Chapter 30: ไม่ใช่เมฆของหมอก [2]
มธุวันเป็นคนคอแข็ง
แต่คอแข็งใช่จะหมายความว่าเขาเมาไม่ได้
“อีกแก้วครับ”
มธุวันไม่รู้ว่าเขากระดกของเหลวสีอำพันเข้าปากไปกี่แก้วแล้ว แต่โลกรอบตัวที่เริ่มส่ายไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ทั้งที่ยังนั่งอยู่กับที่บ่งบอกว่าคงมากพอตัว หลังจากที่ออกมาจากโรงแรม มธุวันก็มุ่งหน้าตรงไปที่บาร์ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมอย่างพอดิบพอดี แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ตนทำไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่เขาไม่อยากมีสติรับรู้ความเจ็บปวดที่กำลังกัดกินหัวใจของเขามากขึ้นเรื่อยๆในตอนนี้
เขาไม่อยากเชื่อว่าเมฆาตบตาเขามาโดยตลอด เวลาที่เขาพยายามปั้นหน้านิ่งยามที่อยู่ใกล้กับร่างสูงทั้งที่เจ็บเจียนตาย อีกฝ่ายคงจะหัวเราะเยาะเขาด้วยความสมเพชอยู่ลึกๆ แผลในหัวใจที่ไม่เคยคิดว่าจะบาดลึกไปมากกว่านี้กรีดลึกเสียจนมธุวันไม่คิดว่าตนจะสามารถทนพิษบาดแผลได้หากไม่มีฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เป็นตัวช่วย
“เฮ้ย!”
มธุวันได้ยินเสียงอุทานของชายหนุ่มคนหนึ่งเมื่อเขาเซหงายหลังตกจากเก้าอี้ แต่โชคดีที่มีคนรับเขาไว้ทันก่อนที่ร่างโปร่งจะกระแทกพื้น เขาได้ยินคนที่รับตัวเองไว้ถามเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าเขาเป็นอะไรหรือไม่ แต่มธุวันในตอนนี้เมาเกินกว่าจะโต้ตอบเป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาแม่ ชายหนุ่มจึงตอบคนที่เข้ามาช่วยตนด้วยเสียงอ้อแอ้
“ม่ายเปน..อึก...ราย...”
“อ้าว คนไทยนี่ พี่ครับ ไหวมั้ย? เดี๋ยวผมพาไปนั่งโซฟาก่อน”
ด้วยขนาดตัวที่ใกล้เคียงกัน อันที่จริงมธุวันดูจะตัวใหญ่กว่าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ทำให้การพาร่างโปร่งจากที่นั่งของเคาท์เตอร์บาร์ไปยังโซฟาที่อยู่อีกมุมของร้าน
“พี่ครับ พี่พักอยู่ที่ไหนเนี่ย เดี๋ยวผมไปส่ง” มธุวันฝืนเปลือกตาที่หนักอึ้งลืมขึ้นมองคนที่ช่วยเขาไว้ คนตรงหน้าดูน่าจะอายุยี่สิบไม่เกินยี่สิบเอ็ดปี ผมสีน้ำตาลหม่นเข้ากับดวงตาสีเดียวกันมองมาที่เขาอย่างเป็นกังวล
“อือ…”
มธุวันควานหากระเป๋าเงินของตนแล้วยัดใส่มือของคนตรงหน้าแล้วหลับตาลงเพื่อให้โลกหยุดหมุนติ้ว เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายเอ่ยขออนุญาตแล้วพึมพำว่าเจอคีย์การ์ดห้องของเขาแล้ว
“งั้นผมไปจ่ายเงินแป๊บนะครับ เดี๋ยวผมไปส่งที่โรงแรม”
ณ จุดนั้นมธุวันไม่รับรู้อะไรแล้ว สิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้คือเสียงของชายไทยคนนั้นตะโกนเรียกเพื่อนมาช่วยพยุงเขาออกจากบาร์เป็นภาษาญี่ปุ่น
เมฆาเดินวนไปมาในห้องพักเหมือนหนูติดจั่น ดวงตาสีควันบุหรี่เหลือบมองนาฬิกาดิจิทัลที่โต๊ะหัวเตียงอย่างเป็นกังวล เขาโทรหามธุวันนับร้อยสายแต่อีกฝ่ายปิดเครื่อง ลงไปขอความช่วยเหลือจากทางโรงแรมก็ยังไม่ได้ความคืบหน้า แต่ก่อนที่ร่างสูงจะได้กลายเป็นบ้าจากความกังวล เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
“หมอก!”
เมฆารีบเปิดประตูโดยไม่นใจจะส่องดูว่าใครเป็นคนเคาะ คนที่เขากำลังเป็นห่วงอยู่ในสภาพเมาหน้าแดงก่ำซึ่งหาได้ยากหลังจากที่อีกฝ่ายเริ่มดื่มจนชิน มีชายหนุ่มที่ดูจะอายุน้อยกว่าเขาราวสี่ห้าปีสองคนหิ้วปีกของร่างโปร่งอยู่
“พอดีผมไปเจอพี่เขาเมาอยู่ที่บาร์ฝั่งตรงข้ามโรงแรมน่ะครับ เลยพามาส่ง”
ชายหนุ่มที่ดูจะตัวเล็กกว่ามธุวันเล็กน้อยเอ่ยเป็นภาษาไทย เมฆารีบรับร่างที่เมาไม่ได้สติมาจากคนทั้งคู่ โอบไหล่ให้คนเมายืนพิงกับแผ่นอกตัวเองแล้วพยักหน้าให้คนทั้งสอง
“ขอบคุณมากครับ”
“เล็กน้อยครับพี่ คนกันเอง” คนอายุน้อยกว่ายิ้มสดใส ก่อนจะเอ่ยขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้ “แต่แฟนพี่ดูจะโกรธพี่มากเลยนะครับ พอบอกจะพากลับมาหาก็บอกแต่ว่าแฟนไม่อยู่แล้ว ไม่อยากกลับมา”
คำพูดนั้นแทงเข้ามาในอกที่ยังชอกช้ำจากคำพูดของมธุวันก่อนหน้านี้ แต่เมฆายังคงปั้นสีหน้านิ่ง
“ครับ...เขาคงไม่อยากให้อภัยผมเท่าไหร่”
“ถ้าไม่อยากให้อภัย เขาคงไม่นั่งกินเหล้าอยู่แค่หน้าโรงแรมหรอกครับ” อีกฝ่ายชูกระเป๋าตังค์ของมธุวันให้เมฆาเห็น “พอดีเมื่อกี้ใช้จ่ายค่าเหล้าน่ะครับ เงินเยอะบัตรเครดิตระดับแพลตตินัมเยอะขนาดนี้ ถ้าไม่อยากกลับมาจริงๆคงหนีไปหาห้องนอนที่อีกแล้วแหละครับ”
คำพูดของคนแปลกหน้าทำให้เมฆาฉุกคิด จริงๆคนอย่างมธุวันที่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งให้บริษัท การจะไปจองห้องพักที่โรงแรมข้างๆหรือแม้แต่ดึงดันที่จะขอเปิดห้องใหม่ทุกวันจนกว่าจะได้ห้องย่อมไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายคิดไม่ถึง แต่มธุวันกลับเลือกที่จะนอนร่วมเตียงกับเขา แม้จะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ
“ขอบคุณครับ...คุณ...”
“เหนือฟ้าครับ” เจ้าของรอยยิ้มสดใสตอบ “ถึงการให้อภัยจะเป็นเรื่องยากจนดูเหมือนแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอกนะครับ”
เมฆาสังเกตว่าแววตาของคนพูดดูเศร้าหมองขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยขอตัว ร่างสูงตวัดช้อนตัวของอดีตคนรักขึ้นอุ้มแล้วพาอีกฝ่ายไปที่เตียง ร่างโปร่งที่ถูกวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอมส่งเสียงครางอืออย่างรำคาญ พลิกตัวหนีแสงไฟที่แยงตาตน
“ถอดรองเท้าก่อนนะครับ” ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก้มลงถอดรองเท้าให้มธุวันพร้อมกับถุงเท้าของอีกฝ่าย
“ทำไม...”เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์
“ครับ?” เมฆาเงยหน้ามองคนเมาที่ก้มมองเขาด้วยแววตาเจ็บปวด ดวงตาสีเทาอมฟ้าคลอไปด้วยน้ำตา
“กลับมาทำไมอีก...”
“เมฆไม่เข้าใจ...”
“กลับมาวุ่นวายกับหมอกอีกทำไม...ฮึก...” มธุวันยกแขนขึ้นปิดดวงตาของตัวเอง ถึงแม้เมฆาจะยังคงเห็นหยดน้ำตาที่ไหลรินลงมาตามแก้มของอดีตคนรัก เหมือนน้ำกรดที่รินรดลงบนหัวใจของคนมองจนแทบหายใจไม่ออก “เมฆบอกให้หมอก
ลืม...หมอกก็ลืมแล้วไง ฮึก...จะเอาอะไรกับหมอกอีก....”
เมฆาดึงร่างของคนที่สะอื้นจนตัวโยนอย่างควบคุมไม่ได้เข้ามาในอ้อมกอดแน่น ฝังจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่มของร่างที่ยังคงสั่นเทาในอ้อมกอด
“ขอโทษนะครับคนดี...เมฆขอโทษ...”
“จะเอาอะไรจากหมอกอีก...อึก...หมอกไม่มีอะไรจะให้แล้ว...” ร่างโปร่งเอ่ยเสียงปนสะอื้น ซุกหน้ากับแผ่นอกกว้าง มือเรียวกำเสื้อของเมฆาไว้แน่น“ฮึก...จะฆ่ากันให้ตายเลยมั้ย...จะได้หมดเวรหมดกรรมกันซะที...”
เมฆารู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายตบจนหน้าชา ถึงแม้จะยังจำสาเหตุที่ทำให้เขาบอกเลิกกับมธุวัน หรือแม้แต่เหตุการณ์ในวันที่บอกเลิกกับอีกฝ่ายไม่ได้ แต่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำให้คนที่ตนอยากปกป้องด้วยชีวิตต้องเจ็บถึงขนาดนี้
“ถ้าเมฆทำให้หมอกรู้สึกแย่ขนาดนั้น เมฆจะไม่มาให้หมอกเห็นหน้าอีก” แค่ความคิดที่จะไม่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายก็มากพอที่จะทำให้เมฆาหายใจไม่ทั่วท้อง แต่หากนั่นจะทำให้หัวใจของมธุวันไม่ต้องเจอกับความเจ็บปวดแบบนี้อีก เมฆาก็ยินดีที่จะไป
“แต่คืนนี้ให้เมฆดูแลหมอกได้มั้ยครับ?”
“คิดว่าแค่หายไปจากชีวิตหมอกแล้วมันจะทำให้หมอกหายเจ็บเหรอ?” เสียงอู้อี้ดังขึ้นจากคนที่ยังซุกหน้าอยู่กับแผ่นอกของเขา “คิดว่าที่หายหัวไปตั้งสี่ปีนี่หมอกไม่เจ็บรึไง?!”
“หมอกอยากให้เมฆทำอะไรครับ...เมฆต้องทำยังไงหมอกถึงจะหายเจ็บ”
น้ำเสียงของเมฆาสั่นเครือ อ้อนวอน
เขาไม่ต้องการเห็นมธุวันในสภาพแบบนี้ ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตามที่เขาบอกเลิกกับมธุวัน เมฆาเชื่อว่ามันไม่มีวันดีพอที่จะทำให้คนที่เขารักต้องเจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็นแบบนี้
“กอด…กอดหมอกได้มั้ย?”
เสียงของมธุวันแผ่วเบาจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ แต่ในห้องที่เงียบสงัดไม่มีเสียงใดนอกจากเสียงลมหายใจของพวกเขาทั้งคู่ คำพูดของอดีตคนรักดังก้องในห้องสี่เหลี่ยมราวกับเสียงสะท้อน
“อะ..อะไรนะครับ?” เมฆาถามอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“กอดหมอก แล้วบอกว่าเมฆรักหมอก จะโกหกก็ได้...” มธุวันเงยหน้ามองคนที่ยังคงกอดตัวเองไว้แน่นด้วยดวงตาแดงก่ำ “หมอกไม่ไหวแล้ว...ให้หมอกหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง...ซักคืนก็ยังดี นะเมฆ...”
ให้เขาได้เข้าไปอยู่ในโลกแห่งความฝัน
โลกอันแสนอบอุ่นที่เมฆายังคงเป็นของเขา โลกที่เมฆายังพร่ำบอกรักเขาทั้งเช้าเย็น โลกที่ไม่ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหนในชีวิต เมฆาจะยังคงอยู่ตรงนั้นเพื่อรวบตัวเขาเข้าไปในอ้อมกอดอุ่นแล้วบอกเขาว่าเขาจะยังมีเมฆาอยู่ข้างๆตลอดไป
โลกที่คำว่าตลอดไป...มีความหมายว่าตราบจนลมหายใจของพวกเขาจะดับสูญ
“เมฆ…”
เมฆารู้ตัวว่าควรจะปฏิเสธ มธุวันในตอนนี้ไม่ได้มีสติมากพอที่จะตัดสินใจเรื่องแบบนี้ได้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเสียใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อร่างโปร่งตื่นขึ้นมาพร้อมกับสติสัมปะชัญญะที่ครบถ้วนสมบูรณ์
แต่เมื่อริมฝีปากเรียวนุ่มหยุ่นที่เขาโหยหาช่วงชิงจุมพิตร้อนแรงไปจากร่างสูงอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัว หลักการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลของเมฆาก็ถูกโยนทิ้งไปในพริบตา รู้ตัวอีกที ร่างของมธุวันก็ถูกดันให้นอนราบลงไปบนเตียงโดยมีเมฆาคร่อมทับอยู่แล้ว
“เมฆ…รักหมอกมั้ย?”
คนใต้ร่างถามเขาด้วยเสียงแผ่วเบาและสั่นเครือ ราวกับไม่มั่นใจว่าตนจะสามารถทนได้ยินคำตอบจากปากของร่างสูงได้หรือไม่
“รักสิครับ...”
เมฆาประทับจุมพิตอ่อนโยนลงบนหน้าผากของมธุวัน ก่อนจะไล่จูบซับน้ำตาบนแก้มใสที่แดงก่ำอย่างทะนุถนอม ทางด้านร่างโปร่งก็พยายามปลดกระดุมเสื้อของเมฆาอย่างทุลักทุเล จนร่างสูงต้องช่วยปลดกระดุมเสื้อของตัวเองเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหงุดหงิดใจ
“พูดอีก...” เสียงหวานร้องขออย่างเอาแต่ใจ
“เมฆรักหมอกนะครับ...รักที่สุด...” เมฆาไล่จุมพิตตามหัวไหล่มน รู้สึกถึงฟันของมธุวันที่งับลงบนซอกคอของตนอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“อีก..”
“รักนะครับ...รักหมอกคนเดียว....”
เมฆาพร่ำเอ่ยคำหวานซ้ำไปซ้ำมา แม้ตอนที่คบกันเขาจะไม่เคยบอกรักอีกฝ่ายพร่ำเพร่อ แต่ในตอนนี้ร่างสูงรู้สึกเสียดายเวลาที่เขาไม่ใช้บอกรักมธุวันให้สมกับความรักที่เขามีให้กับคนตรงหน้า
“เมฆ..อึก..เข้ามา...”
มธุวันร้องเรียกทั้งที่ร่างสูงยังไม่ได้ทำอะไรนอกจากถอดกางเกงขายาวของอีกฝ่ายออก เมฆากล่อมคนใจร้อนด้วยเสียงอ่อนโยน
“ทนอีกหน่อยนะครับคนเก่ง...”
ร่างสูงแลบลิ้นเลียนิ้วเรียวยาวของตัวเองตั้งแต่โคนจรดปลาย แม้จะไม่ใช่สารหล่อลื่นที่ดีที่สุด แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้มธุวันเจ็บมากกว่าที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มพลิกตัวร่างเปลือยเปล่าข้างใต้ให้นอนคว่าแล้วฟุบลงไปกับหมอนนุ่ม มธุวันยกสะโพกมนขึ้นลอยเด่นอย่างรู้งานให้คนมองกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“อึก…”
ทว่าเมื่อส่งนิ้วแรกเข้าไปในร่างที่เป็นฝ่ายเรียกร้อง เมฆากลับต้องขมวดคิ้วกับความคับแน่นและร่างที่จิกเกร็งไปกับผ้าปูที่นอนซึ่งเขาไม่ได้คาดหวังไว้
“หมอก...ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่...” แม้จะไม่อยากรับรู้ให้เจ็บปวดหัวใจ แต่เมฆาก็อดถามออกมาไม่ได้
“ก็ตัวเองทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เล่า!”
มธุวันซุกใบหน้าที่แดงก่ำไปกับหมอน ยอมรับกลายๆว่าหลังจากที่เลิกกับเมฆา ตนไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกับใครอีก
ถึงแม้เมฆาจะรู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์หึงหวง แต่เขาก็ยังคงดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้ยินว่าร่างกายของมธุวันยังคงเป็นของเขาเพียงคนเดียว เช่นเดียวกับที่เมฆาไม่เคยมีใครหลังจากเลิกกับมธุวัน ถึงแม้จะพยายามลองคบกับใครสักกี่ครั้ง แต่ในใจก็ยังคงกรีดร้องว่าคนอื่น’ไม่ใช่’คนที่เมฆากำลังตามหา
เขารู้สึกว่าส่วนหนึ่งในชีวิตของตนถูกใครบางคนขโมยไปจนกระทั่งได้พบกับคนคนนี้อีกครั้ง
“ทนอีกนิดนะครับหมอก เมฆไม่อยากให้หมอกเจ็บ”
สิ้นเสียงของร่างสูง มธุวันที่ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากหมอนร้องออกมาอย่างตกใจ มือเรียวทั้งสองข้างจิกหมอนไว้แน่นเมื่อรู้สึกถึงมือของคนรักที่แหวกก้อนเนื้อกลมกลึงทั้งสองออก และความรู้สึกของลิ้นสากร้อนที่ไล้วนรอบๆอย่างหยอกล้อ ก่อนจะฉกเข้ามาในตัวของมธุวันราวกับอสรพิษร้าย เล่นเอาคนที่ปกติมักจะเป็นผู้คุมเกมในสมรภูมิรบครั้งนี้ร้องครางเสียงหวานอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่
ความจริงแล้วเมฆารู้ดีว่าท่านี้สามารถกระตุ้นอารมณ์ของร่างโปร่งได้ดีที่สุด ความรู้สึกของลิ้นร้อนภายในร่างสามารถทำให้มธุวันบิดเร่าอย่างไร้ทางสู้ได้ ขาเรียวสั่นระทวยจนเหมือนคนไม่มีแรง และมือใหญ่ที่ยึดสะโพกของเขาไว้ บังคับให้รับสัมผัสที่ปลุกเร้าเกินกว่าคนไวต่อความรู้สึกอย่างร่างโปร่งจะทัดทานไหว แต่ที่พวกเขาไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้บ่อยนักเป็นเพราะหลังจากที่ม่านหมอกแห่งความต้องการสลายไป มธุวันมักจะรู้สึกอายเกินกว่าจะสู้หน้าคนรักจนเมฆาต้องโดนเนรเทศไปนอนนอกห้องอยู่บ่อยครั้ง
แต่ในเมื่อครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เมฆาจะได้แตะต้องอีกฝ่าย เขาก็จะทำให้มธุวันรู้สึกดีจนไม่สามารถลืมสัมผัสของเขาได้ก็แล้วกัน
“เมฆ...อ๊ะ…เมฆ...”
เสียงหวานครางชื่อของเขาระงมไปทั่วห้อง เมฆานึกอยากสลักความรู้สึกที่ได้รับเมื่อได้ยินมธุวันพร่ำเรียกหาเขาราวกับท่องบทสวดมนต์ให้ติดอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดไป หลังจากที่ผละออกมา นิ้วเรียวยาวของร่างสูงสามารถแทรกเข้าไปในช่องทางคับแน่นได้ง่ายกว่ารอบที่แล้ว ถึงแม้จะยังเรียกเสียงร้องเบาๆอย่างเจ็บปวดจากมธุวันได้ก็ตาม
“ขยับแล้วนะครับ”
เมฆาให้สัญญาณ ขยับนิ้วของตนเข้าออกอย่างช้าๆ จงใจงอนิ้วเมื่อลากผ่านจุดไวต่อความรู้สึกที่เขารู้ดีว่าทำให้อีกฝ่ายคลั่งได้ง่ายแค่ไหน มธุวันบิดเร่าอย่างไร้หนทางสู้ ริมฝีปากเรียวร้องออกมาเบาๆอีกครั้งเมื่อนิ้วที่สองถูกแทรกเข้ามา
“รักที่สุดเลยครับหมอก” เมฆาโน้มตัวกระซิบข้างหูอีกฝ่าย “รักจนเมฆจะเป็นบ้าอยู่แล้วรู้มั้ยครับ?”
พร้อมกับขยับหมุนควงนิ้วเรียวยาวของตนอย่างชำนาญ เรียกเสียงครางไม่ได้ศัพท์จากร่างที่ยอมโดนอีกฝ่ายปลุกเร้าจนแดงไปทั้งตัว สะโพกมนขยับสวนตามสัญชาตญาณ บ่งบอกให้เมฆารู้ว่าอีกฝ่ายพร้อมแล้วที่จะให้เขา‘กอด’
“มะ..ไม่เอาแบบนี้..”
มธุวันเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเทาเมื่ออีกฝ่ายถอนนิ้วออกมาอย่างเชื่องช้า เมฆาชะงัก ทีแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนใจจากคำขอของตัวเอง แต่ร่างโปร่งกลับพลิกกายกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ดวงตาสีเทาอมฟ้าที่ฉ่ำไปด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์และน้ำตาจ้องลึกเขาไปในดวงตาสีควันบุหรี่
มือเรียวที่สั่นเทาของมธุวันยกขึ้นแตะใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ขณะที่เรียวขาขาวแยกออกจากกันอย่างช้าๆ เมฆาจับขาของอีกฝ่ายให้แยกออกจากกันมากขึ้น ยกขาเรียวข้างหนึ่งขึ้นพาดบนไหล่แกร่ง ริมฝีปากได้รูปไล่จุมพิตตั้งแต่ข้อเท้าของคนรักไล่ขึ้นมาจนถึงต้นขาด้านใน เมฆาขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าที่โคนขาของอีกฝ่ายมีรอยสักสีดำสนิทเป็นตัวอักษรที่คล้ายจะเป็นอักษรจีน แต่เขาอ่านไม่ออกอยู่ เมฆาไม่มั่นใจว่ามันคือตัวอักษรจีนหรือตัวคันจิของภาษาญี่ปุ่น แต่หากให้เดาจากการที่คนที่เรียนภาษาจีนมาบ้างอย่างเขาไม่คุ้นเคย และความชื่นชอบในภาษาญี่ปุ่นของมธุวัน ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
แต่สิ่งที่มำให้เมฆารู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้า คือความคิดที่ว่ามีมือสกปรกของใครมาแตะต้องขาขาวเนียนของอดีตคนรัก ทั้งที่รู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์ แต่รู้ตัวอีกที ริมฝีปากได้รูปก็ดูดดึงฝากรอยแสดงความเจ้าของไว้บนรอยสักนั้น พร้อมกับรอยเขี้ยวที่ทำให้มธุวันสะดุ้งพร้อมกับเสียงร้องซี้ดที่เมฆารู้ดีว่าไม่ได้มาจากความเจ็บ
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจคือเสียงหัวเราะคิกที่ตามมาหลังจากนั้น เมฆาเงยหน้าขึ้นมองคนที่อมยิ้มทั้งที่ดวงตาฉายแววเศร้าหมองอย่างไม่เข้าใจ
“หึงเหรอ?”
“…ขอโทษครับ”
ร่างสูงตอบเสียงอ่อย แต่นั่นกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาอีกครั้ง มธุวันส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มเศร้า
“ยังจำไม่ได้หมดจริงๆสินะ”
เมฆาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไร คนที่นอนอยู่ใต้ร่างของเขามาโดยตลอดก็ตวัดขาคร่อมแล้วพลิกให้เมฆาลงไปอยู่ด้านล่างของตน มธุวันเลียริมฝีปากอย่างยั่วยวน ขยับร่างเสียดสีกับจุดกึ่งกลางลำตัวที่ถูกกระตุ้นจนตื่นเต็มตาของเมฆา เรียกเสียงคำรามต่ำในลำคอจากร่างได้เป็นอย่างดี
“เมฆ…รักหมอกมั้ย?”
มธุวันโน้มตัวมาข้างหน้า กระซิบถามเมฆาด้วยเสียงอ่อนหวานขณะที่มือเรียวขยับปลุกเร้าอสูรร้ายจนตื่นเต็มตา แล้วขยับให้แก่นกายอุ่นร้อนแนบชิดกับก้อนเนื้อกลมกลึง เมฆากัดฟันกรอดกับความรู้สึกที่ได้รับ ก่อนจะเอ่ยตอบอดีตคนรัก
“รักครับ”
มธุวันยิ้มอย่างพึงพอใจกับคำตอบที่ได้รับ เมฆาขบกรามแน่นจนเป็นสันเมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นคับแน่นที่โอบล้อมตนไว้รอบทิศ ก่อนที่ร่างที่คร่อมอยู่บนตักของเขาจะขยับกายตามทำนองรักที่ตนเป็นผู้บรรเลง ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าของมธุวันที่ขมวดคิ้วพร้อมกัดริมฝีปากล่างจนแดงก่ำอย่างยั่วเย้าหรือแผ่นหลังที่แอ่นโค้งขณะที่ร่างโปร่งสะบัดหน้าเชิดกับจังหวะรักที่เร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆล้วนแต่ทำให้เมฆาไม่อาจละสายตาได้
“รักหมอก...อ๊ะ..มั้ย...”
“อึ่ก...รักครับ...”
เมฆากัดฟันตอบ ดึงร่างที่แสนยั่วยวนนั้นเข้ามาในอ้อมกอดอย่างอดรนทนไม่ไหว สะโพกสอบกระแทกสวนตามจังหวะรักที่แสนเอาแต่ใจของอีกฝ่ายซึ่งร่อนสะโพกตอบอย่างไม่ยอมแพ้ ปลายทางของพวกเขาทั้งคู่ใกล้เสียจนเมฆาแทบจะสัมผัสได้ แต่สิ่งที่กระตุ้นให้เขาไปถึงฝั่งฝันเร็วขึ้นกลับไม่ใช่สะโพกมนที่บดเบียดลงมาอย่างเร่าร้อน หากแต่เป็นคำพูดสั้นๆ ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มที่เคยทำให้หัวใจของเขากระตุกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“เมฆ..”
“ครับ...” ร่างสูงรับคำทั้งที่สติเริ่มหลุดลอยออกไปจากร่างกายเรื่อยๆ
ริมฝีปากเรียวทาบทับลงบนริมฝีปากของเขาอย่างอ่อนโยนขัดกับบทเพลงรักเร่าร้อนที่ใกล้จะมาถึงจุดจบ ก่อนที่คำพูดแค่สองคำจากปากของมธุวันจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
“รักนะ...”--------
ตอนที่แล้วยาวแบบมหากาพย์ ตอนนี้จึงมาสั้นๆแบบตะมุตะมิ
ถามว่าทำไมถึง 80%?
เพราะถ้ารอครบร้อยน่าจะนานกว่านี้ค่ะ555555
ตั้งแต่นี้ไปจนสิ้นเดือนเมษาก็จะมาแบบโผล่ๆหายๆแต่ไม่สาปสูญเช่นเดิมครัช(หายหัวไม่เกินสองวีคแน่นอน) ยาวสอบมาราธอนนี้มันยิ้งใหญ่นัก
คิดถึงทุกคนนนนนน
14 กุมภาพันธ์ เตรียมพบกับ Sugar Daddy เล่นของสูง(อายุ) ได้นะครัช
แฟนคลับเชษฐ์มีน จะบอกว่า...ต้อนรับน้องซันกับพี่ภัทรด้วยเน้อ555555 คู่หลักจะมีสองคู่เลยฮะ