-5-
คู่มือการเลี้ยงกระต่ายอย่างถูกวิธี…
มือใหม่หัดเลี้ยงกระต่าย…
สิบความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกระต่าย…
“ทำไมมันต้องยุ่งยากขนาดนี้ด้วยวะ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ ด้วยความรำคาญแต่ก็ไม่เลิกอ่าน สายตายังคงจดจ้องอยู่ที่หน้าจอโน้ตบุ๊กเช่นเดิมมากว่าสองชั่วโมงแล้ว
“มึงทำให้ยุ่งยากเอง” เสียงไอ้หมาเยาะเย้ยมาจากด้านหลัง ผมรีบหันไปมองแล้วตั้งท่าจะด่า แต่พอเห็นว่ามันกำลังนอนตักพี่กีล์เล่นเกมอย่างสบายอารมณ์ก็ได้แต่เบะปากแรงๆ
“หุบปากแล้วเล่นเกมไป”
ตอนแรกก็เฉยๆ นะ แต่เริ่มลำไยผัวเมียคู่นี้แล้วว่ะ
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์แสนสบาย ปกติถ้าไม่มีซ้อมผมมักจะใช้เวลาไปกับการนั่งกินนอนกินในหอ แต่วันนี้ไวไฟที่หอดันใช้ไม่ได้ มันจะไม่น่าหงุดหงิดเลยถ้าวันนี้ไม่ใช่วันที่ผมวางแผนว่าจะใช้เวลาไปกับการศึกษาข้อมูลเรื่องกระต่าย และที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่านั้นคือการที่โทรศัพท์โดนตัดเพราะไม่จ่ายเงินมาหลายเดือนแล้ว
ผมโดนจ๋าหักค่าขนมเพราะใช้เงินฟุ่มเฟือย ต่อให้เถียงว่าใช้เงินไปกับการกินไม่ได้ฟุ่มเฟือยเสียหน่อยจ๋าก็ไม่ฟัง กลายเป็นผมต้องหาเวลาโทรหาป๋าเพื่อขอให้โอนเงินเพิ่มให้ แล้วที่แย่คือจ๋าดันรู้ทันตลอด ไม่เคยเปิดโอกาสให้ป๋าได้รับสายเลยสักครั้ง ขนาดบอกว่าคิดถึงป๋ายังโดนแหยะใส่เลยอ่ะ
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมต้องหยิบแบงก์ห้าร้อยใบสุดท้ายออกมาใช้เรียกแท็กซี่ไปหาไอ้โซที่คอนโด
“เก้าทานอะไรมาหรือยังครับ”
ผมวางโน้ตบุ๊กลงบนโต๊ะแล้วหันไปหาพี่กีล์โดยเลือกมองเมินไอ้เพื่อนตัวดีที่กำลังหรี่ตาลงเหมือนกลัวว่าผมจะไปแย่งพี่กีล์ของมัน
“ยังเลยพี่ หิวมากเลยอ่ะ” ผมลูบท้องประกอบเพื่อความน่าเชื่อถือ
“น่าจะมีของอยู่ ยังไงเดี๋ยวพี่ทำให้ทานนะครับ” พี่กีล์ยิ้มโลกสดใสก่อนจะดันหัวไอ้หมาหน้าบึ้งออกจากตักแล้วเดินไปที่ครัว ไอ้โซเลยหันมาจ้องหน้าผมเหมือนอยากจะฆ่าให้ตายแล้วปาหมอนอิงมาทางผมอย่างรวดเร็ว เห็นแบบนั้นแล้วผมก็หัวเราะอารมณ์ดีโดยไม่นึกโกรธหมานิสัยเสียเลยสักนิด แค่ปาหมอนใบเดิมใส่หน้ามันแล้วลุกหนีก็สะใจแล้ว
“ไอ้เก้า!”
“พี่กีล์ทำไรอ่ะ” ผมเดินไปที่ส่วนครัวซึ่งอยู่ติดกับโซฟานั่งเล่น และคงเพราะไม่มีผนังกั้นสายตาไอ้โซมันเลยยอมนอนเล่นเกมต่อไม่ตามมาแยกเขี้ยวขู่เหมือนทุกที
“ว่าจะทำกับข้าวง่ายๆ สองสามอย่างครับ เก้าอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม”
“อยากกินหมูผัดขิง”
“อย่างเดียวเหรอ”
“แกงจืดวุ้นเส้น ใส่เต้าหู้ด้วย”
“ได้ครับ”
ผมมองมือพี่กีล์ที่กำลังหั่นหมูอย่างคล่องแคล่วด้วยความรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยทำอาหารกินเองเลยสักครั้ง ต้มมาม่าก็ไม่เคยเพราะจ๋าไม่ให้กิน เรียกได้ว่าไม่รู้เรื่องการทำอาหารเลยแม้แต่นิดเดียว น่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนทำอาหารจริงๆ จังๆ แบบนี้...ปกติสนใจแต่กิน
“พี่กีล์…”
“หืม”
“พี่เคยเลี้ยงสัตว์ไหม” ผมถามลอยๆ แต่ตายังคงจ้องมือพี่กีล์ด้วยความสนใจ
“ไม่เคยหรอกครับ แต่ถ้าตอนเด็กๆ ก็เคยเอาอาหารให้สุนัขจรจัดอยู่บ้าง” พี่กีล์เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบของออกมาอีกสองสามอย่าง “พี่เห็นเก้าอ่านกระทู้เรื่องกระต่าย อยากเลี้ยงเหรอครับ”
“เปล่า” ผมตอบทันควันจนพี่กีล์ต้องหยุดมือที่กำลังเตรียมของแล้วเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ “จริงๆ ผมเกลียดมัน”
“ทำไมล่ะครับ”
“มันยุบยับๆ อ่ะ แบบ...ตัวกลมๆ ก้อนๆ ดูแล้วแหยะๆ” อี๋...แค่นึกถึงไอ้ก้อนพองๆ นั่นก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว
“ไม่ชอบขนาดนั้น แล้วทำไมถึงมาสนใจเรื่องของมันล่ะครับ”
“เพราะพี่ภูดันชอบกระต่ายอ่ะดิ”
“พี่พอจะทราบจากโซมาบ้าง” พี่กีล์หัวเราะ “เห็นโซบอกว่าคุณภูดรอปไปตอนพี่อยู่ปีสี่สินะครับ”
“ใช่”
“ตอนแรกก็ไม่มั่นใจ แต่พอนึกไปนึกมา เหมือนตอนปีหนึ่งจะมีคนดังเข้ามาเรียนอยู่บริหารคนหนึ่งแล้วชื่อนี้เหมือนกัน คงจะเป็นคุณภูนี่ล่ะครับ”
“พี่รู้จักพี่ภูด้วยเหรอ” ผมถามด้วยความตื่นเต้น
“ไม่เชิงรู้จักหรอกครับ แค่เขาโดดเด่นมาก แต่ดูเหมือนจะไม่เข้ากิจกรรมอะไรสักอย่าง ประกอบกับตอนนั้นมีข่าวชกต่อยด้วย พี่เคยเจออยู่ครั้งหนึ่ง อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขายอมเป็นตัวแทนเดือนคณะคงไม่พ้นได้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยแน่ๆ” พอพูดจบแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองผม จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “พอพูดถึงเรื่องคุณภูแล้วตาเป็นประกายเชียว สรุปว่าที่อยากเลี้ยงกระต่ายเพราะคุณภูชอบสินะครับ”
“ไม่ใช่ ผมไม่ได้อยากเลี้ยง” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมอยากเปิดฟาร์มอ่ะ”
“เอ่อ…” พี่กีล์กะพริบตาปริบๆ เหมือนพูดอะไรไม่ออก แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “ความฝันยิ่งใหญ่ดีนะครับ”
“ไม่ฝันนะ จริงๆ ผมจะทำแล้ว แต่ป๋าห้ามไว้ก่อน”
“ทำไมล่ะครับ”
ทำไมน่ะเหรอ...ผมกลอกตาเมื่อนึกถึงตอนที่คุยโทรศัพท์กับป๋าวันนั้น
[ว่าไงคนแปลกหน้า] เสียงทุ้มอ่อนโยนที่ไม่ได้ยินมากว่าอาทิตย์ดังมาตามสาย ผมยิ้มเมื่อรู้สึกได้ว่าป๋ากำลังดีใจที่ได้คุย...ดังนั้นต้องรีบแสดงความต้องการออกไปโดยเร็ว
‘ป๋า เราอยากเปิดฟาร์มกระต่าย’
[หืม...ตัวเล็กไม่ชอบกระต่ายไม่ใช่เหรอ]
‘เราก็ยังไม่ชอบนั่นล่ะ แต่คนที่เราชอบชอบอ่ะ’
[อะไรนะ!] เสียงป๋าที่ตะโกนด้วยความตกใจทำให้ผมต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู
‘ป๋า อย่าเสียงดัง’
[ขอโทษ] ป๋าพูดเสียงเบาลง [ตัวเล็กรอคุณป๋าคุยกับคุณแม่สักครู่นะครับ]
‘เร็วๆ นะ’
[ครู่เดียวครับ...คุณหญิง! ทำไมผมไม่รู้ว่าลูกมีคนที่ชอบแล้ว ทำไมไม่บอกผม นี่คุณ…]
ผมอมยิ้มฟังป๋าเถียงกับจ๋าด้วยความสุขใจ ปกติป๋าจะหงอยอมตลอด แต่ถ้าเป็นเรื่องผมขึ้นมาเมื่อไหร่จะเป็นแบบนี้ทุกที ก็ป๋ารักผมจะตาย ตามใจแทบทุกอย่าง ขออะไรไม่เคยไม่ได้เลยสักครั้ง
[คุณอชิรา! เรียกคุณป๋ากลับไปก่อนจะไม่ได้กระต่ายสักตัว!]
‘ป๋า มาคุยกับเราก่อน’ ผมรีบเรียก
[ครับ ตัวเล็ก ว่าไงครับ...แหม เสียงเปลี่ยนเชียวนะยะ] ยังเถียงกันอีก
‘เรื่องฟาร์มกระต่ายของเราอ่ะ’
[ตัวเล็กจะเปิดที่ไหนดีครับ….คุณคะ! ดิฉันให้ช่วยห้าม ไม่ใช่ให้ส่งเสริมลูก!]
‘แถวบ้านได้ไหมป๋า’
[สักครู่นะครับ] ป๋าว่าแล้วเงียบไป ผมได้ยินเสียงคุยงุ้งงิ้งอยู่ไกลๆ แต่ไม่ชัดเท่าไหร่ จับใจความได้แค่ป๋ากับจ๋ากำลังเถียงกันเรื่องฟาร์มกระต่าย [ตัวเล็ก…]
‘อื้อ’
[ยังไงตัวเล็กเลี้ยงกระต่ายธรรมดาก่อนดีไหม ป๋าว่าเปิดฟาร์มเลยไม่น่าดีนะ ยังไงรอตัวเล็กเรียนจบก่อนก็ได้ ถ้าเปิดตอนนี้แล้วใครจะดูแลล่ะครับ] ป๋าว่าเสียงอ่อย
‘อืม…’ จะว่าไปดูเหมือนผมจะลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย ‘เอางั้นก็ได้’
[ยังไงถ้าอยากได้แบบไหนก็โทรบอกป๋านะครับ แล้วก็อย่าลืมศึกษาข้อมูลก่อนด้วย ถ้าเอาไปเลี้ยงแล้วยังไงก็ต้องดูแลให้ดี โอเคไหม]
‘โอเค’ ผมรับปาก
[ว่าแต่เรื่องคนที่ชอบ…ตัวเล็กต้องให้ป๋าแสกนก่อนนะ ให้ป๋าดูว่าเขาเป็นผู้หญิงที่ดีเหมาะสมกับตัวเล็กของป๋าหรือเปล่า...หึหึ] เสียงหัวเราะด้วยความสะใจของจ๋าดังตัดคำพูดของป๋า [หัวเราะอะไรคุณหญิง...ถามลูกสุดที่รักของคุณสิคะ]
‘เออใช่ ป๋า...’
[ครับ]
‘คนที่เราชอบเป็นผู้ชายอ่ะ เอาไว้เขาชอบเรากลับแล้วจะพาไปให้ดูตัวนะ บาย’
[อะไรนะ! มันเป็นใคร! ตัวเล็ก! ตัวเล็ก!...]
“ครอบครัวน่ารักจัง” พี่กีล์กลั้นหัวเราะจนหน้าแดง “ท่าทางคุณพ่อจะตามใจมากเลยนะครับเนี่ย”
“ใช่...ดีที่ผมเป็นเด็กดีไม่ค่อยขออะไรเท่าไหร่ ป๋ากับจ๋าเลยไม่ต้องปวดหัวมาก”
“เอ่อ…”
“ไม่ปวดหัวก็เหี้ยละ”
“ไรมึง!” ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้โซที่พูดแทรก มันลอยหน้าลอยตา ทำเหมือนไม่ได้ยินแล้วหันไปเล่นเกมต่อ
“แต่ที่คุณพ่อของเก้าพูดก็ถูกต้องแล้วนะครับ” พี่กีล์ยิ้มให้ผมในขณะที่มือก็ทำอาหารไปด้วย “ตอนนี้เปิดฟาร์มไปก็คงดูแลเองไม่ได้”
“ผมรู้แล้ว”
“ว่าง่ายแบบนี้น่าให้รางวัลเนอะ”
“อะไรนะพี่”
“เปล่าครับ…” พี่กีล์ตอบแล้วหันไปมองนาฬิกาที่ผนังห้อง “ได้เวลาพอดี...ยังไงเก้าช่วยลงไปซื้อของให้พี่หน่อยได้ไหมครับ”
“ของขาดเหรอ” ผมถามแล้วชะโงกหน้าไปมองของบนโต๊ะ ดูแล้วก็เยอะอยู่ แต่จะบอกว่าครบก็ไม่ได้เพราะผมไม่รู้ว่ามันต้องใช้อะไรบ้าง
“ครับ เดี๋ยวพี่จะเขียนรายการให้ ช่วยลงไปซื้อที่ร้านสะดวกซื้อข้างล่างทีนะครับ”
“ได้” ผมรับปากแล้วยืนรอพี่กีล์จดรายการของลงบนกระดาษ ไม่นานนักเขาก็ยื่นมาให้พร้อมเงินจำนวนหนึ่ง
“โชคดีนะครับ”
ผมหันไปมองพี่กีล์ด้วยความสงสัย ฝ่ายนั้นไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากส่งยิ้มมาให้ ดูจากท่าทางแล้วต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ เอาเถอะ...ลงไปถึงก็รู้เอง
ร้านสะดวกซื้อใต้คอนโดไอ้โซเป็นร้านใหญ่ รวบรวมทุกสิ่งเอาไว้เหมือนห้างขนาดย่อม ผมก้าวเท้าเข้าไปด้านใน มือยกปิดปากเพื่อหาว พอเดินมาถึงจุดที่เป็นส่วนวัตถุดิบทำอาหารแล้วก็หยุดเดินเพื่อหยิบใบรายการขึ้นมาดู
เดินวนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอครับ
ผมมองใบรายการในมือด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่ได้คิดสงสัยอะไรให้มากความ ลองเขียนมาแบบนี้แสดงว่าคงมีแผนอะไรแน่ๆ พี่กีล์คงไม่ได้ต้องการให้ผมลงมาซื้อของแต่แรก แต่เขาน่าจะต้องการให้ผมมาหาอะไรบางอย่าง ซึ่งถ้าอะไรบางอย่างที่ว่านั่นไม่ได้มีค่ามากเท่าความหิวของผม...ตุ๊กตาหมาฮัสกี้ที่ผมซื้อให้เขาในวันเกิดจะต้องพิการตาหลุดแน่นอน
ผมกวาดตามองรอบทิศทางเพื่อหาสิ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ทุกจังหวะที่ก้าวเดินเต็มไปด้วยความปวดร้าวเพราะท้องร้องไม่ยอมหยุด แล้วยิ่งประกอบกับการที่ต้องเดินวนไปวนมาอยู่ในโซนของกินยิ่งแล้วใหญ่
พอที! อะไรจะสำคัญไปกว่าของกินวะ!
“ขวางทาง” น้ำเสียงเรียบเรื่อยคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ผมหันไปมองแล้วเบิกตากว้าง
“พี่ภู!” ผมเรียกความตกใจ เท้าก้าวหลบตามคำบอกโดยอัตโนมัติ ตากวาดมองคนที่ไม่ได้เจอมาวันหนึ่งเต็มๆ อย่างพิจารณา พี่ภูอยู่ในชุดลำลองต่างจากทุกครั้งที่เจอ แถมผมเผ้ายังยุ่งเหยิงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนด้วย
“หลบไป” พี่ภูพูดเสียงห้วน หน้าตาเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่ พอผมหลบให้เขาก็เอื้อมมือไปหยิบของจากบนชั้น จากนั้นก็หันหลังเดินต่อโดยไม่พูดอะไรอีก
ดูเหมือนผมจะเจอสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่าของกินแล้วสิ…ว่าแต่ทำไมพี่ภูถึงมาอยู่ที่นี่ได้
การที่เขาใส่ชุดลำลอง รองเท้าแตะ ท่าทางเหมือนเพิ่งตื่น แค่นั้นก็รู้ได้แล้วว่าเขาคงพักอยู่ที่คอนโดเดียวกับไอ้โซ
ความบังเอิญอาจเกิดขึ้นได้แต่คงไม่บ่อยขนาดนี้ อะไรหลายๆ อย่างกำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนการเจอกันครั้งนี้เป็นอะไรที่ถูกเตรียมการไว้แล้ว อย่างน้อยการที่พี่กีล์ให้ผมลงมาเจอพี่ภูโดยตั้งใจก็ยืนยันได้เกินครึ่ง
แล้วจะคิดมากทำไมวะ ได้เจอก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง
ผมสะบัดหัวไล่นิสัยปกติของตัวเองทิ้งแล้ววิ่งไปหาพี่ภู เวลานี้คือโอกาสอันดีในการเข้าใกล้เขา ข้อสงสัยอะไรนั่นเอาไว้ทีหลังแล้วกัน
“พี่ซื้อไปทำกินเองเหรอ” ผมเดินไปยืนอยู่ข้างๆ แล้วมองเขาหยิบวัตถุดิบทำอาหารมากมายใส่ตะกร้าด้วยความสนใจ
“อืม” คนหัวยุ่งตอบสั้นๆ แต่แล้วเขาก็หันมาหาผม ดวงตาเย็นชาฉายแววงุนงงเหมือนไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง “มึงมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
“วันนี้ผมมาหาไอ้โซ” ผมยืนมองพี่ภูลูบหน้าลูบตาด้วยรอยยิ้ม “พี่เพิ่งตื่นใช่ไหมเนี่ย”
“อืม”
“พี่ภู...พี่โอเคเปล่า” ผมโบกมือไปมาตรงหน้าเมื่อเห็นว่าเขากะพริบตาถี่ๆ ท่าทางเหมือนคนเมาแล้วเพิ่งฟื้นอะไรแบบนั้น
“มึนหัว” พี่ภูขมวดคิ้วแล้วหลับตาลง ผมมองซ้ายมองขวา พยายามมองหาจุดที่น่าจะเป็นที่พักได้ แต่นอกจากชั้นของแล้วก็ไม่มีอะไรเลย สุดท้ายเลยได้แต่ดันร่างเขาเบาๆ ให้พิงตัวไปกับชั้นด้านหลัง
“พี่จะเอาไรอีกอ่ะ เดี๋ยวผมไปหยิบให้” ผมว่าแล้วคว้าตะกร้ามาถือไว้เอง
“เลือกของเป็นหรือไง” พี่ภูลืมตาถามเสียงเรียบ แต่ผมรู้สึกว่าเสียงของเขาดูอ่อนแรงกว่าทุกที
“พี่บอกมาเลย ผมจำได้”
พี่ภูเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี เห็นท่าทางเหมือนไม่ไว้ใจกันของเขาแล้วผมก็ได้แต่ยักไหล่ ถามว่าเลือกของเป็นหรือเปล่า...จะเลือกเป็นได้ยังไง รู้แค่วิธีดูวันหมดอายุเท่านั้นล่ะ แต่ถ้าบอกกันว่ามันต้องดูยังไงก็ไม่น่ามีอะไรยาก คนอย่างผมถ้าอยากจะทำก็ทำได้อยู่แล้ว กับแค่การเลือกของมันจะไปยากอะไร
“เอาไป” พี่ภูโยนอะไรบางอย่างมาให้ผม พอก้มลงมองแล้วก็พบว่ามันคือโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ใบเดิมที่ผมเคยถือมาแล้วตอนเจอกันครั้งแรก “ในโน้ตมีจดรายชื่อของอยู่ เงินก็เอาในกระเป๋า กูจะไป…”
“ไปรอบนห้องเลยพี่” ผมฉีกยิ้มกว้างก่อนจะวางของของพี่ภูลงในตะกร้าแล้วช่วยดึงแขนเขาให้ยืนตรง “เดี๋ยวผมเอาไปส่งเอง พี่ขึ้นไปรอบนห้องก่อนเลย เดินไหวไหม ให้ผมเรียกคนมาช่วยป่ะ”
“ไม่…”
“งั้นไปเลยพี่ เดี๋ยวผมตามขึ้นไป” ผมดันแขนพี่ภูเล็กน้อยเป็นเชิงไล่
“เดี๋ยว…” พี่ภูรั้งตัวไว้ เขาหันมามองผมด้วยสายตาเป็นคำถาม “มึงรู้หรือไงว่าห้องกูอยู่ไหน”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่เดี๋ยวขึ้นไปก็รู้เอง” เพราะจะไปถามไอ้โซก่อน
“แล้วทำไมกูต้องไปรอบนห้อง”
ผมกลอกตาเพื่อคิดหาคำตอบที่เป็นความจริงแต่ไม่ดูหน้าด้านจนเกินไป จะบอกว่าผมอยากเข้าห้องพี่ก็ดูไม่เข้าท่าเท่าไหร่
“ในนี้มันไม่มีที่นั่งรอ ผมไม่อยากให้พี่ยืนนาน ออกไปรอข้างนอกก็ร้อนเกินไป รอตรงล็อบบี้ก็หนาวเกินไป เพราะงั้นขึ้นไปรอบนห้องโอเคสุดแล้วพี่”
“แค่นั้น?”
ถึงที่พูดไปจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดแต่ก็ดูไม่ตรงกับความตั้งใจจริงของผมเท่าไหร่ เพราะงั้น...
“แล้วผมก็จะได้เนียนเข้าห้องพี่ด้วยไง” แมนๆ ไปเลยดีกว่า
“หึ” ครู่หนึ่งผมมองเห็นความอ่อนอกอ่อนใจปรากฏอยู่ในดวงตาคู่นั้น แต่ก่อนจะได้สังเกตให้มากกว่าเดิมคนป่วยก็หมุนตัวเดินจากไปเสียก่อน
เอาไว้ค่อยไปสังเกตต่อบนห้อง…
ผมเปิดโทรศัพท์พี่ภู ไม่ได้ยุ่งอะไรกับพื้นที่ส่วนตัวของเขาเพราะถือคติเสือกแบบพอประมาณจะดีที่สุด ในโน้ตของเขามีหัวข้อที่เป็นภาษาอังกฤษอยู่หลายอย่าง ผมกดเข้าไปที่รายการแรก ดูรายชื่อของใช้ที่เขาจดเอาไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุดิบทำอาหาร ดูจากในตะกร้าน่าจะหยิบมาเกินครึ่งแล้ว ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นขนมปัง นม น้ำผลไม้ต่างๆ ที่ไม่ต้องใช้ความสามารถในการเลือกเท่าไหร่
โชคดีที่ไม่มีให้ไปเลือกผักหรือของสด ไม่งั้นคงโดนดุเพราะเลือกอะไรไปให้ก็ไม่รู้แน่
หลังจากใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการซื้อของ ผมเดินกลับขึ้นมาชั้นบนสุดอีกครั้งโดยขนของทั้งหมดมาด้วย ดีที่พี่กีล์เปิดประตูออกมาพอดีเลยไม่ต้องเปลืองแรงใช้เท้าเตะประตู
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะครับเนี่ย” พี่กีล์เดินเข้ามารับของจากผมแล้วช่วยเอาไปวางไว้บนโต๊ะ ส่วนตัวขี้เกียจที่นอนอยู่บนโซฟา ตอนผมลงไปมันอยู่ท่าไหน ตอนนี้มันก็ยังอยู่ท่านั้น
“ของพี่ภู”
“หืม...พัฒนานะเนี่ย” พี่กีล์ยิ้มแซว
“แผนพี่ใช่ไหม”
“อย่าเรียกว่าแผนเลยครับ เรียกว่าพี่ช่วยดีกว่า” พี่กีล์หัวเราะเสียงดังเมื่อผมหรี่ตามองเป็นเชิงกดดัน “ปกติทุกวันนี้เวลานี้พี่จะลงไปซื้อของข้างล่าง แล้วเผอิญทุกครั้งที่ลงไปมักจะเจอคุณภูตลอดเวลา ก็เลยคิดว่าน่าจะมาซื้อเป็นประจำวันนี้เวลานี้เหมือนกันก็เท่านั้นเองครับ พอเห็นว่าเก้าชอบมากขนาดนั้นก็เลยช่วยให้ลงไปเจอ...แล้วไม่ดีเหรอ”
“ดีมากเลยพี่” พอหายสงสัยแล้วผมก็ชูนิ้วโป้งให้พี่กีล์ “แล้ว...โซมันรู้เมื่อไหร่ว่าพี่ภูอยู่ที่นี่อ่ะ”
พี่กีล์เอียงคอมองผม ท่าทางงงๆ เหมือนไม่เข้าใจ
“โซก็รู้แต่แรกแล้วนี่ครับ ก็คุณท่านบอกโซตั้งแต่อาทิตย์แรกแล้วว่าคุณภูจะมาอยู่ที่ห้องตรงข้ามแทนคุณท่านเพราะคอนโดเก่าของเขามีปัญหา”
“ไอ้โซ!” ผมพุ่งตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อเพื่อน “ทำไมมึงไม่บอกกู!”
“ลืม” มันตอบแล้วไหลตัวลงไปกองกับโซฟาเหมือนเดิม
พูดมาได้ว่าลืม เชื่อก็เหี้ยแล้ว เจอกันตั้งหลายทีไม่มีนึกออกเลยหรือไงวะ โคตรน่าฆ่าทิ้ง
ที่พี่ภูมาอยู่ที่คอนโดเดียวกับไอ้โซผมว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แล้วพี่กีล์ยังมาบอกว่าพ่อซีบอกไอ้โซไว้แล้วอีก ถ้าให้เดา...พ่อต้องเป็นคนแนะนำให้พี่ภูมาอยู่ที่นี่แน่ๆ
“พ่อมึงยังช่วยกูมากกว่ามึงอีก” ผมใช้เท้าถีบมันไปติดโซฟาอีกฝั่งโดยมีพี่กีล์ยิ้มมองแบบไม่คิดห้าม
“กูแค่สงสารภู”
“สงสารไร”
“สงสารที่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับคนอย่างมึง...เลยช่วยถ่วงเวลาให้อีกหน่อย”
“กูเป็นคน ไม่ใช่ผี” ผมถลึงตาใส่ไอ้โซ
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
“ไอ้โซ!”
“พอเถอะครับ” พี่กีล์เข้ามาห้ามทัพโดยการดึงแขนผมไว้ “เก้าอย่าว่าโซเลยครับ ช่วงนี้โซช่วยพี่ดูเอกสารทุกวัน อาจจะลืมจริงๆ ก็ได้ ส่วนโซก็เลิกแกล้งเพื่อนได้แล้ว เดี๋ยวเก้าก็โกรธจริงๆ หรอก”
ผมสบตาไอ้โซนิ่งงัน เราจ้องหน้ากันเหมือนจะดูว่าใครจะยอมแพ้ก่อน สุดท้ายก็เป็นมันที่เบะปากแล้วสะบัดหน้าหนี...หึ จะสู้กับกูยังเร็วไปล้านปีไอ้หมากาก!
“แล้วเก้าไม่ไปหาคุณภูเหรอครับ”
เออว่ะ ลืมไปเลย
“พี่กีล์...ช่วยไรผมหน่อยดิ” ผมหันไปหาพี่กีล์แล้วจ้องมองด้วยสายตาที่คิดว่าจริงจังที่สุดในชีวิต ไม่ต้องรอให้บอกว่าเรื่องอะไรเขาก็พยักหน้าแล้วยิ้มให้เป็นการตอบตกลง ต้องแบบนี้ดิ...คนดีของสังคม “พี่ภูไม่สบาย...ผมอยากทำอาหารให้เขาอ่ะ”
“ทำเอง?” พี่กีล์เบิกตากว้าง ท่าทางดูตกใจจริงจัง
“ใช่ ก็ถ้าให้พี่ทำให้มันก็ไม่มีความหมายดิ”
ถึงจะไม่เคยชอบใครมาก่อน แต่ผมก็รู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้ควรทำอะไร แม้นิสัยพี่ภูไม่น่าใช่คนที่ดีใจกับเรื่องแบบนี้ แถมเขายังไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมด้วย แต่ผมเชื่อว่าการตั้งใจทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้น่าจะทำให้เขาเปิดใจได้บ้าง...สักนิดก็ยังดี
“แล้วนี่เราไม่หิวแล้วเหรอ”
“ลืมไปเลย” ผมถอนหายใจแล้วเอามือลูบท้อง ไอ้หิวมันก็หิวอยู่หรอก แต่จะกินตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว กว่าจะเอาข้าวไปให้พี่ภูอีก “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทำไปกินกับพี่ภู”
“เก้าดูจริงจังกับคุณภูมากเลยนะครับ” พี่กีล์ยิ้มแล้วส่งมีดมาให้ “หั่นหมูเป็นชิ้นๆ เลยครับ ไม่ต้องหนามากนะ เดี๋ยวจะไม่สุก”
ผมพยักหน้า จับมีดหั่นหมูตามที่พี่กีล์บอก
“ผมไม่เคยชอบใคร นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้จริงจังขนาดนี้”
“มั่นใจแล้วเหรอว่ามันคือความชอบจริงๆ” พี่กีล์มองผมด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะชี้ไปที่เนื้อหมูเป็นเชิงบอกให้หั่นต่อ
“เวลาเจอคนถูกใจ ถ้ามัวแต่สงสัยว่ามันคือความชอบหรือเปล่าก็คงไม่รู้สักทีว่ามันใช่หรือไม่ใช่ ผมก็แค่กล้าที่จะเดินเข้าหาสิ่งที่สนใจ คิดว่าถ้าได้คุย ได้รู้นิสัยกันไปเรื่อยๆ ก็คงได้คำตอบเอง”
เหมือนที่พี่กีล์กับโซได้คบกัน…ไม่ใช่ว่าไม่อิจฉานะ ไอ้โซเป็นเพื่อนคนแรกของผมที่นี่ พอเห็นมันเจอคนที่ชอบแล้วกล้าพูดได้เต็มปากว่าชอบก็รู้สึกอิจฉาอยู่เหมือนกัน ยิ่งคนที่มันชอบดันใจตรงกันยิ่งแล้วใหญ่ พอได้เจอคนที่ผมรู้สึกถูกใจบ้างเลยอยากเข้าไปทำความรู้จัก อยากมีคนที่เดินไปข้างๆ กันได้เหมือนที่มันมี...ผมจะได้เขี่ยไอ้หมาขี้เกียจทิ้งไปเสียที
ให้ช่วยอะไรกูจะอ้างว่าไปหาแฟนให้หมดเลย...เดี๋ยวมึงเจอ
“แล้วถ้าวันที่เก้ารู้สึกว่าไม่ใช่ แต่เขากลับรู้สึกว่าใช่ขึ้นมาล่ะครับ”
ผมเงยหน้ามองพี่กีล์โดยอัตโนมัติ ยอมรับว่าไม่เคยนึกถึงเรื่องนั้นมาก่อน
“พี่เขายังไม่ได้ชอบผมเลย”
“เก้ากำลังพยายามอยู่ไม่ใช่เหรอ...แล้วถ้าพยายามสำเร็จขึ้นมา ถ้าความถูกใจของเก้าทำให้เขาชอบขึ้นมาจริงๆ ล่ะ จะทำยังไงดี”
ความถูกใจงั้นเหรอ…
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน…” ผมวางมีดลงเมื่อคิดว่าหมูแค่นี้น่าจะพอแล้ว “เพราะดูเหมือนความรู้สึกของผมมันก้าวข้ามคำว่าถูกใจไปแล้ว”
ถ้าผมได้มองเฉยๆ ก็คงเรียกว่าถูกใจ แต่เพราะได้เข้าไปคุย ได้เข้าไปทำความรู้จัก ถึงจะยังไม่นานแต่ผมก็กล้าพูดว่าตัวเองชอบพี่ภูจริงๆ ผมได้เห็นเขาในมุมที่คนอื่นเห็น…เห็นว่าเขาดูไม่เอาใคร ไม่สนใจใคร ไม่ชอบยุ่มย่ามกับใคร เพราะงั้นถึงสนใจ แต่สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกมีมากขึ้นคือการได้เข้าไปพูดคุย ได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเย็นชาอย่างที่คิด ถึงจะพูดน้อย ชอบทำหน้าดุแต่ก็ใจดี เขาชอบวาดรูป ทำอาหารเป็น ยิ่งรู้เรื่องของเขามากขึ้น รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นแบบที่ผมเห็นตอนแรก แทนที่ความรู้สึกจะหายไปมันกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุด
“สมเป็นเก้าจริงๆ” พี่กีล์เดินเข้ามาหาก่อนจะวางมือลงบนไหล่ผมเบาๆ “ดีแล้วครับที่ไม่ลังเล”
“ลังเล?”
“ถ้าเก้าลังเลกับความรู้สึกของตัวเอง พี่คงเตือนให้คิดดีๆ เพราะความไม่มั่นคงของเก้าอาจไปทำร้ายคนอื่น”
“อืม…” ผมพยักหน้าและคิดตามที่พี่กีล์พูด
“แต่คุณภูก็ไม่ใช่คนธรรมดาเสียด้วยสิ ยังไงก็พยายามเข้านะครับ”
“ขอบคุณมากนะพี่กีล์”
“ครับ”
ผมได้แต่หวังว่าสุดท้ายแล้วพี่ภูจะรู้สึกแบบเดียวกัน เพราะผมคงหยุดความรู้สึกของตัวเองไม่ได้...และถ้าความรู้สึกของพี่ภูมันเป็นศูนย์ ไม่มีทางเพิ่มขึ้นได้จริงๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำยังไง
คงจะเสียใจมั้ง…
แต่อย่าหวังว่าจะมีวันนั้นเลย
อย่างน้อยตอนนี้เขาก็คุยกับผมมากขึ้น ให้ผมเข้าใกล้มากขึ้น...ต้องเอ็นดูกันบ้างแหละวะ!
--------------------------