่วนถ้าผมอยู่พวกมันจะไปนอนที่บ้านใหญ่ด้วยกัน แต่ส่วนมากพวกมันจะมาอยู่ที่นี่เสียมากกว่า เรียกได้ว่าชีวิตดีและมีที่นอนเยอะกว่าผมอีก
“กินข้าวยัง”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลยพี่ภู สรุปว่าป๋าสั่งให้พี่ทำอะไรบ้าง” ผมมองหน้าคนที่ยังทำท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนด้วยความหงุดหงิด แต่แทนที่จะสำนึกแล้วรีบตอบ เขากลับหัวเราะแล้วยื่นนิ้วมาจิ้มมุมปากผมซะอย่างนั้น
“บอกให้ยิ้มให้กำลังใจก็พอไง”
“ไอ้ยิ้มมันก็ได้อยู่หรอก แต่ให้ทำอย่างเดียวไม่ไหว…พี่ก็รู้ว่าผมอยู่นิ่งไม่ได้” ผมอธิบายอย่างมีเหตุผล แต่เมื่อโดนจิ้มมุมปากมากเข้าก็ต้องเผยรอยยิ้มออกมาจนได้
“ไม่ได้ทำอะไรหนักหนานักหรอก” เขายักไหล่ ก่อนจะจับจ้องไปที่หมาของผมที่กำลังวิ่งไปวิ่งมาเต็มบ้าน
“บอกมาให้หมด”
“อย่างแรกก็ให้เข้าสวนกับคนชื่อแปด…ไปเรียนรู้งานแล้วก็รดน้ำส้มในไร่ เสร็จแล้วไปฟาร์มม้ากับคนชื่อหก ไปให้อาหารม้าแล้วก็ช่วยทำความสะอาด สุดท้ายตอนเย็นค่อยกลับมาอาบน้ำให้เพื่อนคุณหนูทั้งหกตัว”
“ทำไมมันเยอะแบบนั้น แค่งานที่ไร่ก็หนักจะตายแล้วนะ” ผมบ่นด้วยความหงุดหงิดใจ แค่ได้ยินแพลนที่ว่าก็เหนื่อยแทนแล้ว
“เปิดประสบการณ์ใหม่” พี่ภูตอบรับง่ายๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “มึงไปหาอะไรทำไป กูจะไปทำงานแล้ว”
“ผมไปด้วยดิ”
“มึงกลับไปกินข้าวกับพ่อแม่ไป” เขาโบกมือไล่
“แล้วพี่ไม่กินข้าวหรือไง”
“เดี๋ยวไปหากินที่นั่น”
ผมเม้มปากแน่นเพราะหมดทางเถียง ทั้งยังเป็นเวลาเดียวกับที่เฮียสามเปิดประตูเข้ามาหาพอดี สุดท้ายเลยได้แต่ปล่อยให้เขาเดินจากไปพร้อมเฮีย
ป๋านะป๋า…อยากแกล้งก็แกล้งไป แต่ผมไม่ยอมอยู่เฉยแน่
หลังจากกลับมาถึงบ้านใหญ่แล้วผมก็ไปกินข้าวกับป๋าตามปกติ ส่วนจ๋ากินหมดไปก่อนแล้วเพราะทนรอไม่ไหว บรรยากาศในบ้านเกือบจะเงียบเหงา เพราะผมเอาแต่คิดแผนว่าจะช่วยพี่ภูยังไงจนลืมชวนป๋าคุย มารู้ตัวก็ตอนเห็นอีกฝ่ายเดินสะบัดตูดงอนกลับเข้าไปในห้องทำงาน กว่าจะง้อได้ก็กินเวลาไปเกือบสิบห้านาที
“นม…ข้าวกล่องของเก้าล่ะ” ผมกอดเอวนมสายที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในครัว แล้วถามหาของที่ฝากท่านจัดการให้ พอนมเห็นว่าผมอ้อนท่านก็ส่ายหน้า ก่อนจะชี้ไปที่ตู้กับข้าว
“นมวางไว้ตรงนั้นแล้วค่ะ”
“ขอบคุณนะครับนม” ผมฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะหอมแก้มนมไปหนึ่งทีแล้วรีบหยิบกล่องข้าวออกมาจากครัว แต่ยังไม่ทันได้ออกจากบ้าน ร่างบอบบางของใครบางคนก็มายืนขวางไว้เสียก่อน
“คุณอชิรา”
“จ๋าจะห้ามไม่ให้เราไปเหรอ”
“พูดเหมือนห้ามได้เลยเนอะ” จ๋ากลอกตาแล้วมองผมหน่ายๆ “คุณแม่แค่จะมาเตือนค่ะ”
“เตือน?”
“คุณแม่เข้าใจดีว่าคุณอชิราเป็นห่วงคุณภูและไม่อยากให้เขาเหนื่อย” จ๋าเดินเข้ามาใกล้ผม ก่อนจะมองมาด้วยสายตาจริงจัง “แต่คนบางคนเขาก็เต็มใจเหนื่อยเพื่อสิ่งสำคัญ และในเมื่อมันคือสิ่งที่เขาเลือกและต้องการ เราก็ควรเคารพและเชื่อใจเขาไม่ใช่เหรอคะ”
ผมเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไร…มันเป็นอย่างที่จ๋าบอกทุกอย่าง พี่ภูกันผมออกหลายทีแล้วเหมือนไม่อยากให้เข้าไปยุ่ง และผมก็รู้ดีว่ามันเป็นเพราะเขาต้องการทำให้ป๋ายอมรับเรื่องของเรา แต่ผมกลับคิดแต่จะหาทางลัดเพื่อเขา…
บางทีผมอาจจะเร่งจนเกือบลืมไปว่า เรื่องบางเรื่องถ้าใช้เวลา…ผลที่ได้ออกมามันอาจจะดีกว่า
“เรื่องบางเรื่องไม่ต้องคิดวางแผนอะไรหรอก…ให้เขาได้พิสูจน์ตัวเองบ้างก็ได้”
“เราเข้าใจแล้ว”
สิ่งที่ผมควรทำตอนนี้คือการเชื่อใจพี่ภู…และทำตัวเป็นสตอล์กเกอร์ที่ดี
“เห็นหน้าเหมือนตาสว่างแบบผิดๆ ของคุณอชิราแล้วคุณแม่เพลียจังเลย จะทำอะไรก็ทำเถอะ คุณแม่ไปทำอะไรที่มีประโยชน์ดีกว่า ลาค่ะ” จ๋าพูดรวดเดียวจบ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจผมอีก ในขณะที่ผมได้แต่มองแรงตามหลังไปเงียบๆ
ทำเป็นพูดว่าจะไปทำอะไรที่มีประโยชน์ จริงๆ คือจะหนีกลับไปดูละครชัดๆ
“อ้าวคุณหนู จะไปไหนเหรอครับ” เฮียสองที่เดินผ่านมาหน้าบ้านพอดีหันมาทักทายผมพร้อมรอยยิ้มกว้าง นั่นทำให้ความคิดบางอย่างวาบเข้ามาในหัวผมอย่างรวดเร็ว
“เฮียจะเข้าไร่ใช่ไหม”
“ครับ ไม่ทราบว่าคุณหนูมี…เอ่อ…”
รู้ตัวตอนนี้ก็ไม่ทันละเฮีย…
“ผมไปด้วย” ว่าแล้วผมก็เดินไปเกาะแขนเฮียสองทันที เป็นอันเข้าใจตรงกัน
“คุณหนูไปเล่นกับเดอะแก๊งดีกว่าไหมครับ ไม่ได้เจอพวกมันมานาน” เฮียสองทำหน้าเคร่งเครียดและพยายามแกะมือที่เกาะติดเป็นตุ๊กแกของผมออกอย่างสุภาพที่สุด ซึ่งมันไม่ได้ผลเท่าไหร่นัก เพราะยิ่งแกะเฮียแกก็ยิ่งลนลานมองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวใครมาเห็น และผมก็รู้ดีว่าเฮียแกกลัวอะไร…
“ผมไปเล่นกับพวกมันมาแล้ว ตอนนี้ให้คนพาไปหาอะไรกิน ไว้เย็นๆ ค่อยไปหาพวกมันอีกที”
“คุณหนู…” เฮียสองทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อผมยังยิ้มแป้นและไม่ยอมปล่อยมือ สุดท้ายเขาก็ได้แต่พยักหน้ารับทั้งน้ำตา “ผมพาไปก็ได้ รีบปล่อยก่อนที่นายจะมาเห็นเถอะครับ”
“โอเค” ผมพยักหน้ารับด้วยความพอใจ ก่อนจะยอมปล่อยแขนเฮียแต่โดยดี
ป๋ากับจ๋าไม่ใช่คนเข้มงวดกับลูกน้อง บ้านนี้เลยมีกฎอยู่แค่ไม่กี่อย่าง ซึ่งกฎอันดับแรกที่ป๋าตั้งไว้คือห้ามใครแตะต้องผมเด็ดขาด อาจจะดูเป็นเรื่องที่เว่อร์เกิน แต่สำหรับป๋าผู้หวงผมโคตรๆ นั้นถือเป็นเรื่องปกติมาก ครั้งล่าสุดจำได้ว่าตอนแปดเก้าขวบผมร้องจะขี่หลังเฮียสักคน ป๋ามาเห็นทีบ้านเกือบแตก โชคดีที่ตอนนั้นผมงอแงจนป๋ายอมลง เฮียคนนั้นเลยรอดไป
“คุณภูน่าจะเรียนรู้งานอยู่ตรงศาลาครับ” เฮียสองชี้ไปยังศาลานั่งพักซึ่งมองเห็นอยู่ไกลๆ มันเป็นศาลาพักกินข้าวของคนงานแถวนี้ ส่วนใหญ่เวลามีประชุมอะไรก็จะจัดอยู่ตรงนั้น
“เฮียอ้อมไปข้างหลังหน่อย อย่าให้พี่ภูเห็นนะ” ผมบอกแล้วชี้ไปทางซ้ายมือเพื่อให้เฮียขับรถอ้อมหลังต้นส้มแถวแรกไป
“แต่ตรงนั้นไปไม่ถึงศาลานะครับ คุณหนูต้องลงไปเดินตากแดดต่อ”
“ไม่เป็นไร ผมเดินได้”
“แต่ว่า…”
“หรือเฮียอยากให้ผมลงไปตรงนี้เลย” ผมหันไปเลิกคิ้วมองเฮียสองเป็นเชิงกดดัน “เฮียเลือกเองแล้วกันว่าจะไปด้วยกันหรือให้ผมไปคนเดียว”
คำถามนี้คงไม่ต้องการคำตอบใดๆ เพราะเพียงแค่พูดจบ เฮียสองก็เลี้ยวรถไปตามทางที่ผมต้องการในทันที เราขับรถไปตามช่องทางแรกที่ผมบอกซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ทางที่รถวิ่งได้ แต่ตรงไปได้แค่ครึ่งทางก็ต้องหยุดรถเพราะไม่มีทางให้ไปต่อ
“คุณหนูจะทำอะไรเหรอครับ”
ผมตอบคำถามเฮียสองด้วยการกระโดดลงจากรถ โดยไม่ลืมคว้าเสื้อคลุมติดมือมาด้วย หลังจากนั้นก็เดินนำไปตามทางอย่างไม่เกรงกลัวแดด ปล่อยให้เฮียสองวิ่งตามมาด้านหลังแบบงงๆ
ถึงป๋าจะเลี้ยงผมแบบประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่เรียบร้อยอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้ไม่ได้ออกแดดมากมายยามอยู่กับป๋าแต่ก็แอบออกมาวิ่งเล่นเป็นประจำ แล้วก็มีทั้งที่โดนจับได้และจับไม่ได้ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กที่มีความสุขมากๆ…ถ้าไม่นับตอนโดนจ๋าบ่นนะ
“เฮียว่าพี่ภูจะอยู่ในไร่นานไหม” ผมหันไปถามคนข้างๆ เป็นการชวนคุยในระหว่างที่เรากำลังเดินไปตามทาง
“ด้วยความสัตย์จริงนะครับ…ผมคิดว่ายาว”
“ป๋าสั่งงานแบบไม่เกรงใจกันเลย”
“นั่นเพราะนายห่วงคุณหนูมากน่ะครับ” เฮียว่า ก่อนจะพยายามใช้ทั้งมือทั้งเสื้อพัดให้ผมหายร้อนยกใหญ่ ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรนักหรอก แต่ถ้าให้อยู่เฉยๆ ก็คงไม่สบายใจ ผมเลยได้แต่ปล่อยให้แกทำต่อไป
“พี่ภูเป็นคนที่ผมเลือก…แล้วก็จริงจังมากด้วย”
“ก็เพราะรู้ว่าคุณหนูจริงจัง เขาถึงยังอยู่ตรงนี้ได้น่ะสิครับ ถ้าเป็นคนอื่นที่เข้ามายุ่มย่ามโดยที่คุณหนูไม่เต็มใจ คงถูกเตะโด่งไปแล้ว”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ในใจเงียบๆ สำหรับป๋าการยอมลงให้พี่ภูพิสูจน์ตัวเองขนาดนี้คงเต็มที่สุดๆ แล้ว ตอนนี้ผมคงทำได้เพียงคอยมองคอยสังเกตเขาแบบที่กำลังจะทำเท่านั้นเอง ถ้าทุกอย่างมันไม่ได้เกินไปนักก็คงต้องอยู่เฉยๆ บ้าง
“เข้าไปใกล้ๆ กันเถอะ” ผมหันไปมองเฮียเมื่อเราเดินมาใกล้ถึงจุดหมายแล้ว “อย่าลืมนะเฮีย ห้ามให้พี่ภูรู้ตัว”
“ครับ” เป็นการรับคำที่ดูกล้ำกลืนฝืนทนมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น…สงสารเบาๆ จนเกือบจะบอกว่าผมอยู่คนเดียวก็ได้ แต่คิดไปคิดมา บอกไปก็เปล่าประโยชน์ เฮียไม่มีทางให้ผมทนร้อนอยู่คนเดียวแน่ เพราะงั้นผมเลยได้แต่หุบปากฉับแล้วเดินต่อไป
หลังจากเดินมาจนถึงจุดที่ต้องการแล้วผมก็นั่งยองๆ ใต้เงาต้นส้มที่อยู่ไม่ไกลจากศาลานัก แต่เป็นจุดที่มองเห็นแผ่นหลังของพี่ภูซึ่งกำลังฟังเฮียแปดอธิบายงานอยู่พอดี พอได้ที่นั่งสบายๆ แล้วผมก็นั่งลงทั้งอย่างนั้นและคอยเงี่ยหูฟังสิ่งที่คนในศาลากำลังคุยกัน
“มีตรงไหนไม่เข้าใจหรือเปล่า” เฮียแปดเงยหน้าถามพี่ภูด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ที่ผมไม่คุ้นชินเอาเสียเลย
“ไม่มี” คนฟังว่าแค่นั้นก่อนจะยืดตัวตรง “ต้องลองทำดูก่อน รู้ทฤษฎีแต่ไม่ลงมือปฏิบัติมันก็เท่านั้น”
ถูกต้องพี่ภู ถูกที่สุด แต่บางทีพี่ลองทำอะไรไม่เป็นบ้างก็ดีนะ
“งั้นก็ตามมา”
ผมรีบผลักเฮียสองออกจากระยะสายตาของฝั่งนั้น เมื่อเห็นพี่ภูหันข้างเพื่อเดินออกไปพร้อมเฮียแปด รู้สึกเหมือนจะเห็นเขาขมวดคิ้วหน่อยๆ ด้วย แต่สัญชาตญาณการมองโลกในแง่ดีสั่งให้ผมเลิกสงสัยและตั้งใจทำสิ่งที่อยากทำต่อไป
“ไปเร็วเฮีย”
“คุณหนู ระวังล้มครับ” น้ำเสียงเป็นห่วงเหมือนผมเป็นเด็กน้อยไม่ได้สร้างความรำคาญให้แต่อย่างใด เพราะผมเคยชินกับเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก กลับกันยิ่งเห็นพวกเฮียแกเป็นห่วงมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งดีใจมากขึ้นเท่านั้นอีกต่างหาก…เพราะเวลาขออะไรไม่เคยโดนขัดสักที
“เฮียแหละระวังล้ม ห้าสิบแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ยังไม่ถึงครับคุณหนู…”
“ฮ่าๆ”
พอเฮียสองเงียบเพราะไม่รู้จะเถียงอะไรต่อ ผมเลยกลับมาตั้งสมาธิไปกับการแอบเดินตามพี่ภูอีกครั้ง เฮียแปดพาพี่ภูเดินไปตามทาง ก่อนจะชี้อธิบายเรื่องของส้มที่แม้แต่ผมยังไม่รู้ไปเรื่อยๆ โชคดีที่ไร่มีขนาดกว้างขวางมากแล้วต้นส้มก็โตหมดแล้ว ทางที่ผมกับพวกเขาเดินเลยมีต้นส้มช่วยบดบังสายตาไปมากพอดู ถึงอย่างนั้นผมก็ยังแอบส่องจนมองเห็นใบหน้านิ่งๆ นั้นเป็นระยะจนได้
“คุณหนู” เฮียสองกระซิบเรียกจนผมต้องหันไปจุ๊ปาก แต่เขากลับชี้ให้ผมมองไปข้างหน้า “ไอ้สิบห้าอยู่นั่นครับ”
ฉิบหาย…
ผมเบิกตากว้างเมื่อหันไปเห็นเฮียสิบห้ายืนรดน้ำต้นส้มอยู่ตรงเส้นทางที่ผมเดินพอดี นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่เฮียแกหันมาเจอผม รอยยิ้มคือสิ่งแรกที่ถูกส่งมาให้ และในขณะที่เฮียแกกำลังอ้าปากนั่นเอง…ผมหันไปมองพี่ภูแวบเดียว เมื่อเห็นว่าเขากำลังหันไปคุยกับเฮียแปดก็วิ่งเข้าใส่เฮียสิบห้าอย่างรวดเร็วจนแกผงะไป
“เงียบเลยเฮีย” ผมปิดปากเฮียไว้แน่น ก่อนจะดันให้ลงไปนั่งยองๆ อยู่กับพื้น “ห้ามบอกฝั่งนั้นว่าเจอผมนะ”
“คะ…ครับ”
โอเครู้เรื่อง…
“คุณหนู พวกเขาจะเดินมาถึงแล้วครับ” ผู้ร่วมขบวนการโดยไม่เต็มใจกระซิบบอกผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ผมว่าเราไปดักรอข้างหน้าดีกว่า”
“โอเค” ผมพยักหน้าตกลงกับเฮียสอง ก่อนจะหันไปยิ้มให้เฮียสิบห้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วรีบเดินต่อ
จุดที่เราหลบกันอยู่เป็นจุดรอยต่อระหว่างทางพอดี ผมใช้เสื้อคลุมที่พกมาคลุมหัวตัวเองไว้แล้วแอบมองคนผิวขาวจัดที่กำลังเดินมาเงียบๆ หลังจากไล่ตามอยู่นานผมก็พบว่าผิวขาวๆ ของพี่ภูเริ่มกลายเป็นสีแดงแทบจะทุกส่วน โชคดีที่เขาใส่เสื้อแขนยาวทั้งยังมีหมวกสานใบใหญ่อยู่บนหัวเลยไม่ได้โดนแดดมากนัก ถึงอย่างนั้นอากาศร้อนๆ ก็ทำให้คนไม่คุ้นชินเหงื่อออกเยอะจนต้องยกแขนเสื้อขึ้นซับหน้าอยู่หลายที
“เฮ้ย!”
“คุณหนู…ชู่ววว” เฮียสองรั้งแขนผมไว้ เมื่อเห็นผมทำท่าจะกระโดดออกไปด้านนอกโดยไม่รู้ตัว
ภาพเบื้องหน้าที่ทำให้ผมตกใจคือภาพพี่ภูที่กำลังรับจอบไปจากมือเฮียแปด ไม่ต้องเดาผมก็รู้แล้วว่าเขากำลังจะได้ทำอะไร ก็ว่าแล้วว่าทำไมถึงเดินมาทางนี้…ที่แท้ก็จะให้พี่ภูไปช่วยงานตรงไร่เปล่าที่ยังไม่ได้ลงส้ม
“เฮีย มันไม่มากไปเหรอ ตรงนั้นยังไม่มีต้นไม้เลยนะ ร้อนจะตาย แล้วทำไมต้องให้เอาจอบไป มันต้องใช้ด้วยหรือไง” ผมเขย่าแขนเฮียสองยกใหญ่ จนผ่านไปเกือบนาทีอารมณ์ถึงได้เย็นลงบ้าง ถึงอย่างนั้นหัวก็ยังแทบจะลุกเป็นไฟเมื่อรู้ว่าพี่ภูจะต้องเหนื่อยขนาดไหน ซึ่งผมไม่โอเคมากๆ
“แต่คุณภูขอทำเองนะครับ”
“นั่นมันก็ใช่ แต่…” ผมตั้งท่าจะเถียงต่อ เพราะรถที่ใช้เพื่องานสวนก็มีเยอะแยะ เราไม่จำเป็นต้องลงมือใช้แรงด้วยตัวเองเสียหน่อย แต่พอเห็นเฮียสองส่ายหน้าผมเลยต้องนิ่งฟัง
“ผมคิดว่าเขาคงอยากเข้าใจคนที่นี่ เพราะคนของเราก็ยังมีบางส่วนที่ใช้แรงงานตามความเคยชินอยู่ คุณหนูเชื่อใจเขาเถอะครับ” เฮียสองก็ยังคงเป็นเฮียสองที่มีลักษณะนิสัยเป็นคนใจเย็นและช่วยเตือนสติผมได้เสมอ สุดท้ายผมก็ทำได้เพียงพยักหน้าเข้าใจ และคอยมองคนที่กำลังเดินลุยดินโดยไม่กลัวเปื้อนอยู่ไกลๆ
มันแย่จริงๆ ที่บริเวณนั้นไม่มีที่ให้ผมหลบได้เลย แม้จะมีคนงานอยู่ตรงนั้นคอยช่วยมองและสอนงาน แต่ผมก็ทำได้เพียงมองพี่ภูด้วยความเป็นห่วงจากร่มไม้ที่ช่วยบังแดดให้จนหมด แตกต่างจากเขาที่ต้องตากแดดทำงานโดยสิ้นเชิง และถึงจะเข้าใจเหตุผลที่เขาทำแบบนี้ แต่มันก็อดทำให้ผมรู้สึกแย่ไม่ได้
ในความคิดของผมตั้งแต่ที่เริ่มชอบเขา พี่ภูคือผู้ชายที่สมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ความสามารถ ฐานะทางบ้านหรือทางสังคมก็ตาม จริงอยู่ที่ผมเห็นพี่ภูเหนื่อยกับการทำงานในบริษัทมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าจะต้องมาเห็นเขาทำงานตากแดดร้อนๆ แบบนี้ ทั้งขุดดิน เดินไปเดินมากลางแดดเพื่อถามงาน รดน้ำต้นส้ม ไหนจะวันต่อๆ ไปที่ต้องทำมากกว่านี้อีก แค่คิดผมก็รู้สึกไม่ดีแล้ว
“คุณหนู…”
“หือ” ผมตอบรับโดยไม่หันไปมอง สายตาจดจ้องไปที่…อ้าว หายไปไหนแล้ววะ
“ทำไมถึงมีกระต่ายมานั่งเขี่ยพื้นอยู่แถวนี้ได้”
“พี่…ภู” มาอยู่ตรงนี้ได้ไง…
หลังจากจ้องมองคนที่มาปรากฏตัวโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงอยู่สักพัก ผมก็ต้องส่งยิ้มแห้งไปให้เขา สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่ากระอักกระอ่วนสุดๆ เมื่อเฮียสองชิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
“คือว่า…” ผมหลุบตาลงแล้วเอานิ้วเขี่ยพื้นต่อเหมือนเด็กกลัวความผิด
“มึงมันน่าตี” พี่ภูพูดเสียงดุ ก่อนจะนั่งยองๆ ลงข้างผม “อยู่ในบ้านดีๆ ไม่ชอบ เสือกมาตากแดด”
“ไม่เลย ผมหลบในร่มตลอด” ผมรีบโบกมือไปมาขณะอธิบาย แล้วจ้องเขาตาแป๋ว “ตอนแรกก็อยากทำตัวเท่ๆ ด้วยการตากแดดเป็นเพื่อนพี่นะ แต่คิดไปคิดมามันปัญญาอ่อนเกิน แล้วผมก็ร้อนด้วยเลยขอหลบเข้าร่มดีกว่า”
“หึ” พี่ภูทำท่าจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมแบบที่ชอบทำ แต่อยู่ๆ เขาก็ชะงักไปแล้วค่อยๆ ลดมือลง ผมมองตามแค่ครู่เดียวก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร
“ตากแดดร้อนๆ แป๊บเดียวเชื้อโรคก็ตายหมดแล้ว” ว่าแล้วก็จัดการดึงมือที่เพิ่งจับจอบเก่าๆ มาแปะไว้บนหัวด้วยตัวเอง “ลูบๆ”
พี่ภูไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเมื่อเห็นการกระทำของผม แต่เมื่อโดนคะยั้นคะยอมากเข้าเขาก็ยอมขยับมือลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มมาให้
“ก้อน…”
“หือ”
“ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรมันก็เหนื่อยเหมือนกันหมด ต่อให้เหนื่อยน้อยเหนื่อยมากแตกต่างกันไปก็ตาม…” เขาดึงมือออกจากหัวผม แต่ยังคงจ้องมองมาด้วยแววตาสงบนิ่งที่เต็มไปด้วยความหวังดี “แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือความสุขในการทำงาน”
“…”
“กูรู้ว่ามึงตามมาเพราะห่วง แต่อยากให้รู้เอาไว้อย่าง…ไม่ว่ากูจะเหนื่อยขนาดไหน แต่การได้อยู่ที่นี่และทำงานที่นี่ทำให้กูมีความสุขมากกว่าตอนทำงานบริษัทหลายเท่า”
“ผม…”
“ตอนแรกที่ต้องทำงานคนเดียวที่บริษัท ความคิดกูมีแค่อยากทำให้มันเสร็จไปวันๆ แต่เพราะนิสัยที่ไม่ยอมแพ้และต้องทำให้ดีที่สุดเลยทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี…แต่พอมีมึงเข้ามา กูกลับรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขกับงานมากกว่าเดิม”
ผมได้แต่เงียบและมองหน้าคนหน้าดุด้วยความตั้งใจ ความรู้สึกแบบนั้นผมเองก็เข้าใจดี เพราะถึงจะยังไม่ได้ทำงานแต่มันก็เหมือนกันในหลายๆ เรื่อง อย่างตอนที่เขาหายไป ผมเองก็ไม่รู้สึกสนุกกับการไปเรียนเหมือนเคย
“และต่อให้งานที่นี่จะเหนื่อยมากกว่านี้อีกแค่ไหน กูก็ยังมีความสุข…”
“…”
“เพราะกูได้ทำเพื่อมึง…เข้าใจหรือเปล่า”
“น้ำตาจะไหล” ผมแสร้งสูดน้ำมูกเสียงดังจนคิดว่าอาจจะโดนพี่ภูตบหัวทิ่ม แต่เมื่อเงยหน้ามองกลับพบว่าเขาไม่ได้ตั้งท่าจะตบผมแบบที่คิด แถมยังยิ้มมุมปากแบบแปลกๆ อีกต่างหาก
“ถ้าอยากทำตัวกวนตีนกลบความเขิน ทีหลังก็หัดควบคุมสีหน้าบ้างนะ”
อะไรวะ…ผมว่าผมควบคุมดีแล้วนะ
“ไม่ได้หมายถึงสีหน้าที่มึงแสดงออก…” พี่ภูหัวเราะหึ ก่อนจะยื่นนิ้วมาจิ้มแก้มผมแรงๆ “แต่หมายถึงสีแดงๆ บนหน้ามึง”
“พี่ก็หัดมองข้ามไปบ้างได้ไหม”
ของแบบนั้นใครมันจะไปควบคุมได้วะ…แค่ฟังแล้วไม่ระเบิดตายก็เก่งแล้ว
------------------------------