Chapter 33: [Then] Let go of the past.
“ฮือ ฉันไม่อยากไปแล้วอ่ะแก”
ญาวิกางอแงอย่างไม่อายคนในสนามบิน มธุวันยิ้มเจื่อน ไม่รู้ว่าควรจะปลอบเพื่อนสาวตัวเล็กว่าอย่างไร วันนี้พวกเขาและครอบครัวของญาวิกามาส่งอีกฝ่ายไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส แต่สาวมั่นที่พวกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยมโดยตลอดกลับเกาะพวกเขาแจไม่ยอมปล่อยมาตั้งแต่เดินเข้าสนามบิน
“พอเลยไอ้หยี เดี๋ยวไอ้หมอกมันขาดอากาศตายกันพอดี”
ณัฐภาสดึงเอาร่างเล็กที่กอดแขนมธุวันไว้แน่นออกจากเพื่อน แต่ญาวิกาไม่ยอมปล่อย
“แก๊~ ฮืออออ”
“ไปเรียนแค่แป๊บเดียวเองยาหยี คิดซะว่าไปเที่ยว เนอะ” ร่างโปร่งพยายามพูดให้เด็กสาวใจเย็นลง แต่ญาวิกาส่ายหน้าพรืด
“ไม่เอาแล้ว”
“หยี อายเขาน่ะลูก ปล่อยเพื่อนเถอะ” มารดาของเด็กสาวเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“ไอ้หยี นึกถึงผัวฝรั่งไว้มึง อยู่นี่มึงหาไม่ได้นะเว้ย!”
ณัฐภาสถึงกับเซถอยหลังเมื่อคนที่เขาพยายามดึงออกจากมธุวันปล่อยมีจากร่างโปร่งด้วยตัวเอง ญาวิกายกมือขึ้นปาดน้ำตา
ป้อยๆพร้อมสูดหายใจดังฟุดฟิด
“ปะ…ไปก็ได้”
“โอ้โหไอ้...”
ณัฐภาสกลืนคำด่าเข้าไปในลำคอเมื่อนึกขึ้นได้ว่าครอบครัวของเด็กสาวยืนอยู่ไม่ไกล ญาวิกาแลบลิ้นใส่เด็กหนุ่มที่ยังจับแขนเธอไว้อยู่ มธุวันยิ้มเจื่อน เขารู้ว่านี่เป็นวิธีแสดงความรักแบบแปลกๆของเพื่อนรักทั้งสอง
แต่เด็กหนุ่มก็อดใจหายไม่ได้เมื่อคิดว่าในอีกไม่กี่วัน ณัฐภาสก็ต้องไปเรียนและฝึกงานนอกสถานที่เช่นกัน
เมื่อคนที่เดินมาด้วยกันตั้งแต่ปีหนึ่งมาถึงทางแยกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มธุวันรู้สึกว่าตนโชคดีที่อย่างน้อยที่สุด เขาก็ยังคงมีเมฆาอยู่ข้างกายต่อจากนี้
“ไปแล้วนะแก พ่อคะ แม่คะ หยีไปแล้วนะคะ”
ญาวิกากอดลาทุกคนเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียก มธุวันโบกมือให้เพื่อนตัวเล็กไปจนลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใจอย่างใจหาย
“ป่ะ ไปหาอะไรกินกัน”
หลังจากทั้งสองไหว้ลาครอบครัวของญาวิกา ณัฐภาสกอดคอเพื่อนที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของตนกลับไปยังรถของโตมรที่รออยู่ด้านนอก
“กลับมาแล้วเหรอ?”
เมฆาทักคนรักที่เดินคอตกกลับเข้ามาในห้อง เห็นท่าทีเซื่องซึมของมธุวันแล้วร่างสูงก็อดสงสารคนรักไม่ได้ เมฆาดึงร่างโปร่งเข้ามาในอ้อมกอด มธุวันซุกหน้าลงบนไหล่กว้างอย่างเหงาหงอย เอ่ยพึมพำเสียงอู้อี้ข้างหูคนรัก
“ดีจังที่หมอกยังมีเมฆ...”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ? ยาหยีแค่ไปเรียนต่อ ไม่ได้ย้ายบ้านไปอยู่ที่นู่นซักหน่อย” เมฆาเอ่ยเสียงนุ่ม พยายามหลอกล่อให้คนหงอยอารมณ์ดีขึ้น มธุวันเพียงแค่ส่งเสียงงึมงำรับรู้ความพยายามของเขา ก่อนจะสังเกตเห็นพลาสเตอร์แผ่นใหญ่ที่แปะอยู่บนต้นแขนของร่างสูง
“ไปโดนอะไรมาน่ะเมฆ”
“อ๋อ แค่กิ่งไม้ข่วนน่ะ ไม่รู้ไปโดนมายังไง ไม่ต้องสนหรอก เมฆแค่แปะไว้กันแขนเสื้อเสียดสีแผลแค่นั้นแหละ”
เมฆาไม่เคยรู้สึกดีที่โกหกคนรัก แต่คำโกหกที่ซักซ้อมมาอย่างดีนั้นฟังดูเป็นธรรมชาติจนร่างสูงอดภูมิใจไม่ได้ เช่นเดียวกับ ‘อุบัติเหตุเล็กน้อย’หลายครั้งก่อนหน้า คนเจ็บเลือกที่จะปิดบังข้อสังเกตของตนไว้เพื่อไม่ให้คนรักต้องกังวลใจโดยใช่เหตุ นาวินทร์ยังคงไม่ติดต่อมา แต่จากรอย’กิ่งไม้’ที่แท้จริงแล้วเป็นรอยลูกกระสุนของปืนอัดลมระยะไกลทำให้เมฆารู้ว่าเพื่อนของ
เขายังคงไม่สามารถหาตัวคนร้ายได้เจอ
“ระวังหน่อยสิ...อ๊ะ!”
ร่างโปร่งร้องเมื่อคนรักทรุดตัวลงกอดเอวบางไว้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมฆานึกขอบคุณความหื่นกามตลอดเวลาและทุกสถานที่ของตัวเองที่ทำให้มธุวันไม่ได้เอะใจเลยว่าตนกำลังพยายามเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน
“เดี๋ยวเมฆเอาผ้าออกให้นะ”
ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาร่างสูงเป็นคนดูแลรอยสักให้กับคนรัก เมฆาถึงกับต้องกลับน้ำตาเมื่่อตนเป็นฝ่ายห้ามมธุวันไม่ให้ทำกิจกรรมสุ่มเสี่ยงที่อาจทำให้รอยสักติดเชื้อ โชคดีที่คนหัวไวอย่างมธุวันมักจะสรรหาวิธีที่ทำให้พวกเขาทั้งคู่มีความสุขโดยไม่ให้เลอะเทอะบริเวณที่ในตอนนี้ถูกประทับชื่อแสดงความเป็นเจ้าของไว้บนผิวกายเนียนละเอียด
ทันทีที่ผ้าพันแผลสีขาวสะอาดถูกหล่นลงไปกองกับพื้นร่วมกับกางเกงขายาวของมธุวัน ริมฝีปากได้รูปก็นาบลงบนรอยสักสีดำสนิทบนโคนขาด้านในของคนรักอย่างรักใคร่ มธุวันยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงครางหวานเมื่อลิ้นร้อนตวัดลากยาวไปตามรอยสักของตนโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า
“เมฆ!”
คนที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับเข่าอ่อนเมื่อถูกจู่โจมในบริเวณที่ไวต่อความรู้สึก มธุวันเอนพิงผนังเพื่อช่วยพยุงร่างของตนแทนขาเรียวที่สั่นเทา มือเรียวขยุ้มกลุ่มผมหนานุ่มของคนรักเพื่อระบายความรู้สึกที่ตนกำลังถูกปรนเปรอ เมฆาพรมจูบทั่วต้นขาขาว ฝากรอยประทับกระจายรอบรอยสักประหนึ่งสัญลักษณ์แสดงความเป็นเจ้าของอีกอย่าง
“อะไรเหรอครับ?”
เจ้าของชื่อเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาใสซื่อ มธุวันถอนหายใจ
“ไปที่ห้องนอนก่อนมั้ย มาทำอะไรตรงนี้เนี่ย”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ตรงนี้รอบนึงแล้วค่อยไปต่อที่ห้องก็ได้” เมฆาฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ “หรือหมอกอยากแวะห้องครัวก่อนเมฆก็ไม่ว่านะ”
“แล้วเมฆคิดว่าคนที่ต้องทำความสะอาดนี่ใคร?” มธุวันบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะหลุดหัวเราะคิกเมื่อริมฝีปากร้อนทาบลงบนหน้าท้องแบนราบของตน
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเมฆช่วย”
เมฆเลียริมฝีปากของตัวเองอย่างเชื่องช้า แววตาของร่างสูงทำให้หน้าของมธุวันเห่อร้อนอย่างห้ามไม่อยู่
“เฮ้อ...หมอกขัดใจเมฆได้ที่ไหนล่ะ”
มธุวันเอ่ยเสียงอ่อนอกอ่อนใจ แต่ประกายสีเขียวในดวงตาสีเทาอมฟ้านั้นบ่งบอกว่าร่างโปร่งไม่ได้ไม่อยากทำตามที่คนรัก
ออดอ้อนเสียทีเดียว
เมฆาหัวเราะในลำคอ
“ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ครับ”
คเชนทร์กำลังง่วนอยู่กับการปิดคลีนิคที่ตนประจำอยู่เมื่อร่างสูงได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอก วันนี้เหลือเขาเป็นคนสุดท้ายที่
ยังคงอยู่ในคลีนิคหลังจากพนักงานกลับไปแล้ว นายแพทย์หนุ่มจึงตัดสินใจชะโงกออกไปดูเหตุการณ์ข้างนอกคลีนิคของตนอย่างสงสัย
“โอ๊ยๆๆๆ ไม่ไหวแล้ว”
“อดทนหน่อยนะครับป้า แท็กซี่ใกล้มาถึงแล้ว”
“ใครป้าแกยะไอ้ฝรั่งขี้นก!โอ๊ยยย ปวดดดดด”
หญิงสาวท้องโย้ในชุดคลุมท้องร้องโอดโอยขณะเกาะชายร่างสูงใหญ่ที่พยุงเธอไว้แน่น ถึงจะมีผมสีดำสนิทและตาสีดำ แต่โครงหน้าของอีกฝ่ายดูอย่างไรก็ไม่พ้นแถบทวีปยุโรปแน่ และหากสังเกตดีๆจะเห็นว่าสีคิ้วของร่างสูงเป็นสีบลอนด์ บ่งบอกว่าอีกฝ่ายย้อมผมจนกลายเป็นสีนี้
แน่นอนว่าคเชนทร์ไม่ได้สังเกตอะไรนอกจากหญิงสาวที่กุมท้องอย่างเจ็บปวด
ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวาเหมือนจะหาที่นั่งให้กับคนเจ็บท้องคลอด คเชนทร์รีบก้าวออกมาจากร้านของตัวเองทันทีตามสัญชาาตญาณ
“เข้ามาข้างในคลีนิคก่อนครับ ผมเป็นหมอ ถ้าเด็กคลอดก่อนแท็กซี่มา อยู่ข้างนอกจะลำบาก”
ซอยที่คลีนิกของเขาอยู่ถือเป็นซอยแคบที่มีทางรถวิ่งเพียงทางเดียวและไม่มีที่สำหรับจอดรถ ปกติคเชนทร์จะใช้วิธีเดินจากป้ายรถเมล์ที่ถนนใหญ่เข้ามาทำงาน จึงทำให้เขาไม่มีรถจะพาหญิงสาวไปส่งโรงพยาบาลเช่นกัน
“คุณหมอ ช่วยด้วยค่ะ โอ๊ยยยย”
ชายชาวต่างชาติประคองหญิงสาวที่ร้องโอดโอยเข้ามาในคลีนิคของคเชนทร์อย่างทุลักทุเล
“คุณพ่อเหรอครับ?” คเชนทร์เลิกคิ้วถาม
“เปล่าครับ ผมบังเอิญเจอป้า เอ๊ย! พี่เขาเมื่อกี้”
ชายหนุ่มชาวต่างชาติเอ่ยปฏิเสธด้วยภาษาไทยเสียงดังฟังชัด คเชนทร์พยักหน้าให้พลเมืองดีน้อยๆอย่างชื่นชม ก่อนจะหันไปสนใจหญิงสาวบนเตียงตรวจ
“ขออนุญาตนะครับ”
คเชนทร์ตรวจสอบการเปิดของปากมดลูกของหญิงสาว ร่างสูงชะงักเมื่อเห็นว่าปากมดลูกขยายกว้างถึงสิบเซ็นติเมตรแล้ว
“ผมเกรงว่าอาจจะไม่ทันแท็กซี่นะครับคุณแม่” ร่างสูงเอ่ยเสียงใจเย็น ปลอบประโลมว่าที่แม่ลูกอ่อนใจคลายความแตกตื่น
“เดี๋ยวผมขอไปเตรียมอุปกรณ์นะครับ”
ถึงแม้ในคลีนิคจะไม่ได้มีอุปกรณ์ครบครันเหมือนห้องคลอด แต่คเชนทร์ก็มั่นใจว่าการทำคลอดจะดำเนินไปอย่างราบรื่น
“คุณ มาช่วยผมหน่อย” ด้วยความเคยชินกับการมีผู้ช่วยระหว่างก้มๆเงยๆจัดเตรียมข้าวของ คเชนทร์จึงเอ่ยเรียกพลเมืองดีข้างๆตนอย่างไม่คิดอะไร
“เอ๊ะ...ผมเหรอครับ?” ชายชาวต่างชาติชี้ที่ตัวเองอย่างงุนงง
“คุณนั่นแหละ” ร่างสูงตอบเสียงห้วน หยิบถุงมือปลอดเชื้อมาใส่ให้คนที่ยังยืนนิ่งเป็นหุ่นโดยไม่รอฟังคำตอบ
“Povidine Sulotion”
“หือ?” คนถูกสั่งกระพริบตาปริบๆ หันซ้ายแลขวาอย่างงุนงง คเชนทร์ชี้ไปที่ขวดที่วางอยู่ด้านหลังของตนอย่างหงุดหงิด แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของคนข้างๆ แต่การเคลื่อนไหวไม่คล่องตัวทั้งที่ปากมดลูกของหญิงสาวเปิดเต็มที่เป็นอะไรที่ทำให้คเชนทร์กดดันพอสมควร
“โอ๊ยยยย หมอออออ”
“หายใจเข้าลึกๆนะครับ 1...2...3....เบ่ง!”
“โอ๊ยยยยยยยยย”
“คุณปลอบคนไข้หน่อย” คเชนทร์สั่งชายหนุ่มทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากคนไข้ของตน ร่างสูงกว่าทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะก้าวไปข้างๆหญิงสาวที่หน้าซีดเหงื่อการแตกพลั่กอย่างไม่มั่นใจ
“เอ่อ...โอ๋ๆ...อย่าร้องน้า เดี๋ยวตุ๊กแกกินตับนะ”
คเชนทร์เกือบหน้าคว่ำกับภูมิปัญญาพื้นบ้านที่อีกฝ่ายไม่ควรจะรู้จัก โชคดีที่แม่ของเด็กคนนี้สามารถทำตามคำพูดของนายแพทย์หนุ่มได้โดยไม่มีปัญหาอะไร ทำให้อีกเพียงไม่กี่อึดใจต่อมา ทารกเพศชายสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงก็แผดเสียงร้องไปทั่วคลีนิค
“แว้!!!!!”
“ผ้าขนหนู”
คำสั่งนี้ดูจะเป็นคำสั่งเดียวที่ชายชาวต่างชาติสามารถทำได้ถูกต้อง หลังจากทำความสะอาดเด็กน้อยเสร็จโดยมีลูกมือตัวใหญ่ที่แม้จะเก้ๆกังๆแต่ก็พึ่งพาได้มากกว่าที่คิดคอยช่วย นายแพทย์หนุ่มก็ส่งเจ้าก้อนกลมที่ดิ้นดุ๊กดิ๊กในอ้อมกอดของเขากลับคืนใหแต่ผู้เป็นมารดา มุมปากที่ไม่ค่อยขยับนักเผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นภาพที่แสนอบอุ่น
“รีบไปโรงพยาบาลดีกว่านะครับ โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดห่างจากที่นี่ไปไม่ถึงห้านาที แท็กซี่น่าจะมารอแล้ว”
โชคดีของคเชนทร์ที่เขาบังเอิญมีรถเข็นติดไว้ที่หลังคลีนิค มันเป็นของมารดาที่ล่วงลับไปแล้วของเขา แม้คลีนิคของเขาจะไม่มีบริการรถเข็นให้คนไข้ แต่คเชนทร์ยังคงเก็บมันไว้ด้วยตัดใจทิ้งไม่ลง
หลังจากส่งหญิงสาวขึ้นรถแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาลโดยที่สามีไปรออยู่ที่ปลายทางแล้ว คเชนทร์ก็หันกลับมาหาลูกมือจำเป็นที่กำลังล้างมืออยู่ที่อ่าง
“คุณเป็นคนดีมากนะ...”
คนที่เพิ่งปิดก็อกน้ำชะงักกับคำชมของนายแพทย์หนุ่ม แผ่นหลังกว้างสั่นเล็กๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ขำอะไรของคุณ?” คเชนทร์ถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ แก้มขาวร้อนผะผ่าวจากการถูกหัวเราะเยาะโดยไม่ทราบสาเเหตุ
“...ขอโทษครับ...ผมเพิ่งเคยได้ยินคำคำนี้จากปากคุณเป็นครั้งแรกนี่แหละ” ชายหนุ่มยิ้มกว้างให้เขาราวกับเด็กเพิ่งได้ขนม คเชนทร์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
พิลึกคน
“คุณหมอ...ชื่ออะไรเหรอครับ?” ชายหนุ่มถามขึ้น คเชนทร์เพิ่งรู้ตัวว่าเขากับอีกฝ่ายยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของกันและกัน
“คราม” ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้เผลอหลุดชื่อเล่นของตัวเองออกไป ชายหนุ่มตรงหน้าเลิกคคิ้วอย่างสนใจ
“Crime? ชื่อน่ารักดีนะครับ”
“ไม่ใช่...”
Rrrrrr
เสียงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงของชายหนุ่มชาวต่างชาติดังขึ้น เจ้าของเครื่องหยิบมันออกมาแล้วก้มศีรษะให้คเชนทร์อย่างขอโทษขอโพย
“ขอโทษนะครับ ผมมีธุระด่วนต้องรีบไปทำ”
“เอ่อ...” คเชนทร์ได้แต่พยักหน้าให้คนที่กดรับโทรศัพท์รีบร้อนเดินจากไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นายแพทย์หนุ่มได้ยินเพียงเสียงโต้ตอบที่ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์จากคนที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ
“แน่ใจนะริน...อืม เข้าใจแล้ว”
แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น โทรศัพท์ของเขาเองก็ดังขึ้นจากกระเป๋าชุดกาวน์เช่นกัน หน้าจอเครื่องแสดงชื่อเพื่อนสนิทอายุเท่ากันเด่นหรา ชายหนุ่มถอนหายใจ ไปหาเรื่องอะไรให้เขาปวดหัวอีกล่ะ?
“ว่าไงไอ้เชษฐ์?”
“เกศอาการทรุด มึงรีบมาตอนนี้ได้มั้ย”
-----------
ไม่ได้ลืมเมฆหมอกน้าาาาาา ไม่มีเวลาปั่นจีจี
ใกล้จบแล้วววว น่าจะนับถอยหลังสิบบทสุดท้ายได้แล้วววววว