ทิวทัศน์ที่เห็นจากโรงแรมธารานั้นงดงามเสียจนมธุวันอยากจะหยุดยืนมองภาพหาดทรายสีขาวและท้องทะเลสีมรกตสะท้อนประกายจากแสงอาทิตย์ระยิบระยับบนผิวน้ำคล้ายอัญมณีเลอค่าตลอดวัน
“ทะเลที่นี่สีสวยดีเหมือนกันนะ” ธีรเชษฐ์เปรยขึ้นเมื่อเห็นสายตาของเลขาหนุ่มไม่ยอมละจากภาพตรงหน้า เช่นเดียวกับร่างเล็กข้างกายที่ตาโตเป็นประกายราวกับไข่ห่านทองคำ
“ครับ สวยเกือบที่สุดที่ผมเคยเห็น” เมฆาตอบรับคำพูดของบิดา
“หืม? แล้วที่ไหนล่ะสวยสุด?” ธีรเชษฐ์ถามลูกชายอย่างใคร่รู้ เมฆาไม่ตอบ แต่ดวงตาคมที่สบกับดวงตาสีเทาอมฟ้าของมธุวันสื่อความหมายได้ชัดเจน
ร่างโปร่งเบือนหน้าหนีสายตาหวานเชื่อมของอดีตคนรักอย่างทำตัวไม่ถูกแล้วรีบตรงไปยังเคาท์เตอร์เพื่อเช็คอินเข้าโรงแรม
“เป็นอะไรไปครับคุณหมอก? ทำไมทำหน้าแบบนั้น?”
มธุวันไปหาคนที่ส่งบัตรเชิญมาให้พวกเขาซึ่งเดินตรงมาหาเลขาหนุ่มพร้อมกับเหล่าบอดี้การ์ดบอยแบนด์วงเดิมประกบรอบทิศ มธุวันเพิ่งเคยเห็นทั้งทีมอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ ปกติชายในชุดสูทที่คอยเดินตามนิโคไลมักจะมีไม่เกินสามคน แต่นี่เรียกได้ว่าแทบจะมาเป็นขบวนรบ มธุวันเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในโรงแรมขึ้นมาเสียแล้ว
“ไม่ต้องตกใจไปหรอกครับคุณหมอก ผมแค่พาลูกน้องมาพักผ่อน” นิโคไลยิ้ม “ถ้าไม่คลายเครียดซะบ้างร่างกายจะแย่เอา แค่นี้หน้าตาเจ้าพวกนี้ก็แก่กว่าอายุไปโขแล้ว”
“ใจดีจังเลยนะครับ”
มธุวันตอบเสียงเรียบ ไม่เชื่อคำโกหกของคนตรงหน้าแม้แต่วินาทีเดียว มีอย่างที่ไหนมาพักผ่อนที่ชายหาดใส่สูทดำผูกไทค์พร้อมแว่นกันแดดกับหูฟังสื่อสารอย่างกับจะมาถ่ายหนังสายลับแบบนี้
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ นี่คีย์การ์ดสำหรับห้องสวีทหนึ่งห้อง แล้วก็ห้องConnecting roomสองห้องนะคะ...”
“ห้องอะไรนะครับ?”
มธุวันหันขวับกลับมาหาพนักงานต้อนรับที่ผงะถอยไปครึ่งก้าวกับแววตาเย็นเยียบของเขา แต่หญิงสาวยังคงความเป็นมืออาชีพไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
“Connecting room ค่ะ เป็นห้องที่ผู้เข้าพักสามารถเปิดประตูเชื่อมถึงกันได้”
เขารู้ดีถึงความหมายของประเภทห้อง แต่ที่มธุวันไม่เข้าใจคือทำไมเขากับเมฆาถึงต้องได้นอนห้องเชื่อมติดกันแบบนี้ด้วย!
ถึงจะรู้ว่ามันไม่สามารถเปิดจากฝั่งใดฝั่งหนึ่งเพียงฝั่งเดียวได้ แต่มธุวันก็รู้ว่าตราบใดที่ห้องสามารถเชื่อมถึงกัน เมฆาก็จะสามารถหาเรื่องเปิดประตูบานนั้นได้อยู่ดี
“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับคุณหมอก?” นิโคไลถาม มธุวันส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรครับ ผมขอตัวเอาของไปเก็บที่ห้องก่อนนะครับ”
“ถ้ายังไง เชิญทุกคนไปทานมื้อค่ำกับผมที่ห้องอาหารคืนนี้ด้วยนะครับ ผมอยากจะเลี้ยงขอบคุณที่อุตส่าห์ยอมมาคุยงานกับผมตั้งไกล...” ชายหนุ่มชาวต่างชาติว่า “...ผมแค่อยากหาเรื่องเที่ยว เลยทำทุกคนลำบากกันหมดเลย”
“ผมจะเรียนท่านประธานให้ครับ” ร่างโปร่งตอบก่อนจะเอ่ยขอตัวแล้วเดินกลับไปหาเมฆาที่ยืนเฝ้ากระเป๋า ส่วนอีกสองคนที่มาด้วยไปยืนชมทะเลชิดผนังกระจกใสของโรงแรมแล้ว จะให้ถูกคงต้องบอกว่ามีนากำลังตื่นตาตื่นใจกับทะเล ส่วนธีรเชษฐ์นั้นกำลังยืนคุมไม่ให้ริ้นไรแถวนี้เขามาเกาะแกะเด็กของตัวเองเสียมากกว่า
“คุยอะไรกัน?”
แม้น้ำเสียงของอีกฝ่ายจะไม่ได้ตะคอกถาม แต่คิ้วเข้มที่ขมวดมุ่นบ่งบอกได้ว่าเมฆาไม่พอใจกับการเห็นมธุวันพูดคุยกับนิโคไลตามลำพัง
“คุณนิโคไลเชิญพวกเราไปทานมื้อค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรมครับ” มธุวันตอบเสียงเรียบ ไม่ใส่ใจกับท่าทีหงุดหงิดใจของคนตรงหน้า “คีย์การ์ดครับคุณเมฆา”
“หมอก โกรธอะไรเมฆ...”
“ตอนนี้เป็นเวลางาน ผมไม่จำเป็นจะต้องเรียกคุณเป็นอย่างอื่น” มธุวันเอ่ยขัด “อย่าเรียกร้องมากนัก สิ่งที่ผมทำให้คุณไม่ใช่เพราะความจำเป็น”
ร่างโปร่งทิ้งท้าย ปล่อยให้เมฆาเฝ้ากระเป๋าต่อแล้วเดินไปตามให้เจ้านายของตนและเด็กหนุ่มข้างกายขึ้นไปดูห้องพัก
“เฮ้อ...”
หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว มธุวันตัดสินใจออกไปเดินเล่นที่ริมชายตามลำพังเพื่ิอฆ่าเวลาก่อนถึงมื้ออาหารค่ำ ไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกับคนที่พักอยู่ห้องข้างๆเกินความจำเป็นแม้จะมีกำแพงกั้นอยู่ก็ตาม
ภาพของดวงตะวันที่กำลังลาลับขอบฟ้าสาดแสงกระทบกับผิวน้ำทะเลเป็นประกายสีส้มแดงทำให้ความเครียดที่สะสมอยู่ในอกของร่างโปร่งทุเลาลงบ้างแม้จะไม่มากนัก มธุวันเหม่อมองท้องฟ้าสีแดง ปล่อยให้ลมทะเลพัดพาเอาความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไป
“วิวออกจะโรแมนติกขนาดนี้ ออกมายืนมองคนเดียวไม่เหงาเหรอครับ?”
มธุวันหันขวับได้ด้านหลังของตัวเองทันทีที่ได้ยินเสียงคนที่เขาไม่คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่ วรินทร์ในชุดคลุมกำมะหยี่ยาวสีเข้มยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร เส้นผมสีรัตติกาลยาวถึงหลังปลิวตามสายลมเอื่อยแต่กลับไม่ได้ทำให้เครื่องหน้างดงามดูด้อยลงไปเลย
“คุณวรินทร์...”
“บอกให้เรียกรินไงครับคุณหมอก”
นายแบบหนุ่มยกมือขึ้นทัดเส้นผมที่ปลิวสยายไว้หลังหูพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน แม้มธุวันจะคิดว่าดวงตาสีม่วงสดหม่นหมองกว่าทุกครั้งที่เขาเห็นก็ตาม
“คุณรินมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?” เลขาหนุ่มถาม
“มาถ่ายแบบครับ แล้วก็มาเดินแบบสำหรับงานพรุ่งนี้”
วรินทร์พยักเพยิดไปทางกองถ่ายที่กำลังเก็บสถานที่อยู่ไม่ไกล ถึงแม้งานแฟชั่นโชว์พรุ่งนี้จะเป็นคอลเล็คชั่นชุดเจ้าสาว แต่มธุวันจะไม่แปลกใจสักหากเขาเห็นวรินทร์ในชุดกระโปรงยาวปักลูกไม้เดินอยู่บนแคทวอล์กในวันพรุ่งนี้
ทันใดนั้น มธุวันพลันนึกขึ้นได้ถึงอดีตของนายแบบหนุ่มกับเจ้านายเฮงซวยของเขา และตระหนักได้ว่าการที่ธีรเชษฐ์พามีนามาเปิดตัวในแหล่งรวมกิ๊กเก่าจากทั่วโลกแบบนี้ไม่ต่างกับการแปะเป้านิ่งไว้บนหัวของมีนาชัดๆ
“ทำหน้าแบบนี้...พี่เชษฐ์คงพาใครมาด้วยใช่มั้ยครับ?”วรินทร์ถามขึ้นราวกับรู้ทันความคิดของเขา “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ...เรื่องของผมกับเขามันจบไปแล้ว คนอย่างผมไม่จำเป็นต้องระรานคนที่เขาไม่ต้องการผมแล้ว”
อื้อหือ...แบบนี้ใช่มั้ยที่เขาเรียกว่าสวยเลือกได้
“แต่กับคนอื่น...ผมไม่รับประกันนะครับ” วรินทร์เสริมด้วยรอยยิ้มมุมปาก มธุวันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“ครับ ผมพอจะทราบ”
“ลำบากแย่เลยนะครับคุณหมอก” นายแบบหนุ่มเอ่ยอย่างเห็นอกเห็นใจ มธุวันยังคงไม่เข้าใจว่าคนที่ทั้งหน้าตาดี ฉลาด และมีจิตใจดีงามอย่างวรินทร์ไปติดกับดักเจ้านายของเขาได้อย่างไร
“ผมชินแล้วล่ะครับ” เลขาหนุ่มตอบ วรินทร์ยิ้มขำ
“คุณหมอกครับ ถ้าไม่รังเกียจ รบกวนเดินเล่นเป็นเพื่อนผมหน่อยจะได้มั้ยครับ?”
“ได้สิครับ”
มธุวันรับปากแทบจะในทันที มีอะไรบางอย่างในแววตาของนายแบบชื่อดังที่เขารู้สึกว่าแปลกประหลาดไปจากครั้งก่อนๆที่พบกัน และนั่นทำให้เขาไม่อยากปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเลียบชายหาดตามลำพัง
“คุณหมอก...เคยคิดจะลาออกจากงานบ้างมั้ยครับ?”
วรินทร์ถามขึ้นหลังจากที่พวกเขาเดินเลียบหาดทรายสีขาวในความเงียบมาได้หนึ่ง มธุวันขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจกับคำถามนั้น แต่ก็ตอบไปตามความเป็นจริง
“ตอนแรกๆก็เคยคิดครับ แต่พออยู่ไปนานๆเข้าก็รู้สึกทิ้งบริษัทไม่ลง”
เขาเรียนจบบัญชีมาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง สายงานของเลขานุการนั้นแม้จะไม่ได้ไกลห่างจากสิ่งที่เขาเรียนมาสุดขอบโลก แต่ก็ยากจะเรียกได้ว่าเป็นสายอาชีพที่ตรงกับสิ่งที่เขาคิดอยากจะทำ
ในตอนนั้น เขาเคยถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นมันคุ้มกับการได้อยู่ใกล้กับเมฆาในแบบของเขา ได้มีส่วนช่วยดูแลบริษัทที่เมฆารักถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่รับรู้การมีตัวตนอยู่ของเขาจริงหรือ
และทุกครั้ง เขาจะได้คำตอบเดิมๆกลับมาเสมอ
เขาไม่รู้...
เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นมันดีต่อใครหรือไม่ เขาไม่รู้ว่าความยึดติดที่เขาไม่เคยอยากจะยอมรับนั้นส่งผลต่อความเจ็บปวดที่ไม่เคยจางหายไปเพียงไร แต่สิ่งที่เขารู้มีเพียงแค่เขาไม่อยากเดินจากไป
“งั้นเหรอครับ...” วรินทร์พึมพำ ดวงตาสีม่วงสดเหม่อลอยราวกับกำลังพูดอยู่กับตัวเอง
“คุณริน...กำลังคิดจะลาออกเหรอครับ?”
มธุวันย้อนถามอย่างสงสัย ขณะนี้นายแบบหนุ่มกำลังอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของอาชีพของตน และดูเหมือนว่าร่างโปร่งจะกลายเป็นดาวค้างฟ้าส่องสกาวอยู่ยนนภาอันกว้างใหญ่ได้อย่างไม่ยากเย็นหากยังคงอยู่ในวงการต่อไป
วรินทร์หลับตาลง ก่อนจะพยักหน้า
“ครับ ผมคิดว่าจะลาออกจากวงการเร็วๆนี้”
“เอ๊ะ? ทำไมล่ะครับ” เลขาหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“แค่รู้สึกเหนื่อยๆน่ะครับ” ชายหนุ่มผมยาวยิ้มอย่างอ่อนเพลีย “ผมแค่...อยากทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง”
เขาเคยได้ยินว่าตารางของพวกดารานายแบบในวงการบันเทิงนั้นแน่นเอี้ยดเสียจนแทบไม่มีเวลาได้หายใจ มธุวันอดรู้สึกเห็นใจวรินทร์ไม่ได้ ถ้าเขาต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำขนาดนั้นแล้วยังต้องดูแลตัวเองให้ดูไร้ที่ติอย่างวรินทร์ เขาคงลาออกไปนานแล้ว
“ค่อยๆคิดนะครับคุณริน การตัดสินใจพวกนี้เราจะเอาอารมณ์เป็นหลักไม่ได้....” มธุวันแนะนำ ก่อนจะสะดุ้งกับเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ในโทรศัพท์ของตัวเองที่ดังขึ้นขัดจังหวะ เลขาหนุ่มหยิบเจ้าเครื่องมือสื่อสารของตัวเองออกมาปิดเสียงแล้วเอ่ยอย่างขอโทษขอโพย “ขอโทษนะครับ พอดีผมมีนัดทานอาหารค่ำกับลูกค้า ผมคงต้องขอตัวก่อน”
“ครับ ผมก็กำลังจะกลับไปที่ห้องพอดี” วรินทร์เอ่ยอย่างไม่ถือสา
ทันทีที่ลับร่างของมธุวัน วิทยุสื่อสารในหูของนายแบบหนุ่มก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของทาริน
“ริน ตำแหน่งของนายอยู่ใกล้กับดวงดาวที่สุดใช่มั้ย? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆถึงมีคลื่นรบกวนแทรกขึ้นมา?”
“อยู่ที่ชายทะเล สัญญาณขัดข้องเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรหรอก” วรินทร์ก้มมองเครื่องส่งสัญญาณรบกวนขนาดเล็กที่เพิ่งถูกปิดไปในมือของตน “ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
“รับทราบ” ทารินตอบรับก่อนที่สัญญาณจะตัดไป
วรินทร์ยกมือขึ้นจับที่จี้ของสร้อยคอหยกบนลำคอขาวเนียนของตนด้วยความเคยชิน ดวงตาสีม่วงสดเหม่อมองเงาของนกที่โผบินไปในท้องฟ้าอย่างอิสระเสรีไปจนลับสายตา
ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี...เขาได้แต่หวังว่าอย่างนั้น
มธุวันมาถึงก่อนเวลานัดสิบห้านาที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมาช้ากว่าประธานบริษัทกับมีนา และรองประธานที่ยืนรอเขาอยู่หน้าร้านอยู่ดี โชคดีของเลขาหนุ่มที่นิโคไลยังคงไม่มาถึง
ร่างโปร่งเอ่ยขอโทษขอโพยตามมารยาทที่ทำให้ทุกคนต้องรอ ธีรเชษฐ์เพียงแต่พยักหน้าให้เขาอย่างขอไปที ในตอนนั้นเองที่มธุวันสังเกตว่าสีหน้าของเจ้านายถมึงทึงเหมือนไปกินรังแตนที่ไหนมา ส่วนเด็กหนุ่มร่างเล็กข้างกายก็ยืนตัวสั่นก้มหน้าก้มตาราวกับรู้ชะตากรรมของตัวเองหลังจากนี้
เกิดเรื่องอะไรตอนเขาไม่อยู่รึเปล่านะ?
มธุวันกลอกตาอย่างเหนื่อยใจกับความวุ่นวายไม่ได้หยุดได้หย่อน พลันสายตาเหลือบไปเห็นเมฆาที่ยืนมองเขามาตั้งแต่เลขาหนุ่มก้าวออกมาจากลิฟต์ สายตาที่มองเขาเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเสียจนมธุวันต้องหลุบตามองที่เนคไทค์ของร่างสูงเพื่อหลบสายตา เขารับมือกับเมฆาที่เกลียดเขาได้ แต่เขารับมือกับเมฆที่มักจะรู้จุดอ่อนทุกจุดของเขาเสมอไม่ได้จริงๆ
หากไม่ตั้งสติดีๆมีหวังคงได้เผลอตกหลุมพรางของร่างสูงอีกครั้งเป็นแน่
“คุณเมฆา เนคไทค์เบี้ยวครับ”
เลขาหนุ่มทักเมื่อสังเกตเห็นเนคไทค์สีดำปักลายดาวสีเงินจุดเล็กทำให้ดูเรียบหรูแม้ว่าเนคไทค์เส้นที่จะมีราคาไม่แพงเหมือนดังของแบรนด์เนมที่อีกฝ่ายใช้
ถามว่าเขารู้ได้ยังไงงั้นเหรอ?
เพราะมธุวันเป็นคนซื้อเนคไทค์เส้นนี้ให้อีกฝ่ายในวันที่เมฆาต้องรับผิดชอบโปรเจ็กต์เล็กๆที่บิดามอบหมายให้ทำเป็นครั้งแรกทั้งที่ยังเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยเท่านั้น
“จัดให้หน่อยสิ...”
รองประธานหนุ่มยิ้มละมุน ขยับก้าวเข้ามาใกล้คนที่ตั้งรับไม่ทันจนมธุวันแทบจะถอยหลังหนี แต่คนมีฟอร์มยังคงยืนอยู่กับที่อย่างมั่นคง
“ไม่มีมือเหรอครับ?”
“เมฆทำไม่สวยเหมือนหมอกนี่”
มธุวันสะอึกกับเสียงทุ้มที่ออดอ้อนด้วยระดับเสียงที่ตั้งใจให้เขาได้ยินเพียงคนเดียว ภาพของเมฆาที่ชอบอ้อนให้เขาผูกเนคไทค์ให้ขณะที่เจ้าตัวโอบเอวเขาไว้หลวมๆ ส่งยิ้มให้ร่างโปร่งด้วยแววตารักใคร่ และจบท้ายด้วยจุมพิตที่ริมฝีปากเบาๆเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ปรากฏในหัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาพความสุขที่แม้จะอยากลืมเท่าไหร่แต่กลับฝังลึกลงในจิตใจมากขึ้นเท่านั้นทำให้มธุวันรู้สึกถึงความร้อนบริเวณขอบตา แต่เลขาหนุ่มฝืนน้ำตากลับลงไปได้อย่างทันท่วงที ก่อนจะก้าวเข้ามาประชิดร่างของรองประธานร่างสูงแล้วก้มหน้าก้มตาขยับเนคไทค์ของชายหนุ่มให้เข้าที่ ส่วนหนึ่งเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นความหวั่นไหวในแววตาของตัวเองในตอนนี้
“อ้าว มาเร็วกันจังเลยนะครับทุกคน ขอโทษนะครับที่ให้รอ ผมจองโต๊ะไว้แล้ว เชิญเลยครับ”
นิโคไลที่เพิ่งมาถึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้าง แม้จำนวนผู้ติดตามของชายหนุ่มจะยังคงจำนวนเท่าเดิม แต่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ติดตามนิโคไลและพวกเขาทั้งสี่เข้าไปในภัตราคาร
“อ้าว หมอก!”
เมื่อเดินเข้ามาในร้าน สิ่งแรกที่มธุวันเห็นคือโต๊ะริมหน้าต่างขนาดเล็กที่ถูกจับจองโดยญาวิกาและคู่หมั้น หญิงสาวโบกมือให้เขาอย่างตื่นเต้น พวกเขานัดเจอกันวันพรุ่งนี้เนื่องจากมธุวันโทรไปบอกอีกฝ่ายว่าต้องไปทานอาหารค่ำกับลูกค้า ไม่คิดเลยว่าญาวิกาจะมาทานมื้อค่ำที่ภัตราคารนี้เช่นกัน
มธุวันโบกมือตอบเล็กๆพร้อมรอยยิ้มจางพยักหน้าทักทายโรเบิร์ตพอเป็นพิธีแล้วเดินต่อไป แต่นิโคไลกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“จะไม่แนะนำผมให้รู้จักกับคุณผู้หญิงแสนสวยคนนี้หน่อยเหรอครับคุณหมอก”
“อุ๊ย พูดจาดีอ่ะ” คนบ้ายอบิดไปมาอย่างขวยเขินเมื่อเจอออร่าความหล่อของคนชม มธุวันสังเกตว่าโรเบิร์ตมีสีหน้ามึนตึงขึ้นมาทันที ซึ่งคงไม่แปลกเท่าไหร่ในเมื่อคู่หมั้นของชายหนุ่มเล่นอายม้วนจนจะกลายเป็นเค้กโรลอยู่แล้ว
“คุณนิโคไล นี่ญาวิกา เพื่อนของผม แล้วก็คุณโรเบิร์ต คู่หมั้นของเธอครับ”
“สวัสดีค่ะคุณนิโคไล” ญาวิกายิ้มให้ชายหนุ่มผมบลอนด์อย่างเป็นมิตรตามประสาคนอัธยาศัยดี ซึ่งชายหนุ่มก็ยิ้มตอบด้วยแววตากรุ้มกริ่ม ไม่ได้สนใจคู่หมั้นของหญิงสาวที่นั่งหัวโด่อยู่เลยแม้แต่น้อย มธุวันเห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยขอตัวกับเพื่อนสนิท แล้วเดินตามบริกรไปที่โต๊ะของพวกตนต่อ
มธุวันนั่งลงระหว่างเมฆากับนิโคไล เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาเป็นผู้ติดต่องานกับชายหนุ่มโดยตรง และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขารู้ว่าถึงอย่างไรเมฆาก็จะต้องหาเรื่องนั่งข้างเขาให้ได้อยู่ดี
“สั่งได้เต็มที่เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” นิโคไลว่า
มธุวันรับเมนูมาจากบริกรแล้วพลิกดูรายการอาหารที่เต็มไปด้วยซีฟู้ดจัดเต็มสมกับเป็นโรงแรมติดชายทะเล เลขาหนุ่มหันไปหาพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ไกล บริกรหนุ่มรีบเดินมาหาเขาอย่างรู้งานแล้วก้มลงฟังคำขอที่มธุวันกระซิบบอกพร้อมพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้มจากจิตใจบริการแล้วเดินจากไป
“มีอะไรรึเปล่าครับคุณหมอก?” หนุ่มอิตาลีถามด้วยความสงสัยกับท่าทางของร่างโปร่ง
“ไม่มีอะไรครับ” เลขาหนุ่มตอบปัด เมื่อคนถูกถามไม่อยากตอบคำถามนิโคไลก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ มธุวันคิดว่าเรื่องจะจบไปแล้ว แต่มือที่แตะลงบนต้นขาของเขาพร้อมเสียงทุ้มของคนที่โน้มตัวมากระซิบข้างหูทำให้ร่างโปร่งรู้ว่าตนคิดผิด
“ขอบคุณครับหมอก”
“ผมไม่ได้ทำอะไร” มธุวันกระซิบตอบเสียงห้วน
“หมอกไม่ได้บอกให้พ่อครัวระวังเรื่องกุ้งปนมากับอาหารเหรอ?” แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่ดวงตาวาววับราวกับเด็กได้ของเล่นนั้นเป็นหลักฐานชั้นดีว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการคำตอบ
มธุวันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของอดีตคนรัก หันไปสนใจนิโคไลที่ชวนทุกคนในโต๊ะคุยเรื่องสัพเพเหระทำำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงพอสมควร แม้กระทั่งมีนาที่ดูตื่นๆเป็นพิเศษยังเริ่มยิ้มออกเมื่อชายหนุ่มชาวต่างชาติชวนคุย แต่ถูกคนที่นั่งข้างๆรวบเข้ามาใกล้ตัวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“…ว่าแต่ คุณคนสวยคนนั้นเป็นเพื่อนกับคุณหมอกมานานแล้วเหรอครับ?” นิโคไลถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แม้จะประหลาดใจ แต่มธุวันก็พยักหน้า
“ครับ เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย”
“สวยมากเลยนะครับ คู่หมั้นก็หล่อมาก ลูกที่กำลังจะเกิดคงหน้าตาดีแน่ๆ”
มธุวันแทบจะสำลักน้ำที่ยกขึ้นจิบออกทางจมูก ร่างโปร่งถามชายหนุ่มผมบลอนด์ด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“คุณนิโคไลรู้ได้ยังไงครับ?”
“ก็มาเดทภัตราคารหรูขนาดนี้ จากการแต่งหน้า เสื้อผ้า กระเป๋าที่เข้าชุดกัน ดูก็รู้ว่าสนใจด้านแฟชั่น แต่กลับใส่รองเท้าไม่มีส้นทั้งที่เป็นสาวน้อยตัวเล็กๆ” นิโคไลยิ้ม “ทั้งที่ตัวเล็กแต่กลับใส่ชุดที่พรางหน้าท้อง อาหารที่สั่งก็ยังมีแต่อาหารจืดๆ แถมยังดื่มน้ำเปล่าทั้งที่คู่หมั้นตัวเองดื่มไวน์ชั้นดี ผมก็แค่เดาเอาจากการสังเกตน่ะครับ”
เจอกันเพียงแค่ไม่กี่วินาทีนิโคไลยังสามารถมองญาวิกาได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ มธุวันอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องของเขาขนาดไหน
นิโคไลยกแก้วไวน์ของตนขึ้นด้วยรอยยิ้มมุมปากพร้อมกับพยักหน้าแสดงความยินดีให้โต๊ะของญาวิกาที่อยู่ถัดจากพวกเขาไปไกลพอสมควร มธุวันหันกลับไปมองตามสายตาของชายหนุ่ม พบว่าโรเบิร์ตกำลังจ้องเขม็งมาที่นิโคไลด้วยสีหน้าขุ่นมัว
อา...คงจะยังโกรธเรื่องที่นิโคไลไปเล่นหูเล่นตากับคู่หมั้นของตัวเองสินะ
มธุวันได้ต่หวังว่าโรเบิร์ตจะไม่ใช่พวกอารมณ์ร้อนที่ใช้กำลังตัดสินปัญหา เพราะเขารู้ว่าหากชายหนุ่มมีเรื่องกับมาเฟียอิตาลีที่มีลูกน้องประกบรอบทิศตอนนี้ ญาวิกาคงได้เป็นแม่หม้ายลูกติดแน่
--------------------------
ยาวอยู่นะตอนนี้55555
คิดถึงทุกคนเบยฮ้าพพพพ