Chapter 34: [Now]
มธุวันเดินออกมาจากสนามบินโดยมีเมฆาเกาะแจไม่ห่าง ด้านหลังของเขา ประธานบริษัทและกระต่ายน้อยนามว่ามีนาเดินตามมาโดยทิ้งระยะห่างจากคู่ของพวกเขาไว้อย่างจงใจ เลขาหนุ่มไม่รู้ว่าเจ้านายรู้เรื่องของตนมากน้อยเพียงใด หรือธีรเชษฐ์เพียงแค่อยากใช้เวลาเงียบๆกับเด็กหนุ่มที่ตนโอบไหล่ไว้ไม่ได้เดินเถลไถลออกนนอกเส้นทางกันแน่
“หมอกหิวมั้ย ให้เมฆไปซื้ออะไรให้กินมั้ย?” ส่วนคนลูกนั้นก็ไม่ได้ปล่อยโอกาสที่บิดาหยิบยื่นให้หลุดมือไปง่ายๆ ชถามสารทุกข์สุกดิบของเขาทุกฝีก้าวจนผิดวิสัยแม้จะเทียบกับคนรักในอดีต มธุวันใช้กลยุทธ์ถามคำตอบคำ ออกเสียงตอบเมื่อจำเป็นกับอดีตคนรัก ถึงอย่างนั้นเมฆายังคงยิ้มกว้างให้เขาทุกครั้งที่ได้รับการพยักหน้าจากร่างโปร่ง ซึ่งไม่ใช่รอยยิ้มที่ดีต่อหัวใจดวงน้อยๆของเลขาหน้านิ่งเลย
มธุวันถึงแทบจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นญาวิกากระโดดโลดเต้นโบกมือให้เขาจากทางเท้า โรเบิร์ตยืนอยู่ข้างๆพร้อมกระเป๋าเดินทางใบโตที่มธุวันไม่เข้าใจว่าเพื่อนสนิทใส่อะไรมาเยอะแยะกับการมาอยู่แค่สองสามวัน
“แก๊~ ฉันอยากกินส้มตำ ฉันอยากกินส้มตำ!” หญิงสาวร่างเล็กพุ่งเข้ามาเขย่าแขนเพื่อนรักอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้จะรู้ว่าญาวิกากำลังท้องย่อมต้องมีของอยากทานเป็นธรรมดา แต่นิสัยงอแงอยากกินนู่นกินนี่ของเธอเป็นมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยจนชายหนุ่มชินเสียแล้ว
“ไม่ได้นะ คนท้องเขาไม่ให้กินของเผ็ด” ร่างโปร่งก้มลงกระซิบข้างหูเพื่อนสนิท ญาวิกาทำเสียงฮึดอัด แต่ก็ยอมรามือแต่โดยดี
“อะแฮ่ม!”
เลขาหนุ่มได้ยินเสียงกระแอมกระไอมาจากด้านหลังของตนอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ผิดกับโรเบิร์ตที่ไม่ได้มีท่าทีอะไรกับความสนิทสนมของเขาและญาวิกา
“ฮะ? นี่พวกแกยังคบกันอยู่อีกเหรอเนี่ย?” ญาวิกาอุทานออกมาเบาๆอย่างประหลาดใจ มธุวันรีบเอามือปิดปากเพื่อน ดวงตาเรียวตวัดกลับไปมองหาเจ้านายของตนอย่างตื่นตระหนก แต่ภาพที่เขาเห็นคือธีรเชษฐ์ที่ยังคงทิ้งระยะห่างจากพวกเขาไกลโขทรุดตัวลงคุกเข่าหนึ่งข้างและ...กำลังผูกเชือกรองเท้าให้มีนาที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
หากเขาไม่ได้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเอง มธุวันคงมีเวลาช็อคกับท่าทีของเจ้านายมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ร่างโปร่งทำได้เพียงหันกลับมาหาเพื่อนรักที่ส่งเสียงอู้อี้ประท้วงลอดผ่านมือของเขาอยู่อย่างรวดเร็ว
“ยาหยีรู้เหรอ?”
“โอ๊ย เพื่อนคะ ฉันกับไอ้นัทรู้ตั้งแต่ปีหนึ่งเทอมแรกละ พวกฉันแค่ไม่อยากพูดเพราะกลัวแกลำบากใจ” ญาวิกาเท้าสะเอว ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ “จริงๆเล้ย ถ้าเปิดตัวแล้วจะประกาศบอกเพื่อนบอกฝูงหน่อยก็ไม่ได้”
“มะ…ไม่ใช่อย่างนั้นนะยาหยี คือเรา..เราเลิกกันแล้ว” มธุวันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลำบากใจ นอกจากคนในครอบครัวของเขาที่รับรู้เรื่องความสัมพันธ์ของมธุวันกับเมฆา ร่างโปร่งไม่เคยต้องเอ่ยประโยคนี้กับใคร สีหน้าของญาวิกาแข็งกร้าวขึ้นทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น ร่างเล็กๆของหญิงสาวก้าวเข้ามาคั่นกลางระหว่างมธุวันกับเมฆาทันทีราวกับจะปกป้องอะไรเพื่อนที่ตัวสูงกว่าได้ คนที่สูงไม่ถึงอกของเมฆาด้วยซ้ำเงยหน้ามองร่างสูงด้วยแววตาไม่เกรงกลัว
“แล้วตานี่ตามแกมาทำไม? จะมาหาเรื่อง? รึว่าสะกดรอยตามมา? ให้ฉันแจ้งตำรวจมั้ย?”
“ไม่ใช่นะ! คือ…” มธุวันยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างลำบากใจ ก่อนจะตัดสินใจตอบไปตามตรง “เขาเป็นรองประธานบริษัทที่เราทำงานอยู่ เราเป็นเลขาพ่อเขา”
“ห๊ะ?”ญาวิกาหันขวับกลับมามองเพื่อนของตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน “นี่แกหางานยากถึงขั้นต้องไปทำงานบริษัทแฟนเก่าเลยเหรอเนี่ย? แกจบเกียรตินิยมไม่ใช่เหรอ?”
“ยาหยี เราโตแล้ว...เราแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับงานได้” มธุวันถอนหายใจ เขารู้ว่าถ้าบอกเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนสาวฟัง มีหวังเมฆาได้โดนแหกอกกลางสนามบินแน่ “อดีตก็คืออดีต ตอนนี้เรากับคุณเมฆาเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกัน”
“โอ๊ย ฉันล่ะเพลีย มีแต่แกเท่านั้นแหละที่แยกแยะได้มืออาชีพขนาดนี้ คนอื่นไม่มีใครเขาทำกันหรอก โอ๊ย คนสวยจะเป็นลม”
ญาวิกาบ่นอุบ มธุวันยิ้มแห้งๆให้เพื่อนรักเมื่อรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เขาไม่อยากจะรู้เลยว่าหากญาวิกาค้นพบความจริงว่าสภาพของเขาเป็นอย่างไรหลังจากเลิกกับเมฆา หญิงสาวจะคิดว่าเขาเป็นมืออาชีพอย่างในตอนนี้หรือไม่
“Darling, the car is here. (ที่รกครับ รถมาแล้ว)” โรเบิร์ตที่ยืนเงียบตลอดบทสนทนาเอ่ยขึ้น ชี้ไปที่รถที่มีโลโก้กับรูปของโรงแรมริมชายหาดแห่งหนึ่งติดอยู่ที่กำลังขับมาทางพวกเขา
“อ้าว ยาหยีไม่ได้พักที่โรงแรมธาราเหรอ?” มธุวันถามอย่างประหลาดใจ ทำไมโรเบิร์ตถึงไม่เลือกพักในโรงแรมที่จัดงานแฟชั่นโชว์ ทั้งที่ตัวเองเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ของงานแท้ๆ
“โรเบิร์ตเขาบอกว่าที่นั่นกำลังเตรียมงานคนมันวุ่ยวายน่ะ อีกอย่าง ฉันก็ดูห้องจัดเลี้ยงโรงแรมนี้ไว้ด้วย เลยคิดว่าอยู่โน่นน่าจะดีกว่า” หญิงสาวเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายเมื่อคิดถึงงานแต่งของตัวเองที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววัน “เจอกันที่โรงแรม
ธาราละกันแก เดี๋ยวฉันเอาของไปเก็บก่อน”
“อื้ม เดินทางดีๆนะ” มธุวันยิ้ม โบกมือให้เพื่อนสาวที่ก้าวเข้าไปในรถโดยมีคู่หมั้นหนุ่มชาวต่างชาติเปิดประตูให้ โรเบิร์ตหันมา
พยักหน้าให้เขากับเมฆายิ้มๆแล้วเข้าไปนั่งข้างว่าที่ภรรยาตัวน้อย
“เพื่อนหมอก...ดุเหมือนกันนะ”
เมฆาเอ่ยขึ้นหลังจากถูกปืนกลจากญาวิกาพูดรัวใส่จนหาจังหวะคัดค้านแก้ต่างอะไรให้ตัวเองไม่ได้ โชคดีที่มธุวันอยู่กับร่างเล็กมากพอที่จะสามารถโต้ตอบกับหญิงสาวได้ในระดับหนึ่ง
“อือ…” มธุวันกลับเข้าสู่โหมดถามคำตอบคำแทบจะในทันทีที่เพื่อนของตนไม่อยู่ในระยะการได้ยิน แต่เมฆายังคงไม่ยอมแพ้
“แบบนี้นอกจากชนะใจหมอก เมฆต้องทำคะแนนกับทั้งนัททั้งยาหยีด้วยใช่มั้ยเนี่ย?”
“นี่คิดไปถึงไหนแล้วเนี่ยเมฆ...” เสียงทุ้มที่กระซิบหยอกเย้านั้นทำให้มธุวันเผลอโต้ตอบไปด้วยความเคยชิน ดวงตาสีเทาอมฟ้าตวัดจ้องคนลูกไม้เยอะอย่างคาดโทษ ซึ่งเมฆาเพียงแต่ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน
“มายืนจีบกันอะไรตรงนี้? รถยังไม่มาเหรอ?”
เสียงของธีรเชษฐ์ถูกเขาลืมไปชั่วขณะทำเอามธุวันเกือบสะดุ้ง โชคดีที่เลขาหนุ่มเก็บอาการทันก่อนที่เจ้านายของตนจะจับพิรุธได้
“ยังครับ น่าจะอีกซักพัก รถค่อนข้างติด”
“เหรอ งั้นจีบกันต่อไปก็ได้ เดี๋ยวดูรถให้ ฉันไม่มีอะไรทำพอดี”
ธีรเชษฐ์ขยับยิ้มมุมปากกวนเลขาคนสนิท โชคร้ายของร่างสูงที่รอยยิ้มของเขาช่างเหมือนลูกชายคนโตราวกับเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน คนที่ไม่สามารถเอาความหงุดหงิดไปลงที่คนลูกได้จึงเบนเป้าไปที่คนพ่อแทน
“ไม่มีอะไรทำใช่มั้ยครับ? งั้นอ่านเอกสารรายละเอียดความคืบหน้าที่เราต้องไปคุยกับคุณนิโคไลให้ครบทั้งสามร้อยหกสิบแปดหน้านะครับ...” ร่างโปร่งยื่นแทบเล็ตของตัวเองให้กับเจ้านายที่อ้าปากค้างกับจำนวนหน้า
“แต่ว่านั่นมันงานของเม....”
“ของใครครับ?”
เลขาหนุ่มเลิกคิ้ว ดวงตาภายใต้แว่นไร้กรอบสื่อความหมายชัดเจนว่าหากธีรเชษฐ์ตอบผิด งานของชายหนุ่มจะไม่จบอยู่เพียงแค่นี้
“ของผมครับบอส...”
ประธานบริษัทหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อยอย่างไม่กล้าหือ แม้เขาจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้รายละเอียดของโครงการทุกตัวอักษรและย่อหน้าอย่างลูกชายคนโตที่เป็นหัวหน้าโครงการ แต่หากรู้รายละเอียดเพิ่มก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรนัก ถึงแม้จำนวนสามร้อยกว่าหน้าจะทำให้เขาแอบปาดเหงื่อก็ตาม
“คุณเชษฐ์ครับ ผม...”
“คุณมีนาอยากช่วยเหรอครับ?” มีนาหุบปากฉับ ส่ายหน้าพรืดทันทีที่ได้ยินคำถามของเลขาหนุ่ม มธุวันเปิดประตูรถตู้ที่เพิ่งมาถึงออกโดยไม่รอให้คนขับวิ่งลงมา ดันที่นั่งให้เคลื่อนไปข้างหน้าเพื่อให้คนที่จะเข้าไปนั่งด้านหลังเข้าไปได้สะดวก แล้วผายมือให้กับเจ้านายทั้งสอง
“เชิญครับ ท่านประธาน คุณมีนา คุณเมฆา”
ธีรเชษฐ์บ่นอุบว่าตัวเองยังเป็นประธานบริษัทอยู่อีกจริงๆเหรอ แต่เมื่อโดนสายตาเย็นเยียบเข้าไปอีกดอกก็หุบปากฉับเข้าไปนั่งที่เบาะหลังกับมีนาอย่างว่านอนสอนง่าย
“เชิญครับ” ร่างโปร่งหันกลับไปหาเมฆา แต่ร่างสูงเพียงแต่เอื้อมมือไปจับมือจับของประตูเลื่อน
“หมอกขึ้นก่อนสิ เดี๋ยวเมฆปิดประตูให้”
“คุณเม...”
“แม่เคยบอกว่า ถ้ารักใคร ให้ดูแลเขาให้ดี...”ใบหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้ เมฆากระซิบเสียงเบาให้แค่พวกเขาได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น “...ให้เมฆดูแลหมอกนะครับ”
“ของที่มันพังไปแล้ว ฝืนดูแลรักษามันต่อ ยังไงมันก็เป็นแค่ของที่ไม่มีคุณค่าอะไรแล้วเท่านั้นแหละครับ” มธุวันตอบเสียงเย็น ก่อนจะก้าวขึ้นรถด้วยไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย แต่ยังคงไม่วายได้ยินคำตอบของเมฆาที่ก้าวตามขึ้นมานั่งข้างตน
“มีคนเคยบอกเมฆว่า บนโลกนี้ไม่ขยะ มีแค่ของที่คนมองไม่รู้คุณค่าของมัน” มธุวันสะอึกกับคำพูดที่ตนเคยพูดกับอดีตคนรัก มือเรียวรู้สึกถึงมืออุ่นที่ใหญ่กว่าเอื้อมมาแตะบนหลังมือของเขาอย่างกล้าๆกลัวๆ แม้จะไม่ได้ยินดีกับสัมผัส แต่มธุวันก็ไม่ได้สะบัดมันออกแต่อย่างใด “...ต่อให้ต้องซ่อมไปตลอดชีวิต เมฆก็ไม่ทิ้งหรอกนะ”
“มุกหลอกเด็กนั่นใช้กับผมได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละครับ คุณเมฆา”
มธุวันดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายในที่สุด เลขาหนุ่มเบือนหน้าหนีตัดบทสนทนา หันไปมองวิวทิวทัศน์ของเมืองท่องเที่ยวนอกหน้าต่างด้วยจิตใจว้าวุ่น
------------